พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 955-956

บทที่ 955 คลายปริศนาแผนที่ซ่อนสมบัติ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ล้างเลือดสมาคมวีรชนเหรอ? เจ้าให้เกียรติข้าเกินไปแล้วมั้ง แค่ปกป้องชีวิตข้าได้ก็พอแล้ว!


เหมียวอี้กำลังพึมพำในใจ พบว่าตาแก่คนนี้ชอบพูดจาแปลกๆ ชอบกล สงสัยจะเห็นตนเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดที่มารับกุญแจจริงๆ


อยากจะถามให้กระจ่าง แต่ตาแก่นี่ก็ไม่ยอมคายความจริงออกมา และตอนนี้เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์มาพัวพันกับประเด็นนี้เหมือนกัน จึงถามว่า “ผู้อาวุโสมีวิธีช่วยเหรอ?”


กิ่งไม้และใบไม้ด้านบนกลับมาคลุมไว้เหมือนเดิมแล้ว ผู้อาวุโสมู่เซินจ้องเขาอย่างไม่ละสายตาครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “เผ่าปีศาจรออยู่ที่นี่เพราะมีภารกิจของตัวเอง ไม่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องรบราฆ่าฟันได้ ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่กำลังของพวกเรา ก็ยากที่จะอยู่รอดมาได้ถึงวันนี้ และคงอยู่รอท่านไม่ไหวเช่นกัน แต่ข้าไปเชิญคนของปราสาทแมกไม้ได้ สมาคมวีรชนคงจะไม่กล้ากำเริบเสิบสานที่อาณาเขตของปราสาทแมกไม้”


เผ่าปีศาจทำงานรับใช้ปราสาทแมกไม้มาหลายปี  รับหน้าที่ดูแลช่องทางรายได้หลักให้ปราสาทแมกไม้อย่างจงรักภักดีมาโดยตลอด ค่าตอบแทนที่ต้องการก็ไม่สูง ขอแค่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าอันกว้างใหญ่ของปราสาทแมกไม้อย่างสงบสุข กอปรกับเผ่าปีศาจถนัดเรื่องดูแลรักษาป่า ไม่มีใครเหมาะสมที่จะปลูกกิ่งหยกเหลืองในป่านี้ได้เท่าพวกเขาอีกแล้ว จะไปหาแรงงานชั้นดีขนาดนี้ได้จากไหน ต่อให้ผู้อาวุโสมู่เซินไม่เอ่ยปาก ปราสาทแมกไม้ก็ไม่ให้คนของสมาคมวีรชนมากำเริบเสิบสานในอาณาเขตของตัวเองอยู่ดี


สำนักที่สามารถลงหลักปักฐานในสถานที่ไร้ระเบียบได้ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ถ้าแม้แต่ความน่าเกรงขามนี้ก็ยังไม่มี ในภายหลังก็คงเกิดปัญหาใหญ่แล้ว!


ไม่ว่าจะเป็นแขกผู้มีเกียรติหรือไม่ใช่แขกผู้มีเกียรติ นั่นก็เป็นเรื่องของเผ่าปีศาจ ปราสาทแมกไม้อยู่ร่วมกับเผ่าปีศาจที่ซื่อสัตย์อย่างปรองดองมาตลอด ไม่คิดจะเข้าไปก้าวก่ายประเพณีของเผ่าปีศาจ ดังนั้นปราสาทแมกไม้จึงถามเพียงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แม้แต่หน้าของเหมียวอี้ก็ขี้คร้านจะออกไปพบ จึงส่งกำลังพลออกมาทันที จับคนที่สะกดรอยตามเหมียวอี้ไปที่ประสาทแมกไม้โดยตรง


“กลับไปบอกตาแก่หวงฝู่ พวกเราไม่สนใจเรื่องของสมาคมวีรชน ตราบใดที่ไม่ก่อเรื่องในดาวแมกไม้ พวกเจ้าจะทำอย่างไรก็เรื่องของพวกเจ้า ปราสาทแมกไม้ของพวกเราไม่ใช่ลูกพลับอ่อนที่จะบีบกันง่ายๆ ไสหัวไป!”


เมื่อเผชิญการกดดันจากนักพรตที่มีพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ นักพรตบงกชทองขั้นสองที่ร้านค้าสมาคมวีรชนของดาวซิงหัวส่งมาก็ตกใจมาก หนีหัวซุกหัวซุนออกจากดาวแมกไม้


ผ่านไปไม่นาน ปีศาจโลหิตที่พาศีลแปดเหาะอยู่บนฟ้าก็ได้รับข่าวจากหวงฝู่จวินโหรว เตือนนางว่าอย่าไปก่อเรื่องที่ดาวแมกไม้ ปราสาทแมกไม้ออกหน้าแล้ว


“ไอ้เวรนี่สมควรตาย หนิวโหย่วเต๋อมีที่มายังไงกันแน่ ปราสาทดำเนินนภาช่วยเขาก็ว่าแย่แล้ว แม้แต่ปราสาทแมกไม้ก็ออกหน้าปกป้องเขาด้วย!” ศีลแปดปีศาจโลหิตที่จูงศีลแปดเหาะอยู่บนฟ้าแค้นจนกัดฟันกรอด


ศีลแปดชำเลืองมองอย่างโล่งอก แต่ภายนอกกลับกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดจึงดันทุรัง เหตุใดไม่รีบหาโอกาสกลับตัว?”


“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะหลบอยู่ที่ดาวแมกไม้ไปทั้งชีวิต! ถึงแม้สมาคมวีรชนจะไม่สะดวกสู้กับปราสาทแมกไม้ แต่ในเมื่อลงมือแล้ว หากข้ายังไม่ได้เอาจริง ข้าก็ไม่ยอมรามือหรอก คอยดูเถอะ ข้าจะต้องหาทางกดดันให้เขาออกมาให้ได้!” ปีศาจโลหิตตอบอย่างเคียดแค้น


ทางด้านเผ่าปีศาจ เหมียวอี้ได้ข่าวจากผู้อาวุโสมู่เซินว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยแล้ว เขายังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นอะไร ไม่เห็นว่าปราสาทแมกไม้เคลื่อนไหวอะไรเลย


แต่เหมียวอี้ก็เข้าใจเช่นกัน ปลอดภัยแค่ที่ดาวแมกไม้ ถ้าออกจากดาวแมกไม้เมื่อไรก็ไม่ปลอดภัยแน่นอน


ยังไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ แค่ปลอดภัยชั่วคราวก็พอแล้ว ทำตามเป้าหมายในการมาครั้งนี้สำเร็จก่อน รีบหาทางนำเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานมาไว้นมือให้เร็วที่สุด ยิ่งปล่อยให้เวลายาวนาน อุปสรรคก็ยิ่งมีมาก


พอกลับมาจากผู้อาวุโสมู่เซิน เข้าไปในโพรงใต้ต้นไม้ยักษ์ที่เป็นที่พักชั่วคราว เหมียวอี้ก็นำกระจกทองแดงบานนั้นออกมาร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นอีก


ตรงกลางระหว่างภูเขาสามลูก บนท้องฟ้าสูงหกพันจั้ง ยามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน มองลงเบื้องล่าง เคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานภาคดิน!’ ตัวอักษรยี่สิบเจ็ดตัวปรากฏขึ้นอีกครั้ง


“ตรงกลางระหว่างภูเขาสามลูกข้าเจอแล้ว บนท้องฟ้าสูงหกพันจั้งก็เข้าใจง่าย แล้วสองประโยคหลังหมายความว่ายังไง ยามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน มองลงเบื้องล่าง…” เหมียวอี้อุ้มกระจกทองแดงพลางครุ่นคิดพึมพำอยู่พักหนึ่ง


วันต่อมาตอนที่ฟ้ายังไม่สว่างดี เหมียวอี้ออกมาข้างนอกคนเดียว เหาะขวักไขว่อยู่ในป่าอย่างรวดเร็ว บนภูเขาหินที่เคยโดนคนตัดส่วนยอดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เขายืนอยู่บนนั้นพลางมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง จากนั้นก็เหาะขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว


ขณะที่เหาะขึ้นบนฟ้า ในใจเขาคำนวณระดับความสูงที่เหาะขึ้นมาโดยอิงจากความเร็วของตัวเอง ตอนที่เหาะขึ้นมาถึงหกพันจั้ง ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ลอยหยุดอยู่บนฟ้า


เมื่อมองไปรอบๆ ยังพอเห็นแสงจันทร์ที่อยู่ไกลๆ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็มีแสงสีขาวเหมือนพุงปลาโผล่ออกมา ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น พอมองดูที่พื้นดินอีกครั้ง เบื้องล่างก็มืดตึ๊ดตื๋อ มองไม่เห็นเบาะแสอะไร สิ่งนี้ทำให้เขาปวดกบาลมาก ประโยค ‘ยามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน มองลงเบื้องล่าง’ ก็จะเห็นเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานโผล่ออกมาเหรอ?


ถึงแม้เขาจะเรียนหนังสือมาไม่เยอะ แต่ถึงอย่างไรเหล่าไป่ก็เคยบังคับให้เขาเรียนอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ความหมายที่อยู่บนอักษรยี่สิบเจ็ดตัวนั้น ดูเผินๆ แล้วชัดเจนเข้าใจง่ายมาก ไม่ถึงขั้นอ่านไม่ออก แต่เขาก็ยังสงสัยอีก ว่าทิศทางการตีความหมายของตัวเองผิดพลาดไปหรือปล่า ถ้ายืนอยู่ตรงนี้แล้วสามารถมองเห็นเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน เช่นนั้นคนที่เหาะเข้าเหาะออกดาวแมกไม้ก็ต้องมองเห็นไปตั้งนานแล้วน่ะสิ?


ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นก็รอให้ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ส่องแสงพร้อมกัน แล้วค่อยดูอีกทีก็แล้วกัน! เมื่อเจอกับวิธีการซ่อนสมบัติที่เป็นนามธรรมแบบนี้ เหมียวอี้รู้สึกอับจนหนทางมาก


ตอนที่แสงอาทิตย์สายแรกสาดส่องมาถึงเขา บนพื้นดินที่อยู่ไกลๆ ก็มีแสงสีทองลอยขึ้นมา แต่บนพื้นดินด้านล่างยังมืดตึ๊ดตื๋อเหมือนเดิม เหมียวอี้ที่ลอยอยู่บนฟ้ามองไปรอบๆ อย่างเชื่องช้าและระแวดระวัง มองที่พื้นดินเป็นระยะ ในหัวกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ตลอด พิจารณาอย่างละเอียดว่าตัวเองตีความอักษรยี่สิบเจ็ดตัวนั้นผิดหรือเปล่า


เวลาล่วงเลยผ่านไปทีละนิด ตอนที่แผ่นดินครึ่งหนึ่งโดนอาบด้วยแสงสีทอง ส่วนแผ่นดินอีกครึ่งยังมืดสลัว ใต้เท้าเหมียวอี้ก็เกิดเรื่องปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง กลางคืนอันมืดมิดและกลางวันอันสว่างไสวกำลังก่อตัวเป็นเส้นแบ่งเขตเลือนรางอยู่ใต้เท้าของเขา เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานระหว่างแสงสว่างกับความมืด มีเสน่ห์ไปอีกแบบ


แต่เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อชื่นชมสิ่งนี้ แค่มองดูไม่กี่ครั้งเท่านั้น เขาลอยวนอยู่กลางอากาศ จ้องประเมินสิ่งที่อยู่ข้างหลัง ปากพึมพำประโยคนั้นซ้ำๆ  “ยามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน มองลงเบื้องล่าง แม่งเอ๊ย ให้มองอะไรกันแน่…”


มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ขณะที่ปากกำลังพึมพำด่า แววตาที่กำลังกวาดมองไปรอบๆ โดยไม่ได้ตั้งใจก็ชะงัก เขาค่อยๆ หันกลับมามองที่ไหล่ซ้าย มองไปทางพื้นดินอันกว้างใหญ่ที่กำลังโดนแสงสีทองครอบคลุมทีละนิด เขากลั้นลมหายใจ ตาสองข้างค่อยๆ เบิกโพลง ร่างกายหันตามไปอย่างช้าๆ ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ


เรื่องมหัศจรรย์! เกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นแล้ว!


ปรากฏเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นบนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ที่ตะวันและจันทราแย่งกันสาดแสงลงมา ไม่น่าเชื่อว่าบนพื้นดินที่สูงต่ำเป็นระลอกจะสลักรูปผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ เป็นผู้หญิงหน้าคุ้นคนหนึ่งที่เขาเคยเห็นมาก่อน ผู้หญิงที่อยู่บนหินสลักในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งและแผนที่ซ่อนสมบัติ! สิ่งเดียวที่ต่างกันก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้จะได้เห็นภาพนางจากพื้นดินอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา การได้เห็นนางบนพื้นดินที่มีบริเวณกว้างใหญ่ขนาดนี้ทำให้เขาตกตะลึงมาก ครั้งนี้ได้เห็นนางในแบบที่ยิ่งใหญ่มาก!


ถึงแม้จะไม่ได้ดูชัดเจนมีชีวิตชีวาสมจริงเหมือนบนแผนที่ซ่อนสมบัติและแท่นหินในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง แต่ก็มีเค้าโครงที่ชัดเจนมาก ทั้งยังแจ่มชัด มีชีวิตชีวา สดใส บางทีอาจเป็นเพราะผลกระทบจากแสงอาทิตย์ ยังอยู่ในสภาพกางแขนสองข้างทะยานขึ้นฟ้าอย่างอ่อนช้อย เป็นภาพที่เหมือนระลอกคลื่นซัดสาดจริงๆ


นี่คือปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่มีทางมองเห็นหากไม่สังเกตให้ดี! ถ้าไม่เคยเห็นภาพสตรีทะยานฟ้ามาก่อน คงไม่มีภาพติดอยู่ในความทรงจำ จะต้องมองข้ามไปอย่างแน่นอน!


เมื่อภาพนี้ปรากฏขึ้น ก็หมายความว่าตัวอักษรบนกระจกทองแดงไม่ได้โกหก หมายความว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ที่นี่จริงๆ ทว่าปัญหาใหญ่ก็คือ เมื่อดูจากรูปภาพนี้แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะเจอที่ซ่อนสมบัติ


เหมียวอี้ที่กำลังตกตะลึงรีบสงบสติอารมณ์ หลังจากใจเย็นลงแล้ว ก็รีบใช้สายตากวาดมองม้วนภาพขนาดมหึมาบนพื้นดิน


มาถึงขั้นนี้แล้ว คำตอบที่คนซ่อนสมบัติให้ไว้เหมือนจะชัดเจนมาก เพียงแต่ถ้าใช้ความคิดมากขึ้นหน่อย ก็จะพบว่าสตรีทะยานฟ้าที่อยู่บนพื้นได้เปิดเผยคำตอบของปริศนาแล้ว สตรีทะยานฟ้าที่กำลังกางแขนอย่างอ่อนช้อยกำลังช้อนถือแสงสีทองระยิบระยับบนไว้ฝ่ามือ ราวกับถือลูกแก้วอัญมณีสีทองอร่ามเอาไว้ลูกหนึ่ง


เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องมอง มันย่อมไม่ใช่ลูกแก้วอัญมณีอะไรอยู่แล้ว เขาพบว่าแท้จริงแล้วลูกแก้วอัญมณีลูกนั้นก็คือทะเลสาบรูปวงรี เป็นปรากฏการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นยามอยู่ภายใต้การสะท้อนหักเหของแสงอาทิตย์ เพียงแต่เมื่อเชื่อมต่อภาพนั้นแล้ว ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเห็นสตรีทะยานฟ้ากำลังมอบสมบัติให้


ไม่ต้องพูดแล้ว ถ้าหากมีสมบัติอะไรจริงๆ ก็น่าจะอยู่ในทะเลสาบนั่นแล้วล่ะ เหมียวอี้รู้สึกเร่าร้อนในใจ ตื่นเต้นเร้าใจไม่หยุด ในที่สุดก็หาเจอแล้ว! ทุ่มเทความพยายามไปเต็มที่ ในที่สุดก็หาเจอแล้ว!


เหมียวอี้มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ถ้าเหาะไปที่นั่นโดยตรง เป้าหมายก็จะชัดเจนเกินไป เพื่อให้มั่นใจขึ้นหน่อย เขาตัดสินใจกลับไปบนพื้นดิน แล้วค้นหาสมบัติโดยอาศัยป่าภูเขาช่วยพรางตัว


เขาอดใจรอไม่ไหวแล้ว ไม่มีความลังเลใดๆ ทว่าตอนที่ร่างกำลังจะเหยียบลงพื้นแล้วมอง ‘รูปภาพ’ ด้านล่าง ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ พบว่าภาพสตรีทะยานฟ้าหายไปแล้ว ข้างล่างกลายเป็นภูเขาและแม่น้ำธรรมดาทั่วไป


มันเรื่องอะไรกัน? เขาเหาะขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง ภาพสตรีทะยานฟ้าที่เห็นก่อนหน้านี้ปรากฏชัดเจนอีกครั้ง


กระทั่งเขาเหาะถึงระดับที่สูงเกิน ก็พบว่าภาพสตรีทะยานฟ้าเปลี่ยนเป็นเลือนรางอีกแล้ว ค่อยๆ กลายเป็นภูเขาและแม่น้ำธรรมดาทั่วไป


ภายใต้การทดลองซ้ำๆ เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นด้วยความอัศจรรย์ใจ ในที่สุดเขาก็คลี่คลายความคลุมเครือของภาพที่อยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่นี้ได้แล้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนที่เหาะผ่านไปผ่านมาหลายปีจึงไม่สังเกตเห็น สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อน ภาพนี้ปรากฏขึ้นโดยอาศัยผลจากแสงสว่างกับเงามืดรวมทั้งสภาพพื้นดินที่สูงต่ำไม่เสมอกัน ถ้าไม่มีการทำงานร่วมกันของสองสิ่งนี้ก็จะมองไม่เห็น ถ้าเบี่ยงออกจากมุมนี้ก็จะมองไม่เห็นเหมือนกัน ต้องอยู่ในมุมที่เหมาะสมภายใต้สถานการณ์สองอย่างนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถมองเห็นได้ และมุมที่สามารถชมภาพได้ดีที่สุด ก็อยู่ในรัศมีซ้ายขวาบนล่างประมาณสามสิบจั้งจากตำแหน่งที่เขาลอยอยู่ตอนนี้


เมื่อมีเงื่อนไขสามข้อนี้ครบแล้ว ภาพทิวทัศน์ธรรมชาติ ภาพอันน่าตกตะลึงที่มีแม่น้ำเป็นเหมือนผ้าคาดเอวสตรีถึงจะปรากฏอยู่ตรงหน้า


การสร้างภาพแบบนี้ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน มันไม่เหมือนภาพสลักทั่วไป ภาพที่วาดไว้บนกระดาษหรือแผ่นหยก บทจะถูกทำลายก็ถูกทำลายทิ้งไปเลย แต่ขนาดพื้นที่ของภาพนี้ใหญ่เกินไป ต่อให้สภาพพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปจุดเดียว ก็ยังไม่ทำลายความรู้สึกเวลามองเห็นภาพรวม สามารถรักษาไว้ได้ยาวนาน


จะไม่ให้เหมียวอี้แอบทึ่งก็คงไม่ได้ พบว่าผู้ที่ปูเรื่องไว้ช่างเป็นคนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ คนที่ได้แผนที่ซ่อนสมบัติไปนึกว่าสมบัติซ่อนอยู่ระหว่างภูเขาสามลูก แต่ความจริงสิ่งที่เรียกว่าที่ซ่อนสมบัติเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง เป็นเพียงสถานที่ทดสอบผู้ที่จะมารับสมบัติใครจะไปจินตนาการออก ว่าแท้จริงแล้วสมบัติกลับซ่อนอยู่ในทะเลสาบที่ไกลออกไปหลายร้อยลี้ ต่อให้ผู้อาวุโสมู่เซินทรยศปณิธานของเจ้าของสมบัติเดิม แต่ก็นำสมบัติไปไม่ได้อยู่ดี ไม่แปลกใจเลย ขนาดปราสาทดำเนินนภาได้แผนที่ซ่อนสมบัติมาแล้วแต่ก็ยังกลับไปมือเปล่า ทำงานเสียแรงเปล่าไปหลายปี


…………………………



บทที่ 956 สมบัติซ่อนในทะเลสาบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เพียงแต่เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะสงสัย ว่าคนที่ซ่อนสมบัตินี้ไว้เป็นใครกันแน่? เกี่ยวอะไรกับเคล็ดวิชาอัคนีดาราที่ตนฝึก? ทำไมต้องกำหนดว่าคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเท่านั้นถึงจะได้สมบัติไป?


อยู่กับความสงสัยและครุ่นคิดไปต่างๆ นาๆ จนกระทั่งเงาของแสงอาทิตย์เปลี่ยนไป ภาพบนพื้นดินที่เกิดจากแม่น้ำภูเขาเริ่มเลือนรางทีละนิดจนแยกแยะไม่ออก เหมียวอี้ถึงได้เหาะลงมาบนพื้นอีกครั้ง มุดเข้ามาในป่าโบราณของภูเขาลึก แล้วเลี้ยวอ้อมไปอ้อมมาตลอดทาง


เขาอาศัยป่าโบราณของภูเขาลึกและลักษณะพื้นที่แบบต่างๆ เพื่อพรางตัวตลอดทาง ให้ตั๊กแตนที่นำติดตัวมาห้าตัวปูทางและนำหน้าเพื่อป้องกันตัว ในที่สุดก็คลำทางไปจนถึงทะเลสาบที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้


ริมทะเลสาบมีพืชน้ำเขียวชอุ่มสวยงาม น้ำใสสีเขียวมรกต หมู่นกกำลังเต้นระบำร้องขับขานอยู่บนต้นอ้อ


เหมียวอี้ที่ซ่อนตัวสังเกตการณ์ไปสักพักเก็บตั๊กแตนห้าตัวนั้น แล้วถือไข่มุกกันน้ำดำลงไปในน้ำอย่างเงียบๆ ระหว่างที่ดำน้ำก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ค้นหาตลอดทาง แต่ก็ไม่ค้นพบอะไร จึงขยับเข้าไปบริเวณกลางทะเลสาบทีละนิด เมื่อยิ่งเข้าใกล้บริเวณกลางทะเลสาบ น้ำก็ยิ่งลึกขึ้นเช่นกัน หลังจากไปถึงตรงจุดที่น้ำลึกร้อยเมตร จู่ๆ เหมียวอี้ก็พบว่าช่องว่างที่ไข่มุกกันน้ำกั้นออกมาป้องกันร่างกายเขาหดเล็กลงเรื่อยๆ ทั้งยังมีเสียงกัดเซาะดังแว่วมา มีหมอกสีดำกรองผ่านน้ำลอยเข้ามา


เหมียวอี้ตกใจนิดหน่อย ตอนแรกนึกว่าน้ำลึกทำให้แสงส่องลงมาไม่ถึง ตอนนี้ถึงได้พบว่าพอดำน้ำมาถึงตรงนี้ น้ำของทะเลสาบก็กลายเป็นสีดำเหมือนน้ำหมึกแล้ว ต่างกับน้ำสีเขียวมรกตชั้นบนโดยสิ้นเชิง ทำให้เหมียวอี้รู้ตัวทันที น้ำสีดำด้านล่างมีพิษ!


เกราะป้องกันตัวกางออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ไร้ประโยชน์! หลังจากประสิทธิภาพของไข่มุกกันน้ำโดนทำลาย เกราะป้องกันตัวก็โดนกัดกร่อนอย่างรุนแรงเช่นกัน


สิ่งนี้คืออะไร? ขณะกำลังตกใจ เหมียวอี้รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ปล่อยเปลวเพลิงไร้รูปร่างออกมาป้องกันตัว


เป็นอย่างที่คาดไว้ น้ำที่สีดำเหมือนหมึกพวกนั้น พอสัมผัสกับเปลวเพลิงก็เลิกกัดกร่อนทันทันที ป้องกันอยู่นอกร่างกายของเหมียวอี้อย่างราบรื่น


อย่าบอกนะว่าสิ่งนี้ก็เตรียมไว้สำหรับคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเหมือนกัน? เหมียวอี้ที่โล่งอกแล้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วดำลงไปที่ก้นทะเลสาบโดยตรง รอบข้างขุ่นมืดจนยื่นมือแล้วมองไม่เห็นนิ้ว ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองก็เห็นไม่ชัดเหมือนกัน แบบนี้จะให้หาของได้อย่างไร? ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูก็ไม่มีประโยชน์ น้ำสีดำที่สามารถกัดกร่อนพลังอิทธิฤทธิ์เป็นอุปสรรคในการค้นหา


เขาถึงได้ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำโดยตรง แล้วเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า พอแยกแยะตำแหน่งใจกลางทะเลสาบคร่าวๆ ได้ ก็โฉบจากฟ้าลงมาในทะเลสาบอีกครั้ง


ปรากฏว่าตัวเองตัดสินผิดพลาดไป บริเวณใจกลางทะเลสาบที่เห็นจากผิวทะเลสาบ ที่จริงเป็นเพราะลักษณะพื้นที่กักเก็บน้ำไว้ ลักษณะพื้นที่ก้นทะเลสาบกลับไม่ได้เรียบเสมอเท่ากัน ภายใต้ความอับจนหนทาง เมื่ออิงจากการค้นหาก่อนหน้านี้ ทำให้เขาตัดสินได้ว่าก้นทะเลสาบมีลักษณะรูปกรวย จึงดำน้ำลงไปตลอดทางตามลักษณะพื้นที่ก้นทะเลสาบ ดำน้ำไปจนถึงจุดต่ำสุด เตรียมจะหาจุดที่อยู่ตรงกลางให้เจอก่อน แล้วค่อยขยายวงค้นหาไปรอบๆ โดยอิงจุดนั้นเป็นจุดศูนย์กลาง เดาว่าถ้ามีสมบัติซ่อนอยู่ ก็น่าจะอยู่ในบริเวณที่ลึกที่สุด


ทว่าพอหาจุดศูนย์กลางของ ‘กรวย’ ก้นทะเลสาบพบ ถึงได้พบว่าก้นทะเลสาบมีโลกอีกใบ โพรงถ้ำที่กว้างประมาณหนึ่งจั้ง ด้านล่างเหมือนจะมีทางน้ำใต้ดิน


เหมียวอี้ที่ยืนอยู่หน้าโพรงถ้ำถือไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งคอยส่องแสง หลังจากลังเลอยู่ครู่เดียว สุดท้ายก็แข็งใจลอยลงไปโดยตรง ดำลงไปอย่างช้าๆ ตลอดทาง


ตามลักษณะพื้นแนวดิ่งที่เปลี่ยนเป็นแนวนอน เหมียวอี้ก็เดินทางตามแนวนอนอยู่ในทางน้ำใต้ก้นทะเลสาบเช่นกัน


หลังจากถึงปลายทาง ถ้าจะพูดให้ถูกคือจุดที่โดนอะไรบางอย่างกั้นไว้ เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ปล่อยเปลวเพลิงไร้รูปร่างออกมากันน้ำสีดำแล้วมองดู เขาตกใจแทบแย่ เห็นเพียงตะขาบสีมรกตที่เหมือนสวมเกราะรบสีเขียวตัวหนึ่งนอนขดเป็นวง ร่างกายของมันยาวประมาณสิบจั้ง โดนโซ่สีใสราวกับทับทิมหลายเส้นล่ามไว้ บนตัวยังมีตะปูยาวสีแดงที่ใหญ่หยาบราวกับแขนเสียบไว้ เสียบไว้หลายสิบแท่ง ร่างที่มีเปลือกสีเขียวมรกตของมันน่าเกลียดน่ากลัว ใครเห็นก็ต้องตกใจ


เหมียวอี้กำลังแปลกใจว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้เป็นหรือตาย แต่จู่ๆ ก็เห็นปากของมันขยับ พ่นหมอกสีดำเหมือนน้ำหมึกออกมาใส่เหมียวอี้โดยตรง


เหมียวอี้สะบัดแขนสองข้าง นอกร่างกายมีเปลวเพลิงไร้รูปร่างออกมาอีกชั้น กันไว้! หมอกดำโดนเผาสลายจางเป็นสีเทาทันที


ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีชีวิตอยู่! ขณะมองดูตะขาบที่กำลังนอนขดตัวขยับหนวดสัมผัสขนาดมหึมาสองข้าง เหมียวอี้ก็ตกใจมากเจ้าตัวนี้มันโดนขังมากี่ปีแล้ว? ไม่น่าเชื่อว่าจะยังไม่ตาย?


ดูเหมือนยังไม่ตาย แต่ตะขาบตัวนี้ก็กระดิกตัวแค่สองที แล้วก็ไม่ขยับตัวซ้ำอีก


เหมียวอี้พอจะเข้าใจแล้ว เป็นไปได้สูงว่าน้ำพิษสีดำที่อยู่ก้นทะเลสาบเป็นผลงานของตะขาบตัวนี้ เป็นไปได้ว่าผู้ซ่อนสมบัติจงใจล่ามตะขาบตัวนี้ไว้เพื่อสร้างอุปสรรคอีกชั้น


ไม่ต้องบอกเลย ขนาดแช่น้ำอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้วยังไม่ตาย แสดงว่าตะขาบพิษตัวนี้ต้องเป็นปีศาจเฒ่าอาวุโสแน่นอน ทั้งยังเป็นประเภทที่วรยุทธ์ร้ายกาจมากด้วย ถ้าจับปีศาจทั่วไปมาขังไว้แบบนี้ ก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานหรอก! เหมียวอี้อยากจะคลายผนึกบนตัวมัน แล้วถามว่ามันเป็นอะไรกันแน่ แต่พอคิดอีกมุม ถ้าทำแบบนั้นสมองตัวเองคงมีปัญหาแล้ว ถ้าไปยั่วแหย่สัตว์ประหลาดแบบนี้โดยที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ก็แสดงว่าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว


แต่ตรงนี้คือปลายทางแล้ว ทางน้ำที่ขนานกันทอดตัวลงไปข้างล่าง แต่ทางเข้ากลับถูกตะขาบยักษ์สีเขียวขวางไว้


พอกวาดสายตามองรอบๆ เขาก็ชะงักเล็กน้อย พบว่าบนผนังผนังหินด้านข้างมีบันไดหินที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ลาดเอียงขึ้นไป เหมียวอี้ที่มาพร้อมความมุ่งมั่นในการค้นหาต้องอยากขึ้นไปดูแน่นอน ถึงได้วางเรื่องตะขาบไวชั่วคราว แล้วลอยตามบันไดหินขึ้นไป หลังจากขึ้นไปตามบันไดหินที่วกวนหลายสิบเมตร เขาก็ตาเป็นประกายทันที เห็นห้องหินห้องหนึ่งที่เรียบง่ายสุดๆ บนเพดานห้องฝังเลี่ยมไข่มุกราตรีไว้เม็ดหนึ่ง ส่องแสงสว่างจางๆ


เนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ น้ำของทางน้ำใต้ดินจึงมาไม่ถึงตรงนี้ สายตาเหมียวอี้กำลังจ้องภาพสลักหินบนผนังหินอย่างตกตะลึง เห็นบ่อยจนเริ่มจะคุ้นชิน เป็นสตรีทะยานฟ้าคนนั้นอีกแล้ว แต่ครั้งนี้กลับเป็นภาพสลักนูน เพียงแต่ก้อนโลหะกลมสีดำที่ถืออยู่ในมือ ครึ่งหนึ่งของมันถูกฝังเลี่ยมอยู่บนผนังหิน


พื้นที่ว่างในห้องหินไม่ใหญ่มาก คาดว่าบริเวณรอบๆ กว้างไม่ถึงสองจั้ง หรือนี่จะเป็นสถานที่ซ่อนสมบัติที่ต้องการหา?


เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจที่ผนังหินรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่พบที่ซ่อนสมบัติใดๆ เลย รู้สึกงงนิดหน่อย ห้องหินเล็กขนาดนี้ แค่มองปราดเดียวก็เห็นทุกอย่างตรงหน้าหมดแล้ว ยังจะซ่อนสมบัติอะไรได้อีกล่ะ? ไม่ใช่หรอกมั้ง? สมบัติที่ราชันลัทธิมาซ่อนไว้ล่ะ? ข้าสิ้นเปลืองความพยายามไปมากขนาดนี้ คงไม่ได้แกล้งข้าเล่นหรอกใช่มั้ย?


แต่พอลองคิดอีกมุมหนึ่ง ผู้ซ่อนสมบัติสิ้นใช้ความพยายามไปมากขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาเรื่องนี้มาล้อเล่น สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดที่ก้อนโลหะกลมสีดำบนมือของสตรีทะยานฟ้าอีกครั้ง ในห้องหินมีเพียงสิ่งนี้ที่เป็นวัตถุประหลาด เมื่อมองให้ละเอียดก็รู้สึกคุ้นเหมือนเคยเห็นมาก่อน เหมียวอี้ยกมือขึ้นขยุ้มกลางอากาศ เกิดเสียงดัง ‘แกร๊ก’ ก้อนโลหะกลมสีดำถูกดูดฝ่ากำผนังออกมาอยู่ในฝ่ามือเขา พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรงดู เขาก็พบเบาะแสอีกอย่าง มันเป็นของวิเศษที่เรียบง่ายชิ้นหนึ่ง


เมื่อร่ายพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปกระตุ้น ก้อนโลหะกลมสีดำก็แผ่ออกทันที เหมียวอี้ดีใจอย่างบ้าคลั่ง หรือว่าสิ่งนี้จะเป็นภาคดินของเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน?


ทว่ารอจนก้อนโลหะกลมสีดำแผ่ขยายอยู่ในฝ่ามือจนเต็มที่ แล้วมองดูสิ่งที่อยู่บนนั้น เขาก็ต้องเอ๋อกินอีกครั้ง อุทานอย่างตกใจว่า “ไอ้เวรเอ๊ย! ข้าทำอะไรพลาดรึเปล่า?”


ในฝ่ามือเป็นแผนที่ฉบับหนึ่ง เหมือนแผนที่ที่เขาเคยเห็นในมือจงหลีค่วยตอนแรก บนนั้นเป็นภาพของสตรีทะยานฟ้า แนบด้วยตัวอักษรสองแถว : ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด!


ที่หลอกลวงที่สุดก็คือ บนแผนที่มีตัวอักษร ‘มาร’ กับ ‘ดิน’ ชัดเจน


นี่ก็เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินเหรอ? เหมียวอี้รู้สึกเหมือนจะประสาทเสีย ใช้ความพยายามไปมากมายขนาดนี้ ถึงขั้นโดนคนของสมาคมวีรชนจับตาดู ลำบากลำบนมาหลายปี แต่เจอแค่แผนที่ที่หน้าตาเหมือนฉบับที่อยู่ในมือของปราสาทดำเนินนภาเนี่ยนะ? แบบนี้มันแกล้งกันเล่นไม่ใช่เหรอ!


ภายใต้ความโมโห เหมียวอี้อยากจะทำลายภาพนี้ให้พัง แต่ไม่นานก็ถอนหายใจดัง “เฮ้อ” สายตาไปจ้องอยู่บนแผนที่อีกครั้ง ค่อยๆ สังเกตเห็นว่ามีบางจุดที่ไม่เหมือนแผนที่ที่อยู่ในมือของปราสาทดำเนินนภา นั่นก็คือแผนที่ที่อยู่นอกตัวอักษรและภาพวาด ภาพนั้นที่อยู่ในมือของปราสาทดำเนินนภา อย่างน้อยเขาก็ศึกษาฉบับสำเนามาแล้วอย่างละเอียด ยังไม่ต้องพูดถึงความแตกต่างบนภาพพิกัดแผนที่ดาว อย่างน้อยสัญลักษณ์ระหว่างภูเขาสามลูกที่อยู่บนภาพนั้นก็ไม่ปรากฏบนภาพนี้ สัญลักษณ์ที่อยู่บนนี้คือสถานที่อีกแห่งหนึ่ง


หลังจากดูอย่างละเอียดจนแน่ใจแล้ว เหมียวอี้ก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สงสัยเป้าหมายของแผนที่ฉบับนั้นก็เพื่อให้หาแผนที่ฉบับนี้เจอ จำเป็นต้องอ้อมไปอ้อมมาเยอะขนาดนี้มั้ย? ไม่ใช่ว่าหาสถานที่อีกแห่งพบแล้วจะเจอแผนที่ฉบับนี้อีกหรอกนะ?


เหมียวอี้ยังรู้สึกเหมือนโดนปั่นหัว ยังคิดจะทำลายแผนที่ฉบับนี้ แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น ความจริงทำไม่ลง ขณะกำลังแค้นจนกัดฟันกรอด เขาก็เดินวนในห้องหินหลายรอบ แล้วกอบแผนที่ฉบับนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง อยู่ในถ้ำหินห้องนี้เป็นเวลาหนึ่งวัน


หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน เหมียวอี้ที่อ่านจนมึนหัวก็ยอมแพ้แล้ว แผนที่บอกจุดหมายปลายทางอย่างละเอียด สามารถอ่านเข้าใจได้ แต่สำหรับภาพแผนที่กลุ่มดาวที่อยู่นอกจุดหมายปลายทาง เขาก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะจัดการอย่างไร จักรวาลกว้างใหญ่ขนาดนี้ แถมเขาไม่คุ้นเคยกับพิภพใหญ่ด้วย ทั้งยังไม่สะดวกจะนำออกมาให้คนอื่นช่วยศึกษา ภาพแผนที่กลุ่มดาวที่อยู่บนนั้น ใครจะไปรู้ว่าที่ไหนเป็นที่ไหน!


ถ้าจะให้ยอมแพ้ตอนนี้ เขาก็ตัดใจไม่ลงอีก แต่ถ้าจะศึกษาเองก็ไม่รู้จะเริ่มลงมือจากตรงไหน เขาครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา แล้วก็ตัดสินใจไปที่ปราสาทดำเนินนภา ทางนั้นมีประสบการณ์เรื่องคลายปริศนารูปภาพ หาทางไปสืบดูสักหน่อยว่าอีกฝ่ายลงมืออย่างไร จะได้ให้ทางนั้นคุ้มกันส่งตนออกไปจากที่นี่ด้วย อยู่ที่ปราสาทดำเนินนภาปลอดภัยกว่าอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็สนิทกับปราสาทดำเนินนภา เขาไม่กล้ารับประกันเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ พยายามออกไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่า


จึงนำระฆังดาราออกมาติดต่อกับจงหลีค่วย รอจนกระทั่งจงหลีค่วยกลับมา เหมียวอี้ถึงได้หายกังวล


จากนั้นก็นำแผ่นหยกออกมา เทียบดูกับแผนที่ในมือ แล้วทำสำเนาภาพแผนที่กลุ่มดาวที่อยู่บนนั้น แต่เว้นภาพรายละเอียดจุดหมายปลายทางเอาไว้ ขอเพียงหาตำแหน่งท้องฟ้าที่อยู่บนภาพเจอ ที่เหลือก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว


เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ เหมียวอี้กวาดมองรอบๆ ห้องหินแวบหนึ่ง แล้วเดินก้าวยาวออกไป ดำเข้าไปในน้ำทะเลสาบสีดำอีกครั้ง สำรวจดูตะขาบยักษ์เปลือกเขียวที่หน้าตาดุร้ายตัวนั้นอีกนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดที่จะไปยั่วแหย่มัน เพราะยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางชัดเจน จึงกลับมาที่กลางทะเลสาบตามทางเดิม เมื่อโผล่พ้นน้ำออกมา ก็มุ่งตรงกลับไปที่อาณาเขตของเผ่าปีศาจทันที


หลังจากผ่านไปหลายวัน จงหลีค่วยก็ไม่ได้มา แต่หมิงจ้าวมาแทน พาศิษย์น้องระดับบงกชรุ้งมาด้วยสองคน ย่อมมาเพื่อป้องกันคนของสมาคมวีรชนอยู่แล้ว


เมื่อเจอหน้ากัน หมิงจ้าวก็ขมวดคิ้วทันที “ทำไมเจ้ากลับมาที่นี่อีกแล้วล่ะ?”


เหมียวอี้แอบปาดเหงื่อในใจ คิดว่าถ้าปราสาทดำเนินนภาไม่ได้เห็นแก่เรื่องที่ได้ทำงานร่วมกับร้านขายของชำซื่อตรง ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งยอดฝีมือระดับบงกชรุ้งสามคนรวดเดียวเพื่อรับตัวเขาไป ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ไม่ได้มีความสำคัญในสายตาของอีกฝ่ายอยู่แล้ว อีกฝ่ายทำแบบนี้เท่ากับเป็นการแสดงน้ำใจต่อร้านขายของชำซื่อตรง


“ข้าเองก็ไม่อยากกลับมาหรอก เป็นเพราะโดนคนดักโจมตีแท้ๆ เลย ถ้าจะหนีไปที่สำนักลมปราณ สำนักลมปราณก็ต้านทานอีกฝ่ายไม่ไหว ถ้าจะไปที่ปราสาทดำเนินนภา ก็กลัวว่าฝ่ายนั้นจะรู้แล้วเตรียมการล่วงหน้า ทำได้เพียงหนีกลับมาที่นี่เพื่อขอให้ผู้อาวุโสมู่เซินรบกวนให้ปราสาทแมกไม้ปกป้อง ไม่อย่างนั้นข้าคงตกอยู่ในมือของสมาคมวีรชนไปนานแล้ว” เหมียวอี้ทำได้เพียงอธิบายไปแบบนี้ คงบอกไม่ได้หรอกว่าตัวเองกลับมาเพื่อหาสมบัติ


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)