พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 941-942
ตอนที่ 941
ข้าเกลียดเจ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
เขาดีใจได้เพียงประเดี๋ยวเดียว แล้วก็ออกจากห้องไปหาอวี้ซวีเจินเหริน ไปสอบถามเกี่ยวกับเรื่อง ‘วิญญาณโลหิต’ ที่จริงพิษนี้มีลับลมคมในมากเกินไป เขาเองก็กังวลว่าจะมีอาการอะไรหลงเหลืออยู่อีก อยากจะทำให้ชัดเจนไปเลย
อวี้ซวีเจินเหรินรู้จักพิษนี้เสียที่ไหนกัน แม้แต่ชื่อก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน เพียงแต่ตกตะลึงมากเมื่อได้ยินว่าปีศาจโลหิตโดนทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์แล้วยังมีชีวิตอยู่ได้สบายๆ ขนาดปราสาทดำเนินนภาปราบมาหลายปี แต่ก็ยังทำอะไรปีศาจโลหิตไม่ได้ สำนักลมปราณก็ช่วยอะไรเหมียวอี้ไม่ได้เช่นกัน
“ทางที่ดีฆราวาสพยายามอย่าไปไหนซี้ซั้วอีก ถ้าจะไปจริงๆ ก็จ้างคนของร้านคุ้มภัยให้คุ้มกันส่ง” อวี้ซวีเจินเหรินเตือนด้วยความหวังดี
“คงจะให้คนของร้านคุ้มภัยปกป้องไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกมั้ง?” เหมียวอี้ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน ถ้าต้องทำเรื่องบางอย่างที่น่าอับอาย จะสะดวกให้คนนอกมาเห็นได้อย่างไรล่ะ มิหนำซ้ำการหลบซ่อนอยู่ตลอดก็ไม่ใช่เรื่องดี จะต้องจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียที ถ้าปีศาจโลหิตกระจอกๆ จะขวางทางเขาไปทั้งชีวิต แบบนั้นก็ไม่ต้องทำงานทำการอะไรแล้ว
หลังจากปรึกษาหารือกับอวี้ซวีเจินเหริน เหมียวอี้ก็กลับมาหยิบระฆังดาราที่ห้องนอนตัวเอง แล้วติดต่อจงหลีค่วยเพื่อบอกเรื่องที่ตัวเองโดนวางยาพิษ ให้จงหลีค่วยปลอมตัวมาที่นี่ มาปรึกษาหารือเพื่อแก้ปัญหาเรื่องปีศาจโลหิต
ปีศาจโลหิตโดนทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะยังอยู่อย่างสุขสบายดี จงหลีค่วยได้ยินแล้วตกใจมากเช่นกัน บอกว่าจะรีบมาที่นี่ให้เร็วที่สุด เรื่องบางเรื่องติดต่อกันผ่านฟ้ากั้นไม่ค่อยสะดวก
ส่วนเหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่าพิษในร่างกายตัวเองถูกชำระล้างไปหมดแล้วหรือยัง มีแค่เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ได้ ถึงอย่างไรปีศาจโลหิตก็บอกไว้แล้วว่าพิษจะกำเริบวันละสามครั้ง เขาจึงนั่งสมาธิฝึกตนบนเตียงโดยกำยาเม็ดโลหิตไว้ในมือ
หลังจากนั้นหนึ่งวัน เหมียวอี้ก็ลืมตาสองข้างแล้วยิ้มบางๆ ไม่เกิดเหตุการณ์พิษกำเริบสามครั้งต่อวัน สงสัยพิษประหลาด ‘วิญญาณโลหิต’ นี้ เมื่อเจอกับเคล็ดวิชาอัคนีดาราของเขาก็ยังสู้ไม่ไหวอยู่ดี เขาถึงได้สงบใจและฝึกตนต่อไป
ณ ลานบ้านด้านหลังของร้านค้าสมาคมวีรชน รอไปแล้วหนึ่งวันแต่ยังไม่เห็นเหมียวอี้มายอมจำนน หวงฝู่จวินโหรวเดินไปเดินมาในตึกศาลา จากนั้นก็มานั่งตรงข้ามกับปีศาจโลหิตที่กำลังเย็บผ้าอยู่ในศาลากลางน้ำ แล้วถามว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าพิษนี้ได้ผลกับเขาจริงๆ”
“เถ้าแก่น้อยไม่ต้องห่วงค่ะ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพลาด แต่ไอ้จัญไรนั่นนับว่ากระดูกแข็ง ทนได้หนึ่งวันไม่ยอมมาขอร้อง ข้าจะคอยดูว่าเขาจะทนได้นานสักแค่ไหน” ปีศาจโลหิตที่กำลังตั้งใจเย็บผ้าพูดกลั้วหัวเราะ ยังไม่หยุดทำงานที่อยู่ในมือ เย็บผ้าไหมแดงไว้ให้ตัวเองใช้โดยเฉพาะ
หวงฝู่จวินโหรวหมุนตัวนั่งพิงรั้ว ทอดสายตามองไปไกลด้วยสีหน้าแปลกๆ ใบบัวเขียวชอุ่มที่อยู่รอบๆ สั่นไหว สามารถมีทะเลสาบเล็กๆ ในที่ดินราคาแพงของตลาดสวรรค์ได้ นับเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยมาก
ตอนเย็นวันต่อมา เป่าเหลียนรออยู่ตรงประตูลานบ้านของร้านขายของชำ นางรับชายชราคนหนึ่งและพาเข้ามาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นจงหลีค่วยที่ปลอมตัวเรียบร้อยแล้ว นางพาเขาไปที่ห้องนอนของเหมียวอี้โดยตรง
เหมียวอี้บอกให้เป่าเหลียนออกไปก่อน แล้วกุมหมัดทักทาย “ลุงหนวด ช่วงนี้สบายดีมั้ย?”
จงหลีค่วยขี้คร้านจะมากพิธีรีตอง ถามตรงๆ เลยว่า “มันเรื่องอะไรกันแน่? เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นปีศาจโลหิต?”
เหมียวอี้ตะลึงไปชั่วขณะ แล้วพยักหน้าช้าๆ “พอได้ยินท่านพูดแบบนี้ ข้าก็สงสัยอยู่บ้างนิดหน่อย เพราะข้าไม่ได้กลิ่นอายปีศาจโลหิตบนตัวนางเลย แถมนางมีวรยุทธ์แค่ระดับบงกชทองขั้นเจ็ดด้วย… ท่านรอก่อนนะ ข้าจะไปสืบข่าวที่ร้านค้าสมาคมวีรชนสักหน่อย”
“ระวังตัวหน่อยนะ” จงหลีค่วยเตือน
“ท่านไม่ต้องห่วง ปีศาจโลหิตไม่ถึงขนาดกล้าลงมือกับข้าที่ร้านค้าสมาคมวีรชนหรอก” เหมียวอี้ตอบอย่างไม่กังวล แล้วเดินออกไปทันที
ทางฝั่งร้านค้าสมาคมวีรชน พอได้รับรายงานว่าเหมียวอี้มา ปีศาจโลหิตที่ยังนั่งเย็บผ้าอยู่ในศาลากลางสระน้ำก็เอามือป้องปากหัวเราะ “เถ้าแก่น้อย เป็นยังไงล่ะ? สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว ต้องมาขอร้องแล้ว”
หวงฝู่จวินโหรวไม่ตกใจและไม่ดีใจ พยักหน้าบอกหญิงรับใช้ว่า “ไปพาเขาเข้ามา”
หญิงรับใช้เดินออกไป รอสักประเดี๋ยวก็นำเหมียวอี้เดินเข้ามา เหมียวอี้เองก็เพิ่งเคยมาที่ตึกศาลากลางสระน้ำนี้เป็นครั้งแรก พอเห็นหวงฝู่จวินโหรว รอยยิ้มก็ดูเย็นชาขึ้นหลายส่วน หวงฝู่จวินโหรวย่อมรู้สึกได้อยู่แล้ว
ตอนนี้สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนตัวปีศาจโลหิตที่กำลังเย็บผ้า เขาเอามือไขว้หลังพลางเดินเข้ามาช้าๆ “ผู้หญิงก็เป็นผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ เรื่องต่อสู้เข่นฆ่าไม่เหมาะกับเจ้าหรอก นั่งเย็บผ้าอยู่ในบ้านอย่างซื่อสัตย์เถอะ คอยช่วยเหลือสามีและสั่งสอนบุตรอยู่บ้านดีจะตาย ทำไมต้องไปวางแผนทำร้ายคนตั้งแต่เช้ายันค่ำ”
เขาตั้งใจพูดสิ่งนี้กับปีศาจโลหิต แต่หวงฝู่จวินโหรวกลับรู้สึกว่ามีความหมายแฝงอยู่ในนั้น ใช่ว่าจะไม่ได้พูดให้นางฟังด้วย
ปีศาจโลหิตไม่แม้แต่จะหันหน้ามา เพียงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ทำไมล่ะ? ทนไม่ไหวแล้วล่ะสิ มาขอร้องเหรอ? ในเมื่อมาขอร้องก็อย่าปากแข็ง!”
“ขอร้องเหรอ? ช่างน่าขำ!” เหมียวอี้พูดหยามเหยียด เดินมาตรงหน้าผ้าไหมแดงที่ถักทอขึ้นมาด้วยมือ แล้วพูดหยอกล้อว่า “ข้ามาเพื่อขอบคุณเจ้า ก่อนหน้านี้วรยุทธ์ติดอยู่ระดับบงกชม่วงขั้นเก้ามาตลอด ใครจะคิดว่าหลังจากโดนพิษของเจ้าแล้ว จะกลายเป็นตัวช่วยให้ข้าบรรลุวรยุทธ์ ถ้าไม่มาแสดงความขอบคุณสักหน่อย มันก็จะฟังดูไม่เข้าท่า”
หวงฝู่จวินโหรวหันมามองอย่างงุนงง มือของปีศาจโลหิตชะงักนิ่ง เงยหน้าช้าๆ มองไปทางเหมียวอี้
เหมียวอี้ก็ให้ความร่วมมือมาก ยกมือขึ้นตรงหว่างคิ้วแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เช็ดโคลนซ่อนจิต ภาพมายาดอกบัวสีทองอร่ามบานหนึ่งกลีบปรากฏตรงแท่นจิต ไม่ใช่ของปลอมแล้ว เขากุมหมัดคารวะ “ขอบคุณที่ช่วยเหลือ!”
ปีศาจโลหิตทำสีหน้าไม่ถูก เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยอะไรมากเลย การบรรลุระดับใหญ่ๆ จำเป็นต้องใช้จังหวะเหมาะ ภายใต้การเคี่ยวกรำของพิษวิญญาณโลหิต การบรรลุระดับใหญ่ๆ ก็มีความเป็นไปได้จริงๆ เพียงแต่การช่วยเหลือศัตรูคู่แค้นมากมายขนาดนี้ ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้น
“ในเมื่อช่วยเหลือเจ้าไปมากมายขนาดนี้ เจ้าก็ควรจะคืนของของข้าได้แล้วรึเปล่า?” ปีศาจโลหิตแสยะยิ้มถาม
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ปีศาจโลหิตถูกทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว มิหนำซ้ำข้ายังไม่รู้สึกถึงปราณปีศาจโลหิตจากตัวเจ้าด้วย ทำไมข้าต้องเชื่อว่าเจ้าคือปีศาจโลหิต? ถ้าเจ้าไม่ใช่ปีศาจโลหิต แล้วทำไมข้าจะต้องคืนของให้เจ้าด้วยล่ะ!”
เหมียวอี้เพิ่งจะพูดจบ ปีศาจโลหิตก็ขยับย้ายร่างกาย เหาะวนด้วยความเร็วสูงอยู่ในศาลา จู่ๆ ก็มีผ้ามุ้งสีแดงลอยออกมาหลายผืน มาครอบคลุมปีศาจโลหิตเอาไว้ ชั่วพริบตาเดียวก็กลับสู่โฉมหน้าเดิมของปีศาจโลหิต ปราณปีศาจโลหิตที่เข้มข้นลอยวนขึ้นมา ดาบนกเป็ดน้ำสีเลือดคู่หนึ่งยิงออกมาหมุนวนรอบกายเหมียวอี้หลายรอบ แล้วจู่ๆ ก็หดเก็บเข้าไป
ปีศาจโลหิตหมุนตัวอีกครั้ง ผ้ามุ้งสีแดงหลายผืนหายไปแล้ว กลับสู่โฉมหน้าหญิงสาวธรรมดาเหมือนเมื่อครู่นี้ จากนั้นยื่นมือเข้ามา “ตอนนี้เชื่อแล้วสินะ! คืนของมาให้ข้า!”
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูกอย่างขำขัน แล้วกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ไม่ให้! ข้าล้อเจ้าเล่น เจ้าดูไม่ออกรึไง?”
“เจ้า…” ปีศาจโลหิตเดือดดาลมาก ยิงผ้าไหมแดงออกจากกระบอกแขนเสื้อหมายจะลงมือ
“ปีศาจโลหิต!” หวงฝู่จวินโหรวตะคอก ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ลงมือ
ปีศาจโลหิตข่มไฟโกรธเอาไว้ สะบัดเสื้อเก็บผ้าไหมแดง ถ้าลงมือที่นี่ นางก็รับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหว ตลาดสวรรค์คงไม่ให้อภัยที่นางทำลายกฎของตำหนักสวรรค์แน่
เหมียวอี้ไม่สนใจนางอีก หันตัวมาหาหวงฝู่จวินโหรวแทน “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัว”
หวงฝู่จวินโหรวเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหันตัวเดินออกไป เหมียวอี้หันกลับมายิ้มเย้ยปีศาจโลหิตที่กำลังทำสีหน้าโกรธแค้น แล้วเดินตามหวงฝู่ออกไป
“ถ้าเก่งนักก็อย่ามาขอร้องข้าก็แล้วกัน!” ปีศาจโลหิตตวาดเสียงเข้ม
“อาศัยแค่ฝีมืออันต่ำต้อยของเจ้า ก็คิดจะมาบีบจุดอ่อนข้าแล้วเหรอ? ไม่เจียมตัว! ข้าถอนพิษได้ตั้งนานแล้ว จำเป็นต้องมาขอร้องเจ้าด้วยเหรอ?” เหมียวอี้พูดกลั้วหัวเราะโดยไม่หันหน้ากลับมา
เขาอยากจะเห็นว่าปีศาจโลหิตยังสามารถวางยาพิษเขาได้อีกรึเปล่า อยากจะทำความเข้าใจให้ละเอียดว่าตัวเองโดนพิษอะไรกันแน่
“ปากแข็งยิ่งกว่าเป็ด!” ปีศาจโลหิตพูดเหน็บแนม เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อเขา
เหมียวอี้ขี้คร้านจะอธิบายกับนาง
พอถึงลานบ้านที่อยู่บนฝั่ง หวงฝู่จวินโหรวก็หันตัวมาถาม “มีธุระอะไร?”
“คุยกันข้างใน!” เหมียวเดินตรงไปยังห้องนอนที่อยู่บนตึก หวงฝู่จวินโหรวขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเขาอยากจะคุยอะไร ยังคงเดินตามเข้าไป
หลังจากขึ้นมาบนตึก นางก็ถามอีก “มีเรื่องอะไร พูดมาสิ”
ใครจะไปคาดคิด พอหันตัวมาเหมียวอี้ก็อุ้มหวงฝู่ทันที แล้วประกบจูบริมฝีปากแดงสวย ไม่สนใจนางที่ร้องอู้อี้ขัดขืน แต่ไม่นานก็ถูกนางใช้มือคล้องคอเอาไว้ และจูบตอบสนองคืนอย่างเร่าร้อน ทั้งสองจูบกันอย่างดูดดื่ม เสื้อผ้าปลิวว่อนตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงขอบเตียง ร่างสองร่างก็ล้มลงไปด้วยกัน
แขนขาทั้งสี่เรียวยาวขาวละมุน หน้าอกทิ่มเอิบกลมกลึง เอวอ่อนเรียวเล็ก สะโพกกลมใหญ่ขาวเนียน น่าตื่นตาตื่นใจจนทำให้เคลิบเคลิ้ม แต่กลับได้รับความทรมานเต็มที่ ตอนนี้เหมียวอี้ลงมืออย่างหนักหน่วง ไม่ทะนุถนอมเลยสักนิด ย่ำยีอย่างเต็มกำลัง ใช้มือบีบเค้นจนหวงฝู่รู้สึกเจ็บมาก รอยเล็บและรอยฟันบนยอดเขาสีหยกปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน หวงฝู่เองก็กัดเขาอย่างแรงเช่นกัน กัดจนเขาเลือดไหลออกมา
หลังจากพายุฝนจบลง หวงฝู่ก็ดูดเลือดสดบนไหล่เขาแล้วกลืนลงไปโดยตรง นางกำลังดูดเลือดของเขา แต่ตัวเองกลับน้ำตาไหลออกมา
“กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์จริงๆ ด้วย อยู่กับปีศาจโลหิตนานแล้ว เรียนรู้วิธีการดูดเลือดแล้วสินะ!” เหมียวอี้ที่ผลักนางล้มไปข้างๆ ดูเย็นชาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แล้วลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้าขึ้นมา
หวงฝู่จวินโหรวกัดริมฝีปากแดงที่เปื้อนเลือด ยื่นมือไปหยิบหมอนใบหนึ่งมาทุ่มใส่ เหมียวอี้ใช้มือปัดกลับไป แล้วหันกลับมาเตือนว่า “อย่าเรียกปีศาจโลหิตมาที่นี่ ถ้าให้คนอื่นเห็นเข้าคงไม่ใช่เรื่องดีอะไร”
หวงฝู่จวินโหรวคว้าหมอนที่ถูกตีกลับมา กระโดดลงจากเตียง แล้วเดินตัวเปล่าเอาหมอนไปทุ่มตีเหมียวอี้ไม่หยุด
เหมียวอี้ยื่นมือมาข้างหลังแล้วคว้าแขนนางไว้ พลางกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “ที่เขาว่ากันว่า เป็นผัวเมียกันวันเดียวเท่ากับติดนี้บุญคุณกันไปร้อยวัน เจ้าอยากจะฆ่าข้าก่อนถึงจะมีความสุขใช่มั้ย? ข้าบอกแล้วว่าจะชดใช้เจ้าด้วยหุ้นสองส่วนนั่น ทำไมยังสมคบกับปีศาจโลหิตมาทำร้ายข้าอีก?
“ของที่ข้าต้องการ ข้าหาเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามามอบให้!” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวพร้อมคราบน้ำตาบนใบหน้า
สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนหน้าอกอิ่มเอิบขาวดุจหิมะของนาง “ถ้างั้นความสัมพันธ์ของเรานับเป็นแบบไหน?”
“ไม่นับว่าเป็นอะไรทั้งนั้น!” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวอย่างเคียดแค้น ร่ายอิทธิฤทธิ์ผลักเขาออกไป แล้วรีบหยิบเสื้อผ้าตัวองขึ้นมาใส่
เหมียวอี้มองดูนางที่กำลังโป๊เปลือย พลางกล่าวอย่างรู้สึกขำมาก “อีกด้านหนึ่งก็นอนกับข้า อีกด้านหนึ่งกลับอยากสังหารข้า เจ้าจะให้ข้าทำยังไง? เจ้าอยากจะให้ข้าบอกว่า ตั้งแต่นี้ไปความแค้นของเราสองคนจบลงงั้นเหรอ?”
หวงฝู่จวินโหรวที่สวมเสื้อผ้าได้ครึ่งเดียวพลันหยิบหมอนขึ้นมา แล้ววิ่งไปฟาดใส่เหมียวอี้พักหนึ่ง “ก็ไม่ได้ให้เจ้ามารับผิดชอบนี่ ข้าไม่ได้ขอให้เจ้ารับผิดชอบ!”
เพียะ! เหมียวอี้ข่มไฟโกรธไม่ไหว จู่ๆ ก็สะบัดฝ่ามือเข้ามา ตบที่ใบหน้านางฉาดหนึ่ง เสียงดังฟังชัดมาก
หมอนในมือของหวงฝู่จวินโหรวตกพื้น นางเอามือกุมใบหน้า มองเหมียวอี้ด้วยแววตาสับสน พลางกัดฟันตะคอกว่า “ข้าเกลียดเจ้า!”
“ดี! ตามใจเจ้าแล้วกัน งั้นต่อไปพวกเราไม่ต้องมาพบหน้ากันอีก พรุ่งนี้ข้าจะไปแล้ว จะไม่กลับมาอีกแล้ว!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้าย แล้วหันตัวจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว…
เมื่อกลับมาถึงห้องตัวเองที่ร้านขายของชำ พอเห็นจงหลีค่วย เหมียวอี้ก็บอกว่า “เป็นปีศาจโลหิตจริงๆ”
“ถ้าเป็นแบบนี้ ต่อให้ทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ แต่ก็ไม่อาจทำลายวรยุทธ์ของปีศาจโลหิตได้ ทำให้นางเสียวรยุทธ์ไปแค่สองขั้นเท่านั้น… แต่นั่นก็นับว่าเสียหายอย่างหนักแล้ว” จงหลีค่วยกล่าวอย่างลังเล
“ตอนนี้วรยุทธ์ของปีศาจโลหิตสูสีกับท่าน ท่านพอจะสู้ไหวรึเปล่า?” เหมียวอี้ถาม
“เมื่อไม่มีน้ำเต้าโลหิตช่วย และมีวรยุทธ์เท่ากัน นางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก” จงหลีค่วยตอบ
เหมียวอี้พยักหน้า “ดี! ข้าบอกไว้ชัดเจนแล้วว่าพรุ่งนี้จะจากที่นี่ไป บอกว่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว ปีศาจโลหิตคงไม่ปล่อยให้ข้าหายตัวไปจนหาไม่พบแน่นอน จะต้องไล่สังหารข้าแน่ ถึงตอนนั้นคอยดูว่าท่านจะกำจัดนางได้หรือเปล่า!
“ถ้าไม่มีพลังที่สมบูรณ์พอที่จะสังหารนาง เรื่องคิดจะกำจัดนางทิ้งก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เคล็ดวิชามารโลหิตมีจุดเด่นเฉพาะตัว ตอนสังหารมารโลหิตที่มีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งในปีนั้น สำนักเราส่งผู้อาวุโสที่มีพลังอิทธิฤทธิ์ระดับอนันตภาพออกไป ถึงได้กำจัดเขาได้” จงหลีค่วยส่ายหน้าตอบ
ตอนที่ 942
สู้ให้ตายกันไปข้าง
โดย
Ink Stone_Fantasy
คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ ตอนนั้นไฉจวิ้นนำศิษย์พี่ศิษย์น้องระดับบงกชทองไปเป็นกลุ่ม แต่ก็ยังทำอะไรปีศาจโลหิตไม่ได้ อาศัยแค่พวกเขาสองคน คิดจะกำจัดปีศาจโลหิตทิ้งก็ไม่ง่ายขนาดนั้น มหาอิทธิฤทธิ์หลีกโลหิตของปีศาจตนนั้นร้ายกาจจริงๆ เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ปีศาจตนนี้เพ่งเล็งข้าไม่ปล่อย น่าปวดหัวจริงๆ”
“น่าเสียดายที่เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน ถ้ารู้ตั้งแต่แรก เชิญให้อาจารย์อาหมิวจ้าวมาด้วยก็สิ้นเรื่องแล้ว ถ้าเชิญมาตอนนี้ ก็เหมือนเป็นน้ำที่อยู่ไกล ช่วยดับไฟที่อยู่ใกล้ไม่ทัน” จงหลีค่วยกล่าว
“ถ้าฆ่าได้ก็ฆ่า ถ้าฆ่าไม่ได้ก็ช่างเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เออใช่ ลุงหนวด ท่านมาหาข้าด้วยธุระอะไรกันแน่?” เหมียวอี้ถาม
จงหลีค่วยตอบว่า “มีสองเรื่อง ปราสาทดำเนินนภาได้ยินเรื่องร้านขายของชำซื่อตรงของพวกเจ้ามาบ้างแล้ว เลยส่งข้ามาเจรจาการค้ากับพวกเจ้า ในแต่ละปีศิษย์ปราสาทดำเนินนภาได้ของเบ็ดเตล็ดมาไม่น้อย เที่ยวหาคนซื้อไปทั่วยุ่งยากจริงๆ ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็รับซื้อทุกอย่าง ดังนั้นจึงอยากสร้างเครือข่ายทางการค้าที่มั่นคงกับร้านขายของชำอย่างพวกเจ้า ไม่ทราบว่าสะดวกหรือเปล่า?”
เหมียวอี้ยิ้มตอบ “ทำไมจะคุยไม่ได้ล่ะ มีการซื้อขายมาหาถึงที่ก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว คนทำการค้าก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น แล้วอีกอย่าง ด้วยความสนิทสนมของพวกเรา ทุกอย่างก็ย่อมคุยง่าย ข้าไม่ให้ท่านมาเสียเที่ยวหรอก เดี๋ยวท่านไปคุยกับอวี้ซวีเจินเหรินก็เรียบร้อยแล้ว พวกเราจะพยายามให้ความสะดวกกับพวกท่าน ยังมีเรื่องอะไรอีกล่ะ?”
จงหลีค่วยกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “แผนที่ซ่อนสมบัตินั่น พวกเราพอจะมองเบาะแสออกบ้างแล้ว ของสิ่งนั้นน่าจะซ่อนอยู่ในสถานที่ไร้ระเบียบ สำนักกำลังรวบรวมกำลังคนไปค้นหา ข้าเลยมาบอกเจ้าสักหน่อย ถ้าเจ้าอยากไป สำนักก็จะตอบตกลงให้เจ้าร่วมเดินทางไปด้วย แต่อาจจะมีอันตรายนะ เจ้าคิดให้ดีแล้วกัน”
เหมียวอี้ตาเป็นประกาย ถ้าตัวเองไม่ไปด้วย แล้วจะรู้ชัดได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายเจอสมบัติมากเท่าไร คงไม่รู้ว่ามีการแบ่งจำนวนสมบัติอย่างไร ถึงตอนนั้นถ้าอีกฝ่ายบอกว่าได้เท่าไรเขาก็จะได้เท่านั้นเหรอ จะทำแบบนั้นได้อย่างไร สถานที่ซ่อนสมบัติของราชันลัทธิมารในยุคนั้นเชียวนะ ต้องร่ำรวยมหาศาลแน่ เห็นได้ชัดเจนมาก ที่อีกฝ่ายมาเรียกตนให้ร่วมเดินทางไปด้วย ก็เพื่อจะแสดงความบริสุทธิ์ใจ เมื่อเจอสมบัติแล้วจะได้ป้องกันไม่ให้เกิดความคลุมเครือ ไม่ให้นึกว่าปราสาทดำเนินนภาฮุบสมบัติเอาไว้ฝ่ายเดียว
และแน่นอน เรื่องเงินก็ส่วนเรื่องเงิน เหมียวอี้อยากให้อวิ๋นจือชิวได้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานมาไว้ในมือมากที่สุด ถ้าอวิ๋นจือชิวได้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่เป็นภาคดิน แบบนั้นก็จะช่วยเหลือเขาได้เยอะมาก เมียตัวเองไม่มีปัญหาเรื่องจงรักภักดีหรือไม่จงรักภักดีแล้ว เขาพยักหน้าซ้ำๆ ทันที “ไปๆๆ”
“จะหาเจอหรือไม่เจอมันก็อีกเรื่องหนึ่งนะ แต่ข้าจะบอกให้ชัดเจนเอาไว้ก่อน เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานเป็นของปราสาทดำเนินนภา ส่วนทรัพย์สินอย่างอื่นเจ้าเอาไปได้ครึ่งหนึ่ง” จงหลีค่วยกล่าว
เหมียวอี้หรี่ตายิ้ม “ได้อยู่แล้วๆ ” ในใจกลับพึมพำว่า งั้นก็ต้องดูว่าใครจะหาเจอก่อน ข้าน่ะถนัดเรื่องนี้ที่สุดแล้ว
เรื่องราวก็ตกลงกันตามนี้ แล้วเหมียวอี้ก็พาเขาไปพบอวี้ซวีเจินเหรินเพื่อเจรจาเรื่องซื้อขาย เรื่องนี้อวี้ซวีเจินเหรินย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว มีช่องทางจัดหาสินค้าที่มั่นคงเพิ่มขึ้น ทั้งยังได้สานสัมพันธ์กับปราสาทดำเนินนภา เป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว
หลังจากเจรจาเสร็จ เหมียวอี้กับจงหลีค่วยก็ออกไปด้วยกัน ไม่ได้รอให้ถึงพรุ่งนี้แล้วค่อยไป ตอนนี้มีเรื่องให้จัดการน้อยๆ เข้าไว้จะดีกว่า เรื่องที่ซ่อนเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินต้องมาเป็นอันดับแรก เหมียวอี้โยนเรื่องสู้กับปีศาจโลหิตทิ้งไปก่อน เอาไว้ตอนหลังค่อยไปคิดบัญชีกับปีศาจโลหิตก็ได้
หลังจากออกจากเมือง ทั้งสองก็เหาะขึ้นฟ้าไปพร้อมกัน จงหลีค่วยอยากจะจูงเหมียวอี้ออกไปด้วยกัน แต่คาดไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะปฏิเสธ จงหลีค่วยเพิ่งรู้ว่าเหมียวอี้บรรลุระดับบงกชทองแล้ว หลังจากรู้ว่าเหมียวอี้ได้ทุกขลาภเพราะโดนปีศาจโลหิตวางยาพิษ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่น
พอทั้งสองทะลุชั้นบรรยากาศออกไป ถึงได้พบว่ามีคนกำลังไล่ตามหลังมา เป็นชายสองหญิงหนึ่ง คนที่นำหน้ามาเป็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดสีเขียว
ทั้งสองเหาะด้วยความเร็วสูง สามคนที่ตามหลังมาก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“เป็นใครกัน?” จงหลีค่วยถาม
เหมียวอี้ส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้จัก
จงหลีค่วยคล้องแขนเขาไว้ทันที แล้วเริ่มเหาะเบนออกนอกเส้นทาง ใครจะคิดว่าสามคนข้างหลังจะเหาะเบนออกเหมือนกัน ยังคงตามหลังทั้งคู่อยู่
ทั้งสองสีหน้าเปลี่ยนนิดหน่อย ชัดเจนว่าพุ่งเป้ามาที่พวกเขา จงหลีค่วยดึงเหมียวอี้เร่งความเร็วเหาะหนีทันที หวังว่าจะทิ้งระยะห่างได้ แต่ความเร็วของสามคนที่ไล่ตามอยู่ข้างหลังก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจงหลีค่วยเลย จงหลีค่วยหันกลับไปร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนถามทันที “ใครกันมาทำลับๆ ล่อๆ?”
สตรีชุดเขียวพลิกตัวกลางอากาศ เสื้อผ้าระเบิดกระจายออก เปล่งเงามายาสีแดง ราวกับดอกไม้สีแดงเลือดเบ่งบาน ผ้ามุ้งสีแดงผืนหนึ่งโบยบินมาครอบไว้ทั้งตัว นางคือปีศาจโลหิต
“สมาคมวีรชนจะทำงาน! คนที่ไม่เกี่ยวข้องหลีกไป อย่าแส่หาเรื่องใส่ตัว” ปีศาจโลหิตตะโกนเตือน ตอนนี้นางไม่รู้ว่าอีกคนคือจงหลีค่วย นางไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของจงหลีค่วย จึงอ้างสมาคมวีรชนมากดดัน หวังว่าอีกฝ่ายจะอ่านสถานการณ์ออก นางอยากจับแค่เหมียวอี้คนเดียวเท่านั้น ไม่อยากมีปัญหากับคนอื่น
เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที จะเห็นได้เลยว่าปีศาจโลหิตกลัวว่าตนจะหนีไปขนาดไหน ตนบอกไว้ว่าพรุ่งนี้จะจากไป ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้นางจะตามมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าหวงฝู่จวินโหรวบอกข้อมูลกับนางในทันที นางจึงไปเฝ้ารออยู่นอกเมืองล่วงหน้าเพราะกลัวเขาหนี ที่ยุ่งยากกว่าเดิมก็คือ ครั้งนี้นางพาผู้ช่วยมาด้วย เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนของสมาคมวีรชน นางตัวแสบหวงฝู่จวินโหรว ช่างไม่ปรานีกันเลยสักนิด!
“สมาคมวีรชนแล้วยังไงล่ะ หรืออยากจะมีเรื่องกับปราสาทดำเนินนภาของข้า?” จงหลีค่วยตะโกนตอบเสียงดัง พลังอิทธิฤทธิ์บนตัวระเบิดออก ปรากฏโฉมหน้าที่แท้จริงของลุงหนวด มือข้างหนึ่งถือระฆังดาราขึ้นมา รีบติดต่อกับปราสาทดำเนินนภา เห็นได้ชัดว่าวรยุทธ์ของสามคนข้างหลังต่างกับเขาไม่เท่าไร ยากที่จะตัดสินแพ้ชนะ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นสำนักจะได้รู้ว่าเขาตายด้วยน้ำมือใคร ถึงตอนนั้นปราสาทดำเนินนภาย่อมไปคิดบัญชีกับสมาคมวีรชน!
“คนของปราสาทดำเนินนภา!” ชายที่อยู่ทางซ้ายและขวาของปีศาจโลหิตอุทานตกใจ จำเครื่องแบบบนตัวจงหลีค่วยได้ โดยเฉพาะตอนที่เห็นจงหลีค่วยหยิบระฆังดาราออกมาส่งข่าว พวกเขาก็หันไปมองปีศาจโลหิตพร้อมกัน หนึ่งในนั้นถามว่า “ปีศาจโลหิต ทำไมมีคนของปราสาทดำเนินนภาล่ะ?”
ถึงแม้สมาคมวีรชนจะมีอำนาจมาก แต่กำลังของปราสาทดำเนินนภาก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ไม่กลัวสมาคมวีรชนแน่ ทั้งสองทำสีหน้ากังวลหวาดหวั่น ถ้าจะให้สมาคมวีรชนกับปราสาทดำเนินนภาแลกเลือดกันเพื่อความแค้นของปีศาจโลหิตคนเดียว นั่นไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด
ปีศาจโลหิตก็ตกใจไม่เบาเช่นกัน แน่นอนว่านางรู้จักจงหลีค่วย ทั้งสองไม่ได้สู้กันเป็นครั้งแรก นี่ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน คนของปราสาทดำเนินนภาก็มาถึงแล้วเหรอ?
ที่นางกล้าไล่ตามเหมียวอี้มาในทันที ก็เพราะแน่ใจว่าตอนนี้เหมียวอี้ยังหาคนที่เหมาะสมมาช่วยเหลือไม่ทัน บวกกับการคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัย หวงฝู่จวินโหรวยังเรียกผู้ช่วยสองคนมาให้นางด้วย
พอจงหลีค่วยปรากฏตัว นางก็นึกถึงเรื่องที่พวกหมิงจ้าววางกับดักนางครั้งก่อนทันที อดสงสัยไม่ได้ว่าครั้งนี้เหมียวอี้คิดจะวางแผนกับนางอีกหรือเปล่า นางจึงรีบกวาดสายตามองไปรอบๆ
แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ใช่ ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ จงหลีค่วยก็ไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวเลย หลอกล่อให้นางติดกับดักต่อไปก็พอแล้ว
ทว่าอาจจะเป็นแผนซ้อนแผน ไม่แน่ว่าคิดจะใช้วิธีนี้เพื่อให้นางติดกับดัก
เมื่อเห็นผู้ช่วยสองคนกำลังจะถอนตัวออกกลางคัน ปีศาจโลหิตก็เตือนทันที “พวกเจ้าอย่าลืมนะว่าเถ้าแก่น้อยให้พวกเจ้ามาช่วยข้า? นี่ไม่ใช่ผลประโยชน์ของข้าคนเดียว เพราะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของร้านค้าสมาคมวีรชนด้วย”
ชายคนนั้นบอกว่า “เถ้าแก่น้อยไม่ได้บอกว่าจะสู้กับคนของปราสาทดำเนินนภา แล้วเถ้าแก่น้อยก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้ด้วย!”
“ปีศาจโลหิต ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากช่วยเจ้านะ อีกฝ่ายแสดงตัวชัดเจนแล้วว่าเป็นคนของปราสาทดำเนินนภา ถ้าพวกเรายังลงมืออีก งั้นก็เป็นการสู้กันระหว่างสมาคมวีรชนกับปราสาทดำเนินนภาแล้ว ถ้าเจ้าบ้านหวงฝู่ไม่ได้ออกคำสั่ง พวกเราก็รับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ไหว ถ้าเจ้ายังดึงดันจะลงมือต่อ พวกเราก็ทำได้เพียงถอย เจ้าเชิญจัดการตามสะดวกในนามของตัวเองเถอะ!” ชายอีกคนกล่าว
ชายสองคนสบตาและพยักหน้าให้กัน รีบเลี้ยวแล้วเหาะกลับไปอย่างรวดเร็ว
“เอ๋! ทำไมหนีไปแล้วสองคน?” เหมียวอี้สวมเกราะรบสีทองและถือทวนไว้ในมือแล้ว ตอนนี้หันมาถามอย่างแปลกใจ
จงหลีค่วยแสยะยิ้ม “สมาคมวีรชนอยากจะปะทะกับปราสาทดำเนินนภาเหรอ ยังห่างชั้นกัน!”
ปีศาจโลหิตแค้นจนกัดฟันกรอด แต่ก็ไม่มีทางเลือก เดิมทีสมาคมวีรชนก็เป็นการรวมกลุ่มที่หละหลวมอยู่แล้ว เพียงแต่มีตระกูลหวงฝู่เป็นแกนกลางเท่านั้น เทียบกับตอแข็งที่รวมกำลังกันอย่างปราสาทดำเนินนภาไม่ติด เมื่อเจอกับการกดดันก็ย่อมไม่กลัว เมื่อเจอกับตอแข็งแบบนี้ เว้นเสียแต่ว่าทุกคนจะเจรจาให้เรียบร้อยลงตัว ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครอยากปะทะตรงๆ กับสำนักที่มีกำลังอำนาจมากอย่างปราสาทดำเนินนภา
แต่นางไม่อยากจะปล่อยเหมียวอี้ไปเลยจริงๆ ถ้าเหมียวอี้ไม่ได้เตรียมการอย่างอื่นไว้ ถ้าครั้งนี้เหมียวอี้ไปแล้วไม่กลับมาอีกจริงๆ ใต้หล้าใหญ่ขนาดนี้ นางจะไปหาเจอได้จากไหน?
ที่จริงนางมีบางสิ่งที่ไม่สะดวกจะบอกใคร ที่จริงการทวงยาเม็ดโลหิตกลับมาเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดคือบัวโลหิตต้นนั้น นั่นคือสมบัติอันงดงามที่คนในโลกนี้พบเจอได้แต่ไม่อาจครอบครอง มีเพียงการนำบัวโลหิตกลับมาเท่านั้น ในภายหลังจะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มียาเม็ดโลหิตช่วยเพิ่มวรยุทธ์ จะเสียมันไปไม่ได้
สุดท้ายนางก็ตัดสินใจจะสู้ตายสักยก ถึงแม้ตอนนี้วรยุทธ์ของตนจะสูสีกับจงหลีค่วย แต่ถ้าจงหลีค่วยคิดจะสังหารนาง ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ต่อให้เป็นไฉจวิ้นก็อาจจะทำอะไรนางไม่ได้เช่นกัน
ภายใต้การชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย ผลประโยชน์ก็อยู่เหนืออันตราย ปีศาจโลหิตกัดฟัน ไล่ตามต่อไปเพียงลำพัง
เหมียวอี้เพิ่มระดับความเร็วในการเหาะไม่ไหว ถึงแม้วรยุทธ์ของจงหลีค่วยจะสูสีกับปีศาจโลหิต แต่เมื่อมีเหมียวอี้เป็นตัวถ่วงอีกคน ความเร็วในการเหาะก็ย่อมได้รับผลกระทบ
เมื่อเห็นระยะห่างของสองฝ่ายเข้าใกล้กันเรื่อยๆ เหมียวอี้ก็เอียงหน้ากล่าวอย่างดุร้ายว่า “ก็แค่นางคนเดียว พวกเราร่วมมือกันก็ได้!”
จงหลีค่วยเตือนทันทีว่า “เจ้าอย่าทำเป็นเล่น เมื่อวรยุทธ์ถึงระดับทะยานสวรรค์แล้ว ความต่างของวรยุทธ์เพียงหนึ่งขั้นนั้นไม่ใช่น้อยๆ ไม่ใช่สิ่งที่ระดับก่อนหน้านี้จะเทียบได้ มิหนำซ้ำอีกฝ่ายก็เหนือกว่าเจ้าหกขั้น ให้ข้าลงมือคนเดียวก็พอ!”
“มหาอิทธิฤทธิ์หลีกโลหิตของนางร้ายกาจเกินไป ต่อให้เป็นศิษย์พี่ไฉจวิ้นของท่าน ก็อาจจะทำอะไรนางไม่ได้เช่นกัน ท่านสังหารนางไม่ไหวเลย!” เหมียวอี้กล่าวเตือน
จงหลีค่วยจึงตอบว่า “ต่อให้ฆ่าไม่ได้ แต่ทำให้นางตกใจหนีไปก็ยังดี อย่าบอกนะว่ามีเจ้าเพิ่มขึ้นมาคนเดียวแล้วจะฆ่านางสำเร็จ!”
เหมียวอี้กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ปีศาจตนนี้จ้องข้าไม่ยอมปล่อย นางเป็นภัยอันใหญ่หลวงสำหรับข้า ในเมื่อมีโอกาส จะปล่อยให้นางจองเวรไม่จบไม่สิ้นได้อย่างไร วันนี้ข้ากับนางต้องสู้ให้ตายกันไปข้าง! ลุงหนวด ท่านหานางพัวพันนางให้ได้ ทางที่ดีทำให้นางเข้าใจผิดว่าท่านสู้นางไม่ไหว แบบนี้ข้าถึงจะมีโอกาสลงมือ ลุงหนวด ท่านจำไว้นะ ถ้าข้าโจมตีครั้งเดียวแล้วพลาด ท่านต้องเก็บข้าใส่กระเป๋าสัตว์แล้วหนีไปทันที!”
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” จงหลีค่วยสงสัย
“ตอนนี้อธิบายลำบาก อีกประเดี๋ยวท่านก็จะรู้เอง!” เหมียวอี้สะบัดแขนดิ้นรนออกจากตัวเขา
จงหลีค่วยใช้ดรรชนีกระบี่ทันที ลำแสงกลุ่มหนึ่งยิงออกจากกำไลเก็บสมบัติ พอหันตัวมาชี้ กระบี่บินก็ยิงออกมาด้วยความเร็วสูงราวกับผีพุ่งใต้ ฟันสังหารใส่ปีศาจโลหิตที่ไล่ตามมาอย่างบ้าคลั่ง ส่วนคนก็ไล่ตามกระบี่บินไป
เหมียวอี้ถือทวนอยู่ในมือ ไล่สังหารตามหลังจงหลีค่วยไปเช่นกัน
ปีศาจโลหิตถือดาบนกเป็ดน้ำอยู่ในมือ แล้วไขว้ดาบต้านเอาไว้ ปั้ง! กระบี่บินที่ฟันเข้ามาสะเทือนกระเด็นกลับไปทันที
ปีศาจโลหิตฉวยโอกาสไล่โจมตี จงหลีค่วยคว้ากระบี่บินกลับมา แล้วพุ่งชนใส่ปีศาจโลหิต พร้อมมือสองข้างควงกระบี่ฟันไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง
ปีศาจโลหิตยกมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ วินาทีที่เห็นแสงสะท้อนของคมกระบี่ฟันแสกหน้าเข้ามา ทั้งร่างกายของนางก็พลันกลายเป็นเงามายาเลือดสิบร่าง แล้วพุ่งยิงกระจายไปสี่ทิศ กลายเป็นร่างสิบร่างที่วนอ้อมจงหลีค่วยที่โจมตีเข้ามาตรงหน้า จากนั้นไปรวมร่างกันอีกครั้งตรงจุดที่ไม่ไกลจากข้างหลังเขา ไปสู้กับเหมียวอี้ที่พุ่งเข้ามา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น