พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 949-954

ตอนที่ 949

 

 วงล้อเติมคำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ที่จริงพวกนางไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนขนาดนั้น แค่เพราะตอนที่กินอาหารก่อนหน้านี้ ไฉจวิ้นและคนอื่นๆ ทำตัว ‘เกรงอกเกรงใจ’ มีแค่เหมียวอี้ที่ไม่หวาดกลัวอะไร ในสายตาของปีศาจพวกนี้ มองว่าพวกไฉจวิ้นไม่เชื่อใจพวกนาง ดังนั้นพวกนางก็ไม่เชื่อใจพวกไฉจวิ้นเช่นกัน กลับรู้สึกว่าเหมียวอี้เป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงใจ


ทว่าเมื่อเหมียวอี้เห็นปีศาจสาวปฏิบัติกับตนอย่างอบอุ่นมาก แต่ทำตัวเย็นชากับพวกไฉจวิ้น ในใจเขากลับรู้สึกกังวล ปีศาจสาวพวกนี้คงไม่ได้ตกหลุมรักข้าหรอกใช่มั้ย?


พอเป็นแบบนี้ คนที่นั่งอยู่ข้างหลังหมิงจ้าวเดิมทีควรจะเป็นไฉจวิ้น ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นเหมียวอี้แล้ว ปีศาจพวกนั้นรู้แค่ว่าหมิงจ้าวคือแขกของผู้อาวุโส คนอื่นๆ ถึงได้ไม่สนใจเขา และจับเหมียวอี้ให้นั่งติดแถวหน้าตามความชื่นชอบของตัวเอง ไฉจวิ้นกลับได้นั่งอยู่แถวหลังเหมียวอี้


หลังจากทุกคนทยอยกันนั่งประจำที่แล้ว หมิงจ้าวก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงถามเหมียวอี้ “ก่อนหน้านี้เจ้าเคยมาที่นี่เหรอ?”


“เปล่าเสียหน่อย? ทำไมผู้อาวุโสพูดแบบนี้ล่ะ…” พอพูดไปได้ครึ่งเดียว เหมียวอี้ก็รู้ตัวทันที จึงตอบกลั้วหัวเราะว่า “อาจจะเห็นว่าข้าหน้าตาดีมีความรู้กระมัง”


คำพูดโอ้อวดไร้ยางอายแบบนี้ทำให้หมิงจ้าวพูดไม่ออก กลุ่มคนของประสาทดำเนินนภาที่มาในครั้งนี้ นอกจากจงหลีค่วยที่ขี้เหร่ไปนิด คนอื่นๆ ก็หน้าตาใช้ได้อยู่นะ คนที่สามารถถูกประสาทดำเนินนภาเลือกเป็นศิษย์ได้ ล้วนเป็นคนที่มีเนื้อแท้ยอดเยี่ยม มีลักษณะภายนอกสง่าผ่าเผย โดยทั่วไปหน้าตาไม่แย่แน่นอน แบบจงหลีค่วยคือข้อยกเว้น


จากนั้นเหมียวอี้ก็คลำรากไม้โค้งที่ทำเป็นโต๊ะอยู่ข้างหน้า แล้วคลำรากไม้ที่อยู่ใต้ก้นอีก เขารู้สึกขำนิดหน่อย พบว่าปีศาจพวกนี้ช่างใกล้ชิดธรรมชาติจริงๆ แม้แต่ที่นั่งก็ไม่ต้องมี


ในตอนนี้เอง ปีศาจชายหลายคนที่สวมกำไลแขนก็เริ่มเป่าขลุ่ยเงิน เสียงขลุ่ยที่เดี๋ยวสูงเดี๋ยวแผ่วดังก้องอยู่ในป่าภูเขา


กลุ่มปีศาจที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ทยอยกันลุกขึ้นยืน หมิงจ้าวก็ยืนตามเช่นกัน พร้อมทั้งส่งสัญญาณบอกใบ้พวกเหมียวอี้ คนที่เหลือจึงพากันยืนขึ้น รู้ว่าตัวละครสำคัญกำลังจะปรากฏตัวแล้ว


เป็นอย่างที่คาดไว้ มีคนสองคนลอยลงมาจากต้นไม้ใหญ่ มาเหยียบลงบนเวทีที่เกิดจากรากไม้ด้านบนไขว้ตัดสลับกัน


คนหนึ่งคือชายชราผมขาวยาวคลุมบ่า สวมชุดคลุมยาวสีขาว ในมือถือไม้เท้าสีแดง ใบหน้ามีเมตตาหน้าเกรงขาม แววตาไร้ประกาย ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหก อีกคนคือหญิงสาวผมทอง เครื่องหน้างามวิจิตรมาก หน้าตาราวกับสาวน้อย เพียงแค่ได้มองหน้านางครั้งเดียว ก็เกรงว่าจะลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต ความสวยของนางเป็นเรื่องรอง แต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องที่ทำให้คนเห็นแล้วอยากเข้าใกล้ต่างหากที่เป็นสิ่งล้ำค่าหายาก ลูกตาสีฟ้าสดใสเป็นประกาย บริสุทธิ์ผุดผ่องมาก ปีศาจหญิงที่ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหกคนนี้ นอกจากคำว่า ‘บริสุทธิ์ผุดผ่อง’ ในโลกนี้ก็ไม่มีคำไหนที่ใช้บรรยายนางได้แล้ว อ่อนโยนไร้ราคี แววตาไร้เดียวสาราวกับเด็กทารก


เกรงว่าทั้งเผ่าปีศาจคงจะมีแค่สองคนนี้ที่สวมเครื่องแต่งกายที่มีกระบอกแขน และเป็นแค่สองคนในกลุ่มปีศาจที่เหมียวอี้เห็นว่าสวมรองเท้า


แต่สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้แปลกใจก็คือ ชายชราคนนั้นเหมือนจะอยู่คนละเผ่ากับปีศาจพวกนี้ หูไม่ได้แหลมตั้งขึ้น หน้าตาก็เหมือนคนทั่วไป แถมบนตัวยังไม่มีปราณปีศาจด้วย ซึ่งบนตัวของปีศาจคนอื่นล้วนมีสิ่งนี้


ปีศาจทั้งหมดที่อยู่ในงานใช้มือข้างเดียวกดตรงหัวใจเพื่อคำนับทั้งสอง หมิงจ้าวก็ทำแบบนี้ด้วยเหมือนกัน เหมียวอี้และคนอื่นๆ จึงเลียนแบบ


หลังจากชายชราและสาวน้อยคำนับตอบ ชายชราก็โบกมือบอกให้ทุกคนนั่งลง “แขกผู้มีเกียรติทุกท่านเชิญดื่มด่ำอาหารเลิศรสที่มาจากป่าไม้ ไม่ต้องเกรงใจ” จากนั้นสาวน้อยก็ชายชราก็นั่งลงเคียงกัน ชายชรายกจอกสุรา แล้วทุกคนก็ยกจอกสุราขึ้นมาดื่มสุราสีเขียวที่อยู่ในนั้น


ไม่ต้องประดิษฐ์คำพูดอะไรมากมาย บรรดาปีศาจที่กำลังนั่งยกจอกสุราขึ้นชนกันทันที บางคนเป่าขลุ่ย บางคนตีกลองไม้ บางคนก็ชูจอกสุราร้องเพลง แล้วก็มีชายหญิงที่คล้องแขนกันเต้นรำอย่างคึกคัก บรรยากาศเริ่มคึกคักขึ้นเรื่อยๆ เหมือนสนุกสนานสุดเหวี่ยง


ส่วนหมิงจ้าวและคนอื่นๆ ก็มองดูพลางยิ้มตาหยี พวกเขาค่อนข้างสำรวม ยากที่จะกลืนกับบรรยากาศแบบนี้ได้


เหมียวอี้ดื่มสุราสีเขียวเข้าไปคำหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงถามหมิงจ้าวว่า “ผู้อาวุโส ท่านนี้คือผู้อาวุโสที่บอกเหรอ?”


หมิงจ้าวพยักหน้าเบาๆ เหมียวอี้ถามอีกว่า “แล้วผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ คือใคร ทำไมนั่งเสมอกันได้?”


“เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจ ชื่อมู่น่า” หมิงจ้าวตอบ


ธิดาศักดิ์สิทธิ์? เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ ถามอีกว่า “ทำไมผู้อาวุโสมู่เซินดูไม่เหมือนอยู่เผ่าเดียวกับปีศาจพวกนี้ล่ะ บนตัวยังมีปราณปีศาจด้วย”


“พวกเรากำลังนั่งอยู่บนร่างเดิมของเขา ต้นไม้ต้นนี้ก็คือร่างเดิมของเขา พอแล้ว อย่าพูดมาก คนที่นี่ไม่ชอบให้คนอื่นแอบถ่ายทอดทอดเสียงคุยกันลับหลัง” หมิงจ้าวกล่าว


เหมียวอี้กลับเงยหน้ามองต้นไม้โบราณที่ใหญ่โตรโหฐานไร้ที่เปรียบตรงหน้า ที่แท้ผู้อาวุโสท่านนี้ก็คือปีศาจต้นไม้นี่เอง


เหมียวอี้กำลังครุ่นคิด แตรทันใดนั้นเอง ปีศาจสาวสองคนที่ที่จูงมือเขาก่อนหน้านี้ก็วิ่งเข้ามาอีก มาดึงแขนเขาเอาไว้ ตอนที่กำลังฉงนใจ เขาก็ถูกปีศาจสาวทั้งสองดึงเข้าไปร่วมวงเต้นรำปลดปล่อยอารมณ์แล้ว


ปีศาจสาวทั้งสองบอกใบ้ให้เหมียวอี้เต้นรำกับพวกนาง เหมียวอี้อับอายนิดหน่อย ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเต้นระบำเลย เขามองไปยังพวกปีศาจที่กำลังบรรเลงดนตรีเต้นรำอย่างสนุกสนานร่าเริงอีกครั้ง เขากระโดดเต้นแบบนั้นไปเป็นเลยจริงๆ จึงรีบโบกมือบอกพวกนางว่าเต้นไม่เป็น แล้วหันเลี้ยวกลับโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


ใครจะคิดว่าปีศาจสาวสองคนนั้นจะดึงเขนเสื้อเขาไว้ ดึงเข้ากลับมา แล้วบอกให้เขาเต้นตามใจชอบ สบายใจอย่างไรก็เต้นอย่างนั้น


นี่กำลังกลั่นแกล้งข้าเหรอ? ท่านขุนนางเหมียวทำสีหน้าไม่ถูก แต่เมื่อเห็นทุกคนกำลังทำสายตาเฝ้าคอย เขาก็คงสัยนิดหน่อยว่าถ้าตัวเองไม่เต้นแล้วจะทำให้ทุกคนไม่พอใจรึเปล่า เพื่อเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน เจ้าบ้านี่จึงตัดสินใจกล้ำกลืนความอัปยศเอาไว้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรเสียหาย เขามองซ้ายมองขวา แล้วเริ่มยื่นมือ แล้วก็ยกเท้าต่อ เต้นแบบถูๆ ไถๆ ไปก็แล้วกัน


ท่าทางแข็งทื่อสุดๆ ปีศาจสาวทั้งสองที่หัวเราะคิกคักเข้ามาคล้องแขนเขาอีกครั้ง แล้ววิ่งไปพลางกระโดดไปพลาง


ค่อยเป็นค่อยไป เมื่อคล้อยตามกับบรรยากาศ เหมียวอี้ก็ค่อยๆ ปลดปล่อยอารมณ์แล้ว เริ่มกระโดดโลดเต้นท่ามกลางกลุ่มคน ไม่มีท่าทางอื่น รู้จักแค่ยื่นเท้ากับยื่นมือ แขนขาทั้งสี่ยื่นเข้ายื่นออก


ท่าทางของเขา ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนคนปัญญาอ่อน อาหารที่อยู่ในปากจงหลีค่วยแทบจะพุ่งออกมา เซี่ยหนานเอ๋อร์ก็ยิ่งเอามือปิดปากกลั้นขำ พวกหมิงจ้าวล้วนกำลังมองเหมียวอี้อย่างบันเทิงเริงใจ


พวกเขาหัวเราะเยาะเหมียวอี้ แต่เหมียวอี้เหมือนจะได้รับความนิยมจากพวกปีศาจมาก มีปีศาจถือจอกสุราเข้ามาหาเขาไม่ขาดสาย นำสุรามากรอกปากเขา หลังจากดื่มไปไม่กี่จอกเพราะปฏิเสธลำบาก ก็เหมือนเป็นการยั่วให้คนที่เหลือเข้ามาหา คนที่มากรอกสุราใส่ปากเขาจึงยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ เหมียวอี้อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา อยากจะหนีแต่กลับโดนดึงไว้ครั้งแล้วครั้งแล้ว ปีศาจพวกนั้นก็ไม่เกรงใจกันเลยจริงๆ เหมียวอี้เกิดความคิดอยากจะเอาทวนแทงพวกเขาให้ตายให้หมด


“อาจารย์อา!” ไฉจวิ้นมองไปทางหมิงจ้าวอย่างกังวล แต่หมิงจ้าวเพียงโบกมือยิ้มบางๆ บอกใบว่าไม่เป็นอะไร


ผู้อาวุโสมู่เซินที่นั่งอยู่บนเวทีก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน เอียงหน้าถามมู่หลินหลาง “เรื่องอะไรกัน?”


มู่หลินหลางกวักมือเรียกคนที่อยู่ข้างล่างทันที ปีศาจสาวที่ดึงแขนเหมียวอี้ก่อนหน้านี้วิ่งขึ้นไป หลังจากได้ยินที่ผู้อาวุโสถาม นางก็ยิ้มตาหยีกระซิบตอบผู้อาวุโสพักหนึ่ง ผู้อาวุโสมู่เซินได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆ เหลือบมองเหมียวอี้ที่โดนกรอกสุราอยู่ท่ามกลางฝูงชนหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยห้าม


หลังจากโดนทรมานไปประเดี๋ยวเดียว เหมียวอี้ก็ฉวยโอกาสหาช่องว่างกึ่งคลานกึ่งวิ่งหนีออกมา ทำเอาพวกปีศาจหัวเราะเสียงดังลั่น


พวกหมิงจ้าวเหลือบมองเหมียวอี้ที่สะบักสะบอมเกินทน แล้วพากันกลั้นขำ


ในขณะนี้เอง ผู้อาวุโสมู่เซินกระทุ้งไม้เท้า หลังจากเสียงกระทุ้งดังขึ้นสามครั้ง คนที่กำลังเต้นรำในงานก็หยุดทันที บรรดาปีศาจที่สนุกสุดเหวี่ยงก็กลับไปนั่งประจำที่ตัวเองแล้วเช่นกัน


ปีศาจชายสองคนที่สวมกำไลแขนยกวงล้อโลหะสีดำขึ้นมาใบหนึ่ง แล้ววางบนชั้นไม้ จากนั้นผู้อาวุโสมู่เซินก็ยืนขึ้น มองไปทางพวกหมิงจ้าวพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แขกผู้มีเกนีติทุกท่าน เผ่าปีศาจของพวกเรามีประเพณีที่ทำกันมาตลอด ถ้ามีแขกมาเยือนเผ่าของพวกเรา พวกเราก็ทำการทดสอบ เพื่อดูว่าเป็นแขกผูมีเกียรติสูงสุดหรือไม่ ผู้ที่ผ่านการทดสอบจะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นที่สุดจากเผ่าปีศาจ หวังว่าทุกท่านจะเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เคารพประเพณีของพวกเรา”


พวกเหมียวอี้เงยหน้ามองวงล้อโลหะบนเวที นอกจากหมิงจ้าว คนอื่นก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร เหมียวอี้ก็เงยหน้ามองแวบหนึ่ง แล้วเช็ดน้ำสุราสีเขียวที่เปื้อนบนตัวต่อไป เขาโดนปีศาจกลุ่มนี้ต้อนรับอย่างอบอุ่นเต็มที่แล้ว ไม่ได้คิดจะเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดอะไรนั่นเลย นี่เป็นการดื่มสุราเสียที่ไหนกัน นี่เป็นการดื่มสุราทัณฑ์ชัดๆ หลังจากเคยโดยจับโดนจับกรอกสุราที่นภาจอมมาร เขาก็รังเกียจการโดนคนอื่นกรอกสุรามาก


หมิงจ้าวยืนขึ้น ประทับมือตรงหัวใจคำนับพลางกล่าวว่า “พวกเรายินดีจะเคารพประเพณีของเผ่าปีศาจ รับการทดสอบจากเจ้าบ้าน”


ผู้อาวุโสมู่เซินยื่นมือเชิญทันที หมิงจ้าวเป็นคนแรกที่เดินเข้าไป เดินไปข้างวงล้อโลหะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้รับการทดสอบแบบนี้  เขาก้มหน้าจ้องวงล้อโลหะและเริ่มครุ่นคิด


บนวงล้อโลหะมีอักษรตัวเล็กๆ อยู่รวมกันวงแล้ววงเล่า แน่นขนัดเป็นพันตัว ด้านบนของวงล้อโลหะมีตัวอักษรอยู่แถวหนึ่ง : ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง


มีทั้งหมดแปดตัวอักษร และด้านข้างของตัวอักษรทั้งแปด ก็ยังมีรอยเว้าอีกหนึ่งแถว เหลือตำแหน่งว่างไว้แปดตัว วงตัวอักษรที่หมุนอยู่บนถอดกลมก็คือตัวอักษรสำหรับเติมคำในช่องว่าง เมื่อเติมคติพจน์สิบหกตัวเสร็จแล้ว คนที่ตอบถูกก็จะผ่านการทดสอบ จะกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของเผ่าปีศาจ


ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าอธิบายกติกาให้หมิงจ้าวฟัง หมิงจ้าวพยักหน้ายิ้ม เขารู้กติกานี้อยู่แล้ว ถึงแม้จะมีประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ถ้าอยากจะเติมให้สอดคล้องกับคำตอบเดิมทุกตัว ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย


ทำได้เพียงไตร่ตรองพักหนึ่ง แล้วทำตามอำเภอใจ ยื่นมือไปกดตัวอักษร ‘ฟ้า’ แล้วหมุนไปตรงช่องว่าง ใช้ปลายนิ้วกดชี้ออกมา ไหลตามรางเติมไปที่ช่องว่างตัวแรก จากนั้นก็หมุนตัวอักษรอีกเจ็ดตัวอย่างรวดเร็ว เติมเข้าไปทีละตัว


ตัวอักษรแปดตัวที่เขาเติมได้ความหมายว่า  : ท้องฟ้าสีดำแผ่นดินสีเหลือง จักรวาลผสมรวมกัน!


หลังจากเติมเสร็จแล้ว หมิงจ้าวก็เงยหน้ามองผู้อาวุโสมู่เซิน เจ้าตัวยิ้มบางๆ แล้วยื่นมือเชิญ บอกใบ้ให้เขากลับไปนั่งที่ได้


หมิงจ้าวส่ายหน้ายิ้มเจื่อน ไม่ต้องบอกก็รู้ เขาไม่ผ่านการทดสอบนี้แล้ว ทำได้เพียงกุมหมัดคารวะและหันตัวเดินลงจากเวที ก่อนจะบอกเหมียวอี้ที่อยู่ถัดไปว่า “ฆราวาส ถึงตาเจ้าไปทดสอบแล้ว”


เหมียวอี้ไม่อยากได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นอะไรอีกแล้ว จึงบอกว่า “ขนาดผู้อาวุโสยังไม่ผ่านการทดสอบนี้เลย อย่างข้าก็ไม่ต้องทดสอบแล้ว” เขาหันไปบอกกับไฉจวิ้น “เชิญศิษย์พี่ใหญ่ก่อนแล้วกัน เสื้อข้ายังเหนียวเปื้อนอยู่เลย ต้องเช็ดก่อน”


ทำแบบนี้ได้เหรอ? ไฉจวิ้นมองไปทางหมิงจ้าว เขาเองก็อยากลองเปิดหูเปิดตาดูสักหน่อย


หมิงจ้าวไม่คัดค้านอะไร พยักหน้าตอบรับ ไฉจวิ้นจึงยืนขึ้น วิ่งไปคำนับบนเวทีแล้วฟังธิดาศักดิ์สิทธิ์อธิบายกติกา หลังจากครุ่นคิดครู่เดียว เขาก็หมุนตัวอักษรมาเติมแปดตัว ผลที่ได้เหมือนกับหมิงจ้าว ถูกผู้อาวุโสมู่เซินเชิญลงจากเวทีแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 950

 

คติพจน์สิบหกตัว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไฉจวิ้นรู้สึกว่ายังไม่หายอยาก แต่ช่วยไม่ได้ที่การเล่นวงล้อเติมคำไม่มีการลองซ้ำ ทำได้เพียงลงจากเวทีพร้อมกับความเสียดาย


เหมียวอี้ไม่มีท่าทีว่าจะขึ้นไปบนเวที ไฉจวิ้นจึงนั่งลงแล้วบอกเขาว่า “ไม่ต้องเช็ดแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก็สิ้นเรื่อง” ความหมายที่จะสื่อก็คือ เร่งให้เขาขึ้นไปลองเล่น


ปรากฏว่าเหมียวอี้หันไปพยักหน้าให้ศิษย์พี่รองหญิงคนสวย บอกใบ้ให้นางขึ้นเล่นแทน ที่บอกว่าเสื้อผ้าสกปรกคือข้ออ้าง ความจริงคือไม่อยากเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดที่ถูกต้อนรับอย่างอบอุ่นอีกแล้ว


เซี่ยหนานเอ๋อร์เองก็ไม่เกรงใจ เห็นว่าหมิงจ้าวไม่คัดค้าน นางก็ลุกเดินออกจากโต๊ะ ค่อยๆ ก้าวขึ้นไปคำนับบนเวที หลังจากฟังคำชี้แนะจากธิดาศักดิ์สิทธิ์จบแล้ว นางก็ทำตัวทำให้กระปรี้กระเปร่าทันที ยืนจ้องหน้าวงล้อเงียบๆ นางใช้เวลาครุ่นคิดนานมาก ถึงได้ลองหมุนวงล้อเติมอักษรแปดตัว


ถึงแม้จะใช้ความคิดนานมาก แต่ก็ยังเปลี่ยนแปลงตอนจบไม่ได้อยู่ดี ยังถูกผู้อาวุโสมู่เซินยื่นมือเชิญให้ลงจากเวทีเหมือนเดิม ส่วนธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าก็รีบหมุนวงล้อเติมคำกลับไปตำแหน่งเดิม


เหมียวอี้แน่วแน่ว่าไม่อยากขึ้นไปเล่น หลังจากเซี่ยหนานเอ๋อร์กลับมาแล้ว คนถัดไปก็วิ่งขึ้นไปทดลองเล่นอีก ไม่ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ ก็คิดเสียว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน


ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม พ่ายแพ้กลับมา แล้วก็เปลี่ยนให้คนต่อไปขึ้นไปเล่นต่อ


จนกระทั่งเปลี่ยนให้จงหลีค่วยขึ้นไปเล่นก็ยังแพ้ ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสิบเอ็ดคน ขึ้นไปเล่นทีละคนและถอยกลับมาทีละคน รวมหมิงจ้าวด้วยก็เล่นครบสิบสองคนแล้ว พวกเขารู้สึกเสียดายมาก ไม่มีใครได้กลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของเผ่าปีศาจเลย


แต่เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสมู่เซินไม่อยากปล่อยให้ใครบางคนเป็น ‘ปลาลอดแห’ จ้องมองเหมียวอี้ที่อยู่เบื้องล่างตลอด ในงานเลี้ยงเงียบลง สายตาของทุกคนจ้องไปที่เหมียวอี้แล้ว


การรังควานด้วยสายตาแบบนี้ทำให้หมิงจ้าวกุมหมัดไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “ฆราวาส ขึ้นไปลองหน่อยเถอะ ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย”


เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ แล้วตอบว่า “เว้นข้าไว้เถอะ ขนาดพวกท่านยังไม่ผ่านการทดสอบเลย งั้นข้าก็ไม่ขึ้นไปแสดงฝีมืออันต่ำต้อยแล้ว”


ใครจะคิดว่าผู้อาวุโสมู่เซินจะกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “ผู้ที่ไม่ยอมรับการทดสอบ พวกเราจะมองว่าดูถูกเผ่าของพวกเรา ป่าผืนนี้จะไม่ต้อนรับการมาเยือนของเขา ถ้าเจ้าไม่ยอมรับการทดสอบ ก็เชิญออกไปเสียตั้งแต่ตอนนี้!”


“…” เหมียวอี้อ้าปากค้าง ไม่ใช่แล้วมั้ง แค่ไม่เล่นด้วยก็จะไล่ข้าไปเลยเหรอ ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวเหรอ?


“ฆราวาส!” หมิงจ้าวขมวดคิ้วพลางพยักหน้า บอกใบ้ให้เขาขึ้นไป ที่จริงเหมียวอี้จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่สำคัญ เหมียวอี้ไปแล้วก็ไม่เป็นอะไร แต่ประเด็นสำคัญคือหมิงจ้าวไม่อยากปล่อยให้เรื่องนี้มาทำให้คนของเผ่าปีศาจไม่พอใจ ถึงอย่างไรต่อไปก็ยังต้องมาหาสมบัติในอาณาเขตของอีกฝ่าย


อีกฝ่ายพูดถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้ยังจะอ้างอะไรได้อีก ถ้าจะให้เขาออกไปตอนนี้เขาก็ไม่ยอมหรอก ถ้ายังหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานไม่พบ เขาจะยอมจากไปได้เหรอ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถ่อมาไกลขนาดนี้หรอก ทำได้เพียงขึ้นเวทีไป


แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เล่นดูหน่อยก็ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรเสียหาย ถ้าไม่อยากได้รับการปฏิบัติอย่างอบอุ่นเหมือนเมื่อครู่นี้ อย่างมากถ้าเล่นมั่วก็ไม่ผ่านการทดสอบหรอก! เหมียวอี้พึมพำในใจแล้วลุกขึ้นเดินไปบนเวที


เหมียวอี้ตัวเปื้อนน้ำสุราสีเขียว พอขึ้นบนเวทีแล้วดูสะดุดตามาก หลังจากขึ้นมากุมหมัดคารวะด้านข้างวงล้อโลหะ สายตาก็กวาดมองตัวอักษรที่ยัวเยี้ยอยู่บนวงล้อแวบหนึ่ง เขาไม่ได้ให้ความสำคัญสักเท่าไร ตอนที่เพิ่งย้ายสายตาไปบนใบหน้าของธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่า เขาก็ตกตะลึงทันที


ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่ามีแววตาที่สดใสเปล่งประกายมาก ดูสวยละมุนสะอาดไปทั้งตัว ยิ่งมองใกล้ๆ ก็ยิ่งพบว่าบริสุทธิ์ผุดผ่องจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ตอนที่นางกำลังอธิบายให้เหมียวอี้ฟังว่าจะทดสอบอย่างไร เหมียวอี้กลับรู้สึกเหมือนโดนเข็มจิ้ม เขาย้ายสายตากลับไปที่วงล้อเติมคำ จ้องมองตัวอักษรที่เขียนว่า ‘ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง’ บนวงล้อ เมื่อครู่เขากวาดสายตามองแต่เกือบจะมองข้ามไป ตอนนี้เขาเบิกตากว้างทันที ได้แต่ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น ขนาดธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าพูดจบแล้วเขาก็ยังไม่รู้ตัว


คนอื่นอาจจะประหลาดใจกับอักษรแปดตัวนี้ แต่สำหรับเหมียวอี้ เขากลับคุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยยังไงแล้ว เป็นอักษรแปดตัวหน้าที่อยู่ในบทนำคติพจน์สิบหกตัวของเคล็ดวิชาอัคนีดารา เขาจะไม่รู้จักได้ยังไง


ปฏิกิริยาของเหมียวอี้ค่อนข้างแปลก เขาหันหลังให้คนที่อยู่ข้างล่าง คนข้างล่างจึงมองไม่เห็น คิดว่าเขากำลังครุ่นคิดว่าจะเติมอักษรอย่างไร


แต่ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าสังเกตเห็นแล้ว นางหันไปมองผู้อาวุโสมู่เซินแวบหนึ่ง ผู้อาวุโสมู่เซินก็สังเกตเห็นความผิดปกติของเหมียวอี้แล้วเช่นกัน โดยเฉพาะปฏิกิริยาที่เหมียวอี้เสียอาการจนเบิกตากว้าง เรียกได้ว่าทำให้ผู้อาวุโสมู่เซินกลั้นหายใจทันที จ้องมองปฏิกิริยาของเหมียวอี้เงียบๆ มองออกรางๆ ว่าเขาเฝ้าคอยอยู่


ในใจเหมียวอี้กลับว้าวุ่นราวกับมีคลื่นโหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง อักษรแปดตัวแรกในคติพจน์สิบหกตัวของบทนำเคล็ดวิชาอัคนีดารา ทำไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้ล่ะ? จะบังเอิญขนาดนั้นเชียวเหรอ ทำไมแปดตัวข้างหน้าตรงกันพอดี แล้วแปดตัวข้างหลังก็เว้นว่างไว้พอดี? เคล็ดวิชาอัคนีดารามาจากแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง อย่าบอกนะว่ามาจากพิภพใหญ่ด้วยเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคติพจน์สิบหกตัวจะมาโผล่อยู่ที่นี่ได้อย่างไร?


หลังจากได้สติกลับมาอย่างช้าๆ เหมียวอี้ก็เหลือบตาขึ้นอย่างสงสัย มองดูธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่า แล้วก็มองผู้อาวุโสมู่เซินอีก เหมือนอยากจะหาเบาะแสจากสีหน้าของทั้งสองคน แต่จนใจที่สีหน้าและแววตาของมู่น่าบริสุทธิ์ใสซื่อมาก ผู้อาวุโสมู่เซินก็นิ่งเฉยเยือกเย็นเช่นกัน เขามองเบาะแสอะไรไม่ออกเลย


ผู้อาวุโสมู่เซินจับสังเกตได้ถึงความตกตะลึงประหลาดใจในดวงตาเหมียวอี้ เขายิ้มบางๆ พลางยื่นมือเชิญ “หากแขกผู้มีเกียรติไตร่ตรองดีแล้ว เชิญลงมือได้!”


แววตาประหลาดใจสงสัยของเหมียวอี้ค่อยๆ ย้ายกลับไปบนวงล้อเติมคำ ตอนนี้เขากำลังพิจารณาว่าควรจะเติมคติพจน์แปดตัวหลังของบทนำเคล็ดวิชาอัคนีดาราลงไปหรือไม่ ถ้าเป็นความบังเอิญ ต่อให้เขาเติมคติพจน์สิบหกตัวนั้นไปก็คงไม่เป็นอะไร แต่ถ้าไม่ใช่ความบังเอิญ เขาก็กังวลว่าจะสร้างปัญหาอะไรตามมาหรือเปล่า ทำไมต้องนำคติพจน์สิบหกตัวของเคล็ดวิชาอัคนีดารามาทำเป็นบททดสอบด้วยล่ะ? ระหว่างเผ่าปีศาจกับเคล็ดวิชาอัคนีดารามีอะไรเกี่ยวข้องกันเหรอ?


จะเติมคำตอบที่อยู่ในใจตัวเอง หรือจะเติมมั่วๆ ไป เขาสับสนพัวพันกันอุตลุต ทั้งอยากจะรู้ผลลัพธ์ ทั้งกลัวว่าจะสร้างปัญหาอะไร ประสบพบเจอกับเรื่องที่ทำให้เขาสับสนได้ขนาดนี้เข้าแล้ว


หลังจากไตร่ตรองซ้ำๆ เหมียวอี้ก็เริ่มตัดสินใจได้ เขาเองก็อยากจะเห็นว่าวงล้อเติมคำนี้เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาอัคนีดาราหรือเปล่า บางทีตัวเองอาจจะคิดมากไป


คนอื่นไม่มีทางเข้าใจว่าตัวอักษร ‘ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง’ ดึงดูดใจเขาขนาดไหน เพราะนี่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาฝึกตนของเขา เคล็ดวิชาที่ทำให้เขาเดินมาจนถึงวันนี้


สุดท้าย ขณะที่หมิงจ้าวและคนอื่นๆ ข้างล่างกำลังขมวดคิ้วสงสัยว่าทำไมเหมียวอี้ครุ่นคิดนานขนาดนี้ หลังจากสายตาของเหมียวอี้มองหาบนวงล้อโลหะพักหนึ่ง ก็ยื่นมือไปจิ้มตัวอักษร ‘ดารา’  แล้วหมุนวงอักษรนั่นช้าๆ ย้าย ตัวอักษร ‘ดารา’ ตามราง พอตัวอักษรหลุดจากวงก็ดันขึ้นไปเบาๆ ไปเติมที่ช่องว่างช่องแรกจากแปดช่องนั้น


หลังจากวางตรงตำแหน่งแล้ว เหมียวอี้ก็ใช้นิ้วจิ้มต่อไป จิ้มคำว่า ‘ดารา’ อีกตัว หมุนไปตามวิถีโคจรอีกครั้ง ตอนที่ดันตัวอักษรตัวที่สองไปเติมในช่องว่าง สายตาเขามองไปที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าและผู้อาวุโสมู่เซินอีกครั้ง หวังว่าจะมองเบาะแสอะไรออกจากสีหน้าของพวกเขา


ทว่าสายตาของทั้งสองก็กำลังจ้องอยู่บนวงล้อเช่นกัน ไม่ได้แสดงความผิดปกติใดๆ ถ้าจะบอกว่าผู้อาวุโสมู่เซินกำลังปิดบังอะไรอยู่ แล้วธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าล่ะ? ไม่ว่าจะมองอย่างไร เหมียวอี้ก็รู้สึกว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าไม่เหมือนคนที่จะหลอกลวงคนอื่น เป็นเพราะความบริสุทธิ์ผุดผ่องของนางเหมือนมาจากเนื้อแท้ บนโลกนี้เหมือนจะไม่มีแววตาของใครใสสะอาดเท่านางอีกแล้ว ราวกับฝุ่นทรายก็ทำใจพัดเข้าไปในดวงตาของนางไม่ลง เหมือนไม่เคยปนเปื้อนอะไรมาก่อน ไม่เหมือนกำลังหลอกลวงคนอื่น


ถ้าคนแบบนี้ยังหลอกคนอื่นได้ เช่นนั้นเหมียวอี้ก็บอกได้เพียงว่า ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าท่านนี้แสดงได้เหนือกว่ากว่าศีลแปด


ยิ่งทั้งสองทำท่าทางแบบนี้ ในใจเหมียวอี้ก็ยิ่งสงสัย ถ้าไม่ใช่เพราะคำตอบของตัวเองผิด ก็คงเป็นเพราะทั้งสองไม่รู้คำตอบที่แท้จริงเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นทำไมไม่แสดงปฏิกิริยาที่ผิดปกติอะไรสักนิดเลยล่ะ?


เหมียวอี้รีบเร่งมือ พอวางตัวอักษรตัวที่สองให้เข้าตำแหน่งแล้ว ก็ชี้ไปยังตัวอักษร ‘แห่ง’ ที่อยู่ข้างล่าง ขณะที่ดันมันขึ้นมาก็สังเกตปฏิกิริยาของทั้งสองอีกครั้ง


ทั้งสองยังคงทำสีหน้าสนใจเหมือนปกติ เหมียวอี้จึงกัดฟัน หาตัวอักษรอีกห้าตัวและหมุนดันขึ้นไปทีละตัว อักษรห้าตัวนั้นได้ความหมายว่า : ไฟเผาลามทุ่งหญ้า


อักษรแปดตัวนั้นได้ความหมายว่า : อัคนีแห่งดารา เผาลามทุ่งหญ้า!


คติพจน์สิบหกตัวในบทนำของเคล็ดวิชาอัคนีดารา ได้ความหมายว่า : ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง อัคนีแห่งดารา เผาลามทุ่งหญ้า!


เหมียวอี้ถอนนิ้วออกจากวงล้อเติมคำ หลังจากปล่อยมือสองข้าง ก็มองดูปฏิกิริยาของผู้อาวุโสมู่เซิน


ผู้อาวุโสมู่เซินก็จ้องวงล้อเติมคำเช่นกัน ในดวงตาเหมือนฉายแววผิดหวัง เงยหน้ามองเหมียวอี้ แล้วยกมือเล็กน้อย เป็นการเชิญให้กลับลงไป


เหมียวอี้แอบโล่งอก คิดในใจว่า ข้าก็ว่าแล้วไง จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นได้ยังไง ตัวเองคิดมากไปจริงๆ ด้วย สงสัยอักษรแปดตัวนั้นจะบังเอิญไปเหมือนกับคติพจน์สิบหกตัวในบทนำของเคล็ดวิชาอัคนีดาราพอดี


เหมียวอี้กุมหมัดคารวะเตรียมจะลงจากเวที ทว่าตอนที่เขาหันตัวมา ขณะที่ผู้อาวุโสมู่เซินยกมือเตรียมจะบอกให้ปีศาจชายสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลมาถือวงล้อโลหะออกไป วงล้อโลหะนั่นก็มีเสียง ‘แกร๊ก’ ดังชัดเจนมาก


เหมียวอี้ที่ก้าวเท้าออกมาได้ก้าวหนึ่งหยุดชะงัก พอหันกลับไปมอง ก็ตกตะลึงทันที


เสียง ‘แกร๊ก’ ค่อยๆ กลายเป็นเสียง ‘แกร๊กๆๆ’ ดังต่อเนื่องเป็นชุด จู่ๆ วงตัวอักษรที่แน่นขนัดก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา ภายใต้สถานการณ์ที่มีใครควบคุม มันกำลังหมุนด้วยตัวเองเสียงดัง ‘แกร๊กๆ’ วงตัวอักษรหลายวงหมุนอย่างรวดเร็ว หมุนจนคนมองตาลายหมดแล้ว


ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ


ผู้อาวุโสมู่เซินก็เบิกตากว้างเช่นกัน ลมหายใจถี่กระชั้นผิดปกติ ไม้เท้าที่ถืออยู่ในมือสั่นเล็กน้อย จ้องมองการเปลี่ยนแปลงบนวงล้อเติมคำอย่างไม่ละสายตา


เหมียวอี้ที่กำลังประหลาดใจสงสัยหันไปมองการเปลี่ยนแปลงของวงล้อเติมคำอีกครั้ง


เสียง ‘แกร๊กๆ’ บนเวทีทำให้หมิงจ้าวที่อยู่ข้างล่างยืนขึ้น เขาเองก็ทำสีหน้าประหลาดใจสงสัยเช่นกัน พวกไฉจวิ้นยืนขึ้นมองหน้ากันเลิกลั่ก อย่าบอกนะว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้เติมคำตอบได้ถูกต้อง?


พวกเขาอยากจะขึ้นไปดูมากว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ แต่ก็ไม่สะดวกจะทำตัวบุ่มบ่าม ทำได้เพียงยืนอยากรู้อยากเห็นอยู่ข้างล่าง


บรรดาปีศาจชายหญิงทุกคนที่นั่งอยู่ข้างล่างก็ลุกยืนเช่นกัน แต่ละคนมองไปข้างบนอย่างเงียบๆ


ในขณะนี้ทุกอย่างเงียบสงัด มีเพียงล้อเติมคำบนเวทีที่ส่งเสียงดัง ‘แกร๊กๆ’ ไม่หยุด ในระหว่างนั้นก็เริ่มมีเสียง ‘แปะๆ’ ดังขึ้น


เหมียวอี้ ผู้อาวุโสมู่เซินและธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่ากำลังจ้องวงล้อเติมคำอย่างไม่ละสายตา เห็นเพียงอักษรสิบหกตัวที่รวมกันจนได้ความหมายว่า ‘ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง อัคนีแห่งดารา เผาลามทุ่งหญ้า’ กำลังตกลงจากรางทีละตัว ไปรวมในวงอักษรที่กำลังหมุนวน หลังจากอักษรทั้งสิบหกตัวตกลงมาหมดแล้ว ตอนที่วนกลับรางไหล วงอักษรที่กำลังหมุนก็กระโดดขึ้นลงไม่หยุด มีทั้งตัวอักษรจากวงอักษรด้านล่างไปเติมใส่ด้านบน มีทั้งตัวอักษรจากวงอักษรด้านบนไปเติมใส่ด้านล่าง กำลังรวมกลุ่มกันไม่หยุด


บทที่ 951 คนเฝ้ารักษากุญแจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฉากนี้ทำให้ปฏิกิริยาของสามคนที่อยู่บนเวทีแตกต่างกันออกไป พวกเขาต่างก็กำลังรอคอย รอคอยว่าจะเกิดผลลัพธ์อะไรขึ้น


หลังจากความเคลื่อนไหวบนวงล้อเติมคำเงียบลงโดยสิ้นเชิงแล้ว เหมียวอี้ก็เงยหน้าช้าๆ มองธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าและผู้อาวุโสมู่เซินที่กำลังทำสีหน้าตื่นเต้นฮึกเหิม ถ้าตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าตัวเองเติมคำถูกต้องแล้ว หรือยังไม่รู้ว่าวงล้อเติมคำนี่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาอัคนีดาราจริงๆ เขาก็คงไม่ต่างอะไรกับคนโง่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่มันจะเกิดการเปลี่ยนแลงเพราะคติพจน์บทนำสิบหกตัวของเคล็ดวิชาอัคนีดารา


ขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจเรื่องบางอย่าง มองออกได้อย่างชัดเจนจากปฏิกิริยาของสองคนนี้ ชายชราและสาวน้อยคู่นี้ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เรียกว่าคำตอบที่แท้จริงคืออะไร กุญแจสำคัญในการตรวจคำตอบมีเพียงวงล้อเติมคำเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าวงล้อเติมคำนี้เป็นของวิเศษสุดพิเศษที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนหลอมสร้างขึ้นมา คนที่ออกแบบของชิ้นนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาอัคนีดาราที่ตนฝึกแน่นอน


วงล้อเติมคำที่เงียบลง ในสายตาเหมียวอี้เป็นเพียงวงอักษรที่หนาแน่นไร้กฎเกณฑ์ แต่ปฏิกิริยาของผู้อาวุโสมู่เซินกลับค่อนข้างผิดปกติ เขาชี้ที่อักษรตัวแรกบนช่องว่างของรางไหล พลางเริ่มสวดคาถา “อาเสินหลัวหม่าต๋า หยวนม่านกู่หลันสั่ว…”


วงแล้ววงเล่า ใช้นิ้วชี้สวดหมดไปหนึ่งวง แล้วก็สวดวงที่อยู่ข้างในต่อ ทำนองของคาถานั่นราวกับร้องเพลง เหมือนเป็นภาษาที่คลุมเครือเข้าใจยากภาษาหนึ่ง


สำนวนยุ่งเหยิงที่ยากจะอ่านให้เป็นบทความได้สำหรับเหมียวอี้ แต่ผู้อาวุโสมู่เซินเหมือนจะสวดออกมาราวกับเป็นบทความของตำราธรรมดา คล่องปากมาก ถ้าให้เหมียวอี้สวดคงจะตะกุกตะกักมาก แต่ผู้อาวุโสมู่เซินสวดออกมาได้อย่างมีท่วงทำนอง


ความคิดต่างๆ แวบเข้ามาในหัวเหมียวอี้ เหมียวอี้ไม่รู้ว่าตัวเองไปเปิดใช้งานของสิ่งใดกันแน่ ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์หรือโทษกับตัวเอง


พวกหมิงจ้าวที่อยู่ข้างล่างขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสมู่เซินกำลังสวดคาถาผีอะไร แต่ดูจากปฏิกิริยาของบรรดาปีศาจในงาน เหมือนพวกเขาจะตื่นเต้นมาก แต่ละคนมองไปยังผู้อาวุโสมู่เซินที่กำลังสวดคาถาบนเวทีอย่างฮึกเหิม


ผู้อาวุโสมู่เซินที่ใช้กำลังนิ้วหมุนย้ายวงพลางสวดคาถา ตอนที่ชี้ตรงวงอักษรหลายวงที่อยู่ใกล้ชั้นใน นิ้วก็พลันหยุดชะงักไป ปากก็หยุดสวดคาถาแล้วเช่นกัน ไม่ได้สวดต่อแล้ว แต่กำลังมองดูเนื้อหาในนั้นอย่างละเอียด หลังจากแววตาวูบไหวอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็ยื่นมือไปขยับวงล้อเติมคำใหม่ แล้วปั่นวงอักษรที่เพิ่งรวมกลุ่มกันเองเมื่อครู่นี้วุ่นวายยุ่งเหยิงอย่างรวดเร็ว


หลังจากทำเสร็จ ผู้อาวุโสมู่เซินก็โบกมือเก็บวงล้อเติมคำ แล้วมองเหมียวอี้ด้วยแววตาลึกซึ้ง ถอยหลังช้าๆ สองสามก้าว แล้วหันตัวมาประกาศต่อทุกคนว่า “วันนี้ เผ่าปีศาจหาแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของพวกเราเจอแล้ว!” พูดจบก็นำทุกคนประทับฝ่ามือที่หัวใจ พลางโค้งกายให้เหมียวอี้!


ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าก็ทำแบบนี้เช่นกัน บรรดาปีศาจที่อยู่ในงานก็ทำแบบนี้ ทั้งงานเงียบเชียบไร้เสียง ทั้งหมดแสดงความเคารพต่อเหมียวอี้อย่างนอบน้อมและจริงใจ


พวกหมิงจ้าวตกตะลึงอ้าปากค้าง หันซ้ายหันขวามองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกเหลือเชื่อนิดหน่อย จากปฏิกิริยาที่เคารพเลื่อมใสของเหล่าปีศาจ สามารถดูออกได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อคือแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของเผ่าปีศาจจริงๆ


จงหลีค่วยพึมพำในใจ เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า เจ้าเด็กที่ถูไถเอาตัวรอดไปวันๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของเผ่าปีศาจแล้ว ความยุติธรรมยังมีอยู่มั้ย?


ขณะที่มองคนมากมายขนาดนี้คำนับตนอย่างเคารพเลื่อมใส เหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือควรกังวล สรุปคือในใจสับสนวุ่นวายไปหมด ไม่รู้ว่าการกระทำเมื่อครู่นี้หมายความว่าอะไร เขาจึงผายมือสองข้างอย่างระแวดระวัง “ผู้อาวุโส ธิดาศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนไม่ต้องมากพิธี!”


ผู้อาวุโสมู่เซินและธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าพยักหน้าเบาๆ เพื่อแสดงความจริงใจ พอวางมือลงแล้วยืนตัวตรง บรรดาปีศาจถึงได้ยืนตัวตรงตาม


“วันนี้ควรค่าแก่การจดจำ พี่น้องเผ่าปีศาจ แล้วก็แขกของพวกเรา ทุกคนเชิญใช้ความสนุกสุดเหวี่ยงเพื่อเฉลิมฉลอง!” ผู้อาวุโสมู่เซินยกไม้เท้าขึ้น แล้วกางแขนสองข้างประกาศเสียงดัง


“เฮ… เฮ…” บรรดาปีศาจโห่ร้องดีใจทันที เสียงเพลงดังขึ้น เรียกได้ว่าทั้งร้องทั้งเต้นอย่างสนุกสนาน ผู้คนกอดกันโห่ร้องไม่หยุด ออกแรงชนจอกสุราอย่างแรง น้ำสุราสีเขียวกระเด็นหก เป็นการเฉลิมฉลองอย่างบ้าคลั่งตามอำเภอใจ


มีเพียงพวกหมิงจ้าวที่เงียบงันอยู่ท่ามกลางฝูงชน มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ทำอะไรไม่ถูกนิดหน่อย ไม่นานก็เห็นเหมียวอี้ถูกผู้อาวุโสมู่เซินและธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าเชิญให้เหาะขึ้นมาบนง่ามไม้ที่อยู่สูง ด้านบนมีโพรงไม้ที่ใหญ่ที่สุดของทั้งต้น หลังจากทั้งสามเข้าไปในโพรงไม้ ทางเข้าโพรงไม้เลื้อยขยุกขยิกปิดอย่างรวดเร็ว หมิงจ้าวขมวดคิ้ว แต่จนใจที่ไม่ได้ถูกเชิญ จึงไม่สะดวกจะตามขึ้นไป


เหมียวอี้ที่เข้ามาในโพรงไม้หันขวับไปมองข้างหลัง เห็นประตูปิดสนิท ที่ว่างในโพรงไม้กว้างขวาง โต๊ะเก้าอี้งอกออกมาเป็นชุดเดียวกัน แต่ก็พอจะเข้าใจได้ นี่คือร่างเดิมของผู้อาวุโสมู่เซิน เขาอยากจะควบคุมให้เปลี่ยนแปลงอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ตามใจชอบ


เมื่อเห็นประตูปิดแล้ว เหมียวอี้ก็หันไปมองผู้อาวุโสมู่เซิน แล้วถามอย่างระแรงว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสกับธิดาศักดิ์สิทธิ์เชิญขึ้นมาด้วยเรื่องอะไร?”


แต่ผู้อาวุโสมู่เซินกลับมองเขาพลางถอนหายใจ “ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”


เหมียวอี้ฟังแล้วรู้สึกว่าแปลกประหลาดเกินบรรยาย ถามอย่างสงสัยว่า “อะไรนะ?”


ผู้อาวุโสมู่เซินถอนหายใจเบาๆ แล้วจ้องเขาด้วยสีหน้าจริงจังและหนักแน่น พร้อมบอกว่า “พวกเราทำตามความประสงค์ของท่าน รับการลงโทษจากท่าน รอท่านอยู่ที่นี่มานานแสนนานแล้ว ชดใช้ความผิดอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ในที่สุดก็รอจนท่านหวนกลับมา ตอนนี้พวกเราทำตามสัญญาแล้ว หวังว่าท่านจะไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเผ่าปีศาจของพวกเรา”


เหมียวอี้ยิ่งคิดก็ยิ่งหัวทึบเหมือนมีหมอกลง “ผู้อาวุโส ทำไมข้าฟังไม่เข้าใจว่าท่านกำลังพูดอะไร?”


ผู้อาวุโสมู่เซินตอบว่า “เดี๋ยวท่านจะเข้าใจเอง!” พูดจบก็พลิกฝ่ามือยื่นกระจกทองแดงออกมาบานหนึ่ง พอผลักฝ่ามือเบาๆ กระจกทองแดงก็ลอยไปตรงหน้าเหมียวอี้ “ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ของท่านควบคุมมัน มีเพียงพลังอิทธิฤทธิ์ของท่านเท่านั้นที่ควบคุมมันได้ กระจกบานนี้จะให้คำตอบท่านเอง”


เหมียวอี้ที่รับกระจกทองแดงมาไว้ในมือกำลังฉงนสนเท่ห์ มองหน้าทั้งสองคน แล้วก็มองกระจกในมือตัวเอง ผู้อาวุโสมู่เซินพยักหน้าเบาๆ ให้เขา เหมือนกำลังแนะนำว่าให้เขาลองดูสักหน่อย


เหมียวอี้ขมวดคิ้วมุ่น ในใจครุ่นคิดว่าเล่นบ้าอะไรกัน หลังจากคิดไปคิดมา ก็ลองร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูในกระจก พบว่าเป็นของวิเศษชิ้นหนึ่งที่ไร้ค่ามาก เหมือนจะไม่มีอานุภาพในการโจมตีหรือป้องกันอะไร จากนั้นก็ร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้น แต่ก็ไม่พบกฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองทั้งสองอย่างสงสัยอีกครั้ง


ผู้อาวุโสมู่เซินเหมือนจะดูออกว่าเขาสงสัย จึงอธิบายว่า “พวกเราเองก็รู้ไม่เยอะ จึงช่วยอะไรท่านไม่ได้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเปิดใช้งานมันได้อย่างไร แต่คนที่ทิ้งกระจกบานนี้ไว้เคยบอกว่า นี่คือกุญแจดอกหนึ่ง คนที่ผ่านการทดสอบได้ก็จะได้รับคำตอบที่อยู่ในกระจกทองแดง และจะได้กุญแจที่เขาทิ้งไว้ให้ด้วย”


การทดสอบแขกผู้มีเกียรติสูงสุด? เหมียวอี้นึกเชื่อมโยงไปถึงวงล้อเติมคำทันที แล้วก็นึกเชื่อมโยงไปถึงเคล็ดวิชาอัคนีดารา อย่าบอกนะว่า?


เมื่อก้มหน้ามองกระจกทองแดงในมืออีกครั้ง ร่ายอิทธิฤทธิ์เล็กน้อย เปลวเพลิงไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งกรอกเข้าไปในกระจกทองแดง เพียงชั่วพริบตาเดียว กระจกทองแดงในมือก็สั่นเบาๆ อย่างเห็นได้ชัด หน้ากระจกเริ่มมีลำแสงหลากสีสันปรากฏขึ้น


เหมียวอี้ตกตะลึง ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่ามองเขาด้วยสีหน้าเคารพ ผู้อาวุโสมู่เซินถอนหายใจเบาๆ มองเหมียวอี้ด้วยแววตาซับซ้อน พลางพึมพำว่า “ท่านกลับมาแล้วจริงๆ! ราชันกลับมาแล้ว ฟ้าจะเปลี่ยนแล้ว อีกไม่นานจักรวาลผืนนี้คงจะเกิดพายุฝนโลหิต หวังว่าความสงบสุขจะกลับคืนมาโดยเร็ว!”


ตอนที่พูดประโยคข้างบน เขาใช้ภาษาเหมือนกับตอนที่สวดคาถาอ่านวงล้อเติมคำ เหมียวอี้ฟังไม่เข้าใจ ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าที่เพียงมองผู้อาวุโสมู่เซินแวบหนึ่งอย่างค่อนข้างหวาดกลัว


ตาแก่นี่กำลังพึมพำอะไร? เหมียวอี้เหลือบมองมู่เซินแวบหนึ่ง แล้วสายตาไปรวมอยู่ในกระจกทองแดงอย่างรวดเร็ว พอลำแสงหลากสีในกระจกหายไป ก็เกิดตัวอักษรหลายแถวบนหน้ากระจกทันที : ตรงกลางระหว่างภูเขาสามลูก บนท้องฟ้าสูงหกพันจั้ง ยามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน  มองลงเบื้องล่าง เคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานภาคดิน!


เมื่อตัวอักษรยี่สิบเจ็ดตัวนี้ปรากฏขึ้น เหมียวอี้ก็ตกตะลึงพรึงเพริด ถ้าไม่ได้อ่านผิดหรือเข้าใจผิดไป ไม่น่าเชื่อว่าของสิ่งนี้จะกำลังชี้แนะให้หาเคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานภาคดินได้อย่างแม่นยำ!


ในวินาทีนี้เหมือนเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว แผนที่ซ่อนสมบัติที่ตกอยู่ในปราสาทดำเนินนภาไม่ใช่ของปลอม แต่ไม่ได้ชี้นำไปยังที่ซ่อนสมบัติโดยตรง ชี้มาที่เผ่าปีศาจแทน  ชี้นำให้มารับการทดสอบจากเผ่าปีศาจ มีเพียงการผ่านการทดสอบจากเผ่าปีศาจเท่านั้น ถึงจะรู้สถานที่ซ่อนสมบัติที่แท้จริง


หรือพูดได้อีกอย่างว่า มีเพียงคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเท่านั้น ถึงจะผ่านแบบทดสอบวงล้อเติมคำ ถึงจะได้กระจกทองแดงมาไว้ในมือ มีเพียงคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเท่านั้น ถึงจะเห็นสถานที่ซ่อนสมบัติในตอนสุดท้ายได้


ถ้าคำพูดบนกระจกทองแดงเป็นความจริง เช่นนั้นทุกอย่างก็เหมือนจะชัดเจนขึ้นมาแล้ว เกี่ยวกับแผนที่ซ่อนสมบัตินี้  ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ มีเพียงคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเท่านั้น ถึงจะได้เคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานภาคดินไป คนอื่นต่อให้ได้แผนที่ซ่อนสมบัติไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้รู้คติพจน์สิบหกตัวของบทนำเคล็ดวิชาอัคนีดาราไปก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี  ด่านยากที่สร้างไว้ในแผนที่สอนสมบัติ คือสิ่งที่เตรียมไว้ให้คนประเภทเดียวเท่านั้น คนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดารา!


ยากจะอธิบายได้ว่าตอนนี้ในใจเหมียวอี้สั่นสะเทือนขนาดไหน ไม่รู้ว่าในโลกนี้มีแค่เขาคนเดียวหรือเปล่าที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดารา ไม่ใช่สิ ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ยังมีท่านมหาเซียนที่เหล่าไป๋บอก หรือว่ามหาเซียนท่านนั้นต่างหากที่เป็นตัวจริงที่จะได้ของสิ่งนี้ไป? หรือไม่อย่างนั้น ถ้าดูจากความสัมพันธ์ระหว่างเคล็ดวิชาอัคนีดารากับที่นี่ อย่าบอกนะว่ามหาเซียนท่านนั้นจะเป็นผู้ที่ทิ้งของสิ่งนี้ไว้?


ในหัวเขาเกิดความคิดแวบไปแวบมาราวกับสายฟ้าแลบ เริ่มเข้าใจเรื่องบางอย่างแล้ว เหล่าไป๋รู้จักแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งพอสมควร อย่างเช่นตอนที่ไปเก็บไข่ตั๊กแตนทมิฬ ทั้งยังมีภาพสลักสตรีทะยานฟ้าในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง เหมือนกับที่อยู่ในแผนที่ซ่อนสมบัติไม่มีผิด หรือว่าท่านมหาเซียนที่เหล่าไป๋บอกจะเป็นจอมมารที่โดนทหารสวรรค์หนึ่งแสนนายไล่สังหารในปีนั้น?


ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้!


ถึงแม้ในใจจะมีเรื่องสงสัยอยู่บ้าง แต่สรุปว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่เขามั่นใจได้ ตนไม่ใช่คนที่เผ่าปีศาจรอมาตลอดแน่นอน เพราะตนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักนิด ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกอะไรเลย


แต่ใครจะไปสนล่ะ ของต้องตกอยู่ในมือตนถึงจะมีประโยชน์อย่างแท้จริง! เหมียวอี้แอบดีใจอย่างบ้าคลั่ง พอเก็บเปลวเพลิงไร้รูปร่าง แสงที่อยู่บนกระจกทองแดงก็หายไป ตัวอักษรที่อยู่ด้านบนหายไปหมดแล้ว เขาเก็บกระจกทองแดง ความลับนี้อยู่ในมือเขาแล้ว เขาไม่คิดจะมอบให้ใครด้วยความเคารพ และไม่คิดจะให้สองคนที่อยู่ตตรงหน้ารู้ด้วย


หลังจากจัดระเบียบความคิด สงบสติอารมณ์ลงแล้ว เหมียวอี้ก็ถามว่า “ผู้อาวุโส เป็นใครกันที่ทิ้งของสิ่งนี้ไว้แล้วบอกให้พวกท่านรออยู่ที่นี่?” เขาแปลกใจมากว่าใครกันแน่ที่วางแผนซับซ้อนแบบนี้ไว้


ผู้อาวุโสมู่เซินตอบว่า “เพียงเราเพียงทำตามคำสาบานของตัวเอง เป็นคนเฝ้ารักษากุญแจ ตอนนี้พวกเราทำตามสัญญาแล้ว ส่งมอบกุญแจให้ถึงมือของผู้ที่ควรจะรับแล้ว ในเมื่อท่านได้กุญแจไป เดี๋ยวก็จะพบคำตอบเอง!”


…………………………


บทที่ 952 เตรียมจะทำคนเดียว

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเห็นเขาไม่อยากพูดอะไรมาก วรยุทธ์ของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ เหมียวอี้รู้ว่าตัวเองกดดันถามไปก็ไม่ได้เรื่องอะไร จึงไม่มัวพัวกับปัญหานี้อีก ถึงอย่างไรของก็ตกอยู่ในมือตนแล้ว เรื่องอื่นไม่เกี่ยวอะไรกับตน ขั้นต่อไปก็คือหาทางตามหาเคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานภาคดิน โดยอิงจากคำแนะนำในกระจกทองแดง


“ผู้อาวุโสยังมีอย่างอื่นจะกำชับอีกหรือไม่?” เหมียวอี้ถามอีก ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เขาก็จะกลับไปคิดหาทางค้นหาสิ่งของต่อไป เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นสนุก


“มิบังอาจจะกำชับอะไรหรอก เพียงหวังว่าท่านจะไม่ลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับพวกเรา” ผู้อาวุโสมู่เซินกล่าว


พูดถึงคำสัญญาอะไรกัน เหมียวอี้พูดไม่ออก เขามั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน ตนจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ต้องรับการทดสอบตัวจริงต้องรักษาสัญญาอะไร จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “สัญญาอะไรเหรอ?”


ผลก็คือผู้อาวุโสมู่เซินหลีกเลี่ยงที่จะตอบ “กุญแจอยู่ในมือท่านแล้ว เดี๋ยวท่านก็เจอคำตอบเอง” พูดจบก็กระทุ้งไม้เท้าบนพื้น ทางเข้าโพรงไม้ที่ปิดสนิทเลื้อยขยุกขยิกเปิดออกอีกครั้ง


ตอนนี้หมิงจ้าวไปพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับมู่หลินหลางแล้ว สุดท้ายก็ถามอ้อมๆ ว่า “ภาษาที่ผู้อาวุโสมู่เซินสวดใส่วงล้อเติมคำก่อนหน้านี้ ข้าฟังไม่ออกเลยสักคำ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสสวดอะไร ทำไมถึงทำให้พวกท่านตื่นเต้นฮึกเหิมขนาดนั้น?”


หลังจากมู่หลินหลางยกจอกสุราให้เขา ก็ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ใช่ภาษาที่เป็นหนึ่งเดียวหลังจากปกครองจักรวาลผืนนี้หรอก ที่ผู้อาวุโสสวดคือภาษาที่เผ่าปีศาจของพวกเราถ่ายทอดกันมาตั้งแต่โบราณ บอกว่าพวกเราหาแขกผู้มีเกียรติสูงสุดพบแล้ว เทพแห่งโชคลาภจะประทานอนาคตที่ดีงามและสงบสุขให้พวกเรา!”


“เฉลิมฉลองอย่างฮึกเหิมเพื่อสิ่งนี้น่ะเหรอ?” หมิงจ้าวงุนงง


มู่หลินหลางตอบอย่างปีติยินดี “แน่นอนสิ! เจ้าก็รู้ว่าเผ่าปีศาจของเราไม่ชอบวิธีการใช้ชีวิตแบบพวกเจ้า เราหวังเพียงจะได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ตลอดไป อยู่อย่างสงบสุขตลอดไป ใช้ชีวิตอยู่ในป่าอย่างงดงาม ป่าไม้สามารถประทานสิ่งจำเป็นทุกอย่างในการใช้ชีวิตให้พวกเราได้ สิ่งนี้ไม่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองหรอกหรือ?”


หมิงจ้าวพูดไม่ออก เข้าใจเช่นกันว่าค่านิยมของทั้งสองฝ่ายไม่มีทางหลอมรวมกันได้ เมื่อเห็นท่าทางอีกฝ่ายไม่เหมือนกำลังหลอกลวง แถมเผ่าปีศาจก็ไม่มีนิสัยหลอกลวงด้วย บางทีอาจจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริงๆ


ในขณะนี้เอง เหมียวอี้เหาะลงจากต้นไม้ใหญ่ เดินกลับมาแล้ว เข้ามาร่วมกลุ่มอยู่กับทุกคนต่อไป พบว่าสายตาที่ทุกคนมองตนดูแปลกไปนิดหน่อย เขาเองก็ทำได้เพียงยิ้มเจื่อน


จนกระทั่งการฉลองที่สนุกสนานจบลง ผู้อาวุโสมู่เซินกับธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลย


หลังจากกลับมาถึงที่พักที่จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ ไม่จำเป็นต้องพูดอย่างอื่นแล้ว ประโยคแรกที่หมิงจ้าวถามเหมียวอี้ก็คือ “ฆราวาส เจ้าเติมคำว่าอะไรบนวงล้อเติมคำถึงได้ผ่านการทดสอบ?”


เหมียวอี้รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาต้องเข้ามาถามเรื่องนี้ แต่จะบอกความจริงได้อย่างไรล่ะ พวกเจ้าป้องกันข้า ก็แสดงว่าไม่เชื่อใจข้า แล้วทำไมข้าจะป้องกันพวกเจ้าบ้างไม่ได้ จึงเอามือเกาหัวทันที “ข้าเองก็ไม่อยากผ่านการทดสอบอะไรนี่เลย หลังจากโดนพวกท่านกดดันให้ขึ้นไป พอคิดไปคิดมาก็ไม่สนใจอะไรแล้ว เติมไปส่งเดชแปดตัวอักษร ใครจะคิดว่าจะผ่านแบบทดสอบไปแบบงงๆ ก็ช่วยไม่ได้ สงสัยข้าจะเกิดมาเพื่อเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของพวกเขา”


พอเขาตอบบนี้ ทุกคนก็เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งอยากขำ มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? แต่คิดไปคิดมาก็ไม่มีใครสงสัยอะไร ตอนนั้นเจ้าบ้านี่โดนกลุ่มปีศาจดึงตัวไป เจ้าตัวไม่อยากขึ้นไปเล่นเลย โดนกดดันให้ขึ้นไปจริงๆ


“ฆราวาสเติมคำว่าอะไรกันแน่?” หมิงจ้าวขอหลักฐานต่อ


เหมียวอี้เอามือลูบคางทำท่านึกย้อนไป “เหมือนจะเป็น ‘ภูตผีมารปีศาจ ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก’ เหมือนข้าจะเติมไปแบบนี้นะ ตอนนั้นก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว เหมือนจะเติมไปแบบนี้แหละ”


ทุกคนอึ้งไปชั่วขณะ รวมทั้งหมิงจ้าวด้วย พากันครุ่นคิดพึมพำอยู่อย่างนั้น “ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง ภูตผีมารปีศาจ ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก…”


ทุกคนพึมพำซ้ำๆ รู้สึกว่าการเติมคำของเหมียวอี้เหมือนจะถูกแต่ก็เหมือนไม่ถูก แต่ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เขาเหมือนแกล้งถูกเลือกให้เป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดจริงๆ ไม่ว่าผู้ที่มาจะเป็นมารหรือภูตผีหรือปีศาจก็ล้วนเป็นแขกของที่นี่เหรอ บางทีเดาไปแบบนี้ก็อาจจะถูกเหมือนกัน


เพียงแต่ว่า… ถ้าทำแบบนี้แล้วยังผ่านการทดสอบได้ ทุกคนก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกแล้ว ตัวเองลำบากใช้สมองครุ่นคิดไปตั้งมากมาย แต่ก็ยังสู้เจ้าเด็กนี่ที่ยังเติมคำไปมั่วๆ ไม่ได้


ไม่ว่าจะจริงหรือหลอก เหมียวอี้ก็ผ่านการทดสอบแล้ว จงหลีค่วยก้าวขึ้นมาถาม “ผู้อาวุโสมู่เซินเชิญเจ้าขึ้นไปทำอะไร?”


เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง “ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกเขาเชิญข้าขึ้นไปทำไม”


จงหลีค่วยถลึงตาถาม “เหลวไหล! เจ้าเป็นคนไปเองแท้ๆ เจ้าไม่รู้แล้วใครจะรู้? ข้าว่าเจ้าเด็กนี่ไม่ซื่อสัตย์แล้วมั้ง!”


เหมียวอี้จะตกหลุมพรางนี้ได้อย่างไร พูดเหน็บแนมกลับทันที “ข้าขึ้นไปยืนอยู่บนนั้น แล้วมู่เซินกับธิดาศักดิ์สิทธิ์นั่นก็เดินวนรอบตัวข้า ปากก็พูดพึมพำภาษาที่ข้าฟังไม่เข้าใจ ทำเหมือนร่ายมนตร์กับอวยพรอย่างนั้นแหละ พอเดินวนเสร็จก็เชิญให้ข้าลงมา ข้าถามว่าหมายความว่าอะไร พวกเขาก็ไม่ยอมบอก ข้าจะไปรู้เหรอว่าพวกเขาเชิญข้าขึ้นไปทำอะไร? ลุงหนวด ถ้าท่านเก่งนักก็ช่วยข้าแปลหน่อยสิว่าพวกเขากำลังทำอะไรกับข้า?”


“…” จงหลีค่วยพูดไม่ออก ที่ผู้อาวุโสมู่เซินสวดคาถาใส่วงล้อเติมคำก่อนหน้านี้ ทุกคนก็ได้ยินหมดแล้ว ถ้าเล่นแบบนั้นจริงๆ เขาก็แปลไม่ออกแล้ว


หมิงจ้าวถอนหายใจแล้วบอกว่า “คงจะเป็นภาษาของเผ่าปีศาจ ช่างเถอะ! จะได้เป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดหรือไม่ ก็ไม่มีความหมายอะไรสำหรับพวกเรา ทุกคนอย่าลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาที่นี่ นั่นต่างหากคือเรื่องหลักที่พวกเราต้องทำ ทุกคนพักผ่อนบำรุงกำลังวังชาให้เต็มที่ พรุ่งนี้เช้าจะเริ่มคุ้นหาบริวเวณนี้ตามแผน”


“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับคำสั่ง แล้วต่างคนต่างกลับไปนั่งขัดสมาธิ


เช้าตรู่วันต่อมา ขณะที่แสงอาทิตย์ยามเช้าโผล่ตรงเส้นขอบฟ้า หมิงจ้าวก็ไปเจรจาหารือกับผู้อาวุโสมู่เซิน จากนั้นก็กลับมาวางแผนนิดหน่อย แบ่งคนสิบสามคนออกเป็นหกกลุ่ม เหมียวอี้กับจงหลีค่วยอยู่กลุ่มเดียวกับหมิงจ้าวเหมือนที่กำหนดไว้ตอนแรก แล้วแยกย้ายกันค้นหาโดยยึดตรงนี้เป็นจุดศูนย์กลาง


บริเวณที่เผ่าปีศาจอยู่รวมกัน ไม่ต้องพูดถึงทิวทัศน์เลย ลำพังแค่ต้นไม้ใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วทุกที่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้ในสถานที่ทั่วไปแล้ว แม้แต่เถาวัลย์เก่าแก่ที่โยงใยกันอยู่ในป่าก็ใหญ่เท่าต้นขาแล้ว ทั้งยังมีพวกพืชพรรณเรืองแสงตอนกลางคืนที่อยู่ระหว่างป่าหรือไม่ก็หุบเขาประหลาดอันตราย บางครั้งยามยืนยืนอยู่ข้างน้ำตกลำธารตอนกลางคืน ฉากนั้นเหมือนอยู่ในความฝันจริงๆ งดงามจนทำให้คนต้องยกนิ้ว


บริเวณนี้แทบจะมองไม่เห็นสัตว์ใหญ่ชนิดใดเลย ย่อมเป็นเพราะกำจัดออกไปหมดเพื่อปลูกกิ่งหยกเหลือง ถ้ามีสัตว์เกะกะมากไปจะทำให้กิ่งหยกเหลืองที่ปลูกไว้เสียหาย


ไม่ต้องสงสัยเลย สถานที่ที่ต้นไม้เติบโตจนน่าทึ่งแบบนี้ จะต้องเป็นทำเลยอดเยี่ยมสำหรับการปลูกกิ่งหยกเหลืองแน่นอน ดังนั้นตรงใต้ต้นไม้ใหญ่บริเวณนี้ โดนส่วนใหญ่จะปลูกกิ่งหยกเหลืองเอาไว้ ทำให้คนที่เห็นใจสั่นหวั่นไหว แต่หมิงจ้าวดันออกคำสั่งกับทุกคนไว้ว่าห้ามแตะต้อง ถึงแม้เผ่าปีศาจจะปลูกพืชพวกนี้ไว้ แต่ที่จริงแล้วช่วยปลูกให้ปราสาทแมกไม้ทั้งหมด เป็นช่องทางรายได้หลักของปราสาทแมกไม้ ถ้าไปแตะต้องสมบัติของเขาซี้ซั้ว นอกจากจะสร้างปัญหาแล้ว ปราสาทดำเนินนภากับปราสาทแมกไม้ยังเป็นคนในเส้นทางเดียวกันด้วย ล้วนเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ ยังคบค้าสมาคมกัน ถ้าไปขโมยสมบัติของคนอื่น อย่าว่าแต่ปราสาทแมกไม้จะมาคิดบัญชีเลย ปราสาทดำเนินนภาเองก็ไม่ยกโทษให้ลูกศิษย์ของตัวเองเช่นกัน


เหมียวอี้ก็ยิ่งถูกเตือนซ้ำๆ ว่าอย่าแตะต้องของที่นี่ซี้ซั้ว สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้ไม่สบอารมณ์มาก เห็นข้าเป็นคนยังไงไปแล้ว จำเป็นต้องสั่งข้าซ้ำๆ แบบนี้มั้ย?


ว่ากันตามจริง เขาเองก็อยากจะแตะต้องเหมือนกัน ตัวเองแต่งเมียมาตั้งหลายคน ต้องมีสมบัติไปเลี้ยงสิ! ในโลกมนุษย์ เวลาแต่งงานมีภรรยาก็ต้องหาข้าวให้กิน ไม่มีผู้หญิงคนไหนแต่งงานกับเจ้าเพื่อปรนนิบัติและนอนกับเจ้าอย่างเดียวหรอก พวกนางก็ต้องใช้ชีวิตเหมือนกัน การใช้ชีวิตก็ต้องมีช่องทางทำเงิน เห็นท่าทางของอวิ๋นจือชิวตอนมาตลาดสวรรค์ครั้งแรกแล้วอยากซื้อของแต่เงินไม่พอมั้ยล่ะ ขนาดท่านขุนนางเหมียวยังทนมองไม่ไหว รู้สึกผิดอยู่สามส่วน!


กิ่งหยกเหลืองมากมายขนาดนี้ ถ้านำกลับไปได้จะต้องร่ำรวยเป็นเศรษฐีแน่นอน… แต่ก่อนที่จะหาเคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานพบ ก่อนที่จะได้สมบัติของราชันลัทธิมารในปีนั้นมา เขาก็ไม่อยากจะก่อเรื่องจนตัวเองเสียการเสียงาน เขาไม่ถึงกับแยกแยะความสำคัญไม่ออก กลับเตือนจงหลีค่วยด้วยซ้ำว่าอย่าแตะต้องของคนอื่นซี้ซั้ว จะได้ไม่ทำให้ตนลำบากไปด้วย


จงหลีค่วยกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ชื่นชมกิ่งหยกเหลืองต้นใหญ่ที่พบเห็นได้ยาก พอได้ยินเหมียวอี้เตือนแบบนี้ ก็รู้สึกเหมือนโดนสบประมาท จึงตะคอกตอบว่า “เจ้าคุมตัวเองให้ดีก่อนเถอะน่า!”


ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ผ่านไปเดือนแล้วเดือนเล่า ทุกคนก็ยังไม่พบอะไรเลย แต่ก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ สับเปลี่ยนอาณาเขตกันค้นหาไม่หยุดเพราะกลัวจะตกหล่น


หลังจากผ่านไปหนึ่งปี เหมียวอี้ที่ได้สลับมาค้นหาบริเวณตรงกลางระหว่างภูเขาสามลูกดีอกดีใจมาก แต่ก็ยังไม่แสดงออกทางสีหน้า อดทนไว้ตลอด เพราะไม่มีทางเลือก ถ้าจะให้แย่งของกับปราสาทดำเนินนภาก็แย่งไม่ชนะ ทำได้เพียงคาดคะเนเงียบๆ ว่าจุดศูนย์กลางคือตรงไหน เตรียมจะกำหนดตำแหน่งไว้เงียบๆ แล้วหาโอกาสฮุบไว้คนเดียว จะประมาทเลินเล่อไม่ได้เด็ดขาด


“เหม่ออะไรของเจ้า?”


เมื่อหาจุดศูนย์กลางระหว่างภูเขาสามลูกได้แล้ว มันอยู่ตรงภูเขาหินที่เงียบสงบไม่สะดุดตา เนื่องจากปัญหาของสภาพพื้นดิน ด้านบนจึงไม่มีพืชอะไรงอกขึ้นมา มีแค่พวกวัชพืชและไม้เลื้อยที่ขึ้นตามซอกหินนิดหน่อย แต่ภูเขาลูกนี้น่าจะเป็นยอดเขาที่เคยโดนคนถากให้เรียบไม่รู้ตั้งกี่ปีมาแล้ว


เหมียวอี้คิดจนเหม่อลอย เป็นไปไม่ได้ที่จะบังเอิญขนาดนี้ สงสัยคนที่ทิ้งของไว้จะทำสัญลักษณ์ตำแหน่งที่แน่นอนเอาไว้เพื่อให้ค้นหาได้สะดวก จุดศูนย์กลางระหว่างสามภูเขาคือตรงนี้แน่นอน


จงหลีค่วยเห็นเขาเหม่อลอย จึงโพล่งถามไปส่งเดช


“ไม่มีอะไรนี่?” เหมียวอี้ส่ายหน้า ไม่อยากตกเป็นที่ต้องสงสัย เตรียมจะเดินหนี


แต่ใครจะคิดว่าหลังจากหมิงจ้าวเดินดูจนทั่วแล้ว จู่ๆ ก็บอกว่า “สถานที่นี้เหมือนจะเกิดจากฝีมือมนุษย์นะ ดูจากหินที่ตากแดดตากฝนจนเสื่อมโทรม เวลาผ่านไปนานมาก ดีไม่ดีอาจจะมีเบาะแส ไปตรวจดูให้ละเอียดสักหน่อย”


“เหมือนจะเป็นแบบนี้จริงๆ” จงหลีค่วยที่หันมองรอบๆ พยักหน้าอย่างแปลกใจ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจดูรอบๆ ทันที


เหมียวอี้รู้สึกตึงเครียดในใจทันที แสร้งทำเป็นสำรวจตาม


ผลลัพธ์ถูกลิขิตไว้แล้ว ร่ายอิทธิฤทธิ์ทะลุลงไปค้นหาใต้ดินก็ไม่มีประโยชน์ นั่นคือภูเขาหินที่แท้จริง ข้างในไม่ได้ซ่อนของอะไรเอาไว้


ด้วยวิธีการเดียวกัน อีกสิบกว่าคนเหมือนจะร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจภูเขาและพื้นดินบริเวณนี้ไปแล้วรอบหนึ่ง แม้แต่ในแม่น้ำก็ไม่ปล่อยผ่าน แต่ก็ไม่พบสถานที่ไหนที่สามารถซ่อนสมบัติได้เลย พวกถ้ำภูเขาที่หาพบก็เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่พบที่ซ่อนสมบัติ มีแต่ทำให้สัตว์เล็กที่หลบอยู่ในถ้ำตกใจ


การค้นหาครั้งนี้ หลายครั้งแล้วที่ไม่ยอมแพ้ หาแล้วหาอีก หาซ้ำไปซ้ำมา หลังจากหาเป็นเวลาสามปีเต็ม ในที่สุดปราสาทดำเนินนภาก็ยอมแพ้แล้ว เหมือนที่เหมียวอี้เดาไว้ตอนแรก สงสัยว่ามีคนเจตนาไม่ดีอยากยุให้รําตําให้รั่ว จึงจงใจปล่อยแผนที่ฉบับนี้ออกมา


หมิงจ้าวที่ลำบากค้นหาอยู่นานสามปี ตอนนี้นำพาทุกคนเหาะอยู่บนฟ้าและมองลงมาด้านล่าง เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ หลับหูหลับตาทำงานมาตั้งนาน


“กลับกันเถอะ!” หมิงจ้าวโบกมือเรียก แล้วนำทุกคนเหาะผ่านฟ้าไปอย่างรวดเร็ว


ทุกคนที่กลับทางเก่าต่างก็รู้สึกอับจนหนทาง มีเพียงเหมียวอี้ที่แอบดีใจอย่างบ้าคลั่ง เขาถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดมาตลอด กอปรกับไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เขาเฝ้ารอวันนี้มานานมาก ต่อไปก็ถึงเวลาที่เขาจะทำคนเดียวแล้ว


แต่เขาก็เคลือบแคลงใจอยู่บ้าง ทุกคนค้นหาที่นี่จนทั่วเป็นเวลาหลายปี ทำขนาดนี้ยังหาไม่เจออีกเหรอ ของจะไปซ่อนอยู่ตรงไหนได้ล่ะ?


…………………………


บทที่ 953 ไต้ซือ ลาสึกเถอะ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ระหว่างทางกลับ หลังจากแน่ใจตำแหน่งที่ตัวเองอยู่รวมทั้งทางที่จะไปแล้ว เหมียวอี้ก็กล่าวอำลาหมิงจ้าว “ผู้อาวุโส เสียเวลาอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว ผู้น้อยก็ต้องกลับไปฝึกตนเหมือนกัน ขอกล่าวอำลาตรงนี้”


หมิงจ้าวคิดไปคิดมาครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รั้งให้เขาอยู่ต่อ “ไฉจวิ้น เจ้านำศิษย์น้องสองคนพาเขากลับไปแล้ว!”


ไฉจวิ้นยังไม่ทันเอ่ยรับ เหมียวอี้ก็รีบปฏิเสธ “ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น ในมือข้ามีแผนที่ดาว สามารถหาทางกลับได้”


หมิงจ้าวส่ายหน้า “ที่นี่ยังอยู่ในเขตของสถานที่ไร้ระเบียบ มารปีศาจขวักไขว่ เจ้าไปคนเดียวอาจจะเกิดเหตุไม่คาดคิด ให้พวกเขาส่งเจ้าออกนอกสถานที่ไร้ระเบียบก็แล้วกัน”


เหมียวอี้เองก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธ กลัวว่าจะตกเป็นที่ต้องสงสัย จึงกุมหมัดคารวะทันที “ขอบคุณที่ผู้อาวุโสหวังดี รบกวนด้วย!”


หมิงจ้าวยิ้มตอบ แล้วพยักหน้าเบาๆ ให้ไฉจวิ้น ไฉจวิ้นน้อมรับคำสั่ง พาคนสองคนคุ้มกันส่งเหมียวอี้ออกไป พอแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม ก็นับว่าแยกทางกันบนท้องฟ้าแล้ว


หลังจากนั้นไม่กี่วัน ไฉจวิ้นและศิษย์อีกสองคนก็มาส่งเหมียวอี้ถึงหน้าประตูดวงดาวของสถานที่ไร้ระเบียบ เหมียวอี้โน้มน้าวให้พวกเขาหยุดอยู่แค่ตรงนี้ “ไม่ต้องส่งแล้วล่ะ พอออกจากประตูดวงดาวก็ต้องอ้อมจากที่อื่นกลับมาอีก แบบนั้นยุ่งยากเกินไปแล้ว ข้าไปเองก็สิ้นเรื่อง”


ทั้งสามไม่ได้ฝืนใจ ไฉจวิ้นยิ้มพร้อมบอกว่า “ฆราวาสรักษาตัวด้วย”


“รักษาตัวด้วย!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ แล้วหันตัวเหาะไปยังประตูดวงดาวอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มีแสงสีเงินสายหนึ่งระเบิดออกมาหมุนวนครอบตัวเขา และชั่วพริบตาเดียวก็จมหายไปในหลุมที่ดำมืด


หลังจากพวกไฉจวิ้นเห็นเขาหายไปกับตาตัวเองแล้ว ถึงได้หันหลังกลับสู่ปราสาทดำเนินนภา


ส่วนทางด้านเหมียวอี้ พอออกจากประตูดวงดาวมาแล้ว ก็มองสำรวจโดยรอบแล้วรีบหยิบแผนที่ดาวออกมา ปากก็พึมพำด่าไปด้วย “ไม่ให้มาส่ง ก็ยังจะมาส่งอยู่ได้ ทำเอาข้าต้องอ้อมกลับไปตั้งไกล” เขาเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง แล้วเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว


ปัญหาที่สำคัญก็คือ ประตูดวงดาวเป็นช่องทางที่ผ่านได้เพียงครั้งเดียว ฝั่งนั้นมีทางให้มา แต่ฝั่งนี้กลับไม่มีทางให้ไปโดยตรง ต้องอ้อมประตูดวงดาวหลายดวงถึงจะกลับไปได้ แบบนั้นก็เกิดปัญหาแล้ว ไปกลับลำบากขนาดนี้ บนตัวเขามีกระสวยทองกับกระสวยเงินสำหรับใช้ข้ามประตูดวงดาวไม่พอแล้ว ก่อนหน้านี้อยากจะขอยืมจากพวกไฉจวิ้นสักหน่อย แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความน่าสงสัยที่ไม่จำเป็น เขาจึงไม่ได้เอ่ยปากขอยืม


ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงไปยังตลาดสวรรค์ที่อยู่ใกล้ที่สุด จุดหมายคือดาวเมิ่งหัว จึงเร่งเดินทางเพียงลำพังอยู่ในจักรวาล ใจร้อนอยากไขปริศนาที่กระจกทองแดงทิ้งไว้..


ณ ดาวเทียนหยวน ริมมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ บนหินโสโครกที่ถูกระลอกคลื่นซัด ศีลแปดที่ยืนประนมมือยู่หน้ามหาสมุทรผืนใหญ่กำลังทุกข์ใจมาก เขาหันหน้าสู่ทะเลครามด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม


ความกลัดกลุ้มใจมาจากสตรีชุดแดงที่อยู่ข้างหลัง ดวงหน้างามหยาดเยิ้ม สองแขนกำลังโอบเอวเขาอยู่ กำลังกอดเขา ร่างกายแนบชิดสนิทกัน นางกอดเขาแน่นจากข้างหลัง ใบหน้าแนบติดกับบ่าของเขา ทำสีหน้าสุขสันต์ชื่นมื่น มองดูน้ำที่ไหลขึ้นไหลลงด้วยกัน


ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ปีศาจโลหิตนั่นเอง สาเหตุที่เกิดฉากแบบนี้ได้ก็ไม่ซ้อนเลย ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นศีลแปด นางก็ตกหลุมรักแล้ว เป็นรักแรกพบ ไม่ว่าศีลแปดจะไปที่ไหน นางก็ตามไปที่นั่น คอยทุ่มเทดูแลตลอดทาง ถึงขนาดว่าปราบปีศาจกำจัดมารเพื่อศีลแปดมาตลอดทาง คอยรักษาความปลอดภัยให้ศีลแปด


ยิ่งศีลแปดรักษาระยะห่างกับนางเท่าไร ลักษณะมาดเคร่งและบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคีของเขาก็ยิ่งดึงดูดใจนางเท่านั้น มีอยู่จุดหนึ่งที่ปีศาจโลหิตไม่มีทางปฏิเสธได้ นั่นก็คือรูปลักษณ์ภายนอกของศีลแปดมีพลังทำลายล้างต่อผู้หญิงสูงมาก ทีผู้ชายยังชอบผู้หญิงสวยได้ แล้วทำไมผู้หญิงจะชอบผู้ชายที่หล่อเหลาน่ามองไม่ได้ล่ะ โดยเฉพาะผู้ชายหน้าตาดีที่ทั้งมีเสน่ห์ทั้งดูสะอาดแบบนั้น ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นพระหรือไม่เป็นพระ ที่สำคัญคือเป็นผู้ชายในสายตาผู้หญิงหรือเปล่า


แน่นอน สิ่งที่ทำให้ตกหลุมรักศีลแปดไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ผู้ชายในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือเป็นพระ ผู้ชายส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไร สิ่งที่เรียกว่าผู้ชาย ปีศาจโลหิตเห็นมานักต่อนักแล้ว ต่อให้ดูเรียบร้อยจริงจังขนาดไหน แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกวางมาดสง่าภูมิฐาน ยากที่จะปฏิเสธสาวงามได้ ปีศาจโลหิตยอมรับว่าหน้าตาตัวเองไม่ได้แย่ แต่พระรูปนี้กลับมีหัวใจอันบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ไม่สะทกสะท้านต่อความงาม เป็นผู้ชายที่มีดีทั้งภายนอกและภายใน สามารถพบเจอได้แต่ไม่สามารถไขว้คว้ามาได้ ในเมื่อเจอกันแล้ว ปีศาจโลหิตก็ไม่อยากปล่อยผ่านไป กว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะได้พบผู้ชายที่ตรงใจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จะเป็นพระหรือไม่เป็นพระก็ไม่สำคัญ ถึงอย่างไรก็สึกได้


พอได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันมาตลอดทาง ยิ่งได้รู้จักศีลแปดมากขึ้น ปีศาจโลหิตก็ยิ่งพบว่าตัวเองยากที่จะแยกจากกับเขาได้ รู้สึกกับศีลแปดถึงขั้นควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว จมอยู่ในห้วงแห่งความรักอย่างไม่มีทางถอนตัว เป็นฝ่ายรุกเข้ามากอดแบบนี้ยังเป็นแค่น้ำใจเล็กๆ เวลาอาการหนักก็ถึงขั้นเปลื้องผ้ายกร่างกายให้


สิ่งนี้ทำให้ศีลแปดตกใจกลัวไม่หาย เรียกได้ว่าหวาดกลัวแต่หนีไม่ทัน จนใจที่วรยุทธ์ต่างกับอีกฝ่ายเกินไป สำหรับวิชาศีลของเขา พรสวรรค์การฝึกตนในช่วงแรกสูงจนเหมือนปาฏิหาริย์ ถึงแม้ตอนนี้จะประสบปัญหาหยุดชะงักจนก้าวหน้าล่าช้า แต่วรยุทธ์ก็ถึงระดับบงกชม่วงขั้นหนึ่งแล้ว เพียงแต่เมื่อเทียบกับปีศาจโลหิตที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ด เขาก็ไม่มีแม้แต่กำลังจะโต้ตอบเลย อยากจะหนีก็หนีไม่พ้น


ใช่ว่าศีลแปดจะไม่ชอบคนสวย เขาค่อนข้างบ้าผู้หญิง เป็นบิดาแห่งพระเจ้าชู้ แต่ศีลแปดก็มีความขมขื่นที่พูดออกมาไม่ได้ มารดาเจ้าเถอะ แบบนี้ยังเรียกว่าผู้หญิงอีกเหรอ? ต่อให้อีกฝ่ายเปลื้องผ้าหมดตัวมากอดเขาไว้ เขาก็ยังตกใจกลัวอยู่ดี พอเจอกันก็ทำให้นึกถึงภาพตอนที่เจอกับปีศาจโลหิตเป็นครั้งครั้งแรก ใบหน้าสุดสะพรึงที่เต็มไปด้วยรอยย่นราวกับโครงกระดูก ทั้งยังดูดเลือดคนอีก น่ากลัวจนไม่รู้จะน่ากลัวยังไงแล้ว ต่อให้เป็นพระที่บ้าผู้หญิงกว่านี้ แต่ก็คงไม่บ้าผู้หญิงแบบนี้หรอกมั้ง? ถ้ากอดกันแล้วจู่ๆ กลายสภาพเป็นแบบนั้น กัดคอเจ้าอย่างเย็นเยียบ แล้วดูดเลือดของเจ้าขึ้นมาล่ะ จะไม่ตกใจจนพระพุทธเจ้าองค์แรกถือกำเนิด พระพุทธเจ้าองค์ที่สองขึ้นสวรรค์หรอกเหรอ?


ดังนั้นศีลแปดจึงหันหลังให้นางตลอด โดยเฉพาะตอนที่กอดเขาไว้อย่างนี้ ในเมื่อวรยุทธ์ของเขาไม่สูงพอที่จะขัดขืน ดังนั้นก็ทำได้เพียงเหลือหลังไว้ให้นางกอด ทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ เขาก็ไม่กล้าหลับตาเลย กลัวว่าจะเกิดความคิดเพ้อเจ้อมากมายจนทำให้หวาดกลัวตัวสั่น ลืมตาไว้จะได้อยู่กับความเป็นจริงมากๆหน่อย


ศีลแปดทำได้เพียงยอมรับเคราะห์ร้ายของตัวเอง เวลาที่สนใจผู้หญิงสวยมากๆ แต่ไหนแต่ไรมาก็มีศีลเจ็ดคอยก่อกวนตลอด ร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับจุดหยางของเขาไว้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะสลัดศีลเจ็ดและมาถึงพิภพใหญ่ที่คนในแดนฝึกตนใฝ่ฝันถึง ปรากฏว่าได้มาเจอ ‘ยอดหญิงงาม’ ท่านนี้ตามเกาะแกะอยู่ตลอด ทำยิ่งกว่าตาแก่โล้นศีลเจ็ดอีก ตามเกาะติดทั้งวัน ไม่ออกห่างแม้แต่ก้าวเดียว กะจะไม่ให้เขาใช้ชีวิตเลยเหรอ?


ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังที่หนีมา โดนสาวงามสุดสยองท่านนี้เกาะติดแล้ว แบบนี้ไม่สู้อยู่ที่พิภพเล็กอย่างซื่อสัตย์ดีกว่า


“ไต้ซือ ลาสึกเถอะ มาเป็นคู่สามีภรรยาที่รักและผูกพันกับข้า!” ปีศาจโลหิตกอดเขาพลางกระซิบข้างหู


“หัวใจของอาตมาอยู่กับพระโพธิสัตว์มาตลอด หัวใจแห่งพุทธแน่วแน่ไร้ที่เปรียบ ไม่มีทางลาสึก” ศีลแปดปฏิเสธอย่างแน่วแน่อีกครั้ง


ปีศาจโลหิตคลายกอดเขาทันที จับเขาหันตัวมา แล้วตะคอกอย่างโกรธเคืองต่อหน้า “เป็นเพราะข้ายังสวยไม่พอใช่มั้ย?”


ศีลแปดยิ้มบางๆ พร้อมตอบว่า “หงเอ๋อร์ เจ้าสวยมาก แต่ในสายตาอาตมา ต่อให้เป็นสตรีที่งดงามกว่านี้ แต่ก็เป็นเพียงกระดูกที่งดงามทั้งนั้น รูปโฉมคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าก็คือรูปโฉม อามิตาพุทธ!” คำพูดนี้จริงครึ่งปลอมครึ่ง ผู้หญิงคนอื่นอาจจะไม่ใช่โครงกระดูกที่งดงามในสายตาของเขา แต่ปีศาจโลหิตเป็นแน่นอน ทั้งยังเป็นโครงกระดูกงดงามแบบที่น่ากลัวมากด้วย


ปีศาจโลหิตที่ขอร้องครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่ได้ผล ตอนนี้เริ่มโมโหแล้ว “ศีลแปด ในโลกนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ทำให้ข้าทำดีด้วยขนาดนี้ได้ เจ้าพูดมาจากใจจริงซิว่าจะให้ข้าทำอย่างไร?”


ศีลแปดใช้คำพูดดีๆ กล่าวโน้มน้าวอย่างนุ่มนวล “หงเอ๋อร์ เจ้ายึดมั่นถือมั่นกับรูปลักษณ์ พอตกอยู่ในความเดือดดาลลุ่มหลวง ตรงหน้าก็มีแต่ทะเลทุกข์แห่งความปรารถนา หันหลังกลับเข้าฝั่งเถิด รีบกลับฝั่งให้เร็วที่สุด!”


“อย่ามาใช้อุบายกับข้า ตอนข้าเปลือยร่างเจ้าก็เห็นมาหมดแล้ว สัมผัสก็สัมผัสแล้ว ตอนนี้มาให้ข้ากลับตัว เจ้าจะให้ข้ากลับตัวอย่างไร?” ปีศาจโลหิตตวาดถาม “ตอนนี้ข้าจะถามเจ้าคำเดียว เจ้าจะยอมหรือไม่ยอม?”


ศีลแปดแอบร้องในใจ เจ้าเป็นคนถอดเสื้อผ้าเองนะ แล้วเจ้าก็เป็นฝ่ายมาสัมผัสข้า ข้าไม่เคยแตะต้องเจ้าแม้แต่ปลายนิ้ว ในใจเขาค่อนข้างประหม่ากังวล สงสัยว่าผู้หญิงคนนี้จนตรอกเป็นหมากระโดดกำแพงแล้วจะทำอันตรายเขาถึงชีวิตหรือเปล่า? แต่ก็ยังถามด้วยรอยยิ้มว่า “หรือเจ้าอยากสังหารอาตมาเหรอ?”


ปีศาจโลหิตแสยะยิ้ม “ข้าต้องการอยู่กับเจ้าไปจนแก่ชรา จะฆ่าเจ้าได้อย่างไร! ในเมื่อเจ้าไม่ยอมลาสึก งั้นข้าก็จะช่วยลาสึกให้เจ้าเอง ให้เจ้าเป็นพระต่อไปไม่ได้!”


พูดจบก็ใช้นิ้วจิ้มที่หน้าอกของศีลแปดหนึ่งที ปราณปีศาจโลหิตที่เหมือนกับหมอกเลือดทะลักออกจากร่างกายนาง แผ่คลุมไปที่ศีลแปด กรอกเข้าไปในทวารทั้งเจ็ดของศีลแปดอย่างรวดเร็ว ศีลแปดตกใจมาก ตัวสั่นขัดขืนอยู่อย่างนั้น แต่เมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมโดยพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งออกอีกฝ่าย เขากระดิกกระเดี้ยไม่ได้เลยสักนิด ได้แต่มองดูปราณปีศาจโลหิตนับไม่ถ้วนไหลเข้าร่างกายตัวเอง เข้ามาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกายหยาบของตัวเอง


หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ปราณปีศาจโลหิตก็สลายตัวไปแล้ว ปีศาจโลหิตถึงได้ผลักเขาออก


ศีลแปดย่อมรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในร่างกาย จึงถามอย่างตกใจกลัวว่า “เจ้าทำอะไรกับอาตมา?”


ปีศาจโลหิตยิ้มอย่างสนิทสนม ตอบว่า “ไม่ได้ทำอะไร แค่ต้องทำให้เจ้ากลายเป็นเหมือนข้า อีกครึ่งเดือนเจ้าก็จะกลายเป็นปีศาจเหมือนข้าแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าจะแยกจากกับข้าไม่ได้อีก ทั้งยังจะขอร้องให้ข้าทำดีกับเจ้าด้วย!”


ศีลแปดที่ยืนอยู่บนหินโสโครกถูกลมทะเลพัดจนจีวรสีขาวปลิวสะบัด เขาถามพลางยิ้มอย่างขื่นขม “หงเอ๋อร์ ไม่เคยได้ยินหรือว่าแตงที่ฝืนเด็ดมาจะไม่หวาน ถ้าข้ากลายเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ข้าแล้ว เจ้ายังจะชอบข้าอยู่อีกเหรอ?”


ปีศาจโลหิตสะบัดแขนเสื้อ ตอบอย่างประสาทเสียว่า “ข้าไม่สนใจอะไรขนาดนั้นหรอก ข้าทิ้งศักดิ์ศรีแล้ว ทิ้งความสำรวมทุกอย่างที่ผู้หญิงควรจะมีเพื่อเจ้า แม้แต่เรื่องน่าไม่อายก็ทำมาแล้ว เจ้าคิดว่าข้าจะแยแสอะไรอีกล่ะ?”


ศีลแปดถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หัวตัวเข้าหามหาสมุทรอย่างเงียบๆ สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดสลับกันอย่างรวดเร็ว เขาประนมมือสองข้าง นั่งขัดสมาธิลงบนหินโสโครก หันหน้าหาทะเลสีเขียวมรกตที่มีเสียงคลื่นซัดดังไม่หยุด หลับตาลงช้าๆ มือสองข้างที่อยู่ตรงหน้าอกกำลัง พลิกขยับนิ้วทั้งสิบเป็นตาประทับ พลางกล่าวเสียงดังอย่างนิ่งสงบ “ปิดตา ปิดหู ปิดใจ ไม่ถือมั่นในอาตมะลักษณะ ไม่ถือมั่นในปุคละลักษณะ ไม่ถือมั่นในสัตวะลักษณะ ไม่ถือมั่นในชีวะลักษณะ รู้แจ้งเห็นจริง!”


เมื่อกล่าวจบ นิ้วของมือทั้งสองข้างที่พลิกขยับเป็นรูปดอกบัวหยุดนิ่ง กลับมาประนมมือตั้งตรงหน้าอกอีกครั้ง นิ่งเงียบ!


ขณะมองดูศีลแปดที่กำลังนั่งขัดสมาธิอย่างสงบเรียบไร้เสียงราวกับพระพุทธรูป ปีศาจโลหิตก็ทำเสียงฮึดฮัด ไม่สนใจเขาอีก หันตัวมาสะบัดมือจนเกิดเสียงโครมคราม โจมตีหินโสโครกให้เกิดเป็นโพรงถ้ำโพรงหนึ่ง เดินเข้าไปนั่งขัดสมาธิ รอให้เวลานั้นมาถึง เวลาที่ศีลแปดยินยอมปฏิบัติตาม


ทะเล ท้องฟ้า ตะวัน จันทรา ดวงดาวสับเปลี่ยนตำแหน่ง


หลังจากนั้นสามวัน ศีลแปดที่นั่งสมาธิหันหน้าเข้าหามหาสมุทร ในที่สุดก็ลืมตาแล้ว เขายืนขึ้น ยังคงมองดูปีศาจโลหิตเดินเข้ามาตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ ยังคงสูงส่งบริสุทธิ์ราวกับไม่ถูกดูหมิ่นจากโลกมนุษย์ ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเหมือนที่ปีศาจโลหิตจินตนาการไว้


หารู้ไม่ว่าสาเหตุที่ศีลแปดฝึกตนได้เร็วมาก เป็นเพราะเคล็ดวิชาตรัสรู้ของเขาสามารถมองข้ามการรบกวนจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในลูกแก้วพลังปรารถนาได้ เวลาคนอื่นใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาฝึกตน ก็ยังต้องเสียเวลากลั่นกรองเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่อยู่ในลูกแก้วพลังปรารถนาทิ้ง แต่เขากลับสามารถรับกลืนเข้าไปทั้งหมด เพราะเคล็ดวิชาของเขาสามารถทำให้บริสุทธิ์ได้ สิ่งชั่งร้ายอัปมงคลพวกนี้ใช้ไม่ได้ผลกับเขา


…………………………


บทที่ 954 กระชั้นชิดจวนตัว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ปีศาจโลหิตย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว และไม่มีทางยอมรับความจริงข้อนี้ด้วย หลังจากดันทุรังตรวจสอบดู นางก็ตกตะลึงมาก!


นางเฝ้าสังเกตทุกการกระทำของศีลแปดมาตลอด ยังไม่เห็นศีลแปดใช้ของอะไรช่วยเลย ปราณปีศาจโลหิตที่กรอกเข้าไปในร่างกายศีลแปดอันตรธานไปหมดสิ้น ถูกกำจัดหมดเกลี้ยง จะเป็นไปได้อย่างไร?


“เจ้าฝึกเคล็ดวิชาอะไร?” อุทานถามอย่างตกใจ


ศีลแปดถอนหายใจแล้วตอบว่า “ไม่เกี่ยวว่าฝึกเคล็ดวิชาอะไร ยามเกิดบาปขึ้นในใจ หัวใจข้าเป็นอิสระ ข้าก็เป็นเพียงข้า จะโดนปนเปื้อนจากสิ่งภายนอกได้อย่างไร! หากกระจกเดิมใสสะอาดอยู่แล้ว จะมีฝุ่นจับได้อย่างไร! หงเอ๋อร์ เจ้ายึดมั่นในลักษณ์แล้ว!”


“เจ้า…” ใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็งก็ไม่สำเร็จ ทำอะไรเขาไม่ได้เลย ปีศาจโลหิตรู้สึกอยากจะเป็นบ้า เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากฆ่าศีลแปดทิ้ง!


ผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นฝ่ายถอดเสื้อผ้าเสนอตัวเพื่อขอความรักจากผู้ชายที่รู้จักกันเป็นครั้งแรก แต่กลับไม่ได้อะไรกลับมา คนนอกไม่มีทางเข้าใจได้เลยว่าความนับถือในตัวเองได้รับความกระทบกระเทือนขนาดไหน ถ้านางเป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งก็ไม่เป็นไร แต่นางกลับแข็งแกร่งกว่าผู้ชายคนนี้ เดิมทีนางคิดว่าผลลัพธ์จะออกมาดีงามมาก ใครจะคิดว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้


เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ทำท่าอับอายโมโหจนใกล้จะควบคุมตัวเองไม่อยู่ ศีลแปดก็แอบร้องในใจว่าซวยแล้ว หัวสมองรีบคิดหาหนทาง


ประจวบเหมาะพอดี โอกาสพลิกสถานการณ์โผล่มาแล้ว ปีศาจโลหิตขมวดคิ้ว ถือระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา


หลังจากตั้งใจฟังครู่หนึ่ง ปีศาจโลหิตก็สีหน้าเปลี่ยนทันที ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตะคอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ!”


เมื่อเอ่ยชื่อนี้ออกมา ศีลแปดคิ้วกระคุกโดยไม่รู้ตัว เป็นคนชื่อแซ่เดียวกันหรือเป็นพี่ใหญ่? รอจนกระทั่งปีศาจโลหิตร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าระฆังดาราตอบข้อความเสร็จ ศีลแปดก็ยิ้มบางๆ พร้อมถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อเป็นใครหรือ?”


“เป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจเหมือนกับเจ้าไงล่ะ” ปีศาจโลหิตเดือดดาล


ศีลแปดงงไปชั่วขระ ถามหยั่งเชิญว่า “หนิวโหย่วเต๋อคือคนที่เจ้าชอบเหมือนกันเหรอ?”


“เหลวไหล!” ปีศาจโลหิตโมโหจนตัวสั่น “เจ้าคิดว่าข้าเจอผู้ชายคนไหนก็ถอดเสื้อผ้าให้ดูหมดเลยใช่มั้ย? ที่แท้ในสายตาเจ้า ข้าก็เป็นคนแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะเจ้าถึงไม่ชอบข้า!”


“อามิตาพุทธ! ในสายตาของอาตมา ถึงแม้การกระทำของเจ้าจะออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่กลับเป็นคนจริงใจ มีหัวใจเหมือนเด็กแรกเกิด พบหาได้ยาก ไม่เกี่ยวกับชอบหรือไม่ชอบเหมือนที่เจ้าบอก!” ศีลแปดประนมมือกล่าวปลอบใจ


เป็นครั้งแรกที่ปีศาจโลหิตได้ยินเขาเอ่ยชมนิสัยของนาง ถึงแม้สีหน้าจะยังแสดงความไม่พอใจ แต่ความโกรธกลับคลายลงแล้ว นางทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “สุดท้ายก็ยังไม่ชอบไง เจ้ารังเกียจข้า เพราะในสายตาของผู้ฝึกตนในแนวทางที่ถูกต้องอย่างพวกเจ้า ข้าเป็นเพียงมารปีศาจใช่มั้ย?”


“อาตมาไม่ได้หมายความอย่างนี้เลย ในสายตาอาตมา สรรพสิ่งล้วนเท่าเทียมกัน!” ศีลแปดพูดจาดูดีอย่างไม่กระดากอาย แล้วถามว่า “อาตมาเพียงรู้สึกแปลกใจ เหตุใดเวลาเจ้าเอ่ยถึงชื่อนี้แล้วใจเกิดความอาฆาต หรือว่าเจ้ามีความแค้นกับหนิวโหย่วเต๋อคนนี้?”


พอพูดถึงเรื่องนี้ ปีศาจโลหิตก็เกลียดเข้ากระดูกดำ “ไม่ใช่แค่มีความแค้นหรอก ข้าอยากจะฉีกร่างป่นกระดูกเขาด้วยซ้ำ เดิมทีข้ามีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า ห่างกับระดับบงกชรุ้งเพียงก้าวเดียว แต่กลับโดนเขาเล่นงานจนวรยุทธ์ลดเหลือบงกชทองขั้นเจ็ด…”


ศีลแปดตั้งใจสืบหาโดยถามอ้อมๆ ปีศาจโลหิตจึงเล่าเรื่องความแค้นระหว่างตัวเองกับเหมียวอี้ให้ฟังคร่าวๆ


หลังจากฟังจบ ศีลแปดก็พึมพำในใจ เป็นพี่ใหญ่จริงๆ ด้วย พี่ใหญ่เหี้ยมหาญมาโดยตลอดอย่างที่คาดไว้ เพิ่งจะแยกจากกันไม่นาน แต่วรยุทธ์บรรลุถึงระดับบงกชทองแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง แต่ยังกล้าปะทะกับปีศาจโลหิตที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดตรง ทั้งยังเล่นงานจนปีศาจโลหิตบาดเจ็บด้วย…


ศีลแปดมองดูระฆังดาราในมือนาง แล้วยิ้มเรียบๆ “จู่ๆ เจ้าก็เอ่ยถึงศัตรูคนนี้ หรือว่าเจ้ากับเขามีการติดต่อกัน?”


ปีศาจโลหิตอแสยะยิ้ม “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าได้ข่าวว่าเจ้าบ้านั่นหนีออกจากดาวเทียนหยวน แล้วไปโผล่ที่ตลาดสวรรค์ของดาวซิงหัว”


“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีอำนาจมากขนาดนี้ ทุกที่ล้วนมีคนคอยเป็นหูเป็นตาให้เจ้า…” เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเหมียวอี้ ศีลแปดย่อมต้องหาทางรู้ให้กระจ่าง ว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่!


ณ ตลาดสวรรค์ ของดาวซิงหัว เหมียวอี้วิ่งไปที่ร้านค้าของสำนักเมฆดาราที่ขายกระสวยทองและกระสวยเงินโดยเฉพาะ เขาซื้อมาเก็บไว้จำนวนหนึ่ง หลังจากมีบทเรียนในครั้งนี้ เขาก็พยายามเตรียมติดตัวไว้เยอะๆ หน่อย เมื่อก่อนไม่กล้าเตรียมไว้เยอะเพราะกลัวว่าพวกปีศาจเฒ่าที่ทะเลดาวนักษัตรจะจดจำเส้นทางของพิภพใหญ่ได้ แต่ตอนนี้มีวรยุทธ์ระดับบงกชทองแล้ว ทำให้เขาพอจะมีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง


กระสวยเงินที่ไว้ใช้สำหรับคนเดียว เขาเตรียมไว้เยอะเป็นพิเศษ ที่จริงการใช้ของที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งทำให้เปลืองเงินมาก ใช้กระสวยทองครั้งเดียวก็เท่ากับเสียไปแล้วสิบล้านผลึกทอง ส่วนกระสวยเงินก็หนึ่งล้านผลึกทอง แต่การที่เจ้าจะเดินทางไปทั่วพิภพใหญ่ ถ้าไม่ใช้ของสิ่งนี้ก็ทำไม่ได้ นอกเสียจากวรยุทธ์ของเจ้าจะสูงถึงระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ แบบนั้นถึงจะไม่ได้รับผลกระทบจากพลังใดๆ ที่เกิดจากประตูดวงดาว


เมื่อออกจากร้านค้าสำนักเมฆดารา เหมียวอี้ก็ไม่ได้อยู่ที่ตลาดสวรรค์ของที่นี่ต่อ ร้านขายของชำซื่อตรงยังไม่ได้ขยายสาขามาถึงที่นี่


เมื่อออกจากเมือง เหมียวอี้ก็เหาะฝ่าชั้นบรรยากาศออกไปโดยตรง ขณะที่ตัวอยู่บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เขาก็หยิบแผนที่ดาวออกมาหาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดในการไปดาวแมกไม้ แล้วเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว


เร่งเหาะมาตลอดทาง ข้ามผ่านประตูดวงดาวติดต่อกันหลายบาน ขณะที่ใกล้จะถึงดาวแมกไม้ ระฆังดาราในกำไลเก็บสมบัติก็ส่งเสียงดัง พอร่ายอิทธิฤทธิ์ดู เขาก็ทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นระฆังดาราอันที่ใช้ติดต่อกับศีลแปด


สาเหตุที่เหมียวอี้ดีใจ ก็เพราะสุดท้ายเจ้าเด็กบ้าที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำก็ติดต่อกลับมาเสียที แต่ที่รู้สึกตกใจ ก็เพราะเขารู้จักศีลแปดดีเกินไป ถ้าเจ้าบ้านี่หนีได้ไปเมื่อไร เมื่อไม่โดนกดดันให้จนตรอก เจ้าตัวก็จะไม่มีทางติดต่อกลับมาเด็ดขาด ไม่รู้เหมือนกันว่าศีลแปดประสบปัญหาอะไร ดันติดต่อมาหาเขาในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้


เขาหยิบระฆังดารามาตอบกลับทันที : เจ้ารอง เจ้ารู้จักติดต่อข้าด้วยเหรอ?


ทางฝั่งศีลแปดตอบว่า : พี่ใหญ่ ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบนะ ท่านอย่าเอาแต่มองว่าข้าเป็นเด็กน้อยสิ ไม่ต้องเปลืองคำพูดด่าข้าแล้ว ข้าจะบอกท่านว่า ตอนนี้ท่านประสบปัญหาแล้วล่ะ ท่านโดนคนของร้านค้าสมาคมวีรชนที่ตลาดสวรรค์ดาวซิงหัวเพ่งเล็งอยู่ มีคนติดตามท่านตลอดทาง เพียงแต่การต่อสู้ระหว่างท่านกับปีศาจโลหิตทำให้พวกเขาไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร บังเอิญว่าที่ดาวซิงหัวไม่มียอดฝีมือเก่งๆ แล้วท่านเองก็เพ่นพ่านอยู่ในจักรวาลตลอด ไม่สะดวกจะดักโจมตีท่าน รอให้ท่านหยุดพักเมื่อไร รอให้แน่ใจจุดหมายปลายทางของท่านแล้ว ก็จะมีผู้ช่วยตามไปทันที ตอนนี้ปีศาจโลหิตกำลังตามไปหาท่านที่นั่น ท่านรีบหาทางหนีเถอะ!


เหมียวอี้ได้ยินข่าวแล้วตกใจมา ศีลแปดรู้ว่าเขาไปที่ตลาดสวรรค์ของดาวซิงหัว ทั้งยังรู้ว่าเขาเพ่นพ่านไปทั่ว แถมยังรู้เรื่องปีศาจโลหิตอีก เช่นนั้นสิ่งที่ศีลแปดพูดก็ไม่ผิดพลาดแน่


เขารีบหันกลับไปมองหาโดยใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ แต่ก็ไม่เห็นใครสะกดรอยตามมา แต่ในเมื่อศีลแปดพูดแบบนี้แล้ว แสดงว่าไม่ผิดพลาดแน่นอน เมื่อมองสำรวจให้ละเอียดอีกที ก็เหมือนจะเห็นรางๆ ว่ามีคนตามเขาอยู่ไกลๆ เหมือนจะอยู่นอกขอบเขตที่สายตาของเขาจะมองเห็น ถ้าไม่สังเกตให้ดีเป็นพิเศษ ก็จะไม่สังเกตเห็นเลย


เห็นได้ชัดเจนมา ในเมื่อคนอื่นๆ ของสมาคมวีรชนเข้ามาแทรกแซงแล้ว ก็แสดงว่าไม่เกี่ยวกับความแค้นส่วนตัวระหว่างเขากับปีศาจโลหิต เป้าหมายย่อมเป็นหุ้นสองส่วนที่อยู่ในมือเขา สงสัยสมาคมวีรชนจะเห็นว่าปีศาจโลหิตทำพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องยื่นมือเข้ามาด้วยตัวเอง


ถ้าจะพูดไม่ให้ชัดก็ไม่เกี่ยวกับสมาคมวีรชน เพราะตอนนี้ยังไม่เปิดเผยให้สาธารณชนรู้เรื่องที่ในมือเขามีหุ้นสองส่วน กอปรกับสมาคมวีรชนช่วยรักษาความลับเพราะอยากจะฮุบไว้คนเดียว ไม่อย่างนั้นถ้าข่าวแพร่ออกไปทั่ว คนที่อยากลงมือกับเขาคงไม่ได้มีแค่สมาคมวีรชนแล้ว


ในใจเหมียวอี้เต็มไปด้วยความคับแค้น ตัวเองแทบจะไม่มีอำนาจและคนหนุนหลังที่พิภพใหญ่เลย ต่อให้มีโอกาสร่ำรวยแต่ก็รักษาไว้ไม่ได้ รอบข้างมีแต่ฝูงเสือฝูงหมาป่าที่ละโมภไม่รู้จักอิ่มคอยจ้อง เมือ่เห็นเนื้อติดมันก็อยากจะกัดสักคำ กฎแห่งธรรมชาติของโลกนี้ก็คือผู้ที่เข้มแข็งที่สุดจึงจะอยู่รอด เข่นฆ่าให้เป็นภูเขากระดูกทะเลเลือดกก็ยากที่จะระบายความแค้นในใจตอนนี้ได้!


เขารีบติดต่อศีลแปดอีกครั้งภายใต้ความตกใจกลัว : เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง? เจ้าอยู่ที่ไหน?


ศีลแปดตอบว่า : ข้าพยายามสุดความสามารถถึงหาโอกาสติดต่อท่านได้ มีคนจับตาดูข้าอยู่ พูดอะไรกับท่านมากไม่ได้ ไม่พูดแล้ว ถ้าพูดอีกเดี๋ยวโดนจับได้ ท่านรีบหาทางหนีให้เร็วที่สุดเถอะ!


หลังจากนั้น ไม่ว่าเหมียวอี้จะพยายามติดต่ออย่างไร ทางฝั่งศีลแปดก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว ไม่ต้องบอกอะไรมาก เหมียวอี้เดาว่าศีลแปดจะต้องปะปนอยู่กับคนของสมาคมวีรชนแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ข่าววงในของสมาคมวีรชนหรอก


ส่วนศีลแปดทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร เหมียวอี้คิดไม่ตก ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดอะไรมากมายขนาดนั้น เรื่องที่ต้องทำตอนนี้คือปลีกตัวหนีให้เร็วที่สุด


เขาคิดกลับไปกลับมาอย่างรวดเร็ว สิ่งแรกที่เขาคิดได้ก็คือไปหลบภัยที่ปราสาทดำเนินนภา แต่พอลองคิดอีกมุม ตัวเองสู้กับปีศาจโลหิตมาหลายครั้งแล้ว ทางสมาคมวีรชนรู้แล้วว่าตนกับปราสาทดำเนินนภามีความสัมพันธ์กันอย่างไร ถ้าเปิดเผยเบาะแสว่าจะไปปราสาทดำเนินนภา อีกฝ่ายจะต้องกำหนดสถานที่แล้วไปดักรอตนแน่นอน แบบนั้นอันตรายเกินไป


ถ้าอ้อมเบี่ยงจากเส้นทาง เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะสลัดฝ่ายตรงข้ามพ้นหรือไม่ โดนจับตามองตอนอยู่คนเดียวนานเกินไปนับว่าเสี่ยงมาก ไม่เหมาะที่จะเพ่นพ่านไปที่ไหนเพียงลำพังอีก


อันตรายทำให้เรื่องราวกระชั้นชิดจวนตัว เมื่อคิดไปคิดมา เขาก็ยังไม่เปลี่ยนเส้นทาง มุ่งหน้าสู่ดาวแมกไม้ต่อไป ที่นั่นยังมีปราสาทแมกไม้ นั่นคืออาณาเขตของปราสาทแมกไม้ ขอเพียงหาผู้อาวุโสมู่เซินพบ อาศัยฐานะของแขกผู้มีเกียติสูงสุดอย่างตน ถ้าผู้อาวุโสมู่เซินยังขัดขวางไม่ไหว ผู้อาวุโสมู่เซินก็สามารถเรียกยอดฝีมือของปราสาทแมกไม้ให้มาช่วยได้ ปราสาทแมกไม้ต้องไม่ยอมให้คนของสมาคมวีรชนมากำเริบเสิบสานบนอาณาเขตของตนแน่นอน ปราสาทแมกไม้ก็มีความสามารถที่จะขัดขวางสมาคมวีรชนเหมือนกัน!


เมื่อกำหนดแผนได้แล้ว ก็หันไปมองข้างหลังเป็นระยะ ก่อนจะเหาะด้วยความเร็วสุดกำลัง


สุดท้ายเมื่อมาถึงดาวแมกไม้ เขาก็เหาะวนอยู่พักหนึ่ง พอหาตำแหน่งคร่าวๆ ของเผ่าปีศาจเจอแล้ว ก็พุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศลงไปด้วยความเร็วสูง ระหว่างทางที่เหาะลงมาก็เปลี่ยนทิศทางไม่หยุด สุดท้ายก็เหยียบลงบริเวณใจกลางของผ่าปีศาจอย่างมั่นคง เหยียบลงนอกโพรงของต้นไม้มหึมาที่เป็นร่างเดิมของผู้อาวุโสมู่เซิน


บรรดาปีศาจที่เหาะขึ้นมาขวางทาง พอเห็นว่าเป็นเขาก็ย่อมหลีกทางให้ เหมียวอี้อยู่ที่นี่มาหลายปี ด้วยฐานะของแขกผู้มีเกียรติสูงสุด ผู้อาวุโสมู่เซินจึงออกคำสั่งกับเผ่าปีศาจไว้แล้ว ว่าเหมียวอี้สามารถเข้าออกทุกที่ในอาณาเขตของเผ่าปีศาจได้ตามอำเภอใจ ไม่ว่าใครก็ห้ามขัดขวาง ทำให้เขามาที่นี่ได้สะดวกกว่าพวกหมิงจ้าวเสียอีก


มู่เซินกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในโพรงไม้ พอเห็นเหมียวอี้เดินเข้ามา ก็ถามอย่างประหลาดใจ “ฆราวาส พวกเจ้าออกจากที่นี่ไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”


เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนลำบากใจที่จะพูด “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่คนของปราสาทดำเนินนภา ระหว่างทางแยกทางกับพวกเขา ตอนกลับโดนคนของสมาคมวีรชนจับตามอง โดนกดดันจนหมดทางเลือกจึงหนีกลับมา จะมาขอร้องให้ผู้อาวุโสช่วย…”


หลังจากเขาเล่าสถานกาณ์คร่าวๆ โดยพูดข้ามบางอย่างไป ผู้อาวุโสมู่เซินก็กระทุ้งไม้เท้าเดินไปนอกโพรงถ้ำและเงยหน้ามองข้างบน กิ่งไม้ใบไม้ที่ปิดบังท้องฟ้าก็เปิดแยกเป็นสองฝั่งทันที เผยให้เห็นท้องฟ้าสีคราม เหมียวอี้เดินตามอยู่ข้างกาย ถามว่า “ผู้อาวุโสยินดีจะช่วยหรือไม่ ถ้าหากลำบากใจ ข้าจะไม่รบกวน จะออกไปจากที่นี่ทันที!”


“สมาคมวีรชน?” ผู้อาวุโสมู่เซินเงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจ “กล้าแตะต้องแม้กระทั่งท่านเหรอ สงสัยพวกเขาจะใจกล้าถึงขั้นพลิกฟ้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าหาเรื่องใส่ตัวใหญ่หลวงขนาดนี้ ไม่กลัวว่าในอนาคตจะโดนล้างเลือดเหรอ?”


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)