พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 947-948
ตอนที่ 947
ชนเผ่าปีศาจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เจ้าบ้านี่ทำเหมือนป้องกันโจร เหมียวอี้ถลึงตาจ้องจงหลีค่วยอย่างหงุดหงิด และทำได้เพียงเก็บแผนที่ดาวเอาไว้
กลับเป็นหมิงจ้าวที่หันมาองแวบหนึ่ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ดูแผนที่ดาวนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรก็มาถึงที่นี่แล้ว สุดท้ายก็รู้อยู่ดี ขอแค่ไม่ปล่อยข่าวให้คนนอกรู้ก็พอ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เหมียวอี้กับจงหลีค่วยก็สบตากันแวบหนึ่ง
ส่วนหมิงจ้าวก็โบกมือ นำทุกคนเหาะอ้อมดาวเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้าไป จนกระทั่งปรากฏป่าทึบเขียวขจีอีกด้านหนึ่ง ถึงได้นำทุกคนเลี้ยวฝ่าท้องฟ้าเข้าไป
เบื้องล่างเป็นป่าไม้โบราณที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ตัวอยู่บนฟ้ามองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ทำให้คนรู้สึกตกตะลึง แม่น้ำหลายสายตัดสลับกันราวกับสายผ้า
พวกเขาเหาะลงจากฟ้า ลอยมาเหยียบลงบนยอดพุ่มของต้นไม้โบราณสูงระฟ้าบนยอดเขา บนพุ่มไม้ที่กว้างใหญ่ คนสิบกว่าคนที่เหยียบลงบนนั้นดูเล็กลงราวกับหมากล้อมที่ตกลงบนกระดาน ราวกับนกกระยางขาวหลายตัวที่บินมาเกาะกิ่งไม้ จะเห็นได้ว่าต้นไม้ต้นนี้ใหญ่ขนาดไหน
เหมียวอี้เดาะลิ้นขณะมองไปรอบๆ ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนได้มาที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้โบราณบนเกาะศักดิ์สิทธิ์ก็ใหญ่แบบนี้ และป่าไม้โบราณของที่นี่ก็ไม่ได้มีขอบเขตกว้างใหญ่เท่าเกาะศักดิ์สิทธิ์แห่งเดียว แต่มีพื้นที่เท่าเกาะศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทำให้คนตกตะลึงขนาดไหน ต่อให้เป็นนักพรตที่มีพลังอิทธิฤทธิ์สูงส่ง เมื่อมาเจอกับกลิ่นอายของป่าไม้ที่กว้างใหญ่ไพศาล ก็ยังรู้สึกได้ว่ายามเผชิญหน้ากับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ตัวเองนั้นเล็กจ้อยราวกับมดตัวหนึ่ง
ทุกคนหันมองดูโดยรอบ พบว่าภูเขาสูงที่อยู่ใต้เท้าและภูเขาสูงอีกสองลูกที่อยู่ทางซ้ายและขวาไกลๆ เหมือนจะตั้งอยู่รวมกันเป็นรูปสามเหลี่ยม หมิงจ้าวหยิบม้วนหนังแผนที่ออกมาเทียบดูอีกครั้ง แล้วพยักหน้าบอกว่า “ศิษย์พี่รองเจ้าสำนักนำพวกเราร่วมศึกษาค้นคว้ามานานแล้ว สุดท้ายก็แน่ใจว่าสถานที่ที่ระบุไว้บนแผนที่อยู่ที่ดาวแมกไม้แห่งนี้ และสามจุดสุดท้ายที่ระบุไว้บนแผนที่ก็คือภูเขาสามลูกนี้ พอมาถึงที่นี่ก็ไม่มีคำบรรยายแล้ว คาดว่าที่ซ่อนสมบัติน่าจะอยู่ระหว่างภูเขาสามลูกนี้ จะว่าไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนข้าก็เคยมาที่นี่นะ นึกไม่ถึงว่าที่ซ่อนสมบัติจะเกี่ยวข้องกับที่นี่ น่าขำที่ในปีนั้นข้าไม่พบความแปลกประหลาดอะไร ตอนนี้กับต้องดูให้ละเอียดสักหน่อย”
“ดาวแมกไม้?” เหมียวอี้ถามอย่างงุนงง “หรือว่าที่นี่คือที่อยู่ของปราสาทแมกไม้?”
ทุกคนหันมามองเขา แล้วพากันยิ้มบางๆ จงหลีค่วยพูดดูถูกว่า “เหลวไหล!”
หมิงจ้าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “ฆราวาสหนิว ระหว่างทางที่อ้อมไปอ้อมมาและปิดบังมากมายก็เพราะไม่มีทางเลือก หวังว่าจะเข้าใจกันหน่อยนะ เพราะเรื่องนี้ร้ายแรงมาก ถ้าเคล็ดวิชานั้นเล็ดรอดออกไป ก็จะทำให้พวกลัทธิมารกำเริบเสิบสาน” จากนั้นก็หันไปเตือนคนอื่นๆ “ทุกคนปฏิบัติการที่นี่อย่างระมัดระวังหน่อย จะได้ไม่เกิดการปะทะกับปราสาทแมกไม้โดยไม่จำเป็น ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของปราสาทแมกไม้ พวกเราต้องปฏิบัติตามกฎของพวกเขา อย่าบุ่มบ่ามทำอะไรเกินเลย”
“รับทราบ!” ทุกคนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง
ไฉจวิ้นถามอีกว่า “อาจารย์อา ขอบเขตระหว่างสามภูเขากว้างใหญ่ขนาดนี้ ถ้าอยากจะหาเป้าหมายให้พบก็คงจะไม่ง่าย บนแผนที่ไม่มีข้อชี้แนะอะไรแล้วเหรอ?”
หมิงจ้าวส่ายหน้า “ข้าไม่เห็นว่ามีข้อชี้แนะอะไร แต่เพื่อให้ทุกคนค้นหาได้สะดวก ข้าเตรียมแผนที่ไว้ให้ทุกคนแล้ว อาจจะทำให้ทุกคนเจอเบาะแสอะไรตอนที่ค้นหา” พูดจบก็พลิกฝ่ามือนำสำเนาแผนที่ห้าฉบับส่งให้ไฉจวิ้น “ทุกคนจับคู่กันสองคน หนึ่งคู่ดูหนึ่งฉบับ แบ่งเขตที่นี่เป็นหกเขตแล้วแยกกันค้นหา จำไว้ว่าห้ามให้แผนที่ตกอยู่ในมือคนอื่น ถ้าพบปัญหาอะไรขึ้นมา ก็ทำลายแผนที่ทิ้งทันที”
“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับคำสั่งอีกครั้ง ไฉจวิ้นเองก็หยิบแผนที่มาฉบับหนึ่งเช่นกัน แล้วแจกจ่ายอีกสี่ฉบับที่เหลือ
เหมียวอี้มองตาปริบๆ อยากจะหยิบแผนที่มาศึกษาดูให้ละเอียดเหมือนกัน เมื่อถึงเวลาที่รอคอยมากที่สุดแบบนี้ เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองแย่กว่าคนอื่น คนอื่นอ่านไม่ออก แต่เขารู้สึกว่าตัวเองอาจจะอ่านออก เขาร้อนใจอยากจะหยิบแผนที่มาเทียบดูกับสถานที่จริง
ใครจะคิดว่าหมิงจ้าวจะกล่าวว่า “ฆราวาสหนิว เจ้ากับจงหลีค่วยไปกับข้าแล้วกัน”
เหมียวอี้พูดไม่ออก ความคิดนั้นถูกทำลาย นี่กำลังจับตาดูเขา หรือกำลังปกป้องเขาอยู่กันแน่ล่ะ?
สิบคนที่เหลือจับคู่คนวรยุทธ์สูงกับวรยุทธ์ต่ำ กลายเป็นห้ากลุ่ม ถ้ารวมกลุ่มของหมิงจ้าวที่มีสามคนไปด้วยก็มีทั้งหมดหกกลุ่ม
ตอนนี้หมิงจ้าวดึงหน้ากากออกแล้ว และบอกกับทุกคนว่า “ทุกคนเลิกปลอมตัวเถอะ ที่นี่มีปีศาจฝูงหนึ่งที่หน้าตาเหมือนมนุษย์ นิสัยใจดีซื่อสัตย์ ไม่แย่งแก่งอะไรกับใคร นิสัยเข้ากับกับป่าผืนนี้ได้ดี ได้รับการปกป้องจากปราสาทแมกไม้ คอยจัดการดูแลป่าผืนนี้ให้ปราสาทแมกไม้มาโดยตลอด ไม่ชอบคนหลอกลวงและคนปลอมตัว ไม่อย่างนั้นจะถูกมองว่าเป็นจุดด่างพร้อยของพวกเขา พวกเขานับว่าเป็นเจ้าของของที่นี่ ถ้าเพ่นพ่านไปทั่วโดยไม่ได้บอกพวกเขาก่อน ก็จะถูกเข้าใจผิดได้ง่ายๆ ถึงตอนนั้นปราสาทแมกไม้คงไม่ปล่อยไปง่ายๆ เช่นกัน ดังนั้นพวกเราต้องไปเยี่ยมคารวะพวกเขาก่อนสักหน่อย”
ทุกคนไม่รู้เรื่องนี้เลย ทำได้เพียงเชื่อทุกอย่างที่เขาพูด แล้วอีกอย่าง ฐานะของ ‘อาจารย์อาผู้บัญชาการ’ ท่านนี้ก็เห็นๆ กันอยู่ การมาครั้งนี้ต้องเชื่อฟังเขา
หมิงจ้าวเหาะขึ้นมา แล้วทุกคนก็เหาะตามหลังเขาไป เหาะอยู่บนฟ้าที่ขนาบกับป่า ไม่นานในป่าก็มีปีศาจที่สวมชุดสีขาวพากันปรากฏตัว เหมียวอี้มองสำรวจด้วยความอยากรู้อยากเห็น พบว่าปีศาจพวกนี้หน้าตาเหมือนคนจริงๆ ด้วย จะบอกว่าต่างกับคนปกติมากก็ต่างมาก จะว่าไม่ต่างมากก็ไม่ต่างมาก
พวกเขาผิวขาวมาก แต่ละคนมีลูกตาสีฟ้าสวยงาม จมูกโด่งเป็นสัน ผมยาวสีเหลืองทอง ไม่มัดหรือเกล้าผม ปล่อยสยายไปข้างหลังตามธรรมชาติ อย่างมากก็สวมมงกุฎหญ้ากับห่วงที่สานจากไม้หวาย ผู้หญิงบางคนสวมมงกุฎดอกไม้ หูยาวจนประหลาดนิดหน่อย ยอดหูแหลมตั้งขึ้นมา
ผู้หญิงสวมกระโปรงยาวสีขาว แต่กลับไม่มีแขนเสื้อ เปลือยแขนขาวหมดจดทั้งสองข้าง สองเท้าที่อยู่ใต้กระโปรงก็เปลือยเช่นกัน ผู้ชายไม่ใส่กระโปร่ง แต่กลับใส่กางเกงสั้นเหนือเข่า เปลือยเท้าเช่นกัน คนที่นี่เหมือนจะไม่ใส่รองเท้ากันหมด
สรุปว่าคนที่นี่ ไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็หน้าตางดงามกันทั้งนั้น เครื่องหน้างามประณีต สายเลือดแบบนี้… เหมียวอี้แอบเดาะชิ้นอย่างตกตะลึง สมกับเป็นปีศาจจริงๆ แต่เขากลับไม่เห็นกลิ่นอายมารปีศาจจากตัวคนพวกนี้เลย กลับเห็นแต่กลิ่นอายธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่เรียบง่ายหอมกรุ่น
เรียบง่ายก็ส่วนเรียบง่าย เมื่อมีกลุ่มคนบุกเข้ามาในอาณาเขตของอีกฝ่าย ก็ยังถูกขวางเอาไว้ ปีศาจหลายตนที่สวมกำไลแขนเผยร่างกายบึกบึนมาขวางทางไว้ แล้วถามว่า “พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาทำลายความสงบเงียบของพวกเรา?”
หมิงจ้าวยืนอยู่ข้างหน้าและกุมหมัดคารวะ “รบกวนไปแจ้งผู้อาวุโสมู่เซิน บอกว่าหมิงจ้าว สหายจากปราสาทดำเนินนภามาเยี่ยม”
ปีศาจที่นำหน้ามาขวางทางหันกลับไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง ปีศาจหญิงหนึ่งในนั้นเข้าใจที่เขาจะสื่อ จึงเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนคนทั้งสองฝ่ายก็ยืนเงียบหยั่งเชิงกันอยู่
ผ่านไปไม่นาน ปีศาจหญิงตนนั้นก็เหาะกลับมา ผู้ที่มาด้วยอีกคนคือสตรีวัยกลางคน พอหมิงจ้าวเห็นก็ยิ้มให้ ใช้มือข้างหนึ่งกดที่หัวใจแล้วโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ “มู่หลินหลาง ไม่เจอกันหลายปี สบายดีมั้ย?”
สตรีวัยกลางคนแสดงความเคารพกลับเช่นเดียวกัน “ไม่ทราบว่านายท่านหมิงจ้าวมาเยี่ยม ขออภัยที่ล่วงเกิน ผู้อาวุโสมู่เซินกำลังรออยู่ค่ะ” พูดจบก็ยื่นมือเชิญ
เป็นคนรู้จักจริงๆ ด้วย ปีศาจที่ขวางทางหลีกทางให้ทันที สายตาที่จ้องเขม็งคลายความระแวดระวังแล้ว แต่ละคนมากันใช้มือกดตรงหัวใจพลางโค้งกายต้อนรับ
หมิงจ้าวก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วเหาะเคียงข้างปีศาจหญิงที่ชื่อว่ามู่หลินหลางไปด้วยกัน ระหว่างนั้นก็พูดคุยกันไปด้วย ส่วนเหมียวอี้ก็ย่อมตามอยู่ข้างหลัง แต่ละคนเหลียวซ้ายแลขวา ต่างก็รู้สึกประหลาดใจกับที่แห่งนี้ ประเพณีของที่นี่แตกต่างจากที่อื่นอย่างเช็ดได้ชัด
พวกเขาเหาะไปเหยียบลงบนไหล่เขาแห่งหนึ่ง เหยียบลงใต้ต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้าต้นหนึ่งที่ใหญ่โตเป็นพิเศษ
สิ่งที่อยู่ตรงหน้ายังเรียกว่าต้นไม้ได้อีกเหรอ? ลำต้นใหญ่จนต้องใช้คนหลายร้อยคนโอบถึงจะมิด สูงตระหง่านโดดเด่น พุ่มของต้นไม้ราวกับเมฆคลุมผืนดิน บรรยายต้นไม้ทั้งต้นได้เพียงคำว่าใหญ่โตรโหฐาน บนต้นไม้มีโพรงไม้ที่เกิดตามธรรมชาติหลายโพรง มีทั้งเล็กมีทั้งใหญ่ ในโพรงไม้มีคนเข้าออก ถึงขั้นมีคนสร้างบ้านบนกิ่งไม้ด้วย ปีศาจเหล่านี้อาศัยว่าต้นไม้ต้นนี้เป็นบ้านขนาดใหญ่และอยู่อาศัยรวมกันเป็นกลุ่ม
นอกจากหมิงจ้าว สมาชิกคนอื่นๆ ที่เดินทางมาด้วยกันก็ไม่เคยเห็นต้นไม้ที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน จินตนาการไม่ออกเลยว่าต้องใช้เวลากี่ปีกว่าจะเติบโตจนใหญ่ขนาดนี้
บนต้นไม้ที่อยู่ใต้เนินเขาก็สร้างบ้านเอาไว้มากมายเช่นกัน มีทั้งชายทั้งหญิง ทั้งเด็กทั้งคนแก่ ทั้งชนเผ่าปีศาจใช้ชีวิตอันสงบสุขอย่างอิสระเสรี
ด้วยการเชื้อเชิญของมู่หลินหลาง หมิงจ้าวกับนางเดินขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ด้วยกัน ไม่ผิดหรอก พวกเขาเดินขึ้นไป เป็นเพราะต้นไม้ต้นนี้เก่าแก่เกินไป ส่วนรากกินพื้นที่ไปเยอะมาก ถึงได้ค้ำยันต้นไม้ที่ใหญ่โตขนาดนี้ไว้ได้ ก้านรากที่โผล่ออกมาด้านนอกล้วนเป็นบันไดสูงได้ทั้งนั้น ผิวไม้ที่ขรุขระของลำต้นก็สามารถใช้เท้าเหยียบขึ้นไปได้เลย ช่างทำให้คนได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่จริงๆ
ส่วนเหมียวอี้และคนอื่นๆ ก็ถูกเชิญไปยังส่วนรากที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่ง ที่นั่นมีโพรงไม้ธรรมชาติอีกโพรง คนหลายสิบคนเข้าไปนั่งกับพื้นได้สบายๆ
บรรดาปีศาจสาวที่สวมมงกุฎดอกไม้บนศีรษะเดินเนิบนาบเข้ามา นำผลไม้สดชนิดต่างๆ มาให้ มีหลายชนิดมากที่เหมียวอี้ไม่เคยเห็นมาก่อน สุราผลไม้ที่รินให้พวกเขาก็เป็นของเหลวสีเขียวสดชนิดหนึ่ง กลิ่นอ่อนๆ หอมสดชื่น เจือด้วยกลิ่นสุราเล็กน้อย
ขณะที่คนอื่นๆ กำลังสับสนว่าควรดื่มหรือไม่ควรดื่ม เหมียวอี้ก็ยกชามสุราที่ทำจากไม้ขึ้นมาชิมแล้ว เขาเดาะปากสองที สิ่งที่เข้าไปในปากค่อนข้างเหนียวข้น เย็นสดชื่นหวานอร่อย เจือด้วยรสสุราเล็กน้อย พอกลืนลงท้องไปแล้ว ในปากก็รู้สึกขมเฝื่อนนิดหน่อย แต่กลับเหนียวติดเต็มฟัน ถึงแม้จะได้รสชาติไปอีกแบบ แต่เหมียวอี้ก็ไม่ค่อยชิน จึงสุ่มหยิบผลไม้ประหลาดขึ้นมากัด พบว่ารสชาติใช้ได้เลย หวานกรอบ กัดเข้าปากแล้วหยุดเคี้ยวไม่ได้
จงหลีค่วยและคนอื่นๆ พากันมองไปที่เหมียวอี้พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย พบว่าเจ้าหมอนี่ช่างไม่ดูตาม้าตาเรือ ขนาดมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย แต่ก็ยังกล้ากินอาหารสุ่มสี่สุ่มห้า
หารู้ไม่ว่าบรรดาปีศาจสาวที่ยืนอยู่ตรงปากโพรงไม้พากันมองไปที่เหมียวอี้ด้วยแววตาอมยิ้ม สำหรับพวกนางแล้ว คนต่างถิ่นทำตัวซับซ้อนมาก สำหรับพวกนาง การกระทำของเหมียวอี้เหมือนเป็นการเชื่อใจและยอมรับพวกนางอย่างหนึ่ง
ที่จริงเหมียวอี้ไม่ใช่คนใสๆ เหมือนที่พวกนางคิด เจ้าหมอนี่เป็นพวกที่สารพัดพิษทำอะไรเขาไม่ได้ ไม่ได้หวาดกลัวอะไรเลย
เมื่อเห็นคนอื่นไม่มีท่าที่ว่าจะลงมือกิน ปีศาจสาวตนหนึ่งก็กล่าวกับทุกคนด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าต้องการอะไรก็เรียกนะคะ เดี๋ยวจะมีคนเข้ามาเอง” พูดจบก็นำคนอื่นๆ ถอยออกไป
ตอนนี้เอง เหมียวอี้ที่กัดผลไม้ไปคำหนึ่งถึงได้ถามว่า “ผู้อาวุโสหมิงจ้าวคุ้นเคยกับที่นี่มากเลยเหรอ?”
ไฉจวิ้นตอบว่า “ข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง เคยได้ยินเกี่ยวกับที่นี่ด้วย ผู้อาวุโสหมิงจ้าวเหมือนจะเคยช่วยชีวิตคนที่นี่ไว้ จึงค่อนข้างสนิทกับผู้อาวุโสมู่เซิน นึกไม่ถึงว่าของสิ่งนั้นจะเกี่ยวข้องกับที่นี่ ถ้าไม่ได้มาที่นี่ เกรงว่าก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสหมิงจ้าวก็คงนึกไม่ถึงเหมือนกัน”
ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีคนนอก หลังจากที่ทุกคนตรวจสอบแล้วว่าในอาหารและเครื่องดื่มไม่มียาพิษ ถึงได้ลองชิมทีละอย่าง
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วยาม หมิงจ้าวก็กลับมาแล้ว หลังจากนั่งลงที่หัวโต๊ะ ก็บอกกับทุกคนว่า “ข้าได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสมู่เซินแล้ว เขายอมให้พวกเราค้นหาของที่นี่ แต่ที่นี่มี ‘กิ่งหยกเหลือง’ จำนวนมากที่พวกเขาปลูกไว้ให้ปราสาทแมกไม้ ทุกคนอย่าไปแตะต้องซี้ซั้ว แล้วอย่าทำลายของที่อยู่บริเวณนี้ตามอำเภอใจ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะเริ่มปฏิบัติการ”
“อาจารย์อา วันนี้ยังเหลือเวลาอีกเยอะ ทำไมต้องเป็นพรุ่งนี้ล่ะ?” ไฉจวิ้นถาม
หมิงจ้าวยิ้มพร้อมตอบว่า “คืนนี้พวกเขาต้องการจัดพิธีให้พวกเรา ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่พวกเราอย่างเดียวหรอก ทุกครั้งเวลามีแขกมา พวกเขาก็จะจัดพิธีต้อนรับ เพื่อเลือกแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของพวกเขา”
ตอนที่ 948
แผนที่สมบัติน่าสงสัย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แขกผู้มีเกียรติสูงสุด?” ทุกคนพึมพำเบาๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร
“อาจารย์อา ในบรรดาพวกเรา ท่านย่อมเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของพวกเขาอยู่แล้ว ยังต้องเลือกอีกเหรอ?” ศิษย์พี่รองหญิงเซี่ยหนานเอ๋อร์ถามอย่างแปลกใจ
หมิงจ้าวโบกมือพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “ไม่ใช่อย่างนั้น ต่อให้มีแขกมาแค่คนเดียว ก็ต้องจัดพิธีนี้อยู่ดี ไม่แบ่งแยกตามวรยุทธ์สูงต่ำ ฐานะหรือความอาวุโส ขอแค่ผ่านการทดสอบพิธีของพวกเขา ถึงจะได้กลายเป็นแขกที่มีค่าที่สุดของพวกเขา”
“อาจารย์อา ถ้าได้กลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดแล้วจะได้ประโยชน์อะไร?” จงหลีค่วยถาม
หมิงจ้าวส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว ในปีนั้นข้าเคยลองแล้ว แต่จนใจที่ไม่ผ่านการทดสอบ เลยไม่ได้กลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของพวกเขา ถึงอย่างไรเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เป็นแค่พิธีเดียวเท่านั้น ทำตามที่พวกเขากำหนดก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นถ้าไปยั่วให้พวกเขาไม่พอใจ ก็อาจจะนำปัญหาใหญ่มาสู่พวกเราได้ ถึงอย่างไรก็ยังต้องหาของในถิ่นของพวกเขา คิดเสียว่าทำให้ผ่านๆ ไปก็แล้วกัน”
“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับ
จากนั้นหมิงจ้าวก็เรียกรวมทุกคนอีกครั้ง ใช้มือแตะอะไรบางอย่าง แล้ววาดลักษณะทางภูมิศาสตร์ระหว่างภูเขาทั้งสามลูกบนโต๊ะ ก่อนจะเริ่มแบ่งเขตการค้นหาที่เริ่มพรุ่งนี้เช้าให้คนทั้งหกกลุ่ม
หลังจากอธิบายภารกิจค้นหาชัดเจนแล้ว หมิงจ้าวก็เตือนอีกว่า “ทุกคนพยายามติดต่อกันเอาไว้ หลังจากหาของพบแล้ว เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น และอย่าบอกให้สมาชิกคนอื่นรู้ รวมทั้งข้าด้วยเหมือนกัน ให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้ติดต่อกับรองเจ้าสำนักโดยตรง ถึงตอนนั้นปรมาจารย์จะออกโรงนำพวกผู้อาวุโสมารับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่ไม่คาดคิด”
นี่เป็นการป้องกันแม้กระทั่งคนของตัวเอง เหมียวอี้พึมพำในใจ
“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับคำสั่งอีกครั้ง
พอคุยกันเสร็จแล้ว ทุกคนก็ยังไม่ได้แยกย้ายกันออกไปไหน ยังอยู่ในโพรงไม้เหมือนเดิม แต่ละคนนั่งสมาธิฝึกตนอยู่อย่างนั้น
เหมียวอี้กลับสงบจิตใจสงบใจไม่ได้ ในใจเหมือนโดนกรงเล็บแมวเกา สุดท้ายก็ไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “ผู้อาวุโสหมิงจ้าว ให้ข้าศึกษาแผนที่นั่นดูหน่อยได้มั้ย ไม่แน่ว่าข้าอาจจะพบเบาะแสอะไรก็ได้”
ทุกคนลืมตามองมาทันที เห็นเหมียวอี้ยิ้มแห้งอยู่อย่างนั้น ดูเขินอายมาก
หมิงจ้าวลังเลนิดหน่อย ก่อนจะโยนม้วนหนังแผนที่เข้ามา เหมียวอี้รับไว้แล้วขอบคุณ จากนั้นก็ไม่สนใจความคิดของคนอื่นแล้ว เอาแต่กางแผนที่ออกและตรวจดู
ภาพสตรีทะยานฟ้าดึงดูดความสนใจของเขา เมื่อเห็นภาพนี้ ความรู้สึกนึกคิดของเขาก็ไม่แคล้วต้องย้อนกลับไปที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งในปีนั้น เขาไม่มีทางแน่ใจว่าภาพนี้เหมือนกับภาพสลักที่อยู่บนหินของแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งทุกอย่างรึเปล่า แต่ภาพที่ติดอยู่ในความทรงจำบอกว่าเหมือนทุกอย่าง ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจำรายละเอียดทุกอย่างในภาพได้ชัดเจน ในตอนนั้นเขาไม่มีอารมณ์จะไปจดจำมัน
ที่สำคัญคือตัวอักษรสองแถวที่อยู่ข้างๆ หญิงสาวผู้กำลังทะยานสู่ฟ้าอย่างนิ่มนวลอ่อนช้อย : ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด!
เขากลับจำตัวอักษรทั้งหมดนี้ได้อย่างชัดเจน และเป็นเพราะตัวอักษรพวกนี้ เขาถึงได้มั่นใจว่าสภาพนี้เหมือนกับภาพสลักที่เขาเห็นที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งทุกประการ
แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเป็นสถานที่ฝังศพของจอมมาร ทำไมถึงมีภาพนี้อยู่ด้วย? เกี่ยวข้องอะไรกับแผนที่สมบัติที่ซ่อนเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินเอาไว้? หรือว่าจอมมารที่โดนทหารสวรรค์หนึ่งแสนนายไล่สังหารจนมาตายที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง จะเป็นราชันลัทธิมารในปีนั้น? ไม่อย่างนั้นทั้งสองจะมีของแบบเดียวกันโผล่มาได้อย่างไร?
เหมียวอี้คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ถูก เพราะเวลาไม่ตรงกัน แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเพิ่งปรากฏที่พิภพเล็กเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน แต่ราชันลัทธิมารของพิภพใหญ่กลับตายไปนานกว่าหนึ่งแสนปีแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะถ่อไปวาดภาพที่พิภพเล็ก แต่ที่ทั้งสองภาพเหมือนกันทุกประการ จะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะ? หรือว่าเป็นผู้สืบทอดของราชันลัทธิมาร?
คิดไม่ตก คิดไม่ตกจริงๆ เขาได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ อยู่อย่างนั้น
หารู้ไม่ว่าหมิงจ้าวและคนอื่นๆ กำลังมองปฏิกิริยาของเขาอยู่ พบว่าเจ้าหมอนี่ตาเป็นประกายทันทีที่เปิดแผนที่ดู จากนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น บางครั้งก็เอามือลูบคางครุ่นคิด บางครั้งก็ส่ายหน้า ดูจากท่าทางแบบนั้นของเขา เหมือนจะอ่านอะไรบางอย่างออกแล้วจริงๆ
ทุกคนแอบส่งสายตาให้กัน แล้วจงหลีค่วยก็ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าอ่านอะไรออกเข้าแล้วล่ะ?”
“อย่าเอะอะ! ข้ากำลังคิด” เหมียวอี้ตอบโดยจิตใต้สำนึก ไม่ได้เงยหน้าเลยสักนิด ไม่เห็นจงหลีค่วยที่ถลึงตาจ้อง ทำท่าเหมือนอยากจะตบเขาสักที
หมิงจ้าวกลับยกมือเบาๆ บอกใบ้จงหลีค่วยว่าอย่าไปรบกวนเหมียวอี้ เพียงส่งสายตาบอกให้จงหลีค่วยจับตาดูเหมียวอี้ไว้ให้ดี เพราะท่าทางแบบนั้นของเหมียวอี้ไม่เหมือนการเสแสร้งแกล้งทำ เหมือนมองอะไรออกแล้วจริงๆ ถ้าเจ้าหมอนี่อ่านผลลัพธ์ออกจริงๆ ทุกคนก็จะได้ไม่ต้องลำบากหลับตาคลำหาในขอบเขตที่ใหญ่ขนาดนี้
อ่านไม่เข้าใจ! อ่านไม่ออก! เหมียวอี้เรียกได้ว่าเปลี่ยนท่าทางไม่หยุด บางครั้งก็ใช้มือสองข้างกอบขึ้นมาดู บางครั้งก็นอนคว่ำดู บางครั้งก็นอนหงายดู แต่ก็ยังอ่านไม่ออก ช่างแปลกะประหลาดจริงๆ แผนที่ซ่อนสมบัติไม่มีเครื่องหมายบอกตำแหน่งที่เป็นรูปธรรม วาดขอบเขตใหญ่ขนาดนี้ ให้คนหลับตาคลำหา นี่เป็นแผนที่ซ่อนสมบัติอะไรกันประสาอะไร ไม่สู้บอกไปตรงๆ ว่าอยู่ที่ดาวแมกไม้ก็สิ้นเรื่อง ยังจะเปลืองแรงวาดไปทำไมอีก
ดังนั้นสัญชาตญาณของเขาบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถ้าอ่านอะไรบนแผนที่ไม่ออก ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับอะไรบางอย่างที่อยู่นอกแผนที่รึเปล่า บางทีสิ่งที่อยู่นอกแผนที่ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญให้หาสถานที่นั้นได้แม่นยำจริงๆ แต่สิ่งที่อยู่นอกแผนที่ก็คือภาพผู้หญิงทะยานฟ้ากับตัวอักษรสองแถวนั่น แล้วด้านบนแผนที่ก็มีคำว่า ‘มาร’ กับ ‘ดิน’ แสดงสถานที่ซ่อนเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินเอาไว้โดยสังเขป
แต่เมื่อเหมียวอี้นำภาพกับตัวอักษรนั้นมาเทียบกับแผนที่ ก็พบว่ามันช่างเหมือนกับตำราสวรรค์[1] อ่านเบาะแสอะไรไม่ออกเลย เขาเองก็นับถือคนของปราสาทดำเนินนภาจริงๆ อาศัยแค่แผนที่ที่หัววัวไม่ตรงกับปากม้า[2]ฉบับนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะหาดาวแมกไม้พบจากจักรวาลอันกว้างใหญ่ มองออกเลยว่าปราสาทดำเนินนภาใช้ความคิดไปกับแผนที่นี้เยอะกว่าเขา ขนาดพวกนั้นยังไม่เข้าใจ ถ้าเขาอยากจะเข้าใจในทันที ก็เกรงว่าไม่น่าจะเป็นไปได้
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขารู้สึกแปลกใจ พอได้สติกลับมาก็เงยหน้ามองหมิงจ้าว ผลก็คือพบว่าไม่ใช่แค่หมิงจ้าว แต่ทุกคนกำลังจ้องเขาอยู่
เวรเอ๊ย! เวลาจ้องใครก็ไม่ควรจ้องแบบนี้รึเปล่า? ทำไมต้องจ้องข้าแบบนี้กันหมด? เหมียวอี้แอบด่าในใจ อย่าบอกนะว่ามีคนมากมายขนาดนี้ดูอยู่แล้วยังกลัวข้าจะแย่งแผนที่หนีไป?
“ฆราวาสอ่านอะไรออกแล้วใช่มั้ย?” หมิงจ้าวถามพร้อมรอยยิ้ม
เหมียวอี้ส่ายหน้า “เปล่าหรอก ข้าแค่สงสัยอะไรบางอย่าง ไม่ทราบว่าจะขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสได้หรือไม่?”
หมิงจ้าวพยักหน้า “ว่ามาได้เลย”
เหมียวอี้สะบัดแผนที่กางออก แล้วชี้ไปยังตัวอักษร ‘ดินมาร’ พลางถามว่า “ผู้อาวุโสไม่รู้สึกว่ามันแปลกเหรอ? ใครกันที่อาศัยแค่สองคำนี้ก็ตัดสินออกมาแล้วว่านี่คือสถานที่เก็บเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดิน? มิหนำซ้ำ ไม่ว่าจะอ่านอย่างไรข้าก็นึกเชื่อมโยงไปถึงสิ่งนั้นไม่ได้ ถ้าข้าไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกแล้วมาอ่านเจอ ก็คงนึกว่า ‘ดินมาร’ นี้หมายถึงดินแดนพักพิงของลัทธิมาร หมายถึงอาณาเขตของมาร แผนที่ที่นำทางมาสู่อาณาเขตของมาร อย่าบอกนะว่าผู้อาวุโสคิดเชื่อมโยงไปว่าเป็นเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมภาคดินทาน?”
“เอ่อคือ…” หมิงจ้าวส่ายหน้าเล็กน้อย เขาไม่เคยตั้งคำถามนี้เลยจริงๆ
กลับเป็นจงหลีค่วยที่ผลักไหล่เหมียวอี้เบาๆ “เจ้าโง่รึเปล่า ตอนที่บังคับให้นักพรตมารบอก เจ้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ไม่ใช่เจ้าบ้านั่นหรอกเหรอที่บอกเรา?”
เหมียวอี้จึงกล่าวว่า “ใช่แล้วล่ะ เขาบอกพวกเราแบบนั้น ข้ารู้ด้วยว่าพวกเขาก็แย่งมาเหมือนกัน แต่เจ้าของที่ถือมันไว้ก่อนหน้านี้จะรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นสถานที่ซ่อนเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดิน? ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ในเมื่อเขารู้แล้วทำไมถึงไม่ไปหาเองล่ะ? แน่นอน ท่านอาจจะบอกว่าเขาเป็นคนที่คอยเก็บรักษาแผนที่นี้ไว้ แต่คนที่สามารถแก็บรักษาสมบัติล้ำค่ามหาศาลได้หลายปีขนาดนี้ จะต้องเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่แน่นอน ข้าคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนประเภทที่เปิดเผยความลับได้ง่ายๆ ต่อให้โดนคนแย่งสมบัติไป รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าต่อให้คายความลับนี้ก็ต้องตายอยู่ดี ถามหน่อยว่าคนที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่แบบนั้นจะยอมคายความลับได้ยังไง?”
เมื่อได้ยินเหมียวอี้พูดแบบนี้ ทุกคนก็ขมวดคิ้วทันที มีบางคนพยักหน้าช้าๆ รู้สึกว่าที่เขาพูดก็มีเหตุผล
“เจ้าหนุ่มนี่อยากจะพูดอะไรกันแน่?” จงหลีค่วยถามเสียงต่ำ
เหมียวอี้เอามือจับศีรษะ จ้องแผนที่ทางซ้ายทีขวาที แล้วบอกว่า “หลังจากข้าพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว ทำไมรู้สึกเหมือนมีคนจงใจปล่อยมันออกมา เบื้องหลังไม่มีลับลมคมในอะไรใช่มั้ย? จะมีกับดักอะไรรึเปล่า?”
ทุกคนหัวใจกระตุกวูบ เหมือนผวาตื่นจากความฝัน รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้จริงๆ ทำไมพวกเรานึกไม่ถึงเลยล่ะ? สายตาของทุกคนไปรวมอยู่ที่หมิงจ้าว
หมิงจ้าวเม้มริมผีปากแน่นครู่หนึ่ง หลังจากเงียบไปพักใหญ่ ก็รีบนำระฆังดาราออกมาร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่า
ทุกคนเข้าใจแล้ว ตอนนี้กำลังติดต่อกับทางปราสาทดำเนินนภา หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ระฆังดาราที่อยู่ในมือหมิงจ้าวก็มีเสียงตอบกลับมา หมิงจ้าวเก็บระฆังดารา หันมองรอบวงแล้วถอนหายใจ “รองเจ้าสำนักก็บอกว่าใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทว่าลมพายุจะเกิดได้ ก็ต้องมีต้นปลายปลายเหตุแน่นอน ไม่ว่าจะจริงหรือโกหก ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว ก็คงไม่ดีที่จะเลิกพิสูจน์ตอนนี้ ถ้าพวกเราคิดมากไปเอง จะไม่เป็นการพลาดโอกาสหรอกเหรอ? ดังนั้นรองเจ้าสำนักจึงสั่งให้พวกเราปฏิบัติตามแผนการ ส่วนพวกเขาก็จะเตรียมการเพิ่มเติม จะเชิญผู้อาวุโสท่านหนึ่งออกมาเตรียมตัวสนับสนุนพวกเราเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด”
ดูท่าทางแล้วคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหมือนกัน ทำได้เพียงพยักหน้าเอ่ยรับ
ส่วนเหมียวอี้ก็ยังกอดแผนที่อ่านศึกษาต่อไป
ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ตอนที่โดนจงหลีค่วยดึงแผนที่กลับไปส่งคืนให้หมิงจ้าว สีของท้องฟ้าด้านนอกก็มืดแล้ว ในโพรงไม้มีหิ่งห้อยที่เปล่งแสงราวกับดวงดาวบินเข้ามา
ปีศาจหญิงวัยกลางคนที่ชื่อมู่หลินหลางเข้ามาเชิญทุกคนไปร่วมงานเลี้ยง พอเดินออกจากโพรงไม้ ภาพตรงหน้าก็สว่างทันที เห็นหิ่งห้อยบินสว่างไสวอยู่ทั่วป่า พืชจำพวกเฟินหน้าตาประหลาดเรืองแสงอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี พวกดอกไม้ป่าแปลกๆ ข้างทางที่เห็นตอนกลางวัน ตอนกลางคืนก็เปล่งแสงอ่อนๆ สีแดงบ้างฟ้าบ้าง เป็นแสงละมุนหลากสีสัน สวยสดงดงามมาก ทำให้คนรู้สึกเหมือนอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน ผ่อนคลายสบายใจ
“ช่างเป็นสถานที่ที่งดงามจริงๆ!” ศิษย์พี่รองหญิงเซี่ยหนานเอ๋อร์กล่าวชมอย่างตกตะลึง แววตาเคลิบเคลิ้ม ทำท่าเหมือนถูกทิวทัศน์ยามราตรีตรงหน้ามอมเมา
ตอนกลางคืนของที่นี่ไม่ต้องจุดโคมไฟเลย ที่ใต้ต้นไม้โบราณสูงใหญ่ต้นนั้น รากไม้มีสูงมีต่ำสลับกันจนเข้าชุดกลายเป็นโต๊ะกับเก้าอี้ได้ แค่ไปได้จัดเรียงตามระเบียบแบบแผนก็เท่านั้นเอง สุราเลิศรสและผลหมากรากไม้ถูกเตรียมเอาไว้แล้ว แต่มองไม่เห็นเนื้อสัตว์
ไฉจวิ้นและคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าตัวเองมองผิดไปรึเปล่า พบว่ากลุ่มปีศาจพวกนี้เหมือนต้องการจะเอาใจให้เหมียวอี้ชอบเขา ปีศาจสาวสวยสองคนมาจูงมือเหมียวอี้ไว้คนละข้าง พลางหัวเราะกระซิบกระซาบกัน พวกนางจูงเหมียวอี้ที่กำลังหัวเราะแห้งๆ เดินไปถึงตำแหน่งหนึ่ง แล้วกดให้นั่งลงไป ในทางกลับกัน ปีศาจที่เหลือมีท่าทีเกรงอกเกรงใจพวกเขา เมื่อเปรียบเทียบกับเหมียวอี้แล้ว ถึงแม้พวกปีศาจจะสุภาพเกรงใจต่อพวกเขา แต่กลับรักษาระยะห่างอย่างเห็นได้ชัด เห็นพวกเขาเป็นแขก แต่เห็นเหมียวอี้เป็นสหาย
พวกปราสาทดำเนินธารามองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ ขนาดหมิงจ้าวยังงงเลย ไม่เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่าคนของปราสาทดำเนินนภาหน้าตาน่ารังเกียจเหรอ?
…………………………
[1] ตำราสวรรค์ อุปมาถึงสิ่งที่อ่านเข้าใจยาก
[2] หัววัวไม่ตรงกับปากม้า 牛头不对马嘴 หมายถึง เรื่องราวไม่สอดคล้องกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น