องครักษ์เสื้อแพร 940-941

 ตอนที่ 940 ไม่ปล่อยไว้เด็ดขาด ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ได้ยินซุนเผิงจวี่กล่าว ทุกคนก็ไม่มีสีหน้าใด ได้แต่แสดงสีหน้าเห็นด้วยพยักหน้า ทหารในสังกัดออกปล้นเองเรื่องนี้เรียกได้ว่าไม่มีเกียรตินัก แต่ความจริงนั้นเป็นเช่นนี้กันบ่อยมาก


ทหารในสังกัดขุนพลทหารเป็นทหารที่เก่งกล้าที่สุด ปกติเสบียงเบี้ยหวัดและค่าตอบแทนต่างๆ มีเพียงพอ ยังรวมที่พักที่กินตอนฝึกอีกด้วย


คนเหล่านี้แน่นอนไม่อาจใช้วินัยทหารบังคับ ย่อมผ่อนปรนให้มากสักหน่อย ปลอมตัวเป็นโจรออกปล้น เรื่องนี้แน่นอนว่าย่อมปิดตาข้างหนึ่ง ราชสำนักหักเบี้ยหวัดไว้ หักทหารธรรมดาเสียเป็นส่วนมากเพื่อเอาไปเลี้ยงทหารในสังกัด เงินหักส่วนเงินอื่นก็หักไป ไม่อาจไม่หัก การปล้นสามารถชดเชยได้ไม่น้อย ขุนพลทหารไม่เพียงไม่ห้ามปราม กลับแอบปล่อยปละ ถึงกับเป็นนำกำลังไปเองก็มี


แต่ทว่าเรื่องเช่นนี้ ยังคงเป็นทหารชายแดนทำกันมาก หากให้ทหารในแผ่นดินหมิงสังหารปล้นชิง เท่ากับเป็นเรื่องไม่เห็นกฎหมายในสายตา พวกเขาไม่อาจกระทำได้


พื้นที่นอกด่านซ้ายขวาเป็นพื้นที่ไร้กฎหมาย คนที่นั่นไม่ใช่ราษฎรแผ่นดินหมิง ขอเพียงทำไม่เปิดเผย อย่าได้หาเรื่องที่จะพัวพันถึงตัว ก็ไม่มีต้องกังวลภัยตามมา


ซุนโส่วเหลียนเป็นขุนพลทหารในเมืองเหลียวโจวดูแลเขตติดกับเกาหลี ทางนั้นเป็นเส้นทางสำคัญติดต่อระหว่างเกาหลีกับแผ่นดินหมิง ทำเรื่องเช่นนี้ไม่แปลก


ความจริงนั้นกองกำลังหู่เวยของหวังทงบนทุ่งหญ้าก็ออกปล้นส่วนตัวอยู่บ้าง เป็นเรื่องปกติ


แต่ทว่าตอนเหนือของส่านซีแม้ว่ารกร้าง แต่อย่างไรก็เขตแผ่นดินหมิง ถึงกับประสบเหตุเช่นนี้ได้ เป็นเรื่องน่าตกใจยิ่ง


“จากเมืองเป่าติ้งไปทางใต้ ตลอดทางหลายวันไม่เห็นควันไฟจากบ้านเรือนผู้คน พ่อค้าเดินทางผ่านมาก็น้อย หากระหว่างทางถูกปล้น นำศพโยนไว้ที่รกร้างให้สัตว์ป่ากัดกินศพให้หมด ที่นี่ห่างไกลย่อมไม่มีผู้ใดจะสนใจ เพราะพ่อค้าน้อย ดังนั้นจึงไม่มีคนจะสนใจ”


หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง วิเคราะห์ขึ้น คนรอบๆ ล้วนเห็นด้วย เมืองเป่าติ้งย่อมมีสายโจรเหล่านี้ ขบวนหวังทงมีคนและม้า  และยังมีของที่ม้าบรรทุกลากมาอีก พอเห็นย่อมรู้ว่าเป็นของไม่น้อย แน่นอนสามารถส่งกองกำลังระดับนี้มาได้ย่อมกับมีสายสัมพันธ์กับขุนนางในพื้นที่ เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้ดีแก่ใจ พวกโจรปกติไหนเลยจะกล้าลงมือ หากบอกว่าเป็นคนกองทัพ ฟังดูจะขึ้นกว่า ขบวนพ่อค้าร้อยกว่าคน แม้อาจไม่ใช่กองกำลังชาวบ้าน เป็นทหารปลอมตัวมา หรือว่าทหารมาสักหน่อย ก็จะโจมตีเอาได้ คืนวานพวกนั้นไม่แน่ก็คิดเช่นนี้ คืนวานแม้มืดมิดมองไม่ชัด แต่คนที่มาไม่น้อยกว่า 300


คิดถึงตรงนี้ หวังทงส่ายหน้า กล่าวว่า


“เรื่องพัวพันไม่น้อย อย่าได้คาดเดา ต้องไล่ตามไปดูให้รู้ชัด”


เฉินต้าเหออึ้งไป เตือนเบาๆ ว่า


“ท่านโหว เร่งเดินทางสำคัญ ทางนี้อย่างไรก็มิใช่เขตเมืองหลวง พื้นที่ห่างไกลฮ่องเต้  ไม่รู้ว่าคนที่นี่จะกล้าถึงขั้นใด……”


“เป็นเพราะที่นี่อันตราย ข้าจึงต้องระวัง คนเมื่อคืนวานเป็นไปได้มากว่าอาจเป็นคนจากเมืองหนิงเซี่ย หากเป็นเช่นนั้นจริง หรืออาจไม่ใช่ แต่ข่าวแพร่ออกไป แล้วทำให้พวกตระกูลปัวแห่กันมาเล่า?”


พอหวังทงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนล้วนเงียบ หวังทงขยี้ใบหน้า ไม่ได้นอนสักตื่นดีๆ  ลมหนาวราวมีดกรีดอีก ใบหน้าล้วนแข็งไปหมด เสียงดังกล่าวว่า


“คืนวานคนมากันมากเพียงนั้น เดินทางย่อมทิ้งร่องรอยไว้ พวกเขาโจมตีกลางดึก กลางวันย่อมหาที่พักผ่อน พวกเราไล่ตามไปทัน!”


นี่เป็นเป็นคำสั่ง ทุกคนรับคำพร้อมเพรียง ปฏิบัติการเรื่องนี้ก็ง่ายมาก ตอนเหนือของส่านซีไล่ตามร่องรอยบนพื้นไปเช่นนี้ พวกสื่อชีทำไม่ได้ แต่ม่อยื่อเกินกับปาถูกสองคนมาจากทุ่งหญ้าย่อมใช้การได้พอดี


ทั้งขบวนเตรียมพร้อมง่ายๆ ทิ้งสองคนไว้ดูแลคนเจ็บ ที่เหลือขี่ม้าออกเดินทางไล่ล่า คนเมื่อคืนวานไม่น้อย ระหว่างทางก็ย่อมไม่มีที่กำบัง ง่ายต่อการไล่ตามร่องรอย เช่นนี้จึงไล่ตามไป


พวกโจรลงมือปล้นแล้ว ไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ คนถูกปล้นหรือกลัวมีเรื่องก็ย่อมเร่งเดินทางหนี อย่างไรก็ไม่อยากชักช้าให้เสียเวลา ล้วนคิดว่าเรื่องมากหนึ่งเรื่อง ไม่สู้เรื่องน้อยหนึ่งเรื่อง จึงไม่คิดจะสนใจเอาความต่อ ถึงกับแม้แต่ไปแจ้งทางการก็ยังเรียกว่าน้อยมาก ผู้ใดจะคิดว่าพวกหวังทงจะไล่ตามมา


ตอนเหนือของส่านซีเป็นพื้นที่รกร้าง กลางคืนบุกโจมตี อาศัยความมืดหลบหนี เช่นนี้ก็ย่อมหาร่องรอยเจอ ขอเพียงวิ่งออกไป ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะหาไม่เจอ


ตามคาด พวกโจรที่มาโจมตีเมื่อคืนวานเป็นตามที่พวกหวังทงคิด หวังทงติดตามมาได้ไม่ถึงสองชั่วยาม ก็เห็นม้าผูกอยู่รอบนอกรังที่บังลม ในนั้นมีกระโจมน้อยใหญ่หลายสิบ ม้าผูกอยู่ด้านนอก ค่อยๆ เข้าไปใกล้ด้านใต้ลม ยังได้กลิ่นเผาหญ้าไหม้อีกด้วย


ย่อมเป็นพื้นที่เพิ่งใช้ไฟเผาร้อน จากนั้นก็ค่อยผูกกระโจมพักผ่อน เห็นกระโจมกับการตั้งค่ายแล้ว ย่อมแสดงให้เห็นว่าที่ทุกคนวิเคราะห์เป็นจริง พวกนี้เป็นพวกทหาร แต่ทหารแผ่นดินหมิงเป็นอย่างไรนั้น หวังทงเข้าใจดี คนพวกนี้ตอนนี้แม้แต่คนเฝ้ายามก็ไม่จัดไว้ ช่างใจกล้าแท้


“ปืนกับธนูเตรียมพร้อมก่อน  ทหารม้าสิบนายถือทวนรอ นำม้าบุกเข้าไปก่อน จากนั้นลงมือสังหาร ซานเปียวเจ้านำทหารสิบนายไล่ล่า อย่าให้หนีไปได้แม้แต่คนเดียว!”


หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ ทุกคนพากันรับคำไปเตรียมตัว ครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อคืน ทุกคนล้วนสวมเกราะแล้ว  แม้แต่ม้าที่บุกเข้าไปก็มีพรมคลุมตัวไว้ด้วย


ทุกคนย่องเบาเข้าไปใกล้ มือหานกังกับฉีอู่ถือทวนสั้นเดินอยู่หน้าสุด ทุกคนลงจากหลังม้า คนด้านหลังปล่อยม้าโจรทิ้ง ทุกอย่างเตรียมการเรียบร้อย ด้านหน้าตะโกนดัง ด้านหลังมีคนถือแส้ฟาดม้า


ม้าหลายร้อยกระโจนมุ่งไปยังที่พักพวกโจรทันที กระโจมสร้างจากไม้กับทวนยาวไว้กันลม จะไปต้านทานแรงปะทะม้าได้อย่างไร


ม้าพวกโจรล้วนตกใจ ส่งเสียงร้องดังไปทั่ว กระโจนไปข้างหน้าทันที พวกโจรที่ถูกม้าเหยียบก็เริ่มตื่น แต่ยังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น  กระโจมก็ถูกทำลายทิ้งไปกว่าครึ่งแล้ว คนไม่น้อยถูกม้าเหยียบตายทันที ไม่ก็กระดูกหัก


บุกเข้าไปได้ครึ่งทาง ก็เห็นมีคนวิ่งออกมาจากกระโจมอย่างตื่นตกใจ แม้มือถืออาวุธ  เห็นว่าเป็นฝูงม้าวิ่งตะบึงเข้ามา จะหลบอย่างไร พริบตา ทหารม้าถือทวนก็มาถึงตรงหน้า แทงจากที่สูงลงมา


ทั้งม้าและคนส่งเสียงเอะอะอลหม่าน  ทั้งกระโจมทั่วบริเวณก็ถูกถล่มราบ ม้าหนีไปไกล พอไร้กระโจมกำบัง พื้นที่ยังมีแต่เสียงร้องเจ็บปวดล้มตาย  ไม่ก็พวกที่ยืนทื่อทำอะไรไม่ถูกอยู่กับที่


“ยิง!!”


พวกโจรที่เผยตัวแน่นอนย่อมเป็นเป้า เมื่อคืนวานปืนไฟทำให้พวกเขาตกใจ แต่ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ การสังหารด้วยปืนไฟไม่สู้ธนู มือธนูมองโกลหลายคน เฉินต้าเหอเป้าเอ้อร์เสี่ยวเชี่ยวชาญธนูยาว ล้วนมาน้าวธนูอยู่ด้านหน้ายิงใส่ทันที ทุกดอกล้วนเด็ดชีพ


ความจริงนั้นตอนถูกธนูเด็ดทีละคน พวกโจรยังไม่ได้สติกัน แม้เป็นพวกล้าหาญอยู่บ้าง แต่ได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดดังติดๆ กัน เห็นเพื่อนทหารด้วยกันล้มตายตรงหน้า ก็ย่อมต้องลนลาน สภาพการณ์นี้คิดหนีก็ไม่ได้ เพราะถูกอีกฝ่ายล้อมเป็นครึ่งวงกลมแล้ว ได้แต่ถูกล้อมสังหารเท่านั้น


ธนูยิงระลอกสอง คนวงในก็เริ่มทนไม่ไหว มีคนคว้าโล่ขึ้นมาส่งเสียงตะโกนบุกออกไป


ระยะห่างเช่นนี้ ธนูพุ่งมาย่อมไม่อาจยิงทะลุโล่ หากเป็นโอกาสของปืนไฟแล้ว เล็งไปยังโล่ ยิงทันที โล่ไม้ที่บังไว้จะทานได้อย่างไร ได้แต่ทะลุเป็นรู ปิดบัญชีคนด้านหลังไปอีกคน


“กล้าโจมตีกองกำลังซุ่นหนิง พวกเจ้าคิดกบฏหรือ?”


คนที่ตะโกนดังกลับเป็นดังเป้าของม่อยื่อเกิน ธนูดอกหนึ่งยิงเข้าปาก สิ้นลมทันที หวังทงส่ายหน้า กองกำลังซุ่นหนิงเป็นกำลังประจำเมืองอวี้หลิน ใกล้กับเมืองเป่าติ้ง ดูท่าไม่ได้มีสายสัมพันธ์กับตระกูลปัวเมืองหนิงเซี่ย


หวังทงปิดหมวกเกราะ ยกดาบขึ้น ตะโกนดังว่า


“มือธนูตั้งแถว ปืนไฟหยุด ตามข้าไปสังหารคนในนั้น!”


เสียงดังรับคำพร้อมเพรียง ทุกคนสวมเกราะถือดาบเริ่มบุกเข้าไป ม้าย่ำไปรอบ ยิงธนูกับปืนไฟไปรอบ  พวกโจรในค่ายก็ยังมีคนมากกว่าพวกหวังทงหลายส่วน แต่ก็แตกตื่นขวัญหนีดีฝ่อกันหมดแล้ว ไม่อาจมีความกล้าหาญจะต่อสู้อันใดอีก


การต่อสู้ต่างจากเมื่อวานลิบลับ อยู่ๆ ตกใจกะทันหัน สำหรับหวังทงถึงกับน่าเบื่อเลยทีเดียว ตอนเข้าใกล้สนามรบก็วิ่งเหยาะๆ ไป ดาบพัวเตาในมือก็ทิ้งคมลง เดิมเตรียมการป้องกันตัวก่อนการโจมตี คิดไม่ถึงศัตรูตรงหน้ากลับเอาแต่อึ้ง ถึงกับหันหลังวิ่งหนี


เช่นนี้ไม่อาจเรียกว่าโจมตีอันใดแล้ว เริ่งฝีเท้าเข้าไป ดาบในมือตวัดฟันคอทิ้งทันที คนด้านหน้าล้มลงส่งเสียงร้องโหยหวน เลือดสาดกระเซ็นรอบทิศ หวังทงไม่สนใจ ยังคงมุ่งหน้าต่อไป ดาบพัวเตาในมือก็กวัดแกว่งต่อ อีกฝ่ายยังคงตั้งสติไม่ได้ ถูกดาบพัวเตาพาดผ่านตัดหัวทิ้งไปทันที


สังหารทิ้งไปสอง หวังทงก็ไม่เห็นศัตรูตรงหน้าแล้ว ล้วนหนีกระจัดกระจายไปหมด มีคนเริ่มคุกเข่าส่งเสียงร่ำไห้ดังบนพื้นร้องขอชีวิต


หวังทงสะบัดดาบพัวเตาในมือ ยืนมองดูสนามรบเงียบๆ การต่อสู้จบเร็วไปแล้ว


“ท่านโหว สอบสวนมาสองสามคน ล้วนพูดเหมือนกัน ได้ข่าวมาจากเมืองเป่าติ้ง ระหว่างทางเข้าจัดการเรา เป็นการนำของรองนายกองพัน เอ่ยถึงหนิงเซี่ยไม่มีผู้ใรู้ และไม่รู้ว่าพวกเราเป็นใครมาทำอะไร”


หวังทงพยักหน้า กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า


“สังหารทิ้งให้หมด จะได้ไม่มีข่าวเล็ดรอดออกไป!”


น้ำเสียงนิ่งเรียบ ลูกน้องไม่ได้รู้สึกอันใด ได้แต่ฟังเสียงคนในนั้นส่งเสียงด่าทอและร้องโหยหวน จัดการหมดสิ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนได้พักครู่หนึ่ง ก็เปลี่ยนม้า เดินทางกลับ ติดตามหวังทงมานาน ก็จะรู้ว่าหวังทงดูอารมณ์หดหู่ หม่าซานเปียวเข้าไปใกล้กระซิบว่า


“ท่านโหว แค่พวกเศษสวะ สังหารก็สังหารไปแล้ว ไยต้องสนใจ”


“คนเหล่านี้ไม่ได้ทำเช่นนี้ครั้งเดียว ไร้กฎหมายไร้ระเบียบเช่นนี้ ไร้ความสามารถราวกระสอบหญ้าเช่นนี้ กองกำลังเช่นนี้ ไม่จัดการไม่ได้แล้ว!”


หวังทงตอบคำถามที่ไม่ได้ถาม


ตอนที่ 941 เมืองหนิงเซี่ย

โดย

Ink Stone_Fantasy

เขตชายเมืองอวี้หลินกับชิ่งหยาง ก็คือเขาไท่ไป๋ เดินไปสี่วันก็จะเข้าสู่เมืองหนิงเซี่ย พอเข้าสู่เมืองอวี้หลิน พวกหวังทงออกจากสุยอันเข้าสู่หมู่บ้านหนึ่ง ในหมู่บ้านมีชายว่างงานกล้าหาญอยากขอมาช่วยนำทาง


คนมานำทางก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย ก็แค่ฤดูหนาวไม่มีงานทำต้องการหาเงินเท่านั้น หวังทงให้ค่าตอบแทนเป็นม้าหนึ่งตัว เรียกได้ว่าค่าตอบแทนหนักอยู่ไม่น้อย


มีคนนำทาง ก็ทำให้ประหยัดเวลาไปไม่น้อย อย่างน้อยก่อนคืนปีใหม่ก็คงได้เข้าสู่เมืองหนิงเซี่ย ทุกคนจะได้พักผ่อนกันเต็มที่สักที


จากซานซีเข้าสู่สุยอัน หวังทงรู้สึกถึงความยากจนและแห้งแล้งของตอนเหนือส่านซี พอออกจากเป่าติ้งมา เดินทางไปทางตะวันตกสู่เมืองหนิงเซี่ย ที่ได้เห็นมาตลอดทาง ล้วนยิ่งกว่าสุยอันมาก


เห็นความรุ่งเรืองเมืองหลวงและเทียนจินมาจนเคย เห็นความรุ่งเรืองงดงามของทางใต้มาจนชิน ได้เห็นความกว้างใหญ่และงดงามของทุ่งหญ้ามาก็มาก พวกหวังทงตอนนี้ต่างไม่ชิน พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ เห็นแต่ดินสีเหลือง ถึงกับแม้แต่ต้นไม้ก็แทบไม่เห็น หากบอกว่าคนนำทางเป็นพวกชำนาญก็ย่อมได้ เขานำเดินไปตามเส้นทางเขาไท่ไป๋ อย่างน้อยก็สบายกว่าหน่อย


ตลอดทางผ่านหมู่บ้านเล็กสองสามหมู่บ้าน หมู่บ้านเหล่านี้ล้วนรับรู้การมาของพวกหวังทง ได้ยินเสียงกลองและนกหวีดไกล


พอขบวนทัพม้าผ่านหมู่บ้านไป ควันไฟจากบ้านเรือนที่เห็นเมื่อครู่ก็หายไปหมด ไร้ผู้คน เดินอยู่กลางหมู่บ้านหรือชายขอบหมู่บ้าน ยังรู้สึกมีคนจ้องขบวนทัพม้าแต่ไม่กล้าออกมา


นี่หากเป็นซานซีกับเขตปกครองเหนือ  ขบวนทัพม้าเช่นนี้ผ่านหมู่บ้าน พวกที่รู้จักหาเงินทองเห็นก็ย่อมออกมาดูว่ามีอะไรให้เก็บเกี่ยวได้บ้าง เด็กน้อยก็ย่อมออกมามุงดูความครึกครื้น


หากทางตะวันตกเฉียงเหนือนี้ไม่เหมือนกัน เมื่อครู่ยังเป็นหมู่บ้านเล็ก  หากป้อมหมู่บ้านใหญ่ยังมีหอสังเกตการณ์ เห็นหวังทงนำกองกำลังผ่านมา ก็รีบปิดประตูป้อมทันที พอพวกหวังทงผ่านไป ก็เห็นบนกำแพงป้อมมีชายฉกรรจ์ถืออาวุธ ยังถึงกับมีธนู ล้วนมองมาอย่างไม่เป็นมิตร


“นายท่านอย่าได้สงสัย พวกเราที่นี่สถานการณ์วุ่นวาย ไม่ระวังตัว ไม่แน่อาจถูกโจรม้าบุกเข้าไปสังหารได้ ทั้งครอบครัวล้วนต้องพลอยจบสิ้นไปด้วย มีบางครั้ง เพื่อแย่งน้ำแย่งพื้นที่ คนในหมู่บ้านก็ยังสังหารกันเอง!”


ชายนำทางผู้นี้ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก กล่าวบรรยายสบายๆ หวังทงกลับขมวดคิ้วถามขึ้น


“โจรม้าเป็นชาวฮั่นหรือเป็นพวกนอกด่าน?”


“พวกนอกด่านล่วงเขตแดนมาแม้แต่จะแตะต้องพวกเราที่ยากจนก็ไม่แตะต้อง  ที่ปล้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกเดนตาย บ้างก็เป็นคนจากป้อมทหาร บ้างก็เป็นตระกูลใหญ่ออกมาหากิน ได้ยินว่าอาศัยเรื่องพวกนี้ร่ำรวยกัน ข้าน้อยเองก็งง จะร่ำรวยได้อย่างไร?”


เห็นความยากจนและแห้งแล้งตลอดทางมาแล้ว ผู้ใดก็ล้วนไม่สบายใจ  ได้ยินแล้ว หวังทงก็ยิ่งงง แต่เรื่องพวกนี้ไม่อาจแก้ไขอะไรได้ในตอนนี้ ได้แต่ค่อยหาทางต่อไป


“นายท่านขอรับ ตะวันตกเฉียงเหนือเราเหล่านี้ไม่ได้ดีไปกว่าทางตะวันออกเฉียงใต้นัก ล้วนเป็นเพราะบรรพชนโชคร้ายจึงได้อพยพมาที่นี่ ปกติดื่มน้ำก็ยังต้องแสวงหากันแทบตาย ปีใหม่ได้เห็นอาหารเนื้อมีน้ำมันสักมื้อก็เรียกได้ว่าขอบคุณสวรรค์แล้ว ยามปกติเจอโจรม้า พอมีเรื่องก็เจอพวกนอกด่านมาซ้ำ วันเวลายากลำบากมาก!”


ชายนำทางอย่างไรก็ต้องระบายออกมา เป็นคนเห็นโลกมามาก ว่ากันว่าเคยอยู่ซีอานมาหลายปี แต่เพราะทำผิดจึงได้กลับมาอยู่ที่ยากจนเช่นนี้ แต่ทว่าทุกคนขี้เกียจจะสนใจ


พอเข้าสู่เมืองหนิงเซี่ย ภาพตรงหน้าช่างแตกต่างจากเส้นทางหลังจากออกจากเมืองเป่าติ้งมา เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน มีภาพป้อมหมู่บ้านดูแล้วไม่ธรรมดา หรือว่าเป็นพื้นที่สำคัญ ตอนผ่านป้อมหมู่บ้านพวกนี้ ก็ยังได้เห็นชายขี่มาตามออกมาอยู่บ้าง ตามมาได้ 20-30 ลี้ก็กลับไป


“คนลับๆ ล่อๆ เหล่านี้ ในบรรดาโจรม้าย่อมมีพวกเขาร่วมด้วย”


ชายนำทางวิจารณ์ หวังทงได้ฟังแล้ว ก็แอบพูดกับหม่าซานเปียวว่า


“มีความสามารถต่อสู้หากินเช่นนี้ ทำไปไม่ออกไปเสี่ยงดวงบนทุ่งหญ้า กลับมาอยู่ในพื้นที่ยากจนที่แม้แต่นกยังไม่มาถ่ายรดนี้ได้อย่างไร”


“คนเหล่านี้โลกแคบ ไหนเลยจะรู้ว่าใต้หล้านี้กว้างใหญ่ แต่ทว่าเมื่อถึงเวลาหาคนก็จะมาจากที่พวกนี้สักรอบ ก็หาคนไปได้ไม่น้อย”


หม่าซานเปียวหลายปีนี้ติดตามหวังทง ประสบการณ์ไม่น้อย เดาใจหวังทงได้หลายเรื่อง


ได้เห็นชีวิตยากลำบากแห้งแล้งมาสองสามวัน ก็เข้าใกล้เมืองหนิงเซี่ยมากขึ้น พบว่าที่นี่กลับดีกว่าตอนเหนือของส่านซี  อย่างไรก็เป็นรอบนอกของแถบลุ่มน้ำ ที่นาไม่เลว


ตามรายงานองครักษ์เสื้อแพร ที่นาของแต่ละหน่วยมณฑลทหารล้วนคุณภาพต่ำ เพราะไม่ได้รื้อฟื้นระบบชลประทานลุ่มน้ำเดิม ทำให้เป็นที่ดินรกร้างไปหมด มีแต่ชาวบ้านช่วยกันรื้อฟื้นบางแห่งเท่านั้น  ที่นาไม่เลวเหล่านี้คิดแล้วน่าจะเป็นผลจากการรื้อฟื้นระบบชลประทานเดิม


ที่นาเหล่านี้เป็นเรื่องดี เมืองหนิงเซี่ยเทียบกับตอนเหนือของส่านซีแล้วมีความยุ่งยากกว่าก็คือต้องรับแรงกดดันจากแต่ละเผ่าแถบลุ่มน้ำและเผ่าถู่ม่อเท่อ


ตั้งแต่ปีรัชสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง อิทธิพลทหารเริ่มเข้ากวาดล้าง ราชสำนักได้รับสารแจ้งเหตุด่วน ห้าส่วนก็ล้วนมาจากเมืองหนิงเซี่ย พวกนอกด่านหลายร้อยเข้าเผาและสังหารคนในเมืองหนิงเซี่ย มีทหารนับหมื่นผ่านข้ามเขตแดนมา เกิดเหตุใหญ่น้อยไม่หยุด


พื้นที่เช่นนี้มีข้อดีเรื่องเดียวก็คือง่ายต่อการสร้างความชอบจากสงคราม ทำให้ปัวไป้นำสิบกว่าเผ่ามาสวามิภักดิ์เมืองชายแดน สุดท้ายสะสมความชอบจนก้าวสู่อำนาจในวันนี้ ไม่ได้ต้องยากลำบากผ่านขั้นตอนอะไรมากนัก เริ่มต้นก็แค่ใช้กำลังอาวุธต่อสู่เสี่ยงตายจนได้มาเท่านั้น


แต่ละเผ่าวุ่นวาย ประชายากลำบาก มีแต่การศึกไม่หยุดหย่อน ล้วนเป็นเพราะสงครามทำให้เกิด ตั้งแต่เข้าสู่เมืองหนิงเซี่ย พื้นที่สงครามเช่นนี้ ชื่อสถานที่ล้วนมีกลิ่นอายสงคราม


ป้อมอู๋จงเป่า ป้อมเถียนสุ่นเป่า ป้อมเซี่ยเจียเป่า ป้อมหลี่จวิ้นเป่า ….แต่ละแห่งล้วนมีคำว่า ป้อม ตลอดทางมามีสิบกว่าหมู่บ้าน แปดหมู่บ้านมีคำว่า ป้อม ที่เหลือก็เป็นค่ายชิงสุ่ยอิ๋ง ค่ายอวี้เฉวียนอิ๋ง ชื่อเช่นนี้ แปดเก้าส่วนย่อมเป็นเกี่ยวข้องกับมณฑลทหาร และระบบการก่อสร้างก็ล้วนสร้างแบบป้อมทหารเป็นหลัก


ตอนนี้ใกล้ปีใหม่แล้ว แต่ไม่เห็นบรรยากาศเทศกาล แต่ละแห่งล้วนดูเข้มงวด ป้องกันแน่นหนา พวกหวังทงล้วนเป็นทหารออกรบมาหลายครั้ง ย่อมเข้าใจในการทหาร ทหารแต่ละแห่งล้วนต้องระวังภัยแน่นหนา ไม่อาจปล่อยปละได้แม้แต่น้อย


“ช่วยไม่ได้  พวกนอกด่านอาจมาตอนนี้ได้ ผู้ใดจะมานั่งสนใจฉลองปีใหม่กัน ทุกคนล้วนเป็นต้องระวังตัวมาก”


ชายนำทางแน่นอนย่อมอธิบาย แต่ทว่าพวกหวังทงรู้ว่าที่นี่ย่อมมีความผิดปกติ เผ่าอันต๋าถูกทำลายไปแล้ว หนิงเซี่ย อวี้หลิน เหยียนสุย ความกดดันย่อมน้อยลง พวกเขาเผชิญกับแต่ละเผ่าบนทุ่งหญ้า  เรียกได้ว่าได้เปรียบแล้ว เหตุใดจึงตั้งป้อมระวังตัวเช่นนี้


เรื่องนี้ชายนำทางไม่รู้ เมืองหนิงเซี่ยลำบากยากจน ร้านสามธาราไม่ได้มาตั้งร้านค้าที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ขุนพลทหารเป็นหลัก สำหรับขุนนางแล้วเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ที่ทำให้รู้สึกไม่ดี งานองครักษ์เสื้อแพรที่นี่ก็ปฏิบัติได้ไม่ราบรื่น คิดจะได้ข่าวก็ไม่ง่าย


ทุกเรื่องเอาไว้ถึงเมืองหนิงเซี่ยค่อยว่ากัน เทียบกับความเคร่งเครียดที่นี่  เมืองหนิงเซี่ยเป็นเมืองที่มีบรรยากาศปีใหม่ไม่น้อย ตอนพวกหวังทงเข้าเมืองไป ก็ได้ยินเสียงประทัดและกลอง มีคนดูท่าทางมีอำนาจวาสนาเข้าออกไม่น้อย ล้วนสวมชุดใหม่


ต่างจากแผ่นดินหมิงที่หวังทงเคยไป ที่นี่ล้วนเป็นชาวฮั่นในชุดยาวผ้าต่วนดูมากอำนาจวาสนา ปกติมีผ้าขาวรัดผม หรือไม่ก็เป็นพ่อค้าใหญ่ซีอวี้สวมหมวกขนสัตว์ทรงแหลม  สำหรับคนจน แต่ละเผ่าก็แต่งตัวเหมือนกันหมด ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง


ต่างกับการระวังตัวแจของพื้นที่ที่ผ่านมา หน้าประตูเมืองหนิงเซี่ยผ่อนปรนกว่ามาก ทหารหน้าประตูรับเงินแล้วก็ปล่อยคนเข้าไป


หากจะบอกว่าเป็นเงินสินบนก็ไม่เหมือน กลับเหมือนว่ารับไปไม่สนใจอันใดมากกว่า พวกหวังทงสังเกตเห็นว่าทหารเฝ้าประตูเหล่นี้ใบหน้าและมือล้วนมีรอยแผลเป็น


ค่ายทหารโขกศีรษะกับพื้นเป็นเรื่องปกติ มีแผลก็ไม่ได้แปลกอะไร แต่ทหารเหล่านี้รอยแผลเหมือนว่ามีเรื่องชกต่อยกันมากกว่า นี่เป็นเรื่องแปลก หวังทงจับจ้องรอยแผลนานสักหน่อย ทหารที่ถูกจ้องก็เริ่มไม่พอใจ แต่ไม่อยากหาเรื่องให้ยุ่งยาก


ตอนเหนือของส่านซีออกจากเมืองเป่าติ้ง หวังทงนำขบวนการค้ามีม้าหลายร้อยย่อมเป็นที่จับตา เพราะรู้สึกได้ว่าเป็นขบวนการค้าใหญ่ แต่พอถึงเมืองหนิงเซี่ย กลับไม่ใช่เรื่อแปลก


จากซีอวี้ จากส่านซี จากทุ่งหญ้า ขบวนการค้าแต่ละแห่งล้วนไม่น้อย แต่ทว่าหวังทงสังเกตเห็นว่า รถใหญ่หู่เวยที่มีสี่ล้อเช่นนี้มีสัดส่วนไม่น้อย


เมืองหนิงเซี่ยมีความคล้ายกับเมืองกุยฮว่าเฉิง เมืองต้าถง เมืองเซวียนฝู่ แม้ว่าเป็นเมืองชายแดน แต่ล้วนเป็นพื้นที่คมนาคมศูนย์กลาง พ่อค้าหลายทางมารวมตัวกัน ย่อมรุ่งเรืองกว่าที่อื่น


ชายนำทางพอถึงเมืองหนิงเซี่ยก็ขอแยกตัวจากพวกหวังทง นอกจากให้ม้าไปแล้ว ตลอดทางเขานำทางได้ดี หวังทงอย่างไรก็ต้องมอบให้สักห้าตำลึงเงิน ชายนำทางขอบคุณยกใหญ่ ดีใจรีบไปหาความสุขต่อ


ขบวนม้าเข้าเมืองเดินไปตามท้องถนน ก็เหมือนกับเมืองอื่นๆ แม้แต่เส้นทางตรงประตูเมืองก็เป็นเส้นทางที่กว้างที่สุดและรุ่งเรืองของเมือง เรียกว่าเป็นทางหลักก็ว่าได้


ขบวนทัพม้าเข้าเมืองได้ไม่นาน ก็พบเหตุวุ่นวายข้างหน้า พวกหวังทงยังไม่รู้ว่าอะไร ชายคนหนึ่งข้างทางก็รีบวิ่งออกมาตะโกนว่า


“นายท่านท่านนี้ นำขบวนม้าท่านหลีกทางก่อน นายท่านปัวนำกองกำลังผ่านมา ชนขบวนเขาไม่ได้!”


หวังทงสบตากับคนข้างๆ  หวังทงโบกมือ คนด้านหลังก็นำม้าหลบเข้าข้างทาง หวังทงหันไปพยักหน้ายิ้มให้ชายผู้นั้น ประสานมือขอบคุณ ชายผู้นั้นยิ้มตอบ กลับเข้าบ้านไป


วันที่ 28 เดือนสิบสองมาถึงเมืองหนิงเซี่ย พ่อค้าไม่มาก คนบนถนนล้วนระวังตัวดี หลีกกันสองข้างทาง


ไม่นาน ม้าหลายสิบตัวก็ปรากฏบนท้องถนน ล้วนเป็นทหารท่าทางกล้าหาญขี่ม้ามา เห็นแล้วมีทั้งชาวฮั่นและมองโกล ยิ้มแย้มคุยกัน เดินเยื้องย่างผ่านหน้าทุกคนไป ดูทิศทางแล้วน่าจะออกจากเมือง


พวกพวังทงกำลังจะเร่งเดินทาง ก็ได้ยินเสียงคนข้างทางวิพากษ์วิจารณ์กล่าวว่า


“ดีว่ามีคนเตือน เดือนสิบสองออกจากเมือง โดนคนพวกนี้ขี่ม้าชนเข้า เหยียบขาหักแน่…”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)