พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 943-946
ตอนที่ 943
ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
จงหลีค่วยที่ฟันกระบี่อยู่กลางอากาศตกใจมาก แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว นึกไม่ถึงว่าปีศาจโลหิตจะใช้ท่านี้ ทำให้ป้องกันลำบากนิดหน่อย เขาจินตนาการได้เลยว่าจู่ๆ ปีศาจโลหิตพรวดไปข้างหลังเขาเพราะคิดจะทำอะไร นอกจากพุ่งเป้าไปที่หนิวโหย่วเต๋อแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
ภายใต้ความวิตกกังวล เขาพลิกมือโน้มนำกระบี่ กระบี่บินยิงระเบิดออกมาจากใต้ซี่โครง
ปีศาจโลหิตที่รวมร่างอีกครั้งหมุนตัวราวกับดอกไม้ ใช้ดาบฟันกระบี่บินที่ยิงเข้ามา แล้วกระโจนใส่เหมียวอี้ต่อไป
เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ที่ในปากกำลังกัดกินสมุนไพรเซียนซิงหัวก็ตกใจไม่เบาเช่นกัน สีหน้าพลันเครียดขรึม หยุดนิ่งกะทันหัน ค่อยๆ ยกทวนขึ้นมาตั้งรับกับศัตรู ดูเหมือนเชื่องช้า ตัวทวนค่อยๆ เกิดเงามายาเป็นชุด ที่จริงรวดเร็วมาก หัวทวนแทบจะชี้ไปข้างหน้าอย่างฉับพลัน ชี้แน่วแน่ไปทางปีศาจโลหิตที่พุ่งเข้ามา
จงหลีค่วยกลับตัวเร่งไล่ตามปีศาจโลหิต แต่ปีศาจโลหิตที่พรวดพราดเข้ามากลับทำสีหน้าประหลาด พบว่าลักษณะท่าทางของเหมียวอี้เหมือนจะเปลี่ยนไปในชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ยกทวนขึ้นมา ราวกับร่างกายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทวน เหมียวอี้จ้องนางด้วยแววตาเงียบขรึม ลึกล้ำ เยือกเย็น สีหน้าสงบนิ่ง ท่าทางเตรียมพร้อมโจมตี เหมือนจะพุ่งทะลักออกมา
ในชั่วขณะนั้น ปีศาจโลหิตยังนึกว่าตัวเองมองผิดคน ไม่เคยเห็นสภาพแบบนี้จากตัวเหมียวอี้มาก่อน
นี่รู้ตัวว่าหนีไม่พ้นเลยเตรียมตัวจะสู้ตายเหรอ? ปีศาจโลหิตทำสีหน้าตื่นเต้นดุร้าย นางไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาเลย พอถลันตัวมาถึง ก็ฟันดาบทันที
“หลีกไป!” จงหลีค่วยตะโกนเสียงดัง
“ตาย!” เหมียวอี้พลันตะโกนเกรี้ยวกราดเสียงดัง สิ่งที่ตามมาคือพลังอิทธิฤทธิ์ที่กระเพื่อมกระจายไปยังจักรวาลอันกว้างใหญ่ ทำให้พลังที่เพิ่มถึงขีดสุดของตนเหมือนถูกจุดไฟในชั่วพริบตาเดียว พลังอิทธิฤทธิ์ที่ก่อตัวในร่างกายปล่อยออกมาอย่างฉับพลัน
เกราะทอง ทวนสีทองเปล่งแสงสีม่วงออกมาพร้อมกัน ราวกับดอกไม้พร่างพรายเบ่งบานอย่างฉับพลัน เหมือนพระอาทิตย์ยามเช้าที่เปล่งแสงสีทองตรงเส้นขอบฟ้า ราวกับมีหมอกสีม่วงลอยมาจากทิศตะวันออกยามพระอาทิตย์ขึ้น สว่างไสวแวววาวน่าครั่นคร้าม
หนึ่งทวน สองทวน สามทวน สี่ทวน…
ทวนแล้วทวนเล่า แทงสังหารทวนแล้วทวนเล่าติดต่อกัน กลืนเข้าคายออก รวดเร็วว่องไว ยากจะบรรยายได้ ทำให้คนตาลายเพราะมองไม่ทัน
หนึ่งทวนสิบสังหาร ตอนอยู่ระดับบงกชม่วง เหมียวอี้ก็ไม่เคยใช้กระบวนท่านี้อีกเลย พอมาใช้ท่านี้อีกครั้งตอนอยู่ระดับบงกชทอง เหมียวอี้เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอานุภาพมากมายขนาดไหนกันแน่ มีเพียงความเร็วที่ทำให้คนมองไม่ทัน บนหัวทวนที่แทงออกมามีจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลือง ราวกับเป็นไข่มุกสีดำเม็ดหนึ่งที่กำลังหมุนวน เหมือนเป็นหลุมดำของประตูดวงดาวที่หดเล็กลงกว่าเดิมหลายเท่า
ตอนออกทวนครั้งแรก ดาบนกเป็ดน้ำฟันที่หัวทวนในแนวเฉียง ทั้งสองฝ่ายวรยุทธ์ต่างกันมาก บวกกับความคมกริบของดาบนกเป็ดน้ำ หัวทวนจึงโดนฟันกระเด็นออกไปราวกับเต้าหู้โดนมีดหั่น
หัวทวนที่กระเด็นออกไปยังคงเคลื่อนที่เร็วมาก ยิงไปทางจงหลีค่วยที่กระโจนเข้ามาพอดี จงหลีค่วยไม่แยแส ใช้กระบี่ในมือปัดลวกๆ หนึ่งที โดนจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองที่อยู่บนหัวทวนพอดี
บึ้ม! เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น กระบี่ในมือจงหลีค่วยสะเทือนจนแทบหลุดมือ สะเทือนแขนจนชา ร่างที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงก็ยิ่งกระเด็นถอยหลังไปหลายจั้ง
จงหลีค่วยเรียกได้ว่าพลันมองไปที่เหมียวอี้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา ไม่ค่อยเข้าใจว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร
ทวนสีทองที่ไร้หัวทวนพลันอับแสงลง เมื่อขาดอานุภาพดั้งเดิมของทวนวิเศษขั้นสี่ จุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองบนหัวทวนก็หายไปด้วยเช่นกัน
แต่พอเหมียวอี้ใช้กระบวนท่านี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ควบคุมไม่อยู่แล้วเช่นกัน การแทงสังหารยังคงดำเนินต่อไป
แขนของปีศาจโลหิตสะเทือนจนรู้สึกชาเล็กน้อย นางมองไปที่เหมียวอี้อย่างไม่เชื่อสายตา นึกไม่ถึงว่าอานุภาพยามเหมียวอี้ออกทวนจะน่าหวาดกลัวขนาดนี้
ดาบแรกที่ฟันออกไปยังไม่ทันชักเก็บเข้ามา ทวนครั้งที่สองก็แทงเข้ามาแล้ว นางหลบไม่ทันไปชั่วขณะ เป็นเพราะเหมียวอี้ใช้ทวนได้รวดเร็วเกินไปจริงๆ เร็วจนแทบจะกดเข้ามาพร้อมกัน ขณะกำลังฉุกละหุก ปีศาจโลหิตใช้ดาบโลหิตอีกด้ามกวาดฟันเข้ามาอย่างรวดเร็ว แกร๊ก! ด้ามทวนกระเด็นเฉียงออกไปอีกครั้ง
ตอนทวนแทงเข้ามาครั้งที่สาม ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็หลบไม่ทันแล้ว เรียกได้ว่าตกใจมากจนหน้าถอดสี ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ชัดเจน วิชาทวนที่รวดเร็วขนาดนี้ทำไมถึงไม่หมดไปเสียที ไม่กล้าดันทุรังปะทะตรงๆ อีกแล้ว ทั้งตัวจึงระเบิดกลายเป็นเงามายาเลือดสิบร่างอย่างรวดเร็ว
จากนั้นลำแสงแปดสายจากเงามายาเลือดทั้งสิบก็ยิงตามมาติดๆ เงามายาเลือดทั้งสิบแทบจะระเบิดพร้อมกัน ลำแสงแปดสายราวกับลูกธนูแปดดอกที่ยิงเรียงออกมา ตอนที่เงามายาเลือดทั้งสิบยังไม่กระจายตัวออกไปจนหมด ก็ยิงโดนเป้าหมายไปแล้วหลายครั้ง
มีเพียงเงามายาเลือดสองร่างที่หนีออกไป ส่วนลำแสงสีเลือดอีกแปดร่าง มีเจ็ดร่างที่โดนแทงจนพังทลายลง หนึ่งในลำแสงพวกนั้นปรากฏร่างของปีศาจโลหิต “โอ้ย…” เสียงครางเจ็บปวดดังขึ้น โดนทวนแทงที่จุดสำคัญ โดนตรงแก้มก้นข้างหนึ่ง!
มหาอิทธิฤทธิ์หลีกโลหิตของนาง ไม่ใช่การกลายร่างเป็นสิบร่างในเวลาเดียวกัน แต่เป็นการใช้วิชาแยกร่างพรางตาชนิดหนึ่ง ทำให้คนแยกไม่ออกว่าร่างไหนคือร่างจริง ร่างไหนคือร่างปลอม ส่วนร่างจริงของนางก็ซ่อนอยู่ในนั้น ในบรรดาเงามายาเลือดสิบร่างเมื่อครู่นี้ เหมียวอี้ไม่รู้ด้วยว่าร่างไหนคือร่างจริง เพียงแต่แปดทวนนั้นโจมตีออกไปอย่างครอบคลุม ทำให้โอกาสโจมตีโดนเป้าหมายมีสูงมาก เขาก็แค่บังเอิญโจมตีโดนเป้าหมายเท่าก็นั้นเอง
แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ปีศาจโลหิตทนไม่ไหวแล้ว ถึงแม้หัวทวนจะโดนนางฟันจนหัก แต่ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ด้ามทวนก็โดนนางฟันในแนวเฉียงจนหักเช่นกัน จุดที่โดนฟันในแนวเฉียงเกิดเป็นรอยแหลมคม จึงแทงเข้าก้นของนางได้อย่างไม่มีปัญหา
สิ่งที่ทำให้ปีศาจโลหิตกลัวก็คือ บนด้ามทวนนั้นยังมีของอะไรบางอย่างที่นางไม่รู้จักอยู่ด้วย ไม่น่าเชื่อว่ามันจะทะลุเกราะเลือดของนางได้อย่างง่ายดาย ตอนที่แทงเข้ามาในก้นของนาง ภายใต้ความเจ็บปวดมหาศาลยังมีความร้อนรุ่มกลุ่มหนึ่งไหลเข้าสู่ร่างกาย นางรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของน้ำเลือด สังเกตพบความไม่ชอบมาพากลทันที บนหัวทวนของอีกฝ่ายมีลับลมคมในแน่นอน
ส่วนอีกด้านหนึ่ง จงหลีค่วยที่ไล่ตามเข้ามาก็ฟันกระบี่บินสายหนึ่งเข้ามาแล้ว
ภายใต้ความวิตกกังวล ปีศาจโลหิตฟาดฝ่ามือสีเลือดขนาดใหญ่ออกมาทีหนึ่ง ฝ่ามือของปีศาจโลหิตฟาดโดนเหมียวอี้ที่กำลังหมดแรงพอดี ในขณะนี้ เหมียวอี้ปล่อยมือจากอาวุธและโบกแขนออกมา ไขว้แขนสองข้างปกป้องใบหน้าเอาไว้
ปั้ง! เหมียวอี้เงยหน้ากระอักเลือดสดอย่างบ้าคลั่ง เกราะทองบนตัวโดนโจมตีจนอับแสงลง ทั้งตัวสะเทือนจนกระเด็นถอยหลังอย่างรวดเร็ว
เสียงโช้งเช้งพลันดังขึ้น ตอนนี้จงหลีค่วยปะทะเดือดกับปีศาจโลหิตแล้ว เดิมทีเหมียวอี้ไม่น่าจะได้รับบาดเจ็บอะไร แต่เกิดเหตุไม่คาดคิดกับหัวทวนที่โดนฟันกระเด็น ทำให้จงหลีค่วยมาถึงช้านิดหน่อย มาช่วยไว้ไม่ทัน ทำให้เหมียวอี้โดนฟาดไปหนึ่งฝ่ามือ
หลังจากปะทะกันได้ไม่กี่กระบวนท่า ในดวงตาปีศาจโลหิตฉายแววหวาดกลัว ราวกับหมดกำลังใจต่อสู้ ยังไม่ทันมีท่าทีว่าจะแพ้ นางก็ระเบิดกลายเป็นเงามายาเลือดสิบร่างอีกแล้ว
จงหลีค่วยไล่โจมตีโดนร่างร่างหนึ่งราวกับโชคช่วย ร่างนั้นระเบิดกลายเป็นสิบร่างอีกครั้ง เงามายาเลือดร้อยร่างกระจัดกระจายไปยังจุดลึกของท้องฟ้า
เมื่อเผชิญสถานการณ์แบบนี้ จงหลีค่วยก็อับจนหนทางเหมือนกัน ขณะมองดูเงามายาเลือดเลือดพวกนั้นแยกย้ายกันไปไกล เขาก็ไม่รู้จะไล่ตามไปที่ร่างไหน
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาครุ่นคิดเรื่องนี้ เขารีบถลันตัวเลี้ยวกลับมา ไล่ตามเหมียวอี้ที่หลุดลอยไปไกลเนื่องจากอยู่ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วง
เขาตามเข้ามาดึงแขนเหมียวอี้เอาไว้ แล้วมองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่แปลกมาก การออกทวนอันน่าทึ่งของเหมียวอี้เมื่อครู่นี้ เขาเองก็ได้เห็นกับตาแล้ว รู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ
เห็นดวงตาเหมียวอี้พร่าเลือนไร้แวว สีหน้าซีดขาว ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอาการให้เหมียวอี้ทันที
ผลก็คือพบว่าเหมียวอี้ไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง ถึงอย่างไรเจ้าเด็กนี่ก็ปกป้องชีวิตตัวเองจนชินแล้ว สวมเกราะรบป้องกันไว้ตั้งแต่การต่อสู้ยังไม่ทันเริ่ม เกราะรบของตำหนักสวรรค์ก็ไม่ใช่เล่นๆ มีพลังป้องกันดีมาก โดนฝ่ามือของปีศาจโลหิตครั้งเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เกราะรบตำหนักสวรรค์บนตัวเหมียวอี้พัง แต่ถ้าเป็นการโจมตีอย่างจริงจัง แบบนั้นเหมียวอี้ก็อาจจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ยาก
ส่วนอาการบาดเจ็บที่ได้รับ เจ้าเด็กนี่ก็ปกป้องชีวิตจนชินแล้วเช่นกัน กินยาเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนยังไม่โดนโจมตี เจ้าตัวกลืนสมุนไพรเซียนซิงหัวเตรียมไว้สำหรับการบาดเจ็บ สมุนไพรเซียนซิงหัวในร่างกายกำลังออกฤทธิ์ อาการบาดเจ็บน่าจะฟื้นตัวเร็วๆ นี้ ส่วนอานุภาพของเลือดปีศาจในฝ่ามือปีศาจโลหิต ก็ทำอะไรเจ้าเด็กนี่ไม่ได้เช่นกัน
สิ่งเดียวที่ทำให้จงหลีค่วยขมวดคิ้วก็คือ พลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ใกล้จะแห้งเหือดแล้ว จิงชี่เสินก็ยิ่งเซื่องซึมจนน่าตกใจ ราวกับจะขาดใจในฉับพลันทันที ทั้งตัวแทบจะเหมือนผีดิบ ดูเหมือนไม่ใช่เพราะได้รับบาดเจ็บ จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “สภาพเจ้าในตอนนี้ เป็นเพราะใช้วิชาทวนเมื่อครู่นี้เหรอ?”
เหมียวอี้คลี่ปากที่เปื้อนเลือดยิ้มอย่างไร้เรี่ยวแรง แล้วถามเสียงอ่อนว่า “ปีศาจโลหิตล่ะ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ จงหลีค่วยก็กล่าวอย่างอับอายว่า “พูดแล้วก็ละอายใจ ขนาดเจ้ามีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งยังทำนางบาดเจ็บได้ แต่ข้ากลับปล่อยนางหนีไปโดยไม่เจ็บตัวเลยสักนิด”
เหมียวอี้ยิ้มขื่นขมในใจ ตัวเองย่อมรู้สภาพของตัวเองดีที่สุด ตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปีศาจโลหิตเลย เป็นเพราะปีศาจโลหิตไม่รู้สถานการณ์เอง อย่างเช่นเมื่อครู่นี้ ถ้าปีศาจโลหิตไม่ใช้ดาบฟันทวนของเขา แต่เปลี่ยนเป็นตีให้ทวนเขาหลุดมือแทน อาศัยวรยุทธ์ของปีศาจโลหิต ก็สามารถทำให้ทวนของเขาหลุดมือได้เลย ถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงไม่ได้ใช่ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารที่เป็นแผนสำรองหรอก เขาคงตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจโลหิตไปแล้ว ต่อไปถ้าได้สู้กับปีศาจโลหิตอีกครั้ง ปีศาจโลหิตเคยเสียเปรียบมาแล้วครั้งหนึ่ง เกรงว่าครั้งหน้าคงไม่โชคดีแบบนี้แล้ว
“ลุงหนวด ไม่ต้องโทษตัวเองหรอก มหาอิทธิฤทธิ์หลีกโลหิตของปีศาจตนนั้นร้ายกาจจริงๆ หนีไปได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา” เหมียวอี้พูดปลอบใจอย่างไร้เรี่ยวแรง ตอนนี้ชีวิตของตนอยู่ในมืออีกฝ่าย ไม่มีกำลังจะโต้ตอบเลยแม้แต่น้อย
จงหลีค่วยส่ายหน้า แล้วกล่าวอย่างสงสัยว่า “เรื่องนี้มีลับลมคมในบางอย่าง นางไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงอะไร ในเมื่อกล้าพุ่งเป้ามาที่พวกเราสองคน ทั้งยังมีมหาอิทธิฤทธิ์หลีกโลหิตคอยช่วย ทำไมหนีไปทั้งๆ ที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะแพ้?”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ อย่างหมดแรง “เหตุผลไม่ซับซ้อน ข้าเอาคืนนางแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันแล้ว นางวางยาพิษข้า ข้าก็วางยาพิษนางเหมือนกัน บนหัวทวนข้ามีพิษ ถ้านางยังไม่หนีไป แล้วพิษกำเริบขึ้นมา ถึงตอนนั้นอยากจะหนีก็หนีไม่รอดแล้ว ต้องตายด้วยน้ำมือข้าแน่นอน”
จงหลีค่วยมึนงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจกระจ่างทันที “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง! วางยาพิษจนนางตายได้เลยรึเปล่า?”
“ไม่รู้สิ!” เหมียวอี้ไม่ยอมเปิดเผยความจริง ถ้าให้คนอื่นรู้ว่าตนมีพิษที่ยากจะหายาถอนได้ ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร แต่เขาเดาว่าครั้งนี้ปีศาจโลหิตคงจะตายแน่นอน ยังไม่เคยมีใครที่โดนเปลวเพลิงไร้รูปร่างนี้แล้วรอดชีวิตไปได้ ที่เขายอมเสี่ยงอันตรายครั้งนี้ สุดท้ายก็กำจัดภัยใหญ่ที่กำลังจะตามมาได้แล้ว
พอได้ยินคำว่า ‘ไม่รู้สิ’ จงหลีค่วยก็เสียดายอยู่บ้าง ถามอีกว่า “ที่เจ้าออกทวนเมื่อครู่นี้มันคืออะไรกันแน่ บนหัวทวนมีจุดสีดำที่มีอานุภาพมากขนาดนี้ เกือบทำให้กระบี่ของข้าหลุดมือแล้ว”
เหมียวอี้เองก็สังเกตเห็นแล้วเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนั้นสมาธิจดจ่ออยู่ที่การออกทวน ไม่ได้แบ่งสมาธิมาคิดถึงปัญหานี้ พอลองมาคิดดูตอนนี้ ก็พบว่าตัวเองเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเช่นกัน เมื่อก่อนตอนใช้กระบวนท่าหนึ่งทวนสิบสังหารก็ไม่เคยเห็น จึงส่ายหน้าตอบว่า “ข้าเองก็เพิ่งสังเกตเห็นเป็นครั้งแรก”
เมื่อเห็นเหมียวอี้อ่อนแรงจนหมดสภาพ ตาใกล้จะปิด จงหลีค่วยก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก “ฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์เป็นเรื่องง่าย แต่สูญเสียจิงชี่เสินไปมากขนาดนี้ ต้องค่อยๆ ฟื้นฟู เกรงว่าคงตอนนอนหลับไปสักระยะถึงจะฟื้นฟูกลับมาได้ ข้าเก็บเจ้าไว้ในกระเป๋าสัตว์แล้วกัน เจ้าก็พักผ่อนอยู่ในนั้น พอกลับถึงปราสาทดำเนินนภา เจ้าก็คงจะฟื้นตัวพอดี”
ถ้าไม่ใช่คนที่เชื่อใจกันจริงๆ คนทั่วไปก็ไม่อยากโดนเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์เลย ไม่อย่างนั้นถ้าอีกฝ่ายเล่นไม่ซื่อนิดเดียว ตัวเองก็รักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว เพียงแต่สภาพในตอนนี้ไม่ได้ดีกว่าถูกเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์สักเท่าไร เหมียวอี้ทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆ จะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้
จงหลีค่วยเก็บเขาเข้าในกระเป๋าสัตว์โดยตรง แล้วมองไปที่ท้องฟ้ารอบๆ หลังจากแยกแยะทิศทางได้แล้ว ก็เหาะออกไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางยังคอยช่วยเปลี่ยนอากาศให้เหมียวอี้ที่กำลังนอนหลับลึกด้วย…
ตอนที่ 944
สร้างผลงานสักเรื่อง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ส่วนปีศาจโลหิตในเวลานี้กลับคำรามร้องอย่างเจ็บปวดอยู่บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง ขณะที่สั่นศีรษะไปมา ผ้ามุ้งสีแดงที่คลุมหน้าก็ปลิวออกไปแล้ว ผมงามยุ่งเหยิงปลิวสยาย สองมือยันอยู่ระหว่างหินผาก้อนใหญ่ทางซ้ายและขวา “พลั่ก” บนก้นมีเนื้อปนเลือดก้อนหนึ่งระเบิดออกมา มันกำลังปล่อยควัน!
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ มันกำลังปล่อยไอเลือด เลือดสดในร่างกายกำลังพ่นออกจากปากแผลอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็มีชิ้นเนื้อทะลักออกมาด้วย ทุกครั้งที่ก้อนเนื้อทะลักออกมาก็จะมีน้ำเลือดพุ่งกระฉูดออกมาด้วยสายหนึ่ง
ส่วนใบหน้าสวยที่อยู่ใต้ผมงาม ตอนนี้กำลังลีบเหี่ยวลงเร็วมากจนสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า สีหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่นทรมานจนยากที่จะระงับไว้ “เฮ่อ เฮ่อ” เสียงร้องแสดงความเจ็บปวดทรมานจนแทบทนไม่ไหวดังขึ้นไม่หยุด เจ็บจนใบหน้าที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยค่อยๆ เหี่ยวลีบราวกับโครงกระดูก
ก็ช่วยไม่ได้ คนอื่นไม่รู้ถึงความร้ายกาจของของประหลาดในร่างกาย แต่นางกลับรู้ชัดเจน นางรู้จักน้ำเลือดดีเกินไป เมื่อพบว่าไม่สามารถควบคุมได้ นางก็รู้ถึงผลลัพธ์ของการปล่อยให้ของประหลาดนี้ลุกลามในร่างกาย ในสถานการณ์ที่ตัวเองไม่มีทางควบคุมได้ ไม่น่าเชื่อว่านางจะร่ายอิทธิฤทธิ์ปล่อยให้เลือดไหลออกมา ระบายน้ำเลือดที่ปนกับของประหลาดนั่นออกมา เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัย นางถึงขั้นรีบตัดเนื้อส่วนที่ปนเปื้อนของประหลาดนั่นออกมาด้วย ไม่เหมือนคนทั่วไปที่ใช้แค่การร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุม
ทว่าหากคนทั่วไปปล่อยเลือดจนแห้งหมดตัว ก็มีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้แล้วเหมือนกัน แต่นางไม่กลัว…
ตอนที่ยอดหญิงงามกลายเป็นร่างผอมแห้งที่มีแค่หนังหุ้มกระดูก เสียงลมหายใจที่แหบแห้งเหมือนทะเลทรายก็ค่อยๆ สงบมั่นคงแล้วเช่นกัน ในที่สุดก็กำจัดภัยคุกคามที่เป็นอันตรายถึงชีวิตออกจากร่างกายแล้ว นางตบยาเม็ดสีแดงเข้าปากเม็ดหนึ่ง ในดวงตาที่กลวงเว้าเข้าไปค่อยๆ เปล่งแสงสีแดง ร่างที่โงนเงนก็เริ่มมั่นคงขึ้นแล้วเช่นกัน
ภายใต้กระโปรงสีแดง สามารถใช้คำว่าโครงกระดูกงามมาบรรยายได้เลย ร่างกายที่เหี่ยวลีบลงค่อยๆ หันมา เห็นเพียงเลือดเนื้อที่กระจายอยู่บนพื้นกำลังกลายเป็นน้ำข้น ยังคงปล่อยฟองออกมา ในเบ้าตาที่กลวงลึกเข้าไปฉายแววหวาดผวา ไม่รู้ว่าตัวเองโดนพิษอะไรมา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นพิษร้ายขนาดนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าคงจะตายไปนานแล้ว
ฝ่ามือสองข้างที่ผอมแห้งกำบีบจนเกิดเสียงดังแกร๊ก นางนึกเสียใจทีหลัง และได้สติรู้ตัวแล้วเช่นกัน อาศัยวรยุทธ์ของเหมียวอี้ก็ไม่มีทางต้านทานนางได้เลย ถ้านางทำให้ทวนด้ามนั้นของเหมียวอี้หลุดมือไป นางคงไม่มีจุดจบเหมือนอย่างตอนนี้
เรื่องที่ผ่านไปแล้ว มานึกเสียใจทีหลังก็ไม่มีประโยชน์ พอนางโบกแขน ผ้ามุ้งสีแดงที่ห้อยติดอยู่บนก้อนหินก็ลอยกลับมาคลุมนางไว้ ปิดบังใบหน้าอันน่าหวาดกลัวของนาง
นางไม่กล้าอยู่ที่นี่นานเกินไป จึงรีบเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วหายไปยังจุดลึกของจักรวาล
ตอนที่กลับมาถึงดาวเทียนหยวนอีกครั้ง นางไม่ได้กลับไปที่ตลาดสวรรค์ แต่กำลังค้นหาอยู่บนฟ้า ค้นหา…
ณ วัดแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาเขียวชอุ่มและสายน้ำมรกต มีชื่ออันไพเราะว่า ‘วัดจิตสงบ’ ขนาดวัดไม่ใหญ่โต มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน แต่กลับถูกทำลายจนชำรุดทรุดโทรม
ในวิหารใหญ่ที่เรี่ยราดยุ่งเหยิง พระพุทธรูปที่ร่างหายไปครึ่งหนึ่งประดิษฐานอยู่เบื้องบน ภายใต้การจ้องมองของใบหน้าที่เต็มไปด้วยเมตตาธรรม ในวิหารกลับวางโต๊ะยาวไว้ตัวหนึ่ง สุราเนื้อสัตว์วางไว้เต็มโต๊ะ มีชายสองคน หญิงหนึ่งคน พระสงฆ์หนึ่งรูป ทั้งสี่กำลังนั่งล้อมโต๊ะ บางครั้งก็ยกจอกสุราชนกันและดื่มอย่างถึงอกถึงใจ สุขสันต์หรรษา
พระสงฆ์สวมจีวรสีขาวนวล สีหน้าเบิกบานสำราญใจ ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือศีลแปดนั่นเอง
ผู้ชายอีกสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคนคือเจ้าบ้านทั้งสามของ ‘สมาคมดอกกล้วยไม้’ ผู้ชายสองคนนั้นชื่อว่าหลันเหย่ หลีเถี่ยหุ้ย ส่วนผู้หญิงชื่อหูลี่ฮวา ชื่อ ‘สมาคมดอกกล้วยไม้’ ก็ตั้งมาจากชื่อของพวกเขาสามคน เลือกคำที่นำมารวมกันแล้วเรียกคล่องปากฟังดูไพเราะ
ชื่อฟังดูไพเราะ แต่ที่จริงพวกเขาเป็นโจรกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มโจรชั้นต่ำท่ามกลางนักพรตของดาวเทียนหยวน
ทั้งสี่กินดื่มอยู่อย่างนั้น แต่ข้างๆ กลับมีศพเปื้อนเลือดหลายศพเรียงรายอยู่ ทั้งหมดเป็นพระสงฆ์ แต่ทั้งสี่กลับพูดคุยกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางสภาพแวดล้อมแย่ๆ แบบนี้
ในลานวัดด้านนอก คนกลุ่มหนึ่งกำลังเก็บกวาดรอยเลือดและศพที่อยู่บนพื้น ล้วนเป็นพระสงฆ์ที่อยู่ในลานวัด จากเลือดสดบนพื้นที่ยังไม่แห้งกรัง ก็ดูออกเลยว่าการสังหารโหดเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
ในวิหาร เจ้าบ้านรองหูลี่ฮวาวางชามสุราลง แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “พวกเราต้องยึดวัดนี้แล้วกลายเป็นคนออกบวชจริงๆ เหรอ? จะโดนคนจับได้รึเปล่า?”
ศีลแปดวางชามสุราลงเช่นกัน แล้วโบกมือตอบว่า “เจ้าบ้านรองไม่ต้องกังวล วัดเนี่ยนะ เปลี่ยนใครเป็นเจ้าบ้านก็เหมือนๆ กัน หลังจากเจ้าอาวาสชราที่นี่มรณภาพ พวกลูกศิษย์ระดับล่างก็แก่งแย่งกันไปแก่งแย่งกันมา ไม่มีคนเก่งๆ ไปมาหาสู่ตั้งนานแล้ว ไม่มีใครสนใจเท่าไรหรอก แต่ถ้ามียอดฝีมือมาจริงๆ อาศัยวรยุทธ์ของพวกเราก็จัดการไม่ไหว เจ้าบ้านทั้งสามลองคิดดูสิ ‘สมาคมดอกกล้วยไม้’ เที่ยวปล้นไปทั่วก็เพื่อทรัพย์สินไม่ใช่เหรอ เป็นพระสงฆ์ที่ร่ำรวยก็ไม่มีอะไรเสียหาย ต่อไปพวกเราก็แค่ยึดวัดนี้ ถ้ามีคนมาค้างแรม ขอแค่เป็นคนร่ำรวยพวกเราก็ลงมือจัดการเลย แต่ถ้าไม่มีคนมาค้างแรม พวกเราก็แอบอ้างเป็นนักบวชเพื่อหลอกให้คนอื่นเชื่อใจได้ง่ายๆ ตีขนาบทั้งข้างนอกข้างในเหมือนวันนี้ ราบรื่นจะตาย ดีกว่าการที่พวกเจ้าต้องคอยเสี่ยงโชคไม่ใช่เหรอ?”
ทั้งสามได้ยินแล้วพยักหน้า เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่ก็ยิ่งตบโต๊ะพูดอย่างเด็ดขาดว่า “เป็นวิธีการหาเงินที่ดีจริงๆ พระอาจารย์ศีลแปดช่างมีความคิดที่ดี ก็ได้ ก็แค่โกนหัวแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้ว รอให้มีทรัพยากรฝึกตนเพิ่มขึ้น แบนนั้นก็ยอดเยี่ยมกว่าทุกอย่างไม่ใช่เหรอ?”
“พี่ใหญ่ ท่านเคยคิดรึเปล่า พวกเราไม่เข้าใจแนวทางของพระสงฆ์เลยนะ แม้แต่พระคัมภีร์บ้าบออะไรนั่นก็ไม่เข้าใจ แค่พูดออกมาคำเดียว คนก็มองออกได้ง่ายๆ แล้ว” เจ้าบ้านสามหลีเถี่ยหุ้ยกล่าวอย่างลังเล
ศีลแปดจึงยิ้มพร้อมบอกว่า “เจ้าบ้านสามคิดมากไปแล้ว อาตมาเป็นพระปลอมมาหลายปีขนาดนี้ พวกพระคัมภีร์ก็นับว่าเข้าใจอยู่บ้าง ตบตาคนได้ไม่มีปัญหา ไม่อย่างนั้นคงหลอกพวกพระวัดนี้แล้วร่วมมือกับพวกเจ้าโจมตีขนาบทั้งข้างนอกข้างในไม่ได้หรอก หลังจากพวกเรายึดวัดนี้แล้ว ก็ให้ข้าเป็นเจ้าอาวาสก็แล้วกัน… แน่นอน ข้าแค่ออกไปรับแขกในนามเจ้าอาวาส จะได้ขายผ้าเอาหน้ารอดได้สะดวก ที่จริงเรื่องต่างๆ ภายในวัด เจ้าบ้านทั้งสามก็ยังเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจ ตราบใดที่หาเงินได้ แบ่งให้ข้าสักส่วนก็พอแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะสอนพูดประโยคนามธรรมที่ชาวพุทธชอบเอาไว้รับมือกับคนอื่น ขอแค่ภายนอกตบตาได้ พวกเราก็จะไม่พลาดแน่นอน แค่นั่งรอรับความรวยก็พอแล้ว”
เป็นอย่างที่เขาบอก หลังจากเขาหนีออกมาจากตลาดสวรรค์ ก็หนีมาตลอดทางจนถึงที่นี่ เมื่อเห็นว่าเป็นวัด ก็คิดว่าเป็นสหายในวงการเดียวกัน การรับเขาเข้าจำวัดคงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ใครจะคิดว่าพวกพระในวัดนี้จะไร้มารยาทต่อเขา ถ้าอยากจะจำวัดก็ย่อมได้ เมื่อเห็นว่าวรยุทธ์เขาไม่ได้เรื่องเท่าไร ก็เลยโยนงานหนักมาให้เขาทำ และพูดอ้างอย่างสวยหรูว่า ตรากตรำพากเพียร ลำบากเหนื่อยล้า มีประโยชน์ต่อการฝึกตน
ก็ได้! ไม่คุ้นเคยกับคนและสถานที่ ศีลแปดจึงข่มความโกรธนี้เอาไว้ เตรียมจะหาที่พักและรอให้เข้าใจสถานการณ์ของที่นี่ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ตอนหลังมีอยู่วันหนึ่งที่ศีลแปดออกมาข้างนอก แล้วเจอสมาคมดอกกล้วยไม้ดักปล้นในภูเขา ปรากฏว่าปล้นศีลแปดไม่สำเร็จ กลับโดนศีลแปดเกลี้ยกล่อม จึงตอบตกลงให้ศีลแปดเข้าร่วมกลุ่มด้วย
แนวคิดของศีลแปดเรียบง่ายมาก ในเมื่อจะมาอยู่ที่นี่ ก็ต้องอยู่อย่างประสบความสำเร็จสิ ขนาดพี่ใหญ่ยังสร้างร้านขายของชำซื่อตรงขึ้นมาได้ เราไม่ได้มีความชำนาญมากขนาดนั้น แต่ในเมื่อมาที่นี่แล้ว ก็จะทำอะไรไม่สำเร็จสักเรื่องเลยไม่ได้ เริ่มจากการเป็นโจรก็แล้วกัน รอให้วางรากฐานได้ก่อนแล้วค่อยวางแผนอีกที จะต้องสร้างผลงานสักเรื่อง ดังนั้นใบมอบตัวแรกก็คืออยู่ที่วัดจิตสงบ นอกจากเขาจะวางยาพิษในน้ำดื่มให้พวกพระในวัดแล้ว เขายังทำลายค่ายกลใหญ่คุ้มกันภูเขาด้วย เป็นหนอนบ่อนไส้ให้คนของสมาคมดอกกล้วยไม้เข้ามาเปิดฉากสังหารหมู่ สังหารพระของวัดจิตสงบจนหมดเกลี้ยง ถึงได้มีฉากที่เห็นอยู่ตรงนี้
ตอนนี้เกลี้ยกล่อมให้คนกลุ่มนี้มาเป็นพระสงฆ์ได้แล้ว ส่วนเขาก็อยากจะเป็นพี่ใหญ่ของคนพวกนี้ เจ้าอาวาส!
ถ้าจะให้เป็นพี่ใหญ่ของสมาคมดอกกล้วยไม้ในตอนนี้ ก็ฟังดูไม่เข้าท่าน ต้องเริ่มจากเป็นเจ้าอาวาสก่อน เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้กลายเป็นพี่ใหญ่ของสมาคมดอกกล้วยไม้
เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่ยิ้มพร้อมบอกว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ก็พอได้อยู่นะ ถ้าน้องรองกับน้องสามไม่มีความเห็นแย้งอะไร เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้แล้วกัน”
“ข้าก็ต้องโกนหัวด้วยเหรอ?” เจ้าบ้านรองหูลี่ฮวาขมวดคิ้วถาม เอามือลูบมวยผมที่ดำขลับของตัวเอง ชำเลืองมองศีลแปดแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างลำบากใจว่า “ให้ผู้หญิงอยู่กับพระในวัดก็จะฟังดูเหลวไหล… มิหนำซ้ำ โกนหัวแล้วจะน่าเกลียดมากด้วย”
ศีลแปดค่อนข้างรับไม่ไหวกับแววตาของผู้หญิงคนนี้ เขาพบว่าผู้หญิงคนนี้แอบเล่นหูเล่นตาให้เขาบ่อยๆ เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ซื่อกับเขา แต่ก็เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ช่วยกู้หน้าให้ เขาถึงเกลี้ยกล่อมสมาคมดอกกล้วยไม้สำเร็จได้อย่างราบรื่น
“ไม่น่าเกลียดหรอก เจ้าบ้านรองหน้าตางดงามดุจดอกไม้ จะไว้ผมยาวหรือไม่ไว้ผมยาวก็ดูดีทั้งนั้น อาจจะมีเสน่ห์ไปอีกแบบก็ได้”
เมื่อศีลแปดกล่าวมาแบบนี้ เจ้าบ้านใหญ่กับเจ้าบ้านสามก็พากันหัวเราะลั่น ส่วนหูลี่ฮวาก็กลอกตาใส่ศีลแปด
ศีลแปดบอกอีกว่า “แล้วอีกอย่าง เจ้าบ้านรองก็ไม่ต้องโกนผมหรอก สามารถบวชโดยไว้ผมได้ ก็สร้างสำนักชีสมาคมดอกกล้วยไม้สักแห่งที่หลังเขา ให้พักอยู่กับผู้หญิงคนอื่นๆ แล้วเจ้าบ้านรองก็เป็นเจ้าอาวาสที่สำนักชีก็ได้”
“แบบนี้ก็พอไหว” หูลี่ฮวาเหลือบมองอย่างหยาดเยิ้ม
เจ้าบ้านใหญ่หัวเราะลั่น แล้วบอกว่า “งั้นพวกเราก็ต้องตั้งฉายานามด้วยสิ พระอาจารย์ศีลแปดมีฉายานามว่าศีลแปด งั้นข้าก็ชื่อศีลหก เจ้าสามชื่อศีลเจ็ดก็แล้วกัน”
แม่งเอ๊ย! ศีลแปดกลอกตาใส่ ช่างแต่งชื่อไม่เป็นเอาเสียเลย บังอาจมาเอาเปรียบอาตมา อาตมาโดนเอาเปรียบได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?
ข้าไม่ได้ถือศีลกินเจสักหน่อย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เขาเป็นพระที่ไม่กินเจ จึงพูดกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าบ้านใหญ่ ไม่เหมาะสม ไม่เหมาะสม ภายนอกข้าต้องเป็นเจ้าอาวาส เจ้ากับเจ้าบ้านสามชื่อศีลหก ศีลเจ็ด เป็นฉายานามที่สูงกว่าเจ้าอาวาสอย่างข้าเสียอีก แบบนั้นคนนอกจะไม่สงสัยหรอกเหรอ? มิหนำซ้ำ เจ้าบ้านทั้งสามก็ยังมีอำนาจตัดสินใจที่วัดจิตสงบด้วย ทุกคนทำไปเพื่อความร่ำรวย ไม่จำเป็นต้องคิดหยุมหยิมกับชื่อเสียงอันจอมปลอมหรอก เจ้าบ้านใหญ่ชื่อศีลเก้า เจ้าบ้านรองชื่อศีลสิบ ดีไหม?”
เจ้าบ้านทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง ไม่เข้าใจสาเหตุที่อยู่ในนั้น คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเป็นชื่อเสียงอันจอมปลอมจริงๆ ไม่มีอะไรน่าคัดค้าน เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่พยักหน้าบอกว่า “ได้ เอาอย่างนี้ก็ได้ ศีลเก้าศีลสิบก็ศีลเก้าศีลสิบ ตกลงตามนี้แล้วกัน”
ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว สถานะ ‘ลูกศิษย์ผู้สืบทอด’ ของศีลแปดกลับตาลปัตรทันที ทำให้ทั้งสองคนกลายเป็น ‘ลูกศิษย์ผู้สืบทอด’ ไม่เสียเปรียบสักนิดเลยจริงๆ
“แล้วข้าล่ะ?” หูลี่ฮวามองทั้งสามคน แล้วถามว่า “แล้วข้ามีฉายานามว่าอะไรถึงจะเหมาะล่ะ?”
ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงคนตะโกนว่า “ใครกัน?”
สี่คนที่กำลังนั่งล้อมวงตกใจทันที เจ้าบ้านทั้งสามถลันตัวออกไปดูข้างนอกทันที
ศีลแปดอึ้งเล็กน้อย ออกจากงานเลี้ยงไปเงียบๆ ไปอยู่ที่วิหารด้านข้าง เดินย่องอย่างลับๆ ล่อๆ ไปที่ด้านหลังหน้าต่าง แล้วแอบมองไปด้านนอก
ยังไม่คุ้นเคยกับคนและสถานที่ เพิ่งจะมาอยู่ใหม่ เขายึดถือหลักการความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก ไม่ประมาทออกไปประสมโรง หลบดูสถานการณ์อยู่ข้างๆ ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เห็นเพียงบนพื้นนอกวิหารใหญ่ที่กำลังเก็บกวาดรอยเลือดและศพ คนคนหนึ่งที่ร่างกายด้วยผ้ามุ้งสีแดงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ผ้ามุ้งบางพลิ้วไหวอยู่ท่ามกลางสายลมอ่อน มองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ดูจากการแต่งตัวเหมือนจะเป็นผู้หญิง แต่ดูจากสภาพเสื้อผ้าที่หลวมโคร่ง เหมือนจะผอมโซสุดๆ
ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน คือปีศาจโลหิตนั่นเอง ตอนที่เหาะผ่านเหนือฟ้าบริเวณนี้ นางถูกดึงดูดด้วยกลิ่นคาวเลือดจำนวนมากของที่นี่ เดิมทีนางก็เป็นคนที่ความรู้สึกไวต่อกลิ่นคาวเลือดอยู่แล้ว เดิมทีนางก็ไม่อยากไปมีเรื่องกับคนในวัดให้ตัวเองเกิดปัญหา แต่เห็นฆราวาสกลุ่มนี้สังหารพระสงฆ์ไปไม่น้อย ถึงได้ลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่ตะโกนอีกครั้ง “เจ้าเป็นใคร?”
ปีศาจโลหิตยืนเงียบอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน มีเพียงศีรษะที่คลุมด้วยผ้ามุ้งสีแดงที่ขยับช้าๆ กวาดมองสภาพเหตุการณ์โดยรอบ
เมื่อเห็นนางไม่ตอบ ทางนี้ก็ไม่รู้ชัดว่าอีกฝ่ายมีที่มาอย่างไร ไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม หลันเหย่พยักหน้าเบาๆ เพื่อบอกใบลูกน้องคนหนึ่ง
ลูกน้องคนนั้นจำต้องถืออาวุธและรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปใกล้ เจ้าตัวไม่กล้าลงมือบุ่มบ่ามเช่นกัน เพียงใช้ทวนยาวแหย่เลิกผ้ามุ้งของปีศาจโลหิตออก
โฉมหน้าที่แท้จริงของปีศาจโลหิตเปิดเผยต่อหน้าทุกคนทันที ใบหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวที่เต็มไปด้วยรอยย่นราวกับโครงกระดูก ทำให้ทุกคนตกใจทันที
ตอนที่ 945
เจ้าอาวาสวัดจิตสงบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ศีลแปดที่หลบอยู่ด้านหลังหน้าต่างอ้าปากค้าง ถูกทำให้ตกใจเช่นเดียวกัน ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นคนตายมาก่อน ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นโครงกระดูกมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นหนังย่นหุ้มกระดูกแบบนี้เดินได้มาก่อน ศีรษะที่แห้งกรังกำลังขยับ ลูกตาในเบ้าตาที่กลวงลึกแบ่งแยกขาวดำชัดเจน แต่พอมารวมอยู่ด้วยกันแล้วก็บอกไม่ถูกว่าสยดสยองขนาดไหน
พอเปิดผ้าสีแดงแล้วเห็นอะไรแบบนี้ มองเห็นชัดเจนตอนกลางวันแสกๆ น่ากลัวมาก มีคนไม่น้อยสูดหายใจอย่างตกตะลึง คนเป็นๆ คนหนึ่งทำไมกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ เป็นตัวประหลาดอะไรกันแน่?
ปีศาจโลหิตเหมือนจะมองอะไรบางอย่างออกจากสายตาของทุกคน เงยหน้าช้าๆ มองดูสองมือของตัวเอง มันเหมือนตีนไก่ยิ่งกว่าอะไรเสียอีก แม้แต่ตัวเองยังรับไม่ค่อยได้ ปีศาจก็ดี มารก็ดี มนุษย์ที่ไหนก็รักสวยรักงามทั้งนั้น
นางเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ แต่ไม่มีทางเลือก ถ้าไม่ทำแบบนี้นางก็มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ความเป็นความตายในแดนฝึกตนไม่มีความเมตตา แต่ละคนล้วนทำไปเพื่อให้ได้ยืนมองหมิ่นสรรพสิ่งอยู่บนจุดสูงสุด ชีวิตคือสิ่งที่ไร้ค่าที่สุด คนที่รอดมาได้มักปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างโหดร้ายอยู่เสมอ ตอนปฏิบัติต่อตัวเองก็ไม่ได้อ่อนโยนสักเท่าไร ถ้าไม่สู้สุดชีวิตก็อยู่ไม่รอด
ดวงตาในเบ้าตาฉายแววเย็นเยียบ กวาดสายตามองกลุ่มคน แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าหน้าตาน่าเกลียดมากใช่มั้ย?”
“นางอัปลักษณ์! เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่?” หูลี่ฮวาควงดาบตะคอกถาม
“นางอัปลักษณ์?” ปีศาจโลหิตหัวเราะแห้งๆ ในเสียงหัวเราะปนด้วยความโกรธอย่างที่ยากจะปิดบัง แล้วจู่ๆ มีเสียงดังพรึ่บ ผ้าไหมแดงเส้นหนึ่งยิงเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับหนวดปลาหมึก
ทุกคนตกใจมาก หูลี่ฮวาก็ยิ่งตื่นตระหนก อีกฝ่ายลงมือเร็วเกินไปจริงๆ เร็วจนนางหลบไม่ทัน นางยกดาบฟันมั่วๆ แต่พอโดนผ้าไหมแดงสะบัดใส่ ดาบก็ถูดปัดกระเด็นออกไปพร้อมเสียงดังปั้ง จากนั้นก็รู้สึกตึงแน่นร่างกาย ยังไม่ทันรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ก็โดนผ้าไหมแดงรัดแน่นและดึงเข้ามาแล้ว
ชั่วพริบตาเดียว หูลี่ฮวาก็เผชิญหน้าอยู่กับปีศาจโลหิตที่สยดสยองน่ากลัว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าวรยุทธ์ของทั้งสองต่างกันมาก หูลี่ฮวาที่ขยับตัวไม่ได้หวาดกลัวถึงขีดสุด กล่าวขอร้องว่า “โปรดไว้ชีวิต… ช่วยข้าด้วย!” ตะโกนประโยคสุดท้ายบอกคนของตัวเอง
ปีศาจโลหิตพลิกฝ่ามือถือน้ำเต้าโลหิตออกมา ค้างคาวโลหิตตัวหนึ่งยัดอยู่ตรงปากน้ำเต้า หน้าตาเหมือนน้ำเต้าโลหิตที่โดนเหมียวอี้ทำลายไปในปีนั้น
ค้างคาวไม่ใช่เครื่องประดับ แต่เป็นสัตว์มีชีวิต มันบิดหัวเผยฟันแหลมร้อง ‘จี๊ดๆ’ สองคำ แล้วจู่ๆ ก็พุ่งตัวออกมาราวกับสายฟ้า ฟันแหลมเต็มปากกัดที่คอของหูลี่ฮวาจนเป็นแผลเลือด ในขณะที่โดนผ้าไหมแดงรัดคออยู่ น้ำเลือดสายหนึ่งพุ่งออกมาจากคอของหูลี่ฮวา
เห็นได้ชัดว่าน้ำเต้าโลหิตมีแรงดึงดูดกลุ่มหนึ่ง น้ำเลือดไม่หยดลงพื้น เพราะมันดูเลือดที่พุ่งจากคอของหูลี่ฮวาเข้าไปจนหมด ที่คอของหูลี่ฮวามีเลือดพุ่งไม่หยุด น้ำเต้าโลหิตก็ดูดซับไม่หยุดเช่นกัน หูลี่ฮวาซูบซีดลงเร็วมากจนสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า ค้างคาวโลหิตบินวนไปวนมาอยู่บนท้องฟ้า
ทุกคนตกใจกลัวไม่หาย แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเหลือ ได้แต่มองหูลี่ฮวาสิ้นชีวิตไปโดยทำอะไรไม่ได้ เป็นเพราะปีศาจโลหิตเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดตรงหว่างคิ้ว คนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนั้นไม่มีใครวรยุทธ์บงกชทองสักคน เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่ที่วรยุทธ์สูงสุดก็มีแค่บงกชม่วงขั้นหกเท่านั้น
ศีลแปดที่หลบอยู่ข้างหลังหน้าต่างปิดปากเงียบกริบ เขาหันไปมองข้างหลัง อยากจะหนีแต่ก็ไม่กล้าหนี เมื่ออยู่ภายใต้คนที่วรยุทธ์ระดับนี้ เขาไม่มีความมั่นใจว่าจะหนีพ้นเลย
“หนี!” เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่พลันตะโกน ทุกคนหนีกระจัดกระจายเหมือนนกตื่นธนูทันที
พรึ่บๆ! ผ้าไหมแดงหลายสิบเส้นยิงออกจากตัวปีศาจโลหิต กระจายไปทั่วทุกทิศ ราวกับปลาหมึกที่มีหนวดสัมผัสงอกเต็มไปหมด มันลอยไปดึงคนที่กำลังหนีกลับมาได้อย่างง่ายดายเหมือนเอามือล้วงหยิบของในกระเป๋า ชั่วพริบตาเดียวก็ดึงกลับมาได้แล้ว ดึงเข้ามาใกล้โดยมีปีศาจโลหิตเป็นศูนย์กลาง!
“ท่านเซียนได้โปรดไว้ชีวิต…” กลุ่มคนร้องขอชีวิตอย่างตื่นตระหนก
แต่กลับเห็นค้างคาวโลหิตที่บินวนอยู่บนท้องฟ้าพุ่งตัวใส่กลุ่มคน บินเข้ามากัดเส้นเลือดตรงคอของพวกเขาจนขาด จมูกที่ลีบแบนของปีศาจโลหิตขยับเล็กน้อย ใช้ความสามารถในการดมกลิ่น แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวชายหญิงคู่หนึ่ง พรึ่บๆ ทั้งสองถูกดึงเข้ามาตรงหน้านางทันที
ปากเหี่ยวที่มีฟันขาวอยู่ข้างในอ้าออก บนคอของชายหญิงคู่นั้นมีเลือดพุ่งออกมาสองสาย และกรอกเข้าไปในปากนางโดยตรง ไหลลงท้องนางไปแล้ว
ชายหญิงคู่นั้นเหี่ยวลีบลงเร็วมาก แต่ปีศาจโลหิตกลับมีเนื้อมีหนังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันเลือดจากคอคนอื่นก็พุ่งออกมา และโดนน้ำเต้าโลหิตดูดเก็บเข้าไปแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ปีศาจโลหิตก็กลับมาสวยสดใสหยาดเยิ้มอีกครั้ง อาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ฟื้นตัวแล้ว กลายเป็นผู้หญิงสวยงดงดงามคนหนึ่ง สภาพน่าหวาดกลัวเมื่อครู่นี้ไม่มีทางเทียบติด เป็นภาพเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดมาก
ท่ามกลางสียงร้องโหยหวน ศีลแปดที่หลบอยู่ด้านหลังหน้าต่างจนใจจนตัวสั่นงันงก วางมือข้างหนึ่งกัดไว้ในปาก ไม่กล้ามองดูต่อแล้ว นั่งยองๆ ลงอย่างเนิบช้า
ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังแล้ว พบว่าคนของพิภพใหญ่โหดเกินไปจริงๆ ไม่น่าดื้อกับพี่ใหญ่แล้วเพ่นพ่านไปทั่วแบบนี้เลย ตอนนี้ต่อให้อยากหนีแต่ก็ไม่กล้านี้ ชัดเจนมากแล้ว อาศัยวรยุทธ์ของเขาไม่มีทางหลบหนีผ่านหนังตาของอีกฝ่ายได้เลย
สายตาพลันไปหยุดอยู่บนศพหลายร่างของพระสงฆ์ กลอกตาล่อกแล่กไปมาแล้วกัดฟัน เหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ ฉวยโอกาสที่ข้างนอกกำลังมีเสียงกรีดร้องโหยหวน เจ้าบ้านี่รีบหยิบมีดสั้นออกมาด้ามหนึ่ง คิดจะแทงตัวเองสักสองที แต่ชูมีดขึ้นมาสองครั้งแล้วก็ยังทำไม่ลง ถ้าจะให้ใช้มีดตัดต้นขาตัวเองเหมือนพี่ใหญ่ที่หุบเขาเพลิงนภาในปีนั้น เขาก็ทำไม่ไหวจริงๆ เขาเป็นคนที่ค่อนข้างรักตัวกลัวตาย แต่ไหนแต่ไรก็ยึดถือหลักการ ‘ให้เพื่อนตายก่อน แต่อาตมาต้องไม่ตาย’ ทำเรื่องโหดร้ายกับตัวเองไม่ไหว
เขารีบเก็บมีดสั้น แล้วนำโซ่เส้นหนึ่งมามัดตัวเองเอาไว้ แล้วล้มตัวลงนอนเงียบๆ อยู่ในกองเลือดข้างศพพวกนั้น จากนั้นก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับวรยุทธ์ของตัวเอง ทำท่าเหมือนโดนจับมาทรมาน นอนรอการตัดสินของโชคชะตาอยู่อย่างนั้น ดูว่าจะอยู่รอดไปได้หรือเปล่า
ในที่สุดเสียงร้องโหยหวนในลานวัดก็เงียบลง ผ้าไหมแดงหดกลับมาจากทั่วสารทิศผืนแล้วผืนเล่า ศพหลายศพแห้งเหี่ยวล้มลงพื้นเหมือนกับสภาพของปีศาจโลหิตก่อนหน้านี้ น้ำเต้าโลหิตที่อยู่ในมือนางหมุนวนกวาดพื้น กวาดเก็บศพทุกร่างเข้าไปในน้ำเต้าโลหิต แม้แต่ศพของพระสงฆ์พวกนั้นก็ไม่ปล่อยให้เสียของเหมือนกัน
การหลอมสร้างค่ายกลมารโลหิตขึ้นมาใหม่ ไม่รู้ว่าต้องใช้กี่ชีวิตมาเสริมชดเชย ศพพวกนี้สามารถใช้ประโยชน์ได้
ปีศาจโลหิตที่กลับสู่สภาพเดิมแล้วกวาดดวงตางามมองไปรอบๆ นางได้กลิ่นคาวเลือดโชยมาจากในวิหารใหญ่ จึงถลันตัวเข้าไปในนั้น ค้างคาวโลหิตก็บินตามไปเช่นกัน เมื่อเห็นศพหลายร่างในวิหารใหญ่ นางก็หยิบน้ำเต้าโลหิตออกมาเก็บทันที
นางถือน้ำเต้าโลหิตเดินตามกลิ่นคาวเลือดเข้าไปในวิหารด้านข้าง พอกวาดตามองแวบหนึ่งก็อึ้งทันที เห็นเพียงพระรูปหนึ่งโดนมัดอยู่ท่ามกลางศพพระรูปอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สวมจีวรสีเทาเหมือนพระสงฆ์ที่เหลือ แต่เป็นสีขาวนวล ทั้งยังมีชีวิตอยู่ด้วย
ศีลแปดเงยหน้ามองนาง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “อามิตาพุทธ วัดจิตสงบไม่แย่งชิงเรื่องทางโลก สมาคมดอกกล้วยไม้ของพวกเจ้ายกดาบสังหาร ไม่กลัวตกนรกอเวจีเชียวหรือ?”
ที่จริงในใจเขายังหวาดกลัวไม่หาย แต่ฝีมือการวางมาดสง่าภูมิฐานนั้นฝึกมาจนยอดเยี่ยมไร้เทียมทานแล้ว พรสวรรค์นี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบติด ดังนั้นภายนอกจึงสงบใจเย็นมาก
ปีศาจโลหิตไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร แต่มองออกแล้วว่าพระรูปนี้คือพระของวัดนี้ อย่างน้อยศีรษะโล้นนั่นก็ไม่ได้ดูเหมือนเพิ่งโกน นางไม่ได้พูดอะไรอีก ถือน้ำเต้าโลหิตดูดก็บศพที่อยู่ข้างซ้ายและขวาของศีลแปด พอยกมือขึ้น ค้างคาวโลหิตก็บินกลับมาเป็นจุกปิดปากน้ำเต้า แล้วพลิกมือเก็บน้ำเต้าโลหิตเอาไว้
จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ร่ายอิทธิฤทธิ์ดึงศีลแปดขึ้นมา หลังจากมองดูใบหน้าของศีลแปดตรงๆ ปีศาจโลหิตก็ชะงักงัน ในดวงตาฉายแววตกตะลึง ช่างเป็นพระสงฆ์ที่สง่างาม โดยเฉพาะลักษณะท่าทางที่ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องเหนือคนธรรมดา ยิ่งมองยิ่งสบายใจ การปล่อยให้เลือดเปื้อนจีวรของเขาช่างเป็นการดูหมิ่นจริงๆ…
“โยม อยากสังหารก็สังหารเถิด อย่าคิดว่าอาตมาจะก่อเวรก่อกรรมเพื่อสมาคมดอกกล้วยไม้ของพวกเจ้า” ศีลแปดกล่าวแล้วถอนหายใจเบาๆ
ปีศาจโลหิตที่จ้องไม่ละสายตาได้สติกลับมา แล้วเดินเขาไปวางมือบนบ่าของเขา พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบ ก็พบว่าโดนคนระงับวรยุทธ์ จึงใช้ฝ่ามือตบหน้าอกของศีลแปดหนึ่งที ปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์อันแข็งแกร่งพุ่งชน แล้วดึงโซ่ที่มัดศีลแปดโยนลงพื้น จ้องศีลแปดพร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าไม่ใช่คนของสมาคมดอกกล้วยไม้ เพียงผ่านมาที่นี่ เห็นมีคนมาทำชั่วหยามหมิ่นในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธ จึงลงมือกวาดล้าง”
ลงมือกวาดล้างคือคำโกหก แต่นางไม่สู้กับคนของตำหนักสวรรค์และคนของศาสนาพุทธคือเรื่องจริง นอกเสียจากจะจำเป็นและไม่มีทางเลือก ไม่อย่างนั้นถ้าไปแตะต้องคนของสองแดนนี้ ก็จะไปเตะโดนเหล็กแข็งเอาได้ง่ายๆ ถ้าก่อปัญหาใหญ่ขึ้นมาจะเอาตัวไม่รอด
“อามิตาพุทธ ที่แท้ก็ได้พบพระโพธิสัตว์หญิงแล้ว” ศีลแปดประนมมือขอบคุณ “ประเสริฐแท้! ประเสริฐแท้!”
คำชมนี้ทำให้ปีศาจโลหิตรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย มือตัวเองเปื้อนเลือดมาไม่รู้ตั้งเท่าไร เป็นครั้งแรกที่ถูกคนมองว่าเป็นพระโพธิสัตว์ จึงถามว่า “ไต้ซือเป็นใครกัน?”
“อาตมาคือศีลแปด เป็นเจ้าอาวาสของวัดจิตสงบแห่งนี้” ศีลแปดตอบ
“ที่แท้ก็เป็นเจ้าอาวาส…” ปีศาจโลหิตพยักหน้า มิน่าล่ะการแต่งตัวจึงดูพิเศษกว่าพระทั่วไปของวัดนี้ แต่ก็ยังถามด้วยสีหน้าสงสัยว่า “ทำไมบนตัวไต้ซือมีกลิ่นสุราล่ะ?”
ศีลแปดหัวใจกระตุกวูบ ร้องในใจว่าซวยแล้ว ทำไมลืมไปได้ว่าตัวเองดื่มสุรามา?
แต่เขาก็ยังทำสีหน้าเหมือนเดิม ตอบอย่างจนใจว่า “พวกสมาคมดอกกล้วยไม้บังคับให้อาตมาทำเรื่องชั่วกับพวกเขา อาตมาไม่ยอม พวกเขาก็เลยกรอกสุรายัดเนื้อเข้าปากอาตมา อาตมาจะได้ผิดศีลทำชั่วกับพวกเขา หารู้ไม่ว่าสำหรับอาตมาแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสุราและเนื้อที่ผ่านลำไส้เท่านั้น แต่พระพุทธเจ้ากลับประทับอยู่ในใจ!”
“ไต้ซือช่างมีความคิดที่เหนือชั้น!” ปีศาจโลหิตพยักหน้ายิ้ม พูดจบก็รู้สึกแปลกนิดหน่อย ทำไมตัวเองถึงมาพูดสรรเสริญเยินยอพระสงฆ์รูปนี้ได้?
ศีลแปดเดินเฉียดผ่านนางไปด้วยสีหน้าสงบใจเย็น เดินมาถึงวิหารใหญ่ด้านนอก พอสายตาเหลือบไปเห็นถ้วยและตะเกียบสี่ชุดบนโต๊ะสุรา เขาก็เลิกคิ้วทันที รีบเดินไปบดบังเอาไว้ข้างหลังตัวเอง ประนมมือขอภัย แล้วโบกมือหวาดทำลายของบนโต๊ะทั้งหมดทิ้งไป
พอหันไปมองพระพุทธรูปที่ชำรุดอยู่เบื้องบน เขาก็ประนมมือสวดมนต์อยู่พักหนึ่ง สงบใจสวดด้วยท่าทางจริงจัง
ปีศาจโลหิตเดินตามอยู่ข้างหลัง ความระมัดระวังตัวในใจหายไปแล้วเช่นกัน มั่นใจว่าท่านนี้คือพระจริงๆ อย่างน้อยถ้าไม่เคยอ่านคัมภีร์มาก่อน ก็คงไม่มีทางสวดมนต์ได้คล่องขนาดนี้หรอก ไม่ได้แกล้งทำชั่วคราวแน่นอน
จากนั้นศีลแปดก็เดินออกจากวิหารใหญ่ เดินวนตรวจดูทั่ววัดอย่างชำนาญตลอดทาง เห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกับวัดมาก ปีศาจโลหิตที่เดินตามอยู่ข้างหลังก็ยิ่งมั่นใจว่าศีลแปดคือพระของวัดนี้จริงๆ
เมื่อเดินดูตามที่ต่างๆ แล้วไม่เจอใครสักคน ศีลแปดก็เดินออกจากประตูใหญ่ของวัด เงยหน้ามองป้าย ‘วัดจิตสงบ’ ถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ไม่มีใครรอดชีวิตสักคนเลยหรือ?”
ปีศาจโลหิตยืนมองเขาเงียบๆ อยู่ไม่ไกล ในใจรู้สึกสงบ ลืมเรื่องบุญคุณความแค้นไปแล้ว…
ตอนที่ 946
ปฏิบัติการลับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ ร้านค้าสมาคมวีรชน ปีศาจโลหิตกลับมา หวงฝู่จวินโหรวที่รออยู่ในศาลากลางน้ำเห็นแล้วถามว่า “ทำสำเร็จแล้วรึยัง?”
ปีศาจโลหิตส่ายหน้า “พลาดค่ะ”
“โดนคนของปราสาทดำเนินนภาขัดขวางเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวถาม
คนที่นางเรียกให้ไปช่วยปีศาจโลหิตกลับมาแล้ว รู้ว่ามีคนของปราสาทดำเนินนภาอยู่ข้างกายเหมียวอี้
ปีศาจโลหิตขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตอบว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับปราสาทดำเนินนภา เป็นเพราะข้าประเมินไอ้จัญไรนั่นต่ำไป วิชาทวนยอดเยี่ยมมาก ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะโดนเขาทำร้ายจนบาดเจ็บ เกือบต้องไปตายด้วยน้ำมือเขา”
“จะเป็นไปได้ยังไง? วรยุทธ์ของเจ้าสูงกว่าเขาไม่ใช่น้อยๆ!” หวงฝู่จวินโหรวตกใจ
จนกระทั่งปีศาจโลหิตเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้ฟัง หวงฝู่จวินโหรวก็เงียบไปครู่หนึ่ง พบว่าตัวเองประเมินเหมียวอี้ต่ำไปเหมือนกัน พบว่าเจ้าบ้านี่ไม่ใช่แค่เจ้าเล่ห์ แต่มีความสามารถจริงๆ ไม่ได้อาศัยของวิเศษอะไรช่วย เมื่อเอาจริงขึ้นมา ก็อาศัยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งทำร้ายปีศาจโลหิตที่วรยุทธ์ระดับบงกชทองขั้นเจ็ดจนบาดเจ็บได้ มิน่าล่ะถึงหยิ่งไม่ยอมแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่ พอนึกถึงเรื่องนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เขาบอกว่าถ้าไปแล้วจะไม่กลับมาอีก เขาไปครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะหาเขาพบ” ในน้ำเสียงเจือด้วยความกลัดกลุ้มเล็กน้อย
ปีศาจโลหิตนึกว่านางเสียดายที่ฆ่าเหมียวอี้ไม่สำเร็จ ตัวเองก็รู้สึกเสียดายมากเช่นกัน เป็นความผิดพลาดของตนโดยแท้ ไม่อย่างนั้นต่อให้จับตัวเป็นๆ ไม่ได้ ต่อให้ตายก็ต้องจับให้สำเร็จ “นอกเสียจากจะหลบไม่ยอมออกมา ไม่อย่างนั้นในใต้หล้าก็มีคนของสมาคมวีรชนของพวกเราอยู่ทั่ว ต้องหาเขาพบอยู่แล้ว ถ้าได้ข่าวของเขา รบกวนเถ้าแก่น้อยส่งข่าวให้รู้สักหน่อย”
“ส่งข่าวเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวงุนงง “เจ้าจะไปแล้วเหรอ?”
ปีศาจโลหิตจะไปแล้วจริงๆ ทั้งยังรีบร้อนมากด้วย หลังจากอธิบายเรื่องบางอย่างให้ชัดเจนแบบต่อหน้าไปแล้ว ก็ไม่ได้อยู่ต่อเลย กล่าวอำลาทันที ถึงขั้นไม่อยากคุยเรื่องเหมียวอี้เยอะด้วย เหมือนมีเรื่องอะไรที่เร่งด่วนกว่านั้น สิ่งนี้ทำให้หวงฝู่จวินโหรวแปลกใจอยู่บ้าง เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ปีศาจโลหิตก็เอาแต่คิดเรื่องที่ตัวเองเสียยาเม็ดโลหิต…
ณ สถานที่ไร้ระเบียบ ปราสาทดำเนินนภา ภูเขาเซียนเลื่อนลอย ยอดเขาสูงเทียมเมฆปรากฏให้เห็นรางๆ ตอนพระอาทิตย์ขึ้นแสงสีทองหมื่นจั้งปูคลุมทะเลเมฆ
เมื่อเข้ามาในภูเขาเซียน ศาลาแต่ละแห่งที่อยู่ระหว่างภูเขาก็โดดเด่นสะดุดตา สงบเงียบน่าอยู่ ระหว่างทางเดินของดินแดนที่คล้ายกับสรวงสวรรค์ เห็นผู้ชายและผู้หญิงไม่น้อยคำนับจงหลีค่วย เรียกเขาว่าอาจารย์อาบ้าง อาจารย์ลุงบ้าง ลูกศิษย์ในภูเขาที่เห็นคนแปลกหน้าอย่างเหมียวอี้พากันประหลาดใจ
จงหลีค่วยพาเหมียวอี้มาที่ใต้หน้าผาแห่งหนึ่ง น้ำตกไหลตกกระทบกันหลายชั้น มันไหลยาวเหยียดคดเคี้ยวลงจากยอดเขาสูงหลายสิบจั้งราวกับมังกรหยก น่าตื่นตาตื่นใจมาก และบนน้ำตกนั้น มีสะพานโค้งวางพาดในแนวขวาง ประณีตยิ่งกว่าเนรมิต
ภายใต้การแนะนำของจงหลีค่วย ทั้งสองเหาะขึ้นไปบนนั้นด้วยกัน ไปเหยียบลงบนสะพานโค้งเหนือน้ำตก เมื่อมาถึงตรงนี้ถึงได้พบว่าเห็นอะไรได้เยอะกว่าตอนอยู่ข้างล่าง ด้านบนมีตำหนักอยู่หลังหนึ่ง
บนรั้วของสะพานมีรูปสลักของสัตว์ประหลาดหลายตัวตั้งอยู่ รูปร่างแปลกประหลาด สมจริงราวกับมีชีวิต ส่วนตำหนักที่อยู่ตรงหน้าก็ดูโบราณเรียบง่าย ที่นี่คือตำหนักคุมงาน ไม่ใช่สถานที่ที่ประมุขปราสาทรักษาการณ์
เหมียวอี้เหลียวซ้ายแลขวา ส่วนจงหลีค่วยก็โบกมือบอกว่า “ไปเยี่ยมคารวะรองเจ้าสำนักก่อน เดี๋ยวค่อยมาเดินชมก็ยังไม่สาย”
เหมียวอี้พยักหน้าแล้วเดินตามไป ก่อนหน้านี้จงหลีค่วยบอกเอาไว้แล้ว เหวินหวนเจินประมุขปราสาทดำเนินนภากับผู้อาวุโสอีกหลายท่านที่มีพลังอิทธิฤทธิ์ระดับอนันตภาพไม่สนใจโลกภายนอกมาตั้งนานแล้ว เก็บตัวฝึกตนมาโดยตลอด ถ้าไม่มีธุระสำคัญก็จะไม่ออกจากการเก็บตัวฝึกตน ธุระต่างๆ ในปราสาทล้วนส่งต่อให้หัวหน้าศิษย์ฝูเสี่ยนจัดการ เขาคือรองเจ้าสำนักที่จงหลีค่วยเรียก และเป็นอาจารย์ของจงหลีค่วยเช่นกัน
เดิมทีเหมียวอี้ไม่มีสิทธิ์เข้าพบศิษย์รองเจ้าสำนักของปราสาทดำเนินนภาเลย เป็นเพราะตอนนี้ปราสาทดำเนินนภากับร้านขายของชำซื่อตรงทำงานร่วมกัน และเหมียวอี้ก็เป็นหนึ่งในหุ้นส่วน เขาถึงได้มาพบกับเหมียวอี้เป็นกรณีพิเศษ
ด้านนอกตำหนักไม่มีคนเฝ้า หลังจากได้รับรายงานแล้ว ชายวัยกลางคนที่สีหน้าอ่อนโยนคนหนึ่งก็เดินออกมา ไม่ได้ดูน่าเกรงขามอะไร หน้าตาธรรมดาสามัญ เป็นประเภทที่ถ้ารวมกลุ่มอยู่กับคนอื่นจะไม่โดดเด่นสะดุดตา ดูอายุน้อยกว่าจงหลีค่วย แต่จงหลีค่วยเห็นเขาแล้วก็กุมหมัดคารวะทันที “ท่านอาจารย์!”
เมื่อได้ยินคำเรียกนี้ ก็ไม่ต้องอธิบายถึงฐานะของผู้ที่มาแล้ว เหมียวอี้กุมหมัดคารวะทันที “ผู้น้อยหนิวโหย่วเต๋อคารวะรองเจ้าสำนัก”
“แขกคนสำคัญมาเยือน ข้าเสียมารยาทที่ไม่ได้เข้าไปต้อนรับใกล้ๆ ไม่ต้องมากพิธีหรอก เชิญข้างใน!” ฝูเสี่ยนยิ้มพร้อมยื่นมือเชิญ เหมียวอี้เองก็ไม่ได้มีหน้ามีตาใหญ่โตอะไร อีกฝ่ายเห็นแก่หน้าร้านขายของชำซื่อตรง
หลังจากกล่าวทักทายกันตามมารยาท ทั้งสองก็ไม่ค่อยมีอะไรให้คุยกันเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธ์หรือระดับ ถึงอย่างไรทั้งสองก็ต่างกันมาก เหมียวอี้เองก็ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายเสียเวลา จึงนำแผ่นหยกแผ่นหนึ่งยื่นให้ฝูเสี่ยน นี่คือป้ายคำสั่งของอวี้ซวีเจินเหริน ผู้ซึ่งรักษาการณ์ร้านขายของชำซื่อตรง เหมียวอี้บอกเขาว่า ปราสาทดำเนินนภาสามารถส่งคนไปลงนามสัญญาการซื้อขายที่ร้านขายของชำซื่อตรงได้ทุกเมื่อ ถ้าถือป้ายคำสั่งนี้ไป ไม่ว่าจะเข้าไปทำการค้าที่สาขาใดของร้านขายของชำซื่อตรง ก็ล้วนได้รับการอำนวยความสะดวกและสิทธิพิเศษ
ป้ายคำสั่งนี้ เหมียวอี้เป็นคนขอมาจากอวี้ซวีเจินเหริน ในเมื่อสำนักลมปราณคบค้ากับปราสาทดำเนินนภาแล้ว จะไม่แสดงน้ำใจสักหน่อยได้อย่างไร ต้องได้รับน้ำใจก่อน ถึงจะเกิดความสนิมสนมกัน
การกระทำที่ไว้หน้ากัน ไม่ว่าใครก็ชอบใจทั้งนั้น มิหนำซ้ำ ของเบ็ดเตล็ดที่ลูกศิษย์ปราสาทดำเนินนภาหามาได้ในแต่ละปี ถ้าจะจัดการแบ่งประเภทขึ้นมาก็ยุ่งยากจริงๆ เมื่อมีร้านขายของชำซื่อตรงคอยช่วย ต่อไปนี้ก็เว้นช่วงไว้จัดการรวมกันครั้งเดียวก็พอแล้ว แบบนี้ช่วยให้ลูกศิษย์ในสำนักลดภาระยุ่งยากไปไม่น้อย รองเจ้าสำนักอย่างเขานับว่าได้ทำเรื่องดีๆ แล้ว
ดังนั้นฝูเสี่ยนจึงดีใจมาก มองไปที่จงหลีค่วยพลางพยักหน้าเบาๆ รู้สึกว่าครั้งนี้ลูกศิษย์ของตัวเองออกไปปฏิบัติงานนอกสถานที่ได้ดี เรื่องนี้ทำเอาจงหลีค่วยละอายใจ เพราะที่จริงเขาไม่ได้ไปทำอะไรที่ที่ร้านขายของชำซื่อตรงเลย
ที่จริงฝูเสี่ยนยังไม่ค่อยเข้าใจร้านขายของชำซื่อตรงเท่าไร มีช่องทางจัดหาสินค้าที่มั่นคงเพิ่มขึ้นมา นับเป็นเรื่องดีสำหรับร้านขายของชำ นี่คือเรื่องที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ตอนหลังก็ย่อมรู้เอง แต่การได้ป้ายคำสั่งของอวี้ซวีมา ก็นับว่าเป็นการไว้หน้าปราสาทดำเนินนภาจริงๆ
นอกจากพูดจาตามมารยาทกับเหมียวอี้นิดหน่อย อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรให้คุยกันแล้ว จากนั้นก็ให้คนพาเหมียวอี้ไปพักผ่อน เหลือแค่จงหลีค่วยที่อยู่คุยกับเขา
เรือนพักรับรองแขกสวยและเงียบสงบ สภาพแวดล้อมก็ไม่เลว หลังจากเหมียวอี้ได้อยู่เงียบๆ คนเดียว ก็ไม่มีอารมณ์จะเดินดูรอบๆ แล้ว เขานั่งอยู่คนเดียวในศาลา นึกย้อนไปถึงภาพตอนที่ตัวเองต่อสู้กับปีศาจโลหิต
ก่อนหน้านี้จิงชี่เสินยังไม่ฟื้นตัวกลับมา แต่ตอนนี้มีสมาธิครุ่นคิดให้ละเอียดแล้ว กำลังคิดวนไปวนมาว่าจุดสีดำที่เกิดตอนใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารคืออะไร จากที่จงหลีค่วยบอก จุดสีดำนั่นมีอานุภาพเยอะมาก ขนาดวรยุทธ์อย่างจงหลีค่วย กว่าจะต้านทานได้ยังเปลืองพลังไปเยอะมาก
เขาอยากจะลองใช้ดูอีกสักครั้ง แต่ถ้าใช้กระบวนท่าหนึ่งทวนสิบสังหารอีก เขาก็คงจะไร้เรี่ยวแรงและทำอะไรไม่ได้ไปสักระยะหนึ่ง ไม่เป็นผลดีกับการตามหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานในครั้งนี้
ในมือเขามียาเม็ดโลหิตที่ใช่ฝึกตนได้ เดิมทีคิดไว้ว่าหลังจากส่งเยารั่วเซียนมาที่พิภพใหญ่แล้ว เขาก็จะสงบจิตสงบใจฝึกฝน ทุ่มเทกำลังและจิตใจไปกับการเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงขึ้น เป็นเพราะเรื่องเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแผน
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ จงหลีค่วยก็ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่ตอนไหน ถามว่า “กำลังคิดอะไรอยู่?”
เหมียวอี้หันไปมองแวบหนึ่ง แล้วยืนขึ้นถามด้วยรอยยิ้มม “ไม่มีอะไร! พวกเราจะออกเดินทางกันเมื่อไรล่ะ?”
จงหลีค่วยรู้ว่าเขากำลังถามอะไร ตอบอย่างลังเลว่า “เกรงว่าต้องรออีกประมาณครึ่งเดือน”
“รอเหรอ?” เหมียวอี้แปลกใจ “รออะไร?”
จงหลีค่วยถามกลับว่า “ยังจำพวกมารปีศาจที่หนีรอดไปตอนที่ข้าแย่งแผนที่มาได้มั้ย?”
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ แล้วพยักหน้าช้าๆ “จำได้ อย่าบอกนะว่ามีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น?”
จงหลีค่วยนั่งลง “รองเจ้าสำนักสงสัยว่ามีข่าวเรื่องนี้หลุดออกไป ก่อนหน้านี้มีบุคคลนิรนามมาปรากฏตัวแถวๆ ปราสาทดำเนินนภา ทำให้รองเจ้าสำนักตื่นตัวขึ้นมา รองเจ้าสำนักก็เลยเตรียมจะส่งคนกลุ่มหนึ่งให้ออกไปหลอกล่อดึงดูดความสนใจ จากนั้นพวกเราค่อยออกเดินทางเงียบๆ”
เมื่อพูดแบบนี้แล้ว เหมียวอี้ย่อมไม่มีความเห็นแย้งอะไร ทำได้เพียงรอต่อไป แต่กลับพบว่าตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป จงหลีค่วยก็คอยจับตาดูเขาโดยไม่ออกห่างไปไหน ทำเอาเขาฝึกตนไม่สะดวก เพราะเขาต้องใช้ยาเม็ดโลหิต
ตั้งใจออกมาเดินวนหยั่งเชิงที่เรือนพักรับรองแขก จงหลีค่วยยังคงไม่ออกห่างไปไหน เหมียวอี้พลันหันตัวไปถาม “ลุงหนวด ท่านหมายความว่าอย่างไร? ท่านอย่าบอกเชียวนะว่าไม่ได้กำลังจับตาดูข้าอยู่!”
ตอนนี้จงหลีค่วยถึงได้กอดอก แล้วกล่าวอย่างอ้อมค้อมว่า “พวกมารปีศาจที่หลบหนีไป ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะปล่อยข่าว แต่เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้เรื่อง แน่นอน ข้าไม่ได้ว่าเจ้าเป็นคนปล่อยข่าว แต่ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อป้องกันเอาไว้ ทุกคนจะได้ไม่สงสัย!”
เหมียวอี้พูดไม่ออก แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไรเช่นกัน ทุกคนระวังตัวแบบนี้ก็ไม่ผิด ถึงอย่างไรเขาก็คือคนนอก เพียงสบถไปว่า “แม่งเอ๊ย ถ้าบอกตั้งแต่แรกจะตายรึไง?”
ในค่ำคืนหนึ่งหลังจากครึ่งเดือนผ่านไป เหมียวอี้ที่กำลังฝึกตนถูกจงหลีค่วยพาออกไปยังหุบเขาที่ลับตาคนแห่งหนึ่งเงียบๆ พบว่าหมิงจ้าวที่มีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งก็อยู่ด้วย ไฉจวิ้นและพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องก็อยู่ด้วยเช่นกัน เป็นกลุ่มคนที่เข้ามาช่วยตอนที่เจอปีศาจโลหิตครั้งก่อน ถ้านับรวมเหมียวอี้ กลุ่มนี้ก็มีคนทั้งหมดสิบสามคน มีหมิงจ้าวเป็นผู้นำกลุ่ม
ภายใต้การบัญชาการของหมิงจ้าว ทุกคนเปลี่ยนเสื้อและปลอมตัว
หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้ว พวกเขาก็กระโดดลงไปที่แม่น้ำในหุบเขา ไม่ได้ออกเดินทางอย่างโจ่งแจ้ง แต่แอบดำน้ำออกจากปราสาทดำเนินนภาผ่านทางแม่น้ำ
ตามแม่น้ำที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วของกระแสน้ำก็ยิ่งลดลง พวกเขาดำน้ำมาถึงกลางแม่น้ำใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ถึงได้โผล่ขึ้นมาที่ผิวน้ำ แล้วทะลุออกจากชั้นบรรยากาศจากจุดที่มืดและลับตาคนของดาวดำเนินนภา ปฏิบัติภารกิจลับอย่างระมัดระวังสุดๆ
เมื่อเดินทางลึกข้าไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล พวกเขาก็เฝ้าระวังรอบข้างตลอดทาง ป้องกันไม่ให้มีคนสะกดรอยตาม แต่กลับไม่รู้ว่าบนดาวเคราะห์อันเงียบสงัดดวงหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล มีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องพวกเขาอยู่ หลังจากได้เห็นทิศทางที่พวกเขามุ่งไปแล้ว คนชุดดำที่ซ่อนตัวอยู่ในก้อนหินที่ลอยอยู่ในอวกาศก็นำระฆังดาราออกมาส่งข่าว บอกทิศทางที่พวกเขามุ่งไป
แต่หมิงจ้าวที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ระหว่างทางเปลี่ยนเส้นทางติดต่อกันหลายครั้ง เลี้ยวจนเหมียวอี้ไม่รู้แล้วว่ากำลังจะไปทางไหน แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเหมียวอี้ จะได้หลบหลีกความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น
หลังจากนั้นหลายวัน ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีสีสันแพรวพราวก็ปรากฏสู่สายตาของทุกคน ขณะกำลังจะเข้าใกล้ หมิงจ้าวก็ยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดก่อน เขานำม้วนหนังออกมาแผ่ดู พลางเปรียบเทียบดาวเคราะห์ที่หมุนวนอยู่ตรงหน้า เหมือนกำลังตามหาจุดลงที่แม่นยำ
เหมียวอี้ฉวยโอกาสแอบมองแวบหนึ่ง พบว่าเป็นแผนที่ฉบับสำเนา ภาพผู้หญิงทะยานฟ้าบนนั้นสะดุดตามาก เขามองปราดเดียวก็จำได้แล้ว แล้วมองดูดาวเคราะห์สีครามเข้มที่อยู่ตรงหน้า พลางครุ่นคิดในใจว่า หรือว่าดาวเคราะห์ดวงนี้จะเป็นสถานที่ซ่อนภาคดินของเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน?
เขาเองก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน จึงหยิบ ‘แผนที่ดาว’ ออกมาตรวจดู แต่ใครจะคิดว่าจงหลีค่วยที่จ้องอยู่ข้างๆ จะยื่นมือมาตบบ่าเขา บอกใบ้ให้เขาเก็บแผนที่ดาวเดี๋ยวนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น