องครักษ์เสื้อแพร 943-945
ตอนที่ 943 อธิบายสถานการณ์หนิงเซี่ยอย่างละเอียด
โดย
Ink Stone_Fantasy
วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ด้านบน ด้านล่างตีกันครื้นเครง หน้าต่างติดถนนหน้าโรงเตี๊ยมนี้ล้วนมีคนหวังทงเปิดออกชมความครึกครื้นด้านล่างหมดทุกบาน
เรื่องตีกันนี้เป็นเรื่องสนุกของผู้ชาย ทุกคนบนชั้นสองล้วนชมกันอย่างออกรส ไม่เพียงพวกหวังทง คนว่างงานในช่วงเทศกาลก็มีมากไม่น้อย มองออกไกลๆ ก็เห็นคนมาล้อมวงดู ดูการแต่งกายมาจากหลากเผ่า
“ไม่ได้เคยฝึก แต่ว่าความกล้าเรียกได้ว่ามีอยู่”
พวกหานกังอยู่อีกหน้าต่าง กองกำลังหู่เวย กองกำลังองครักษ์ ทหารในสังกัดหวังทง หมัดมวยตั้งแต่ระดับทหารธรรมดาก็ล้วนมีรูปแบบ แปดเก้าส่วนเป็นมวยที่ชีจี้กวงกับอวี๋ต้าโหยวถ่ายทอดมา การต่อสู้เช่นนี้ย่อมมองออกกัน
แต่ทว่าคนเหล่านี้ดูแล้วก็รู้ว่ามวยไร้สำนัก เหมือนอันธพาลตามท้องถนน แค่ลงมือเร็วเท่านั้น กำลังมากเท่านั้น ทุกคนรวมกำลังประสานได้ดีและไม่กลัวเจ็บ
ทหารกองพันรักษาความสงบก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ประสบการณ์น้อยกว่า กำลังน้อยกว่า รวมกำลังประสานไม่ดี และเริ่มลงมือด้วยอารมณ์ ลงมือก็ระบายทันที ด้านหน้าส่งเสียงร้องดัง หลายคนล้มลง ด้านหลังก็คิดจะวิ่งเข้าไป พอขยับ คนอื่นก็ยังคิดชกต่อยกันต่อ ไม่อาจหนีไปไหนได้ ไม่อาจไม่ลงมือ
“หากจะบอกว่าไม่เคยฝึกก็ไม่ใช่ เจ้าดู แม้หมัดมวยไร้รูปแบบ แต่ต่อยล้มไปคน ก็มีเพื่อนข้างๆ เข้าไปช่วย ด้านหน้าสี่คนนั้นไม่ละห่างจากกัน บุกขึ้นหน้าตลอด คนอื่นล้วนอยู่สองปีกข้าง นี่เป็นยุทธวิธีสนามรบ”
ทุกคนวิจารณ์กันคนละคำสองคำ ไม่ต้องตนเองลงมือเอง ดูสนุกสนาน ก็เรียกได้ว่าสร้างความบันเทิงแล้ว
คนด้านล่างตีกันเสร็จ ทหารกองพันรักษาความสงบหลายคนถูกต่อยล้มคลานอยู่บนพื้น มีคนกระทืบซ้ำอีกหลายที ขดตัวราวกับกุ้งอยู่บนพื้น
คนตระกูลปัวในชุดคลุมหนังหัวเราะดังยิ้มเยาะด่าทอ มีคนหนึ่งตะโกนดังขึ้น กล่าวเป็นภาษามองโกล คนที่ล้อมวงชมก็พากันหัวเราะดังลั่น
“เจ้าแพะน้อยกินหญ้าเติบโตมามีค่าอันใด มาทำใหญ่ที่หนิงเซี่ย รู้จักความร้ายกาจแล้วก็ไสหัวกลับไปซะ ที่นี่เป็นที่ของชายบนทุ่งหญ้าอย่างพวกเราเท่านั้น”
หม่าซานเปียวเข้าใจภาษามองโกล แปลให้หวังทงว่า
ตีกันจบ ยิ้มเยาะด่ากันเสร็จ ทหารกองพันรักษาความสงบก็ประคองกันกลับไปอย่างทุลักทุเล คนตระกูลปัวไม่ได้ทำอะไรต่อ หากจากไปอย่างไม่ยี่หระ มาถึงตอนนี้ กองพันรักษาความสงบที่อุดหน้าประตูแน่นจึงได้ค่อยๆ จากไป ขุนพลทหารสีหน้าย่ำแย่วิ่งออกจากด้านในไปสองสามนาย ส่วนใหญ่เป็นนายกองร้อย ส่งเสียงด่าทอดัง
วาจาเป็นภาษาฮั่น อย่างไรก็คงต้องด่าพวกเขาหาเรื่องก่อน ตีกันยังแพ้อีก คนที่มุงดูยังไม่ไปไหน มียิ้มเยาะเสียดสี พวกขุนพลทหารได้ยิน แต่แสร้งไม่ได้ยิน
หวังทงส่ายหน้า โบกมือให้เถ้าแก่ปิดหน้าต่าง ได้ยินทหารติดตามวิพากษ์วิจารณ์ตื่นเต้น ‘หากเป็นพวกเรา ย่อมชนะแน่’ อย่างไรก็ต้องตามหัวหน้าทหารติดตามสองสามคนมากำชับว่า
“ไม่มีคำสั่งข้า ผู้ใดทำการพลการ ลงโทษทางวินัย!”
หัวหน้าทหารติดตามได้รับคำสั่งก็มีสีหน้าไม่ยินยอม หวังทงอดยิ้มเย็นไม่ได้ แต่ก็ไม่สนใจ กลับไปพักผ่อนต่อ
พอฟ้ามืด อาหารยังคงเป็นเนื้อแพะและแผ่นแป้ง มีแค่ต้นหอมดองมาเพิ่ม กับชาร้อนจากผลไม้แห้ง กินง่ายๆ เสร็จไปอีกมื้อ
คนที่ออกไปดูความสนุกด้านนอกล้วนกลับมา ในเมืองหนิงเซี่ยแน่นอนมีหอคณิกา เถ้าแก่โรงเตี๊ยมมาถามว่ามีการค้าหญิงคณิกาที่นี่ด้วย นายท่านทุกท่านคืนนี้ต้องการหรือไม่ เรื่องพวกนี้กับพวกหวังทงไร้วาสนา ได้แต่ไล่ไป
กินอาหารค่ำไปราวครึ่งชั่วยาม ด้านนอกมีคนแต่งกายแบบเถ้าแก่มาคารวะ บอกว่าเป็นคนร้านค้าเบ็ดเตล็ดของตระกูลหลี่ในเมือง ขอพบนายท่านหวังซาน
หวังซาน เป็นชื่อปลอมที่หวังทงใช้ตอนอยู่โรงเตี๊ยม ตลอดทางใช้ชื่อนี้ เชิญเถ้าแก่เข้าไปด้านใน ไปยังที่พักเดี่ยวของหวังทง
เถ้าแก่ผู้นี้พอพบหวังทง ก็หันกลับไปมอง นอกจากผู้คุ้มกันไม่มีคนนอก ก็รีบคุกเข่าโขกศีรษะ กล่าวว่า
“คำนับท่านโหว”
หวังทงไม่เคยพบเถ้าแก่ท่านนี้ เบื้องหน้าเป็นชายอายุราว 40 กว่า คนหวังทงนอกจากระดับหัวหน้าแล้ว ก็ไม่ค่อยมีคนอายุเท่านี้
“ข้าน้อยเป็นคนของใต้เท้าจางซื่อเฉียงที่รับมาตอนอยู่เมืองหลวง เมื่อก่อนอยู่เขตปัจจิมในเมืองหลวงเป็นนายกองธงเล็ก เป็นใต้เท้าจางที่เลื่อนให้ข้าน้อยเป็นนายกองร้อย ตอนนี้มาประจำที่เมืองหนิงเซี่ย”
เล่าที่มาแล้ว หวังทงพยักหน้า ส่งสัญญาณให้คนผู้นี้ลุกขึ้นยืน เขายืนขึ้นท่าทางนอบน้อม ปลดป้ายที่เอวส่งให้ดูก่อนเริ่มรายงาน
ผู้ที่แต่งกายแบบเถ้าแก่ที่มานี้ แม้ว่าเป็นนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรหนิงเซี่ย แต่ปกติก็ทำงานสายลับ ก็หมายความว่า คนในเมืองไม่รู้ว่าเขาเป็นองครักษ์เสื้อแพร
“……นายกองพันหลี่เกรงว่าไม่มีคนส่งข่าว ตระกูลปัวแม้ไม่มีสายมาก แต่สายในหนิงเซี่ยก็หูตาไว พวกเขาแม้ไม่สืบ ก็มีคนไปแจ้งเอง อย่างไรก็ต้องระวัง……”
นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนิงเซี่ยหลิวจี๋หลินมาถึงเมืองหนิงเซี่ยก็พบว่าไม่มีโอกาสสร้างผลงานหรือแสดงความสามารถใด หากต้องระวังตัวเสมอ
นายกองร้อยหลี่เป็นลูกน้องเขา นายกองร้อยหลี่เปิดร้านค้าเบ็ดเตล็ดตรงข้ามสำนักองครักษ์เสื้อแพร ทหารหลายคนล้วนมาซื้อของ หลิวจี๋หลินหากต้องการข่าวใด ก็มาหาจากนายกองร้อยหลี่ ตอนมาซื้อของกระซิบกันเบาๆ หรือาจมีแถบกระดาษเล็กๆ ไม่มีผู้ใดเห็น
คนที่หวังทงส่งมาก็ไปยังร้านค้าที่บอกไว้ก่อนพวกนี้ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าร้านค้านี้ความจริงนั้นเป็นร้านสายองครักษ์เสื้อแพร
“ทราบว่าท่านโหวมา นายกองพันหลิวดีใจมาก แต่ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ซับซ้อน ไม่กล้ามาพบท่านโหว ขอให้ข้าน้อยมาแจ้งข่าวท่านโหว ท่านโหวหากมีคำสั่งก็ให้ข้าน้อยนำกลับไป”
หวังทงตรวจดูป้ายประจำตัว ถามเรียบๆ ว่า
“มีคนว่าตระกูลปัวไม่สงบ มีคนว่าตระกูลปัวคิดก่อการ สถานการณ์แท้จริงคืออะไร?”
“…….เป็นเพราะหลังเกิดเหตุสองเรื่อง……”
นายกองร้อยหลี่เริ่มเล่า เล่าได้เข้าใจ เรื่องพวกนี้คนในพื้นที่ยอมรู้ ผู้ใดล้วนสามารถสืบความเข้าใจได้ ก่อนปีรัชสมัย ว่านลี่ที่ 6 ตระกูลปัวยังกระทำการรอบคอบ แต่ทว่าปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 6 โจรลุ่มน้ำบุกโจมตีหนัก หลายกองกำลังในเมืองกานซู่กับเมืองหนิงเซี่ยล้วนวิกฤต ปัวไป้กับปัวเฉิงเอินนำทหารไปช่วย พอไปถึง โจรลุ่มน้ำก็ถอย นี่เป็นเรื่องปกติ แต่เส้นทางขามา กองพันทหารกับป้อมทหารระหว่างทางไม่เป็นมิตรนัก แต่ก็เอาแต่หดหัวอยู่ในป้อม ความจริงนั้นล้วนกลัวทหารตระกูลปัว ไม่กล้าออกมากัน
อีกเรื่อง ตลอดทางมาที่ได้เห็นเมืองกานซู่กับเมืองหนิงเซี่ย และเมืองอวี้หลิน ทหารไม่น้อย เทียบกับคนงานและทหารตระกูลปัวแล้วต่างกันมาก คบค้ากันก็เหมือนจะเกรงกลัวอยู่หลายส่วน
และทหารที่มากันนี้หลายคนยังเป็นรองแม่ทัพหรือขุนพลทหารจากเมืองชายแดนหลายเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือ ปัวไป้กับปัวเฉิงเอินพบกว่าทหารตนเป็นเจ้าแห่งตะวันตกเฉียงเหนือ จึงยากที่จะไม่เกิดความเหิมเกริมขึ้น
“ทหารกล้าส่านซีล้วนอยู่แถวเมืองซีอัน มีโจรลุ่มน้ำมาโจมตี จึงไม่กล้าออกไปไหน ตระกูลปัวพบเห็นน้อย มิน่าจึงได้เหมือนโลกแคบ”
หวังทงยิ้มกล่าวขึ้น แต่ทว่าความจริงเป็นอย่างไรไม่อาจกล่าวได้ ทหารเมืองหนิงเซี่ยล้วนเป็นพวกอยู่ท่ามกลางสงครามมานาน ทางส่านซีกลับฝึกซ้อมและเสริมกำลังมากกว่า สองฝ่ายเทียบกัน ผู้ใดชนะ ผู้ใดแพ้ ยังต้องคิดอีกที
“……ท่านโหวกล่าววิเคราะห์ได้ยอดเยี่ยม อีกเรื่องก็เพราะปีนี้……”
นายกองร้อยหลี่ยังคงมีนิสัยแบบคนทำงานในเมืองหลวง ยิ้มสรรเสริญหวังทงแล้วก็กล่าวต่อว่า
“ตระกูลปัวนับวันยิ่งเหิมเกริม มณฑลทหารแผ่นดินหมิง ขุนพลทหารเหิมเกริมมากมาย ขุนนางบุ๋นจัดการได้ก็จัดการ ไม่อาจจัดการได้ ก็ได้แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ยอมรับชะตากรรมไป มีคนผู้หนึ่งเหิมเกริมยิ่ง ผู้ว่าการมณฑลสี่คนที่ผ่านมาทนรับตระกูลปัวคุมเส้นทางการเงินใหญ่น้อยในหนิงเซี่ยไว้หมดไม่ได้ ล้วนครบกำหนดแล้วก็ไป ผู้ว่าการมณฑลตั่งเซียงก็เช่นกัน ดังนั้นสองฝ่ายจึงได้ราวกับลิ้นกับฟัน ผู้บัญชาการแน่นอนมองขัดตา ตระกูลปัวนั่งครองพื้นที่มานาน ทำเอานายที่นี่นั่งไร้ศักดิ์ศรี เดิมบุ๋นสูงกว่าบู๊ แต่ที่หนิงเซี่ย ผู้ว่าการมณฑลกับผู้บัญชาการกลับไม่ต่างกัน”
อิทธิพลอำนาจเช่นนี้ เหิมเกริมเช่นนี้ แน่นอนย่อมรู้สึกว่าตนเองไม่อาจเสียเปรียบ แต่สองปีนี้ กำไรการค้าชายแดนถูกบีบหนักมาก พวกเผ่าเล็กที่มาพึ่งพาตระกูลปัวแห่งเมืองหนิงเซี่ยก็เริ่มกระจัดกระจายไป ไม่ก็ถูกทำลายไป ถึงกับมีพวกตระกูลปัวถูกปล้นไปเป็นทาสที่เมืองกุยฮว่าเฉิง ดีที่ระหว่างทางหนีกลับมาได้
เสียเปรียบหนักเช่นนี้ ความแค้นนี้นับวันยิ่งสะสมหนัก แผ่นดินหมิงเห็นเขาเป็นขุนพลทหาร บนทุ่งหญ้ากลับมองว่าตระกูลปัวเป็นชนเผ่าอิทธิพลอำนาจใหญ่สุดในแถบนี้ ตอนนี้บนทุ่งหญ้าถูกกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธบีบคั้นนับวันยิ่งหนัก ทุกคนล้วน ขอให้ตระกูลปัวออกหน้า หวังว่าตระกูลปัวจะสามารถคิดหาวิธีอะไรออกมาได้
ได้ประโยชน์น้อยลง แต่อิทธิพลอำนาจตระกูลปัวขยายอิทธิพลมากขึ้น ยิ่งเหิมเกริมขึ้น ยิ่งแค้นมากขึ้น ยิ่งขยายอิทธิพล ไปสู่ผลลัพธ์ใดย่อมรู้ไม่ยาก
“คิดไม่ถึงว่าเป็นเมืองกุยฮว่าเฉิงที่สร้างความยุ่งยาก ข้าไม่อาจปัดความรับผิดชอบนี้ได้!”
หวังทงยิ้มเยาะตนเอง นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนิงเซี่ยไม่กล้ากล่าวกระจ่าง ผู้ว่าการมณฑลกับผู้บัญชาการไหนเลยจะล่วงเกินได้ แต่ไรมาฎีกาก็กล่าวแต่ว่าตระกูลปัวอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่กล้ากล่าวความจริงที่เป็นอยู่
“ท่านโหวล้อเล่นแล้ว เป็นตระกูลปัวที่เลอะเลือนเอง ตระกูลปัวใช่ไม่ได้จริงๆ เป็นนายกองพันหลิวตงหยางจากป้อมจางเลี่ยงเป่าก่อเรื่อง……”
ตระกูลปัวใกล้บ่อเกลือ อาศัยสายสัมพันธ์กับเผ่าใหญ่น้อยบนทุ่งหญ้าทำกำไรใหญ่จากชายแดน ยังอาศัยเรื่องนี้ทำให้เรืองอำนาจวาสนา แต่นี่ไม่ใช่ตระกูลเขาเริ่มต้น ตระกูลใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือล้วนเป็นเช่นนี้ แต่เพราะตอนนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไป ล้วนพังลงหมดสิ้น
คนพวกนี้รุ่นปู่ก็ร่ำรวยจากเรื่องพวกนี้มา ล้วนเป็นทหารตะวันตกเฉียงเหนือที่กล้าหาญ พอเจอกับสถานการณ์นี้ จะให้ทนรับได้อย่างไร หลิวตงหยางแม้ว่าเป็นแค่นายกองพัน แต่เมืองหนิงเซี่ยนี้เน้นการคบหากันและการช่วยเหลือกันเรื่องเงินทอง เขาเดิมอยู่ที่ป้อมจางเลี่ยงเป่า ต่อมาเกิดเรื่องก็มาอยู่เมืองหนิงเซี่ย กลายแขกตระกูลปัว ว่ากันว่าตระกูลปัวฟังคนผู้นี้ในทุกเรื่อง
หวังทงยกมือนวดขมับเบาๆ …..
ตอนที่ 944 คิดทำสิ่งใด หวังทงรับมือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
แค่รายงานจากพื้นที่ที่ได้อ่านจากเมืองหลวง ไม่อาจรู้สถานการณ์ละเอียดได้ เมืองหลวงรู้เพียงแค่ตระกูลปัวคิดไม่ซื่อ อยากจะก่อการ แต่ตอนนี้มีหลิวตงหยางเพิ่มมาอีกคน
จากนั้นนายกองร้อยหลี่ก็เล่าเรื่องเมืองหนิงเซี่ยและระบบทั้งหมดให้หวังทงรับรู้ นายกองร้อยหลี่เองก็งง ผู้บัญชาการมาปฏิบัติน้าที่หรือมาเที่ยว เหตุใดอยากรู้เรื่องในพื้นที่ละเอียดเพียงนี้
“เจ้ากลับไปก่อน ส่งคนส่งจดหมายสองคนที่ไว้ใจได้มาที่โรงเตี๊ยม ให้นำสารไปรายงานได้ตลอดเวลา”
หวังทงสั่งไว้สุดท้ายเช่นนี้ นายกองร้อยหลี่คำนับรับคำ
โรงเตี๊ยมที่พักอยู่นี้ตอนปีใหม่ได้รับแขกเช่นพวกหวังทงกะทันหัน คนงานล้วนไม่พอใช้ มีบ้างที่กลับไปฉลองปีใหม่กันนานแล้ว คิดจะตามมาก็ยุ่งยาก ตอนนี้งานยุ่งกันจนหัวหมุน แต่ช่วงปีใหม่ไม่ใช่ช่วงเวลาหาคนมาทำงาน โรงเตี๊ยมมีงานไม่น้อยต้องให้พวกหวังทงช่วยทำ
สถานการณ์เช่นนี้ เดาว่าส่งสองคนมาช่วยงาน โรงเตี๊ยมย่อมขอบคุณฟ้าดิน ย่อมไม่เผยร่องรอย
นายกองร้อยหลี่จากไปแล้ว หวังทงไม่ได้เรียกทุกคนมา เพียงแค่จัดเวรยามกลางคืน นอนต่อ พักผ่อนเต็มอิ่มก่อน เรื่องอื่นพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน
วันรุ่งขึ้น วันที่ 29 เดือนสิบสอง หวังทงยากที่จะได้ตื่นสายเช่นนี้ เมื่อวานกินอิ่มนอนอุ่นเพียงพอ จิตใจก็เหมือนถูกชะล้างความเหนื่อยล้าทิ้งไป สภาพดีขึ้นมาก
กินข้าวเช้าไปแล้ว ออกไปเดินเล่น ก็ได้ยินเสียงเถ้าแก่ขอบคุณฟ้าดินกล่าวว่า
“พวกเจ้าสองคนนี่มาได้เวลาจริงๆ นับว่ามาช่วยในเวลาเร่งด่วนแท้ๆ เงินเดือนกับกินอยู่ล้วนไม่ต้องเป็นห่วง เดือนหนึ่งย่อมได้กินดีกว่าพวกเจ้าอยู่บ้าน!”
นี่น่าจะเป็นคนที่ส่งมา หวังทงจ่ายเงินมากพอ เถ้าแก่แน่นอนต้องกล้าจ่าย กินอยู่ดูแลอย่างดี
ไม่นาน ซาตงหนิงก็กลับมารายงานว่า
“ท่านโหว ในร้านคนงานมาใหม่สองคน ข้าน้อยได้ตรวจสอบรหัสลับองครักษ์เสื้อแพรแล้ว ข้าน้อยมารายงานท่านโหว”
หวังทงพยักหน้า นับว่าคำสั่งคืนวานได้รับการตอบสนองแล้ว ซาตงหนิงคำนับกำลังจะออกไป ถูกหวังทงเรียกไว้ ให้เขาไปตามคนข้างนอกเข้ามา
ถานต้าหู่ ถานเอ้อร์หู่ ซุนเผิงจวี่ ฉีอู่ หานกัง เฉินต้าเหอ หลีเสี่ยวเปียว เป้าเอ้อร์เสี่ยว เข้ามาในห้องพร้อมกันกับซาตงหนิง
“ข้าจำเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งได้ว่า สมัยฮ่องเต้อู่จง อ๋องหนิงกบฏ แม้ว่าถูกหวังโส่วเหรินใช้กำลังล้อมปราบได้ แต่ฮ่องเต้อู่จงเพื่อต้องการเที่ยวจึงได้นำทัพใหญ่ลงใต้ ยังรับสั่งให้หวังโส่วเหรินเก็บข่าวจับอ๋องหนิงไว้เป็นความลับ จากนั้นทัพใหญ่ก็ลงใต้มาตั้งที่หนานชาง เกิดเรื่องมากมาย ผู้ใดจะเล่าเรื่องพวกนี้ได้บ้าง?”
ฮ่องเต้อู่จงมีเรื่องเรื่องเล่ามากมายไม่ดีนัก แผ่นดินหมิงตั้งแต่ฮ่องเต้เจียจิ้งถึงฮ่องเต้ว่านลี่เกือบร้อยปีมานี้ มีเรื่องเล่ามากมายในหมู่ประชา หลายคนล้วนเคยได้ฟัง แต่หวังทงพิเศษกว่าคนอื่น ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้
พอหวังทงถามขึ้น ทุกคนล้วนอึ้งไปเล็กน้อย แต่ทว่าได้สติอย่างรวดเร็ว เฉินต้าเหอกล่าวว่า
“ท่านโหว หรือว่าเป็นจางหย่งกับเจียงปินส่งคนไปหาเรื่องหวังโส่วเหริน หวังโส่วเหรินขี่ม้ายิงธนู สามดอกล้วนเข้าจุดตาย?”
หวังทงส่ายหน้า เป้าเอ้อร์เสี่ยวคิดครู่หนึ่งก็กล่าวว่า
“ท่านโหวว่ามา หรือว่าจะเป็นฮ่องเต้อู่จงกับสาวเมืองหนานชาง……ไม่สิ ไม่สิ ข้าน้อยจำผิดแล้ว”
เป้าเอ้อร์เสี่ยวกล่าวออกไปก็รู้สึกไม่ได้การ กระแอมไอสองที หลีเสี่ยวเปียวอายุน้อยไม่อาจกลั้นหัวเราะได้ ฉีอู่เอ่ยถามขึ้น
“ที่ท่านโหวว่ามานั้น คงไม่ใช่เจียงปินคิดว่ากำลังทหารในมือตนเหนือเข้มแข็ง แต่หวังโส่วเหรินเลือกใช้คนเก่งที่ตัวเตี้ยแคระกว่าหากชำนาญการต่อสู้จากใต้ ทั้งวันเอาแต่ขึ้นเหนือไปหาเรื่อง ทหารทางเหนือเหล่านี้เสียเปรียบให้ทหารใต้ จึงทำให้ไม่กล้าก่อการกำเริบเสิบสานต่อ……”
ยังไม่ทันพูดจบ หวังทงก็ตบมือกล่าวว่า
“อันนี้เลย”
ทุกคนสบตากัน ในใจก็คิดว่าท่านโหวทำงานช่างเหนือความคาดหมาย มาตรวจสอบตระกูลปัวคิดการไม่ซื่อ เหตุใดจึงโยงไปถึงฮ่องเต้อู่จงลงใต้ได้
“พวกเจ้าคิดว่า ตอนนี้ตระกูลปัวเมืองหนิงเซี่ยกำลังทำอะไร?”
หวังทงถามขึ้น
***************
หวังโส่วเหรินใช้ทหารทางใต้ที่เก่งกล้าจากหนานชางไปหาเรื่องทหารตอนเหนือของเจียงปิน แสดงถึงกำลังทหารใต้เก่งกล้า ทำให้เจียงปินที่คุมกำลังทหารเหนือสี่เมืองไม่กล้ามีใจคิดเป็นอื่น
ตระกูลปัวอยู่เมืองหนิงเซี่ยหาเรื่องหลายครั้ง ทั้งกับผู้บัญชาการเมืองหนิงเซี่ย ผู้ว่าการมณฑลเมืองหนิงเซี่ยและกองพันรักษาความสงบ ต่อยพวกเขาจนมีสภาพดูไม่ได้ การกระทำเช่นนี้เป็นการอวดบารมีตนว่าเข้มแข็ง หนึ่งทำให้กำลังอื่นๆ รู้จักความร้ายกาจ อีกหนึ่ง ก็ทำให้เผ่าในและนอกเมืองล้วนรู้ว่าผู้ใดทรงอิทธิพลอำนาจที่สุด
ทั้งวันเห็นแต่คนของผู้ว่าการมณฑลและผู้บัญชาการที่มีตำแหน่งสูงส่งถูกต่อยสภาพน่าหดหู่ ทั้งวันเห็นแต่กองพันรักษาความสงบในเมืองถูกต่อยสภาพดูไม่ได้ พื้นที่บูชาการต่อสู้เป็นใหญ่เช่นนี้ ผู้ใดจะไม่ยอมสยบให้กับบารมีพวกเขากัน ผู้ใดจะยังสนใจระบบระเบียบอันใด ทุกคนนับวันยิ่งเคารพตระกูลปัว
พวกนอกด่านเข้าเมืองมากันมาก พวกนอกด่านพวกนี้ย่อมมองดูสภาพในเมืองว่าเป็นอย่างไร ตอนมีเรื่องย่อมมีคนมุงดูกันมาก
คิดแล้วน่าจะเป็นเหตุผลนี้ ขุนพลทหารนอกเผ่าเมืองชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นใหญ่ในพื้นที่ ย่อมไม่ได้มีเคล็ดลับวิธีพิเศษอันใด คิดเรื่องพวกนี้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
หรือว่าตระกูลปัวตั้งแต่เดือนหกมาก็เริ่มก่อเรื่องในเมือง ไม่มีคำอธิบาย และไม่ได้ยินว่าในเมืองมีเรื่องเช่นนี้นานเพียงนี้แล้ว
ขณะพูดอยู่นั้นได้ยินเสียงด้านนอกตะโกนดังมาว่า
“ไปถนนจิ่งสุ่ยดูคนตีกัน คนตระกูลปัวกับทหารในสังกัดผู้บัญชาการตีกันแล้ว!!”
มีคนตะโกนดัง ท้องถนนที่คึกคักอยู่ๆ ก็เงียบไปมาก คิดว่าไปล้อมมุงดูทางนั้นกันหมดแล้ว
หวังทงอธิบายให้กับทุกคนฟังจบ ทหารติดตามคิดไปครู่หนึ่ง สีหน้าล้วนเป็นแสดงความเข้าใจกระจ่าง เมืองหนิงเซี่ยเกิดเหตุวุ่นวายเละเทะเช่นนี้ พออธิบายอย่างนี้ก็กระจ่างในบัดดล
“เมืองหนิงเซี่ยเข้าออกไม่เข้มงวด คิดว่าเป็นเพราะคนกองพันรักษาความสงบถูกฉีกหน้าเช่นนี้ คนอื่นเห็นพวกเขาเป็นดังพวกขี้ขลาดไม่เอาไหน ค่อยๆ ไร้ศักดิ์ศรี แต่ป้อมระหว่างทางป้องกันแน่นหนา ก็คงเพราะรู้เรื่องพวกนี้ ต้องเตรียมรับมือแน่นหนา อย่างไรหากเกิดเหตุก็จะต้องเป็นพวกเขาที่โชคร้ายก่อน”
ฉีอู่เริ่มเอ่ยวิเคราะห์ หวังทงพยักหน้าเห็นด้วย เคาะต้นขาเบาๆ เงียบไปไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่เราเข้าเมืองเป็นความลับคงไม่เหมาะแล้วกระมัง แต่ทว่าพวกเรากำลังแค่นี้ ยังไม่คุ้นเคยพื้นที่ ในเมืองนี้ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก”
หวังทงถามเองตอบเอง ทุกคนล้วนไม่กล้าส่งเสียง ยามนี้เองด้านนอกก็มีเสียงเถ้าแก่นอบน้อมว่า
“นายท่านหวัง ร้านเราวันนี้จะเข้าตลาดไปซื้อหาสินค้าของกินเพิ่ม เตรียมไว้ให้นายท่านใช้หนึ่งเดือน ของมาก คนในร้านไม่พอ นายท่านจะส่งคนไปช่วยด้วยได้หรือไม่ เกรงใจจริงๆ”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกับหวังทงคบหากันมาหลายวัน มองออกว่าหวังทงคุยง่าย เดือนหนึ่งคนร้อยคนกินใช้กัน ของก็ย่อมลดลงไม่น้อย หวังทงย่อมไม่คิดมากเรื่องนี้ ในห้องก็คุยกันได้พอควรแล้ว หวังทงส่งเป้าเอ้อร์เสี่ยวไปตามคนไปช่วย
หวังทงให้ลูกน้องที่หัวไวไปเดินเล่นในตลาดได้ ไปกินไปดื่มกันตามสบาย แต่จุดประสงค์ก็เพื่อพยายามสืบข่าวมาให้มากที่สุด เข้าใจสถานการณ์ให้ยิ่งมาก
หวังทงกลับอยู่แต่ในโรงเตี๊ยม รอข่าวจากแต่ละแหล่งและคนที่เข้ามารายงาน เป็นเป้าเอ้อร์เสี่ยวกลับมาก่อน เถ้าแก่ไปแล้วก็กลับมา นำแขกมาด้วยอีกคนหนึ่ง สามารถดูสีหน้าเถ้าแก่ออกว่านอบน้อมอยู่หลายส่วน แขกคนนอกนี้เป็นหลงจู๊ของพ่อค้าใหญ่ในหนิงเซี่ยแห่งหนึ่ง ในเมืองนอกเมืองล้วนเป็นมีชื่อ คนเช่นนี้ยังต้องนอบน้อมขอพบหวังทง เห็นได้ว่าหวังทงสถานะไม่ธรรมดา
แขกคนนอกผู้นี้คุยได้สองสามคำก็ขอตัวกลับ หนิงเซี่ยหน้าหนาวหนาวมาก ในห้องแม้ว่าอุ่นแต่ก็อ้าว หวังทงไม่อยากจะอยู่ในห้องนานไป อยากออกไปสบายด้านนอกมากกว่า
หวังทงยังไม่ทันได้ออกไป เมื่อครู่เป้าเอ้อร์เสี่ยวที่ออกไปตามคนไปช่วยก็กลับมา พอเข้ามาสีหน้าก็เคร่งเครียดรายงานว่า
“ท่านโหวเมื่อครู่ที่ไปช่วย เห็นโรงเตี๊ยมซื้อเกลือมามาก เกือบจะกินหนึ่งปีเลย ถามเถ้าแก่ว่าทำไม เถ้าแก่บอกว่า ราคาเกลือตกลงมาก พอดีเป็นโอกาสซื้อให้มากสักหน่อย หรือว่าผู้ใดรู้ว่าราคาจะขึ้นเมื่อไรกัน”
น้ำมัน เกลือและเครื่องปรุง นับเป็นเรื่องเล็ก ไยต้องมารายงานเรื่องพวกนี้กับหวังทง แต่ทว่าหวังทงกลับสังเกตได้ทันที พื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือ เกลืออยู่ในความครอบครองตระกูลใหญ่ ราคาทำกำไรสูงมาก หากเป็นราคาเกลืออยู่ๆ ทรุดลง ยังมีกำไรอันใดอีก ผิดปกติเช่นนี้ ย่อมมีเหตุ
“ข้าน้อยได้ถามคนแถวนั้น ในเมืองยามนี้ปกติราคาเกลือจะต้องขึ้น แต่คิดไม่ถึงครั้งนี้พวกนอกด่านมาขายเกลือ ราคากลับทรุดลงเช่นนี้ เถ้าแก่ยังบอกว่า เมื่อก่อนพวกนอกด่านล้วนซื้อเกลือ ผู้ใดจะคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว”
“เรื่องเกลือเจ้าชำนาญ เจ้าไปสืบข่าวดู แท้จริงแล้วเป็นเพราะเหตุใด!?”
หวังทงสั่งเสียงเรียบ เป้าเอ้อร์เสี่ยวรีบคำนับรับคำสั่งวิ่งออกไปทันที
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมในวันที่ 29 เดือนสิบสองก็ตกใจไม่น้อย พ่อค้าใหญ่เมืองหนิงเซี่ยที่เดินทางมาจากข้างนอกสองสามคนล้วนส่งคนมาพบหวังทง เมื่อก่อนไม่อาจได้พบพ่อค้าใหญ่พวกนี้ง่ายๆ วันนี้กลับได้สมาคม ช่างหาได้ยากยิ่ง นายท่านหวังผู้นี้เป็นเทพองค์ใดกัน ทำให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมอยากรู้เสียแล้ว เขาไม่ทันสังเกต คนเหล่านี้ล้วนมีท่าทีนอบน้อมกับหวังทง
เป้าเอ้อร์เสี่ยวมีความรู้เรื่องพวกนี้มาก แน่นอนย่อมเข้าใจเส้นทางการค้าเกลือทางการและลอบค้าเกลือมาก แต่คนไม่คุ้นเคยพื้นที่ ต้องรอบ่ายจึงกลับมารายงานได้ว่า
“ท่านโหว บ่อเกลือแอ่งน้ำฮัวหม่าราคาลดลงหกส่วน ปล่อยให้พวกชนเผ่านอกด่านซื้อกันได้ตามสบาย ว่ากันว่าจากนี้ยังอาจมอบให้ฟรีๆ อีกด้วย”
หวังทงเงียบไป ก่อนยิ้มเย็นว่า
“ใช้กำไรล่อคน เจ้าไปตามสองคนที่สำนักองครักษ์เสื้อแพรท้องที่ส่งมาวันก่อนมานี่!”
ตอนที่ 945 วิธีการผู้ใดก็คืนสนองผู้นั้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ระบบการค้าหวังทงสมาคมกับการค้าเกลือมาไม่น้อย แน่นอนเข้าใจแอ่งน้ำฮัวหม่า ขายเกลือราคาถูกเพื่ออันใดกัน คนไม่อาจขาดเกลือ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ พื้นที่มีเกลือนับว่าน้อยมาก
เมืองหนิงเซี่ยคุมบ่อเกลือ กลุ่มอิทธิพลอำนาจบนทุ่งหญ้าล้วนแย่งชิงบ่อเกลือกับเมืองหนิงเซี่ย ถึงกับไม่เพียงแค่แผ่นดินหมิง ตั้งแต่ฮั่นยึดตะวันตกเฉียงเหนือมา ก็เริ่มต่อสู้กับเผ่าทุ่งหญ้าอื่นเรื่องบ่อเกลือ
ขอเพียงยึดบ่อเกลือได้ กุมการค้าเกลือไว้ในมือได้ นอกจากเป็นการค้ากำไรมหาศาลแล้ว ยังกุมชีวิตพวกเผ่านอกด่านไว้ในกำมือได้ด้วย ทำให้เคลื่อนไหวใดก็ถูกจำกัด
ราคาขายบนทุ่งหญ้าก็ล้วนสูงมาก และยังจำกัด ทำให้พวกเขาไม่อาจเก็บสะสมไว้ได้มากพอ อย่างไรก็ต้องมาซื้อจากแผ่นดินหมิง
ทำกันเช่นนี้มานาน ชนเผ่าซื้อเกลือย่อมถูกเมืองชายแดนควบคุม อย่างน้อยก็ต้องคอยแจ้งข่าวให้เมืองชายแดน
บ่อเกลือของตระกูลปัวอยู่ๆ ปล่อยเกลือขายมาก มองจากการทหารแล้วแน่นอนย่อมเป็นภัย แต่ในเวลาสั้นๆ แต่ละชนเผ่าย่อมซาบซึ้งในตระกูลปัว ขณะเดียวกันก็ย่อมเอาใจออกห่างแผ่นดินหมิง
ตระกูลปัวทำเช่นนี้ ดูท่าแล้วเริ่มใกล้เข้ามาแล้ว
************
แผ่นดินหมิงแต่ละมณฑล นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรประจำมณฑลล้วนเป็นตำแหน่งที่มีคนนับถือ ขุนนางและราษฎรท้องที่ย่อมให้ความเคารพมาก กลัวว่าพวกเขาจะรายงานเมืองหลวง หรือจับคนไร้เหตุผล
นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรเหมือนกันมาอยู่เมืองชายแดนกลับไร้ค่า แม้เจ้ามีสิทธิรายงานลับ หากมีเรื่องกัน ตัดหัวเจ้าทิ้งก็ย่อมได้ ขันทีคุมกำลังก็สามารถรายงานได้โดยตรง ผู้ใดยังสนใจทหารเล็กๆ เช่นเจ้ากัน
สถานะนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรเมืองหนิงเซี่ยกับเมืองกานซู่ต่ำกว่าขั้นหนึ่ง ทหารบู๊สองเมืองนี้โดยมากไม่ใช่ชาวฮั่น ราชสำนักยังเมตตาพวกเขาอีก หลายเรื่องนับเป็นความผิดหากทหารชาวฮั่นกระทำ แต่พวกเขากลับไม่ผิด ปิดตาข้าง ลืมตาข้าง ปล่อยผ่านไป องครักษ์เสื้อแพรยิ่งทำอะไรพวกเขาไม่ได้
จากมุมมองหนึ่ง เพราะมีตระกูลปัวเมืองหนิงเซี่ยคอยให้ท้าย หาเรื่องไปทั่ว สำแดงบารมี เพื่อยกอำนาจตระกูลตน ไม่กล่าวถึงผู้ว่าการมณฑลกับผู้บัญชาการ กองพันรักษาความสงบเป็นหน่วยกองพันในพื้นที่ มีทหารมากมาย นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรก็เป็นนายกองพัน มีคนพอๆ กัน ตระกูลปัวไม่แม้แต่จะสนใจ ความจริงนั้นใช่ว่าไม่กล้าแตะต้ององครักษ์เสื้อแพร แต่เพราะรู้สึกว่าไม่ได้ช่วยให้ดูดีขึ้น
แต่ทว่าวันที่ 30 เดือนสิบสอง นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรที่แต่ไรเก็บเนื้อเก็บตัวก็จุดประทัดดังไปทั่ว มีชายหลายคนเข้าออกประตูสำนักองครักษ์เสื้อแพร นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหลิวจี๋หลินสวมชุดมัจฉาเวหา สีหน้ายินดียืนต้อนรับหน้าประตู
เมืองหนิงเซี่ยเป็นเมืองเล็ก บอกว่าเป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหลิวจี๋หลินนำคนจากส่านซีมาร้อยกว่า วันนี้เข้าสู่องครักษ์เสื้อแพร วันหน้าองครักษ์เสื้อแพรก็จะคุมสถานการณ์เมืองหนิงเซี่ย
แม้คนตาบอดตามท้องถนนยังรู้ว่าทุกวันในเมืองมีเรื่องกันเช่นนี้ องครักษ์เสื้อแพรอยู่ๆ มีมาร้อยนาย แท้จริงแล้วคิดทำอะไรกัน หรือว่ามาสู้กับตระกูลปัว
สู้กับตระกูลปัว เจ้ามาสักพันคนยังพอไหว นี่เอามาแค่ร้อย ก็โยนให้หมาป่ากินเท่านั้น ไม่ได้อะไร ยังนำความยุ่งยากมาสู่อีก
สถานการณ์เมืองหนิงเซี่ยตอนนี้ทางการไร้ศักดิ์ศรีนานแล้ว ผู้ใดยังจะคิดเป็นห่วงองครักษ์เสื้อแพร กลับมีแต่คนว่างงานรอดูเรื่องสนุกก็เท่านั้น
*************
“ผู้บัญชาการ เช้านี้ด้านนอกมีคนมาออกันแล้ว!”
หวังทงย้ายเข้าพักในสำนักกองพันองครักษ์เสื้อแพร หลิวจี๋หลินรู้สึกโล่งใจ อย่างไรก็นับว่าคนมาช่วยออกหน้ามาแล้ว แต่ในใจก็เป็นห่วง คนแค่ร้อยกว่าเท่านั้น สถานการณ์เมืองหนิงเซี่ยตอนนี้จะไปทำอะไรได้
หลังจากบอกความกังวลให้หวังทงรู้ หวังทงยังอยู่ต่อ ในเมื่อนายตัดสินใจแล้ว ก็ย่อมไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลงได้อีก หลิวจี๋หลินได้แต่จัดการภารกิจตนเองให้ดี
วันที่ 1 เดือนหนึ่ง สำนักกองพันองครักษ์เสื้อแพรไม่ได้มีบรรยากาศเฉลิมฉลอง กลับล้วนเคร่งเครียด มีเรื่องเดียวที่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นปีใหม่ก็คือเกี๊ยวที่ได้กินตอนเช้าเท่านั้น
“ไม่ได้มาหาเรื่องหรือ?”
เห็นหลิวจี๋หลินยังไม่ทันได้พูด ก็เริ่มมีสีหน้าอยากจะร้องไห้ หวังทงถามขึ้นอีก
“……เป็นพวกมามุงดู พวกคนไม่มีอะไรทำพวกนั้นมาจองที่ดู……ผู้บัญชาการ ข้าน้อยละอายใจ มาที่นี่ทำหน้าที่สืบข่าว และฝึกทหาร แต่ทำไม่ได้สักอย่าง ปล่อยให้หนิงเซี่ยดูแคลนองครักษ์เสื้อแพรเราได้”
หวังทงยิ้มโบกมือกล่าวว่า
“เจ้าทำได้ไม่เลวแล้ว ถึงกับยังสามารถมีคน 50 กว่าไว้ใช้งานได้ ใช่แล้ว ที่โรงเตี๊ยมทิ้งคนไว้ไหม?”
“เรียนผู้บัญชาการ ทางนั้นจัดการเรียบร้อยแล้ว”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมซื้อของมามากยมาย หวังทงอยู่ ๆ ย้ายออก ช่างขาดทุนหนักเสียจริง เกิดมีเรื่องขึ้นมา ก็ไม่ต้องเก็บเป็นความลับกันแล้ว ดังนั้นหวังทงจึงมอบเงินให้เถ้าแก่ไปหนึ่งเดือนเต็มๆ ยังเพิ่มให้อีกสามส่วน ให้พวกเขากำไรมาก
แม้เป็นเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ยังต้องจัดทหารที่ไว้ใจได้เฝ้าโรงเตี๊ยม เดือนหนึ่งคนงานและเถ้าแก่โรงเตี๊ยมต้องกลับบ้านกัน ล้วนต้องมีคนจับตา ป้องกันไว้ก่อน
“นี่มันที่อะไรกัน?”
“นี่มันรังหนูหรือ?”
“นี่ใช่สำนักองครักษ์เสื้อแพรหรือ?”
“ทั้งวันเอาแต่แอบซ่อนตัวสืบข่าว จับตาดูไปทั่ว ไม่ใช่หนูแล้วอะไร และยังเป็นหนูตัวเมียฝูงหนึ่งเสียด้วย ไอ้หนูตัวเมีย!!”
สำเนียงแปลก แต่ก็เป็นภาษาจีนกลาง หากเป็นวิพากษ์วิจารณ์ ย่อมตะโกนเสียงดังอยู่นอกกำแพงเมือง คนมาหาเรื่องแล้ว หากไม่ได้เตรียมตัวมาโดนด่าก็ย่อมโมโหมาก ในใจเตรียมตัวมาก พอได้ยินก็รู้สึกแปลกๆ
“บอกพวกมันเป็นสตรี เจ้าอย่าได้ไม่เชื่อ แม่หนูองครักษ์เสื้อแพร แน่จริงออกมาสิ หรือว่าบิดาเจ้าปิดประตูพวกเจ้าไว้ ออกมาสู้กันเลยมา!!”
ด้านนอกเริ่มมีคนมาหาเรื่อง หวังทงสวมชุดนายกองธงใหญ่องครักษ์เสื้อแพร ยืนไพล่มืออยู่หน้าสำนัก ดูทหารติดตามในลานด้านหน้า ล้วนสวมชุดองครักษ์เสื้อแพรพื้นที่ กำลังเตรียมตัว ทุกคนสีหน้าตื่นเต้น กำลังยืดเส้นยืดสาย กำมัดถูมือ
“อาวุธทิ้งไว้ด้านใน อีกฝ่ายหากใช้อาวุธ พวกเจ้าค่อยกลับมาเอา”
หวังทงสั่งเสียงดัง ทุกคนพากันรับคำ หวังทงหันกลับไปทางหลิวจี๋หลินข้างๆ ยิ้มกล่าวว่า
“เจ้าดูสิ คนพวกนี้เบื่อจะแย่แล้ว ให้ทุกคนวิวาทบ้าง ทุกคนดีใจจะตาย!”
“ทหารติดตามผู้บัญชาการล้วนเก่งกล้าราวพยัคฆ์ แน่นอนเอาอยู่”
หลิวจี๋หลินยิ้มรับ หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า
“ให้พวกเขาบุกอยู่ด้านหน้า คนของเจ้ายืนอยู่ข้างๆ ก็พอ หากเป็นแบบเมื่อหลายวันก่อน คนตระกูลปัวไม่น่าจะเยอะนัก”
“ผู้บัญชาการ คนตระกูลปัวเหล่านี้ล้วนเป็นพวกเดนตาย ทหารติดตามผู้บัญชาการอย่างไรก็ต้องรอบคอบสักหน่อย หรือว่าเลือกคนในกองพันสักหน่อย”
“หากสู้คนข้างนอกไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องมาติดตามข้าแล้ว คนที่เจ้าใช้การได้ก็แค่ไม่กี่สิบคนนี่นา ไม่เป็นไร!”
กล่าวถึงตรงนี้ หลิวจี๋หลินก็หน้าแดงก่ำ ปีใหม่นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหลิวจี๋หลินให้ลูกน้องได้ ทิ้งคนที่วางใจไว้ราวห้าสิบก็พอ
หวังทงตบมือให้ทุกคนมารวมตัวกัน จากนั้นกล่าวเสียงดังว่า
“ต่อยตีตามสบาย ชนะมีรางวัล หากแพ้ลงโทษทางวินัย!!”
“นายท่านวางใจ ครั้งนี้อย่างไรต้องทำให้นายท่านเสียเงินแน่แล้ว!”
ทุกคนหัวเราะเฮดัง ไม่มีคนกลัวสักคน ล้วนสีหน้าตื่นเต้นอยากออกไปเต็มที ในสำนักองครักษ์เสื้อแพรล้วนเรียกนายท่าน จะได้ไม่เผยสถานะ
หวังทงยิ้มโบกมือกล่าวว่า
“เปิดประตูได้ ลุยมารดามันเลย!”
ลูกน้องรับคำ มีคนเดินไปเปิดประตู ตามหลักย่อมเป็นหานกังและฉีอู่เดินนำหน้าออกไป ทุกคนกรูกันออกไป หวังทงเองก็เดินตามออกไป หลิวจี๋หลินกำลังจะเตือน หวังทงโบกมือกล่าวว่า
“ไม่เป็นไร ยืนหน้าประตูดูอย่างเดียว”
**************
คนตระกูลปัว 80 กว่ารวมเป็นกลุ่ม หัวเราะด่าทอเสียงดัง มีคนยกถุงหนังบรรจุสุราแรงขึ้นจิบเป็นระยะ คน 80 กว่าต่อหน้ามีคน 50 กว่า อีก 30 ไปกองอยู่อีกทาง
คนน้อยต่อยคนมาก เห็นชัดว่าได้เปรียบ องครักษ์เสื้อแพรไม่ได้อยู่ประจำการในเวลานี้ หากออกมาน้อย อีก 30 ก็ย่อมหลบก่อน ความจริงในพวกคนมามุงดูก็คนตระกูลปัวจัดคนมาปะปนเช่นกัน ไว้คอยเยาะเย้ย
กำลังตะโกนดังอยู่ ก็เห็นประตูใหญ่สำนักองครักษ์เสื้อแพรเปิดออก ชายกลุ่มหนึ่งในชุดองครักษ์เสื้อแพรกรูกันออกมา คนตระกูลปัวอึ้งไป คิดไม่ถึงคนพวกนี้กล้าออกมาต่อยกัน
ในขณะที่อึ้งไปนั้น ก็เห็นว่าชายหน้าสุดสิบกว่าคนของพวกองครักษ์เสื้อแพรเข้ามาใกล้ สองแขนกอดอกไว้ ก้าวเท้ายาวบุกขึ้นหน้า
สิบกว่าคนนี้เหมือนเป็นโล่มนุษย์ ก้าวพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง คนตระกูลปัวไม่เคยเห็นวิธีการสู้เช่นนี้ พวกเขาไม่กลัว ตะโกนบุกทันทีเช่นกัน
สองฝ่ายปะทะกันก็รู้ว่าใครเหนือกว่า สิบกว่าคนรวมกำลังก็เหมือนกำลังสิบกว่าคนรวมกัน ปะทะกันซึ่งหน้า แม้ว่าต่อยโดนองครักษ์เสื้อแพร แม้จะเจ็บ แต่สิบกว่าคนก็เดินหน้าชน ยืนไม่แน่น ก็ย่อมต้องล้มกลิ้งไปกับพื้น
องครักษ์เสื้อแพรหลายสิบคนดาหน้าชน คนตระกูลปัวถูกชนล้มระเนระนาด หงายท้อง กระจัดกระจายกันทันที พอถูกแยกออกจากกัน ก็หยุดเดินหน้า หานกังตะโกนดัง องครักษ์เสื้อแพรแบ่งออกเป็นสองส่วน สู้กันด้านละส่วน เป็นการบุกเข้าใส่
คนตระกูลปัวคนหนึ่งสงบใจได้ รู้สึกว่าถูกอีกฝ่ายชนกระจายเช่นนี้เสียหน้ายิ่ง ตะโกนดังบุกเข้ามาอีก แค่ขยับ ก็เห็นสองคนด้านหน้าพุ่งเข้ามา คนหนึ่งง้างหมัดชก อีกคนรวบเอวไว้ คิดจะต้านทาน เอวก็ถูกอีกคนจับไว้แน่น ไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ล้มกลิ้งกับพื้นไปแล้ว ล้มทั้งยืนเลยทีเดียว กำลังจะตะกายขึ้นมา ท้องก็ถูกถีบเข้าอีกหลายที ลุกไม่ขึ้นในทันที
หานกังไม่เหมือนกัน เขาร่างสูงใหญ่ ฝึกมาจากเมืองจี้โจว คนตระกูลปัวตรงหน้าง้างหมัดมุ่งเข้ามา เขาก้าวไปก้าวหนึ่ง ก็ต่อยหมัดตรง เร็วและแม่น ตรงเข้าดั้งจมูก ดัง ‘พลั่ก’ เลือดสาด ได้ยินเสียงลมข้างหู หานกังชะงัก หักข้อศอกกลับไป มีดัง ‘อั่ก’ กุมท้องร่วงทันที
คนมามุงดูเริ่มเงียบกริบ ล้วนกำลังตาค้าง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น