พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 959-960
บทที่ 959 ทำตัวเด่นเกินหน้าเกินตา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ก่อนหน้านี้โมโหเดือดดาลเพราะร้านขายของชำซื่อตรง ตอนนี้เมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่แห่งขุมทรัพย์ อารมณ์ก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นดีใจถึงขีดสุด หุ้นของร้านขายของชำที่เสียไป ถ้าได้สมบัติจากราชันลัทธิมารกลับมาชดเชยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
ไม่มีอะไรน่าลังเล เขากอบแผ่นแผนที่โลหะไปเทียบดูตรงหน้าฉากกั้น ทำให้พูดไม่ออกอีกครั้ง
จุดซ่อนสมบัติที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่อยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง เป็นเกาะตรงกลางแม่น้ำที่ไหลแยกกันและมาบรรจบกันอีกครั้ง เมื่อดูเทียบกัน ก็พบว่าเป็นแม่น้ำที่เกิดจากน้ำตกใต้ตำหนักคุมงานของปราสาทดำเนินนภา เป็นเกาะที่อยู่ห่างออกไปสิบลี้ เพียงแต่บนเกาะที่อยู่บนฉากกั้นมีศาลาอยู่หนึ่งหลัง
เหมียวอี้มึนตึ้บ ล้อเล่นอะไรกัน สมบัติของราชันลัทธิมารอยู่ในปราสาทดำเนินนภาเหรอ? ถ้าที่นี่มีสมบัติอะไรซ่อนไว้จริงๆ จะปิดบังสายตาของปราสาทดำเนินนภาไปได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ที่ปราสาทดำเนินนภาจะไม่คุ้นเคยกับอาณาเขตของตัวเอง แม้กระทั่งใต้ดินมีหนูซ่อนอยู่กี่ตัว ก็ยังปิดบังสายตาของปราสาทดำเนินนภาไม่ได้เลย ถ้ามีสมบัติซ่อนอยู่ ก็คงจะตกอยู่ในมือของปราสาทดำเนินนภาไปแล้ว
แต่คิดไปคิดมาก็พบว่าไม่ถูก ถ้าเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินอยู่ในมือของปราสาทดำเนินนภาจริงๆ เช่นนั้นปราสาทดำเนินนภาก็ไม่จำเป็นต้องถ่อไปลำบากหาที่ดาวแมกไม้ อย่าบอกนะว่าปราสาทดำเนินนภารู้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่แกล้งปล่อยข่าวมั่วเพื่อหลอกฝ่ายตรงข้าม?
เมื่อเทียบดูกับแผนที่บนฉากกั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็พบว่าน่าจะอยู่บนเกาะแห่งนั้นจริงๆ
พอเก็บแผนที่แล้ว เหมียวอี้ก็เดินออกจากเรือนพักเดี่ยว เหลือบตามองเกาะไกลๆ ที่อยู่ตรงแม่น้ำที่ไหลมาจากน้ำตก
ในขณะนี้เอง จงหลีค่วยก็เหาะมาอีกครั้ง มายืนข้างกายเขาแล้วถามว่า “กำลังเหม่อลอยอะไร?”
“ไม่มีอะไร?” เหมียวอี้ส่ายหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
“ข้านำความประสงค์ของเจ้าไปบอกท่านอาจารย์แล้ว อาจารย์บอกว่าถ้าเจ้าจะไปเมื่อไรก็บอก จะต้องส่งเจ้ากลับไปอย่างปลอดภัยแน่นอน… พร้อมทั้งให้ข้ามาบอกเจ้าด้วย ว่าขอให้เจ้าเข้าใจถึงความลำบากใจของปราสาทดำเนินนภา” จงหลีค่วยกล่าว
เหมียวอี้พยักหน้า เขาเข้าใจถึงความลำบากใจของปราสาทดำเนินนภา ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา ก็คงไม่มีทางทุ่มเทสู้ตายอย่างซี้ซั้วเพื่อคนคนเดียวเหมือนกัน จึงโบกมือบอกว่า “ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว เกาะที่มีศาลาแห่งนั้นคือที่ไหนเหรอ?” เขาชี้ถาม
จงหลีค่วยมองแวบหนึ่ง แล้วตอบกลั้วหัวเราะว่า “เป็นที่พักของศิษย์หญิงที่ยังไม่แต่งงานน่ะ”
“ศิษย์หญิงที่ยังไม่แต่งงาน…” เหมียวอี้กระตุกมุมปากเล็กน้อย ถามหยั่งเชิงว่า “ข้าอยากจะไปดูที่นั่นสักหน่อย ไม่รู้ว่าจะสะดวกหรือเปล่า?”
“มีอะไรไม่สะดวกล่ะ ขอแค่เจ้าไม่บุกเข้าไปในห้องพวกนางซี้ซั้วก็พอ คงไม่ถึงขั้นไม่หลีกทางให้เดินหรอก ตามข้ามา!” จงหลีค่วยตบบ่าเขา แล้วเหาะนำไปทันที ที่ตอบรับอย่างไม่ลังเลแบบนี้ ก็อาจเป็นเพราะรู้สึกผิดที่ช่วยเหลือเหมียวอี้ไม่ได้ ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็นับว่าเคยช่วยชีวิตเขาไว้ที่ค่ายกลมารโลหิต
ทั้งสองต่างก็สร้างความเดือดร้อนให้กัน เท่ากับช่วยชีวิตกันและกันไว้ มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา แต่จนใจที่ไม่อาจปล่อยให้ปัจจัยเรื่องความสัมพันธ์ของจงหลีค่วยคนเดียวมาทำให้ต้องละเลยผลประโยชน์ของทั้งปราสาทดำเนินนภา ได้แต่เก็บความรู้สึกผิดไว้ในใจ!
ระยะทางสิบลี้ สำหรับทั้งสองแค่ถลันตัวทีเดียวก็ไปถึงแล้ว บนเกาะมีศาลางดงาม มีบ่อปลาและดอกไม้ เขียวชอุ่มร่มรื่น มีน้ำล้อมรอบ ราวกับแดนสวรรค์ในเทพนิยาย
เกาะนี้คือที่อยู่ของศิษย์หญิงที่วรยุทธ์ยังไม่ถึงขั้น ยังไม่สามารถพักอาศัยตามลำพังได้ ถ้าวรยุทธ์ถึงขั้นแล้ว ก็สามารถออกจากตรงนี้ไปพักที่เรือนพักเดี่ยว หรือไม่ถ้าแต่งงานก็ออกจากที่นี่ได้เช่นกัน ส่วนคนที่เหลือก็รวมกลุ่มกันอยู่ที่นี่
จงหลีค่วยควบตำแหน่งมัคคุเทศก์พาเหมียวอี้เดินเล่นอยู่บนเกาะ คอยชี้บอกและแนะนำตลอดทาง แล้วก็ชี้ไปที่เชิงเขาตรงข้ามแม่น้ำ “ด้านหลังภูเขาเป็นที่อยู่ของศิษย์ผู้ชาย สถานการณ์คล้ายๆ กับที่นี่ ลูกศิษย์ชายหญิงวัยรุ่นที่ยังไม่แต่งงานต้องแยกกันอยู่ จะได้ไม่คิดเพ้อเจ้อจนเสียสมาธิฝึกตน แต่สำนักนี้ไม่ไม่ขับไล่ศิษย์ที่แต่งงาน ถ้าเจ้าถูกใจศิษย์หญิงคนไหนก็บอกได้ เดี๋ยวข้าจะช่วยเป็นคนกลางติดต่อให้ให้เจ้า”
“ไม่เป็นไรหรอก!” เหมียวอี้ยกมือห้าม ผู้หญิงของเขามีเยอะจนรับมือไม่ไหวแล้ว ที่บ้านมีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ทั้งยังมีสาวงามอีกสามคน สองคนในนั้นยังเป็นฝาแฝดกันด้วย แถมยังมีสาวใช้หกคนกำลังรอให้เขาไปรับเข้าห้อง ข้างนอกยังมีหญิงชู้อีกหนึ่งคน แต่ละคนหน้าตาไม่ธรรมดา ขนาดในบ้านยังรับมือไม่ไหวเลย จะมีความคิดไปเจ้าชู้เสเพลได้อย่างไร ผู้หญิงสวยทั่วไปไม่ถูกใจเขาเลยจริงๆ เขาชำเลืองจงหลีค่วยพลางพูดหยอก “ท่านจัดการเรื่องของตัวเองก่อนเถอะน่า”
จงหลีค่วยหัวเราะเสียงดัง “ข้าหน้าตาขี้เหร่ เป็นคนที่ขี้เหร่ที่สุดในปราสาทดำเนินนภา ไม่มีใครถูกใจข้าหรอก”
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูกสองที เขาไม่เชื่อคำพูดนี้หรอก ด้วยวรยุทธ์และฐานะของจงหลีค่วย ถ้าอยากจะแต่งงานก็ไม่ใช่ปัญหาเลย ในฐานะที่เป็นศิษย์ของรองเจ้าสำนัก ถ้าถูกใจคนไหน ปราสาทดำเนินนภาต้องช่วยเป็นตัวกลางประสานให้แน่นอน ก็เหมือนกับเหมียวอี้ ในปีนั้นก็รู้สึกว่าไม่มีใครชอบตัวเองเหมือนกัน ตอนหลังพอมีตำแหน่งฐานะขึ้นที่พิภพเล็ก เรื่องผู้หญิงก็ไม่ใช่ปัญหาเลย อยากจะมีมากเท่าไรก็ได้
ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เหมียวอี้ไม่ได้มาเพื่อคุยเรื่องนี้ เขามาหาสมบัติ
ตอนที่เดินเล่นอยู่บนเกาะ ศิษย์หญิงที่เดินผ่านมาอย่างไม่ขาดสายพากันคำนับจงหลีค่วย เรียกว่าศิษย์ลุงบ้างศิษย์อาบ้าง จงหลีค่วยเดินพยักหน้ารับตลอดทาง
เมื่อเดินวนบนเกาะได้รอบหนึ่ง ในใจเหมียวอี้ก็เกิดความสงสัย ถึงแม้เกาะนี้จะมีพื้นที่ไม่น้อย แต่นับว่ามีลักษณะพื้นที่ราบเรียบ ดูไม่เหมือนสถานที่ซ่อนสมบัติเลย
ตรงกลางเกาะมีเสาหินเก่าแก่โบราณขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง บนนั้นสลักอักษรตัวใหญ่เอาไว้ : ดำเนินนภาสร้างสัตบุรุษ พากเพียรบากบั่น จองจำมารปีศาจชั่วนิรันดร์!
ทั้งสองยืนอยู่ตรงหน้าเสาหิน เงยหน้ามองอักษรสลักตัวใหญ่ที่แข็งแรงเปี่ยมด้วยพลัง เป็นตัวอักษรที่ผ่านลมผ่านฝนมาแสนนาน ไม่รู้ว่าสร้างไว้กี่ปีแล้ว
จงหลีค่วยอธิบายว่า “ในปีที่สร้างปราสาทดำเนินนภาขึ้นมา ประมุขปราสาทเป็นผู้ถือกระบี่สลักไว้ที่นี่ด้วยตัวเอง เพื่อให้ลูกศิษย์ที่เข้าออกได้เห็นและจดจำใส่ใจ!”
เหมียวอี้ไม่สนใจสิ่งนี้ แต่มองไปรอบๆ แล้วถามเหมือนไม่ตั้งใจว่า “เลือกมาอยู่ที่สถานที่แบบนี้ได้อย่างไร ที่นี่มีกระแสน้ำไหลปะทะทุกปี ไม่กลัวหน้าดินพังเหรอ?”
จงหลีค่วยตอบกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว พวกเราจะไม่คิดถึงจุดนี้ได้อย่างไร พวกเราย่อมตรวจสอบรากฐานมาก่อนแล้ว ด้านล่างเป็นหินที่ทนทาน ไม่ได้พังง่ายๆ ขนาดนั้น แล้วเวลาน้ำไหลมาถึงตรงนี้ กระแสน้ำก็อ่อนลงแล้ว ไม่มีแรงปะทะอะไร”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็หนักใจยิ่งกว่าเดิม ที่เขามาดูสถานที่ด้วยตัวเอง ก็เพราะรู้สึกว่าที่นี่ไม่น่าจะซ่อนสมบัติได้ แต่อีกฝ่ายมาสำรวจดูตั้งนานแล้ว ถ้ามีของอะไรก็คงจะถูกพบไปตั้งแต่แรก ไม่รอให้เขามาหาหรอก ผู้ที่ซ่อนสมบัตินี้เล่นบ้าอะไรกันแน่
พอนึกถึงพฤติกรรมพิลึกพิลั่นของผู้ซ่อนสมบัติ เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องที่ดาวแมกไม้ คนกลุ่มหนึ่งถ่อไปค้นหาซ้ำไปซ้ำมาตั้งหลายปี แต่สมบัติไม่ได้ซ่อนอยูในจุดที่ระบุไว้บนแผนที่ซ่อนสมบัติเลย เขาใจเต้นแรงทันที ที่นี่ไม่เหมือนจุดที่จะซ่อนอะไรไว้ได้ หรือว่าจุดที่ซ่อนสมบัติจะอยู่ที่อื่น?
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ เหมียวอี้กวาดสายตามองรอบๆ แล้วสุดท้ายก็ไปหยุดจ้องบนเสาหินตรงหน้า ชี้ถามว่า “นี่คงจะเป็นจุดกึ่งกลางของเกาะใช่มั้ย?”
“คงจะใช่ มีปัญหาอะไรเหรอ?” จงหลีค่วยพยักหน้าถาม
เหมียวอี้ถลันตัวขึ้นไป เหาะขึ้นไปด้านบนเสาหิน แล้วลอยตัวขึ้นอย่างช้า พอมองไปรอบๆ ก็พบว่าเสาต้นนี้เป็นจุดกึ่งกลางของเกาะจริงๆ จากนั้นก็เหาะลงมา พูดกับจงหลีค่วยที่กำลังทำสีหน้าสงสัยว่า “ทิวทัศน์ของที่นี่ไม่เลวเลย!”
“เจ้ายังมองเห็นทิวทัศน์ด้วยเหรอ?” จงหลีค่วยทำสีหน้าฉงนสนเท่ห์
เหมียวอี้กลับตอบไม่ตรงคำถาม “ลุงหนวด ถ้าข้าถูกใจศิษย์หญิงคนไหนของปราสาทดำเนินนภา ท่านจะช่วยเป็นสื่อกลางให้ข้าจริงๆ เหรอ?”
“…” จงหลีค่วยเบิกตากว้าง “ไหนเจ้าบอกว่าไม่เอาไง?”
“เมื่อกี้ข้าเพิ่งเจอคนหนึ่ง หน้าตาใช้ได้เลย” เหมียวอี้ว่าอย่างนั้น
จงหลีค่วยมองสำรวจรอบๆ ทันที “คนไหน? อยู่ที่ไหน?”
“ท่านไม่ต้องสนใจหรอก ข้าแค่อยากถามว่าท่านจะรักษาคำพูดมั้ย?”
“ก็ต้องรักษาคำพูดอยู่แล้ว แต่ข้าจะเตือนไว้ก่อนเลยนะ เรื่องนี้ต้องได้รับการยินยอมจากอีกฝ่ายด้วย ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอม เจ้าก็จะทำซี้ซั้วไม่ได้ เรื่องนี้บังคับกันไม่ได้”จงหลีค่วยกล่าวพลางเหลียวซ้ายแลขวา ถามว่า “ชอบคนไหนกันแน่?”
เรียกได้ว่าทำสีหน้าอยากรู้อยากเห็น ไม่รู้ว่าศิษย์หญิงคนไหนกันแน่ที่เปลี่ยนความคิดของเหมียวอี้ได้
“ไม่รีบหรอก! ข้าครุ่นคิดอีกทีค่อยตัดสินใจ ถึงอย่างไรสถานการณ์ในตอนนี้ของข้าก็ไม่สู้ดีนัก” เหมียวอี้โบกมือ
นี่คือข้ออ้างทั้งนั้น เช้าตรู่วันต่อมา เหมียวอี้ก็มาที่เกาะแห่งนี้คนเดียว ยืนเอามือไขว้หลังรออยู่ใต้เสาหิน
ตอนที่เส้นขอบฟ้ามีแสงสว่างจางๆ เหมียวอี้ก็เหาะขึ้นบนฟ้า ลอยขึ้นเหนือเสาหินในระดับความสูงสามพันจั้ง ลอยอยู่กลางอากาศพลางสังเกตการเปลี่ยนแปลงสีของท้องฟ้า
การกระทำของเขาดึงดูดความสนใจของศิษย์ปราสาทดำเนินนภาไม่น้อย มีคนมากมายใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองขึ้นไป ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้ทำอะไรอยู่บนฟ้า
เหมียวอี้เองก็รู้ว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ใครใช้ให้แผนที่สมบัติระบุเครื่องหมายไว้ที่ปราสาทดำเนินนภาล่ะ เจ้าคงไล่คนของปราสาทดำเนินนภาออกไปหมดไม่ได้หรอก
ผ่านไปไม่นาน จงหลีค่วยก็เหาะขึ้นบนฟ้าอีกครั้ง แล้วขมวดคิ้วถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ากำลังทำอะไร?”
“ท่านจะมาทำตัวโดดเด่นเกินข้าทำไม?” เหมียวอี้ถาม
“ทำตัวเด่น?” จงหลีค่วยมึนงง “ทำตัวเด่นอะไรเกินเจ้า?”
เหมียวอี้ตอบอย่างหงุดหงิด “ข้ากำลังดึงดูดความสนใจของผู้หญิงคนนั้น ท่านจะมาประสมโรงด้วยทำไม? รีบไปเลย รีบไป ตอนนี้นางมองเห็นข้าแล้ว”
“…” จงหลีค่วยใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปข้างล่างทันที เห็นมีศิษย์หญิงจำนวนไม่น้อยกำลังมองขึ้นมาบนฟ้า ใครจะไปรู้ว่าเป็นคนไหน ในใจอยากรู้อยากเห็นมาก อดไม่ได้ที่จะถามว่า “คนไหนกันแน่? เจ้าบอกข้ามาตรงๆ ก็พอแล้ว ข้าจะไปทักทายและให้พวกเจ้าได้พูดคุยกันเลย จำเป็นต้องทำตัวยุ่งยากขนาดนี้มั้ย”
เหมียวอี้บอกว่า “ท่านไม่เข้าใจ ข้าแอบบอกเป็นนัยไว้ล่วงหน้าแล้ว ถ้านางตอบตกลง รออีกประเดี๋ยวก็มาหาข้าเองนั่นแหละ ข้ากับนางรู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย ถ้าทำไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร ทุกคนจะได้ไม่ต้องรับผลกระทบอะไร ลุงหนวด ท่านรีบลงไปเถอะ อย่ามาขัดขวางธุระของข้า!”
จงหลีค่วยพูดไม่ออก เขาไม่สะดวกจะขัดขวางธุระของอีกฝ่ายจริงๆ จึงถลันตัวออกไปทันที ไปยืนอยู่ข้างๆ ตำหนักคุมงาน ที่จริงแล้วฝูเสี่ยนอาจารย์ของเขาสั่งให้เขามาดูว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ เขาย่อมต้องกลับไปรายงาน
หลังจากรู้ความจริงแล้ว พวกหมิงจ้าวที่ทยอยเข้ามาในตำหนักคุมงานเพื่อถามไถ่ถึงเหตุการณ์ก็อยู่ที่นี่ต่อ เดินคุยเล่นกันนอกตำหนักพลางมองไปทางเหมียวอี้เป็นระยะ พวกเขาก็สงสัยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังแอบส่งสัญญาณลับให้ศิษย์หญิงคนไหนกันแน่ ไม่รู้ว่าศิษย์หญิงคนนั้นจะตอบรับหรือเปล่า เหมียวอี้มีอนาคตที่น่าเป็นห่วงนะ!
ตอนที่ตรงเส้นขอบฟ้ามีแสงสีทองปรากฏ เหมียวอี้ที่ลอยอยู่บนฟ้าก็เหาะขึ้นสูงกว่าเดิม เหาะขึ้นสูงอีกสามพันจั้ง พออยู่สูงในระดับหกพันจั้งแล้ว ก็ก้มมองลงมาที่พื้นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล รอให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ส่องแสงพร้อมกัน หยินหยางรวมกันอยู่ใต้เท้าตัวเอง
ตอนที่ช่วงเวลานั้นกำลังใกล้เข้ามาทีละนิด บนพื้นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล ในที่สุดภาพที่อลังการงานสร้างก็ปรากฏขึ้นมา สตรีทะยานฟ้าที่กางแขนอย่างอ่อนช้อยโผล่มาแล้ว ปรากฏขึ้นแล้วจริงๆ!
เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย! เหมียวอี้กำหมัดแน่น รู้สึกตื่นเต้นฮึกเหิมมาก รีบใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปบนฝ่ามือของผู้หญิงคนนั้น ตรงจุดที่อยู่ไกลๆ มันคือภูเขาลูกหนึ่ง!
…………………………
บทที่ 960 ได้สมบัติที่ซ่อนแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในตอนนี้เอง จู่ๆ เหมียวอี้ก็นึกถึงคำพูดของผู้อาวุโสมู่เซิน
ผู้อาวุโสมู่เซินบอกว่าเขาคือคนเฝ้ารักษากุญแจ ตอนนี้เหมียวอี้เพิ่งรู้สึกได้จริงๆ ว่าตัวเองได้กุญแจมาแล้ว และกุญแจดอกนั้นก็ทำให้เขาได้เข้าไปที่ก้นทะเลสาบของดาวแมกไม้ ตอนนี้ก็ชี้นำเขาเห็นภูเขาลูกที่อยู่ตรงหน้าอีก ถ้าไม่มีกุญแจที่ผู้อาวุโสมู่เซินมอบให้ เขาก็คงไม่รู้ว่าจะเชื่อมโยงจุดซ่อนสมบัติกับภูเขาลูกที่อยู่ไกลๆ นั่นได้อย่างไร
เพียงแต่ไม่รู้ว่าในภูเขาลูกนั้นจะมีของที่เขาตามหาหรือเปล่า ถ้าหากมีอยู่จริง แบบนั้นเขาก็คิดไม่ตกแล้ว วางไว้ที่ก้นทะเลสาบในดาวแมกไม้เพื่อรอให้เขาหาพบก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้ วางไว้สองฝั่งแบบนี้ อย่าว่าแต่คนหาสมบัติที่ลำบาก อย่างน้อยในปีนั้นคนที่ซ่อนสมบัติก็ยุ่งยากเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?
ปัญหาที่คิดไม่ตกพวกนี้ ราวกับเป็นเมฆหนาในสมองที่ปัดโบกเท่าไรก็ไม่สลายไป เขาเลิกคิดชั่วคราว กลัวว่าอยู่บนฟ้านานแล้วจะทำให้คนสงสัย จึงเหาะจากฟ้าลงมาเสียเลย แฉลบผ่านท้องฟ้าเป็นวิถีโค้งกลับไปยังที่พักของตัวเอง
ผ่านไปไม่นาน ‘นักสืบ’ อย่างจงหลีค่วยก็มาอีกแล้ว ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ชัดเจนมาก อีกฝ่ายไม่สนใจข้า ไม่มีการตอบกลับเลย”
“ก็ไม่แน่นะ รีบบอกมาว่าคนไหน ข้าจะไปช่วยพูดให้ ไม่แน่อาจจะสำเร็จก็ได้” จงหลีค่วยรู้สึกคันยิบๆ ในใจ
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ต้องยุ่งยากแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าคิดได้แล้ว ข้าปกป้องตัวเองยังลำบากเลย อนาคตไม่แน่นอน ไม่จำเป็นต้องทำให้อีกฝ่ายลำบากไปด้วย ตอนหลังค่อยว่ากันใหม่ ถ้าข้าผ่านด่านยากที่อยู่ตรงหน้าไปได้ ถึงตอนนั้นข้าค่อยบอกท่าน ให้ท่านช่วยเป็นคนกลางประสานให้”
“อย่างนี้เองเหรอ!” จงหลีค่วยคิดไปคิดมาก็พบว่าคงทำได้แค่นี้ ก่อนหน้านี้หมิงจ้าวและพวกอาจารย์อาก็กำลังพูดคุยปรึกษาเรื่องนี้อยู่พอดี บอกว่าอนาคตเหมียวอี้ไม่แน่นอน ถ้าปล่อยให้ศิษย์หญิงของปราสาทดำเนินนภาไปกับเหมียวอี้ จะเหมือนเป็นการไม่แสดงความรับผิดชอบต่อลูกศิษย์ในสำนักหรือเปล่า
เมื่อเห็นเหมียวอี้ทำท่าเหมือนอารมณ์หดหู่นิดหน่อย จงหลีค่วยก็ย่อมพูดปลอบใจไปยกหนึ่ง แล้วกลับไปรายงานอีก
ตอนหลังเหมียวอี้ไม่ได้เคลื่อนไหวติดต่อกันอีก กลัวจะทำให้คนสงสัย ระงับอารมณ์และอยู่นิ่งๆ ชั่วคราวสองวัน ทำท่าเหมือนหมดอาลัยตายอยากเพราะถูกความรักโจมตี
หลังจากนั้นสองวัน เหมียวอี้ถึงได้ออกจากเรือนพัก อ้างว่าจะออกไปเดินเล่นให้สบายใจ จงหลีค่วยบอกว่าจะไปเป็นเพื่อน แต่เหมียวอี้ปฏิเสธ จงหลีค่วยจึงทำได้เพียงบอกว่าเขาว่ามีที่ไหนในปราสาทดำเนินนภาที่ห้ามล่วงล้ำเข้าไปส่งเดช อย่างเช่นสถานที่ที่ประมุขปราสาทและบรรดาผู้อาวุโสเก็บตัวฝึกตน
เหมียวอี้ตอบว่ารู้แล้ว จะจำไว้ แล้วก็ออกไปคนเดียว
เขาเดินวนไปวนมาอยู่คนเดียว ปล่อยตั๊กแตนห้าตัวออกมาเป็นหูเป็นตาให้ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครสะกดรอยตาม เขาก็คลำทางไปตรงจุดที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ตรงภูเขาลูกนั้นที่เขาเห็นตอนเหาะอยู่บนฟ้าสูงหกพันจั้ง
ยืนอยู่บนยอดเขา ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ตอนที่รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปที่เขาเพลิงนภา เหมียวอี้ถึงพบว่าที่นี่คือภูเขาไฟ
แต่อุณหภูมิของที่นี่ยังไม่สูงเท่าที่หุบเขาเพลิงนภา อย่างน้อยตั้งแต่ไหล่เขาลงไปก็ยังมีต้นไม้งอกเขียวชอุ่ม บนยอดเขายังมีหิมะทับถมอยู่บ้าง ไม่รู้เหมือนกันว่าภูเขาไฟลูกนี้ไม่ได้ปะทุมากี่ปีแล้ว ในเมื่อเป็นภูเขาไฟ ตามหลักการแล้วคงไม่ซ่อนของไว้ข้างนอก ควรจะซ่อนไว้ข้างในตรงจุดที่คนพบเห็นไม่ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะของที่เตรียมจะซ่อนไว้หลายปี เห็นได้ชัดว่าคงไม่ขุดหลุมฝังซ่อนเอาไว้มั่วๆ แน่ หรือพูดได้อีกอย่างว่า เป็นไปได้สูงที่ของจะซ่อนอยู่ในกลางภูเขาไฟ
สำหรับมนุษย์ธรรมดา การซ่อนของไว้กลางภูเขาไฟคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับนักพรตคือเรื่องที่เป็นไปได้ มิหนำซ้ำ เหมียวอี้ก็เป็นคนที่ผ่านประสบการณ์ที่เขาเพลิงนภามาแล้วด้วย ขนาดเลี่ยหวนยังสร้างตำหนักไว้ในภูเขาไฟได้ นับประสาอะไรกับการซ่อนของไว้ในภูเขาไฟล่ะ
เหมียวอี้มองดูถ้ำภูเขาไฟที่กลวงและมืดมิดแวบหนึ่ง แล้วมองไปรอบๆ อย่างระวังตัวอีกครั้ง จนกระทั่งพวกตั๊กแตนส่งข้อมูลมายืนยันว่าไม่มีใครสะกดร้อยตาม ถึงได้เก็บตั๊กแตนห้าตัวนั้น แล้วลอยลงไปตรงกลางภูเขา
เขาลอยลงมาอย่าไม่รีบร้อน ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองสำรวจรอบๆ ไม่หยุด กลัวว่าจะพลาดอะไรไป
แต่ไม่พบอะไรเลยตลอดทาง กลับเป็นอุณหภูมิตรงกลางภูเขาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากลงมาได้ประมาณสามร้อยจั้ง ก็เห็นหินหนืดสีแดงสดไหลปุดๆ ออกมา
ตลอดทางที่ลอยลงมาก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไรเลย แม้แต่พวกโพรงถ้ำก็ไม่เห็นเลยสักโพรง อย่าบอกนะว่าของซ่อนอยู่ใต้หินหนืด
สำหรับนักพรตทั่วไป การเข้าไปอยู่ใต้หินหนืดเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก แต่สำหรับเหมียวอี้ อาศัยวรยุทธ์ที่เขามีในตอนนี้ อุณหภูมิสูงนิดหน่อยทำอะไรเขาไม่ได้
พอเขากดฝ่ามือลงไปข้างล่าง ในหินหลอมเหลวที่ไหลทะลักก็จมลงกลายเป็นหลุมลึกทันที เหมียวอี้ที่กำลังร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดาราจมดิ่งลงไปในหินหนืดราวกับมีฟองกาศห่อหุ้มตัว
ยิ่งลงไปข้างล่าง อุณหภูมิก็ยิ่งสูง สำหรับนักพรตทั่วไป การอยู่ในอุณหภูมิที่สูงขนาดนี้จะสิ้นเปลืองพลังอิทธิฤทธิ์รุนแรงมาก จะทนรับไม่ไหว แต่เหมียวอี้กลับพอทนไหว
แต่พอยิ่งลงมาข้างล่าง ขอบเขตของหินหลอมเหลวก็ยิ่งกว้างขึ้น เหมียวอี้ที่กำลังร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจหาไปทั่วรู้สึกลำบากนิดหน่อย เมื่อลอยลงมาจนถึงจุดที่ลึกหนึ่งพันจั้ง จู่ๆ เหมียวอี้ที่วนหาตามผนังถ้ำหินหนืดก็ตาเป็นประกาย พบว่าบนผนังถ้ำที่ดำเกรียมมีบันไดหินที่คนขุดเจาะให้กลวงเข้าไป มีภาพสลักรูปประตูบานหนึ่งเป็นแอ่งเว้าอยู่บนผนังถ้ำ
เหมียวอี้ยืนอยู่หน้าประตู ร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจบนประตูหินครู่หนึ่ง พอพบว่าข้างในเป็นโพรง เขาก็ดีใจมาก หรือว่าสมบัติจะอยู่ที่นี่?
ปั้ง! ชกเข้าไปหนึ่งหมัด ประตูหินที่หนาเกือบสองจั้งพังเข้าไป เหมียวอี้ถลันตัวเข้าไป หินหนืดที่แดงฉายที่อยู่ข้างหลังก็ทะลักตามเข้าไปด้วยเช่นกัน ส่องแสงสว่างจนเห็นทางข้างในชัดเจน
เหมียวอี้ขึ้นไปตามบันไดหินที่ขุดขึ้นมาอย่างง่ายๆ หินหนืดที่ไหลกลิ้งเข้ามาค่อยๆ หยุดอยู่ข้างหลัง เนื่องจากแรงกดดันและลักษณะพื้นภูมิภายใน ทำให้หินหนืดทะลักตามขึ้นมาไม่ได้อีก เหมียวอี้ที่เดินขึ้นมาหลายสิบจั้งก้าวขึ้นมาบนแท่นหิน กิ้งก่ายักษ์ตัวหนึ่งดึงดูดความสนใจเขาแล้ว ขนาดคลานอยู่บนพื้นยังสูงกว่าเขาอีก มันหน้าตาดุร้าย ขนาดหลับตาอยู่ก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความดุร้าย
เป็นกิ้งก่าสีแดงเพลิง เหมือนกับตะขาบสีเขียวที่เจอตรงก้นทะเลสาบในดาวแมกไม้ กิ้งก่าตัวนี้มีเกล็ดสีแดงหนาทนทานทั้งตัว ถูกโซ่สีทับทิมล่ามเอาไว้เช่นกัน บนร่างกายตะปูยาวสีแดงหนาเท่าแขนเสียบอยู่หลายตัว หลับตาสนิทสองข้างไม่เคลื่อนไหว ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
เหมียวอี้ลองร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู อยากจะรู้ว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้เป็นหรือตาย ปรากฏว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาเหมือนจะไปกระตุ้นมันเข้าแล้ว ปากใหญ่ที่มีฟันแหลมน่ากลัวพลันอ้าออก พ่นเปลวเพลิงที่ร้อนแรงกลุ่มหนึ่งออกมา เพียงแต่ดูอ่อนแรงมาก พอเหมียวอี้ตั้งฝ่ามือรับข้างเดียว เปลวเพลิงก็แยกเป็นสองฝั่งอ้อมตัวเขาไปทันที
แต่ก็พ่นไฟแค่คำเดียว ปากใหญ่ที่มีฟันน่าเกลียดน่ากลัวของกิ้งก่าสีแดงเพลิงหุบปิดเหมือนเดิม แล้วนอนนิ่งไม่กระดิกตัวต่อไป แต่อย่างน้อยก็พิสูจน์ให้เหมียวอี้เห็นแล้วว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่
เหมียวอี้ตกใจอีกครั้ง ไม่เข้าใจว่าผู้ซ่อนสมบัติจะนำสัตว์แบบนี้มาไว้ที่นี่ทำไม ที่ก้นทะเลสาบครั้งก่อนก็เป็นตะขาบยักษ์ ครั้งนี้ก็เป็นกิ้งก่าสีแดงเพลิง ล้วนเป็นปีศาจเฒ่าที่แค่เห็นก็ทำให้กลัวแล้ว แต่ตะขาบครั้งก่อนยังดีกว่าหน่อย มันพ่นพิษเพราะมีเจตนาจะเฝ้าสมบัติ แต่อานุภาพของไฟที่กิ้งก่าไฟตัวนี้พ่นออกมา เหมือนจะไม่มีภัยคุกคามต่อนักพรตประเภทที่สามารถมาถึงสถานที่แบบนี้เท่าไรเลย ไม่รู้ว่าจับมันมามัดไว้แบบนี้หมายความว่าอะไร?
ยังไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ เหมียวอี้กวาดตามองไปรอบๆ เห็นในโพรงถ้ำบนผนังหินที่อยู่ตรงหน้ามีแสงขมุกขมัวเปล่งออกมา เขาถลันตัวข้ามร่างมหึมาของกิ้งก่าเพลิง เข้าไปในโพรงถ้ำและตกลงในห้องหินห้องหนึ่ง
บนเพดานของห้องหินฝังไข่มุกราตรีไว้เม็ดหนึ่ง บนผนังหินที่อยู่ตรงข้ามมีภาพสลักสตรีทะยานฟ้าอีกแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้บนฝ่ามือนางถือกล่องโลหะที่เหมือนมณีแดงใบหนึ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าทำมาจากผลึกแดงที่มีความริสุทธิ์สูง
เมื่อมีประสบการณ์ครั้งแรกไปแล้ว เหมียวอี้ก็พุ่งเข้าหาเป้าหมายทันที พอกางนิ้วทั้งห้า กล่องใบนั้นก็หลุดฝ่ากำแพงออกมาตกอยู่ในมือของเขา
เมื่อได้ของมาไว้ในมือ ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะไม่กล้าเปิดกล่อง เขาถูกปั่นหัวจนกลัวแล้ว ภาวนาว่าอย่าให้เปิดมาเจอไอ้แผนที่บ้าๆ นั่นอีกเลย ถ้าเป็นแบบนั้นตนก็ไม่เล่นด้วยแล้ว โดนปั่นหัวเล่นถึงขั้นนี้ ถ้าเล่นต่อไปคงจะตายแน่
จะไม่เปิดก็ไม่ได้ เหมียวอี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ดึงสลักออก เปิดฝาช้าๆ อย่างระมัดระวัง พอมองเข้าไปก็มึนหัวนิดหน่อย เป็นก้อนโลหะกลมสีดำอีกแล้ว! เหมียวอี้อยากจะทุ่มของที่อยู่ในมือเสียตรงนี้ แต่หลังจากเปิดฝาครอบออกจนสุด ก็พบว่าในกล่องมีของอย่างอื่นด้วย เป็นแผ่นหยกแผ่นหนึ่ง
มันคืออะไร? เหมียวอี้รีบหยิบแผ่นหยกมาไว้ในมือ กรอกพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปอ่าน ทำให้ตาเป็นประกายลุกวาวทันที
ในแผ่นหยกเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ไว้หนึ่งแถว : เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน ดิน!
พออ่านเนื้อหาที่อยู่ข้างล่าง ก็พบว่าเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนจริงๆ เหมียวอี้เรียกได้ว่าน่าชื่นตาบาน ได้สมบัติมาไว้ในมือแล้ว!
แต่เขาก็ดีใจได้แค่ประเดี๋ยวเดียว สายตาไปหยุดอยู่บนก้อนโลหะกลมสีดำ พึมพำในใจว่า นี่มันแผนที่อะไรอีก? เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินคงไม่ได้แบ่งเป็นหลายส่วนหรอกใช่มั้ย? ท่านปู่ที่ซ่อนสมบัติ ท่านอย่าแกล้งข้าเล่นเชียวนะ!
เหมียวอี้หยิบก้อนโลหะกลมมาไว้ในมือ หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจดู มันก็กางออกในฝ่ามือทันที เขากวาดสายตามองแวบหนึ่ง พบว่าเป็นแผนที่จริงๆ ยังเป็นภาพสตรีทะยานฟ้าที่นิ่มนวลอ่อนช้อย ตัวอักษร ‘ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด’ ก็ยังอยู่ แผนที่ดาวรวมทั้งแผนที่ซ่อนสมบัติที่แนบมาก็ยังอยู่เช่นกัน
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้เบิกตากว้างก็คือ ตัวอักษรสองตัวที่อยู่ด้านบนแผนที่ ‘อู๋’ กับ ‘ดิน’
เมื่อนำมารวมกับเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินที่อยู่ในมือ ก็เดาได้ไม่ยากว่าแผนที่ที่อยู่ในมือคืออะไร อย่าบอกนะว่าเป็นที่ซ่อนมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดิน?
การเชื่อมต่อของข้างหน้าและข้างหลังชัดเจนเกินไป จะไม่ให้สงสัยว่าเป็นมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินก็คงยาก
เหมียวอี้รู้สึกเร่าร้อนในใจ รีบนำแผนที่ฉบับสำเนาที่หมิงจ้าวให้ออกมา รวมทั้งกางแผนที่โลหะที่ทำให้หาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินพบ นำแผนที่ทั้งสามฉบับมาดูเปรียบเทียบด้วยกัน ยังคงทำตามวิธีการที่หมิงจ้าวสอน ค้นหาดาวหลักบนแผนที่ที่เพิ่งได้มา แล้วเทียบกันแผนที่อีกสองแผ่น แต่ปรากฏว่าไม่มีอะไรเหมือนกันเลย
ตอนนี้เหมียวอี้ปวดประสาทแล้ว เขาไม่มีทางแน่ใจได้ว่ามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่
“มารดาเจ้าเถอะ…” ท่านขุนนางเหมียวด่าแม่เสียเลย ไม่รู้ว่าคนซ่อนสมบัติสมองมีปัญหารึเปล่า ซ่อนไว้ที่เดียวกันก็สิ้นเรื่องแล้วมั้ย เปลืองแรงเอาไปซ่อนตรงนั้นที่ตรงนี้ที จักรวาลกว้างใหญ่ขนาดนี้จะให้ไปหาเจอได้อย่างไร
ตอนนี้เขาทั้งกังวลทั้งตั้งตาคอย ตั้งตาคอยเพราะอยากรู้ว่าภาคดินของหกเคล็ดวิชาพิเศษอยู่ในมือคนซ่อนสมบัติหมดเลยหรือไม่ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เขาคงไม่กังวลไม่ได้แล้ว ถ้าเจ้าบ้าที่กินยาผิดนั่นมันซ่อนของทุกชิ้นแยกกัน จะไม่เหมือนเป็นการบังคับให้ตนต้องเที่ยวไขปริศนาไปทั่วพิภพใหญ่หรอกเหรอ
เขาไม่เข้าใจว่าผู้ซ่อนสมบัติทำเรื่องเปลืองแรงแบบนี้เพราะมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่าจงใจทรมานคนหาสมบัติ? หรือว่ามีเจตนาอะไรอย่างอื่น?
อารมณ์ดีใจที่หาสมบัติเจอถูกแผนที่ฉบับใหม่ก่อกวนแล้ว หลังจากเก็บของ เขาถึงนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ สมบัติอย่างอื่นที่ราชันลัทธิมารซ่อนไว้ล่ะ? สิ้นเปลืองความพยายามไปมากขนาดนี้ คงไม่ได้ซ่อนของไว้อย่างเดียวหรอกใช่มั้ย?
ในห้องหินที่เล็กจนมองปราดเดียวก็เห็นทุกอย่าง มีตรงไหนบ้างที่สามารถซ่อนสมบัติอย่างอื่นไว้ได้ เหมียวอี้รีบร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจจนทั่ว ตรวจสอบทั้งข้างในข้างนอก รวมทั้งจุดที่กิ้งก่าเพลิงโดนล่ามด้วย ปรากฏว่าทุกที่มีแต่ผนังหินที่อัดแน่นทนทาน ไม่มีสมบัติอะไรอย่างอื่นซ่อนไว้เลย ไม่มีแม้แต่เงาทรัพย์สมบัติมหาศาลของราชันลัทธิมารที่เขาเฝ้าคอย
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น