เทพปีศาจหวนคืน 960-962
ตอนที่ 960
การตื่นขึ้นของโป้ชิง
แปลโดย iPAT
ในเวลานี้มีผู้อมตะอย่างน้อยสามสิบคนอยู่ที่น้ำตกสวรรค์
กลุ่มผู้อมตะมองไปยังดวงแสงที่ห่อหุ้มร่างของโป้ชิงด้วยดวงตาที่ร้อนแรงแต่ยังระมังคู่แข่งที่อยู่รอบๆ
แน่นอนว่าผู้อมตะจากนิกายโบราณทั้งสิบแข็งแกร่งที่สุด
แต่ท่ามกลางผู้คนจากนิกายโบราณ เทพธิดาไป่ชิงเป็นคนที่ถูกคุกคามมากที่สุด
เห็นการคุมเชิงกันของผู้คน ฉีหยวนเทียนกล่าวอย่างช้าๆ “เทพธิดาไป่ชิง สถานการณ์นี้ชัดเจนมาก โป้ชิงกลายเป็นผีดิบอมตะแต่ดวงวิญญาณของเขาถูกทำลายไปแล้วในภัยพิบัติ อย่างไรก็ตามยังมีเจตจำนงที่เขาทิ้งไว้ เขายังสามารถป้องกันตัว”
“ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เราเข้าไปใกล้ ดาบแสงจะถูกยิงออกมาทันที ตอนนี้เราต้องการบางสิ่งที่มีกลิ่นอายของโป้ชิงหรือวิญญาณที่เขาเคยปรับแต่งในอดีต นอกจากนี้เรายังสามารถใช้เจตจำนงที่เขาทิ้งไว้ ตราบเท่าที่เราสามารถจัดการสถานการณ์นี้ เราจะสามารถเข้าใกล้โป้ชิง”
เทพธิดาไป่ชิงเผยรอยยิ้มขมขื่น “เหตุใดจึงคิดว่าข้ามีสิ่งเหล่านี้? หากข้ามี ข้าคงใช้ไปนานแล้ว”
นางไม่มีจริงๆ
หลังจากทั้งหมดนางไม่คาดคิดว่าจะพบกับร่างผีดิบอมตะของโป้ชิง
ฉีหยวนเทียนเผยรอยยิ้มบาง “เหตุใดเทพธิดาไป่ชิงจึงต้องโกรธ? ท่านมาถึงที่นี่เป็นคนแรก เหตุใดท่านจึงลอบมาที่นี่คนเดียวอย่างเงียบๆ? ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องบังเอิญงั้นหรือ?”
เทพธิดาไป่ชิงเผยรอยยิ้มขมขื่นอีกครั้ง “ข้าไม่ได้มาที่นี่อย่างลับๆ ข้าใช้ค่ายกลวิญญาณขนส่งของนิกายท่าเรือหมื่นมังกรและมาที่นี่อย่างเปิดเผย ท่านคิดว่าข้าลอบมาที่นี่คนเดียวงั้นหรือ?”
นางมาที่นี่เพื่อตรวจสอบน้ำตกสวรรค์จากเบาะแสสุดท้ายที่ฟงจิวเก้อทิ้งไว้
แต่นางไม่สามารถเปิดเผยเรื่องนี้
นิกายคฤหาสน์วิญญาณต้องเก็บความลับเรื่องการเสียชีวิตของฟงจิวเก้อเอาไว้ให้นานที่สุดเพื่อที่พวกเขาจะได้มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น
จินลี่หยางขมวดคิ้วลึก “เหตุใดเทพธิดาไป่ชิงจึงต้องปิดบังมันจากพวกเรา? สิ่งนี้จะดึงดูดผู้อมตะให้มาที่นี่มากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไปและอาจเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้น นิกายโบราณทั้งสิบต้องร่วมมือกัน มิฉะนั้นผู้บ่มเพาะสันโดษบางคนอาจฉกชิงมรดกที่แท้จริงของโป้ชิงไปและทำให้ภาคกลางตกลงสู่ความปั่นป่วน นิกายคฤหาสน์วิญญาณจะเพิกเฉยต่อวิกฤตของภาคกลางเพียงเพราะความโลภของเจ้างั้นหรือ!?”
ฉีหยวนเทียนกระตุ้นต่อ “พวกเรานิกายโบราณทั้งสิบมีต้นกำเนิดเดียวกัน เราควรร่วมมือกันและยึดครองร่างของโป้ชิง ข้าสามารถเป็นตัวแทนของนิกายเมฆาวายุและสัญญาว่าเราจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน”
เทพธิดาไป่ชิงเงียบแต่ลอบหัวเราะอยู่ภายใน
นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจินลี่หยางและฉีหยวนเทียนร่วมมือกันเพื่อบีบบังคับนาง แต่นางยังรู้สึกกังวลเล็กน้อย
สิ่งที่เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ขณะที่นิกายคฤหาสน์วิญญาณไม่ได้ส่งกำลังเสริมมา
แม้นางจะเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แต่เผชิญหน้ากับผู้คนเหล่านี้ นางยังไม่สามารถทำสิ่งใดได้มากนัก
ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร นิกายคฤหาสน์วิญญาณก็ต้องนำร่างของโป้ชิงและวิญญาณอมตะของเขากลับคืน
อีกเก้านิกายรู้เรื่องนี้
ในความคิดของผู้อมตะคนอื่นๆ ฟงจิวเก้อน่าจะตายไปแล้ว เมื่อนิกายคฤหาสน์วิญญาณอ่อนแอลง พวกเขาย่อมไม่ยินดีปล่อยผีดิบอมตะโป้ชิงไป
หากนิกายคฤหาสน์วิญญาณได้รับร่างผีดิบอมตะของโป้ชิงและสามารถหล่อเลี้ยงบุคคลเช่นฟงจิวเก้อขึ้นมาอีกคน นิกายอื่นจะทำเช่นไร
สถานการณ์ที่น้ำตกสวรรค์อันตรายและตึงเครียดมาก
ดาบแสงของโป้ชิงดึงดูดผู้อมตะจากทุกทิศทาง คนเหล่านี้ต้องการเห็นความขัดแย้งระหว่างนิกายใหญ่เพื่อฉกฉวยผลประโยชน์
สำหรับนิกายโบราณทั้งสิบ พวกเขาต้องการรักษาเสถียรภาพและไม่ให้คนนอกได้รับประโยชน์
แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ไม่สามารถสร้างความร่วมมือได้อย่างแท้จริง ดังนั้นเก้านิกายจึงร่วมมือกันกดดันเทพธิดาไป่ชิงจากนิกายคฤหาสน์วิญญาณ
พวกเขาคิดว่าเทพธิดาไป่ชิงมีวิธีการบางอย่างขณะที่นางไม่สามารถอธิบายความโปร่งใสของตนเอง
เป็นเพียงเวลานี้ที่กลิ่นอายของผู้อมตะระดับแปดปะทุขึ้น
“ผู้อมตะทั้งหมดถอยออกไป พวกเราวังสวรรค์จะจัดการเรื่องนี้เอง”
ทุกคนอ้าปากค้างและมองไปยังผู้อมตะหญิงที่กำลังลอยลงมา
นางก็คือผู้อมตะระดับแปดบนเส้นทางแห่งวารี เพ่ยกังซุ้ย
สถานการณ์เปลี่ยนทันที
…..
ภาคกลาง วังสวรรค์
หอคอยดวงตาสวรรค์ก่อตัวขึ้นอีกครั้งต่อหน้าผู้อมตะสามคน
เจ้าวัง ไป่เฉินเทียน และเหลียนจิวเฉิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ตั้งแต่หอคอยดวงตาสวรรค์ถูกโจมตี คนทั้งสามทำงานอย่างหนักโดยไม่ได้หยุดพักผ่อน
สุดท้ายพวกเขาก็ประสบความสำเร็จในการซ่อมแซม
มีบางสิ่งที่ต้องกล่าวถึง นั่นก็คือหอคอยดวงตาสวรรค์เป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับเก้า!
แต่มันยังถูกตัดขาดโดยดาบแสง!
โชคดีที่ผู้อมตะทั้งสามเข้าควบคุมมันอย่างรวดเร็ว ดังนั้นความเสียหายจึงไม่มากนัก
หลังจากชั่วครู่เจ้าวังจึงพยุงร่างของตนเองด้วยไม้เท้าและเดินไปยังหอคอยดวงตาสวรรค์พร้อมกับวิญญาณโชคชะตาที่อยู่ในมือ
เหลียนจิวเฉิงถาม “ท่านเจ้าวัง เหตุใดจึงไม่พักผ่อนก่อน? ใยต้องรีบร้อนใช้งานหอคอยดวงตาสวรรค์?”
“ขอบคุณสำหรับความห่วงใยแต่ข้าไม่เป็นไร” เจ้าวังปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม
ตั้งแต่ดาบแสงโจมตีหอคอยดวงตาสวรรค์ เจ้าวังรู้สึกสังหรณ์ร้าย
เมื่อเวลาผ่านไปสังหรณ์ร้ายนี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
แม้หอคอยดวงตาสวรรค์จะถูกซ่อมแซมแล้วแต่สังหรณ์ร้ายของเขาก็ยังไม่หายไป
“ไป!” วิญญาณโชคชะตาส่องประกายก่อนจะบินขึ้นไปที่ชั้นบนสุดของหอคอยดวงตาสวรรค์
เจ้าวังเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ
ทุกย่างก้าวของเขา เขาต้องจ่ายด้วยพลังงานอมตะระดับแปด
กำแพงหอคอยแสดงภาพที่พล่ามัวเพราะวิญญาณโชคชะตาใช้พลังอำนาจได้เพียงครึ่งเดียว
หลังจากเดินไปถึงขั้นที่หกสิบ ภาพบนกำแพงพลันกระจ่างชัดขึ้น
ฉากเหตุการณ์บนยอดเขาไร้นามทางภาคใต้แสดงขึ้นต่อหน้าเจ้าวัง
ภาพการต่อสู้ระหว่างราชันเทพยุทธ์สวรรค์กับผู้อมตะระดับเจ็ดปรากฏขึ้นในมุมมองสายตาของเขา
“ผีดิบอมตะระดับแปดราชันเทพยุทธ์สวรรค์…คฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหล…และนี่…”
รอยสักรูปดอกบัวสีแดงบนหน้าผากของผู้อมตะระดับเจ็ดโดดเด่นมาก
“มรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง!”
ดวงตาของเจ้าวังส่องประกายขึ้น
ความเสียหายที่เทพปีศาจบัวแดงกระทำต่อวิญญาณโชคชะตาทิ้งความเจ็บปวดไว้ในหัวใจของผู้อมตะวังสวรรรค์มานานนับล้านปี ด้วยเหตุนี้เจ้าวังจึงต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือมรดกของเทพปีศาจบัวแดงต้องถูกทำลาย!
“ความแข็งแกร่งของผีดิบอมตะราชันเทพยุทธ์สวรรค์ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล…แต่สนามรบแห่งความโกลาหลต้องเป็นของวังสวรรค์! แม้จะมีกำแพงภูมิภาคกีดขวางแต่วังสวรรค์ก็ต้องทุ่มเทความพยายามทั้งหมด!”
เพียงคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหลอย่างเดียว มันก็คุ้มค่าแล้วที่วังสวรรค์จะเคลื่อนไหว
“ปราศจากการปกปิดภาพมายาเหล่านี้ ภาคใต้จะตกลงสู่ความวุ่นวาย ผู้อมตะจำนวนมากจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงมัน หากวังสวรรค์ต้องการเข้าสู่การแข่งขัน เราต้องเลือกคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับภารกิจนี้”
เจ้าวังครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่ายศีรษะปัดเป่าความคิดและเดินขึ้นบันไดต่อไป
หกสิบขั้น เจ็ดสิบขั้น แปดสิบขั้น…
เมื่อเขาไปถึงขั้นที่แปดสิบสาม ภาพบนกำแพงจึงปรากฏฉากเหตุการณ์สำคัญของภาคกลาง
ที่น้ำตกสวรรค์ ผู้อมตะระดับแปดเพ่ยกังซุ้ยกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด
นางขยับนิ้วและวางค่ายกลวิญญาณเพื่อปิดผนึกสถานที่แห่งนี้
แต่ในจังหวะที่แสงดาวพุ่งไปยังร่างผีดิบอมตะของโป้ชิง เขากลับเปิดเปลือกตาขึ้น!
ทันใดนั้นดาบแสงจำนวนนับไม่ถ้วนก็ระเบิดออกมาและอาบย้อนพื้นที่ทั้งหมดให้เป็นสีขาว
กระทั่งเจ้าวังยังต้องปิดเปลือกตาลง
ในเวลาต่อมาเมื่อเขาเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง
สิ่งที่เขาเห็นคือฉากนองเลือด
ซากศพของผู้อมตะกระจัดกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ศีรษะของผู้อมตะระดับแปดจากวังสวรรค์เพ่ยกังซุ้ยกลิ้งอยู่บนพื้น
ดวงตาของนางเบิกกว้าง
นางเสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ!
“นี่เป็นไปได้อย่างไร?” เจ้าวังรู้สึกเจ็บปวด
ทันใดนั้นเงาร่างสามสายพุ่งลงมาจากท้องฟ้าและลอยอยู่เหนือทะเลสาบด้านล่างน้ำตกสวรรค์
ผีดิบอมตะเทพเจ็ดดารายืนอยู่ด้านหน้า ตามมาด้วยซ่งซื่อซิงและหยูมู่ฉาน!
“สีคราม เจ้าตื่นขึ้นในที่สุด” ผีดิบอมตะเทพเจ็ดดาราหัวเราะเสียงดัง ร่างของเขาปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้อมตะระดับแปดที่ทรงพลังออกมาอย่างชัดเจน
เขาเดินเข้าไปหาโป้ชิง
ดวงตาของผีดิบอมตะโป้ชิงส่องประกายขึ้นพร้อมกับดาบแสงที่พุ่งออกมา
ผีดิบอมตะเทพเจ็ดดาราตกใจเพราะไม่คิดว่าผีดิบอมตะโป้ชิงจะโจมตี
กระทั่งร่างผีดิบอมตะของเขาก็กลายเป็นไร้ประโยชน์ต่อหน้าดาบแสงและถูกตัดขาดเป็นสองท่อนในเสี้ยวพริบตา
ความตายอย่างน่าเวทนาของผีดิบอมตะเทพเจ็ดดาราทำให้ซ่งซื่อซิงกับหยูมู่ฉานตกตะลึง
“เกิดสิ่งใดขึ้น สีครามสังหารสีน้ำเงิน!?”
“ไม่ เขาไม่ใช่สีคราม จิตใจของเขาถูกแทรกแซงด้วยเจตจำนงสวรรค์ มีคนอื่นอาศัยอยู่ในร่างเขา!”
ขณะที่คนทั้งสองกำลังตกใจ โป้ชิงหันหน้ามาทางพวกเขา
ร่างกายของซ่งซื่อซิงและหยูมู่ฉานสั่นสะท้านขึ้นด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง
พวกเขาไม่เห็นเจตนาฆ่าฟันในดวงตาของโป้ชิง
สิ่งที่พวกเขาเห็นมีเพียงความว่างเปล่าและเจตจำนงสวรรค์
ทั้งสองต่างเป็นผู้หลบหนีจากโชคชะตาที่สวรรค์ต้องการกำจัด
เผชิญหน้ากับสิ่งนี้ ซ่งซื่อซิงและหยูมู่ฉานที่มีชื่อเสียงโด่งดังกลับไม่สามารถเคลื่อนไหวและทำได้เพียงรอคอยความตายเท่านั้น
ตอนที่ 961
เรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
แปลโดย iPAT
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าประสบความสำเร็จในที่สุด!”
ฟางหยวนเดินออกมาจากถ้ำใต้พิภพด้วยความสุข
ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาใช้ความพยายามอย่างมากในการแก้ไขท่าไม้ตายอมตะ สุดท้ายเขาก็ประสบความสำเร็จ
ท่าไม้ตายอมตะนี้ใช้วิญญาณอมตะกินความแข็งแกร่ง วิญญาณอมตะยกภูเขา และวิญญาณอมตะดึงแม่น้ำเป็นแกนกลางโดยมีวิญญาณระดับมนุษย์อีกนับแสนดวง
ในการกระตุ้นใช้งาน ฟางหยวนต้องตั้งสมาธิและใช้เวลาถึงสองชั่วโมง
หลังจากสามวันสามคืน เขาจะสามารถสับเปลี่ยนร่างกายระหว่างร่างผีดิบอมตะกับร่างมนุษย์ที่มีชีวิต
แม้มันจะไม่สะดวกเหมือนท่าไม้ตายอมตะเพลิงนิพพานแต่ฟางหยวนก็พอใจมากแล้ว
ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณแสงแห่งปัญญาและท่าไม้ตายอมตะเพลิงนิพพานที่ทำให้เขาสามารถลอกเลือนแบบและสร้างท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่ง
แน่นอนว่าหากปราศจากความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญาระดับปรมาจารย์ เขาอาจไม่ประสบความสำเร็จ
‘ต่อไป ข้าจะใช้ซากศพผีดิบอมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่งเพื่อสร้างมิติช่องว่างแห่งชีวิตและความตายระดับสูง’ ฟางหยวนคิดและถอนหายใจ
หลังจากค้นหาวิธีฟื้นฟูร่างกายมาอย่างยาวนาน เขาก็มาถึงจุดนี้ในที่สุด
สำหรับหุบเขาเหล่าโป ไท่เป่ยหยุนเฉิงซ่อมแซมมันเรียบร้อยแล้ว
ฟางหยวนทดลองเข้าไปฝึกฝนในหุบเขาเหล่าโปมาแล้วและพบว่ามันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการบ่มเพาะจิตวิญญาณเช่นเดียวกับภูเขาตงฮัน
การจับคู่ระหว่างภูเขาตงฮันกับหุบเขาเหล่าโปทำให้การบ่มเพาะจิตวิญญาณของฟางหยวนพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาคือการฟื้นคืนสู่ชีวิต การบ่มเพาะจิตวิญญาณยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน
อย่างไรก็ตามในจังหวะที่เขากำลังจะเริ่มดำเนินการ เขากลับได้รับจดหมายจากนางมารผลาญสวรรค์
เนื้อหาในจดหมายทำให้แผนการฟื้นฟูร่างกายของฟางหยวนหยุดชะงัก
“ผีดิบอมตะสุดยอดกายาเทพยุทธ์ที่แท้จริงระดับแปด!?” หัวใจของฟางหยวนแทบกระโดดออกมาจากหน้าอก
มันเป็นข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาไร้นามที่ภาคใต้
ตอนนี้เรื่องของคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหลได้แพร่กระจายไปทั่วภาคใต้แล้ว
แน่นอนว่าภาคใต้มีกองกำลังพันธมิตรผีดิบอยู่เช่นกัน
ในฐานะผู้นำกองกำลังพันธมิตรผีดิบของภาคเหนือ เป็นธรรมดาที่นางมารผลาญสวรรค์จะได้รับข้อมูลนี้อย่างรวดเร็ว
“นางมารผลาญสวรรค์ช่างมีความทะเยอทะยานสูงนัก นางรู้ว่าข้ามีวิญญาณท่องแดนอมตะ ดังนั้นนางจึงติดตามข่าวสารต่างๆของทั้งห้าภูมิภาคอยู่เสมอ ในฐานะผู้นำกองกำลังพันธมิตรผีดิบของภาคเหนือ ความสามารถในการรวบรวมข่าวสารของนางจึงเหนือกว่าเทพธิดาหลี่ซาน”
ฟางหยวนรู้สึกถึงความอ่อนด้อยในเรื่องของการรวบรวมข่าวสารอีกครั้ง
ในชีวิตก่อนหน้าเขามีเครือข่าวกว้างขวางและด้วยวิญญาณบนเส้นทางแห่งเลือด เขาจึงสามารถรวบรวมข้อมูลได้ค่อนข้างดี
แต่ในชีวิตนี้ ฟางหยวนพึ่งพาเพียงความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าเท่านั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ที่เขาได้รับมาจากเทพธิดาหลี่ซานกับจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา
เมื่อเกิดเรื่องที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วยไม่ได้ที่ฟางหยวนจะรู้สึกว่าความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าของเขาเริ่มไม่น่าเชื่อถือ
ความจริงของประวัติศาสตร์ถูกซ่อนเอาไว้ลึกเกินกว่าความตระหนักรู้ของฟางหยวน ความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าของเขาเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น
กระทั่งเรื่องที่เขาเคยประสบด้วยตนเอง มันก็อาจไม่ง่ายเช่นที่เขาคิด
สาเหตุของเหตุการณ์มากมายมีความซับซ้อนกว่านั้น
‘ในชีวิตก่อนหน้า ข้ามีช่วงเวลาที่ยากลำบาก ข้าค่อยๆไต่ขึ้นจากจุดต่ำสุด เครือข่ายและทรัพยากรของข้าถูกสะสมอย่างช้าๆ ข้ามีจุดอ่อนมากมาย หลังจากเกิดใหม่ ข้าได้รับโอกาสและก้าวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว แต่ในหลายแง่มุม ข้ายังตามไม่ทัน’
‘ดูเหมือนข้าต้องหาทางรวบรวมข้อมูลให้มากขึ้น ข้าสามารถพึ่งพานางมารผลาญสวรรค์ แต่ในระยะยาว ข้าต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น!’
ฟางหยวนครุ่นคิด
การขาดข้อมูลหมายถึงการสูญเสียโอกาส
เช่นเดียวกับตอนนี้ ฟางหยวนไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นและเกือบพลาดโอกาสครั้งสำคัญ
สามวันต่อมา ฟางหยวนเดินทางไปยังภาคใต้ใกล้กับภูเขาไร้นามโดยลำพัง
นางมารผลาญสวรรค์ยังอยู่ในเมืองคลื่นทมิฬ นางบอกฟางหยวนว่านางกำลังยุ่งกับการหลอมรวมวิญญาณอมตะและสร้างค่ายกลวิญญาณ นางไม่สามารถออกมาในเวลานี้ แต่หากจำเป็น นางก็จะเคลื่อนไหวทันที
สำหรับไห่ลั่วหลันกับเทพธิดาหลี่ซาน พวกนางยังอยู่ที่หุบเขาเหล่าโปเพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณ พวกนางสนใจสนามรบแห่งความโกลาหลเช่นกันแต่กลิ่นอายของผู้อมตะภาคเหนือจะดึงดูดผู้คนมากเกินไป
ฟางหยวนมาที่นี่เพื่อหาข้อมูลเพิ่ม
แม้เขาจะเป็นผู้อมตะภาคเหนือแต่เขามีท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คลุมเครือ ผู้อมตะทั่วไปไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขา
บนยอดเขาไร้นาม ภาพมายาฉายซ้ำอีกครั้ง
แต่ไป่หนิงปิงไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป
ฟางหยวนเฝ้ามองมันสามรอบและไตร่ตรองก่อนจะมุ่งหน้าเข้าไปหาภูเขาไร้นาม
เป็นเช่นเดียวกับสิ่งที่นางมารผลาญสวรรค์กล่าวไว้ในจดหมาย สถานที่แห่งนี้เป็นเขตต้องห้ามของผู้อมตะ ยิ่งฟางหยวนเข้าใกล้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกอ่อนแรงมากเท่านั้น เขารู้สึกว่ามิติช่องว่างของเขาถูกกดทับโดยพลังงานที่ไร้รูปลักษณ์
ฟางหยวนต้องหยุดเคลื่อนไหว มิฉะนั้นมิติช่องว่างของเขาอาจถูกทำลาย
เขาต้องถอย!
แต่ในจังหวะนี้เขากลับได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆมาจากด้านหลัง
รูม่านตาของฟางหยวนหดเล็กลงขณะที่เร่งหันหลังกลับ
เขาเห็นหญิงสาวในชุดชมพูกับเส้นผมสีแดงที่ดูเย้ายวนยืนอยู่ใกล้ๆ
ฟางหยวนระวังตัวมากขึ้น
หญิงผู้นี้เป็นผู้อมตะระดับหก
เห็นการจ้องมองของฟางหยวน นางจึงเปิดปากแนะนำตัว “ข้าชื่อหลี่เหมยฮัว ผู้คนเรียกข้าว่าท่านยายเหมยฮัว หนุ่มน้อยผู้หล่อเหลา ข้าไม่คุ้นหน้าเจ้า เจ้ามาจากที่ใดงั้นหรือ?”
ฟางหยวนเผยรอยยิ้มบางและคิด ‘นางก็คือท่านยายเหมยฮัว’
แม้ฟางหยวนจะไม่เคยพบท่านยายเหมยฮัวด้วยตนเอง แต่เขาเคยพบหลานสาวของนาง ฮูเหม่ยเอ๋อ
ความสวยงามเป็นธรรมชาติของผู้หญิง
สำหรับผู้อมตะ อายุไม่มีความสัมพันธ์กับรูปลักษณ์
ตอนนี้ฟางหยวนอยู่ในชุดคลุมเขียว เขาปลอมตัวเป็นผู้อมตะระดับหกวัยกลางคนที่มีดวงตาสีเขียวหยกที่น่าขนลุก อาจดูแปลกตาแต่เขาก็ดูดีมาก
“ท่านยายเหมยฮัว ข้าได้ยินเรื่องราวของท่านมานานแล้ว ข้าคือเจิ้งอิง ข้าเป็นเพียงคนจรเท่านั้น” ฟางหยวนตอบ
“เจิ้งอิง…” หลี่เหมยฮัวพยายามทบทวนความทรงจำแต่นางจำไม่ได้ว่ามีคนผู้นี้อยู่ในภาคใต้
อย่างไรก็ตามนางไม่แปลกใจ
เมื่อได้ยินการแนะนำตัวของฟางหยวน นางคิดว่าเขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ
ภาคใต้มีภูเขาอยู่นับไม่ถ้วน มีผู้บ่มเพาะสันโดษมากมายที่ไม่เคยแสดงตัวและไม่มีผู้ใดรู้จักพวกเขา
แต่เนื่องจากคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหล มันจึงดึงดูดผู้อมตะมากมายเข้ามา
ฟางหยวนในนามเจิ้งอิงก็เป็นหนึ่งในนั้น
หลายวันมานี้หลี่เหมยฮัวได้พบกับผู้อมตะหลายคนที่คล้ายกับฟางหยวน
ด้านฟางหยวน เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับการต้อนรับที่อบอุ่นของหลี่เหมยฮัว
ฟางหยวนกำลังจะถามแต่หลี่เหมยฮัวชิงตอบตัดหน้า
ฟางหยวนเข้าใจทันที
หลี่เหมยฮัวเชิญฟางหยวนให้ติดตามไป ฟางหยวนตกลงและเดินทางไปยังภูเขาหัวขาดที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งพันลี้พร้อมกันกับนาง
เขาเห็นปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษหลายคนรออยู่ที่นี่ ทุกคนต่างแสดงออกด้วยสีหน้าเย็นชาและไร้ปรานี
ไม่มีผู้ใดรู้จักฟางหยวน ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดพูดคุยกับเขา
แต่หลี่เหมยฮัวกลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เมื่อนางมาถึง หลายคนเร่งเผยรอยยิ้มทักทาย “หลี่เหมยฮัว เจ้านำมาอีกคนแล้ว?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ครั้งนี้พวกเราปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษมารวมตัวกันเพื่อต่อรองกับฝ่ายธรรมะ ท่านยายเหมยฮัวทำได้ยอดเยี่ยมนัก”
“ท่านยกย่องข้าเกินไปแล้ว ข้าเพียงทำอย่างเต็มที่เท่านั้น” หลี่เหมยฮัวทักทายกลับด้วยรอยยิ้ม
“ให้ข้าแนะนำพวกท่าน นี่คือน้องเจิ้งอิง เขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ” หลังจากทักทายทุกคน หลี่เหมยฮัวจึงเริ่มแนะนำฟางหยวน
“ดังนั้นก็คือน้องเจิ้ง” ปีศาจอมตะผู้หนึ่งป้องหมัดขึ้น
“ข้าคือจงอี้ซื่อ”
“ดูเหมือนท่านจะบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง โอ้ ชื่อของข้าคือ หลานเทียนหง ข้าเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษเช่นกัน”
…..
ฟางหยวนแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาไร้ทักษะในการเข้าสังคมและไม่มีปฏิสัมพันธ์กันผู้ใดมากนัก
หลังจากทักทายกันเล็กน้อย ภูเขาหัวขาดก็กลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง
สำหรับหลี่เหมยฮัว นางไม่ได้อยู่ที่นี่นานนัก นางต้องกลับไปที่ภูเขาไร้นามเพื่อรอผู้บ่มเพาะสันโดษคนอื่นๆ
ก่อนจากไป นางชี้นิ้วไปที่ภูเขาลูกหนึ่งและกล่าวกับฟางหยวน “ภูเขาต้นสนเป็นค่ายพักแรมของฝ่ายธรรมะ”
แม้นางจะไม่แนะนำแต่กลิ่นอายที่รุนแรงของผู้อมตะก็แผ่พุ่งออกมาจากที่นั่น แน่นอนว่าฟางหยวนรู้อยู่แล้ว
หลังจากแยกทางกับหลี่เหมยฮัว ฟางหยวนพักอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งโดยไม่ได้ออกมา
เขาอยู่ที่นี่เป็นเวลาสิบวัน ในช่วงเวลานี้ภูเขาหัวขาดและภูเขาต้นสนมีผู้อมตะทั้งฝ่ายปีศาจและธรรมะมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้อมตะระดับหก เมื่อใดที่ผู้อมตะระดับเจ็ดปรากฏตัว ความโกลาหลจะปะทุขึ้น สุดท้ายกระทั่งผู้อมตะระดับแปดยังมารวมตัวกันถึงสี่คน
ท่ามกลางผู้อมตะระดับแปดทั้งสี่มีปีศาจอมตะหนึ่งคน ผู้บ่มเพาะสันโดษหนึ่งคน และผู้อมตะฝ่ายธรรมะอีกสองคน
นี่ทำให้เกิดสมดุลระหว่างสองฝ่าย
หลังจากเจรจาเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ทั้งสองจึงบรรลุข้อตกลงในที่สุด
พวกเขาจะเข้าสู่การแข่งขันครั้งใหญ่ที่สุดในรอบพันปี!
ผู้ชนะจะได้ครอบครองภูเขาไร้นามขณะที่คนอื่นๆจะไม่โจมตีผู้ชนะเป็นเวลาสามปีต่อจากนี้
ตอนที่ 962
เซียวซานและเซียวเมิ้ง
แปลโดย iPAT
น้ำตกสวรรค์
ผีดิบอมตะโป้ชิงกวาดตามองซ่งซื่อซิงกับหยูมู่ฉานอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึก
หัวใจของคนทั้งสองแทบกระโดดออกมาจากหน้าอก แรงกดดันอันหนักหน่วงทำให้ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยเหงื่ออันเย็นเยียบ
โป้ชิงได้รับการยกย่องว่าเป็นกึ่งเทพอมตะ เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของห้าภูมิภาคในยุคนั้น
แม้เขาจะกลายเป็นผีดิบอมตะแต่เขาก็ยังมีพลังงานอมตะระดับแปดอยู่กับตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งดาบที่ไม่ได้ถูกทำลายไปในภัยพิบัติ
ดังนั้นพลังการต่อสู้ของเขาจึงอยู่ในจุดที่น่าสะพรึงกลัว
สิ่งสำคัญที่สุดคือพลังงานแห่งเต๋า
ยิ่งการบ่มเพาะของผู้อมตะสูงเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋ามากเท่านั้น แม้คนสองคนจะใช้วิญญาณอมตะดวงเดียวกัน แต่พลังอำนาจที่สามารถปลดปล่อยจะขึ้นอยู่กับพลังงานแห่งเต๋าของผู้ใช้งาน
หากเปรียบเทียบกับฉินไป่เฉิง เขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณและโลหะ เขาไม่มีพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งดาบ แต่เมื่อเขาใช้ท่าไม้ตายอมตะดาบห้าดัชนี เขายังสามารถต่อสู้ได้เท่าเทียมกับฟงจิวเก้อ
ตอนนี้วิญญาณอมตะของโป้ชิงไม่ได้รับความเสียหายขณะที่เขาเต็มไปด้วยพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งดาบ ดังนั้นเขาจึงสามารถปลดปล่อยพลังอำนาจที่สามารถสั่นสะเทือนโลกหล้า อย่างไรก็ตามนี่ยังไม่เท่ากับช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่
ด้วยเหตุนี้ผีดิบอมตะเทพเจ็ดดารา ซ่งซื่อซิง และหยูมู่ฉานจึงไม่มีโอกาสต่อต้าน
โดยไม่ต้องกล่าวถึงซ่งซื่อซิงและหยูมู่ฉาน
มีความแตกต่างราวกับสวรรค์และพื้นพิภพระหว่างผู้อมตะระดับเจ็ดบนจุดสูงสุดกับผู้อมตะระดับแปด ยิ่งระดับการบ่มเพาะสูงเท่าใด พลังงานแห่งเต๋าของพวกเขาก็ยิ่งแตกต่าง สำหรับผู้อมตะระดับหกและเจ็ด อาจมีบางคนที่ทัดเทียมกัน แต่เมื่อบรรลุระดับแปด เป็นเรื่องยากที่ผู้อมตะระดับเจ็ดจะสามารถต่อต้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อมตะระดับเก้า ผู้คนที่ต่ำชั้นกว่าทั้งหมดไม่ต่างจากมดปลวกสำหรับพวกเขา
เผชิญหน้ากับผีดิบอมตะโป้ชิง เป็นธรรมชาติที่ซ่งซื่อซิงและหยูมู่ฉานจะไม่สามารถตอบโต้
‘ข้าจะตายวันนี้งั้นหรือ?’
‘เราจะทำอย่างไร? เราต้องทำเช่นไร?’
ร่างกายของพวกเขาแข็งค้างขณะที่ความคิดต่างๆวนเวียนอยู่ในหัว ทั้งสองอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังอย่างสมบูรณ์
โป้ชิงชี้นิ้วไปที่ซ่งซื่อซิง
แสงดาบพุ่งออกไป
ซ่งซื่อซิงไม่แม้แต่จะพยายามหลบหนี เขาเผชิญหน้ากับความตายด้วยการเผยรอยยิ้มขมขื่น
เพราะเขารู้ว่าต่อหน้าโป้ชิง การหลบหนีเป็นเรื่องไร้ประโยชน์
ต่อมา โป้ชิงชี้นิ้วไปที่หยูมู่ฉาน
“ไม่! ข้าไม่ได้ทำสัญญา ข้าไม่ควรตาย!” หยูมู่ฉานกรีดร้องและนำวิญญาณอมตะดวงหนึ่งออกมา
โป้ชิงหยุดเคลื่อนไหวทันที
ใบหน้าของเขาเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงราวกับเขากำลังดิ้นรนขัดขืน
หัวใจของหยูมู่ฉานแทบกระโดดออกมาจากหน้าอก เขามองโป้ชิงด้วยความกังวล
การแสดงออกที่ไม่ยินดียินร้ายของโป้ชิงเปลี่ยนเป็นสับสน เจ็บปวด เกลียดชัง และโศกเศร้า มันเปลี่นแปลงวนไปเรื่อยๆราวกับสัญญาณไฟจราจร
ในที่สุดดวงตาของเขาก็ส่องประกายด้วยความฉลาดเฉลียว ใบหน้าเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
เขามองฝ่ามือของตนก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆและกล่าวกับหยูมู่ฉาน “เจ้าคือ…”
หยูมู่ฉานตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง “ในที่สุดท่านก็ตื่นขึ้น เทพธิดาโม่เหยา ข้าพนันถูกจริงๆ เกือบไปแล้ว…”
ปรากฏว่าดวงวิญญาณที่เหลืออยู่ในร่างผีดิบอมตะของโป้ชิงก็คือโม่เหยา!
หยูมู่ฉานปลุกวิญญาณของโม่เหยาให้ตื่นขึ้น ดังนั้นเจตจำนงสวรรค์จึงถูกผลักออกไป
ปราศจากการแทรกแซงของเจตจำนงสวรรค์ ผีดิบอมตะโป้ชิงจึงหยุดโจมตี
หยูมู่ฉานสูดหายใจลึกก่อนจะกล่าวต่อ “จำสิ่งที่เคยพูดคุยกันได้หรือไม่? เพื่อทำให้โป้ชิงฟื้นขึ้น…”
“โป้ชิง!”
ได้ยินชื่อของคนรัก ดวงวิญญาณของโม่เหยาถึงกับสั่นสะท้าน
นางบังคับร่างผีดิบอมตะของโป้ชิงให้พยักหน้าและกล่าวขัดจังหวะหยูมู่ฉาน “แล้วตอนนี้ข้าควรทำเช่นไร?”
หยูมู่ฉานมองศพของเทพเจ็ดดารากับซ่งซื่อซิงและถอนหายใจ
หากพวกเขายังมีชีวิตอยู่ คนทั้งสามจะใช้ท่าไม้ตายอมตะส่งกลุ่มสี่คนของเขาไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือของภาคกลาง
ที่นั่นอยู่ภายใต้การปกครองของนิกายบัวสวรรค์
แต่ตอนนี้เทพเจ็ดดาราและซ่งซื่อซิงตายไปแล้ว หยูมู่ฉานเพียงลำพังไม่สามารถเคลื่อนย้ายโป้ชิงไปยังนิกายบัวสวรรค์โดยตรง
“ข้าหวังว่าพวกเขาจะยังไม่เคลื่อนไหว” หยูมู่ฉานมองไปยังทิศทางที่หอคอยดวงตาสวรรค์ตั้งอยู่
วังสวรรค์
การแสดงออกของเจ้าวังเต็มไปด้วยความโกรธ
ตอนนี้เขาเห็นหยูมู่ฉานร่วมมือกับผีดิบอมตะโป้ชิงบุกโจมตีนิกายเทพยุทธ์อมตะ เจ้าวังไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป
แม้นิกายบัวสวรรค์จะรอดแต่นิกายเทพยุทธ์อมตะก็เป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของวังสวรรค์เช่นกัน
โป้ชิงตื่นขึ้นแล้วขณะที่นิกายเทพยุทธ์อมตะตกอยู่ในอันตราย ตอนนี้มีเพียงวังสวรรค์ที่สามารถช่วยเหลือพวกเขา
เจ้าวังบินลงมาจากหอคอยดวงตาสวรรค์และเรียกเหลียนจิวเฉิงกับไป่เฉินเทียน “เกิดเรื่องที่น้ำตกสวรรค์ เพ่ยกังซุ้ยตายแล้ว โป้ชิงตื่นขึ้นในร่างผีดิบอมตะและกำลังบุกโจมตีนิกายเทพยุทธ์อมตะ เราต้องไปที่นั่นเดี๋ยวนี้!”
ผู้อมตะทั้งสองตกใจมาก ข้อมูลนี้ยากเกินกว่าที่จะเชื่อ
“ไป!”
คนทั้งสองตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ แต่หลังจากพวกเขาได้สติ ผู้อมตะทั้งสามจึงกระตุ้นใช้ค่ายกลวิญญาณขนส่งของวังสวรรค์เพื่อเดินทางไปยังนิกายเทพยุทธ์อมตะ
…..
ภาคใต้ ภูเขาแสง
ภูเขาลูกนี้มีความสูงมากกว่าสองพันกิโลเมตร มันเป็นสถานที่ผลิตวิญญาณบนเส้นทางแห่งแสงที่มีชื่อเสียงของภาคใต้และอยู่ในการปกครองของตระกูลเดียวมาตลอดพันปีที่ผ่านมา
มันคือตระกูลเซียว
มีข่าวลือว่าตระกูลเซียวของภาคใต้กับทะเลทรายตะวันตกมีต้นกำเนิดเดียวกัน เมื่อหนึ่งพันปีก่อนตระกูลเซียวแห่งทะเลทรายตะวันตกเกิดความขัดแย้งภายใน สมาชิกบางส่วนของพวกเขาจึงเดินทางมาที่ภาคใต้ก่อนจะสามารถก่อตั้งกองกำลังขนาดใหญ่
ผู้นำคนปัจจุบัน เซียวซาน ยืนอยู่บนยอดเขาแสงและมองลงไปยังที่ตั้งตระกูลเซียวด้วยการแสดงออกที่หดหู่ใจและสายตาแห่งความเกลียดชัง
ร่างหนึ่งวิ่งขึ้นมาบนยอดเขาอย่างรวดเร็วและแสดงความเคารพ “เซียวจื่อฟงคารวะท่านผู้นำ”
“วูฮุ้ยยังสร้างปัญหาอยู่งั้นหรือ?” เซียวซานถามเสียงต่ำ
ผู้อาวุโสตระกูลเซียว เซียวจื่อฟง ก้มศีรษะลง “รายงานท่านผู้นำ วูฮุ้ยยังกรีดร้องอยู่ในห้องโถงและขอให้เราส่งมอบคนร้ายที่สังหารบุตรชายของเขา ผู้อาวุโสคนอื่นๆเฝ้าระวังอยู่ที่นั่น ท่านผู้นำโปรดอย่ากังวล”
เซียวซานตะคอกเสียงเย็น “บุตรชายของวูฮุ้ยพยายามฆ่าเซียวซุ้ยเอ๋อ บุตรสาวของข้าเพียงป้องกันตัวเท่านั้น! วูฮุ้ยผู้นี้กระทั่งใช้ชือของตระกูลวูมาสร้างปัญหาที่นี่ คิดว่าเป็นผู้ใด!?”
“ท่านผู้นำ อย่าพึ่งโกรธ วูฮุ้ยไม่ใช่ปัญหา แต่ตระกูลวูแข็งแกร่งเกินไป พวกเราไม่สามารถต่อต้าน” เซียวจื่อฟงเร่งกล่าว
หมัดที่กำแน่นของเซียวซานคลายออก เขาถอนหายใจและเผยใบหน้าเหนื่อยล้า
เขาโบกมือ “ลืมมันไปเถอะ ข้าจะซ่อนตัวอยู่หลังเขาในช่วงเวลานี้”
เซียวจื่อฟงกล่าวลาและจากไป
เซียวซานถอนหายใจอีกครั้งด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความโกรธและโศกเศร้า
แต่ในจังหวะนี้เสียงสายหนึ่งพลันดังขึ้นในใจของเขา
“ลูกหลานข้า มานี่”
“ผู้ใด!?” เซียวซานไม่แน่ใจ
เสียงนี้ดังขึ้นอีกครั้ง “ลูกหลานข้า มานี่”
มันเป็นเสียงที่เซียวซานรู้สึกคุ้นเคย ดังนั้นเขาจึงเดินไปตามทิศทางที่เสียงสายหนึ่งชี้นำกระทั่งไปถึงเขตหวงห้ามของตระกูลเซียว
“นี่คือเขตหวงห้ามของตระกูลเซียว แม้ข้าจะเป็นผู้นำตระกูล ข้าก็ไม่มีสิทธิเข้าไป!” เซียวซานหยุดเคลื่อนไหวและรู้สึกหนักใจ
เสียงดังขึ้นอีกครั้ง “ลูกหลานข้า เจ้าสืบทอดสายเลือดของข้า เหตุใดต้องกลัว? ข้าคือบรรพชนตระกูลเซียวและเป็นผู้อมตะของตระกูล รีบเข้ามารับสืบทอดมรดกของข้า ตระกูลของเราเป็นสิ่งที่เจ้าต้องแบกรับ”
ดวงตาของเซียวซานส่องประกายขึ้นทันที
ผู้อมตะ!
บรรพชนตระกูลเซียว!
‘ข่าวลือเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ? ตระกูลเซียวของข้าเคยมีผู้อมตะมาก่อน เสียงนี้คุ้นหูข้ามาก ข้าเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้าขั้นสุดยอด นอกจากผู้อมตะ บนโลกใบนี้ยังจะมีผู้ใดที่สามารถถ่ายทอดเสียงเข้ามาในใจของข้าได้โดยตรง!’
‘แต่นี่เป็นเขตหวงห้ามของตระกูล ผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปจะถูกขับไล่ออกจากตระกูล แม้แต่ผู้นำตระกูลเช่นข้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!’ เซียวซานกำหมัดแน่น
‘ไม่ ข้าต้องรับมรดกจากท่านบรรพชน มิฉะนั้นวูฮุ้ยจะทำให้ตระกูลเซียวสูญเสียใบหน้า หากตระกูลวูสนับสนุนเขา แล้วข้าจะปกป้องตระกูลเซียวได้อย่างไร? ตระกูลวูแข็งแกร่งและเอาแต่ใจเพราะมีผู้อมตะอยู่เบื้องหลัง หากข้าสามารถรับสืบทอดมรดกและกลายเป็นผู้อมตะ ข้าจะสามารถยกระดับตระกูลและเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง!’
ดวงตาของเซียวซานส่องประกายด้วยความมุ่งมั่นเมื่อคิดได้เช่นนี้
เขาไม่ลังเลอีกต่อไป
ภายใต้การนำทางของเสียงสายนี้ เซียวซานเดินเข้าไปในถ้ำและพบกับวิญญาณอมตะดวงหนึ่ง
ก่อนที่เขาจะสามารถตอบสนอง วิญญาณอมตะดวงนี้กลับเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าหลอมรวมกับร่างกายของเซียวซานอย่างรวดเร็ว
‘นี่คือวิญญาณอมตะงั้นหรือ?’ เซียวซานรู้สึกประหลาดใจและมีความสุขในเวลาเดียวกัน
แต่เมื่อเขาตรวจสอบร่างกายของตนกลับไม่พบวิญญาณอมตะอยู่ที่ใดเลย
ขณะเดียวกันเสียงในใจของเขาก็กายไปอย่างสมบูรณ์
เซียวซานรู้สึกกังวลและสงสัยขณะเดินออกจากถ้ำ
“พี่ใหญ่ ตอนนี้ผู้อาวุโสตระกูลวูมาสร้างปัญหาที่นี่ แต่ท่านในฐานะผู้นำกลับฝ่าฝืนกฎและเข้าไปในเขตหวงห้ามของตระกูล! ท่านไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำของเรา!” เซียวเมิ้งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับผู้อาวุโสของตระกูลจำนวนหนึ่ง
เซียวซานตระหนักถึงสถานการณ์ที่เลวร้าย
เขารู้ว่าน้องชายฝาแฝดของตนมีความทะเยอทะยานและต้องการเป็นผู้นำตระกูลมาตลอด
“มันไม่ใช่เช่นที่เจ้าคิด!” เซียวซานต้องการอธิบายแต่เขาไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน
เขาไม่เต็มใจที่จะกล่าวถึงมรดกอมตะเพราะเกรงว่าบางคนจะพยายามนำมันไปจากเขา
“คำอธิบายของท่านเป็นเพียงข้ออ้าง! ตามกฎของตระกูล ท่านไม่ใช่สมาชิกตระกูลเซียวอีกต่อไป ตำแหน่งผู้นำจะเป็นของข้า!” เซียวเมิ้งคำรามเสียงดังด้วยความโกรธ ตื่นเต้น และความทะเยอทะยานในดวงตา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น