เทพปีศาจหวนคืน 960-962

ตอนที่ 960

 

การตื่นขึ้นของโป้ชิง


แปลโดย iPAT 


 


ในเวลานี้มีผู้อมตะอย่างน้อยสามสิบคนอยู่ที่น้ำตกสวรรค์


 


กลุ่มผู้อมตะมองไปยังดวงแสงที่ห่อหุ้มร่างของโป้ชิงด้วยดวงตาที่ร้อนแรงแต่ยังระมังคู่แข่งที่อยู่รอบๆ


 


แน่นอนว่าผู้อมตะจากนิกายโบราณทั้งสิบแข็งแกร่งที่สุด


 


แต่ท่ามกลางผู้คนจากนิกายโบราณ เทพธิดาไป่ชิงเป็นคนที่ถูกคุกคามมากที่สุด


 


เห็นการคุมเชิงกันของผู้คน ฉีหยวนเทียนกล่าวอย่างช้าๆ “เทพธิดาไป่ชิง สถานการณ์นี้ชัดเจนมาก โป้ชิงกลายเป็นผีดิบอมตะแต่ดวงวิญญาณของเขาถูกทำลายไปแล้วในภัยพิบัติ อย่างไรก็ตามยังมีเจตจำนงที่เขาทิ้งไว้ เขายังสามารถป้องกันตัว”


 


“ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เราเข้าไปใกล้ ดาบแสงจะถูกยิงออกมาทันที ตอนนี้เราต้องการบางสิ่งที่มีกลิ่นอายของโป้ชิงหรือวิญญาณที่เขาเคยปรับแต่งในอดีต นอกจากนี้เรายังสามารถใช้เจตจำนงที่เขาทิ้งไว้ ตราบเท่าที่เราสามารถจัดการสถานการณ์นี้ เราจะสามารถเข้าใกล้โป้ชิง”


 


เทพธิดาไป่ชิงเผยรอยยิ้มขมขื่น “เหตุใดจึงคิดว่าข้ามีสิ่งเหล่านี้? หากข้ามี ข้าคงใช้ไปนานแล้ว”


 


นางไม่มีจริงๆ


 


หลังจากทั้งหมดนางไม่คาดคิดว่าจะพบกับร่างผีดิบอมตะของโป้ชิง


 


ฉีหยวนเทียนเผยรอยยิ้มบาง “เหตุใดเทพธิดาไป่ชิงจึงต้องโกรธ? ท่านมาถึงที่นี่เป็นคนแรก เหตุใดท่านจึงลอบมาที่นี่คนเดียวอย่างเงียบๆ? ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องบังเอิญงั้นหรือ?”


 


เทพธิดาไป่ชิงเผยรอยยิ้มขมขื่นอีกครั้ง “ข้าไม่ได้มาที่นี่อย่างลับๆ ข้าใช้ค่ายกลวิญญาณขนส่งของนิกายท่าเรือหมื่นมังกรและมาที่นี่อย่างเปิดเผย ท่านคิดว่าข้าลอบมาที่นี่คนเดียวงั้นหรือ?”


 


นางมาที่นี่เพื่อตรวจสอบน้ำตกสวรรค์จากเบาะแสสุดท้ายที่ฟงจิวเก้อทิ้งไว้


 


แต่นางไม่สามารถเปิดเผยเรื่องนี้


 


นิกายคฤหาสน์วิญญาณต้องเก็บความลับเรื่องการเสียชีวิตของฟงจิวเก้อเอาไว้ให้นานที่สุดเพื่อที่พวกเขาจะได้มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น


 


จินลี่หยางขมวดคิ้วลึก “เหตุใดเทพธิดาไป่ชิงจึงต้องปิดบังมันจากพวกเรา? สิ่งนี้จะดึงดูดผู้อมตะให้มาที่นี่มากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไปและอาจเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้น นิกายโบราณทั้งสิบต้องร่วมมือกัน มิฉะนั้นผู้บ่มเพาะสันโดษบางคนอาจฉกชิงมรดกที่แท้จริงของโป้ชิงไปและทำให้ภาคกลางตกลงสู่ความปั่นป่วน นิกายคฤหาสน์วิญญาณจะเพิกเฉยต่อวิกฤตของภาคกลางเพียงเพราะความโลภของเจ้างั้นหรือ!?”


 


ฉีหยวนเทียนกระตุ้นต่อ “พวกเรานิกายโบราณทั้งสิบมีต้นกำเนิดเดียวกัน เราควรร่วมมือกันและยึดครองร่างของโป้ชิง ข้าสามารถเป็นตัวแทนของนิกายเมฆาวายุและสัญญาว่าเราจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน”


 


เทพธิดาไป่ชิงเงียบแต่ลอบหัวเราะอยู่ภายใน


 


นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจินลี่หยางและฉีหยวนเทียนร่วมมือกันเพื่อบีบบังคับนาง แต่นางยังรู้สึกกังวลเล็กน้อย


 


สิ่งที่เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ขณะที่นิกายคฤหาสน์วิญญาณไม่ได้ส่งกำลังเสริมมา


 


แม้นางจะเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แต่เผชิญหน้ากับผู้คนเหล่านี้ นางยังไม่สามารถทำสิ่งใดได้มากนัก


 


ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร นิกายคฤหาสน์วิญญาณก็ต้องนำร่างของโป้ชิงและวิญญาณอมตะของเขากลับคืน


 


อีกเก้านิกายรู้เรื่องนี้


 


ในความคิดของผู้อมตะคนอื่นๆ ฟงจิวเก้อน่าจะตายไปแล้ว เมื่อนิกายคฤหาสน์วิญญาณอ่อนแอลง พวกเขาย่อมไม่ยินดีปล่อยผีดิบอมตะโป้ชิงไป


 


หากนิกายคฤหาสน์วิญญาณได้รับร่างผีดิบอมตะของโป้ชิงและสามารถหล่อเลี้ยงบุคคลเช่นฟงจิวเก้อขึ้นมาอีกคน นิกายอื่นจะทำเช่นไร


 


สถานการณ์ที่น้ำตกสวรรค์อันตรายและตึงเครียดมาก


 


ดาบแสงของโป้ชิงดึงดูดผู้อมตะจากทุกทิศทาง คนเหล่านี้ต้องการเห็นความขัดแย้งระหว่างนิกายใหญ่เพื่อฉกฉวยผลประโยชน์


 


สำหรับนิกายโบราณทั้งสิบ พวกเขาต้องการรักษาเสถียรภาพและไม่ให้คนนอกได้รับประโยชน์


 


แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ไม่สามารถสร้างความร่วมมือได้อย่างแท้จริง ดังนั้นเก้านิกายจึงร่วมมือกันกดดันเทพธิดาไป่ชิงจากนิกายคฤหาสน์วิญญาณ


 


พวกเขาคิดว่าเทพธิดาไป่ชิงมีวิธีการบางอย่างขณะที่นางไม่สามารถอธิบายความโปร่งใสของตนเอง


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่กลิ่นอายของผู้อมตะระดับแปดปะทุขึ้น


 


“ผู้อมตะทั้งหมดถอยออกไป พวกเราวังสวรรค์จะจัดการเรื่องนี้เอง”


 


ทุกคนอ้าปากค้างและมองไปยังผู้อมตะหญิงที่กำลังลอยลงมา


 


นางก็คือผู้อมตะระดับแปดบนเส้นทางแห่งวารี เพ่ยกังซุ้ย


 


สถานการณ์เปลี่ยนทันที


 


…..


 


ภาคกลาง วังสวรรค์


 


หอคอยดวงตาสวรรค์ก่อตัวขึ้นอีกครั้งต่อหน้าผู้อมตะสามคน


 


เจ้าวัง ไป่เฉินเทียน และเหลียนจิวเฉิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


ตั้งแต่หอคอยดวงตาสวรรค์ถูกโจมตี คนทั้งสามทำงานอย่างหนักโดยไม่ได้หยุดพักผ่อน


 


สุดท้ายพวกเขาก็ประสบความสำเร็จในการซ่อมแซม


 


มีบางสิ่งที่ต้องกล่าวถึง นั่นก็คือหอคอยดวงตาสวรรค์เป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับเก้า!


 


แต่มันยังถูกตัดขาดโดยดาบแสง!


 


โชคดีที่ผู้อมตะทั้งสามเข้าควบคุมมันอย่างรวดเร็ว ดังนั้นความเสียหายจึงไม่มากนัก


 


หลังจากชั่วครู่เจ้าวังจึงพยุงร่างของตนเองด้วยไม้เท้าและเดินไปยังหอคอยดวงตาสวรรค์พร้อมกับวิญญาณโชคชะตาที่อยู่ในมือ


 


เหลียนจิวเฉิงถาม “ท่านเจ้าวัง เหตุใดจึงไม่พักผ่อนก่อน? ใยต้องรีบร้อนใช้งานหอคอยดวงตาสวรรค์?”


 


“ขอบคุณสำหรับความห่วงใยแต่ข้าไม่เป็นไร” เจ้าวังปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม


 


ตั้งแต่ดาบแสงโจมตีหอคอยดวงตาสวรรค์ เจ้าวังรู้สึกสังหรณ์ร้าย


 


เมื่อเวลาผ่านไปสังหรณ์ร้ายนี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น


 


แม้หอคอยดวงตาสวรรค์จะถูกซ่อมแซมแล้วแต่สังหรณ์ร้ายของเขาก็ยังไม่หายไป


 


“ไป!” วิญญาณโชคชะตาส่องประกายก่อนจะบินขึ้นไปที่ชั้นบนสุดของหอคอยดวงตาสวรรค์


 


เจ้าวังเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ


 


ทุกย่างก้าวของเขา เขาต้องจ่ายด้วยพลังงานอมตะระดับแปด


 


กำแพงหอคอยแสดงภาพที่พล่ามัวเพราะวิญญาณโชคชะตาใช้พลังอำนาจได้เพียงครึ่งเดียว


 


หลังจากเดินไปถึงขั้นที่หกสิบ ภาพบนกำแพงพลันกระจ่างชัดขึ้น


 


ฉากเหตุการณ์บนยอดเขาไร้นามทางภาคใต้แสดงขึ้นต่อหน้าเจ้าวัง


 


ภาพการต่อสู้ระหว่างราชันเทพยุทธ์สวรรค์กับผู้อมตะระดับเจ็ดปรากฏขึ้นในมุมมองสายตาของเขา


 


“ผีดิบอมตะระดับแปดราชันเทพยุทธ์สวรรค์…คฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหล…และนี่…”


 


รอยสักรูปดอกบัวสีแดงบนหน้าผากของผู้อมตะระดับเจ็ดโดดเด่นมาก


 


“มรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง!”


 


ดวงตาของเจ้าวังส่องประกายขึ้น


 


ความเสียหายที่เทพปีศาจบัวแดงกระทำต่อวิญญาณโชคชะตาทิ้งความเจ็บปวดไว้ในหัวใจของผู้อมตะวังสวรรรค์มานานนับล้านปี ด้วยเหตุนี้เจ้าวังจึงต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบ


 


และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือมรดกของเทพปีศาจบัวแดงต้องถูกทำลาย!


 


“ความแข็งแกร่งของผีดิบอมตะราชันเทพยุทธ์สวรรค์ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล…แต่สนามรบแห่งความโกลาหลต้องเป็นของวังสวรรค์! แม้จะมีกำแพงภูมิภาคกีดขวางแต่วังสวรรค์ก็ต้องทุ่มเทความพยายามทั้งหมด!”


 


เพียงคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหลอย่างเดียว มันก็คุ้มค่าแล้วที่วังสวรรค์จะเคลื่อนไหว


 


“ปราศจากการปกปิดภาพมายาเหล่านี้ ภาคใต้จะตกลงสู่ความวุ่นวาย ผู้อมตะจำนวนมากจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงมัน หากวังสวรรค์ต้องการเข้าสู่การแข่งขัน เราต้องเลือกคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับภารกิจนี้”


 


เจ้าวังครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่ายศีรษะปัดเป่าความคิดและเดินขึ้นบันไดต่อไป


 


หกสิบขั้น เจ็ดสิบขั้น แปดสิบขั้น…


 


เมื่อเขาไปถึงขั้นที่แปดสิบสาม ภาพบนกำแพงจึงปรากฏฉากเหตุการณ์สำคัญของภาคกลาง


 


ที่น้ำตกสวรรค์ ผู้อมตะระดับแปดเพ่ยกังซุ้ยกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด


 


นางขยับนิ้วและวางค่ายกลวิญญาณเพื่อปิดผนึกสถานที่แห่งนี้


 


แต่ในจังหวะที่แสงดาวพุ่งไปยังร่างผีดิบอมตะของโป้ชิง เขากลับเปิดเปลือกตาขึ้น!


 


ทันใดนั้นดาบแสงจำนวนนับไม่ถ้วนก็ระเบิดออกมาและอาบย้อนพื้นที่ทั้งหมดให้เป็นสีขาว


 


กระทั่งเจ้าวังยังต้องปิดเปลือกตาลง


 


ในเวลาต่อมาเมื่อเขาเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง


 


สิ่งที่เขาเห็นคือฉากนองเลือด


 


ซากศพของผู้อมตะกระจัดกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ศีรษะของผู้อมตะระดับแปดจากวังสวรรค์เพ่ยกังซุ้ยกลิ้งอยู่บนพื้น


 


ดวงตาของนางเบิกกว้าง


 


นางเสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ!


 


“นี่เป็นไปได้อย่างไร?” เจ้าวังรู้สึกเจ็บปวด


 


ทันใดนั้นเงาร่างสามสายพุ่งลงมาจากท้องฟ้าและลอยอยู่เหนือทะเลสาบด้านล่างน้ำตกสวรรค์


 


ผีดิบอมตะเทพเจ็ดดารายืนอยู่ด้านหน้า ตามมาด้วยซ่งซื่อซิงและหยูมู่ฉาน!


 


“สีคราม เจ้าตื่นขึ้นในที่สุด” ผีดิบอมตะเทพเจ็ดดาราหัวเราะเสียงดัง ร่างของเขาปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้อมตะระดับแปดที่ทรงพลังออกมาอย่างชัดเจน


 


เขาเดินเข้าไปหาโป้ชิง


 


ดวงตาของผีดิบอมตะโป้ชิงส่องประกายขึ้นพร้อมกับดาบแสงที่พุ่งออกมา


 


ผีดิบอมตะเทพเจ็ดดาราตกใจเพราะไม่คิดว่าผีดิบอมตะโป้ชิงจะโจมตี


 


กระทั่งร่างผีดิบอมตะของเขาก็กลายเป็นไร้ประโยชน์ต่อหน้าดาบแสงและถูกตัดขาดเป็นสองท่อนในเสี้ยวพริบตา


 


ความตายอย่างน่าเวทนาของผีดิบอมตะเทพเจ็ดดาราทำให้ซ่งซื่อซิงกับหยูมู่ฉานตกตะลึง


 


“เกิดสิ่งใดขึ้น สีครามสังหารสีน้ำเงิน!?”


 


“ไม่ เขาไม่ใช่สีคราม จิตใจของเขาถูกแทรกแซงด้วยเจตจำนงสวรรค์ มีคนอื่นอาศัยอยู่ในร่างเขา!”


 


ขณะที่คนทั้งสองกำลังตกใจ โป้ชิงหันหน้ามาทางพวกเขา


 


ร่างกายของซ่งซื่อซิงและหยูมู่ฉานสั่นสะท้านขึ้นด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง


 


พวกเขาไม่เห็นเจตนาฆ่าฟันในดวงตาของโป้ชิง


 


สิ่งที่พวกเขาเห็นมีเพียงความว่างเปล่าและเจตจำนงสวรรค์


 


ทั้งสองต่างเป็นผู้หลบหนีจากโชคชะตาที่สวรรค์ต้องการกำจัด


 


เผชิญหน้ากับสิ่งนี้ ซ่งซื่อซิงและหยูมู่ฉานที่มีชื่อเสียงโด่งดังกลับไม่สามารถเคลื่อนไหวและทำได้เพียงรอคอยความตายเท่านั้น

 

 

 


ตอนที่ 961

 

เรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน


แปลโดย iPAT 


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าประสบความสำเร็จในที่สุด!”


 


ฟางหยวนเดินออกมาจากถ้ำใต้พิภพด้วยความสุข


 


ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาใช้ความพยายามอย่างมากในการแก้ไขท่าไม้ตายอมตะ สุดท้ายเขาก็ประสบความสำเร็จ


 


ท่าไม้ตายอมตะนี้ใช้วิญญาณอมตะกินความแข็งแกร่ง วิญญาณอมตะยกภูเขา และวิญญาณอมตะดึงแม่น้ำเป็นแกนกลางโดยมีวิญญาณระดับมนุษย์อีกนับแสนดวง


 


ในการกระตุ้นใช้งาน ฟางหยวนต้องตั้งสมาธิและใช้เวลาถึงสองชั่วโมง


 


หลังจากสามวันสามคืน เขาจะสามารถสับเปลี่ยนร่างกายระหว่างร่างผีดิบอมตะกับร่างมนุษย์ที่มีชีวิต


 


แม้มันจะไม่สะดวกเหมือนท่าไม้ตายอมตะเพลิงนิพพานแต่ฟางหยวนก็พอใจมากแล้ว


 


ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณแสงแห่งปัญญาและท่าไม้ตายอมตะเพลิงนิพพานที่ทำให้เขาสามารถลอกเลือนแบบและสร้างท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่ง


 


แน่นอนว่าหากปราศจากความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญาระดับปรมาจารย์ เขาอาจไม่ประสบความสำเร็จ


 


‘ต่อไป ข้าจะใช้ซากศพผีดิบอมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่งเพื่อสร้างมิติช่องว่างแห่งชีวิตและความตายระดับสูง’ ฟางหยวนคิดและถอนหายใจ


 


หลังจากค้นหาวิธีฟื้นฟูร่างกายมาอย่างยาวนาน เขาก็มาถึงจุดนี้ในที่สุด


 


สำหรับหุบเขาเหล่าโป ไท่เป่ยหยุนเฉิงซ่อมแซมมันเรียบร้อยแล้ว


 


ฟางหยวนทดลองเข้าไปฝึกฝนในหุบเขาเหล่าโปมาแล้วและพบว่ามันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการบ่มเพาะจิตวิญญาณเช่นเดียวกับภูเขาตงฮัน


 


การจับคู่ระหว่างภูเขาตงฮันกับหุบเขาเหล่าโปทำให้การบ่มเพาะจิตวิญญาณของฟางหยวนพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด


 


แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาคือการฟื้นคืนสู่ชีวิต การบ่มเพาะจิตวิญญาณยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน


 


อย่างไรก็ตามในจังหวะที่เขากำลังจะเริ่มดำเนินการ เขากลับได้รับจดหมายจากนางมารผลาญสวรรค์


 


เนื้อหาในจดหมายทำให้แผนการฟื้นฟูร่างกายของฟางหยวนหยุดชะงัก


 


“ผีดิบอมตะสุดยอดกายาเทพยุทธ์ที่แท้จริงระดับแปด!?” หัวใจของฟางหยวนแทบกระโดดออกมาจากหน้าอก


 


มันเป็นข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาไร้นามที่ภาคใต้


 


ตอนนี้เรื่องของคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหลได้แพร่กระจายไปทั่วภาคใต้แล้ว


 


แน่นอนว่าภาคใต้มีกองกำลังพันธมิตรผีดิบอยู่เช่นกัน


 


ในฐานะผู้นำกองกำลังพันธมิตรผีดิบของภาคเหนือ เป็นธรรมดาที่นางมารผลาญสวรรค์จะได้รับข้อมูลนี้อย่างรวดเร็ว


 


“นางมารผลาญสวรรค์ช่างมีความทะเยอทะยานสูงนัก นางรู้ว่าข้ามีวิญญาณท่องแดนอมตะ ดังนั้นนางจึงติดตามข่าวสารต่างๆของทั้งห้าภูมิภาคอยู่เสมอ ในฐานะผู้นำกองกำลังพันธมิตรผีดิบของภาคเหนือ ความสามารถในการรวบรวมข่าวสารของนางจึงเหนือกว่าเทพธิดาหลี่ซาน”


 


ฟางหยวนรู้สึกถึงความอ่อนด้อยในเรื่องของการรวบรวมข่าวสารอีกครั้ง


 


ในชีวิตก่อนหน้าเขามีเครือข่าวกว้างขวางและด้วยวิญญาณบนเส้นทางแห่งเลือด เขาจึงสามารถรวบรวมข้อมูลได้ค่อนข้างดี


 


แต่ในชีวิตนี้ ฟางหยวนพึ่งพาเพียงความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าเท่านั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ที่เขาได้รับมาจากเทพธิดาหลี่ซานกับจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา


 


เมื่อเกิดเรื่องที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วยไม่ได้ที่ฟางหยวนจะรู้สึกว่าความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าของเขาเริ่มไม่น่าเชื่อถือ


 


ความจริงของประวัติศาสตร์ถูกซ่อนเอาไว้ลึกเกินกว่าความตระหนักรู้ของฟางหยวน ความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าของเขาเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น


 


กระทั่งเรื่องที่เขาเคยประสบด้วยตนเอง มันก็อาจไม่ง่ายเช่นที่เขาคิด


 


สาเหตุของเหตุการณ์มากมายมีความซับซ้อนกว่านั้น


 


‘ในชีวิตก่อนหน้า ข้ามีช่วงเวลาที่ยากลำบาก ข้าค่อยๆไต่ขึ้นจากจุดต่ำสุด เครือข่ายและทรัพยากรของข้าถูกสะสมอย่างช้าๆ ข้ามีจุดอ่อนมากมาย หลังจากเกิดใหม่ ข้าได้รับโอกาสและก้าวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว แต่ในหลายแง่มุม ข้ายังตามไม่ทัน’


 


‘ดูเหมือนข้าต้องหาทางรวบรวมข้อมูลให้มากขึ้น ข้าสามารถพึ่งพานางมารผลาญสวรรค์ แต่ในระยะยาว ข้าต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น!’


 


ฟางหยวนครุ่นคิด


 


การขาดข้อมูลหมายถึงการสูญเสียโอกาส


 


เช่นเดียวกับตอนนี้ ฟางหยวนไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นและเกือบพลาดโอกาสครั้งสำคัญ


 


สามวันต่อมา ฟางหยวนเดินทางไปยังภาคใต้ใกล้กับภูเขาไร้นามโดยลำพัง


 


นางมารผลาญสวรรค์ยังอยู่ในเมืองคลื่นทมิฬ นางบอกฟางหยวนว่านางกำลังยุ่งกับการหลอมรวมวิญญาณอมตะและสร้างค่ายกลวิญญาณ นางไม่สามารถออกมาในเวลานี้ แต่หากจำเป็น นางก็จะเคลื่อนไหวทันที


 


สำหรับไห่ลั่วหลันกับเทพธิดาหลี่ซาน พวกนางยังอยู่ที่หุบเขาเหล่าโปเพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณ พวกนางสนใจสนามรบแห่งความโกลาหลเช่นกันแต่กลิ่นอายของผู้อมตะภาคเหนือจะดึงดูดผู้คนมากเกินไป


 


ฟางหยวนมาที่นี่เพื่อหาข้อมูลเพิ่ม


 


แม้เขาจะเป็นผู้อมตะภาคเหนือแต่เขามีท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คลุมเครือ ผู้อมตะทั่วไปไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขา


 


บนยอดเขาไร้นาม ภาพมายาฉายซ้ำอีกครั้ง


 


แต่ไป่หนิงปิงไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป


 


ฟางหยวนเฝ้ามองมันสามรอบและไตร่ตรองก่อนจะมุ่งหน้าเข้าไปหาภูเขาไร้นาม


 


เป็นเช่นเดียวกับสิ่งที่นางมารผลาญสวรรค์กล่าวไว้ในจดหมาย สถานที่แห่งนี้เป็นเขตต้องห้ามของผู้อมตะ ยิ่งฟางหยวนเข้าใกล้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกอ่อนแรงมากเท่านั้น เขารู้สึกว่ามิติช่องว่างของเขาถูกกดทับโดยพลังงานที่ไร้รูปลักษณ์


 


ฟางหยวนต้องหยุดเคลื่อนไหว มิฉะนั้นมิติช่องว่างของเขาอาจถูกทำลาย


 


เขาต้องถอย!


 


แต่ในจังหวะนี้เขากลับได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆมาจากด้านหลัง


 


รูม่านตาของฟางหยวนหดเล็กลงขณะที่เร่งหันหลังกลับ


 


เขาเห็นหญิงสาวในชุดชมพูกับเส้นผมสีแดงที่ดูเย้ายวนยืนอยู่ใกล้ๆ


 


ฟางหยวนระวังตัวมากขึ้น


 


หญิงผู้นี้เป็นผู้อมตะระดับหก


 


เห็นการจ้องมองของฟางหยวน นางจึงเปิดปากแนะนำตัว “ข้าชื่อหลี่เหมยฮัว ผู้คนเรียกข้าว่าท่านยายเหมยฮัว หนุ่มน้อยผู้หล่อเหลา ข้าไม่คุ้นหน้าเจ้า เจ้ามาจากที่ใดงั้นหรือ?”


 


ฟางหยวนเผยรอยยิ้มบางและคิด ‘นางก็คือท่านยายเหมยฮัว’


 


แม้ฟางหยวนจะไม่เคยพบท่านยายเหมยฮัวด้วยตนเอง แต่เขาเคยพบหลานสาวของนาง ฮูเหม่ยเอ๋อ


 


ความสวยงามเป็นธรรมชาติของผู้หญิง


 


สำหรับผู้อมตะ อายุไม่มีความสัมพันธ์กับรูปลักษณ์


 


ตอนนี้ฟางหยวนอยู่ในชุดคลุมเขียว เขาปลอมตัวเป็นผู้อมตะระดับหกวัยกลางคนที่มีดวงตาสีเขียวหยกที่น่าขนลุก อาจดูแปลกตาแต่เขาก็ดูดีมาก


 


“ท่านยายเหมยฮัว ข้าได้ยินเรื่องราวของท่านมานานแล้ว ข้าคือเจิ้งอิง ข้าเป็นเพียงคนจรเท่านั้น” ฟางหยวนตอบ


 


“เจิ้งอิง…” หลี่เหมยฮัวพยายามทบทวนความทรงจำแต่นางจำไม่ได้ว่ามีคนผู้นี้อยู่ในภาคใต้


 


อย่างไรก็ตามนางไม่แปลกใจ


 


เมื่อได้ยินการแนะนำตัวของฟางหยวน นางคิดว่าเขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ


 


ภาคใต้มีภูเขาอยู่นับไม่ถ้วน มีผู้บ่มเพาะสันโดษมากมายที่ไม่เคยแสดงตัวและไม่มีผู้ใดรู้จักพวกเขา


 


แต่เนื่องจากคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหล มันจึงดึงดูดผู้อมตะมากมายเข้ามา


 


ฟางหยวนในนามเจิ้งอิงก็เป็นหนึ่งในนั้น


 


หลายวันมานี้หลี่เหมยฮัวได้พบกับผู้อมตะหลายคนที่คล้ายกับฟางหยวน


 


ด้านฟางหยวน เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับการต้อนรับที่อบอุ่นของหลี่เหมยฮัว


 


ฟางหยวนกำลังจะถามแต่หลี่เหมยฮัวชิงตอบตัดหน้า


 


ฟางหยวนเข้าใจทันที


 


หลี่เหมยฮัวเชิญฟางหยวนให้ติดตามไป ฟางหยวนตกลงและเดินทางไปยังภูเขาหัวขาดที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งพันลี้พร้อมกันกับนาง


 


เขาเห็นปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษหลายคนรออยู่ที่นี่ ทุกคนต่างแสดงออกด้วยสีหน้าเย็นชาและไร้ปรานี


 


ไม่มีผู้ใดรู้จักฟางหยวน ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดพูดคุยกับเขา


 


แต่หลี่เหมยฮัวกลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เมื่อนางมาถึง หลายคนเร่งเผยรอยยิ้มทักทาย “หลี่เหมยฮัว เจ้านำมาอีกคนแล้ว?”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ครั้งนี้พวกเราปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษมารวมตัวกันเพื่อต่อรองกับฝ่ายธรรมะ ท่านยายเหมยฮัวทำได้ยอดเยี่ยมนัก”


 


“ท่านยกย่องข้าเกินไปแล้ว ข้าเพียงทำอย่างเต็มที่เท่านั้น” หลี่เหมยฮัวทักทายกลับด้วยรอยยิ้ม


 


“ให้ข้าแนะนำพวกท่าน นี่คือน้องเจิ้งอิง เขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ” หลังจากทักทายทุกคน หลี่เหมยฮัวจึงเริ่มแนะนำฟางหยวน


 


“ดังนั้นก็คือน้องเจิ้ง” ปีศาจอมตะผู้หนึ่งป้องหมัดขึ้น


 


“ข้าคือจงอี้ซื่อ”


 


“ดูเหมือนท่านจะบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง โอ้ ชื่อของข้าคือ หลานเทียนหง ข้าเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษเช่นกัน”


 


…..


 


ฟางหยวนแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาไร้ทักษะในการเข้าสังคมและไม่มีปฏิสัมพันธ์กันผู้ใดมากนัก


 


หลังจากทักทายกันเล็กน้อย ภูเขาหัวขาดก็กลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง


 


สำหรับหลี่เหมยฮัว นางไม่ได้อยู่ที่นี่นานนัก นางต้องกลับไปที่ภูเขาไร้นามเพื่อรอผู้บ่มเพาะสันโดษคนอื่นๆ


 


ก่อนจากไป นางชี้นิ้วไปที่ภูเขาลูกหนึ่งและกล่าวกับฟางหยวน “ภูเขาต้นสนเป็นค่ายพักแรมของฝ่ายธรรมะ”


 


แม้นางจะไม่แนะนำแต่กลิ่นอายที่รุนแรงของผู้อมตะก็แผ่พุ่งออกมาจากที่นั่น แน่นอนว่าฟางหยวนรู้อยู่แล้ว


 


หลังจากแยกทางกับหลี่เหมยฮัว ฟางหยวนพักอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งโดยไม่ได้ออกมา


 


เขาอยู่ที่นี่เป็นเวลาสิบวัน ในช่วงเวลานี้ภูเขาหัวขาดและภูเขาต้นสนมีผู้อมตะทั้งฝ่ายปีศาจและธรรมะมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ


 


พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้อมตะระดับหก เมื่อใดที่ผู้อมตะระดับเจ็ดปรากฏตัว ความโกลาหลจะปะทุขึ้น สุดท้ายกระทั่งผู้อมตะระดับแปดยังมารวมตัวกันถึงสี่คน


 


ท่ามกลางผู้อมตะระดับแปดทั้งสี่มีปีศาจอมตะหนึ่งคน ผู้บ่มเพาะสันโดษหนึ่งคน และผู้อมตะฝ่ายธรรมะอีกสองคน


 


นี่ทำให้เกิดสมดุลระหว่างสองฝ่าย


 


หลังจากเจรจาเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ทั้งสองจึงบรรลุข้อตกลงในที่สุด


 


พวกเขาจะเข้าสู่การแข่งขันครั้งใหญ่ที่สุดในรอบพันปี!


 


ผู้ชนะจะได้ครอบครองภูเขาไร้นามขณะที่คนอื่นๆจะไม่โจมตีผู้ชนะเป็นเวลาสามปีต่อจากนี้


 

 

 


ตอนที่ 962

 

เซียวซานและเซียวเมิ้ง


แปลโดย iPAT 


 


น้ำตกสวรรค์


 


ผีดิบอมตะโป้ชิงกวาดตามองซ่งซื่อซิงกับหยูมู่ฉานอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึก


 


หัวใจของคนทั้งสองแทบกระโดดออกมาจากหน้าอก แรงกดดันอันหนักหน่วงทำให้ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยเหงื่ออันเย็นเยียบ


 


โป้ชิงได้รับการยกย่องว่าเป็นกึ่งเทพอมตะ เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของห้าภูมิภาคในยุคนั้น


 


แม้เขาจะกลายเป็นผีดิบอมตะแต่เขาก็ยังมีพลังงานอมตะระดับแปดอยู่กับตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งดาบที่ไม่ได้ถูกทำลายไปในภัยพิบัติ


 


ดังนั้นพลังการต่อสู้ของเขาจึงอยู่ในจุดที่น่าสะพรึงกลัว


 


สิ่งสำคัญที่สุดคือพลังงานแห่งเต๋า


 


ยิ่งการบ่มเพาะของผู้อมตะสูงเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋ามากเท่านั้น แม้คนสองคนจะใช้วิญญาณอมตะดวงเดียวกัน แต่พลังอำนาจที่สามารถปลดปล่อยจะขึ้นอยู่กับพลังงานแห่งเต๋าของผู้ใช้งาน


 


หากเปรียบเทียบกับฉินไป่เฉิง เขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณและโลหะ เขาไม่มีพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งดาบ แต่เมื่อเขาใช้ท่าไม้ตายอมตะดาบห้าดัชนี เขายังสามารถต่อสู้ได้เท่าเทียมกับฟงจิวเก้อ


 


ตอนนี้วิญญาณอมตะของโป้ชิงไม่ได้รับความเสียหายขณะที่เขาเต็มไปด้วยพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งดาบ ดังนั้นเขาจึงสามารถปลดปล่อยพลังอำนาจที่สามารถสั่นสะเทือนโลกหล้า อย่างไรก็ตามนี่ยังไม่เท่ากับช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่


 


ด้วยเหตุนี้ผีดิบอมตะเทพเจ็ดดารา ซ่งซื่อซิง และหยูมู่ฉานจึงไม่มีโอกาสต่อต้าน


 


โดยไม่ต้องกล่าวถึงซ่งซื่อซิงและหยูมู่ฉาน


 


มีความแตกต่างราวกับสวรรค์และพื้นพิภพระหว่างผู้อมตะระดับเจ็ดบนจุดสูงสุดกับผู้อมตะระดับแปด ยิ่งระดับการบ่มเพาะสูงเท่าใด พลังงานแห่งเต๋าของพวกเขาก็ยิ่งแตกต่าง สำหรับผู้อมตะระดับหกและเจ็ด อาจมีบางคนที่ทัดเทียมกัน แต่เมื่อบรรลุระดับแปด เป็นเรื่องยากที่ผู้อมตะระดับเจ็ดจะสามารถต่อต้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อมตะระดับเก้า ผู้คนที่ต่ำชั้นกว่าทั้งหมดไม่ต่างจากมดปลวกสำหรับพวกเขา


 


เผชิญหน้ากับผีดิบอมตะโป้ชิง เป็นธรรมชาติที่ซ่งซื่อซิงและหยูมู่ฉานจะไม่สามารถตอบโต้


 


‘ข้าจะตายวันนี้งั้นหรือ?’


 


‘เราจะทำอย่างไร? เราต้องทำเช่นไร?’


 


ร่างกายของพวกเขาแข็งค้างขณะที่ความคิดต่างๆวนเวียนอยู่ในหัว ทั้งสองอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังอย่างสมบูรณ์


 


โป้ชิงชี้นิ้วไปที่ซ่งซื่อซิง


 


แสงดาบพุ่งออกไป


 


ซ่งซื่อซิงไม่แม้แต่จะพยายามหลบหนี เขาเผชิญหน้ากับความตายด้วยการเผยรอยยิ้มขมขื่น


 


เพราะเขารู้ว่าต่อหน้าโป้ชิง การหลบหนีเป็นเรื่องไร้ประโยชน์


 


ต่อมา โป้ชิงชี้นิ้วไปที่หยูมู่ฉาน


 


“ไม่! ข้าไม่ได้ทำสัญญา ข้าไม่ควรตาย!” หยูมู่ฉานกรีดร้องและนำวิญญาณอมตะดวงหนึ่งออกมา


 


โป้ชิงหยุดเคลื่อนไหวทันที


 


ใบหน้าของเขาเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงราวกับเขากำลังดิ้นรนขัดขืน


 


หัวใจของหยูมู่ฉานแทบกระโดดออกมาจากหน้าอก เขามองโป้ชิงด้วยความกังวล


 


การแสดงออกที่ไม่ยินดียินร้ายของโป้ชิงเปลี่ยนเป็นสับสน เจ็บปวด เกลียดชัง และโศกเศร้า มันเปลี่นแปลงวนไปเรื่อยๆราวกับสัญญาณไฟจราจร


 


ในที่สุดดวงตาของเขาก็ส่องประกายด้วยความฉลาดเฉลียว ใบหน้าเต็มไปด้วยชีวิตชีวา


 


เขามองฝ่ามือของตนก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆและกล่าวกับหยูมู่ฉาน “เจ้าคือ…”


 


หยูมู่ฉานตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง “ในที่สุดท่านก็ตื่นขึ้น เทพธิดาโม่เหยา ข้าพนันถูกจริงๆ เกือบไปแล้ว…”


 


ปรากฏว่าดวงวิญญาณที่เหลืออยู่ในร่างผีดิบอมตะของโป้ชิงก็คือโม่เหยา!


 


หยูมู่ฉานปลุกวิญญาณของโม่เหยาให้ตื่นขึ้น ดังนั้นเจตจำนงสวรรค์จึงถูกผลักออกไป


 


ปราศจากการแทรกแซงของเจตจำนงสวรรค์ ผีดิบอมตะโป้ชิงจึงหยุดโจมตี


 


หยูมู่ฉานสูดหายใจลึกก่อนจะกล่าวต่อ “จำสิ่งที่เคยพูดคุยกันได้หรือไม่? เพื่อทำให้โป้ชิงฟื้นขึ้น…”


 


“โป้ชิง!”


 


ได้ยินชื่อของคนรัก ดวงวิญญาณของโม่เหยาถึงกับสั่นสะท้าน


 


นางบังคับร่างผีดิบอมตะของโป้ชิงให้พยักหน้าและกล่าวขัดจังหวะหยูมู่ฉาน “แล้วตอนนี้ข้าควรทำเช่นไร?”


 


หยูมู่ฉานมองศพของเทพเจ็ดดารากับซ่งซื่อซิงและถอนหายใจ


 


หากพวกเขายังมีชีวิตอยู่ คนทั้งสามจะใช้ท่าไม้ตายอมตะส่งกลุ่มสี่คนของเขาไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือของภาคกลาง


 


ที่นั่นอยู่ภายใต้การปกครองของนิกายบัวสวรรค์


 


แต่ตอนนี้เทพเจ็ดดาราและซ่งซื่อซิงตายไปแล้ว หยูมู่ฉานเพียงลำพังไม่สามารถเคลื่อนย้ายโป้ชิงไปยังนิกายบัวสวรรค์โดยตรง


 


“ข้าหวังว่าพวกเขาจะยังไม่เคลื่อนไหว” หยูมู่ฉานมองไปยังทิศทางที่หอคอยดวงตาสวรรค์ตั้งอยู่


 


วังสวรรค์


 


การแสดงออกของเจ้าวังเต็มไปด้วยความโกรธ


 


ตอนนี้เขาเห็นหยูมู่ฉานร่วมมือกับผีดิบอมตะโป้ชิงบุกโจมตีนิกายเทพยุทธ์อมตะ เจ้าวังไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป


 


แม้นิกายบัวสวรรค์จะรอดแต่นิกายเทพยุทธ์อมตะก็เป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของวังสวรรค์เช่นกัน


 


โป้ชิงตื่นขึ้นแล้วขณะที่นิกายเทพยุทธ์อมตะตกอยู่ในอันตราย ตอนนี้มีเพียงวังสวรรค์ที่สามารถช่วยเหลือพวกเขา


 


เจ้าวังบินลงมาจากหอคอยดวงตาสวรรค์และเรียกเหลียนจิวเฉิงกับไป่เฉินเทียน “เกิดเรื่องที่น้ำตกสวรรค์ เพ่ยกังซุ้ยตายแล้ว โป้ชิงตื่นขึ้นในร่างผีดิบอมตะและกำลังบุกโจมตีนิกายเทพยุทธ์อมตะ เราต้องไปที่นั่นเดี๋ยวนี้!”


 


ผู้อมตะทั้งสองตกใจมาก ข้อมูลนี้ยากเกินกว่าที่จะเชื่อ


 


“ไป!”


 


คนทั้งสองตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ แต่หลังจากพวกเขาได้สติ ผู้อมตะทั้งสามจึงกระตุ้นใช้ค่ายกลวิญญาณขนส่งของวังสวรรค์เพื่อเดินทางไปยังนิกายเทพยุทธ์อมตะ


 


…..


 


ภาคใต้ ภูเขาแสง


 


ภูเขาลูกนี้มีความสูงมากกว่าสองพันกิโลเมตร มันเป็นสถานที่ผลิตวิญญาณบนเส้นทางแห่งแสงที่มีชื่อเสียงของภาคใต้และอยู่ในการปกครองของตระกูลเดียวมาตลอดพันปีที่ผ่านมา


 


มันคือตระกูลเซียว


 


มีข่าวลือว่าตระกูลเซียวของภาคใต้กับทะเลทรายตะวันตกมีต้นกำเนิดเดียวกัน เมื่อหนึ่งพันปีก่อนตระกูลเซียวแห่งทะเลทรายตะวันตกเกิดความขัดแย้งภายใน สมาชิกบางส่วนของพวกเขาจึงเดินทางมาที่ภาคใต้ก่อนจะสามารถก่อตั้งกองกำลังขนาดใหญ่


 


ผู้นำคนปัจจุบัน เซียวซาน ยืนอยู่บนยอดเขาแสงและมองลงไปยังที่ตั้งตระกูลเซียวด้วยการแสดงออกที่หดหู่ใจและสายตาแห่งความเกลียดชัง


 


ร่างหนึ่งวิ่งขึ้นมาบนยอดเขาอย่างรวดเร็วและแสดงความเคารพ “เซียวจื่อฟงคารวะท่านผู้นำ”


 


“วูฮุ้ยยังสร้างปัญหาอยู่งั้นหรือ?” เซียวซานถามเสียงต่ำ


 


ผู้อาวุโสตระกูลเซียว เซียวจื่อฟง ก้มศีรษะลง “รายงานท่านผู้นำ วูฮุ้ยยังกรีดร้องอยู่ในห้องโถงและขอให้เราส่งมอบคนร้ายที่สังหารบุตรชายของเขา ผู้อาวุโสคนอื่นๆเฝ้าระวังอยู่ที่นั่น ท่านผู้นำโปรดอย่ากังวล”


 


เซียวซานตะคอกเสียงเย็น “บุตรชายของวูฮุ้ยพยายามฆ่าเซียวซุ้ยเอ๋อ บุตรสาวของข้าเพียงป้องกันตัวเท่านั้น! วูฮุ้ยผู้นี้กระทั่งใช้ชือของตระกูลวูมาสร้างปัญหาที่นี่ คิดว่าเป็นผู้ใด!?”


 


“ท่านผู้นำ อย่าพึ่งโกรธ วูฮุ้ยไม่ใช่ปัญหา แต่ตระกูลวูแข็งแกร่งเกินไป พวกเราไม่สามารถต่อต้าน” เซียวจื่อฟงเร่งกล่าว


 


หมัดที่กำแน่นของเซียวซานคลายออก เขาถอนหายใจและเผยใบหน้าเหนื่อยล้า


 


เขาโบกมือ “ลืมมันไปเถอะ ข้าจะซ่อนตัวอยู่หลังเขาในช่วงเวลานี้”


 


เซียวจื่อฟงกล่าวลาและจากไป


 


เซียวซานถอนหายใจอีกครั้งด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความโกรธและโศกเศร้า


 


แต่ในจังหวะนี้เสียงสายหนึ่งพลันดังขึ้นในใจของเขา


 


“ลูกหลานข้า มานี่”


 


“ผู้ใด!?” เซียวซานไม่แน่ใจ


 


เสียงนี้ดังขึ้นอีกครั้ง “ลูกหลานข้า มานี่”


 


มันเป็นเสียงที่เซียวซานรู้สึกคุ้นเคย ดังนั้นเขาจึงเดินไปตามทิศทางที่เสียงสายหนึ่งชี้นำกระทั่งไปถึงเขตหวงห้ามของตระกูลเซียว


 


“นี่คือเขตหวงห้ามของตระกูลเซียว แม้ข้าจะเป็นผู้นำตระกูล ข้าก็ไม่มีสิทธิเข้าไป!” เซียวซานหยุดเคลื่อนไหวและรู้สึกหนักใจ


 


เสียงดังขึ้นอีกครั้ง “ลูกหลานข้า เจ้าสืบทอดสายเลือดของข้า เหตุใดต้องกลัว? ข้าคือบรรพชนตระกูลเซียวและเป็นผู้อมตะของตระกูล รีบเข้ามารับสืบทอดมรดกของข้า ตระกูลของเราเป็นสิ่งที่เจ้าต้องแบกรับ”


 


ดวงตาของเซียวซานส่องประกายขึ้นทันที


 


ผู้อมตะ!


 


บรรพชนตระกูลเซียว!


 


‘ข่าวลือเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ? ตระกูลเซียวของข้าเคยมีผู้อมตะมาก่อน เสียงนี้คุ้นหูข้ามาก ข้าเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้าขั้นสุดยอด นอกจากผู้อมตะ บนโลกใบนี้ยังจะมีผู้ใดที่สามารถถ่ายทอดเสียงเข้ามาในใจของข้าได้โดยตรง!’


 


‘แต่นี่เป็นเขตหวงห้ามของตระกูล ผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปจะถูกขับไล่ออกจากตระกูล แม้แต่ผู้นำตระกูลเช่นข้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!’ เซียวซานกำหมัดแน่น


 


‘ไม่ ข้าต้องรับมรดกจากท่านบรรพชน มิฉะนั้นวูฮุ้ยจะทำให้ตระกูลเซียวสูญเสียใบหน้า หากตระกูลวูสนับสนุนเขา แล้วข้าจะปกป้องตระกูลเซียวได้อย่างไร? ตระกูลวูแข็งแกร่งและเอาแต่ใจเพราะมีผู้อมตะอยู่เบื้องหลัง หากข้าสามารถรับสืบทอดมรดกและกลายเป็นผู้อมตะ ข้าจะสามารถยกระดับตระกูลและเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง!’


 


ดวงตาของเซียวซานส่องประกายด้วยความมุ่งมั่นเมื่อคิดได้เช่นนี้


 


เขาไม่ลังเลอีกต่อไป


 


ภายใต้การนำทางของเสียงสายนี้ เซียวซานเดินเข้าไปในถ้ำและพบกับวิญญาณอมตะดวงหนึ่ง


 


ก่อนที่เขาจะสามารถตอบสนอง วิญญาณอมตะดวงนี้กลับเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าหลอมรวมกับร่างกายของเซียวซานอย่างรวดเร็ว


 


‘นี่คือวิญญาณอมตะงั้นหรือ?’ เซียวซานรู้สึกประหลาดใจและมีความสุขในเวลาเดียวกัน


 


แต่เมื่อเขาตรวจสอบร่างกายของตนกลับไม่พบวิญญาณอมตะอยู่ที่ใดเลย


 


ขณะเดียวกันเสียงในใจของเขาก็กายไปอย่างสมบูรณ์


 


เซียวซานรู้สึกกังวลและสงสัยขณะเดินออกจากถ้ำ


 


“พี่ใหญ่ ตอนนี้ผู้อาวุโสตระกูลวูมาสร้างปัญหาที่นี่ แต่ท่านในฐานะผู้นำกลับฝ่าฝืนกฎและเข้าไปในเขตหวงห้ามของตระกูล! ท่านไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำของเรา!” เซียวเมิ้งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับผู้อาวุโสของตระกูลจำนวนหนึ่ง


 


เซียวซานตระหนักถึงสถานการณ์ที่เลวร้าย


 


เขารู้ว่าน้องชายฝาแฝดของตนมีความทะเยอทะยานและต้องการเป็นผู้นำตระกูลมาตลอด


 


“มันไม่ใช่เช่นที่เจ้าคิด!” เซียวซานต้องการอธิบายแต่เขาไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน


 


เขาไม่เต็มใจที่จะกล่าวถึงมรดกอมตะเพราะเกรงว่าบางคนจะพยายามนำมันไปจากเขา


 


“คำอธิบายของท่านเป็นเพียงข้ออ้าง! ตามกฎของตระกูล ท่านไม่ใช่สมาชิกตระกูลเซียวอีกต่อไป ตำแหน่งผู้นำจะเป็นของข้า!” เซียวเมิ้งคำรามเสียงดังด้วยความโกรธ ตื่นเต้น และความทะเยอทะยานในดวงตา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)