องครักษ์เสื้อแพร 947-949

 ตอนที่ 947 ในเมืองดอกไม้บาน นอกเมืองหอม

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นายท่าน คนพวกนี้ใช้วิธีการแบบทหาร!”


ทางนั้นตีกัน คนตระกูลปัวที่ยืนดูกลับวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น พวกเขายืนอยู่ในกลุ่มคนดู รอบนอกเป็นชายฉกรรจ์ยืนกั้นไว้ คนบนท้องถนนเห็นเช่นนี้ แม้ไม่รู้จักปัวไป้กับปัวเฉิงเอิน ก็ย่อมรู้จักถอยห่างไกลออกไป


คนวงในยืนอยู่กันสองสามคน คนหนึ่งหน้าแดงเคราขาว ดูอายุไม่น้อย คนข้างๆ เป็นชายร่างใหญ่หน้าแดง หน้าตาคล้ายกับชายชราหนวดขาว ข้างกายพวกเขามีชายวัยกลางคนท่าทางกำยำผู้หนึ่ง อายุราว 40 กว่า สีหน้าเคร่งเครียด สามคนมีจุดเหมือนกันก็คือ ท่าทางทรงอำนาจวาสนา


ชายชราหนวดขาวกับชายผู้นั้นย่อมเป็นพ่อลูกตระกูลปัว ชายวัยกลางคนนั้นกลับเป็นหลิวตงหยางที่องครักษ์เสื้อแพรเคยเอ่ยถึง เมื่อครู่คนที่พูดก็คือเขา


“ข้าได้กำชับทุกคนไว้ก่อนแล้ว แต่ทำไม่ได้ พอถูกตีกระจายก็ไม่อาจรวมตัวกันได้อีกแล้ว”


“ล้วนปล่อยปละเกินไป สามปีไม่ได้จับดาบ แต่ละคนล้วนขี้เกียจ!”


ชายชราหนวดขาวนามปัวไป้แค่นเสียงฮึ ปัวเฉิงเอินข้างๆ สีหน้าเริ่มแดง แต่ทว่าหน้าแดงดูไม่ออก ได้แต่กล่าวเบาๆ ว่า


“ขอบิดาวางใจ ลูกจะต้องควบคุมจัดการให้เข้มงวด!”


ตอนหวังทงบุกออกมา ยังเป็นการรบแบบเมื่อวาน แต่ไม่เป็นกอง สองคนรวมกันหนึ่งกอง  บุกเข้าใส่ทันที คนตระกูลปัวได้ประสบการณ์จากเมื่อวาน พอเห็นองครักษ์เสื้อแพรพุ่งออกมา ก็รีบหลบทันที ทำให้อีกฝ่ายชนเข้ากับความว่างเปล่า


หลังจากขบวนแตก พวกเขาก็กระจัดกระจายทันที  คิดจะรวมตัวกันใหม่ย่อมไม่ง่าย  การจะรวมกองทัพและแยกตัวกองทัพให้เร็วนั้น ทำได้ย่อมต้องอาศัยการฝึกซ้อมหนัก คนตระกูลปัวเป็นชาวมองโกลเสียมาก ระเบียบใดก็ทำช้า ย่อมไม่อาจทำได้


พวกเขาทำไม่ได้ กองกำลังหู่เวยกลับทำได้ง่ายมาก ทหารหวังทงเข้าแถวฝึกซ้อมผลก็ปรากฏในยามนี้ แบ่งออกเป็นสองแถวอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าใส่ศัตรูที่ถูกกระแทกแตกแถว


คนตระกูลปัวกระจัดกระจาย หวังทงมีแถวพื้นฐานอยู่ สองฝ่ายแม้ว่ามีคนพอกัน แต่สองฝ่ายเผชิญหน้ากันในพื้นที่เล็กแคบ คนองครักษ์เสื้อแพรเริ่มมากกว่าคนตระกูลปัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคนตระกูลปัวตัวต่อตัวกับทหารหวังทงนั้นสู้ไม่ได้ พอแตะโดนก็ล้มทันที ถูกเหยียบไปต่อหน้า


มีคนถูกต่อยล้ม คนก็เริ่มน้อยลง เดิมทีสองฝ่ายคนพอกัน แต่ตอนนี้ทหารหวังทงกลับได้เปรียบเรื่องจำนวนคนแล้ว ความได้เปรียบเริ่มมากขึ้น จากนั้นก็ชนะเด็ดขาด


สีหน้าพ่อลูกตระกูลปัวล้วนย่ำแย่ยิ่ง มีชัยมาครึ่งปี มาถึงตอนนี้กลับพ่ายแพ้ให้ขายหน้าเช่นนี้ หลิวตงหยางหันไปหรี่ตามองสีหน้าพ่อลูกตระกูลปัว ได้แต่ยิ้มแหะๆ กล่าวไม่พอใจว่า


“พวกทหารอยู่ๆ มีคนเก่งมาก แต่ก็แค่ร้อยกว่าคน จะทำอะไรได้ ไม่แน่เป็นพวกอาจารย์หมัดมวยที่ไปเชิญตัวมาจากข้างนอกก็ได้ ให้มาจัดการกับคนของนายท่านและใต้เท้า ข้าน้อยพอมีวิธี”


เขาไม่ได้เอ่ยวิธีอันใด เพียงแค่ลากลูกน้องคนหนึ่งมากระซิบข้างหู ลูกน้องวิ่งไปในกลุ่มคน ตอนนี้คนบนสนามต่อสู้ไม่มากแล้ว แต่รู้ว่านายตนมาอยู่ดูด้วย ไม่กล้าชักช้า ไม่เช่นนั้นเกรงว่าคนหนีหรือแกล้งตายไปหมดแล้ว สู้ไม่ได้จริงๆ


“หมัดมวยจะไปทำอันใดได้ ของพวกนี้สามารถออกสู้สนามรบสังหารศัตรูได้หรือไง? มีความสามารถแน่จริงก็ใช้อาวุธจริงเลย ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่รังแกพวกเจ้าหรอก ทุกคนหยิบอาวุธท่อนไม้เป็นไง ไม่กล้าล่ะก็ ก็เป็นพวกชายไร้อัณฑะมารดาเจ้าแล้ว!!”


สนามต่อสู้สภาพดูไม่ได้ วาจาก็ยิ่งไม่ไว้หน้า แต่ทว่ามองซ้ายขวาแล้ว เหมือนพูดไม่ดู หวังทงด้านหลังหานกังพึมพำเบาๆ หานกังก็ตะเบ็งเสียงขึ้นว่า


“ดูเจ้าพวกขี้ขลาดที่กองบนพื้นนี่ ก็รู้ว่าผู้ใดไร้อัณฑะ หรือว่าดูไม่ออก เอาเถอะ พรุ่งนี้ตอนเที่ยง พวกเจอกันที่เถียนสุ่ยจิ่ง”


นี่เท่ากับตกลงแล้ว หานกังกล่าวจบ คนมุงถึงกับหัวเราะดังลั่นออกมา นี่เป็นครั้งแรก แม้จะรีบหุบปาก แต่สีหน้าพ่อลูกตระกูลปัวยิ่งย่ำแย่  หันหลังจากไปทันที


พอคนตระกูลปัวที่ล้มระเนระนาดที่พื้นพากันกลับไปอย่างทุลักทุเล พวกหวังทงก็กลับเข้าที่ทำการ หวังทงสั่งขึ้นว่า


“อาหารค่ำคืนนี้ไม่เอาพวกผักแล้ว เอาเนื้อวัวและแพะกับแผ่นแป้งมา”


ทางนั้นรับคำรีบไปจัดการ แม้ว่าสองอย่างนี้กินแล้วจะไร้รสชาติ แต่เป็นอาหารหนัก สามารถเติมกำลังได้ดี ต่อยตีติดต่อกันมา อย่างไรก็เปลืองแรงไปมาก


ทหารติดตามล้วนเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์  ย่อมไม่รู้สึกเหนื่อย  หากยังกำลังวังชาดีกันอยู่ทุกคน ทุกคนออกไป หวังทงนั่งลงกลางโถงห้อง สื่อชีเดินเข้ามากระซิบว่า


“ท่านโหว หลิวตงหยางเหมือนเป็นคนออกหัวคิด”


หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า


“แต่ต้นจนจบ ล้วนเป็นหลิวตงหยางนั่นพูดมาก ลงมือมาก พ่อลูกตระกูลปัวกลับไม่ได้คิดทำอะไรนัก เจ้ากับหลิวจี๋หลินหารือกันไปสืบเรื่องหลิวตงหยางมา ประเด็นเรื่องนี้ดีไม่ดีก็มาจากเขาผู้นี้”


สื่อชีรีบรับคำ  กำลังจะออกไป หลิวจี๋หลินก็เดินเข้ามาหารือ แน่นอนย่อมไม่ได้มาด้วยเรื่องนี้ สื่อชีทักแล้วขอตัวออกไปก่อน


“ผู้บัญชาการ เถียนสุ่ยจิ่งเป็นศูนย์กลางหนิงเซี่ย  หากตระกูลปัวอยู่ ๆ คิดก่อการขึ้น เคลื่อนกำลังมาจะทำเช่นไร  ความปลอดภัยผู้บัญชาการต้องมาก่อน ไม่อาจปล่อยให้ต้องเสี่ยงภัยได้เด็ดขาด”


หวังทงยกถ้วยชาขึ้นจิบ ถามขึ้นเสียงเรียบว่า


“ตระกูลปัวในเมืองนอกเมืองเคลื่อนกำลังได้เท่าไร ตัวเลขแน่นอนตรวจสอบชัดหรือยัง?”


“ทั้งหมด 1,100 คน มี 400 มาจากป้อมทางเหนือ ที่เหลือล้วนเป็นกองกำลังหลังหนิงเซี่ยแอ่งน้ำฮัวหม่า”


หลิวจี๋หลินทำงานได้ดีมาก หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า


“1,100 คน รับมือเรา 200 คน ยังคงมั่นใจอยู่เต็มร้อย……”


พูดถึงตรงนี้  หวังทงไม่อาจไม่คุยสักหน่อย นิ่งไปพักหนึ่ง ก็ยิ้มกล่าวว่า


“พรุ่งนี้ เขาน่าจะทิ้งคนไว้ในเมืองได้มากแค่นี้เท่านั้น”


************


เผ่าป๋อถ่านเป็นเผ่าที่มีคนเพียงสองพันกว่าคน หัวหน้าชนเผ่าป๋อถ่านก็เป็นคนคิดการณ์อยู่มาก ความจริงนั้นเผ่าป๋อถ่านไม่ใช่เผ่ามองโกล ว่ากันให้ดี พวกเขากับเผ่าหุยเรียกได้ว่าใกล้กันมากกว่า แต่ทุ่งหญ้าหมื่นลี้ ไปจรดเหนือสุดและตะวันตกสุด ล้วนเป็นพื้นที่ครองของข่านมองโกล เรียกตนว่ามองโกลย่อมไม่มีอะไรเสียหาย


ชนเผ่าบนทุ่งหญ้าล้วนตั้งที่พักไปตามทุ่งหญ้าและแหล่งน้ำ แต่เผ่าป๋อถ่านไร้อำนาจและกำลัง หากอยู่ที่ใดนานไป ก็มักจะถูกเผ่าใหญ่ทรงอิทธิพลกลืนเอา หัวหน้าเผ่าป๋อถ่านนำชนเผ่าทำการค้าบนทุ่งหญ้า


การเคลื่อนไหวชนเผ่าหนึ่ง บอกว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ ว่าเล็กก็ไม่เล็ก  เดินทางบนทุ่งหญ้าล้วนต้องปลอดภัยไว้ก่อน  อย่างไรก็เป็นพวกเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน สินค้าขนจากแผ่นดินหมิงไปซีอวี้เปลี่ยนเป็นอาหาร ชนเผ่ายังได้ผลประโยชน์มากมาย ไยไม่ทำเล่า แต่ทว่าหลายเดือนนี้ไม่เหมือนเดิม


เดิมทีเผ่าป๋อถ่านไปอวี้หลินซื้อสินค้าเตรียมกลับ คิดไม่ถึงแอ่งน้ำฮัวหม่ากลับขายเกลือราคาถูก หัวหน้าเผ่าป๋อถ่านจึงไปซื้อเกลือที่นั่น พอถามราคาครั้งนี้ถึงกับต้องตกใจ ราคาเกลือแทบเหมือนให้เปล่า หัวหน้าเผ่าป๋อถ่านทำการค้ามาหลายปี คิดแล้วก็เข้าใจ รีบขายสินค้าทิ้งอย่างรวดเร็ว จากนั้นไปซื้อเกลือไว้หมด นำไปขายทางตะวันตก กำไรดีแน่จนน่าตกใจแน่


เขาทำไปครั้งหนึ่ง แม้ว่าเดินทางไปกลับต้องใช้เวลาสามเดือน  แต่กำไรที่ได้ถึงกับเท่ากับเมื่อสองปีก่อนที่เขาเคยทำกำไรได้ ช่างน่าดึงดูดเสียจริง


ชาวฮั่นฉลองปีใหม่ ชาวมองโกลก็ฉลองปีใหม่ เผ่าป๋อถ่านเรียกตนว่าเป็นมองโกล แต่ทว่ากลับไม่มีประเพณีนี้ เดือนสิบสองมาถึง วันสิ้นปีซื้อเกลือดีบรรทุกเตรียมจากไป


แต่คนคุมบ่อเกลือกลับให้เงื่อนไขที่ใจกว้างยิ่งกับเผ่าป๋อถ่าน  บอกว่านายท่านตนต้องการทำงานใหญ่ หากยอมอยู่ช่วยงาน เกลือทางนี้ก็จะให้เขาเอาฟรีเดือนหนึ่ง แอ่งน้ำฮัวหม่าก็ให้เขามาเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนได้


ได้เกลือฟรีหนึ่งเดือน นี่เป็นเรื่องดีที่ตกจากฟ้า แอ่งน้ำฮัวหม่าเป็นพื้นที่หญ้าอุดมที่หาได้ยาก  ผลประโยชน์นี้ช่างใหญ่ยิ่ง หัวหน้าเผ่าป๋อถ่านไม่โง่ แอบสืบความมาสักหน่อย รู้ว่าเผ่าใหญ่น้อยได้รับคำสัญญาไม่น้อยเช่นกัน ทำให้เขาวางใจ


แต่เงินเบื้องหน้าก็ต้องได้มาเช่นกัน หัวหน้าเผ่าป๋อถ่านยังต้องส่งเกลืองวดนี้กลับไปขาย จากนั้นค่อยเร่งเดินทางกลับมา ดูแล้วรถม้าแอ่งน้ำฮัวหม่าก็คงขายดีแล้ว การกระทำของหัวหน้าเผ่าป๋อถ่านล้วนไม่มีผู้ใดว่าอันใด


คืนวันสิ้นปี หัวหน้าเผ่าป๋อถ่านก็นำกำลังออกเดินทางกลับแล้ว แอ่งน้ำฮัวหม่ามีเกลือ  เกลือสำคัญดังเส้นเลือดของชนเผ่าทุ่งหญ้า เจ้าอาจจะเดินทางบนทุ่งหญ้าเดือนหนึ่ง แล้วอาจไม่เห็นแม้แต่เงาคน แต่ที่แอ่งน้ำฮัวหม่ากลับมีเผ่าใหญ่น้อยมากมาย ยังมีขบวนการค้าหลากหลาย


เส้นทางออกจากแอ่งน้ำฮัวหม่า มักมีคนร่วมเดินทาง ไม่แปลก ขบวนการค้าที่ออกเดินทางไปพร้อมกับเผ่าป๋อถ่าน มีคนราวไม่กี่สิบคน คิดว่าน่าจะเป็นพวกติดตามขบวนการค้าใหญ่แล้วสบายใจกว่า


ตอนกลางวันออกเดินทาง ผ่านไปครึ่งวันฟ้ามืดลงก็ตั้งค่ายพัก  ปักกระโจมให้ดี  ก็ล้อมวงกัน เริ่มหุงหาอาหาร ปรากฏไม่ทันระวัง ทำเอามีแต่ควันไม่มีไฟ  ขบวนการค้าเล็กที่ตามมาด้วยดันอยู่ต้นลม ควันพัดไปทางกระโจมเผ่าป๋อถ่าน คนกับสัตว์เลี้ยงล้วนถูกรมควันไปหมด


คนทางนี้เข้าไปต่อว่า ปรากฏพบว่าขบวนการค้าเล็กนั่นไม่เพียงแต่จุดกองไฟ ยังมีหลายกองทำให้เกิดควันพัดไปทางพวกเขาอีกด้วย คิดจะดับก็ยุ่งยากมาก หากเป็นบนทุ่งหญ้าย่อมยุ่งยากแล้ว


แต่ทว่าเหนือความคาดหมายก็คือ กองไฟแม้ว่าไม่มีคนดูแล แต่หญ้ารอบๆ กลับเก็บกวาดเรียบร้อย ไม่ติดไฟลามไป จากนั้นคนเผ่าป๋อถ่านพบว่าท่ามกลางหมอกควัน มีเสียงฝีเท้าม้าดังมาจากที่ไกลๆ


ฟ้ายังไม่ทันมืด  กระโจมผูกเสร็จแล้ว อูฐและวัวปลดออกจากรถสินค้าแล้ว คิดจะหนีเกรงว่าคงไม่ทันแล้ว


คนสองพัน ที่สามารถขึ้นม้าต่อสู้ได้ก็มีราวพันกว่า  ศัตรูที่ปรากฏตัวหลังหมอกควันจางลงก็ราว 700 กว่า น้อยกว่าคนเผ่าป๋อถ่าน


แต่พอการต่อสู้เริ่มต้น เผ่าป๋อถ่านถูกธนูยิงล้มไปไม่น้อย จากนั้นก็ถูกชนกระจาย พวกที่มาไม่ใช่ชาวเลี้ยงสัตว์  เกรงว่าเป็นผู้กล้าการรบบนทุ่งหญ้า คนเผ่าป๋อถ่านถูกธนูยิงล้มกับพื้นไปได้สองสามคน ก็เริ่มเข้าใจ


“คนที่หนีไปส่งข่าวปล่อยไปแล้วยัง ดี คนที่เหลือสังหารให้หมด สังหารให้เรียบ!!”


พวกที่บุกโจมตีคลุมหน้าสั่งการเสียงดัง


ตอนที่ 948 หายนะหลังความสุข

โดย

Ink Stone_Fantasy

เผ่าหั่วลั่วชื่อเป็นโจรลุ่มน้ำ เป็นชนเผ่าใหญ่สุด มีกำลังมากบนลุ่มน้ำ คนเกินหมื่น ขี่ม้าออกรบได้ราวห้าพันขึ้น และยังมีทหารม้าชุดเกราะอีกราว 500 นาย ในพื้นที่ลุ่มน้ำนี้ เรียกได้ว่าเหิมเกริมได้แล้ว แม้ตอนเผ่าอันต๋าเป็นใหญ่บนทุ่งหญ้า เผ่าหั่วลั่วชื่อก็เป็นเผ่าอิทธิพลที่ถูกมาเชิญให้เป็นพวกเดียวกัน


แม้สายตาคนนอกเป็นขุนพลในสังกัดข่านมองโกล  แต่เผ่าหั่วลั่วชื่อเองล้วนเรียกหัวหน้าเผ่าตนเองว่าข่าน ‘ข่านเผ่าหั่วลั่วชื่อ’


สายสัมพันธ์ชนเผ่าเหล่านี้กับเมืองชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือของแผ่นดินหมิง  ก็คือหากเมืองชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือกำลังเข้มแข็ง ก็จะสามารถรักษาความสงบกับเผ่าหั่วลั่วชื่อได้ แต่หากอ่อนแอ ก็ต้องรบไม่หยุด


แต่ทว่าขุนพลชายแดนแผ่นดินหมิงไม่อยากบุกลึกเข้าไปบนทุ่งหญ้าเพื่อสร้างความชอบ เผ่าหั่วลั่วชื่อเองก็ไม่ได้มีกำลังมาก ดังนั้นสภาพการณ์จึงยังคงเป็นเช่นนี้เรื่อยมา


ตั้งแต่มีตระกูลปัว อย่างน้อยก็สงบมาได้ 30 ปี ตระกูลปัวเป็นชาวมองโกล เผ่าหั่วลั่วชื่อก็เป็นชาวมองโกล วาจาร่วมกันมีมาก ทางหนึ่งต้องการเลี้ยงโจรเพื่อตน อีกทางหนึ่งต้องการอาศัยบารมีนายข่มผู้อื่น สายสัมพันธ์ระหว่างกันนับวันยิ่งแน่นแฟ้น


เผ่าหั่วลั่วชื่อตั้งแต่ก่อนที่ปัวไป้จะเป็นคนสำคัญเมืองหนิงเซี่ย แท้จริงแล้วไม่ได้มีอิทธิพลใดบนทุ่งหญ้า  แต่สองฝ่ายประสานกันแนบแน่น พวกเขาจึงได้เกลือที่ถูกกว่าคนอื่นจากแอ่งน้ำฮัวหม่า และยังได้รับสินค้าจำนวนมากจากตระกูลปัวไปขายต่ออีกทอด  ด้วยเส้นทางการค้านี้  จึงค่อยๆ รุ่งเรืองทีละก้าวขึ้นบนทุ่งหญ้า


เผ่าหั่วลั่วชื่อเคลื่อนไหวชายแดนมานาน ความจริงนั้นก็มีเทศกาลปีใหม่ตรุษจีนแบบแผ่นดินหมิง แน่นอนพวกเขาสามารถตั้งค่ายพักที่แอ่งน้ำฮัวหม่าได้อย่างสบายใจ


ปีใหม่ตรุษจีน ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 สำหรับพวกเขา เกรงว่าเป็นเวลาที่ชนเผ่าบนทุ่งหญ้ามีหน้ามีตาที่สุด เพราะเกลือหกส่วนในแอ่งน้ำฮัวหม่าล้วนให้พวกเขาจัดการ แบ่งให้เผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้า อาศัยเรื่องนี้แสดงบารมีตระกูลปัว  แม้ว่าตระกูลปัวให้คนสนิทไปจัดการเรื่องพวกนี้ แต่เผ่าหั่วลั่วชื่อก็ได้รับความเคารพอย่างไม่ค่อยหาได้นัก ได้ชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้น


วันที่ 1 เดือนหนึ่ง เผ่าหั่วลั่วชื่อนำคณะระบำรำฟ้อน มีความสุขฉลองกันทั้งวัน หัวหน้าเผ่าเล็ก 10 กว่าเผ่าเข้าร่วมและมอบของขวัญ ยิ่งทำให้เผ่าหั่วลั่วชื่อมีหน้ามีตา


ตระกูลปัวหนิงเซี่ยเพื่อเอาใจเผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้า ครั้งนี้ยังส่งสุราดีจากในด่านมาให้จำนวนมาก  อูฐชอบต้นหลิว มองโกลชอบสุราดี ใต้หล้าล้วนรู้ ได้ดื่มสุราดีฤทธิ์แรงราวกับไฟของแผ่นดินหมิง กลิ่นหอมหาใดเทียบเช่นนั้น ชายบนทุ่งหญ้า หาเสพสุขได้ยาก


แพะย่างวัวย่าง สุราดีมีพอ ฉลองกันตั้งแต่บ่าย พอตกค่ำ ทุกคนล้วนเมามายไปหมด พื้นที่แอ่งน้ำฮัวหม่าเช่นนี้ เป็นชายแดนแผ่นดินหมิง กลุ่มอิทธิพลไม่เข้าใกล้ และที่นี่ยังมีชนเผ่ามากมายมารวมตัว ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเกิดภัยอันตราย ทุกคนล้วนปลดปล่อยกันเต็มที่


ตอนฟ้ามืดลง เสียงซอเหลี่ยมขนเผ่ากับเสียงเพลงก็ยิ่งดัง แต่ผิดคีย์เสียเป็นส่วนใหญ่ ดื่มสุราไปก็ยากจะไม่เป็นเช่นนี้ คนฟังก็ฟังไม่ออก


เสียงซอคลอเคลียกับเสียงเพลงอู้อี้ไม่ชัดเจน ขยี้ใบหน้าเรียกสติ ได้ยินเสียงดังตึงตังมา หลายคนยังไร้สติ ไม่รับรู้ว่าเป็นเสียงอะไร แต่ค่อยๆ มีคนได้สติคืนมา เป็นเสียงฝีเท้าม้า เป็นม้าขบวนใหญ่วิ่งมา


หลายคนถูกสุรากล่อมจนไร้สติ ทำให้พวกเขาไม่ได้ยินเสียงทัพม้าที่มาจากที่ไกลออกไป การรวมตัวกันของชนเผ่ามากมายทำให้เสียงดังเอะอะไปทั่ว ยากจะวิเคราะห์กระจ่าง


ชายชนเผ่าเมาได้ที่ ตะโกนดังคว้าอาวุธ หลายคนปีนขึ้นมาก็ร่วงลงมา สตรีและเด็กก็ส่งเสียงร้องไห้ดัง ความสุขสนานกลายเป็นความอลหม่าน


ขบวนทัพม้าน่าจะสามพัน  จากหลายทิศทางบนทุ่งหญ้ากำลังมุ่งมาที่นี่ ขบวนทัพม้ามากันแน่นหนา คนบนหลังม้าล้วนสวมชุดหนังยาวแบบทหารม้าทุ่งหญ้า ทุกคนใช้ผ้าปิดหน้า ดูแล้วเหมือนโจรม้าที่ปิดหน้าออกปล้น


แต่กองกำลังพวกนี้ดูแกล้วกล้ากว่ามาก และยังมีระเบียบ พอบุกเข้ามา ด้านหน้าร้อยกว่าคนก็เหมือนธนูที่พุ่งมา ทุกคนกวัดแกว่งอาวุธยาวฟัน สังหารทุกคนที่ขวางทาง คนด้านหลังค่อนข้างไม่แน่นหนา แต่ก็นำคบไฟในมือโยนใส่กระโจมและสินค้า พยายามเผาทุกสิ่งอย่างที่เผาได้


คนเหล่านี้ไม่ค่อยยิงธนู พวกเขารู้ว่าฟ้ามืด ธนูไม่อาจยิงได้แม่นยำ และพวกเขาก็มิได้ตั้งใจโจมตีชนเผ่าที่มารวมตัวกัน เพราะที่นี่ส่วนใหญ่เป็นผู้คุ้มกันมีฝีมือ พวกเขาบุกเข้ามาได้ก็เลือกลงมืออีกทาง จุดหมายพวกเขาก็คือสังหารคนให้มากที่สุด เผาสิ่งของให้มากที่สุด


พวกชนเผ่ารวมตัวกันต้าน พวกโจมตีกลับหันไปทางฝูงสัตว์ ขับไล่ฝูงสัตว์ที่อยู่รวมกันกระจัดกระจายหนีไป มีบางฝูงแตกตื่นตกใจ ถึงกับพุ่งเข้าใส่พื้นที่รวมตัวของพวกชนเผ่า หากหลายฝูงกระจายไปรอบสี่ทิศ


ในสภาวะสนุกสนานสุดขีดและละเลยการป้องกัน ถูกทหารม้ากลุ่มใหญ่โจมตี เผาทำลายไปหมด ก็ย่อมหายเมา พวกที่เหลือมารวมตัวกันเริ่มรวมกำลังต้านอย่างมีระเบียบมากขึ้น แต่ตอนนี้มาจัดระเบียบ ทหารม้าหนีกันไปหมดแล้ว ไม่คิดอยากได้ของจากที่บุกเข้ามาได้ ไม่คิดจะปล้นอะไร


ทว่าผลจากการโจมตีนี้เรียกได้ว่าสร้างความเสียหายใหญ่พอแล้ว รอบแอ่งน้ำฮัวหม่ากระโจมแต่ละชนเผ่าล้วนถูกไฟเผาโหมกระหน่ำ เสียงร้องไห้ระงมไปทั่ว ทั่วผืนพื้นที่มีแต่สัตว์เลี้ยงวิ่งกระจัดกระจาย


ในที่สุดก็มีคนที่หายเมาเริ่มตะโกนดัง ‘ทุกคนไปดับไฟก่อน รีบไปจับสัตว์เลี้ยงกลับมา!’  ทุกคนจึงได้สติเริ่มทำงานกัน ไม่ไปจับสัตว์เลี้ยงกลับมา ชนเผ่าย่อมไม่อาจทนมีชีวิตไปได้ถึงทุ่งหญ้างอกงามอากาศอบอุ่นเป็นแน่ สัตว์เลี้ยงเป็นทุกอย่างของชนเผ่าทุ่งหญ้า


จากนั้นสถานการณ์ยิ่งวุ่นวาย สัตว์เลี้ยงวิ่งไปทั่ว ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงทุกตัวมีสัญลักษณ์ แต่ละเผ่าบนทุ่งหญ้าไม่เคยเจอกัน ไม่ค่อยไปคิดเรื่องสานสัมพันธ์กัน ตอนนี้แต่ละเผ่ามาใกล้กัน สัตว์เลี้ยงหนีกระจัดกระจายรวมกันไปหมด


แท้จริงเป็นของผู้ใด ก็เริ่มมีปากเสียงกัน กลายเป็นสู้กันอย่างรวดเร็ว สัตว์เลี้ยงเป็นดังของสำคัญ สัมพันธ์ถึงความเป็นความตายของทั้งเผ่า ผู้ใดก็ย่อมไม่ยอมให้ผู้ใดรังแก ทุกคนล้วนได้แต่ชักดาบออกมาสู้ตาย


เผ่าใหญ่รวบรวมกำลังคน เผ่าเล็กมารวมตัว กลายเป็นสถานการณ์สังหารกันเอง พอทุกอย่างเงียบลงพอควรแล้ว ก็ฟ้าสว่างแล้ว เมื่อวานเสียงสนุกสนานเฮฮากลายเป็นดังนรกบนดินของทุกคนบนแอ่งน้ำฮัวหม่ายามนี้  ศพเกลื่อนกลาด


พื้นที่ค่ายทหารแน่นอนตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง แต่ระยะห่างจากกำแพงเมืองหนิงเซี่ยใกล้พอ หลายวันนี้ กำแพงเมืองส่วนใหญ่เปิดประตู เพื่อให้แต่ละเผ่านำสินค้าเข้าออกได้ตามสบาย บ่อเกลือด้านนอกก็มีสองแห่ง แน่นอนเป็นสองแห่งที่มีกำลังการผลิตมาก


ปัวอวิ๋นบุตรบุญธรรมปัวไป้รับหน้าที่เป็นทหารที่นี่ เขาก็เป็นชาวมองโกล แน่นอนรู้ว่าชนเผ่าบนทุ่งหญ้าเป็นอย่างไร ฟ้ามืดแล้วต้องเข้มงวดป้องกัน


เมื่อคืนวานอยู่เกิดจลาจลใหญ่ ปัวอวิ๋นรีบนำกำลังคนงานและทหารไปคุมกำแพงเมืองเข้ม คนที่เข้าใกล้กำแพงเมืองล้วนต้องป้องกัน สังหารทิ้งให้หมด


แต่การต่อสู้บนทุ่งหญ้าล้วนเป็นการสังหารกันเอง คนริมกำแพงไม่ได้นอนทั้งคืน  มองเห็นฉากสังหารกันตลอดไม่หยุด จนกระทั่งฟ้าสว่างจึงได้สงบและกล้าออกไปดู


ปัวอวิ๋นนำทหารในสังกัดไปถึงบ่อเกลือก็พบว่า บ่อเกลือระเนระนาดไปหมด  อุปกรณ์เครื่องมือทำเกลือก็ถูกทำลายสิ้น แม้ว่าบ่อเกลือนำเกลือมาใช้ได้ง่าย แต่ไม่อาจขาดเครื่องมือ ขาดเครื่องมือก็ต้องเสียเวลาอีกสิบกว่าวันกว่าจะฟื้นคืน นี่เป็นเรื่องยุ่งยากยิ่ง


ที่ยุ่งยากยิ่งกว่าเห็นจะเป็นชนเผ่ากำลังจะจากไป แต่ละชนเผ่าเริ่มไม่เป็นมิตรกัน ความจริงนั้นเมื่อคืนวานมีหลายเผ่าเล็กถูกกลืนไปแล้ว ถึงกับถูกทำลายไปเลยก็มี  เทียบกับเกลือที่ล่อใจแล้ว ความเป็นตายจึงเป็นเรื่องใหญ่กว่า


ปัวอวิ๋นเป็นอันดับสามในตระกูลปัว แน่นอนเข้าใจว่าเหตุใดบ่อเกลือจึงยอมขาดทุน หากคนเหล่านี้ไป มองกันเป็นศัตรู ยังจะทำอะไรได้ ทุกอย่างสูญสิ้นหมด วิธีการที่จะใช้ได้มีไม่มาก ก็ได้แต่เกลี้ยกล่อมปลอบใจกันไป ให้ข้อตกลงที่มากยิ่งขึ้น


การค้าเกลือบนทุ่งหญ้าไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น  แม้ว่าเกิดเหตุคืนวาน แต่ให้กำไรยิ่งมาก ก็ย่อมยังมีคนรับปากแกนๆ ยอมอยู่ต่อ


เพราะตอนเกลี้ยกล่อมนั้น คนจากเผ่าป๋อถ่านที่มาขอความช่วยเหลือมาถึง พอเป็นเช่นนี้ เดิมคิดว่าจะไป ก็ไม่กล้าไป สายสืบที่ส่งออกไปกลับมารายงานข่าวอย่างรวดเร็ว ทุกคนในเผ่าป๋อถ่านสองพันกว่า ถูกสังหารเรียบไม่เหลือ……


ทหารม้าทุ่งหญ้าละแวกนี้ราวสี่พัน  ยังมองพวกหนิงเซี่ยเป็นศัตรู สถานการณเช่นนี้ การดึงชนเผ่ามาเป็นพวกเป็นเรื่องเล็ก  การป้องกันกองกำลังหลังหนิงเซี่ยกลายเป็นเรื่องใหญ่แล้ว


เรื่องไม่อาจรอช้า ปัวอวิ๋นรีบส่งทหารนำสารไปขอความช่วยเหลือจากในเมือง แอ่งน้ำฮัวหม่าเป็นเส้นเลือดตระกูลปัวไม่อาจปล่อยปละทิ้งไปโดยง่าย ในมือตระกูลปัวที่มีค่าที่สุดก็คือทหารส่วนตัว และในเมืองสงบสุขมาก ปัวเฉิงเอินเป็นรองแม่ทัพเมืองหนิงเซี่ย ยังสามารถเคลื่อนกำลังชายแดนมาได้อีก


กองกำลังหลังหนิงเซี่ยไปเมืองหนิงเซี่ย ม้าเร็วเร่งด่วน วันหนึ่งคืนหนึ่งก็เพียงพอ ข่าวไปถึงเมืองหนิงเซี่ย แม้ตระกูลปัวไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น แต่ก็รู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ เร่งส่งทหารส่วนตัวที่เก่งกล้า 1.200 นายไปยังกองกำลังหลังหนิงเซี่ย


***********


เดือนหนึ่งปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 เมืองหนิงเซี่ยมีเรื่องร้อนแรงครึกครื้นที่สุด ที่ไม่ใช่เทศกาลโคมไฟ หากเป็นวันที่ 1 เดือนหนึ่ง เขตเถียนสุ่ยจิ่งกลางเมืองมีคนจะตีกัน


ตระกูลปัวมี 150 องครักษ์เสื้อแพรมี 150  สวมแต่เสื้อคลุมหนัง ถือกระบองหัวไม้พันแถบหนังไว้ เริ่มตีกันตอนเที่ยง


พวกว่างงาน ไม่ว่ามีคนจงใจเรียกมาหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ไปตามคนมาดูกันมาก ถึงกับมีคนเริ่มพนันกันว่าใครแพ้ใครชนะ สองฝ่ายตีกัน ผู้ว่าการมณฑลกับผู้บัญชาการล้วนไม่ถามไม่ไถ่ กองพันรักษาความสงบยังถึงกับไม่ไปดูแลรักษาความสงบ


หลายวันนี้ คนรอบเถียนสุ่ยจิ่งถึงกับเริ่มทำการค้า นั่งบนกำแพงราคาเท่าไร นั่งบนหลังคาราคาเท่าไร เก้าอี้ริมกำแพงราคาเท่าไร ถึงกับมีแผงผลไม้แห้งของกินเล่นมาขายด้วย  ตามมาดูเรื่องสนุกกัน มาถึงตอนนี้ ย่อมไม่ใช่การชกต่อยธรรมดา แต่เป็นเหมือนละครงิ้วฉากใหญ่แล้ว


ขอเสริมว่า ทหารตระกูลปัวในเมืองตอนนี้มีแค่ 200 คน……


ตอนที่ 949 ละครต่อยตีในเดือนหนึ่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

แผ่นดินหมิงยุคนี้ บ่อน้ำเป็นแหล่งน้ำสำคัญของหมู่บ้าน บ่อน้ำเถียนสุ่ยจิ่งเหมาะกับการใช้งานทำนา ยิ่งมีค่าดังของมีค่า ดังนั้นหลายแห่งจึงใช้ชื่อเถียนสุ่ยจิ่งเป็นชื่อสถานที่ เมืองหลวงก็มีชื่อนี้ เมืองหนิงเซี่ยก็มีชื่อนี้


พื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือแห้งแล้ง บ่อน้ำจึงถูกมองว่าเป็นพื้นที่สำคัญอย่างมาก เถียนสุ่ยจิ่งแน่นอนเป็นศูนย์กลางของเมือง ความจริงนั้นปากบ่อนี้แห้งไปแล้ว แต่ก็ยังเป็นพื้นที่ว่างผืนใหญ่ของเมืองหนิงเซี่ย ร้านค้าสุราอาหารต่างก็มาตั้งกันที่นี่ มีร้านค้าแผงลอย เป็นที่ครึกครื้นมาก


ตามธรรมเนียมสมัยก่อน เดือนหนึ่งที่เถียนสุ่ยจิ่งจะเป็นดังตลาดนัดที่คึกคักที่สุดของทั้งเมืองหนิงเซี่ย พอถึงเทศกาลบัวลอย ยังมีแสดงโคมไฟ ทั้งเมืองทุกผู้ทุกวัยก็ย่อมอยากมาเดินเล่น


แต่ทว่าปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 กลับไม่เหมือนเดิม  แม้ว่าเดือนหนึ่งจะคึกคักกว่าที่เคย แต่ไม่มีสตรีและเด็กมาที่นี่กัน ล้วนเป็นผู้ใหญ่ชายฉกรรจ์เสียมากกว่า


เมืองหนิงเซี่ยอย่างไรก็เป็นเมืองชายแดน ชาวบ้านในเมืองไม่มากก็น้อยล้วนมีสายสัมพันธ์กับทหาร ผู้ชายชื่นชอบเรื่องการชกต่อยมาก


ความจริงนั้นตั้งแต่เดือนหกมา คนตระกูลปัวในเมืองหาเรื่องไปทั่ว ต่อสู้กับกลุ่มอิทธิพลอำนาจแต่ละกลุ่มได้รับชัยชนะมาหมด มีผลต่อจิตใจชาวเมืองมาก คนตระกูลปัวทำไปล้วนเรียกว่าเป็นเรื่องเล่าดังตำนานแล้ว ยังมีคนช่างวิจารณ์ตั้งชื่อต่างๆ นานาให้ความยอดเยี่ยมเหล่านี้  เช่นว่า  อินทรีผงาดฟ้า เป็นต้น


ตระกูลปัวเข้มแข็งเพียงนี้ ทหารในเมืองนอกเมืองล้วนภาคภูมิใจในทหารสังกัดตระกูลปัว  และทำให้ทุกคนต่างรับรู้กันว่า ตระกูลปัวแข็งแกร่งเช่นนี้ มีความสามารถเช่นนี้ ติดตามตระกูลปัวย่อมมีอำนาจวาสนาแน่นอน


ไม่พูดถึงแต่ละเผ่าที่ไม่ได้เคารพราชสำนักแผ่นดินหมิงนัก เดิมบารมีไม่มาก แล้วยังมาแพ้แล้วแพ้อีก ก็ยิ่งตอกย้ำ


พอเข้าเดือนสิบสอง สถานการณ์ในเมืองก็เริ่มวุ่นวาย มีพวกมากอำนาจวาสนาพากันไปเมืองซีอาน แต่ละป้อมที่กระจายตัวในพื้นที่รอบเมืองหนิงเซี่ยล้วนราวกับเผชิญศัตรูใหญ่ มีคนเตรียมไปติดสอยห้อยตามตระกูลปัว มีคนเตรียมรับมือทหารก่อการ


แต่ทว่าทุกเรื่องมาถึงหลายวันนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป องครักษ์เสื้อแพรในเมืองที่เคยสงบเสงี่ยม อยู่ๆ ปะทุขึ้นมา สู้กับตระกูลปัวอย่างไร้เหตุผลมาหลายครั้ง


ครั้งแรกคนมาสู้คนน้อย ถึงกับพ่ายแพ้ได้ ครั้งสองคนสองฝ่ายพอกัน ยังแพ้อีก อีกฝ่ายยังได้เปรียบมากกว่า ชนะราวกับปอกกล้วยเข้าปาก


ทุกคนล้วนเป็นงง หรือว่าคนตระกูลปัวเป็นแค่เสือกระดาษ ชาวบ้านทางตะวันตกเฉียงเหนือนิสัยไม่เกรงกลัว ดูแคลนทหารชายแดน คนตระกูลปัวไม่เลว แต่ความจริงที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเช่นนี้ก็ครึ่งปีมานี้ สองครั้งที่แพ้ ทำให้ภาพลักษณ์เริ่มสั่นคลอน


หวังทงรู้ผลเช่นนี้ ตระกูลปัวกับหลิวตงหยางแน่นอนย่อมรู้เช่นกัน กองกำลังหลังหนิงเซี่ยกลับเกิดเรื่องเช่นนั้นอีก ข่าวปิดไม่ได้แล้ว  การนัดตีกันบนท้องถนนอย่างไรก็ไม่อาจไม่ตี  ทางนั้นเกิดเรื่อง ทางนี้หากแสดงความอ่อนแออีก สถานการณ์ที่กว่าจะสร้างขึ้นมาได้ย่อมพังทลายสิ้น


แม้มีกองทหารใหญ่ส่งไปกองกำลังหลังหนิงเซี่ย แต่ตระกูลปัวก็ยังเก็บพวกที่เก่งกล้าที่สุดเอาไว้ เพื่อให้ทุกอย่างสมบูรณ์พร้อม ยังขอเลื่อนเวลาออกไปเป็นพิเศษ กำหนดเป็นวันที่ 5 เดือนหนึ่ง


การเลื่อนนี้ ยิ่งทำให้ชาวเมืองตั้งใจไปกันมากยิ่งขึ้น วันที่ 5 เดือนหนึ่งฟ้ายังไม่ทันสว่าง คนตระกูลใหญ่ในเมืองก็ส่งคนงานไปจับจองที่นั่ง คนกองพันรักษาความสงบก็ไปดูแลบริเวณโดยรอบ เพื่อป้องกันสถานการณ์


จากรายงานของหลิวจี๋หลินตอนเช้า ในเมืองหากเป็นพวกระดับชั้นนำ ก็จะส่งคนมาดู คนที่มาดูความสนุกเองได้ก็มาเอง  ไม่ชอบเรื่องพวกนี้ก็ส่งคนไปดูผลเท่านั้น ในใจทุกคนล้วนพอประเมินได้


************


“นี่ไม่ใช่อินทรีผงาดฟ้าหรือ?”


“ผุยๆ ดูคนตัวสูงใหญ่ควบม้าตัวใหญ่สิ สิบต่อหนึ่งจริงๆ เป็นชายชาตรีที่หิ้วหัวกลับมาได้สิบหัวจริงๆ”


“ใช่เลย ใช่เลย หัวพวกนั้น ผู้บัญชาการตรวจแล้ว ล้วนเป็นหัวจริง!”


“เจ้าดูทางนั้น เสือดาวหัวลาย!”


“เบาหน่อยสิ เจ้าเรียกเสือดาวก็พอ ยังจะเดิมหัวลายทำไม เจ้าไม่รู้หรือว่าเขาไม่ชอบที่สุด ถูกคนพูดถึงชันนะตุ”


“คนนี้ดาบเร็วนะ ว่ากันว่าโยนแตงโมเข้าไป ไม่ทันถึงพื้น เขาก็หั่นเป็นสี่ส่วน…..”


หวังทงแต่งกายเป็นชาวบ้านนั่งอยู่ท่ามกลางฝูงชน ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องพวกนี้น่าสนใจ  เหมือนว่าเป็นชายชาตรีวีรบุรุษในนิทานเรื่องเล่าของนักเล่านิทานพวกนั้น  มองคนข้างๆ พากันวิเคราะห์น้ำลายกระเซ็น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้วนมีชื่อ


ฟังไปครู่หนึ่ง หวังทงก็เดินอ้อมไปถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก เดินไปกลางกลุ่มองครักษ์เสื้อแพร คนมามุงดูรู้ว่าเป็นองครักษ์เสื้อแพร ไม่เคยเห็นก็ตกใจ บางคนวิพากษ์วิจารณ์ไปเข้าหูทหาร


“……นอกจากพวกตัวใหญ่สองสามคน ที่เหลือล้วนเป็นเด็กยังไม่โตกว่าครึ่ง คนพวกนี้จะไปสู้คนตระกูลปัวได้อย่างไร…..”


“เจ้าไม่เคยเห็น ไม่ใช่สู้ไม่ได้ แต่สู้ได้ดีเลย บอกเจ้าไว้ก่อน วันนี้ข้าพนันไปหนึ่งตำลึงเงิน รอชนะจะซื้อเหล้าและอาหารกลับบ้านสักหน่อย……”


สองฝ่ายเชียร์คนละทีม พวกทหารย่อมประเมินไปพร้อมกับการแอบวิพากษ์วิจารณ์ ที่แท้สถานการณ์นี้ไม่ได้มีกลิ่นอายสังหารอันใด ถึงกับแม้แต่เป็นศัตรูกันก็ไม่มี


ทุกคนล้วนเป็นชายชาตรีมุ่งทำงาน มาที่นี่ดูการต่อสู้ที่ไม่เลือดตกยางออก ไม่ถึงแก่ชีวิต ยังมีอะไรไม่พอใจกัน นี่เป็นกิจกรรมออกกำลังกายฉลองปีใหม่ แน่นอนไม่อาจแพ้ หน้าตาเป็นเรื่องใหญ่


นับเวลาดูก็ใกล้เที่ยงแล้ว ทุกคนล้วนกินข้าวกันมาล่วงหน้า หวังทงเตรียมลงสนาม ก็เห็นทางนั้นมีคนหนึ่งเดินมา คนผู้นี้หลายวันก่อนหลิวจี๋หลินชี้ให้หวังทงดู เป็นหลิวตงหยาง


“ทุกท่าน วันนี้เราต่อยกันไม่เสียมิตร แต่มีบางเรื่องต้องบอกไว้ก่อน ไม่รู้พี่น้ององครักษ์เสื้อแพรอยากจะฟังหรือไม่?”


หลิวตงหยางเสียงดังอยู่มาก หลิวจี๋หลินได้รับความเห็นชอบจากหวังทงก็รับคำเสียงดัง


“ปีใหม่นี้ พี่น้องในเมืองมาชมพวกเรา อย่างไรก็ไม่อาจไม่ตีกันให้ดังสนั่นสักครา  ไม่เช่นนั้นจะทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง  ข้ามีข้อเสนอ ไม่สู้เราสองฝ่ายเลือกคนมาตัวต่อตัวกันก่อนสักสองสามคน จากนั้นค่อยตะลุมบอนกัน พวกท่านว่าดีไหม!?”


วาจาเสียงดังไม่น้อย หวังทงไม่ตอบ คนมุงรอบๆ ไม่รู้ผู้ใดนำก่อน ปรบมือเชียร์ว่าดีๆ พริบตาก็เสียงเชียร์ดังไม่หยุด


เดิมทีต่อยหมู่ก็น่าสนใจแล้ว หากยังมีต่อยเดี่ยวอีก ใช่ว่ายิ่งสนุกหรือ ทุกคนล้วนเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี ทุกคนต่างส่งเสียงเชียร์ดังว่าดีๆ คนรอบกายหวังทงหลายคนล้วนพากันขมวดคิ้ว พวกเขาไม่ชินกับเรื่องเช่นนี้ ทำเหมือนเด็กเล่น หวังทงยิ้มกล่าวว่า


“วันนี้ต่อยชนะ สถานการณ์ก็เอาอยู่เจ็ดส่วนแล้ว เป็นเพื่อนเล่นพวกนั้นก็แล้วกัน!!”


หวังทงมั่นใจมากพอ หลิวจี๋หลินพอรู้ก็มั่นใจเต็มที่เช่นกัน พยักหน้าหงึกๆ ให้คนตอบกลับไปทันที


หลิวตงหยางคิดไม่ถึงองครักษ์เสื้อแพรตอบเร็วเพียงนี้  ขมวดคิ้ว ในเมื่อเป็นเขาเสนอ ไม่ได้มีเหตุผลที่ต้องค้าน จึงรับคำเช่นกัน


หวังทงมองไปรอบๆ เห็นพ่อลูกตระกูลปัวในทันที พ่อลูกตระกูลปัวครั้งนี้ไม่ได้อยู่ท่ามกลางคนมุง แต่อยู่ด้านหลังคนของตนเอง  สีหน้าเอาจริงเอาจังมาก


“ทางนั้นเห็นพวกเราอายุน้อย เห็นพวกเรารุกถอยมีระบบ คิดว่าเป็นเพราะเราฝึกมาได้ผล แต่การรวมหมู่สู้ไม่เหมือนกับการสู้เดี่ยว สู้เดี่ยวใช่ว่าจะได้เปรียบ จึงได้ให้สู้เดี่ยวเปิดฉากก่อน เพื่อทำลายขวัญเรา”


หวังทงยิ้มคาดเดา ความจริงกับที่เขาเดานั้นไม่ได้ต่างกัน หลิวตงหยางกับพ่อลูกตระกูลปัวหารือกันสีหน้าก็เคร่งเครียด เห็นชัดว่าการรับคำง่ายๆ ทำให้ทางรู้สึกว่าการสู้ตัวต่อตัวไม่ค่อยมั่นใจนักแล้ว ดังนั้นจึงมีสีหน้าเคร่งเครียด


ไม่นาน ทางนั้นก็ส่งคนออกมา หลิวตงหยางออกมาตะโกนดัง


“รอบแรกประลองยิงธนู!”


**************


ประลองธนูแน่นอนไม่ใช่ยิงกันเอง แต่การจะขี่ม้ายิงธนูในเมืองก็ไม่ได้  จึงได้หาเป้ามายิงแทน ให้คนเปิดพื้นที่ว่าง สองคนลงไปยิง


กลางเป้าธนูทาสีขาว ขนาดเท่ากับสองฝ่ามือ ยิงโดนก็เรียกว่าแม่น ในเวลาหนึ่งก้านธูป ยิงได้มากที่สุดชนะ


แม้ว่าเป็นมือธนูเก่งกล้า แต่ใช้ธนูทหารแผ่นดินหมิงพอยิงได้ 11 ดอกก็ต้องพัก ใช้ธนูมองโกลก็ได้แค่ 7 ดอก แต่เวลาหนึ่งก้านธูป พลธนูชำนาญการสามารถยิงได้ 40 กว่า เพราะรักษาจังหวะ มีเวลาพักผ่อน แรงกลับมาเร็ว วันรุ่งขึ้นอาจยกแขนไม่ขึ้นก็อีกเรื่องหนึ่ง


ม่อรื่อเกิน ปาถู เฉินต้าเหอ เป้าเอ้อร์เสี่ยว สี่คนเทียบกันแล้ว ม่อรื่อเกินลงสนาม เพราะการประลองแบบนี้  เน้นเรื่องการยิงเร็ว ม่อรื่อเกินมีความสามารถเรื่องนี้


คนอีกฝั่งที่ลงสนามมาแน่นอนเป็นชาวมองโกล ล้วนกล่าวว่าชาวมองโกลชำนาญขี่ม้ายิงธนู แม้ว่าไม่แน่ว่าจริง  แต่การยิงธนูนั้นเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมไม่เลว


สองฝ่ายมาถึง เสียงตะโกนดังขึ้น สองคนก็รีบเริ่มยิงธนู เริ่มยิงไปดอกแรกก็ได้ยินเสียงเชียร์ดังว่าเยี่ยมทั่วสนาม จากนั้นทุกคนล้วนตะโกนเหนื่อยแล้ว เพราะระยะ  50 ก้าว  สองคนยิงกันง่ายมาก เล็งแม่นแน่นอน  บนสนามรบจำเป็นต้องรักษาความแม่นยำไว้ให้ดีไปพร้อมกันยิงให้มากยิ่งขึ้น ประลองครั้งนี้ความจริงนั้นแอบมีลูกเล่นเหมือนกัน เป้าหญ้าเล็กๆ จะบรรจุลูกธนู 40 กว่าได้อย่างไร ยิงไปดอกก็หยุด จากนั้นก็หยิบเป้ามาตั้งยิงต่อ


เสียงดังเฟี้ยวเสียดหูไป ดอกแล้วดอกเล่าปักบนเป้าหญ้า ม่อรื่อเกินกับมือธนูอีกฝ่ายความจริงนั้นฝีมือพอกัน หนึ่งก้านธูปยาวนานเช่นนี้ สุดท้ายสองคนก็ย่อมต้องอาศัยสมาธิและความมั่นคงของจิตใจ


แต่ม่อรื่อเกินชนะ เพราะอีกฝ่ายตอนยิงระลอกสอง ธนูสายขาด ได้แต่เปลี่ยนธนู เห็นชัดว่าเขาไม่คุ้นกันธนูใหม่  ความแม่นลดลง  และยังเสียเวลา จึงได้แพ้ไปเช่นนี้


“พวกเจ้ารู้สึกว่าไม่ได้สู้ได้ชัยมาใช่หรือไม่?”


หวังทงยิ้มถามขึ้น ทุกคนแม้ไม่พูด แต่สีหน้าก็ล้วนเห็นตามนั้น หวังทงส่ายหน้ายิ้ม กล่าวว่า


“มือธนูต้องใช้ธนูดี ธนูม่อรื่อเกินใช้สินค้าโรงช่างสามธารา รักษาบำรุงตามกำหนด คุณภาพแน่นอนรับประกันได้ แต่อีกฝ่ายธนูดีไม่ดียังเป็นธนูทำเอง  จะเทียบได้อย่างไร  ทหารสองกองปะทะกัน หรือว่าเพียงแค่อาศัยทหารกล้าเท่านั้นหรือ?”


หวังทงพูดถึงการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ความหมายไม่ใช่แค่นี้ ทุกคนล้วนเงียบ หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า


“สนามนี้ม่อรื่อเกินชนะแล้ว โรงช่างสามธาราโรงช่างชนะแล้ว พวกเราชนะแล้ว!!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)