องครักษ์เสื้อแพร 951-953

 ตอนที่ 951 ศัตรูขบวนใหญ่มุ่งมาหนิงเซี่ย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชายแดนใช้มาตรฐานใดในการวิเคราะห์ศัตรู ย่อมเป็นกองกำลังที่เดินทางมาอย่างไม่ได้แจ้งไว้ก่อน ไม่ได้แจ้งขุนนางชายแดนเช่นตอนนี้


หากเด็กน้อยถืออาวุธมีเรื่องในตลาด คนผ่านทางไปมาล้วนต้องหลบกันหวาดกลัว อยู่ๆ มีกองกำลังไม่รู้จากไหนกองใหญ่พอดู ขุนพลทหารกองกำลังหลังหนิงเซี่ยต่างพากันตกใจหวาดกลัวเช่นกัน


บนหอสังเกตการณ์มองจากที่ไกล ความสามารถมองไกลย่อมจำกัด ทหารมองไกลเห็นชนเผ่าบริเวณบ่อเกลือเริ่มเคลื่อนไหว


มีทหารจากที่ไกลๆ วิ่งแตกตื่นเข้ากลางกลุ่มพวกชนเผ่าก่อน จากนั้นทั้งชนเผ่าก็เหมือนจะเริ่มแตกตื่น วิ่งวุ่นวายกันทันที มีคนตะโกนดัง มีคนโดดขึ้นม้า


ผ่านการสังหารมาคืนหนึ่งกับความวุ่นวายเมื่อคืน ชนเผ่ารอบบ่อเกลือล้วนป้องกันแน่นหนา กลุ่มหนึ่งขยับ ชนเผ่าที่เหลือล้วนตั้งรับแน่นหนา  เกรงว่าอีกฝ่ายจะฉวยโอกาส แต่ชนเผ่าที่ขยับก่อน ทำให้เกิดความวุ่นวายที่เหมือนจะติดต่อกัน ชายแดนหน้าด่านล้วนอลหม่านใหญ่


ทหารแผ่นดินหมิงหน้าด่านมองกันตาค้าง มีคนคิดไปถาม พวกกองกำลังหลังหนิงเซี่ยไม่กล้าออกไปพลการ กลัวว่าจะถูกลอบโจมตีกลางคืน


เวลาผ่านไปช้ามาก ชนเผ่าหน้าด่านแตกตื่นกันไปหมด ทหารที่มองมาจากที่สูงไกลๆ ก็ล้วนรู้สาเหตุแห่งการวุ่นวายนี้ ที่ขอบฟ้าพบแถบดำทะมึน ทหารที่มองจากที่สูงมากประสบการณ์ย่อมรู้ นี่เป็นกองกำลังทหารม้ากองใหญ่


แต่ชนเผ่าเหล่านั้นไยต้องหนี  พวกชนเผ่านอกด่านบนทุ่งหญ้ารู้ดีว่า หากมีกลุ่มอิทธิพลใหญ่บนทุ่งหญ้าใดมาโจมตี ชนเผ่าเหล่านี้ย่อมไม่หนี แปดเก้าส่วนย่อมติดตามมาด้านหลังบุกไปด้วย แต่ยามนี้ส่วนแบ่งบ่อเกลือผู้ใดก็ไม่คิดจะจดจำแล้ว


แท้จริงแล้วเป็นเหตุใดที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวเพียงนี้ ทุ่งหญ้าหมื่นลี้ ไม่มีเผ่ายิ่งใหญ่เช่นอันต๋าแล้ว ผู้ใดยังมากบารมีเช่นนี้


เส้นแถบดำค่อยๆ เปลี่ยนเป็นทหารกองใหญ่ กองกำลังจากที่ไกลเดินทางมาไม่เร็วนัก ยิ่งเดินมาใกล้ ก็ยิ่งเห็นได้ว่าด้านหน้ามีทหารม้าพร้อมอาวุธ สองปีกข้างมีผู้คุ้มกันทหารม้ากลุ่มใหญ่ กลุ่มตรงกลางเหมือนไม่ใช่ทหารม้า แต่ก็ไม่ใช่ทหารราบ น่าแปลกมาก


ในที่สุดพอระยะใกล้พอ ทหารที่มองไปก็มองเห็นชัดในที่สุด เป็นขบวนรถใหญ่ รถใหญ่หลายร้อยคัน……


ขุนพลคุมด่านก็คือปัวอวิ๋นบุตรบุญธรรมตระกูลปัว แม้ขบวนรถใหญ่ส่วนใหญ่มาจากเมืองกุยฮว่าเฉิง เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นของแผ่นดินหมิง แต่พอได้เห็นขบวนรถใหญ่ ก็ต้องตกใจยิ่งกว่าชนเผ่าใหญ่บนทุ่งหญ้ามาโจมตีเสียอีก  ในมือเขาแม้ว่ามีทหารสองพันของตระกูลปัว แต่หากจะรับมือกับทหารม้าราว 5,000 กับทหารราบราว 4,000 กองกำลังรถใหญ่หลายร้อยเช่นนี้ ไม่มีทางที่จะชนะได้เลย


ปัวอวิ๋นนับว่ามีประสบการณ์การรบมานาน เขาสามารถวิเคราะห์ได้ว่ามีโอกาสชนะไหม ยังรู้ว่าแม้ตนเองปิดประตูเมือง อีกฝ่ายคิดจะบุกก็ยังง่ายมาก


แต่ในเมื่อเป็นชาวแผ่นดินหมิงเหมือนกัน ไยต้องโจมตี ดูพวกทหารม้ากับรถใหญ่เริ่มตั้งค่าย เห็นมีคนมายังกำแพงเมืองส่งสาร


สารเขียนง่ายมาก พ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงนำสินค้ามา ขอเข้าด่าน เมืองหนิงเซี่ยเดิมก็มีร้านสาขาเมืองกุยฮว่าเฉิงขนสินค้ามาบนทุ่งหญ้าก็เป็นเรื่องปกติ เหตุผลสมควร แต่ดู ‘พ่อค้า’ ขบวนนี้แผ่รัศมีน่ากลัวแล้วก็รู้สึกเครียด ผู้ใดจะรู้ว่ามาทำอะไรกัน


แต่ถึงยามนี้แล้ว ก็รู้ว่าใครแข็งแกร่งกว่า ไม่อาจสกัดไว้นอกเมือง หากสกัดไว้จริง คนด้านนอกเกิดหาเรื่องขึ้นมา พวกเราย่อมเอาไม่อยู่ และกลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงยังมีเบื้องหลังอิทธิพลอำนาจระดับใด ตระกูลปัวในพื้นที่เป็นคนใหญ่คนโตก็จริง แต่เทียบกับคนผู้นั้นแล้ว จะสู้อันใดได้ กลับเป็นการหาภัยใส่ตัวเสียเปล่า


เห็นกองกำลังใหญ่เช่นนี้ ปัวอวิ๋นคิดไปคิดมาก็เข้าใจ ดีไม่ดีทุกอย่างที่ตระกูลปัววางแผนไว้ ก็จะสูญสิ้นไปหมด ยังจะทำอย่างไรได้ ปล่อยเข้ามาแล้วกัน! ปัวอวิ๋นทำได้ก็แค่แกล้งถ่วงเวลาเท่านั้น จากนั้นให้คนม้าเร็วไปรายงายยังตัวเมืองหนิงเซี่ย


“เจ้าทหารตัวเล็กราวเม็ดงา กล้าขวางทางสินค้ากงกงเราหรือ เจ้ายังอยากอยู่ในตำแหน่งอีกหรือไม่!?“


คิดถ่วงเวลา พวกขบวนการค้าไม่หลงกลเขา มีคนด่าออกมาทันที หากเป็นเมื่อก่อน ปัวอวิ๋นคงชักดาบฟันทิ้ง แต่ตอนนี้ได้แต่เสียงอ่อนก้มหัวให้


ทั้งหมดมีสองพันทหารม้ากับรถใหญ่สามร้อยเข้าสู่เมืองหนิงเซี่ย เหล่านี้ล้วนเป็นพ่อค้าแผ่นดินหมิง ที่เหลือล้วนเป็นชนเผ่าอื่นบนทุ่งหญ้ารอบเมืองกุยฮว่าเฉิง ยังมีรถใหญ่บรรทุกเกลืออีกหลายร้อยจอดอยู่นอกด่าน ปัวอวิ๋นไม่กล้าว่าอะไร แต่คนของเขาเข้าไปคุมสถานการณ์แล้ว


*************


หลังชนะที่เถียนสุ่ยจิ่ง หวังทงก็ส่งเทียบเชิญไปยังผู้บัญชาการเมืองหนิงเซี่ย ขันทีคุมเสบีบงและผู้ว่าการ สามคน ที่เมืองชายแดนอื่น สามตำแหน่งนี้เป็นดังฟ้าเบื้องบน แต่ที่นี่กลับถูกตระกูลปัวบี้แทบตาย แน่นอน สามคนนี้ต่อหน้าหวังทงต้องก้มหัวคำนัก เรียกตัวเองว่า ข้าน้อย


หวังทงรับราชโองการมาที่นี่ ราชโองการว่ากระจ่างว่า หวังทงจัดการระบบทุกคนในหนิงเซี่ย หากจำเป็นสามารถส่งกำลังจากส่านซีสามชายเมืองมาได้ทุกเมื่อ  สถานะนี้แท้จริงนั้นก็คือให้หวังทงเป็นผู้บัญชาการภาคตะวันตกเฉียงเหนือ สามคนนี้แน่นอนไม่สามารถทำอะไรได้


ขุนนางทางการบุ๋นบู๊ที่ราชสำนักส่งมา ถูกพวกชนเผ่านอกด่านกดดันจนเป็นเช่นนี้  ช่างเป็นเรื่องเสื่อมเสียเกรียติ ผู้ว่าการมณฑลตั่งเซียงยังสามารถอ้างว่าตนเป็นขุนนางบุ๋น ไม่รู้เรื่องการต่อสู้ ผู้บัญชาการจางเหวยจงน่าอับอายยิ่งนัก ทหารในสังกัดถูกจัดการจนไม่เป็นท่า เสียหน้ามาถึงครึ่งปี ถึงกับต้องให้ใต้เท้าผู้แทนพระองค์เอาคืนให้


หวังทงไม่ได้ตำหนิอันใด ได้แต่รับอำนาจสั่งการทหารติดตามผู้บัญชาการทหารกับผู้ว่าการมณฑลมาสองกอง สองกองกำลังรวมกันแล้วก็เกือบสามพัน นับรวมกองพันรักษาความสงบกองนี้ก็อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ว่าการมณฑล กำลังเกือบสี่พัน แม้ไม่ได้เก่งกล้าก็ตาม


รับอำนาจบัญชาการมาแล้ว คืนนั้นหัวหน้ากองกำลังพวกนี้ก็มาขอพบ หัวหน้าทหารฝ่ายหวังทงก็เริ่มรับอำนาจบัญชาการต่อ


เมืองหนิงเซี่ยไม่ใหญ่ ผู้บัญชาการ ผู้ว่าการมณฑล ขันทีคุมกำลังขุนนางระดับสูงเช่นนี้ ไม่อาจปิดบังคนอื่นได้ หวังทงไม่กะให้พวกเขาปิดบัง เพียงแต่ไม่แสดงตนเปิดเผยเท่านั้น


ข่าวในคืนนั้นแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ว่าเป็นติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหวังทงมาถึงเมืองหนิงเซี่ย หลายวันนี้ที่ชนะการต่อสู้บนท้องถนนนั้นก็คือทหารสังกัดหวังทงทั้งสิ้น


หนิงเซี่ยเป็นเมืองชายแดน ข่าวบนทุ่งหญ้าแน่นอนฉับไว พวกเขาจำเรื่องราวหวังทงได้แม่นยำมาก พอได้ยินว่าหวังทงมาที่นี่ ทุกคนก็สะดุ้งโหยง


พอหายตกใจ คนที่พอมองการเมืองออกก็รู้แล้วว่า ตระกูลปัวที่แอบคิดการไม่ซื่อเกรงว่าเผยออกไปแล้ว ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว


กำแพงล้ม คนข้าม พอข่าวแพร่ไป เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ก็มีคนมาถึงหน้าประตูสำนักกองพันองครักษ์เสื้อแพร ว่ามีเรื่องสำคัญรายงาน ขอพบใต้เท้าหวัง มีคนมาแจ้งข่าวลับตามคาดหวังทง ทหารติดตามไม่รอช้า นำเสื้อผ้ามาให้คนผู้นี้เปลี่ยน เพื่อให้เขาไม่อาจแอบซ่อนอาวุธ


คนที่มาแจ้งข่าวมีที่มาไม่ธรรมดา ถึงกับเป็นพ่อบ้านคนหนึ่งของตระกูลปัว คนชายแดนองอาจกล้าหาญ แต่โลกแคบ ตระกูลปัวแอบเคลื่อนไหว หลายคนเข้าร่วมด้วย เดิมรู้สึกว่าอำนาจวาสนาอยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ฮึกเหิมลำพองไปด้วย แต่พอมีเรื่องมาหลายวันนี้ ยังได้ยินข่าวแอ่งน้ำฮัวหม่า ในใจก็ไม่มั่นใจ ตระกูลปัวเป็นตระกูลใหญ่แห่งหนิงเซี่ย ข่าวในเมืองก็ฉับไว ติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหวังทงมา เรื่องนี้พอหวังทงปล่อยออกไป พวกเขาก็ย่อมรู้ทันที


ที่แท้ในสายตาคนหนิงเซี่ย ผู้บัญชาการและผู้ว่าการมณฑล บวกกับรองแม่ทัพตระกูลปัวก็ไม่ใช่คนใหญ่คนโตแล้ว ติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรนี่สิเรียกได้ว่าฟ้าเบื้องบน และทหารติดตามยังองอาจกล้าหาญเพียงนั้น มาที่นี่ทำไมกัน หากไม่ใช่มาจัดการตระกูลปัว


ในเมืองตอนนี้ตระกูลปัวไม่มีกำลัง ทัพใหญ่ถูกหวังทงคุมไว้ในกำมือแล้ว สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป ตระกูลปัวเหิมเกริมกับคนใต้บังคับที่ลำพองตัวตอนนี้พากันตื่นตระหนก พ่อบ้านผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น รีบมา ‘สร้างความชอบล้างความผิด’ ดูว่าตนเองจะรอดพ้นได้หรือไม่ ขณะเดียวกันก็ยังหาผลประโยชน์ให้ตนอีกด้วย


นี่เป็นเจตนาหวังทง ปล่อยความกดดันออกไปเพียงพอ แน่นอนย่อมมีคนทนไม่ไหว เช่นนี้ก็ย่อมได้รับข่าวมากมาย ที่ตระกูลปัวทำในตอนนี้ ยังไม่ถึงขั้นปลดตำแหน่งขุนนาง  มากสุดก็แค่ลดขั้น คนตระกูลปัววางอำนาจในเมือง แม้ว่าทำให้เกิดการบาดเจ็บและเสียหาย แต่ไม่ได้ทำร้ายคนถึงชีวิต  ผู้บัญชาการกับผู้ว่าการมณฑลกล่าวเกินเลยไปสักหน่อย สองฝ่ายขัดแย้งกันมานาน กล่าวเกินเลยให้โทษหนักก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา แต่รายงานกับการบรรยายหลิวจี๋หลินก็มองแบบคนนอกมาก ตระกูลปัวสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ หวังทงอย่างไรก็ไม่ยอม


“…นายท่านเรา…ไม่สิ…ปัวไป้นั่นบอกว่า เขากับปัวเฉิงเอินชีวิตนี้ไม่อยากเป็นแค่รองแม่ทัพ อย่างไรต้องได้ตำแหน่งผู้บัญชาการ  แต่ทว่าเป็นผู้บัญชาการเกรงว่ายังไม่พอ ต้องให้หลิวตงหยางนั่นเป็น……”


ชาวมองโกลกับเผ่าหุยในทัพชายแดนไม่น้อย ที่กานซู่ถึงกับยังมีพวกถู่ฟานกับเผ่าหุย ขุนพลทหารก็มีไม่น้อย  ได้เป็นรองแม่ทัพไม่เพียงแต่พวกตระกูลปัว แต่เหมือนธรรมเนียมยอมรับ ก็คือหากมิใช่ชาวฮั่นไม่อาจเป็นผู้บัญชาการ


ความจริงนั้นสำหรับขุนนางบู๊ ผู้บัญชาการเรียกได้ว่าสูงสุดแล้ว การได้เป็นผู้บัญชาการนับว่าเป็นเกียรติสูงสุด สูงไปกว่านี้ก็คงเป็นขุนนางบู๊มีบรรดาศักดิ์แล้ว บรรดาศักดิ์ระดับนี้ ผู้คนมักไม่คิดว่าเป็นขุนนางบู๊ และพวกเขาอยู่ในศูนย์กลางการปกครองอีก ก็ยิ่งถูกมองว่าเป็นขุนนางราชสำนัก เช่นหวังทงตำแหน่งองครักษ์ฝ่ายในและยังควบตำแหน่งผู้บัญชาการอีก ก็เรียกได้ว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย


การได้ตำแหน่งของหวังทง ไม่ได้เป็นแค่คำถามเรื่องความกล้าหาญชาญชัย หรือว่าโชคดีอันใดเช่นว่ารู้จักกับฮ่องเต้ว่านลี่แต่เด็ก ……


แต่การที่พ่อบ้านผู้นี้มาฟ้องก็ทำให้หวังทงตกใจมาก สาเหตุก็เพราะว่าคนที่คิดการไม่ซื่อส่วนใหญ่ล้วนคิดเป็นผู้ครองแผ่นดิน ตำแหน่งผู้บัญชาการจะเท่าไรกัน


“เขาไม่คิดไปเป็นข่านที่ไหนหรือ?”


“ตระกูลปัวชาติกำเนิดต่ำต้อยบนทุ่งหญ้า ว่ากันว่าเป็นทาสเลี้ยงสัตว์ให้กับพวกเยี่ยเอ่อร์เชียง หนีออกมา นอกด่านเน้นเรื่องสายเลือดที่สุด พวกเขาไม่มีหวัง”


ชนเผ่าบนทุ่งหญ้าให้ความสำคัญกับสายเลือดมาก ข่านอันต๋าแม้ว่าเป็นขุนพลนายหมื่น แต่พอเป็นข่านก็มีคนนินทาเช่นนี้ ดังนั้นจึงได้เปลี่ยนศาสนา เพื่อให้สถานะตนเองมีที่รองรับ เรื่องนี้หวังทงเข้าใจ


“จุดมุ่งหมายตระกูลปัวน้อยไปหน่อยกระมัง!”


ตอนที่ 952 กำลังที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ข่าวต่างๆ จากทุกสายของชาวเมืองหนิงเซี่ยมายังสำนักองครักษ์เสื้อแพรยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ข่าวที่หวังทงได้มานับวันก็ยิ่งครบรอบด้าน


ทุกคนล้วนรู้ตระกูลปัวไม่มั่นคง แต่อย่างไรก็ไม่อยากฉีกหน้าเป็นปรปักษ์เปิดเผย เรื่องที่ว่าคนส่วนใหญ่ในเมืองจะแสดงจุดยืนอันใดย่อมไม่มี หวังทงแสดงกำลังไปแล้ว คนที่คิดแสดงความเป็นมิตรก็มาเยือนถึงที่


หวังทงเรียกผู้บัญชาการกับผู้ว่าการมณฑลเข้าพบได้วันเดียว ทั้งเมืองคนที่มีหน้ามีตาล้วนพากันมาแสดงการนอบน้อมพร้อมให้ข่าวต่างๆ


หวังทงรู้สึกผิดหวังและเริ่มเบื่อ ตามหลักแล้วแผนการร้ายควรมีอะไรที่ตนเองวิเคราะห์ไม่ถึง คิดไม่ถึงว่ากลับไม่มีอันใดในกอไผ่ ต่างกับที่ตนคิดไว้ไม่มาก


จุดมุ่งหมายตระกูลปัวนี้ทำให้หวังทงรู้สึกผ่อนคลาย ขณะเดียวกันก็รู้สึกเบื่อไปด้วย วุ่นวายกันมาตั้งนาน ผู้บัญชาการกับผู้ว่าการมณฑลล้วนตกใจจนหัวหดเช่นนั้น กลับเพื่อแค่อยากเป็นผู้บัญชาการ และยังต้องมาให้หลิวตงหยางเปิดทางให้อีก สถานการณ์นี้เล็กเสียเหลือเกิน


“ผู้บัญชาการ เถ้าแก่กาวเซิ่งเหอขอพบ!”


นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหลิวจี๋หลินตอนนี้มีหน้าที่คอยติดตาม เขาตะโกนแจ้ง กาวเซิ่งเหอผู้นี้เป็นพ่อค้าใหญ่ซานซีคนหนึ่ง ว่ากันว่าเบื้องหลังมีตระกูลหม่ากับจวนอ๋องไต้หนุนหลัง เป็นพ่อค้าคนสำคัญของเมืองกุยฮว่าเฉิง พวกเขามีสาขาอยู่หนิงเซี่ย หวังทงเชิญให้เข้ามา


พอหลิวจี๋หลินส่งกาวเซิ่งเหออกไป หวังทงก็เปลี่ยนเป็นชุดขุนนางแล้ว หลิวจี๋หลินยังสังเกตเห็นว่า ทหารติดตามในลานหน้าก็ล้วนสวมเกราะ ล้วนเป็นเกราะหู่เวย และยังมีอาวุธพร้อม


“ไปเชิญพ่อลูกตระกูลปัว แล้วก็หลิวตงหยางมา ให้พวกเขาไปที่ประตูตะวันออก บอกว่าข้าต้องการพบพวกเขา”


หวังทงใช้คำว่า เชิญ ก็แสดงว่าไม่ใช้อาวุธจับกุม หลิวจี๋หลินรีบรับคำไปจัดการ หวังทงตรวจสอบปืนสั้นพก กล่าวว่า


“ให้ซานเปียวนำกำลังพันนายไปรักษาความสงบในเมือง ไม่มีคำสั่ง ห้ามเคลื่อนไหวพลการ!”


หม่าซานเปียวกับเฉินต้าเหอล้วนถูกส่งออกไปคุมกำลัง มีพลทหารรีบรับคำสั่งไปแจ้งต่อ หวังทงคิดว่าตนเองต้องอยู่เสียเวลาที่เมืองหนิงเซี่ยหลายเดือน ตอนนี้ดูแล้วไม่ต้องใช้เวลานานเพียงนั้นแล้ว เดือนสามก็น่าจะกลับถึงเมืองหลวงไปดูบุตรชายตนได้แล้ว หวังเซี่ย  ชื่อนี้ฟังแล้วแปลกอยู่ แต่คิดแล้วก็รู้สึกสนิทชิดเชื้อ หวังทงเดิมคิดว่าตนเองสามารถตั้งใจทำงานได้ แต่คิดไม่ถึงตกดึกก็มักจะคิดถึง บางทีอาจเป็นเพราะเพิ่งเป็นบิดาครั้งแรกก็เป็นได้


วันนี้เป็นวันที่ 8 เดือนหนึ่งปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 เมืองหนิงเซี่ยกลับครึกครื้นยิ่งกว่าวันที่ 1-2 เดือนหนึ่งเสียอีก ตามข่าวที่องครักษ์เสื้อแพรสืบมาได้ คหบดีหลายตระกูลล้วนรู้สึกว่าผ่อนคลายอิสระกว่าวันที่ 1-2 เสียอีก ดังนั้นจึงจัดงานรื่นเริงกัน


อันนี้ก็เข้าใจได้ ที่ทุกคนกังวลกันมานาน เกรงว่าจะเกิดเรื่องสู้รบ ตอนนี้หวังทงมาแล้ว เวลาสั้นๆ ก็ปราบปรามสถานการณ์เรียบร้อย ทุกคนแน่นอนต้องฉลองปีใหม่ชดเชย


อากาศสดชื่นแจ่มใสมาก ทางตะวันตกเฉียงเหนือไม่มีลมพัดแรง ยืนบนที่สูงก็สามารถมองไปได้ไกล เป็นความรู้สึกที่ไม่เลว


หลิวจี๋หลินไม่นานก็กลับมา พ่อลูกตระกูลปัวกับหลิวตงหยางกำลังออกเดินทางไปยังประตูตะวันออก ในสถานการณ์นี้ พวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้ ถึงขั้นไม่กล้าแม้ปฏิเสธ เพื่อไม่ให้หวังทงหาเหตุ ตอนหลิวจี๋หลินกลับมา ทหารที่ไปแจ้งหม่าซานเปียวกับเฉินต้าเหอก็กลับมาเช่นกัน


ด้านนอกจูงม้ามา หวังทงโดดขึ้นม้า ทหารติดตามร้อยกว่านายขึ้นม้าตาม องครักษ์เสื้อแพรอีก 400 กว่า นอกจาก 50 นายขี่ม้า ที่เหลือก็เดินแถวเป็นขบวนตามมา


กองกำลังใหญ่เช่นนี้เดินยิ่งใหญ่ไปตามท้องถนนเมืองหนิงเซี่ย ก็ทำให้เกิดเสียงดังไปทั่ว องครักษ์เสื้อแพรไม่เท่าไร ชุดมัจฉาเวหาขององครักษ์เสื้อแพรเมืองหนิงเซี่ยใหม่ๆ มีไม่กี่ชุด ผู้ใดก็ขี้เกียจจะมอง แต่ทหารหวังทงร้อยกว่านายในชุดเกราะทุกคน อาวุธวาววับ แสดงถึงบารมีเกรียงไกรแท้จริง


คนบนท้องถนนยังรู้ว่า ทหารติดตามติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรใต้เท้าหวังล้วนมีความสามารถ ทหารติดตามตระกูลปัวหนิงเซี่ยเหิมเกริมมานาน ใช่ว่าโดนจัดเสียเละเทะไปหมดหรือ นี่ไม่เพียงแค่ความสามารถ ดูการแต่งกายทหารติดตาม ชุดเกราะนี้เกรงว่าตระกูลปัวคงมีคนสวมได้แค่ 10 กว่าคนเท่านั้น


เห็นเช่นนี้แล้ว ทุกคนก็รู้ตระกูลปัวไม่อาจลุกขึ้นอีกแล้ว ตามพวกหวังทงไปยังประตูตะวันออก เมืองหนิงเซี่ยยิ่งคึกคักขึ้น


หวังทงมาถึงประตูตะวันออก พ่อลูกตระกูลปัวกับหลิวตงหยางและทหารสิบกว่านายก็กำลังรออยู่อย่างนอบน้อม สถานการณ์เช่นนี้หากยังไม่ยอมรับจะสู้ต่อก็คงเป็นการนำภัยมาสู่ตัวเองเป็นแน่  ไม่สู้ทำตามธรรมเนียมขุนนาง นี่เป็นสิ่งที่หวังทงวิเคราะห์ ในเมื่อทุกอย่างชัดเจนแล้ว เช่นนั้นตระกูลปัวก็ย่อมต้องเห็นแก่ผลประโยชน์ตนไว้ก่อน แอ่งน้ำฮัวหม่าไม่อาจสูญเสียไป ที่นั่นเป็นพื้นที่แห่งอำนาจวาสนาของตระกูลปัว อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยหลุดมือไปได้ ดังนั้นจึงต้องส่งกำลังส่วนใหญ่ไป พอหวังทงแสดงสถานะจริงแล้ว ตระกูลปัวที่กำลังน้อยก็ได้แต่กลายเป็นก้อนเนื้อปลารอสับบนเขียง


“ข้าน้อยคารวะท่านโหว!”


พ่อลูกตระกูลปัวคำนับ หลิวตงหยางก็คุกเข่าลงโขกศีรษะ พวกเขาเห็นด้านหลังหวังทงเป็นทหารติดอาวุธ แต่มาถึงตอนนี้ ย่อมไม่มีอันใดน่าตกใจอีก


“ตามข้าขึ้นกำแพงเมือง!”


หวังทงพยักหน้า กล่าวน้ำเสียงเรียบ ทั้งสามคนรับคำ รีบตามขึ้นไป เดินไปได้สองก้าว ก็มีพวกหานกังรั้งไว้อย่างไม่เกรงใจกล่าวว่า


“ใต้เท้าทุกท่านปลดอาวุธ”


สามคนอึ้งไป ปัวไป้ถอนหายใจ พยักหน้าปลดดาบประจำกาย ปัวเฉิงเอินกับหลิวตงหยางล้วนทำตาม สามคนยังสังเกตว่าคนติดตามถูกกันออกไปแล้ว กำลังจะเดินตามต่อไป หลิวตงหยางส่ายหน้า ยังดึงดาบสั้นจากรองเท้าตนออกมาส่งให้อีกฝ่าย เพราะเขาสังเกตเห็นว่าทหารหวังทงตอนรับดาบประจำกายเขาไป เอาแต่จ้องมองรองเท้าสองข้างของเขา ลูกไม้พวกนี้ไม่เล่นดีกว่า จะได้ไม่นำภัยมาสู่ตนเอง


บนกำแพงเมืองเดิมทีเป็นหอมองไกลที่สำคัญและที่เก็บเสบียงบางส่วนเฉพาะหน้า หลายคนขึ้นไปก็เห็นว่ามีกระโจมสร้างจากพรม ด้านในมีเตาไฟและสุราอาหารพร้อม หวังทงเข้าไปนั่งตำแหน่งกลาง โบกมือกล่าวว่า


“ทุกคนนั่ง!”


ในห้องถึงกับแม้แต่ทหารติดตามล้วนอายุมากกว่าหวังทง ปัวไป้ยิ่งผมขาวโพลน แต่หวังทงแสดงบารมีเช่นนี้ก็ไม่รู้สึกแปลก ทุกคนล้วนรู้สึกว่าก็ควรเป็นเช่นนี้ คนที่สถานะสูงเช่นนี้ ก็ควรมีลักษณะท่าทางและบารมีเช่นนี้


ทุกคนพากันนั่งลงอย่างนอบน้อม มีคนข้างๆ ย่างเนื้อส่งมาให้ สุราอาหารชั้นดี หวังทงกินไปสองสามคำ สามคนตระกูลปัวสบตากัน ปัวไป้กระแอมไอ กำลังจะลุกขึ้นกล่าว หวังทงยกมือห้าม หันไปถามขึ้น


“ไปดูว่าอีกนานเท่าไรจะมาถึง!”


ทหารติดตามด้านหลังรับคำวิ่งออกไป หวังทงกำลังบรรจงหั่นเนื้อย่าง จากนั้นจิ้มกับผักดองสับส่งเข้าปาก วิธีกินแปลกๆ  แต่ทว่าไม่ได้มันเลี่ยน หวังทงชอบมาก


พวกที่นั่งอยู่ ต่างไม่มีกระจิตกระใจสนใจสถานการณ์แปลก ๆ พวกนี้  สามคนตระกูลปัวเริ่มนั่งไม่ติด แต่มองเห็นทหารติดตามหวังทงกับหวังทงในชุดเกราะน่าเกรงขามแล้ว ก็ได้แต่ทนนั่งเงียบๆ ต่อไป


“ท่านโหว อีกราวหนึ่งก้านธูป!”


ทหารติดตามกลับมา รายงานด้วยเสียงไม่เบานัก หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า


“ทุกท่านตามข้ามา!”


ตะวันตกเฉียงเหนือเดือนหนึ่ง ยืนบนกำแพงเมืองลมพัดแรง ไม่รู้สึกสบายนัก แต่ทว่าทุกคนล้วนมีประสบการณ์มา ก็พอทนได้ แต่ไม่รู้ว่ารออะไร


เวลาหนึ่งก้านธูปจะว่านานก็นาน จะว่าสั้นก็สั้น ค่อยๆ เห็นทางตะวันออกมีทหารม้ากับขบวนใหญ่เริ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้  ขุนพลบนกำแพงเมืองเริ่มลนลาน ราษฎรด้านล่างก็พากันตกใจรีบวิ่งหนีเข้าเมือง แต่ก็ยังมีขุนพลทหารบนกำแพงตะโกนให้ทุกคนอยู่ในระเบียบ ไม่ให้ปิดประตูเมือง บอกว่าเป็นคนกันเอง


ความตื่นตระหนกค่อยๆ สงบลง ทหารม้ากับขบวนใหญ่ไกลๆ มาถึงกำแพงเมืองแล้ว กองกำลังพวกนี้ไม่เข้าเมือง เพียงแค่หยุดตั้งค่ายอยู่นอกเมือง


มีทหารม้าราว 2,000 พร้อมรถใหญ่ราว 200 ทหารราบเกือบ 2,000 หนิงเซี่ยบนทุ่งหญ้ารู้ความได้เร็ว พอเห็นรถใหญ่ยังมีพวกติดอาวุธ พวกเขาก็รู้ว่าคนเบื้องหน้าติดอาวุธนี้ แปดเก้าส่วนย่อมเป็นกลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิง


“ใต้เท้าปัว ใต้เท้าปัวน้อย ที่แอ่งน้ำฮัวหม่าข้ายังมีทหารอีกมากกว่านี้สามเท่า แต่คิดว่าทหารในสังกัดตระกูลปัวคงไม่กลัว”


จะไม่กลัวได้อย่างไร ทหารม้าติดอาวุธจากเมืองกุยฮว่าเฉิงเหนือกว่าตระกูลปัว ประสบการณ์การต่อสู้ไม่เป็นรอง และเห็นชาวฮั่นบนหลังม้าเหล่านี้  ปัวไป้ก็รู้แล้วว่า แอ่งน้ำฮัวหม่าแปดเก้าส่วนเป็นทหารม้าชนเผ่ารอบนอกเมืองกุยฮว่าเฉิง เป็นทหารกล้าของแต่ละชนเผ่า เก่งกล้าว่าทหารตระกูลปัว


ปัวไป้ถอนหายใจยาว ไม่ส่งเสียง คุกเข่าลงทันที ปัวเฉิงเอินก็คุกเข่าตาม ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด หวังทงก็กล่าวว่า


“ที่พวกเจ้าคิดทำ ตอนนี้ยังจะทำไหม?”


“ท่านโหว ข้าน้อยตอนนี้พึ่งรู้ว่าตนเองเป็นดังกบในกะลา  หลงตนลืมตัว”


ปัวไป้กล่าวหมดหวัง โขกศีรษะพร้อมกับปัวเฉิงเอิน  หลิวตงหยางสีหน้าตื่นตระหนก เพราะมีทหารติดตามสองนายเดินมาด้านหลังเขา หวังทงจ้องมองเขากล่าวว่า


“เจ้าไปติดต่อพวกเผ่าหั่วลั่วชื่อว่าหากเจ้าได้เป็นผู้บัญชาการ ก็จะให้พวกเขาเข้ามา บอกว่าจะให้เงินทองและหญิงชาวฮั่นเป็นรางวัลงั้นหรือ?”


หลิวตงหยางสะดุ้งโหยง พ่อลูกตระกูลปัวล้วนเงยหน้ามองไป หลิวตงหยางอึ้งไป จากนั้นก็รีบคุกเข่าโขกศีรษะไม่หยุดหวังทงสีหน้ารังเกียจ มองหลิวตงหยาง กล่าวว่า


“ตระกูลปัวเป็นชาวมองโกล ยังไม่คิดทำเรื่องเช่นนี้ แต่เจ้าเป็นชาวฮั่น ถึงกับชั่วร้ายน่ารังเกียจเช่นนี้…”


“ท่านโหว พวกเขากล่าววาจาให้ร้าย พวกเขาต้องการใส่ร้าย ตระกูลปัวพวกนอกด่านสิเป็นคนคิดก่อการ…”


“หุบปาก! ผู้ติดตามเจ้าเป็นคนมาฟ้องเอง ใส่ร้ายอะไร ไร้ยางอายสิ้นดี  แม้แต่ทหารคนสนิทก็ยังไม่ภักดี สมควรแล้ว รัด!”


หลิวตงหยางกำลังจะกล่าวต่อ ทหารหวังทงด้านหลังก็ใช้เชือกรัดคนเขาไว้ แล้วดึงอย่างแรง


ตอนที่ 953 พระเดชและพระคุณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิวตงหยางถูกเชือกรัดคอดิ้นรนไม่นาน เขาแม้ว่าเป็นขุนพลทหาร แต่ถูกคนกดไว้เช่นนี้ และยังเป็นทหารสองนายของหวังทงกดไว้ ก็ย่อมไม่อาจขัดขืน


ไม่นาน หลิวตงหยางก็ตัวอ่อน กลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว  คนถูกรัดตายปลดปล่อยออกมา ศพถูกลากลงจากกำแพงเมืองทันที


พ่อลูกตระกูลปัวสบตากัน สายตาล้วนแสดงความหวาดกลัวออกมา ติ้งเป่ยโหวไม่ลงมือ แต่พอลงมือก็สังหารทิ้งทันที  ชะตาตนจากนี้จะเป็นเช่นไร ไม่อาจคาดไปในทางดีได้เลย


“ปัวเฉิงเอิน ทหารเจ้าในเมืองหนิงเซี่ยก่อเรื่องมานานเพียงนี้ ถึงกับไม่เคยสังหารสักชีวิต เจ้าคิดอะไรกัน?”


ปัวเฉิงเอินไม่รู้ว่าหวังทงถามขึ้นด้วยเหตุใด คิดจะมองไปทางบิดาขอความเห็น แต่ปัวไป้ตอนนี้จะเอ่ยอันใดได้ ลังเลครู่หนึ่ง กล่าวว่า


“เรียนท่านโหว ข้า……ข้าน้อย……ข้าน้อยคิดว่าคนบ้านเดียวกัน อย่างไรก็ไม่อาจทำร้ายกันให้เกินเลยไปนัก วันหน้ายังต้องคบหากันอีก”


หวังทงยิ้มส่ายหน้า ถามปัวไป้ขึ้นว่า


“เจ้าต้องการแค่เป็นผู้บัญชาการ?”


ปัวไป้อึ้งไป เรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม่อาจสนใจอันใดได้อีก ถอนหายใจเงยหน้ากล่าวว่า


“ท่านโหว ข้าน้อยอยู่เมืองหนิงเซี่ยมา 30 ปี  มีความชอบมากมาย  จนเกษียณก็ได้แค่รองแม่ทัพ บุตรชายข้าน้อยก็มีความดีความชอบ แต่ชั่วชีวิตนี้คงได้เป็นแค่รองแม่ทัพนี่แล้ว  ผู้บัญชาการอ่อนแอไร้สามารถพวกนั้น ข้าน้อยไม่อาจรับได้!”


“เรื่องมาถึงขั้นนี้  เจ้ายังคิดเป็นผู้บัญชาการอีกหรือ?”


“ท่านโหวอย่าได้หัวเราะเยาะ เมื่อก่อนข้านั่นกล้าหาญการศึก ยังมีกองกำลังที่ใช้การได้ดี อย่างไรก็รู้สึกว่าตระกูลข้านั่นก็เป็นหนึ่ง ได้ยินความดีความชอบท่านโหวก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องไม่จริง หลายวันนี้ได้เห็นด้วยตา จึงได้รู้ว่าที่แท้เป็นดังกบกะลา ที่คิดว่าตนเองกล้าหาญการศึกนั้น ก็เหมือนกับเด็กเล่นไปเลยทีเดียว”


ปัวไป้เหมือนว่าอายุมากแล้ว หลายเรื่องล้วนคิดได้แล้ว พูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจยาว โขกศีรษะหลายทีกล่าวว่า


“ข้าน้อยกระทำการเหิมเกริม รู้ผิดแล้ว เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นข้าน้อยทำคนเดียว หลิวตงหยางกระพือไฟ ปัวเฉิงเอิน กับปัวอวิ๋นล้วนไม่รู้ ขอท่านโหวเห็นแก่ความชอบข้าน้อยหลายปีนี้ ปล่อยครอบครัวข้าน้อย ข้าน้อยยอมรับผิด!”


“ท่านพ่อ……”


ปัวเฉิงเอินข้างๆ ร้อนใจ เพิ่งส่งเสียงขึ้น ก็ถูกปัวไป้จ้องกลับ หวังทงโบกมือ มีทหารติดตามยกเก้าอี้มา หวังทงนั่งกางขาท่าทางองอาจต่อหน้าพวกเขา  ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่สูงกว่า เรื่องมาถึงขั้นนี้ แก้ไขได้ไปกว่าครึ่งแล้ว หวังทงเอ่ยขึ้นว่า


“ปัวไป้ เจ้ากระทำการเหิมเกริม? ปัวเฉิงเอิน ในเมื่อเป็นราชสำนักแต่งตั้งเป็นรองแม่ทัพ เหตุใดจึงพลอยกระทำการเหิมเกริมไปด้วย ปัวไป้เจ้าเองรับผิดไว้หมด พวกเขาย่อมปลอดภัย เป็นขุนนางต่อไปได้?”


ปัวไป้โขกศีรษะตึงๆ หลายที ตอนเงยหน้าขึ้นหน้าผากก็ม่วงช้ำ ปัวเฉิงเอินกำลังจะกล่าว ก็ถูกปัวไป้โมโหด่าดัง


“เดรัจฉาน ยังไม่ขอชีวิตอีก หรือว่าอยากให้ทั้งตระกูลต้องพลอยลำบากไปกับเจ้าด้วย?”


“ท่านโหว ข้าน้อยไม่ขอเป็นขุนนางต่อ ขอเพียงใต้ไว้ชีวิตบิดาข้าน้อย”


ปัวไป้เริ่มคิดว่าจะรับความผิดไว้ผู้เดียว ได้ยินหวังทงถามกลับเช่นนี้ ก็คิดถึงว่าจะต้องใช้ชีวิตปัวเฉิงเอินไปอีกชีวิตด้วย เพื่อแลกกับทั้งครอบครัว หวังทงสีหน้ายังคงยิ้ม แต่รอยยิ้มนิ่งเรียบเช่นนี้ ทำให้พ่อลูกตระกูลปัวไม่แน่ใจ ลมบนกำแพงพัดแรง ตอนหลิวตงหยางตายส่งกลิ่นเหม็นยังคงคละคลุ้ง แต่สภาพก่อนตายที่สิ้นหวังและเคียดแค้นนั้น เหมือนว่ายังคงติดตาพ่อลูกตระกูลปัว ทำให้พวกเขาหวาดกลัวทวีคูณ


เงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนนานมากสำหรับพ่อลูกตระกูลปัว อากาศหนาว แต่ตัวกลับเหงื่อท่วมไปหมด หวังทงค่อยๆ กล่าวว่า


“พวกเจ้าคิดอะไรข้าไม่สนใจ พวกเจ้าก่อเรื่องในเมืองมานานเพียงนี้ กลับไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นมีผู้ใดตาย นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าทำ! ตอนนี้คนในและนอกล้วนบอกว่าพวกเจ้าเพียงแค่ต้องการเป็นผู้บัญชาการ นี่นับเป็นความปรารถนา ไม่ใช่ความผิด”


ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ปัวไป้ก็เบิกตากว้าง หากกล่าวเช่นนี้ความผิดเขาก็ลดลงไปมาก หรือว่าใต้เท้าหวังไม่คิดเอาเรื่อง แต่ยามนี้  ไม่อาจดีใจได้ กำลังจะกล่าวก็ได้ยินหวังทงเอ่ยถามขึ้น


“ปัวเฉิงเอิน เจ้าพูดภาษามองโกลเป็นไหม?”


คำถามนี้เหมือนไม่เข้ากับการสอบสวนในยามนี้ แต่สถานการณ์ตอนนี้ พ่อลูกตระกูลปัวได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ ปัวเฉิงเอินกล่าวว่า


“ข้าน้อยก็พอรู้บ้างไม่กี่คำ อื่นๆ ไม่รู้”


ปัวเฉิงเอินกล่าวด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ หวังทงหันไปทางปัวไป้ถามขึ้น


“ยังไง เจ้าเกิดบนทุ่งหญ้า กลับไม่สอนภาษาบ้านเกิดให้ชนรุ่นหลังหรือ?”


ถามขึ้นอย่างไม่คิดอะไร ปัวไป้ที่นอบน้อมมาตลอดก็เริ่มหน้าแดง งึมงำกล่าวว่า


“ท่านโหว ข้าน้อยเป็นชาวฮั่น แต่ตอนเด็กถูกจับไปเป็นเชลยบนทุ่งหญ้า จะสอนลูกหลานให้รู้ภาษาป่าเถื่อนทำไมกัน  แม้ลูกเนรคุณไปเรียนมาก็ล้วนเป็นเพราะไม่รู้ดีชั่วไปเรียนกับคนรับใช้ ตอนนั้นก็ถูกข้าน้อยลงแส้โบยไปแล้ว”


ในยุคนี้ ชาวฮั่นกับบนทุ่งหญ้าหน้าต่างแตกต่างกันมาก หวังทงที่เห็นโลกมามาก ก็ย่อมมองออกว่าปัวไป้กับปัวเฉิงเอินเป็นแบบมาตรฐานชาวมองโกล แต่ปัวไป้กล่าวเมื่อครู่ก็น่าสนใจมาก ตรงกับข่าวที่หวังทงได้ยินมา


หวังทงพยักหน้ากล่าวอีกว่า


“เป็นชาวฮั่นดี? หรือเป็นชาวมองโกลดี?”


ถามคำถามเหล่านี้ขึ้นตอนสอบสวน เหมือนไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วุ่นวายในหนิงเซี่ยครึ่งปีมานี้  พ่อลูกตระกูลปัวอึ้งไปหากก็ต้องตอบ ปัวเฉิงเอินกล่าวเบาๆ ว่า


“พวกนอกด่านพวกนั้นมีดีอะไร แม้เป็นชนชั้นสูงชนเผ่า สุราดียังไม่มีดื่ม สตรีก็เหม็นสาบ หน้าร้อนก็ร่อนเร่ไปทั่ว หน้าหนาวก็ต้องหลบแต่ในกระโจม วันเวลาเช่นนี้ หากเป็นส่านซี หรือแม้แต่เป็นหนิงเซี่ยก็ดีกว่าพวกเขามาก”


ปัวไป้ถอนหายใจอีก หวังทงถามมาทำให้เขารำลึกถึงความหลัง น้ำเสียงก็ค่อยๆ จมสู่ห้วงลึกในความทรงจำที่เคยลืมเลือนไป


“ท่านโหวไม่รู้ วันเวลาบนทุ่งหญ้าลำบากมาก แม้แต่ขี้ม้าก็ไม่อาจทิ้ง ยังต้องเก็บเอามาเผาเป็นฟืน ชนชั้นสูงกินเนื้อ คนชั้นล่างกินผักที่เก็บได้กับนมม้าเป็นอาหารเท่านั้น ไม่อาจมีกินอิ่มท้อง ข้าน้อยตอนอยู่บนทุ่งหญ้า เคยทำงานเลี้ยงม้าเลี้ยงวัวให้หัวหน้าเผ่า ลำบากมาก บางทีหนาว หิมะตกหนัก วันรุ่งขึ้นในกระโจมก็อาจมีคนตายได้ คนตายยังใช้เนื้อไปเลี้ยงสุนัขชนชั้นสูง กระดูกยังเอามาเลี่ยมเงินทำเป็นชามสุรา นี่เป็นเผ่าใหญ่ หากเป็นพวกเผ่าเล็ก มักต้องสู้กับหิมะหนัก ถึงกับล้มป่วยเป็นโรคติดต่อ ทั้งเผ่าก็ต้องพังพินาศไปหมด……”


หวังทงโบกมือ ปัวไป้ก็รู้ตัวไม่กล่าวต่อ ปัวไป้เป็นชาวมองโกล แต่ปัวเฉิงเอินเกรงว่าคงได้รับความเป็นฮั่นมากสักหน่อย เห็นชัดว่าเขาเห็นสถานะชาวมองโกลเป็นดังมลทิน คนเช่นนี้ ทำงานย่อมรู้หนักเบา และยังเป็นคนมีความชอบทางการทหาร หวังทงเงียบไปก่อนจะกล่าวว่า


“ปัวไป้ ปัวเฉิงเอิน  ยังมีปัวอวิ๋นและคนอื่นๆ พวกเจ้าสองรุ่นตระกูลปัวนี้ไม่อาจเป็นขุนนางต่อได้แล้ว!”


ปัวไป้พ่อลูก รวมปัวอวิ๋น บุตรบุญธรรมปัวไป้ ยังมีลูกหลานตระกูลปัวอีกสองสามคนที่เป็นขุนพลทหาร หวังทงกล่าวเช่นนี้ พวกเขาไม่อาจเป็นขุนนางแล้ว ตำแหน่งขุนนางพ่อลูกตระกูลปัวบนแผ่นดินหมิงที่ตรากตรำสร้างมาจบสิ้น  แต่ก็ย่อมเข้าใจ หวังทงกล่าวเช่นนี้ ตระกูลปัวก็ย่อมเป็นราษฎรธรรมดาแล้ว


ขุนนางกับราษฎรต่างกันมาก รองแม่ทัพอย่างปัวไป้ที่ก้าวมาจากทาสย่อมเข้าใจ แต่สถานะเช่นหวังทงกล่าวกับเขาเช่นนี้ ปัวไป้รู้ว่าเป็นความเมตตามากแล้ว


สีหน้าพ่อลูกตระกูลปัวล้วนเศร้าสลด ขณะเดียวกันก็ยังโขกศีรษะขอบคุณ


“ขอบคุณท่านโหวที่เมตตา ข้าน้อยขอโขกศีรษะให้ท่าน!!”


โขกศีรษะดังตึงๆ  หวังทงกลับเงียบไป นิ่งไปพักหนึ่ง ก็กล่าวว่า


“ตระกูลปัววันหน้าไม่ต้องอยู่หนิงเซี่ยแล้ว ลูกหลานตระกูลปัว รวมทั้งพวกที่แต่งเข้าตระกูลเจ้าทั้งหลาย ก็ให้ย้ายไปที่อื่น พวกเจ้าต้องหลบคำนินทา!”


“ขอรับ!”


คนเบื้องหน้าโขกศีรษะรับคำแต่ทว่าสีหน้าก็ย่ำแย่ยิ่ง ตระกูลปัวเป็นใหญ่ในพื้นที่ ลูกหลานตระกูลปัวคนใดอยู่ต่อที่นี่ ก็ย่อมรวมกำลังได้ ทำให้ทางการยุ่งยาก ในเมื่อหวังทงตัดสินใจปล่อยด้วยความใจกว้าง แน่นอนย่อมต้องไม่เหลือภัยไว้ภายหลัง แม้ว่าหวังทงไม่พูดวาจายกโทษให้อะไรออกมาก็ตาม


“ปัวไป้ รุ่นหลานเจ้ามีชายกี่คน?”


ถามขึ้นเช่นนี้ พ่อลูกตระกูลปัวก็อึ้งไป ปัวไป้คิดปิดบัง แต่คิดแล้วก็กล่าวว่า


“ข้าน้อยหากจำไม่ผิด ทั้งหมด 16 หญิง 6 ชาย 10”


ตัวเลขนี้เริ่มแรกหวังทงคิดว่ามาก แต่ก็คิดได้ทันที ตระกูลสถานะเช่นนี้บนแผ่นดินหมิง ความจริงนั้นนับว่าน้อยแล้ว


“นอกจากพวกที่ไม่อาจจากพ่อแม่ ก็ให้ส่งไปเป็นทหารที่เทียนจินละกัน!”


หวังทงกล่าวเช่นนี้ก็ทำให้พ่อลูกตระกูลปัวที่รออยู่ล้วนอึ้งไป ปัวเฉิงเอินรีบคิดคลานเข่าเข้ามา แต่แค่ขยับก็ได้ยินเสียงชักดาบด้านหลัง รีบหยุด ร่ำไห้กล่าวว่า


“ท่านโหว ลูกหลานข้าน้อยล้วนยังเล็ก ขอท่านโหว……”


“พวกเจ้าไม่เป็นขุนนาง ไม่อยากให้ลูกหลานได้เป็นหรือ?”


หวังทงยิ้มถามกลับ พ่อลูกตระกูลปัวอึ้งไปทันที ยามสนทนาทำให้สองพ่อลูกอึ้งไปหลายคราแล้ว หวังทงกล่าวว่า


“พวกเจ้าทั้งครอบครัวย้ายไปเมืองกุยฮว่าเฉิง ทหารรวมคนงานพวกเจ้าก็ให้พวกเจ้าเอาไปได้ครึ่งพัน พวกเจ้านำสมบัติที่หนิงเซี่ยขายให้หมด เงินทอง สัตว์เลี้ยงอะไร พวกเจ้านำไปใช้เมืองกุยฮว่าเฉิงได้ ตระกูลปัวต้องเปิดร้านค้า ต้องมีร้านสาขาในเทียนจิน ปัวเฉิงเอินหรือปัวอวิ๋นไปจัดการ!”


เมืองกุยฮว่าเฉิงแม้ว่าอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหนิงเซี่ย แต่ก็เป็นลุ่มน้ำที่อุดม ยังเป็นเมืองใหญ่บนทุ่งหญ้า เทียบกับหนิงเซี่ยแล้วดีกว่ามาก ให้ตระกูลปัวไปทำการค้าที่เมืองกุยฮว่าเฉิง ไม่ได้เป็นขุนนาง แต่อำนาจวาสนาไม่ลดลง กลับดีขึ้น สำหรับตระกูลปัวรุ่นหลานได้เป็นทหารที่เทียนจิน ตระกูลปัวได้เปิดร้านที่เทียนจิน นี่เป็นความเมตตาใหญ่ เดิมคิดว่ามีความผิดประหารชีวิต คิดไม่ถึงว่าจะจัดการเช่นนี้


ปัวไป้กับปัวเฉิงเอินอึ้งไปไปนานสักพัก ล้วนโขกศีรษะร่ำไห้ น้ำตาไหลนองกล่าวว่า


“ขอบคุณท่านโหวที่เมตตา……”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)