พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 957-958
บทที่ 957 สุนัขรับใช้ของราชันสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอพูดถึงตรงนี้ มีเรื่องหนึ่งที่หมิงจ้าวไม่ถามไม่ได้ หมิงจ้าวยังพอเข้าใจเรื่องปีศาจโลหิต แต่เรื่องที่สมาคมวีรชนสู้กับเหมียวอี้อย่างโจ่งแจ้ง เขาไม่เข้าใจแล้ว “จากที่ข้ารู้มา สำนักลมปราณมีคนที่เป็นขุนนางที่ตำหนักสวรรค์ เจ้าอยู่ที่สำนักลมปราณแล้ว ทำไมไม่เข้าร่วมเป็นคนของสำนักลมปราณ แต่เป็นแค่ฆราวาสที่มาเป็นแขก ถ้าเจ้ากลายเป็นศิษย์ของสำนักลมปราณ สมาคมวีรชนก็ไม่กล้าสู้กับเจ้าอย่างโจ่งแจ้งหรอก”
เรื่องแบบนี้เหมียวอี้ไม่มีทางอธิบายกับหมิงจ้าวได้ อวี้หลิงเจินเหรินมาหาเขาด้วยเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว ถ้ากลายเป็นศิษย์ของสำนักลมปราณ ข้างบนก็ยังมีอาจารย์คอยคุ้มครอง แต่ด้วยคุณธรรมประจำสำนักลมปราณ ไม่ช้าก็เร็วที่เขาจะได้กลายเป็นศิษย์ทรยศ ฐานะศิษย์กับอาจารย์ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นั่นคือฐานะที่ต้องเป็นไปตลอดชีวิต ถ้าไม่โดนกดดันจนหมดทางเลือกจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว ทำได้เพียงพูดเอาตัวรอดไปว่า “ผู้น้อยมีอาจารย์ของตัวเองแล้ว คงไม่ดีที่จะไปพึงพาสำนักอื่นขอรับ”
นี่ก็คือหลักการหนึ่งเหมือนกัน หมิงจ้าวไม่สะดวกจะพูดอะไรอีก ทำได้เพียงกล่าวอำลาผู้อาวุโสมู่เซินอีกครั้ง จากนั้นศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคนก็คุ้มกันเหมียวอี้พุ่งขึ้นฟ้าไปด้วยกันทันที ออกจากท้องฟ้ามาถึงอวกาศ เหาะออกไปไกลอย่างรวดเร็วราวกับไล่คว้าดวงดาวดวงจันทร์
บนดาวเคราะห์ที่เงียบสงัดดวงหนึ่งที่โคจรตามดาวแมกไม้ นักพรตห้าคนทยอยกันยืนขึ้นและมองหน้ากันเลิกลั่ก ได้แต่มองคนอื่นพาตัวเหมียวอี้ไปโดยไม่กล้าขัดขวาง…
หลังจากมาถึงปราสาทดำเนินนภา เหมียวอี้ก็ตามพวกหมิงจ้าวไปรายงานผลการปฏิบัติงานต่อรองเจ้าสำนักฝูเสี่ยน ไปแสดงความขอบคุณ
แน่นอน หลังจากขอบคุณแล้ว เหมียวอี้ก็ยังไม่ลืมเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของตัวเอง กล่าวขอร้องว่า “รองเจ้าสำนัก ไม่ทราบว่าแผนที่ซ่อนสมบัติที่จงหลีค่วยได้มายังอยู่หรือเปล่า?”
เมื่อกล่าวถามแบบนี้ หมิงจ้าวและคนอื่นๆ ก็มองมาหาเขาทันที ไม่รู้ว่าทำเขาถึงถามแบบนี้
“ยังอยู่!” ฝูเสี่ยนยกมือลูบเคราเบาๆ จ้องมองมาด้วยแววตาเป็นประกาย ถามกลับว่า “หรือว่าฆราวาสยังไม่ยอมแพ้?”
เหมียวอี้ตอบอย่างลังเลว่า “ข้าแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน เป็นไปได้มั้นว่าพวกเราไปผิดสถานที่ ดาราจักรกว้างใหญ่ไพศาล อาจจะมีสถานที่ที่คล้ายคลึงกันก็ได้ ไม่ทราบว่าสำนักของท่านแน่ใจได้อย่างไร ว่าจุดที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่กลุ่มดาวคือบริเวณดาวแมกไม้?”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ฝูเสี่ยนยังนึกว่าเขาพบอะไรอย่างอื่น จึงหันมายิ้มให้หมิงจ้าวพร้อมบอกว่า “ศิษย์น้องห้า ข้ายังมีธุระอย่างอื่น เจ้าพาฆราวาสไปพักผ่อนก่อน แล้วถือโอกาสคลายความสงสัยให้ฆราวาสด้วย”
“ขอรับ!” หมิงจ้าวเอ่ยรับคำสั่ง เขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ศิษย์พี่เป็นรองเจ้าสำนักของปราสาทดำเนินนภา ถ้าให้มาคุยเรื่องนี้กับเหมียวอี้ก็จะเป็นการลดเกียรติไปหน่อย ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกเหมียวอี้ เพียงแต่ไม่อยากให้มีคนอื่นมาดูถูกปราสาทดำเนินนภา ถึงอย่างไรศิษย์พี่ก็มีฐานะเป็นรองเจ้าสำนัก เป็นหน้าเป็นตาให้กับปราสาทดำเนินนภา
หลักการนี้เหมียวอี้ก็เข้าใจเช่นกัน แต่ก็ยังทำตัวไม่รู้กาลเทศะ
เมื่อออกจากตำหนักคุมงานมาแล้ว หมิงจ้าวก็กำชับให้ศิษย์ระดับล่างจัดหาเรือนพักเดี่ยวให้เหมียวอี้ เห็นแก่ที่ทั้งสองมีความสนิทสนมกันอยู่บ้าง เขาจึงไม่ได้แสดงความหงุดหงิดใส่เหมียวอี้เท่าไรนัก สำเนาแผนที่ที่เหมือนจะหมดประโยชน์แล้วถูกนำออกมาอีกครั้ง เขาเปิดกางไว้บนโต๊ะ พร้อมอธิบายให้เหมียวอี้ฟังว่า “การไขปริศนาแผนที่นี้ จะว่ายากก็ยาก จะว่าไม่ยากก็ไม่ยาก เพียงแต่ตอนแรกพวกเราต่างก็เดินไปผิดที่ ตามหาแผนที่กลุ่มดาวจากทั่วโลกมาเปรียบเทียบกัน จักรวาลกว้างใหญ่ขนาดนั้น ทำเอาพวกเราลำบากแทบแย่ แต่ตอนหลังก็พบว่าแผนที่กลุ่มดาวมีขนาดจำกัด ถึงแม้จะมีขอบเขตให้วาดใหญ่มาก แต่เหมือนจะไม่พอให้วาดดาวเคราะห์จำนวนนับไม่ถ้วนพวกนั้น พวกเราถึงได้เข้าใจกระจ่างในทันที ว่าผู้ที่สร้างแผนที่ไม่วาดดาวเคราะห์เล็กน้อยที่ไม่จำเป็นเข้าไปด้วยเลย เป็นแค่แผนที่โดยสังเขป ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าพวกเขาไม่ได้วาดอาณาเขตที่ยังไม่ค้นพบลงไปด้วย พอรู้แบบนี้แล้วพวกเราก็ย่อมหาได้ง่ายขึ้น”
หมิงจ้าวชี้ไปบนจุดสีแดงจุดหนึ่ง “หาดวงดาวหลักอย่างพวกดวงอาทิตย์ก่อน แล้วค่อยหาดาวรองที่โคจรอยู่รอบๆ มัน สุดท้ายก็หาดาวเสริมที่โคจรอยู่รอบดาวรองอีกที เทียบจำนวนดาวรองที่อยู่ใกล้ดาวหลัก แล้วเทียบจำนวนดาวเสริมที่อยู่รอบดาวรองอีกที เมื่อมีภาพให้ดูเทียบชัดเจนแบบนี้แล้ว ขอบเขตการค้นหาก็หดเล็กลงหลายเท่าทันที” จากนั้นนิ้วก็ย้ายไปที่ตำแหน่งของดาวแมกไม้ “ดังนั้นพวกเราจึงเจอเป้าหมายเร็วมาก ที่แท้สถานที่ซ่อนสมบัติก็คือดาวแมกไม้ของสถานที่ไร้ระเบียบ! ตอนนี้เจ้าเข้าใจรึยัง?”
“อย่างนี้เองเหรอ! เข้าใจแล้ว…” เหมียวอี้พยักหน้า เขาฟังเข้าใจแล้ว นับว่าได้เพิ่มพูนความรู้มากมาย แต่ก็ยังแอบปาดเหงื่อนิดหน่อย ถึงแม้วิธีการแบบนี้จะเรียบง่ายกว่าการหาจากดวงดาวเต็มท้องฟ้าในจักรวาลอันกว้างใหญ่กลายเท่า แต่ก็ยังยากมากสำหรับเขาอยู่ดี เขาไม่มีอำนาจอะไรที่พิภพใหญ่ ดวงอาทิตย์ในจักรวาลไม่ได้มีน้อยๆ แผนที่ซ่อนสมบัติฉบับนี้กำลังกดดันให้เขาทำความเข้าใจพิภพใหญ่ให้มากขึ้น!
หมิงจ้าวยิ้มบางๆ ถ้าเทียบฐานะและวรยุทธ์ของทั้งสอง เขานับว่าทำดีกับเหมียวอี้มากพอแล้ว จะมัวมาอยู่เล่นเป็นเพื่อนเหมียวอี้ตลอดไม่ได้ ทั้งสองไม่ได้มีหัวข้อสนทนาที่เหมือนกัน เขาพับเก็บแผนที่บนโต๊ะ พลางบอกว่า “สมาคมวีรชนไม่กล้ามาทำตัวกำเริบเสิบสานที่นี่หรอก ปราสาทดำเนินนภาให้ที่อยู่ที่กินกับฆราวาสได้ ฆราวาสอยู่ได้โดยไม่ต้องกังวล ถ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกจงหลีค่วย ข้ายังมีธุระอีก”
ด้วยตำแหน่งฐานะของอีกฝ่าย เท่านี้ก็นับว่ารบกวนมากแล้ว เหมียวอี้ไม่ถึงขั้นไม่เจียมตัวขนาดนั้น กุมหมัดขอบคุณทันที แต่สายตาเหลือบไปเห็นฉากกั้นบานหนึ่งตรงห้องโถงด้านข้าง เขาอึ้งทันที พบว่าภาพที่อยู่บนฉากกั้นค่อนข้างคุ้นตา
หมิงจ้าวหันมองตามเขา แล้วบอกพร้อมรอยยิ้มทันทีว่า “นี่คือแผนที่บริเวณปราสาทดำเนินนภา เอาไว้ให้แขกที่เข้ามาพักดู แขกจะได้เดินเล่นที่นี่แบบมีเป้าหมาย เจ้าดูสิว่ามีที่ไหนอยากไปเดินเล่นบ้าง จะได้ให้จงหลีค่วยไปเป็นเพื่อน”
เหมียวอี้รีบเก็บสายตากลับมาแล้วกุมหมัดคารวะ “ได้โปรดอภัยที่ผู้น้อยหน้าด้านไร้ยางอาย ถ้ายังหาสมบัติที่ซ่อนไว้ไม่พบ ผู้น้อยก็ตัดใจไม่ลง ผู้น้อยจึงยากจะขอให้ผู้อาวุโสทิ้งแผนที่ซ่อนสมบัติฉบับสำเนาไว้ให้ผู้น้อยศึกษาให้ละเอียดสักหน่อย ไม่ทราบว่าได้หรือไม่?”
หมิงจ้าวลังเลนิดหน่อย แต่พอลองคิดดูอีกมุม ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว ถึงได้หยิบแผนที่ออกมาวางไว้บนโต๊ะ
พอเดินออกประตูมา หมิงจ้าวก็แอบส่ายหน้า เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของเหมียวอี้ เดิมทีปราสาทดำเนินนภารับปากไว้แล้วว่าถ้าเจอสมบัติจะแบ่งให้เขาครึ่งหนึ่ง พอหาไม่พบเขาก็ตัดใจไม่ลงเป็นธรรมดา ความรู้สึกที่ยังกอดความหวังเอาไว้ ไม่ยากเกินที่จะเข้าใจ
เหมียวอี้ออกมาส่งเขาที่ประตูด้วยตัวเอง แล้วรีบเร่งฝีเท้าเดินกลับมาทันที เหมือนมีธุระด่วนอะไร แต่ใครจะไปคาดคิด จงหลีค่วยที่รออยู่ข้างนอกนานแล้ว พอเห็นหมิงจ้าวเดินออกมาก็ถลันตัวเข้ามาขวางเหมียวอี้ทันที “หนิวโหย่วเต๋อ ทำไมเจ้ากลับไปที่ดาวแมกไม้อีกแล้วล่ะ ไม่ใช่ว่าตัดใจไม่ลงเลยกลับไปหาสมบัติอีกรอบหรอกใช่มั้ย?”
เขาเดาไม่ผิดหรอก แต่มีหรือที่เหมียวอี้จะยอมรับ ยอมบอกเหมือนที่เล่าให้หมิงจ้าวฟังอยู่แล้ว บอกว่าโดนสมาคมวีรชนกดดันให้กลับไป
“สงสัยสมาคมวีรชนจะลงมือแล้วจริงๆ!” จงหลีค่วยเอามือลูบหนวดพลางขมวดคิ้ว “ตอนนี้เจ้าเกิดปัญหาใหญ่แล้วล่ะ ถ้าสมาคมวีรชนได้ลงมือ ถ้าทำไม่สำเร็จก็เกรงว่าจะไม่วางมือ สมาคมนี้มีอำนาจมาก เหมือนปลาและมังกรอยู่รวมกัน คนจากสามลัทธิเก้านิกายในแดนฝึกตนล้วนมีหมด เกรงว่าจะเป็นการรวมกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในแดนฝึกตน ยังดีที่เป็นการรวมกลุ่มแบบหละหลวม ไม่อย่างนั้นก็อย่าว่าแต่ปราสาทดำเนินนภาของพวกเราเลย ต่อให้เป็นตำหนักสวรรค์ก็ต้องหวั่นเกรงสามส่วน”
พูดจนเหมียวอี้กลุ้มใจเลย! ได้แต่ยิ้มขื่นขมไม่หยุด “ตำหนักสวรรค์ปล่อยให้มีการรวมกลุ่มแบบนี้ได้อย่างไร ถ้าพวกเขาร่วมมือกันขึ้นมาจริงๆ ไม่กลัวว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อตำหนักสวรรค์เหรอ?”
จงหลีค่วยเอาสองมือไขว้หลัง เดินมาข้างๆ แล้วก้มตัวดมดอกไม้ที่กำลังบานได้ที่ ก่อนจะทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “นอกเสียจากตระกูลหวงฝู่จะโดนน้ำเข้าสมองเท่านั้นแหละ ถึงจะทำอย่างนั้น ถ้าเจ้าเก่งนักก็ลองให้พวกเขาร่วมมือกันดูสิ เกรงว่ายังไม่ทันได้เคลื่อนไหวไปถึงไหน ตำหนักสวรรค์ที่รู้ข่าวก็ส่งทหารสวรรค์มาถอนรากถอนโคนตระกูลหวงฝู่แล้ว ฆ่าสุนัขรับใช้ไม่ให้เหลือสักตัว!”
เหมียวอี้กะพริบตา เดินมาอยู่ข้างกายเขาและถามอย่างสงสัย “ลุงหนวด ท่านหมายความว่า ในสมาคมวีรชนมีสายลับของตำหนักสวรรค์เหรอ?”
จงหลีค่วยตอบกลั้วหัวเราะว่า “ยังต้องพูดอีกเหรอ? คนจากร้อยพ่อพันแม่มารวมกลุ่มใหญ่ขนาดนั้น สมาชิกเยอะและมีที่มาซับซ้อน ตำหนักสวรรค์ไม่แทรกคนเข้ามาก็แปลกแล้ว เกรงว่าตระกูลหวงฝู่เองก็ยังไม่กล้าฟันธงด้วยซ้ำว่าใครบ้างที่เป็นคนของตำหนักสวรรค์ ต่อให้รู้อยู่แก่ใจแต่ก็ไม่กล้าตรวจสอบ ถ้ากำจัดสายลับของตำหนักสวรรค์ออกจากสมาคมวีรชน เจ้าคิดว่าตำหนักสวรรค์ยังจะปล่อยพวกเขาไว้อีกเหรอ? ว่ากันตามจริงนะ ถ้ามองจากอีกด้านหนึ่ง สมาคมวีรชนก็เป็นส่วนหนึ่งของตำหนักสวรรค์เหมือนกัน พิภพใหญ่ขนาดนี้ อาศัยทหารสวรรค์อย่างเดียวก็ควบคุมไม่ไหว ตำหนักสวรรค์จำเป็นต้องมีกลุ่มที่สามารถยื่นมือเข้าไปถึงซอกมุมต่างๆ ที่ตำหนักสวรรค์เข้าไม่ถึงอย่างสมาคมวีรชนเอาไว้ ที่จริงตระกูลหวงฝู่ก็เป็นสุนัขรับใช้ลับๆ ของราชันสวรรค์ ถ้าไม่มีตำหนักสวรรค์ให้ท้าย ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่สมาคมวีรชนจะขยายอำนาจได้ใหญ่โตขนาดนี้ สรุปก็คือตำหนักสวรรค์จะทำเรื่องที่โจ่งแจ้งเปิดเผย ส่วนเรื่องชั่วช้าน่าอับอาย ก็ย่อมเป็นหน้าที่ของสุนัขรับใช้ที่ชั่วช้าน่าอับอายอยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินสิ่งเหล่านี้ เหมียวอี้ก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง มิน่าล่ะเซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานที่ดูเหมือนมีภูมิหลังใหญ่โต ถึงแม้ทั้งคู่จะชอบหวงฝู่จวินโหรวมาก แต่กลับไม่มีใครกล้าใช้ไม้แข็งกับหวงฝู่จวินโหรว ที่แท้ก็เกรงกลัวราชันสวรรค์ที่หนุนหลังตระกูลหวงฝู่นี่เอง!
ได้ยินจงหลีค่วยบอกอีกว่า “เจ้ารู้จักผู้หญิงคนหนึ่งของตระกูลหวงฝู่ไม่ใช่เหรอ? อย่าบอกนะว่าไม่เคยได้ยินนางพูดถึงกฎข้อหนึ่งของตระกูลหวงฝู่ ผู้หญิงของตระกูลหวงฝู่ไม่เคยแต่งงานออก มีเพียงให้ผู้ชายแต่งงานเข้าบ้านเท่านั้น”
“เคยได้ยินมาบ้าง อย่าบอกนะว่ามีเรื่องราวเบื้องลึกอะไร?” เหมียวอี้พยักหน้าถาม
จงหลีค่วยเดาะลิ้นแล้วบอกว่า “พูดไปเยอะขนาดนี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกเหรอ? ตระกูลหวงฝู่ก็คือสุนัขรับใช้ของราชันสวรรค์ ถ้าราชันสวรรค์ไม่อนุญาต ใครจะกล้าแก้เชือกที่คอตัวเองแล้วหนีไปล่ะ? ถ้าความลับน่าอับอายที่ราชันสวรรค์แอบสั่งให้พวกเขาไปทำเกิดรั่วไหลขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ?”
เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนใจลอย กระจ่างแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหวงฝู่จวินโหรวนอนกับเขาแต่ไม่ยอมแต่งงานกับเขา ต้องให้เขาแต่งงานเข้าตระกูลนางเท่านั้น ที่แท้หวงฝู่จวินโหรวก็ตัดสินใจเองไม่ได้เหมือนกัน!
เมื่อได้สติกลับมา เหมียวอี้ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “ในเมื่อสมาคมวีรชนมีอำนาจมากขนาดนี้ ทำไมปราสาทดำเนินนภาของพวกท่านยังกล้าปกป้องข้าอีกล่ะ ไม่กลัวฝั่งราชันสวรรค์เหรอ?”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องถามแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่ข้าควรพูด” จงหลีค่วยตอบ
“แล้วท่านรู้เบื้องลึกของราชันสวรรค์กับสมาคมวีรชนได้อย่างไร?” เหมียวอี้มองสำรวจเขาแวบหนึ่ง “ท่านรู้เรื่องพวกนี้ตั้งนานแล้วเหรอ? ทำไมไม่เห็นท่านเตือนข้าล่วงหน้าเลย? ทำไมต้องรอให้ข้าก่อเรื่องใหญ่โตแล้วค่อยมาเตือน!”
จงหลีค่วยเงียบไป และสุดท้ายก็อธิบายอย่างลำบากใจ “หนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ข้าก็ยังไม่รู้หรอก ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์เพิ่งบอกข้า ให้ข้ามาบอกเจ้าต่อ ให้ข้ามาแนะนำเจ้าสักหน่อย ว่าหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรง เจ้ารักษาไว้ไม่ได้หรอก! ถึงแม้ปราสาทดำเนินนภาจะไม่กลัวสมาคมวีรชน แต่อาจารย์ข้าที่เป็นรองเจ้าสำนักก็ต้องพิจารณาเพื่อส่วนรวมของปราสาทดำเนินนภา ปกป้องเจ้าได้แต่ชั่วคราวเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะสู้กับสมาคมวีรชนเพื่อเจ้าไปตลอด ถึงอย่างไรสมาคมวีรชนก็ไว้หน้าปราสาทดำเนินนภาเต็มที่แล้ว แค่นี้ก็ถ่อมตัวไม่กล้าล่วงเกินมากพอแล้ว ถึงขีดจำกัดแล้ว ถ้าจะให้พวกเขาคุกเข่าอีกก็คงเป็นไปไม่ได้ เจ้าต้องเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ!”
คำพูดนี้ชัดเจนมากแล้ว เหมียวอี้เองก็ฟังเข้าใจ ปราสาทดำเนินนภาก็มีจุดที่ลำบากเหมือนกัน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ถึงแม้เหมียวอี้จะมีความสัมพันธ์อันดีกับจงหลีค่วย แต่ก็มีความสัมพันธ์ที่ธรรมดากับปราสาทดำเนินนภา แค่ส่งยอดฝีมือบงกชรุ้งสามคนไปคุ้มกันเขากลับมาก็นับว่าทำดีที่สุดแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่ปราสาทดำเนินนภาจะสู้กันเอาเป็นเอาตายกับสมาคมวีรชนโดยไม่สนใจชีวิตของลูกศิษย์ในสำนัก
บทที่ 958 เปลี่ยนเจ้าของร้านขายของชำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ เหรอ?” เหมียวอี้ที่ยื่นมือไปสัมผัสก้านดอกไม้หันกลับมาช้าๆ ถามกลับว่า “ให้ข้านำหุ้นสองส่วนนั้นให้พวกเขาเหรอ? ถ้าไม่มีข้าสร้างร้านค้าร้านนั้นให้สำนักลมปราณ ร้านขายของชำซื่อตรงก็ไม่มีทางอยู่มาจนถึงวันนี้หรอก! ที่ร้านขายของชำซื่อตรงมีวันนี้ได้ ก็เพราะข้าผลักดันเองกับมือ ข้าได้หุ้นไปสองส่วนก็ไม่นับว่าเยอะหรอก หุ้นสองส่วนนั้นคือของของข้า เป็นแหล่งทรัพยากรฝึกตนที่ใหญ่ที่สุดของข้าด้วย ทำไมข้าต้องให้คนอื่นล่ะ?”
จงหลีค่วยถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็เพราะร้านขายของชำซื่อตรงมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไงล่ะ อาศัยแค่กำลังของเจ้าก็รักษาไว้ไม่อยู่หรอก! ดูจากแนวโน้มแบบนี้ เจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่า ดีไม่ดีมันอาจจะกลายเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของแดนฝึกตนก็ได้! เจ้าคนเดียวสู้ไม่ชนะฝ่ายนั้นหรอก อำนาจภูมิหลังไม่คู่ควรให้ถือรองเท้าให้เขาด้วยซ้ำ กอดเนื้อชิ้นใหญ่ขนาดนี้เอาไว้ จะไม่ดึงดูดพวกหมาป่าที่หิวโหยได้อย่างไร? อาจารย์ของข้าหมายความว่า ถ้าเจ้าจะมอบของสิ่งนั้นให้อีกฝ่ายไป ปราสาทดำเนินนภาของเราจะเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้ รับรองว่าตั้งแต่นี้ไปสมาคมวีรชนจะเลิกรังควานเจ้า บางทีอาจจะทำให้เจ้ารักษาหุ้นที่ร้านขายของชำไว้ได้บ้างสักนิด เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เหมียวอี้เม้มริมฝีปากแน่น ยากจะบรรยายความคับแค้นในใจออกมาได้ เขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ตัวเขาในตอนนี้เหมือนเด็กสามขวบที่กอดสมบัติล้ำค่าเดินโอ้อวดตามถนน ถ้าไม่มอบให้อีกฝ่ายไป เกรงว่าพิภพใหญ่คงจะไม่มีที่ให้เขายืน
จงหลีค่วยถอนหายใจแล้วบอกว่า “อาจารย์ข้าบอกแล้ว อย่าว่าแต่เจ้าเลย ตราบใดที่ร้านขายของชำซื่อตรงยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วที่สำนักลมปราณจะต้องเผชิญกับแรงกดดันเดียวกัน สมาคมวีรชนเองก็รักษาหุ้นมากมายขนาดนั้นไม่ไหวเหมือนกัน อำนาจจากฝ่ายต่างๆ จะแทรกเข้ามา ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ตอนนี้สมาคมวีรชนไม่ได้แย่งชิงสิ่งนี้เพื่อตัวเองเลย เจ้าคงจะรู้ว่าหมายความว่าอย่างไร เจ้าต้านทานไหวเหรอ?”
พอพูดถึงสำนักลมปราณ สำนักลมปราณก็ส่งข่าวมาทันที เหมียวอี้ที่กำลังทำสีหน้าไม่ยอมนำระฆังดาราออกจากกำไลเก็บสมบัติ อวี้ซวีเจินเหรินส่งข่าวมาแล้ว
ที่จริงสำนักลมปราณก็รู้สึกถึงแรงกดดันแล้วเช่นกัน ตอนแรกมีคนมาถามเรื่องหุ้นสองส่วนที่อยู่ในมือเหมียวอี้ บอกว่าได้ยินมาว่าหุ้นสองส่วนที่อยู่ในมือเหมียวอี้เป็นคำสัญญาปากเปล่า ไม่ได้ลงนามสัญญา ดังนั้นจึงมีคนอยากจะซื้อหุ้นสองส่วนนั้นจากมือของสำนักลมปราณ ชัดเจนว่ามองเห็นอนาคตที่ก้าวหน้าของร้านขายของชำแล้ว คิดจะฉวยโอกาสเริ่มลงมือตอนที่หุ้นยังราคาต่ำ
ส่วนเจ้าสำนักอวี้หลิงเจินเหรินก็บอกไปว่า ตอนที่ขยายสาขาร้านขายของชำซื่อตรงครั้งก่อน ได้ลงนามสัญญาอย่างเป็นทางการกับเหมียวอี้ไปแล้ว
ความจริงคือยังไม่ได้ลงนามสัญญา แต่ตอนนี้อวี้หลิงเจินเหรินลงนามสัญญาเรียบร้อยแล้ว อวี้ซวีเจินเหรินจะถามว่าเหมียวอี้อยู่ที่ไหน อยากจะนำสัญญาส่งมาให้ถึงมือ
เห็นได้ชัดว่าสำนักลมปราณรับแรงกดดันนั้นไม่ไหวเช่นกัน ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ อวี้หลิงเจินเหรินยังสามารถรักษาสัญญาและนำหุ้นสองส่วนนั้นร่างเป็นสัญญามอบให้เหมียวอี้ได้ ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ
แต่สิ่งที่สำนักลมปราณสามารถช่วยเหมียวอี้ได้ก็มีแค่เท่านี้ เป็นเพราะกำลังอำนาจของตัวเองมีจำกัด เพราะสำนักลมปราณก็รักษาส่วนของตัวเองไว้ไม่อยู่เช่นกัน แรงกดดันปะทะเข้ามาราวกับพายุคลั่ง ไม่น่าเชื่อว่าสำนักลมปราณเล็กๆ จะยั่วให้ผู้มีอำนาจทั้งหลายของตำหนักสวรรค์ทยอยมาไม่ขาดสาย ไม่มีใครที่สำนักลมปราณจะไปมีเรื่องด้วยไหว ขนาดชีอู๋เจินเหริน ปรมาจารย์ผู้บุกเบิกสำนักลมปราณยังได้รับแรงกดดันเลย ผู้บังคับบัญชาของชีอู๋เจินเหรินมาเจรจาที่สำนักลมปราณด้วยตัวเอง จะให้สำนักลมปราณทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร!
แต่อย่างน้อยสำนักลมปราณก็ยังมีคนของตำหนักสวรรค์หนุนหลัง ผู้มีอำนาจพวกนั้นไม่สะดวกจะแสดงความโลภมากเกินไป อย่างน้อยก็ยังต้องรักษากฎกติกา นำหุ้นไปจากมือของสำนักลมปราณโดยวิธีการรับซื้อ เพียงแต่ราคาไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร ต้องขายถูกๆ เท่านั้น ขายแพงไม่ได้
สุดท้ายหุ้นสี่ส่วนของสำนักลมปราณก็ถูกแบ่งครึ่ง เหลือเพียงหนึ่งในแปดส่วน นี่ยังเห็นแก่ที่สำนักลมปราณบริหารร้านขายของชำมาหลายปี ช่องทางจัดหาสินค้าต่างๆ ล้วนอยู่ในมือของสำนักลมปราณ ถ้าถอดคนบริหารร้านค้าของสำนักลมปราณออกไปหมด ก็เป็นเรื่องยากที่จะให้คนอื่นจะมารับช่วงต่องานซื้อขายสินค้าเบ็ดเตล็ดแบบนี้ มีแค่สำนักลมปราณที่มีประสบการณ์บริหารการค้ารูปแบบใหม่ มิหนำซ้ำ ถ้าจะเปลี่ยนคนก็คงต้องเปลี่ยนชื่อร้านด้วย ถ้าจะเรียกว่าร้านขายของชำซื่อตรงต่อไป ก็คงจะฟังดูไม่เข้าท่า และผู้มีอำนาจพวกนั้นก็ไม่มาบริหารธุรกิจแบบนี้โดยตรง ไม่ว่าธุรกิจอะไรก็ตาม แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาก็แค่ซื้อมาแล้วส่งให้คนอื่นจัดการดูแลต่อ เวลาเกิดปัญหาอะไรขึ้น ตัวเองก็แค่ออกหน้าไปสนับสนุน ที่เหลือแค่รอรับเงินก็พอ
คำพูดบางคำ อวี้ซวีเจินเหรินก็ไม่สะดวกใจที่จะเอ่ยออกมา ถึงแม้สำนักลมปราณจะเสียหายไปไม่น้อย แต่ก็ยังมีรายรับอยู่ ประเดี๋ยวเดียวก็ได้ตีสนิทกับผู้มีอำนาจพวกนั้นแล้ว ดูแลธุรกิจให้ผู้มีอำนาจมากมายขนาดนั้น ทำให้ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครกล้าแตะต้องศิษย์ของสำนักลมปราณ อันดับของสำนักลมปราณขึ้นพรวดพราดในรวดเดียว ส่วนชีอู๋เจินเหริน ปรมาจารย์ผู้บุกเบิกสำนักลมปราณที่เคยมีชีวิตการงานไม่ได้ดั่งใจ ปัจจุบันก็ได้เลื่อนขั้นแล้วเช่นกัน ได้อาศัยบารมีพวกลูกศิษย์แล้ว
เมื่อรู้ข่าวว่าสำนักลมปราณโดนกดดันให้ขายหุ้นในมือไปแล้ว เหมียวอี้ถือระฆังดาราอยู่ในมือ แต่ใบหน้ากลับฉายแววดุร้าย กลิ่นอายสังหารลอยขึ้นรอบตัว ตะโกนในใจว่า ไอ้พวกโจรสุนัขรังแกกันเกินไปแล้ว!
จุดจบของสำนักลมปราณนับว่ายังดี อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยินดีจ่ายเงินซื้อจากสำนักลมปราณ ทั้งยังเหลือหุ้นบางส่วนไว้ให้สำนักลมปราณด้วย แต่สำหรับหุ้นของเหมียวอี้ อีกฝ่ายกลับไม่คิดจะจ่ายเงินซื้อสักแดงเดียว อยากจะแย่งไปตรงๆ เลย!
แค่คิดดูนิดเดียวเขาก็เข้าใจแล้ว ตอนที่ร้านขายของชำยังไม่ขยายสาขา ก็ยังเป็นเนื้อชิ้นเล็กเกินไป ยังไม่มีสายตาอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกผู้มีอำนาจสอดส่องเข้ามา แต่พอขยายสาขาก็ดึงดูดความสนใจทันที เกรงว่าจะเป็นเพราะสมาคมวีรชนเกิดอดใจรอไม่ไหว จึงลงมือกับเหมียวอี้ด้วยตัวเอง ถ้ายังไม่ลงมือเดี๋ยวจะไม่ทัน
ตอนนี้นับว่าเหมียวอี้เข้าใจแล้ว ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีคนหนุนหลังใหญ่โตถึงได้มีสิทธิ์ทำซี้ซั้ว ตอนนี้ถึงได้พบว่าที่จริงแล้วพิภพใหญ่ไม่ได้ต่างอะไรกับพิภพเล็ก เหมือนเปลี่ยนแค่น้ำแกง ไม่ได้เปลี่ยนยา ถ้าไม่มีอำนาจก็ไม่สามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงได้ ตัวเองในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับนักพรตอิสระที่พิภพเล็ก
เมื่อเห็นกลิ่นอายสังหารบนตัวเหมียวอี้ จงหลีค่วยก็มองระฆังดาราในมือเขาแวบหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ไม่มีอะไร!” เหมียวอี้ส่ายหน้า ถามว่า “ข้ามีเรื่องจะขอคำชี้แนะสักเรื่อง ในตำหนักสวรรค์ บุคคลที่สามารถหนุนหลังได้ดีมีแซ่เซี่ยโห้วกับแซ่โค่วรึเปล่า?”
จงหลีค่วยตอบอย่างไม่แน่ใจ “มันก็มีอยู่หรอกนะ ได้ยินว่าราชินีสวรรค์มีแซ่สองพยางค์คือเซี่ยโห้ว แล้วก็มีอ๋องสวรรค์โค่ว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ สองท่านนี้ภูมิหลังคงจะใหญ่พอสมควรกระมัง? ส่วนคนอื่นๆ ข้าเองก็ไม่ได้สนิทกับคนของตำหนักสวรรค์ พวกตัวเล็กตัวน้อยที่เหลือข้ารู้จักเสียที่ไหนล่ะ คนตำแหน่งใหญ่ๆ เท่าที่เคยได้ยินมาก็มีแค่สองท่านนี้แหละ เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?”
เหมียวอี้อึ้งทันที ราชินีสวรรค์มีแซ่สองพยางค์คือเซี่ยโห้ว ไอ้เซี่ยโห้วหลงเฉิงนั่นคงไม่ใช่คนของตระกูลราชินีสวรรค์หรอกใช่มั้ย?
พอคิดดูก็รู้สึกว่าเป็นไปได้จริงๆ คนที่มีภูมิหลังแต่ไม่ยอมพูดออกมา ถ้าไม่เป็นคนสำรวมถ่อมตัว ก็แสดงว่าภูมิหลังใหญ่เกินไปจนกลัวว่าพูดออกมาแล้วจะส่งผลกระทบไม่ดี หรือไม่ภูมิหลังก็เล็กเกินไป ถ้าพูดออกกลัวคนจะหัวเราะเยาะ ภูมิหลังของเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่เล็กแน่นอน เจ้าบ้านั่นไม่ใช่คนถ่อมตัว อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการหมีควายนั่นคือคนของตระกูลราชินีสวรรค์จริงๆ?
ถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีที่มาแบบนี้จริงๆ เช่นนั้นโค่วเหวินหลานก็คงจะมาจากอ๋องสวรรค์โค่วอะไรนั่นจริงๆ ไม่อย่างนั้นคนทั่วไปที่ไหนจะกล้าแย่งผู้หญิงกับคนของตระกูลราชินีสวรรค์ ถ้าเป็นคนระดับสี่อ๋องสวรรค์ก็พอเป็นไปได้ ถึงอย่างไรต่อให้ฐานะของราชินีสวรรค์จะสูงกว่านี้ แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นญาติฝ่ายหญิง แต่สี่อ๋องสวรรค์กลับเป็นบุคคลสำคัญที่กุมอำนาจที่แท้จริงไว้ในมือ
“ไม่มีอะไร!” เหมียวอี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว กัดฟันบอกว่า “หุ้นสองส่วนนั้นข้าไม่เอาแล้ว แต่สมาคมวีรชนจะเอาชีวิตข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ยังจะให้ข้ามอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้พวกเขาอีกเหรอ? ข้าก็ไม่ได้ต่ำต้อยถึงขั้นนั้น! ท่านไม่ต้องห่วง ข้าไม่อยู่รบกวนที่ปราสาทดำเนินนภานานหรอก และจะไม่ทำให้ปราสาทดำเนินนภาลำบากด้วย เพียงหวังว่าอีกไม่กี่วันจะรบกวนปราสาทดำเนินนภาอีกสักครั้ง ไปส่งข้ากลับดาวเทียนหยวนสักครั้งได้รึเปล่า ความแค้นที่เหลือระหว่างข้ากับสมาคมวีรชน เดี๋ยวข้าจะจัดการด้วยตัวเอง!”
เขาเองก็โดนกดดันจนถึงขั้นหมดทางเลือกแล้ว ถ้าไม่มอบหุ้นส่วนนั้นไปก็ไม่ได้ อาศัยกำลังความสามารถของเขาในตอนนี้ ก็ไม่มีทางปกป้องไว้ได้เลย!
“เฮ้อ!” จงหลีค่วยรู้ว่าครั้งนี้เหมียวอี้ขาดทุนหนัก แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ปราสาทดำเนินนภาจะต้องเข้าไปร่วมลุยน้ำโคลนนี้ด้วย จึงได้แต่ตบบ่าเขาและบอกว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง เรื่องส่งเจ้ากลับดาวเทียนหยวน เดี๋ยวข้าจัดการเอง ข้าจะโน้มน้าวทางรองเจ้าสำนักให้” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป ต้องไปบอกให้สำนักรู้ถึงท่าทีของเหมียวอี้
เหมียวอี้ที่ยืนเงียบอยู่ที่เดิมเริ่มกำหมัด ตอนที่ร้านขายของชำซื่อตรงยังไม่ขยายสาขา ในแต่ละปีเขาได้กำไรพิเศษห้าหมื่นล้านผลึกแดง เท่ากับยาแก่นเซียนห้าหมื่นเม็ดในแต่ละปี แค่คิดก็รู้แล้วว่าสภาพรายได้จะเป็นอย่างไร ยอมถวายเนื้อชิ้นใหญ่ขนาดนี้ให้คนอื่น ถ้าบอกว่าไม่ปวดใจก็คงโกหก แต่ก็อย่างที่บอก ตอนนี้เขารักษาไว้ไม่ได้จริง ถ้าไม่คายออกมา พิภพใหญ่ก็ไม่มีที่ให้เขายืน!
เขาไม่ใช่คนลังเล ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะสละรถเพื่อรักษาคนขับ ก็ไม่มีอะไรให้นึกเสียใจทีหลัง ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีโอกาสนำของที่เสียไปกลับคืนมาได้เสมอ!
เหมียวอี้ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง แล้วเก็บสีหน้าอารมณ์ จากนั้นมองไปรอบๆ แล้วสาวเท้าเดินเข้าไปในโถงหลัก พอเดินมาตรงหน้าฉากกั้นห้องโถงด้านข้าง เขาก็หยิบก้อนโลหะกลมที่ได้มาจากก้นทะเลสาบที่ดาวแมกไม้ออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ให้มันกางออกในฝ่ามือ
เมื่อเปรียบเทียบภาพทั้งสอง เหมียวอี้ก็ตกใจไม่เบา ตอนแรกยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป ตอนนี้ถึงได้พบว่าลักษณะพื้นภูมิของปราสาทดำเนินนภาที่วาดไว้บนฉากกั้นใกล้เคียงกับที่วาดไว้บนแผนที่ซ่อนสมบัติมาก เพียงแต่ลักษณะพื้นภูมิบนแผนที่ซ่อนสมบัติได้ย่อขอบเขตไว้กว้างกว่าเท่านั้นเอง
เมื่อเทียบแหน่งดูให้ละเอียด ลักษณะการวางตัวของภูเขาแม่น้ำก็เหมือนกันแทบทุกอย่าง แค่บนฉากกั้นทำสัญลักษณ์ของสิ่งปลูกสร้างไว้เยอะกว่าเท่านั้นเอง อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรต่างกัน
มิน่าล่ะก่อนหน้านี้ถึงรู้สึกคุ้นตา เหมียวอี้จึงขอแผนที่ซ่อนสมบัติฉบับสำเนาจากหมิงจ้าวได้ทันเวลา ตอนนี้นำออกมาเปรียบเทียบยืนยันแล้ว
เหมียวอี้เปรียบเทียบตามวิธีการที่หมิงจ้าวสอน ดูว่าภาพกลุ่มดาวบนแผนที่สมบัติที่ได้มาจากก้นทะเลสาบอยู่ในสถานที่ไร้ระเบียบเหมือนกันหรือไม่
ในสัญลักษณ์ดาราจักรที่หนาแน่นยั้วเยี้ย เขาเจอดาวหลักสามดวงบนแผนที่ฉบับสำเนา แต่บนแผนที่โลหะมีดาวหลักเพียงสองดวง ความแตกต่างนี้ไม่สามารถตัดสินอะไรได้ เนื่องจากเป็นภูมิภาคเดียวกันแต่เป็นคนละพื้นที่ สถานที่ไร้ระเบียบมีดวงอาทิตย์หลายดวง หรือเรียกอีกอย่างว่าดาวหลักนั่นเอง
หลังจากเปรียบเทียบแผนที่สองฉบับแล้ว ก็พบว่ามีดาวหลักดวงหนึ่งที่มีดาวรองและดาวเสริมในขอบเขตจำนวนเท่ากัน เหมียวอี้รีบหาตำแหน่งดาวหลักที่ตรงกับบนแผนที่สองฉบับนั้น ปรากฏว่าเป็นตำแหน่งของดาวแมกไม้บนแผนที่ฉบับสำเนา แยกออกเป็นทิศทางไปดาวดำเนินนภา เขาใช้นิ้วลากเส้นจากแผนที่ม้วนหนังไปบนแผนที่โลหะ พอลากลงมาเรื่อยๆ ผลก็คือตัดผ่านดาวเคราะห์ซ่อนสมบัติบนแผนที่โลหะพอดี
วินาทีที่ลากเส้นตัดผ่านอย่างแม่นยำ เหมียวอี้ก็มองดูภาพประกอบ แล้วเงยหน้ามองแผนที่บนฉากกั้นอีก เขาตกตะลึงเล็กน้อย ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ จริงหรือล้อเล่น? สถานที่ซ่อนสมบัติอยู่ที่ดาวดำเนินนภาเหรอ ทั้งยังอยู่บริเวณปราสาทดำเนินนภาด้วย!
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น