ลำนำบุปผาพิษ 943-946
บทที่ 943 ข้าจะลงไปดูหน่อย
เขามองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่งอย่าอดไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าแม่นางน้อยผู้นี้สังเกตเห็นอย่างว่องไวถึงเพียงนี้!
หากที่นี่มีเพียงตัวเขา เขาจะไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรลงไปตรวจสอบทันที แต่บนรถเขามีกู้ซีจิ่วโดยสารอยู่ และเขาไม่อยากให้นางเกิดอันตรายใดๆ ขึ้น จึงทำได้เพียงจดจำสถานที่นี้ไว้ก่อน เมื่อสบช่องค่อยแจ้งให้คนอื่นทราบ…
“ลูกพี่กู้ ตรงนั้นก็แค่หิมะกองใหญ่เท่านั้น พวกเรารีบเดินทางก่อนเถอะ ท่านร้อนใจอยากไปดูพวกหรงเจียหลัวมิใช่หรือ?” มู่เอ่ย พลางบังคับรถหมายจะพุ่งเหินอย่างรวดเร็ว…
“ตรงนั้นมีอะไรแปลกๆ ข้าจะลงไปดูหน่อย!” กู้ซีจิ่วทิ้งประโยคนี้ไว้ ส่วนตัวคนใช้วิชาเคลื่อนย้ายลงไปด้านล่างเสียงดังขวับ
มู่เตี่ยนพูดไม่ออกเลย…
เขาหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมาทันที รีบบังคับรถร่อนลงสู่เบื้องล่างเช่นกัน…
ทิศทางที่กู้ซีจิ่วร่อนลงคือจุดที่มีไอมารพอดี พอเธอร่อนถึงพื้นก็สัมผัสความผิดปกติได้แล้ว
สิ่งที่ฝ่าเท้าเธอเหยียบย่ำลงไปไม่ใช่หิมะที่อ่อนนุ่ม แต่เป็นไอเมฆกลุ่มหนึ่งที่ดูคล้ายหิมะ ไอเมฆนั้นเยียบเย็นยิ่ง ดูเหมือนจะติดลบกว่าสิบองศา เมื่อกู้ซีจิ่วย่ำลงไปรองเท้าก็แทบจะจับตัวแข็งกระด้างอยู่บนไอแมฆนี้
ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นคือ ภายในไอเมฆนี้คล้ายมีเสียงโหยหวนคำรามร่ำไห้อยู่แผ่วๆ ไอมารบีบคั้นกดดันผู้มาเยือน
เธอโคจรพลังวิญญาณธาตุไฟในร่างอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ดึงกระบี่เล่มหนึ่งออกมา กระบี่เล่มนี้ตี้ฝูอีมอบให้เธอก่อนจากกัน กล่าวมาว่าสามารถสังหารภูตผีปีศาจทุกอย่างได้
สามารถสังหารภูตผีปีศาจได้หรือไม่เธอก็ยังไม่เคยลอง แต่กระบี่เล่มนี้ทำลายเขตแดนชั่วร้ายได้ซ้ำยังเหมาะมือยิ่ง
เธอเงื้อดาบแล้วแทงลงไป!
ดาบนี้ดั่งแทงลงไปในปุยนุ่น ไม่มีแรงกระทบเลย ไอเมฆใต้ฝ่าเท้าเพียงลอยตัวเล็กน้อย ไม่ได้พังทลาย
ไม่ได้ผลเหรอ?
ขระที่เธอกำลังจะลองเปลี่ยนวิธีดู มู่เตี่ยนก็ร่อนลงมาแล้ว อยู่ข้างกายเธอพอดี เขาจรดนิ้วร่ายเวทวิชา กระบี่อัคคีเล่มหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากปลายนิ้วเขาอย่างรวดเร็ว เขาก็แทงกระบี่ลงไปเช่นกัน
เขตแดนไอเมฆสะเทือนเล็กน้อย ยังไม่มีทีท่าว่าจะแยกออกเช่นเดิม
มู่เตี่ยนจมวดคิ้ว นี่คือวิธีทำลายเขตแดนมารที่เขาร่ำเรียนมาจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะ ลองร้อยครั้งได้ผลร้อยครั้ง เหตุใดครั้งนี้จึงไร้ผลเล่า?
เขาลองใช้อีกหลายวิธีต่อเนื่องกัน ล้วนไม่เป็นผลทั้งสิ้น
เขานิ่วหน้านิดๆ มองเขตแดนไอเมฆใต้ฝ่าเท้า เหตุการณ์เช่นนี้เขาเพิ่งเคยประสบเป็นครั้งแรก แต่ก็ยืนยันได้ว่าสิ่งที่ซุกซ่อนไว้ที่นี่ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน! เกรงว่าจะมีอันตรายใหญ่หลวง!
“ลูกพี่กู้ สถานที่แห่งนี้อัปมงคลชั่วร้าย เพียงวรยุทธ์ของท่านกับข้าเกรงว่าไม่อาจทำลายได้ มิสู้พวกเราไปรวมกลุ่มกับคนอื่นก่อนแล้วค่อย…”
มู่เตี่ยนพูดยังไม่จบ เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวต่อมาของเธอก็หยุดลงทันที
กู้ซีจิ่วล้วงขวดหยกใบหนึ่งออกมาจากร่าง เทของเหลวออกมาจากขวดหยก เมื่อของเหลวหยดลงไปในไอเมฆ เกิดเสียงดังชี่ๆ ขึ้น
“มา อิงเหยียนนั่ว ฟันตรงนี้!” กู้ซีจิ่วเอ่ยเสียงต่ำ เงื้อกระบี่ล้ำค่าในมือขึ้น ฟันไปยังทิศทางที่ของเหลวหยดลงไป
มู่เตี่ยนย่อมฟันกระบี่ลงไปด้วยเช่นกัน
เกิดเสียงดัง ‘ครืน!’ ไอเมฆที่เย็นเยียบปานกระแสลมหนาวดั่งพานพบดาวพิฆาต ค่อยๆ พังทลายแหวกออกสองข้างกลายเป็นปากหลุมขนาดใหญ่หลุมหนึ่ง และในขณะที่ปากหลุมเปิดออก เสียงเอะอะต่อสู้ก็แว่วออกมาจากในหลุม
วินาทีที่กู้ซีจิ่วได้ยินเสียงเหล่านี้ ดวงตาก็เบิกโพลงทันที!
ล้วนเป็นคนคุ้นเคยทั้งสิ้น!
“น่าตายนัก ที่นี่ก็ไม่มีหนทางเลย” นี่คือเสียงของเล่อจื่อซิ่ง
“สัญญาณก็ส่งออกไปไม่ได้เหมือนกัน…” นี่คือเล่อชิงซิ่ง
“แย่แล้ว พวกมันไล่ตามมาแล้ว พี่เยี่ยนเฉิน ข้ากลัว…” นี่คือเสียงหลานไว่หูที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“กลัวบ้ากลัวบออันใด มารดามันเถอะ พวกเราสู้ตายกับพวกมันกัน! สู้ได้หนึ่งก็คุ้มทุน สู้ได้สองพวกเราได้กำไร!”
————————————————————————————-
บทที่ 944 ปล่อยข้าลงเถอะ ไม่ต้องสนใจข้าแล้ว
กลัวบ้ากลัวบออันใด มารดามันเถอะ พวกเราสู้ตายกับพวกมันกัน! สู้ได้หนึ่งก็คุ้มทุน สู้ได้สองพวกเราได้กำไร! ยี่สิบปีให้หลังถือกำเนิดใหม่เป็นชายชาตรี ยายเฒ่าเช่นข้าต้องเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ซ้ำยังต้องมาฆ่าไอลูกหลานบัดซบพวกนี้อีก!” นี่คือเสียงของจางฉูฉู่
“หาหนทางอื่น!” นี่คือเยี่ยนเฉิน
“ปล่อยข้าลงเถอะ ไม่ต้องสนใจข้าแล้ว” เสียงนี้อ่อนระโหยนิดๆ เป็นเสียงของเชียนหลิงอวี่ ดูเหมือนเขาจะได้นับบาดเจ็บ…
ขณะที่มู่เตี่ยนกำลังจะมองสถานการณ์ด้านล่างให้ละเอียด กู้ซีจิ่วที่อยู่ข้างกายก็เหินล่างกระโดดเข้าไปตรงๆ แล้ว มู่เตี่ยนย่อมต้องกระโดดตามลงไปด้วย…
….
สถานการณ์ด้านในทำให้มู่เตี่ยนที่ผ่านประสบการณ์มาโชกโชนต้องชะงักฝีเท้าไปแวบหนึ่งเช่นกัน
ด้านในกลายเป็นโลกอีกใบหนึ่ง เห็นรางๆ ว่าเป็นเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง
บ้านเรือนเรียงราย องถนนกว้างขวาง ไม่แตกต่างจากเมืองทั่วไปสักเท่าไหร่
พายุหิมะรุนแรงยิ่ง ลมพายุผสานกับม่านหิมะโหมกระหน่ำอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน พัดจนนัยน์ตาคนแทบจะลืมไม่ขึ้น พายุหิมะหนักหนาเกินไป เกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนหนาแน่นยิ่งกว่าหมอกหนาๆ เสียอีก
กู้ซีจิ่วเพิ่งจะร่อนลงบนพื้น ก็เกือบถูกพายุที่โหมกระหน่ำพัดให้ล้มคะมำแล้ว!
“ระวัง!” มู่เตี่ยนที่อยู่ข้างกายดึงเธอไว้ทันที เอียงกระบี่ฟันออกไป คลื่นกระบี่ดุดันทรงพลังฟันเข้าที่จุดหนึ่งด้านหลังเธอ…
เสียงกรีดร้องที่ไม่คล้ายเสียงมนุษย์เสียงหนึ่งแว่วเลือนรางออกมาจากพายุ เงาร่างซีดขาวดั่งหิมะสายหนึ่งโซเซถอยหลังไป หยาดโลหิตสีแดงคล้ำกระจายอยู่บนหิมะ กลิ่นเหม็นเน่าคลุ้งอยู่ในอากาศ
กู้ซีจิ่วเพ่งสายตาแวบหนึ่ง ในวินาทีเธอได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนแล้ว นั่นคือใบหน้าซีดเทาใบหน้าหนึ่ง บนหน้ามีจุดกระดำกระด่างสีน้ำตาล แขนขาแข็งทื่อ สวมชุดสีขาวที่คล้ายว่าจะเป็นผ่าป่าน ทว่าการเคลื่อนไหวกลับว่องจนยากจะอธิบาย
เมื่อครู่ตอนกู้ซีจิ่วร่อนลงพื้น มันก็โผเข้าใส่ทันที เล็บทั้งสิบนิ้วดำสนิทแหลมคมปานใบมีด กลิ่นคาวหืนโชยมาเตะจมูก!
คมกระบี่ทรงอานุภาพของมู่เตี่ยนน่าจะแทงถูกทรวงอกมันเข้า ถึงขั้นทะลุหัวใจของมันด้วยซ้ำ แต่มันกลับเซถอยไปไม่ดี่ก้าว จากนั้นก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง!
ขณะเดียวกันนี้ เงาร่างสีขาวที่คล้ายคลึงกันก็แวบขึ้นท่ามกลางาพยุหิมะ พากันพุ่งเข้าโจมตีพวกกู้ซีจิ่วทั้งสอง
ผีดิบรึ?!
นัยน์ตามู่เตี่ยนทอประกายวาบ สะบัดฝ่ามือคราหนึ่ง ลูกเพลิงขนาดใหญ่ดวงหนึ่งผุดออกมาจากปลายกระบี่ พุ่งใส่ผีดิบชุดขาวตนหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้า!
ผีดิบชุดขาวถูกลูกไฟพุ่งใส่จนล้มคว่ำ ทว่ามิได้ลุกไหม้ตามที่มู่เตี่ยนจินตนาการไว้ ผีดิบชุดขาวชนิดนี้ไม่กริ่งเกรงเพลิงผลาญ!
ผีดิบชุดขาวเหล่านี้เคลื่อนไหวว่องไวนัก แฝงลมกรรโชกอันดุดันไว้ เพียงพริบตาเดียวกรงเล็บเจ็ดแปดคู่ก็คว้าจับมาถึงเบื้องหน้าพวกเขาแล้ว มู่เตี่ยนทำได้เพียงกวาดกระบี่ล้ำค่าปัดป้อง อาศัยแรงปะทะมหาศาลกระแทกผีดิบที่รายล้อมให้กระเด็นออกไป
ผีดิบเหล่านี้ไม่เกรงคมกระบี่ฟาดฟัน ไม่กลัวเปลวไฟแผดเผา มู่เตี่ยนรู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง ขณะที่กำลังลองหาหนทางอื่นอยู่ ทันใดนั้นกู้ซีจิ่วที่อยู่ข้างกายกลับพุ่งออกไปปานสายลมหอบหนึ่ง!
เพียงพริบตาเดียวเธอก็เข้าใกล้ผีดิบชุดขาวตัวหนึ่งแล้ว พลันเอียงกาย เงื้อแขนขึ้น เข้าบีบคอของอีกฝ่ายตรงๆ จากนั้นก็หาองศาที่พอเหมาะแล้วออกแรงบิดทันที!
‘กร็อบ!’ เสียงกระดูกหักกังวานขึ้น หัวของผัดิบชุดขาวตัวนั้นถูกเธอบิดอย่างแรงจนหมุนหนึ่งร้อยแปดสิบองศา ทรุดลงบนพื้นทันที ไม่ขยับอีกต่อไป!
ท่าทางของเธอเหี้ยมโหดมาก มู่เตี่ยนมองแล้วรู้สึกว่าท้ายทอยเย็นวาบไปหมด แต่เขาก็พบว่านี่เป็นวิธีที่ดีในการสังหารตัวประหลาดพวกนี้…
“ระวังอย่าถูกกัดหรือข่วนเข้า! ใช้มือเปล่าหักคอพวกมันก็ได้!” เสียงกู้ซีจิ่วแว่วอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ ร่างกายเธอว่องไวปานสายฟ้าแลบ เข้าประชิดผีดิบชุดขาวตัวที่สองอย่างรวดเร็วยิ่ง…
จิตใจมู่เตี่ยนพลันฮึกเหิมขึ้นมา รีบปฏิบัติตามทันที ร่างกายพุ่งโผน ตรงเข้าประชิดตัวประหลาดเหล่านั้นแล้วหักคอเสีย
ทั้งสองล้วนเป็นอัจฉริยะในหมู่ยอดฝีมือ เมื่อพบวิธีสังหารสังหารตัวประหลาดเหล่านี้แล้ว ย่อมเข่นฆ่าได้ปานหั่นผักหั่นแตง
————————————————————————————-
บทที่ 945 ไร้ทางหนี
ได้ยินเพียงเสียง ‘กร็อบ!’ ‘กร็อบ!’ ดังอยู่ไม่ขาดหู ผีดิบสิบกว่าตัวที่ปิดล้อมพวกเขาล้วนถูกหักคอจนล้มกองอยู่บนหิมะ
เสียงเอะอะต่อสู้แว่วมากจากบ้านเรือนจุดหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกล มีปะกายแสงของเวทวิชาวาบออกมาท่ามกลางพายุหิมะบ้างเป็นครั้งคราว ราบกับสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบในยามราตรี
ชัดเจนยิ่งนักว่ากลุ่มของหลานไว่หูถูกขังซ้ำยังถูกตัวประหลาดประเภทนี้ล้อมไว้ด้วย…
“ไป ไปช่วยคน!” กู้ซีจิ่วฉวยมือมู่เตี่ยนไว้ เคลื่อนย้ายไปยังทิศทางนั้นทันที…
ขอบฟ้าบุเมฆาหน้าแดงฉาน หิมะโปรยปรายลงมาอย่างหนัก
หนนี้เชียนหลิงอวี่ออกมากับเล่อจื่อซิ่งและเล่อชิงซิ่ง หน้าที่ของพวกเขาคือไปตรวจเรื่องที่มีศพในสนามรบฝั่งอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยสูญหายไป ทั้งสามมาที่ค่ายทัพของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ย เชียนหลิงอวี่ได้พบท่านอาของตนผู้นำทัพออกรบ อาของเขาบอกเขาว่า ในสงครามสองสามครั้งที่ผ่านมานี้ ทางพวกเขานับไว้ชัดเจนว่ามีผู้เสียชีวิตในสงครามหนึ่งหมื่นเจ็ดพันแปดร้อยยี่สิบคน แต่รายงานการทหารที่ส่งกลับไปทางนั้นกลับมีเพียงหนึ่งหมื่นห้าพันสองร้อยคนเท่านั้น ศพอีกสองพันคนที่เหลือหายอย่างไร้ร่องรอย
พวกเชียนหลิงอวี่รุดไปที่สนามรบทันที กลับนึกไม่ถึงว่าจะหลงทางอยู่ในทุ่งรกร้างแห่งหนึ่งราวกับถูกผีบังตา
ตอนที่พวกเขาเพิ่งเข้ามาสถานที่แห่งนี้คือทุ่งรกร้างไร้ผู้คนชัดๆ แต่หลังจากพวกเขามุดเข้ามา กลับพบว่าที่นี่คือเมืองร้างแห่งหนึ่ง ภายในเมืองหิมะโปรปรายอย่างหนักล่องลอยดั่งปุยนุ่น
ขณะที่พวกเขาคิดจะตรวจสอบดู เพื่อค้นหาทางออก ผีดิบชุดขาวกลุ่มหนึ่งที่แทบจะกลมกลืนไปกับหิมะก็กระโจนออกมา โจมตีพวกเขา
ผีดิบชุดขาวเหล่านี้กลืนไปกับพายุหิมะ ซ้ำยังเคลื่อนไหวว่องไว ด้วยมีพายุหิมะเป็นเกราะกำบังพวกเขาจึงสังหารไม่ได้เลยสักตัว
แถมผีดิบพวกนี้ยังไม่เกรงกลัวเปลวไฟ ไม่เกรงกลัวการฟาดฟัน ไม่เกรงกลัวน้ำ ไม่เกรงกลัวการทุบตี ไม่ว่าจะทำอย่างไรล้วนฆ่าไม่ตาย พวกเขาทำได้เพียงหลบหนี แต่ระหว่างที่หลับหนีก็เป็นการรบกวนผีดิบชุดขาวตัวใหม่ด้วย ด้วยเหตุนี้หลังจากพวกเขาหลบหนี ผีดิบชุดขาวที่ไล่ตามพวกเขาก็มากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่หลบหนีจนอ่อนล้า พวกหลานหลายไว่หู จางฉูฉู่และเยี่ยนเฉินทั้งสามได้มุดเข้ามาด้วยเช่นกัน…
ทั้งสองกลุ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน ยังคงหาวิธีรับมือผีดิบชุดขาวเหล่านี้ไม่ได้เช่นเดิม ระหว่างที่ต่อสู้เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าแทงถูกจุดสำคัญของมันแล้ว เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าแทงจนได้เลือด ทว่าพวกมันกลับไม่ตาย…
หลายคนเคยลองตัดหัวหัวมันดู แต่หัวและคอของพวกมันราวกับทำมาจากเหล็กกล้า ไม่มีทางฟันขาดได้ อย่างมากก็ฟันจนมีเลือดเน่าๆ กระฉูดออกมาปากแผลเท่านั้น
ที่สำคัญกว่านั้นคือ เมืองแห่งนี้เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าไม่ใหญ่โต ทว่าวิ่งไปวิ่งมาอยู่ในนี้กลับไม่พบจุดสิ้นสุดเสียที
บ้านเรือนเอย ร้านค้าเอย หมู่ตึกเอย ถนนใหญ่เอย ตรอกซอกซอยเอย…
ท่ามกลางพายุหิมะเหล่านี้ดูไปแล้วไม่แตกต่างจากเมืองอื่นๆ เลย แต่ไม่ว่าพวกเขาจะหนีไปทางไหน สุดท้ายก็พบว่าวนเวียนอยู่ภายในเมืองตลอด ก็คือหาทางออกไม่พบเลย…
พวกเชียนหลิงอวี่ล้วนเคยเรียนวิชาค่ายกลมา และทราบว่าเมืองนี้น่าจะเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ ทว่าไม่ว่าจะหาอย่างไรก็หาตาค่ายไม่พบ ย่อมไม่มีวิธีทำลายค่ายกล…
พวกเขาวิ่งวนไปวนมาอยู่ในนี้หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ทุกคนล้วนเหนื่อยล้าอ่อนแรง เริ่มแรกพวกเชียนหลิงอวี่ทั้งสามเข้ามาพร้อมกับนายทหารหกคนที่ท่านอาของเขาส่งมา นายทหารหกคนนี้ก็ถูกขังไว้ที่นี่เช่นเดียวกับพวกเชียนหลิงอวี่ทั้งสาม
พวกเชียนหลิงอวี่ทั้งสามแม้แต่ตัวเองก็เอาแทบไม่รอดแล้ว อีกทั้งวรยุทธ์ของนายทหารหกคนนี้ก็ไม่เข้าขั้น ระหว่างที่หนีเอาชีวิตรอด หลายคนที่เลื่อนไหวช้าก็ถูกผีดิบชุดขาวเล่านั้นตะครุบไว้ ฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ ทันที
————————————————————————————-
บทที่ 946 นภาไร้ทางหนี พสุธาไร้ทางรอด
เมื่อพวกเชียนหลิงอวี่และเยี่ยนเฉินรวมตัวกัน หกคนนั้นก็เหลือรอดเพียงคนเดียว แต่คนผู้นี้ภายหลังก็พลาดท่าถูกตะครุบไว้ระหว่างที่หลบหนี ถึงแก่ความตาย…
เชียนหลิงอวี่ก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แขนเขาถูกผีดิบกระชากจนเป็นแผลใหญ่ ขาข้างหนึ่งก็หักด้วย เป็นเยี่ยนเฉินที่แบกเขาหนีอยู่ตลอด…
ในบรรดาคนกลุ่มนี้ เยี่ยนเฉินแข็งแกร่งที่สุด อายุก็มากที่สุด ย่อมต้องพึ่งพาให้เขาเป็นผู้นำ แต่ต่อให้เป็นเขา ยามนี้ก็ค่อนข้างสิ้นหวังเช่นกัน
ระห่างหลบหนีพวกเขาใช้วิธีทำลายค่ายกลสารพัดวิธี แต่เมืองผีสางนี้ก็ยังตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าพวกเขา พวกเขาไม่มีทางหนีได้เลย
พวกเขาเคยลองยิงพลุสื่อสารระหว่างศิษย์ร่วมสำนักขึ้นฟ้าแล้ว แต่ถึงแม้พลุจะพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ทว่าพุ่งไปได้ครึ่งทางก็ราวกับชนสิ่งกีดขวางอันใดเข้าร่วงหล่นลงมา สัญญาณก็ส่งออกไปไม่ได้เช่นกัน
ทุกคนในที่นี้ล้วนเคยฝึกฝนร่ำเรียนวิชาเหินหาวมาแล้ว ล้วนสามารถเหาะเหินบนท้องฟ้าสูงหายสิบจั้งได้ เยี่ยนเฉินถึงขั้นสามารเหาะได้สูงถึงร้อยจั้ง แต่เยี่ยนเฉินเคยทดลองดูแล้ว ยามที่เขาเหาะขึ้นสูงสามสิบห้าจั้งก็ชนเข้ากับเขตแดนโปร่งแสงที่ยืดหยุ่น เขตแดนนั้นไม่ทราบว่าก่อขึ้นจากเวทวิชาชั่วร้ายอันใด เมื่อซัดฝ่ามือใส่จะแนบติดทันที ไม่มีทางโจมตีให้เปิดออกได้
เยี่ยนเฉินทุ่มเทพละกำลังมหาศาล ผิวหนังตรงฝ่ามือแทบหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ แล้ว
นภาไร้ทางหนี พสุธาไร้ทางรอด
ต่อให้เป็นเยี่ยนเฉินที่พบพานมรสุมจนคุ้นชินแล้ว วินาทีนี้ก็ค่อนข้างสิ้นหวังเช่นกัน
จิ้งจอกน้อยติดตามอยู่ข้างกายเขาตลอด อันที่จริงสาวน้อยขี้ขลาดนัก ก่อนเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แม้แต่ไก่สักตัวนางก็ยังไม่กล้าฆ่า หลังจากอยู่ภายใต้การอบรมสั่งสอนของกู้ซีจิ่ว เธอจึงกล้าต่อสู้ กล้าลงมือ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ต่อสู้ที่โหดร้ายทารุณจริงๆ นางได้เห็นกับตาว่านายทหารที่เคลื่อนวไหวช้าไปเล็กน้อยเพราะบาดเจ็บผู้นั้น ถูกผีดิบชุดขาวของตัวตะครุบไว้ ถูกฉีกเป็นสองท่อนทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่…
ยามนั้นนางหวาดกลัวนัก! น้ำตาไหลพราก สองขาอ่อนยวบ หากมิใช่เยี่ยนเฉินคอยปกป้องนางอย่างไม่คิดชีวิตอยู่ตลอด เกรงว่านางคงถูกผีดดิบชุดขาวตะครุบไปฉีกเป็นชิ้นๆ แล้ว
ยามนี้พวกเขาหกคนถูกผีดิบจากรอบทิศบีบต้อนจนถอยหนีมาที่แท่นสูงแห่งหนึ่ง
การเคลื่อนไหวของผีดิบถึงแม้จะว่องไว แต่เนื่องจากแขนขาของพวกมันแข็งทื่อ ปีนขึ้นที่สูงค่อนข้างลำบาก และบนแท่นสูงก็มีเสาธงต้นหนาเท่าปากชามต้นหนึ่งอยู่ เสาธงสูงประมาณสิบห้าจั้ง ไม่รู้ว่าสร้างมาจากอะไรจึงเกลี้ยงเกลาเป็นมันอย่างยิ่ง
แท่นสูงด้านล่างเสาธงมีผังลวดลายที่ประหลาดยิ่งนักจำนวนหนึ่งอยู่ พายุหิมะหนักหนาถึงเพียงนี้ ทว่าไม่ได้กลบฝังลวดลายเหล่านั้นเลย
อันที่จริงระหว่างที่หนีเอาชีวิตรอดพวกเยี่ยนเฉินมองเห็นที่นี่นานแล้ว แต่เนื่องจากรู้สึกว่าแท่นสูงนี้ค่อนข้างประหลาด จึงไม่กล้าหนีขึ้นไปเสมอมา
ยามนี้จนปัญญาที่ถูกผีดิบบีบต้อนมาจากทุกทิศ จึงทำได้เพียงถอยหนีขึ้นไปยังเสาธงบนแท่นสูง…
ด้วยวรยุทธ์ของทุกคน การเหินไต่ขึ้นไปบนเสาธงไม่นับว่าเป็นเรื่องยาก เล่อจื่อซิ่งเล่อชิงซิ่งจางฉูฉู่ทยอยไต่ขึ้นไป
จิ้งจอกน้อยสีห้าซีดเผือด แม้แต่เท้าก็อ่อนแรง นางก็พยายามไต่ขึ้นไปด้วยตัวเองอย่างสุดชีวิต แต่เนื่องจากมือไม้อ่อนเกินไป จึงหวิดจะลื่นหลุดลงไปจากเสาอีกครั้ง
เคราะห์ดีที่เยี่ยนเฉินซึ่งแบกเชียนหลิงอวี่ไต่เหินขึ้นมาทันกาล คว้าตัวนางเอาไว้ทันที ทั้งหกคนเกาะอยู่บนเสาธงต้นนั้นปานตุ๊กแก
หลานไว่หูพยายามระงับอาการสั่นสะท้านไว้สุดกำลัง บังเอิญเงยหน้าขึ้น ทันทีที่เห็นเชียนหลิงอวี่บนหลังเยี่ยนเฉิน ก็ตกตะลึงจนแข็งทื่อไปทั้งตัว
ใบหน้าหล่อเหลาของเชียนหลิงอวี่ซีดเซียว นัยน์ตาดำมืด ริมฝีปากก็กลายเป็นสีดำ สองมือที่โอบคอเยี่ยนเฉินไว้เล็บเริ่มกลายเป็นสีเขียวแล้ว บาดแผลบนแขนเขาที่ถูกจัดการอย่างลวกๆ มีโลหิตสีดำไหลซึมออกมาไม่ขาดสาย…
หากกวาดตามองเผินๆ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับผีดิบชุดขาวที่อยู่ด้านล่าง…
เชียนหลิงอวี่ยังคงมีสติอยู่ เริ่มแรกเขาไม่รู้สึกว่ามีอะไร แค่รู้สึกละอายใจเท่านั้น ละอายใจที่ทำให้สหายเดือดร้อน
————————————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น