ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 94-97
ตอนที่ 94 ปราณโลหิตกับกระบี่ยันต์
โดย
Ink Stone_Fantasy
สำหรับอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว วิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุดถือเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก ถ้าหากใช้ได้ถูกต้องไม่แน่อาจหลอมสร้างอาวุธจิตวิญญาณหรือโอสถพลังหยินที่มีประโยชน์หลายอย่างก็เป็นได้
แต่ตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว!
ในเมื่อวิญญาณราชาปีศาจถูกหลอมสร้างเป็นโซ่ตรวนวิญญาณแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะเก่งกาจแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
“ช่างเถอะ! มีโซ่ตรวนวิญญาณที่หลอมสร้างมาจากวิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุดเส้นนี้แล้ว ไม่แน่เจ้าแน่เด็กคนนี้อาจจะมีหวังที่จะชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกมาได้” ศิษย์พี่หวงถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็สบตากันยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
พูดถึงเงื่อนไขของวิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุด ศิษย์พี่หวงผู้เป็นหัวหน้าสาขาฝึกศพย่อมต้องการสิ่งนี้มากกว่าผู้ใด
คนอื่นใช้วิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุดหลอมสร้างอาวุธจิตวิญญาณหรือโอสถ แต่ถ้าหากเขามีมันล่ะก็ กลับสามารถใช้มันฝึกฝนเคล็ดวิชาหลายอย่างที่แต่เดิมไม่สามารถฝึกฝนได้ ตลอดจนทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากด้วย
แต่ตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว
หลังจากจากเวลาครึ่งเช้าผ่านไป
ผู้ท้าสู้บนลานประลองที่หนึ่งก็ค่อยๆ เริ่มลดน้อยลง จนบางครั้งเม็ดทรายไหลลงไปครึ่งหนึ่งถึงมีคนขึ้นไปท้าสู้บนลานประลอง
ประจักษ์ชัดว่าหลังจากผ่านการประลองอันดุเดือดมาหลายครั้ง ผู้ที่ยังกล้าท้าสู้ศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกนั้นมีไม่มากแล้ว
สำหรับศิษย์พี่ใหญ่แห่งสาขาเก้าทารกอย่างสือชวน ท้ายสุดแล้วก็ไม่ได้เลือกท้าสู้บนลานประลองที่หนึ่ง แต่กลับไม่รู้ว่าในช่วงเช้านั้น เขาชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำอันดับที่สิบห้าบนลานประลองที่สองได้ตั้งแต่เมื่อไหร่
มาจนถึงตอนนี้เจ้าเด็กเกาชงก็ยังไม่ได้ขึ้นไปท้าประลอง แต่กลับมองมาที่หลิ่วหมิงด้วยสายตาที่เยือกเย็นอยู่ตลอด เจตนาเขานั้นไม่ต้องบอกก็สามารถรับรู้ได้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มเล็กน้อย และเขาก็ไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย
จนในที่สุด เมื่อศิษย์ผู้หนึ่งบนลานประลองพ่ายแพ้แล้วอาจารย์จิตวิญญาณตั้งนาฬิกาทรายอีกครั้ง เม็ดทรายละเอียดในนั้นค่อยๆ ไหลลงไป จนเมื่อมันไหลไปได้สองในสามส่วนก็ยังไม่มีคนขึ้นไปท้าสู้บนลานประลอง
ตอนนี้ศิษย์บริเวณรอบๆ ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ประมุขนิกายปีศาจ และอาจารย์จิตวิญญาณแต่ละคนต่างก็มองมาอย่างใจจดใจจ่อ
เม็ดทรายละเอียดค่อยๆ ไหลลงไปจนกระทั่งเหลือแค่หนึ่งในสี่ส่วน…หนึ่งในห้าส่วน…หนึ่งในแปดส่วน…
สีหน้าของเกาชงที่เดิมทีจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความเยือกเย็นก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
ผ่านไปสักครู่ เมื่อเขามองไปที่นาฬิกาทราย แล้วมองไปทางหลิ่วหมิงที่ไม่ยอมเคลื่อนไหวใดๆ เขาก็เกิดอาการลังเลขึ้นมา
“ศิษย์น้องเกาอย่าเสียเวลาอีกเลย เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กนี่รู้แผนของเจ้าแล้ว และเมื่อเลยเวลาไปศิษย์น้องก็จะไม่สามารถขึ้นไปท้าสู้บนลานประลองนี้ได้แล้ว เจ้าเด็กนั่นตั้งใจให้เจ้าละทิ้งสิทธิ์ในการชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกไปพร้อมกัน” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนกล่าวออกมาด้วยความกระวนกระวาย
“ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะทำแบบนี้ อย่างมากข้าก็แค่ไม่เข้าร่วมท้าสู้ชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรก และยอมเสียเวลาไปพร้อมกับเขา” เกาชงกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง
“แต่ว่าศิษย์น้องเกาไม่เพียงแค่จะพลาดการชิงตำแหน่งในลานประลองแรก อาจจะต้องรอจนถึงการท้าสู้ของลานประลองสุดท้ายสิ้นสุดเขาถึงยอมขึ้นไปก็เป็นได้ แต่ศิษย์น้องเกาไม่อาจยืดเยื้อเวลาออกไปได้อีกแล้ว ถ้าหากเจ้าไม่เข้าร่วมการท้าสู้บนลานประลองแรกไม่เพียงแต่จะทำให้ตนเองเสียชื่อเสียงเท่านั้น แม้แต่หน้าอาจารย์อาก็จะไม่เหลือด้วย” เมื่อชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนเห็นเม็ดทรายเหลืออยู่แค่หนึ่งในสิบส่วน ก็กล่าวออกมาด้วยความร้อนใจ
เกาชงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ลังเลอะไรอีกแล้ว
“ศิษย์พี่เกา สำหรับเจ้าเด็กสารเลวนั่นมันไม่คุ้มที่ท่านจะทำเช่นนี้ อย่างมากก็แค่ให้ศิษย์พี่คนอื่นๆ จัดการกับเขาก็ได้แล้ว ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะมีความสามารถในการชิงสิบอันดับแรกมาได้” มาถึงจุดนี้แล้วมู่หมิงจูก็เอ่ยปากออกมาอย่างอดไม่ได้
“ไม่ผิด ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าค่อยมาท้าสู้กับเขาละกัน ถึงแม้พลังของข้าจะไม่สามารถเข้าไปในสิบอันดับแรกได้ แต่ยังพอที่จะเข้าไปในยี่สิบอันดับแรกได้” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนพยักหน้ากล่าวออกมา
“ก็ได้ คงได้แต่ทำตามที่เจ้าบอกก่อน ข้าจะไม่ยอมทำให้อาจารย์ผิดหวังอย่างแน่นอน ถ้าเด็กนี่พลังไม่เท่าไหร่ล่ะก็ ให้ศิษย์พี่ซิ่งรับมือกับเขาก็เพียงพอแล้ว ถ้าหากในตอนท้ายเขาสามารถเข้าไปในสิบอันดับแรกได้จริงๆ ข้าเองก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีโอกาสต่อสู้กับเขา” เกาชงมองไปยังส่วนบนของนาฬิกาทรายที่เหลือเม็ดทรายอยู่น้อยนิด แล้วในที่สุดก็กัดฟันกล่าวออกมา
จากนั้นเท้าทั้งสองค่อยๆ สั่นไหว แล้วกลายเป็นเงาก่อนที่จะปรากฏตัวบนลานประลอง
บนลานหยกที่ลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ถึงได้มีรอยยิ้มปรากฏออกมา
ในขณะเดียวกันหลิ่วหมิวก็ยิ้มบางๆ ออกมา
“ข้าขอท้าสู้ศิษย์พี่เถี่ยที่เป็นศิษย์แกนนำอันดับห้า” เกาชงกวาดสายตาไปยังใต้ธงที่อยู่แถวต้นๆ แล้วกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
“เจ้าอยากจะท้าสู้กับข้า ดีมาก ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าแท้จริงแล้วชีพจรจิตวิญญาณพสุธาในตำนานจะน่ากลัวสักแค่ไหนกัน” ศิษย์แกนนำที่อยู่ใต้ธงเสาที่ห้าเป็นชายหนุ่มใส่ที่เก็บผมไม้ พอเขาได้ยินเช่นนี้ก็ลุกขึ้นมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
เขาเป็นถึงศิษย์ที่มีชื่อจารึกอยู่อันดับที่ห้าบนแผ่นศิลาจันทรา ซึ่งเหมือนกับสี่อันดับแรกที่ไม่มีใครกล้าท้าสู้มาก่อน
“ศิษย์น้องจาง ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าเด็กเถี่ยเจี้ยนผู้นี้ดูเหมือนกับว่าจะเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสาขายันต์มหาเวทย์ใช่ไหม แต่เขาไม่สนใจวิชาเขียนยันต์เหล่านั้นของเจ้าเลยฝึกฝนวิชาที่ผนึกยันต์กับกระบี่มาโดยตลอดใช่ไหม?” ทันใดประมุขนิกายปีศาจก็เอ่ยปากถามออกมา
“เรียนท่านประมุข ที่เจ้าเด็กเถี่ยเจี้ยนผู้นี้ฝึกฝนหลักๆ ก็คือวิชากระบี่ยันต์ที่ผู้อาวุโสผู้หนึ่งในสาขาข้าได้ทิ้งไว้ในสมัยก่อน ท่านเองก็รู้ว่าการประลองใหญ่ในครั้งก่อนนั้น เป็นเพราะว่าเขาเพิ่งจะได้ฝึกฝนวิชากระบี่ยันต์ได้ไม่นาน จึงเกือบจะไม่สามารถเข้าไปในสิบอันดับแรกได้ ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปนานเช่นนี้คิดว่าวิชากระบี่ยันต์ที่ฝึกฝนคงไม่ธรรมดาแล้ว” อาจารย์อาจางแห่งสาขายันต์มหาเวทย์ที่เคยพบเจอกับหลิ่วหมิงในตอนนั้นฝืนยิ้มกล่าวออกมา
“ไม่คาดคิดว่าเจ้าเด็กนี้จะทำความเข้าใจวิชากระบี่ยันต์ได้จริงๆ นับได้ว่าสติปัญญาเหนือกว่าผู้คนอื่นๆ มาก เสียดายที่นิกายเราไม่ได้ฝึกฝนกระบี่เป็นหลักเหมือนนิกายจันทราสวรรค์ เลยไม่อาจชี้แนะให้เขาได้” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวออกมาด้วยความเสียดาย
“อนาคตของเขาคงต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตาของตัวเขาเองแล้ว” อาจารย์อาจางเองก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร
เวลานี้ คู่ต่อสู้ทั้งสองบนลานประลองต่างก็ลงนามความเป็นความตายแล้ว และหลังจากที่ม่านแสงคุ้มกันเปิดออกมา การต่อสู้อันดุเดือดก็เริ่มขึ้นในทันที
ชายหนุ่มใส่ที่เก็บผมไม้ลูบมือข้างหนึ่งไปยังแขนเสื้อควักกระบี่ไม้สีเหลืองจางๆ ยาวหลายชุ่นออกมา แล้วโยนมันขึ้นไปในอากาศจากนั้นก็ยกมือขึ้น ยันต์สีเงินจางๆ ผืนหนึ่งลอยออกไป พริบตาเดียวก็จมหายเข้าไปในกระบี่ไม้
ครู่เดียวกระบี่เล่มนี้ก็ส่งเสียงดังยาวออกมา
อักขระสีเงินแต่ละตัวก็ปรากฏขึ้นบนนั้น
ชายหนุ่มทำท่ามือด้วยมือเดียวอีกรอบ แล้วชี้ไปยังด้านหน้า ฉับพลันกระบี่ไม้ก็ลางเลือนหายไปในอากาศ
เกาชงรู้สึกแค่ว่ามีคลื่นพลังไร้รูปก่อตัวขึ้นตรงอากาศด้านหน้า แล้วกระบี่ไม้เล่มนั้นก็ปรากฏออกมาราวกับปีศาจร้าย
ภายใต้ความตกตะลึงงัน เขาสะบัดแขนเสื้อโดยไม่ต้องคิด แล้วแสงสีเลือดกลุ่มหนึ่งก็ม้วนตัวออกไป
แต่ขณะนี้เถี่ยเจี้ยนกลับได้ร่ายคาถามาจากที่ไกลๆ เสร็จแล้ว
เสียงดัง “ฟรึ่บ!” กระบี่ไม้ลางเลือนหายไปอย่างแปลกประหลาดในพื้นที่ที่แสงสีเลือดม้วนตัวผ่าน
จากนั้นก็มีกระบี่ไม้ที่คล้ายกันสิบกว่าเล่มก็ล้อมร่างเกาชงไว้ หลังจากที่เปล่งแสงสีเงินออกมา มันก็ส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ม้วนตัวเป็นกระบี่แสงขนาดใหญ่พุ่งไปยังเกาชงทันที
ช่วงเวลานี้ราวกับว่ามันจะสับร่างเกาชงให้แหลกละเอียด
อานุภาพน่าตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
ศิษย์แต่ละคนที่ดูอยู่ด้านล่างต่างก็ส่งเสียงร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
มู่หมิงจูก็มีสีหน้าซีดขาวขึ้นมาเป็นอย่างมาก
“ทำลายซะ!”
ท่ามกลางกระบี่แสงจ้ากลับมีน้ำเสียงเยือกเย็นดังขึ้นมา หลังจากที่เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น ห่วงไอหมอกสีเลือดก็ค่อยๆ ขยายขนาดขึ้นมา
กระบี่แสงที่ดูคมกริบเหล่านั้นฟันลงบนห่วงไอหมอกสีเลือดราวกับว่าฟันลงบนเหล็กบริสุทธิ์จนค่อยๆ กระเด็นออกไป หลังจากที่ถูกปราณโลหิตม้วนตัวออกไปอย่างรุนแรงแล้วก็ค่อยๆ ถูกทำลายจนแตกละเอียด
เสียงดัง “เพล้ง!”
เกาชงก้าวยาวๆ ออกมาจากปราณโลหิต หลังจากที่แขนข้างหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนดูลางเลือน ก็สามารถคว้ากระบี่เล็กสีเงินจางๆ ขนาดยาวหลายชุ่นออกมาจากกระบี่ที่แตกละเอียดได้เล่มหนึ่ง
เถี่ยเจี้ยนที่อยู่ไกลออกไปเห็นเช่นนี้ สีหน้าที่ซึมกระซือก็อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น แต่กลับทำท่ามือด้วยมือทั้งสองด้วยความตกใจอยู่ไม่หยุด
กระบี่เล็กสีเงินในมือพยายามดิ้นสลัดบิดไปมาราวอสรพิษน้อย เหมือนกับว่ามันจะหลุดจากมือออกไปได้
เกาชงเห็นเช่นนี้ กลับแสดงสีหน้าดูเหยียด แล้วฝ่ามือทั้งสองก็ประกบเข้าหากัน และถูไปมาในทันที
ภายใต้การสั่นไหวของไอหมอกเลือด แสงสีเงินบนกระบี่ก็หายไป แล้วกลับมาเป็นกระบี่ไม้สีเหลืองเล่มนั้นเหมือนเดิม
และในขณะเดียวกัน เถี่ยเจี้ยนกลับอ้าปากกระอักเลือดออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดขาว ร่างของเขาอ่อนระโหยโรยแรงไร้ชีวิตชีวาขึ้นมา
เกาชงหัวเราะอย่างเยือกเย็น และโยนกระบี่ไม้ในมือทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเดินตรงไปยังด้านหน้า
“ข้ายอมแพ้!”
ครั้งเถี่ยเจี้ยนไม่รอให้เกาชงเดินเข้ามาถึง เขารีบหัวเราะอย่างขมขื่น และยอมรับความพ่ายแพ้
ดูเหมือนว่าทั้งสองใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวในการต่อสู้กัน
ผู้คนบริเวณลานประลอง ต่างก็จ้องมองจนต้องอ้าปากค้างกันอีกครั้ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ หดรูม่านตาลง
“ศิษย์พี่ท่านประมุข ถึงแม้มันจะจางมาก แต่เห็นได้ชัดว่ามันคือปราณโลหิตที่มีแต่อาจารย์จิตวิญญาณเท่านั้นที่สามารถควบคุมมันได้! เจ้าเด็กเกาชงนี้ทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน? อาจารย์อาจางเป็นศิษย์ในสาขาของตนถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ สีหน้าที่ชะงักงันในตอนแรกกลับได้สติขึ้นมาแล้วถามออกไปในทันที
“ไม่ผิด เจ้าไอโลหิตนั่นเป็นไอของปราณโลหิตที่ศิษย์น้องท่านประมุขเชี่ยวชาญที่สุด แต่เกาชงยังไม่ได้เข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ พลังภายในก็ยังเป็นอากาศธาตุ แล้วทำไมถึงได้กลั่นตัวเป็นปราณโลหิตได้!” ศิษย์พี่หวงแห่งสาขาฝึกศพสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามออกมาเช่นกัน
กุยหรูฉวนและอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าตื่นตกใจเช่นกัน
“ศิษย์น้องทั้งหลายไม่ต้องตกใจไป! ที่เกาชงทำแบบนี้ได้ เป็นเพราะว่าครั้งก่อนอาจารย์อาเยี่ยนได้มาพบกับเจ้าเด็กนี้ด้วยตนเอง และยังมอบโลหิตจิตวิญญาณของอสูรมังกรให้หยดหนึ่ง” ประมุขนิกายปีศาจตอบกลับอย่างไม่รีบร้อน
“โลหิตจิตวิญญาณของอสูรมังกร” อาจารย์จิตวิญญาณเหลยได้ยินเช่นนี้ ก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิม
“ไม่ผิด ถึงแม้ตอนนั้นอาจารย์อาเยี่ยนจะไม่ได้สังหารมังกรแดงสื่อสารจิตวิญญาณตัวนั้น แต่ก็ไม่ได้กลับมามือเปล่า โดยได้โลหิตของอสูรมังกรตัวนี้มาหลายหยด” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวอย่างช้าๆ
……………………………………….
ตอนที่ 95 ท้าสู้
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอได้ยินเช่นนี้ กุยหรูฉวนและคนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่า เส้นปราณโลหิตบนตัวของศิษย์หลานเกาชงสกัดกลั่นมาจากโลหิตหยดนี้ เลือดจิตวิญญาณของอสูรระดับผลึกตนหนึ่ง ถึงแม้มันจะเป็นสิ่งที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งสำหรับพวกเรา แต่สำหรับศิษย์จิตวิญญาณแล้วกลับยิ่งมีผลลัพธ์มหัศจรรย์ที่ไม่อาจคาดถึงได้ ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอันใด ดูเหมือนอาจารย์อาเยี่ยนจะเอ็นดูศิษย์หลานเกาชงเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้นคงไม่มอบสิ่งของล้ำค่าให้เช่นนี้” ผู้อาวุโสแซ่หวงกล่าวพึมพำออกมา ในคำพูดของเขาแฝงไปด้วยความอิจฉาอย่างอดไม่ได้
“ในเมื่อศิษย์หลานเกาชงสกัดกลั่นเส้นปราณโลหิตได้ ถึงแม้จะไม่เทียบเท่ากับหยางเฉียนแต่ก็คงห่างชั้นกันไม่มากนัก ด้วยพลังของเขาสามารถเข้าสู่สามอันดับแรกได้” ฉู่ฉีก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“เฮ่อๆ! ถึงแม้ชงเอ๋อร์จะมีปราณโลหิตก่อนใครเพื่อน แต่เพิ่งเข้านิกายได้ไม่นานไหนเลยจะสามารถนำมาเปรียบเทียบศิษย์หลานหยางได้ ขอแค่รักษาตำแหน่งในตอนนี้ได้ข้าก็พอใจมากแล้ว” ประมุขนิกายปีศาจเอามือลูบหนวดแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป แน่นอนพวกเขาย่อมไม่เชื่อว่าคำพูดของเขาจะเป็นเรื่องจริง
และในขณะนั้นเอง ด้านล่างของแท่นประลองแรกมีคนผู้หนึ่งค่อยๆ เดินขึ้นแท่นประลองโดยไม่ต้องรอให้อาจารย์จิตวิญญาณตั้งนาฬิกาทราย และกล่าวขึ้นอย่างสงบ
“ไป๋ชงเทียนแห่งสาขาเก้าทารก ขอท้าสู้กับศิษย์พี่ซุนที่เป็นศิษย์แกนนำอันดับที่เก้า”
หลิ่วหมิงปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลันบนแท่นประลองแรก
เกาชงที่เพิ่งจะไปยืนอยู่ใต้ธงเสาที่ห้าเห็นเช่นนี้ก็ตีหน้าขรึมขึ้นมาทันที
เหลยเจิ้นกับเจียหลานเห็นเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
และเมื่อเฉียนฮุ่ยเหนียงเห็นใบหน้าที่ค่อนข้างคุ้นเคย กลับรู้สึกตะลึงเล็กน้อย
“อะไรกัน คือเด็กคนนี้นี่เอง! ศิษย์น้องกุย ถ้าหากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ถึงแม้ศิษย์หลานไป๋ผู้นี้จะเอาชนะศิษย์ผู้มีพรสวรรค์ของหุบเขาเก้าช่องได้ แต่ก็คงมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณเท่านั้น ตอนนี้ฝึกฝนไปถึงไหนแล้ว” ประมุขนิกายปีศาจที่อยู่บนลานหยกเห็นฉากนี้ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย และหันหน้ามาถามกุยหรูฉวน
“ข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ! ช่วงนี้ข้ากับศิษย์น้องจูชื่อและคนอื่นๆ มัวแต่ยุ่งอยู่กับเหล็กแสงเย็นทะเลลึกชิ้นนั้น เลยไม่ได้สนใจการฝึกฝนของศิษย์คนอื่นๆ แต่จากการประลองเล็กครั้งล่าสุด ดูเหมือนจะอยู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง” กุยหรูฉวนยิ่งรู้สึกตกใจกว่ามาก และกล่าวออกมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
ถึงแม้เขาคิดที่จะให้หลิ่วหมิงเข้าร่วมการประลองใหญ่ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเลือกท้าสู้ศิษย์แกนนำสิบอันดับแรก
“อืม! เด็กคนนี้เห็นการประลองมากมากขนาดนี้ก็ยังกล้าขึ้นแท่นประลองอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอวดดีจนเกินไป ก็คงจะมีอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ พวกเรารอดูไปก่อนเถอะ!” หญิงแซ่หลินมองหลิ่วหมิงบนแท่นประลองแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
สายตาของอาจารย์อาจางแห่งสาขายันต์มหาเวทย์ที่มองดูหลิ่วหมิงบนแท่นประลองนั้น ดูเหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่
คนอื่นๆ ที่ไม่สนใจหลิ่วหมิงตั้งแต่แรก พอได้ยินคำพูดนี้ต่างก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
ตอนนี้คนที่ครองตำแหน่งศิษย์แกนนำอันดับเก้าไม่ใช่ศิษย์ที่มีชื่ออยู่บนแผ่นศิลาจันทราแต่เดิมแล้ว แต่เป็นชายหนุ่มแซ่ซุนที่มีธงสีน้ำเงิน และสีแดงปักอยู่ตรงหลังสองผืน
คนผู้นี้รูปร่างเตี้ยเล็ก ใบหน้าดูไม่เตะตาเลยแม้แต่น้อย แต่การประลองหลายครั้งในก่อนหน้า กลับใช้แค่ธงสีแดงปล่อยไฟคุโชนออกมา บวกกับวิชากระสุนไฟที่ดูเหมือนจะฝึกฝนจนเกือบถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว แค่นี้ก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ใครก็ไม่อาจดูแคลนเขาได้
ขณะนี้ เมื่อชายหนุ่มแซ่ซุนได้ยินคำท้าสู้ของหลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็น แล้วเดินมาตรงกลางแท่นประลองนานแล้ว
อาจารย์จิตวิญญาณหยิบป้ายคำสั่งออกมาอย่างไม่ลังเล พร้อมกับให้ทั้งสองหยดโลหิตลงไป จากนั้นก็กระตุ้นค่ายกลบนพื้นเพื่อปล่อยม่านแสงคุ้มกันออกมาอีกครั้ง
“เริ่มการท้าสู้ได้”
อาจารย์จิตวิญญาณที่เหาะออกไปนอกม่านแสงกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย เห็ดได้ชัดว่าเขาไม่ได้สนใจการประลองในรอบนี้เลยแม้แต่น้อย
เพราะหลิ่วหมิงค่อนข้างจะเด็กไปหน่อย พอมองก็ดูออกว่าเป็นศิษย์ใหม่ ทั้งยังไม่มีชื่อเสียงอะไร มันย่อมไม่คุ้มค่าต่อการรอคอย
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มแซ่ซุนที่ยืนอยู่บนแท่นประลองก็คิดเช่นเดียวกัน หลังจากที่เขาเหยียดปากเหยียดหยาม แม้แต่ธงบนหลังก็ไม่ดึงออกมาแม้แต่ผืนเดียว เพียงแค่ร่ายคาถาแล้วยกมือทั้งสองขึ้น พลันบังเกิดเสียงดังกึกก้อง ลูกเปลวไฟสี่ลูกก็พุ่งยิงติดต่อกันออกไป จากนั้นเท้าข้างหนึ่งก็กระทืบลงพื้นอย่างรุนแรง
เสียงดัง “ตู้ม!” แสงสีแดงพุ่งออกจากเท้าของเขา และกลายเป็นกำแพงไฟม้วนตัวออกไปจากด้านหน้าของเขา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา เขาเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อโซ่สีดำก็วิ่งเต้นออกมา หลังจากมีเสียงดัง “ป้าบๆ!” ลูกเปลวไฟทั้งสี่ลูกก็ถูกโจมตีออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
และเมื่อกำแพงไฟที่สูงจั้งกว่าๆ นั้นม้วนตัวเข้ามาถึง เขาก็สะบัดแขนอีกข้าง ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์บนข้อมือเปล่งประกายในทันที หัวพยัคฆ์อันลางเลือนได้ปรากฏออกมาพร้อมกับอ้าปากพ่นคลื่นเสียงสีขาวโพลนออกไป
ด้วยระดับการฝึกฝนของหลิ่วหมิงในตอนนี้ อานุภาพของอาวุธอาญาสิทธิ์ที่ถูกเขากระตุ้นในตอนนี้จึงแตกต่างกับตอนแรกราวฟ้ากับดิน
พอคลื่นเสียงปรากฏ มันก็พุ่งออกไปราวกับคลื่นยักษ์สีขาว
หลังจากเสียงดัง “ฟู่!” พอคลื่นเสียงปะทะกับกำแพงไฟมันก็แยกออกเป็นสองส่วนพุ่งผ่านด้านข้างทั้งสองของหลิ่วหมิงไป สุดท้ายมันก็ไปโจมตีโดนม่านแสงด้านหลังและดับไป
“มิน่าล่ะ! เจ้าถึงได้กล้าท้าสู้กับข้า ที่แท้ก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่อย่างข้าก็จะลงมือจริงจังบ้างละ!”
ชายหนุ่มแซ่ซุนที่เดิมทีไม่สนใจใยดีหลิ่วหมิง พอเห็นคู่ต่อสู้ทำลายการโจมตีของตนเองได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ดึงธงสีแดงที่ปักอยู่ตรงหลังออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ศิษย์พี่เอาอาวุธอาญาสิทธิ์อีกชิ้นออกมาใช้คู่กันเถอะ! มิเช่นนั้นอาจจะไม่มีโอกาสได้ใช้มัน” หลิ่วหมิงมองธงสีแดงในมือของฝ่ายตรงข้าม แล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ฝีปากเจ้าช่างกล้าไม่เบา ลองลิ้มรสความร้ายกาจที่แท้จริงของธงเปลวไฟผืนนี้ก่อนแล้วค่อยพูดอวดดีเถอะ!” ชายหนุ่มแซ่ซุนได้ยินก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น จากนั้นมือทั้งสองก็จับก้านธงไว้มั่น แล้วเริ่มกวัดแกว่งไปมาพร้อมถ่ายราคา
พริบตานั้นเอง เปลวไฟแต่ละสายก็ปรากฏขึ้นบนธงสีแดง และปรากฏออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ครู่เดียวเปลวไฟเหล่านี้ก็ประสานเข้าด้วยกันกลายเป็นเมฆอัคคีสีแดงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาวหลายฉื่อ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ หรี่ตาทั้งสองลง พลันยกสองแขนขึ้นทำท่ามือพร้อมกับร่ายคาถาออกมา จุดแสงสีเขียวหลายจุดปรากฏขึ้นมาด้านหน้าของเขาทันที
“ไป!”
ชายหนุ่มแซ่ซุนเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็รีบตะโกนออกมาพร้อมกับโบกสะบัดแขนอย่างรุนแรงในทันที
เมฆอัคคีสีแดงบนธงพุ่งออกไปหาหลิ่วหมิงในทันที
และในขณะเดียวกันนั้นหลิ่วหมิงก็ประกบมือทั้งสองแล้วแยกออกจากกันในฉับพลัน พร้อมกับคมวายุยักษ์ขนาดยาวหลายจั้งได้ปรากฏออกมา หลังจากสะบัดข้อมือคมวายุยักษ์ก็กลายเป็นเส้นสีเขียวอ่อนพุ่งยิงออกไป
เมื่อเมฆอัคคีอันน่าสะพรึงกลัวถูกเส้นสีเขียวกะพริบผ่านไป มันก็โดนฟันออกเป็นสองส่วน
ชายหนุ่มแซ่ซุ่นได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นในหู แล้วคมวายุยักษ์ก็มาปรากฏตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็วจนดูลางเลือน มันเหนือกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก ราวกับว่ามันจะฟันเขาออกเป็นสองส่วนเช่นเดียวกับเมฆอัคคี
“ไม่!”
ชายหนุ่มแซ่ซุนร้องด้วยความตกใจจนขวัญกระเจิง เขาทำได้แค่นำธงในมือมาบังด้านหน้าโดยฉับพลัน
หลังจากมีเสียงดังฉับ!
ธงสีแดงก็ถูกคมวายุยักษ์ฟันออกเป็นสองส่วนราวกับหญ้าแห้ง จากสายตาที่มองออกไป ดูเหมือนมันจะฟันชายหนุ่มออกเป็นสองส่วนไปด้วยจริงๆ
แต่ในขณะนั้นเอง อาจารย์จิตวิญญาณที่รับผิดชอบดำเนินการประลองได้คีบยันต์ผืนสีน้ำเงินจากแขนเสื้อที่เขาได้เตรียมไว้ตั้งแต่แรกและโยนมันลงไป
เสียงดัง “เพล้ง!”
โล่แสงสีน้ำเงินปรากฏขึ้นตรงด้านหน้าของชายหนุ่ม หลังจากที่มันปะทะกับคมวายุยักษ์อย่างรุนแรงก็แตกกระจายไปทั่วทิศ
เศษชิ้นส่วนคมวายุยังคงพุ่งยิงออกไปราวกับฝน แล้วไปปักอยู่บนหน้าอกด้านหนึ่งของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มส่งเสียงร้องเวทนาออกมา จากนั้นมือข้างหนึ่งก็จับหน้าอกแล้วล้มลงไป เลือดสดๆ ไหลทะลักผ่านนิ้วมือออกมา
ตอนนี้ หลิ่วหมิงกลับยกสองมือขึ้นทำท่ามือด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก พริบตาเดียวคมวายุแต่ละเส้นก็เกาะตัวกันอีกครั้ง และเตรียมพร้อมที่จะปล่อยใส่ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้า
“หยุดเดี๋ยวนี้ เจ้าชนะแล้ว ไม่จำเป็นต้องลงมืออีก”
เสียงทุ้มต่ำดังมาจากบนอากาศ หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีเสียงดังหวึ่งๆ ที่หูทั้งสอง แล้วคมวายุที่เกาะตัวกันก็สลายไป
เขารีบหยุดแสดงวิชาด้วยความตกใจ
และในขณะเดียวกัน มีคลื่นสั่นไหวภายในม่านแสงพร้อมกับปรากฏร่างอาจารย์จิตวิญญาณออกมา เขาพินิจดูหลิ่วหมิงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวออกมา
“เจ้าอายุยังน้อยขนาดนี้ ไม่คาดคิดว่าประทับวิชาคมวายุแล้ว ช่างไม่เลวเลยจริงๆ! แต่ลงมือโหดเหี้ยมไปหน่อย ถ้าข้าลงมือไม่ทันเกรงว่าเจ้าเด็กนี่คงถูกเจ้าฟันเป็นสองชิ้นเป็นแน่แท้”
“ข้าไม่มีทางเลือก! พอแสดงวิชานี้ออกมาศิษย์ก็ไม่อาจควบคุมมันได้” หลิ่วหมิงโค้งคารวะอาจารย์จิตวิญญาณแล้วกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เฮ่อๆ ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าทำผิด พอถึงช่วงทดสอบความเป็นความตายวิชาเหล่านี้ถึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ในการต่อสู้ระหว่างความเป็นกับความตายเดิมทีก็เป็นเรื่องที่เอาชีวิตไปแขวนอยู่บนเส้นด้าย ไหนเลยจะสามารถออมมือให้คู่ต่อสู้ได้” ชายฉกรรจ์ชุดผ้าดิ้นกล่าว ตอนนี้เขาให้ความสำคัญกับหลิวหมิงมากกว่าเดิม
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึง แต่หลังจากได้ก็ได้แต่ยิ้มแล้วไม่กล่าวอะไรออกมา
ชายฉกรรจ์ชุดผ้าดิ้นเคลื่อนไหวไปยังด้านข้างของชายหนุ่มแซ่ซุน เขาตรวจดูร่างกายที่มีเลือดไหลออกมาไม่หยุดแล้วคิ้วก็ขมวดขึ้นมา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ยันต์สีเขียวผืนหนึ่งลอยออกมา และลายเป็นจุดแสงสีเขียวจมหายเข้าไปในร่างของชายหนุ่ม
ร่างของชายหนุ่มแซ่ซุนกระตุกไม่กี่ครั้ง รูเลือดบนหน้าอกก็สมานกันอย่างรวดเร็วภายใต้แสงสีเขียวจางๆ ครู่เดียวก็สามารถหยุดเลือดไว้ได้
“ขอบคุณอาจารย์อาที่ช่วยชีวิต”
ในที่สุดชายหนุ่มแซ่ซุนก็หายใจได้อย่างทั่วท้องพร้อมกับลุกขึ้นมา แต่เป็นเพราะว่าเลือดออกเยอะไปหน่อยสีหน้าก็เลยดูซีดขาวกว่าปกติมาก
“ลงไปเถอะ เจ้าเสียเลือดไปมาก ในช่วงหลายวันนี้อย่าได้ทำการต่อสู้กับผู้อื่นอีก” ชายฉกรรจ์ชุดผ้าดิ้นกล่าวด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงอาการใด
“ทราบ!”
ชายหนุ่มแซ่ซุนขานรับด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก จากนั้นก็จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสายตาอาฆาตแค้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ได้แต่เดินหน้าม่อยคอตกกลับไป
หลิ่วหมิงก็เดินไปนั่งลงตรงใต้ธงเสาที่เก้าด้วยสีหน้าสงบ
บนลานหยกที่ลอยอยู่กลางอากาศ อาจารย์จิตวิญญาณทั้งหลายที่เห็นฉากนี้ต่างก็ฮือฮากันขึ้นมา
“คมวายุขั้นสมบูรณ์แบบ!”
“ผนึกประทับวิชา!”
“ช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ ในบรรดาศิษย์จิตวิญญาณที่มีอายุสามสิบปีลงมา และสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้นั้น ดูเหมือนว่าจะมีแค่หยางเฉียนกับเจ้าหนูเฉียนฮุ่ยเหนียงเท่านั้น คิดไม่ถึงว่ายังมีศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณทำเรื่องแบบนี้ได้”
“ศิษย์หลานไป๋ผู้นี้เป็นผู้ที่มีสามชีพจรจิตวิญญาณจริงๆ หรือ? เป็นไปไม่ได้หรอกมัง! ดูจากกลิ่นไอตั้งแต่เริ่มต้นการประลอง เห็นได้ชัดว่าฝึกฝนเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายแล้ว”
“ศิษย์น้องกุยไม่ยอมปริมากเลยแม้แต่น้อย ไม่คาดคิดว่าสาขาเก้าทารกจะยังมีศิษย์ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้!”
บรรดาอาจารย์จิตวิญญาณสาขาต่างๆ ที่ไม่รู้จักหลิ่วหมิงมาก่อน ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานาด้วยความประหลาดใจ
อาจารย์อาจาง หญิงแซ่หลิน ประมุขนิกายปีศาจ ที่พอจะรู้จักหลิ่วหมิงอยู่บ้าง ต่างก็รู้สึกประหลาดใจมาก และแต่ละคนก็แสดงสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป
ส่วนกุยหรูฉวนกลับยืนอึ้งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
……………………………………….
ตอนที่ 96 ร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ศิษย์น้องกุย ที่หยางเฉียนสามารถผนึกประทับวิชากระสุนไฟได้ เป็นเพราะว่าใช้เวลาตั้งใจฝึกฝนถึงสองปี และการประทับวิชาศรวารีของเจ้าหนูเฉียน กลับเป็นเพราะการเข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายในปีก่อน และหลังจากสังหารอสูรเผ่าวารีได้สำเร็จก็ดูดซับมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นก็ตาม เจ้าหนูเฉียนนี้ก็เกือบจะเป็นบ้า และเสียชีวิต ต่อมาถ้าไม่ใช่เพราะว่าอาจารย์อาเยี่ยนลงมือช่วยนางกำราบไว้ได้และสกัดกลั่นเป็นวิชาประทับนี้ เกรงว่าเจ้าหนูเฉียนก็ไม่อาจมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ และศิษย์หลานไป๋เป็นศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณ ทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ ถ้าจะบอกว่าเกิดจากการฝึกฝนอย่างยากลำบากก็ดูจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์เกินไป” ในที่สุดศิษย์พี่หวงผู้นั้นก็เอ่ยปากถามออกมาด้วยความสงสัย
“ศิษย์น้องเองก็ไม่ค่อยชัดเจนในเรื่องนี้มากนัก พวกท่านเองก็รู้ว่าข้ากับศิษย์น้องจู และศิษย์น้องจงต่างก็ไม่รับศิษย์ผู้นี้เป็นศิษย์ติดตาม เป็นเพราะว่าปัญหาเรื่องคุณสมบัติของเขา คาดว่าเขาคงจะได้รับโอกาสอันดีในด้านอื่นๆ”
“อยากจะรู้สาเหตุมันก็ไม่ยาก พวกเราก็แค่เรียกศิษย์หลานไป๋มาสอบถามสักหน่อยจะก็รู้เรื่องชัดเจนแล้ว” ฉู่ฉีแห่งสาขาหยินทนทรมานคิดลังเลเล็กน้อย แล้วพลันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้คงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตามบทบัญญัติที่ปรมาจารย์ได้กำหนดไว้ ไม่ว่าศิษย์ในสาขาจะได้รับโอกาสอันดีใดๆ ล้วนเป็นเรื่องของเขาเอง ผู้อาวุโสอย่างเราไม่สามารถสอบหาต้นสายปลายเหตุได้” กุยหรูฉวนกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ศิษย์พี่กุยคิดมากไป นี่ไม่ใช่การสอบหาต้นสายปลายเหตุ ถ้าหากศิษย์หลานไป๋เพียงแค่ฝึกฝนเข้าสู่ระดับที่สูง หรือว่าได้รับอาวุธอาญาสิทธิ์ อาวุธจิตวิญญาณต่างๆ พวกข้าย่อมไม่สอบถามอย่างแน่นอน แต่การผนึกวิชาประทับนี้ออกจะดูแปลกประหลาดไปหน่อย หากไม่สอบถามให้กระจ่าง แล้วมีอะไรแปลกประหลาดอยู่ในนั้นจริงๆ เกรงว่ามันอาจไม่ดีต่อนิกายปีศาจก็ได้ อีกอย่างก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ท่านประมุขก็ไม่ใช่ว่าได้อธิบายเรื่องการกลั่นสกัดปราณโลหิตของเกาชงให้พวกเราฟังจนหมดเหรอ?” ฉู่ฉีกลับกล่าวอย่างราบเรียบ
สีหน้ากุยหรูฉวนดูไม่ได้ขึ้นมาในทันที
พอได้ยินเช่นนี้อาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็กระซิบกระซาบกันขึ้นมา ในนั้นมีทั้งคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย
ประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ก็คิ้วขมวดขึ้นมา หลังจากผ่านไปสักครู่ ในที่สุดก็ได้เอ่ยปากออกมา
“ศิษย์หลานไป๋ฝึกฝนจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายแล้ว ย่อมไม่สามารถใช้เวลาแค่ไม่กี่ปีฝึกฝนวิชาได้ถึงเพียงนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็เรื่องการสอบถามง่ายๆ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แน่นอนว่าศิษย์น้องกุยก็ไม่ต้องวิตกไป นี่ไม่ใช่การสอบปากคำ เป็นแค่คำถามง่ายๆ จากผู้อาวุโสอย่างเราเท่านั้น ถึงแม้ศิษย์หลานไป๋จะไม่ยอมตอบก็จะไม่ถูกลงโทษแต่อย่างใด”
ได้ยินประมุขนิกายกล่าวเช่นนี้ อาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็สบตากันครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
กุยหรูฉวนเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่จำใจตอบตกลง แน่นอนว่าเขาเองก็แปลกใจเหมือนกันที่เห็นหลิ่วหมิงฝึกฝนจนประทับวิชาได้สำเร็จ
ดังนั้นเมื่อมีผู้ท้าสู้อีกคนปรากฏขึ้นบนลานประลอง หูหลิ่วหมิงก็ได้รับคลื่นเสียงที่ส่งมาจากมากุยหรูฉวน
เขาคิดวกไปมาอย่างรวดเร็วแล้วก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่แสดงอาการใดๆ พร้อมกับทำท่ามือแสดงวิชาทะยานเวหาแล้วเหาะขึ้นไปบนลานหยก
ศิษย์คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ย่อมรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่อาจารย์จิตวิญญาณชุดผ้าดิ้นเหมือนจะได้รับคำบอกกล่าวมาก่อนหน้านั้นแล้วเลยไม่ได้สนใจในเรื่องนี้
“ศิษย์ไป๋ชงเทียนคารวะอาจารย์กุย ท่านประมุข และอาจารย์อาทุกท่าน”
พอหลิ่วหมิงร่อนลงบนลานหยกก็รีบทำการคารวะในทันที
“ชงเทียน เจ้าลุกขึ้นเถอะ! ครั้งนี้เจ้าทำได้ไม่เลว ไม่คาดคิดว่าจะเข้าไปในสิบอันดับแรกของศิษย์แกนนำได้ ถ้าหากเจ้ายังสามารถรักษาตำแหน่งต่อไปได้ ข้ากับอาจารย์อาจู และคนอื่นๆ จะต้องให้รางวัลเจ้าอย่างงาม ตอนนี้อาจารย์อาท่านประมุขกับอาจารย์อาท่านอื่นๆ มีเรื่องบางอย่างอยากจะถามเจ้า เจ้าก็ตอบคำถามให้ดีสักหน่อยก็แล้วกัน ถ้าหากไม่สะดวกตอบก็ไม่จำเป็นต้องฝืน” กุยหรูฉวนบอกให้หลิ่วหมิงลุกขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ทราบ! ศิษย์จะตอบทุกอย่างที่ศิษย์รู้” หลิ่วหมิงลุกขึ้นแล้วกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ศิษย์หลานไป๋ช่างเป็นผู้มากปัญญาจริงๆ ไม่ต้องวิตกไป พวกเราเรียกเจ้ามาก็เพียงแค่จะสอบถามสักสองเรื่องเท่านั้น” ประมุขนิกายปีศาจสังเกตดูหลิ่วหมิวครู่หนึ่ง แล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“ไม่ทราบว่าท่านประมุข และอาจารย์อาทั้งหลายอยากจะสอบถามในเรื่องอันใด?” หลิ่วกล่าวอย่างนอบน้อม
“ศิษย์หลานไป๋ ตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายไม่ผิดใช่ไหม?” ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้าแล้วก็เริ่มเอ่ยปากถามออกมา
“ใช่แล้ว ศิษย์ได้ก้าวเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเมื่อไม่นานมานี้” หลิ่วหมิงกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
“ด้วยร่างที่มีสามชีพจรจิตวิญญาณของเจ้า สามารถใช้เวลาสั้นๆ ฝึกฝนจนถึงเขตแดนนี้ได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย เช่นนี้แล้วปกติเจ้าคงจะฝึกฝนอย่างยากลำบาก และใช้เวลาไปไม่น้อยใช่ไหม!” ประมุขนิกายปีศาจถามขึ้นอีกครั้ง
“ใช่แล้ว หลายปีมานี้ศิษย์ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกในพลัง” หลิ่วหมิงเอ่ยปากยอมรับออกมา
“ปกติเจ้าใช้เวลานานเท่าไหร่ในการฝึกฝนวิชาคมวายุ?”
“ศิษย์มีเวลาไม่มาก เพียงแค่ใช้เวลาวันละสองชั่วยามในการฝึกฝนวิชาเท่านั้น”
“ดูจากการประลองของศิษย์หลานเมื่อครู่แล้ว คงจะฝึกฝนวิชาคมวายุจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ และสามารถผนึกประทับวิชาได้แล้วใช่ไหม?”
“ศิษย์ผนึกประทับวิชาคมวายุแล้วจริงๆ”
“ในเมื่อเจ้ามีเวลาฝึกฝนไม่มาก แล้วเจ้าทำมันสำเร็จได้อย่างไร” ในที่สุดดวงตาทั้งคู่ของประมุขนิกายปีศาจก็หรี่ลง
อาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ก็ฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ศิษย์ไม่เข้าใจความหมายของอาจารย์อาท่านประมุข ขอได้โปรดชี้แนะ?” หลิ่วหมิงเหมือนจะรู้สึกฉงนสนเท่ห์ และไม่เข้าใจในคำถาม
“ศิษย์หลานไป๋ อย่าบอกนะว่าเจ้าเพียงแค่ใช้เวลาฝึกฝนวิชาคมวายุวันละสองชั่วยาม ก็สามารถผนึกประทับวิชาได้เอง!” ประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ก็คิ้วขมวดขึ้นมา
“ศิษย์ผนึกวิชาประทับเช่นนี้จริงๆ” หลิ่วหมิงกะพริบตาปริบๆ สีหน้าแสดงออกถึงความไร้เดียงสา
พอได้ยินเช่นนี้ ประมุขนิกายปีศาจ และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็ตะลึงตาค้างขึ้นมาจริงๆ
“ใช้เวลาฝึกฝนแค่วันละสองชั่วยาม ภายในระเวลาไม่กี่ปีก็สามารถฝึกฝนจนประทับวิชาได้ ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยลูบคางไปมา พลันมีประกายแปลกประหลาดปรากฏขึ้นในแววตา
“จะเป็นไปได้อย่างไร!” ประมุขนิกายปีศาจตกตะลึง แล้วหันหน้ากลับมาถามโดยฉับพลัน
คนอื่นๆ ก็มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“หรือว่าทุกท่านจะลืมไปแล้วว่า มีร่างจิตวิญญาณในตำนานหลายรูปแบบที่ไม่สามารถตรวจสอบร่างจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ ดูเหมือนจะมีรูปแบบหนึ่งที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้เหมือนกัน” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยยิ้มออกมา
“หรือว่าที่เจ้าพูดถึงคือ ‘ร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์’ ที่ค่อนข้างลึกลับนั่น”
“ไม่ผิด! ว่ากันว่าร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์นี้มีพลังอันเฉียบแหลมที่ไม่สามารถคาดคิดได้ ไม่ว่าเจ้าของร่างจิตวิญญาณนี้จะทำความเข้าใจกับการฝึกฝนพลัง หรือฝึกฝนวิชา ต่างก็รวดเร็วกว่าคนธรรมดาหลายเท่าไปจนถึงสิบกว่าเท่า แต่เสียดายที่ร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์นี้ล้วนฉลาดหลักแหลม ทำให้ไม่สามารถใช้วิธีใดๆ ตรวจสอบออกมาได้ แต่ร่างจิตวิญญาณนี้จะเป็นของจริงหรือไม่นั้น แต่ก่อนนิกายจันทราสวรรค์ หรือนิกายวาตอัคคีต่างก็เคยปรากฏร่างจิตวิญญาณแปลกประหลาดที่คล้ายเคียงกันนี้ ถึงแม้ว่าจะมีพลังเวทย์ธรรมดาแต่บนเส้นทางการฝึกฝนวิชากลับเหนือชั้นกว่าคนธรรมดามาก และแบ่งตามระดับความเร็วในการฝึกฝน ยังสามารถแบ่งออกเป็นสิบปัญญาสวรรค์ ร้อยปัญญาสวรรค์ จนกระทั่งถึงพันปัญญาสวรรค์เลยทีเดียว” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยนึกไปด้วยกล่าวไปด้วยอย่างเอาจริงเอาจัง
“พอศิษย์น้องเหลยกล่าวมาเช่นนี้ ข้าเองก็นึกขึ้นได้ว่ามีร่างจิตวิญญาณที่หาได้น้อยเช่นนี้จริงๆ จุ๊ๆ! หรือว่าศิษย์หลานไป๋จะมีร่างจิตวิญญาณอันลึกลับนี้? มิน่าล่ะ! ถึงไม่สามารถตรวจสอบได้ในตอนทำพิธีเปิดจิตวิญญาณในครั้งก่อน” ขณะนั้นก็มีอาจารย์จิตวิญญาณท่านหนึ่งกล่าวออกมาในทันที
“แต่นอกจากฝึกฝนวิชาได้สำเร็จบ้างแล้ว ศิษย์กลับทำความเข้าใจในการฝึกฝนพลังได้ไม่รวดเร็วมากนัก” พอหลิ่วหมิงได้ยินก็ดูเหมือนจะกล่าวออกมาอย่างลังเล
“ร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์เดิมทีก็เป็นร่างจิตวิญญาณที่ลึกลับเป็นอย่างมาก ถ้ามันจะแตกต่างจากที่เล่าลือก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าจะบอกว่าเจ้าไม่ใช่ร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์ แต่เป็นร่างจิตวิญญาณที่คล้ายเคียงในรูปแบบอื่นที่ไม่สามารถทราบได้ มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ในโลกการฝึกฝนจะรู้ว่าร่างจิตวิญญาณนั้นมีอยู่มากมาย แต่ก็มีเรื่องที่ยังไม่รู้อีกมาก ถ้าหากพวกเรายึดเป็นกรอบตายตัวในเรื่องนี้ก็จะดูเลอะเลือนไปหน่อย” หลังจากผู้อาวุโสแซ่หวงคิดไปคิดมาแล้วก็หัวเราะออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว
“ศิษย์พี่หวงกล่าวได้ถูกต้อง ดูท่าเจ้าเด็กคนนี้อาจจะเป็นร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์ หรือร่างจิตวิญญาณในรูปแบบอื่นที่คล้ายเคียงกัน ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ทุกอย่างก็กระจ่างแล้ว ดีมาก! ศิษย์หลานไป๋เจ้าลงไปได้เข้าร่วมการประลองใหญ่ต่อได้แล้ว” ประมุขนิกายปีศาจฟังจบแล้วก็เผยสีหน้าที่ไม่อาจคาดได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ในที่สุดก็ยิ้มแล้วกล่าวกับหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงฟังจบก็มองหน้ากุยหรูฉวนครู่หนึ่ง พอเห็นรอยยิ้มของกุยหรูฉวนที่บ่งบอกว่าอนุญาตให้ไปได้ เขาจึงโค้งคารวะอาจารย์จิตวิญญาณบนลานหยก แล้วขี่เมฆเหาะลงไป
ครู่ต่อมา เขาก็กลับมาสู่บนลานประลองอีกครั้ง และนั่งขัดสมาธิลงไปยังใต้ธงของตนเอง
สีหน้าของหลิ่วหมิงยังคงดูปกติ แต่ในใจกลับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เรื่องราวเกี่ยวกับฟองอากาศลึกลับในร่างที่ดึงเขาเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับนั้น นับว่าเป็นความลับที่เกี่ยวพันถึงชีวิต เขาย่อมไม่อาจให้บุคคลที่สองรับรู้ได้เป็นอันขาด
แต่เพื่อที่จะปิดบังเรื่องการฝึกฝนวิชาที่รวดเร็ว เขาก็ได้คิดหาวิธีการอธิบายไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
ร่างจิตวิญญาณที่ไม่อาจทราบได้ เป็นข้ออ้างที่เขาคิดเอาไว้แล้วพอดี
เพื่อเรื่องนี้ เขาจึงไม่เสียดายที่ต้องใช้เวลาในการค้นคว้าหาอ่านคัมภีร์โบราณที่เกี่ยวข้องกับร่างจิตวิญญาณเป็นจำนวนมาก ถึงได้รู้ว่าร่างจิตวิญญาณบางรูปแบบไม่อาจตรวจสอบออกมาได้ ก่อนหน้านั้นเขาถึงได้แสดงออกได้อย่างสงบ
ตอนนี้ดูเหมือนว่าประมุขนิกายปีศาจ และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ จะไม่เชื่อทั้งหมด แต่ก็ถือว่ารับมือกับการสอบถามในครั้งนี้ได้อย่างราบรื่น แล้วพวกเขาคงจะไม่คิดสงสัยในตัวเขาอีก
ด้วยเหตุนี้ ต่อไปเขาก็จะสามารถแสดงวิชาในการประลองใหญ่ได้อย่างไม่ต้องกังวลแล้ว
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ การประลองบนลานประลองก็สิ้นสุด และมีผู้ท้าสู้กระโดดขึ้นมาขอท้าสู้กับเขา
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย แล้วรีบลุกเดินไปยังกลางลานประลอง
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป แสงสีเขียวบนมือทั้งสองของหลิ่วหมิงเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด คมวายุแต่ละเส้นพุ่งยิงติดต่อกันออกไปถี่ๆ ราวกับว่าไม่จำเป็นต้องใช้พลังเวทย์
อีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเหลือง กำลังถือโล่เหล็กสีดำต้านทานการโจมตีของคมวายุอย่างสุดชีวิต
คมวายุของหลิ่วหมิงไม่เพียงแต่รวดเร็วกว่าคมวายุทั่วไปมาก ทั้งยังมีอานุภาพที่คนทั่วไปไม่อาจคาดถึงได้
คมวายุแต่ละเส้นที่ฟันลงบนโล่เหล็กต่างก็ทำให้ร่างของชายหนุ่มชุดเหลืองสั่นสะท้าน ถึงแม้มืออีกข้างจะถืออาวุธอาญาสิทธิ์อย่างแส้ทองแดงไว้ แต่กลับไม่สามารถกวัดแกว่งมันออกไปได้
สุดท้ายโล่เหล็กก็ถูกคมวายุเส้นหนึ่งฟันเข้าด้วยเสียงดัง “เต้ง!” แล้วมันก็แตกกระจายออกมา
ภายใต้ความตกใจจนหน้าถอดสีชายหนุ่มชุดเหลือง ก็รีบตะโกน “ยอมแพ้!” ออกมาโดยไม่ต้องคิด
หลังจากเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” คมวายุหลายเส้นเฉียดผ่านด้านข้างของชายหนุ่มชุดเหลืองไป ทำให้สีหน้าเขาซีดเผือด และยืนแข็งทื่อโดยไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ
……………………………………….
ตอนที่ 97 มุกเพลิงอัคคีกับโอสถโลหิตไขกระดูก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดูเหมือนว่าถ้าไม่ใช่เพราะว่าชายหนุ่มตะโกนออกมาเร็วมากพอ เกรงว่าแขนหรือขาของเขาคงจะหลุดออกจากร่างไปแล้ว
ชายหนุ่มที่ยอมแพ้ เขากระโดดลงจากลานประลองด้วยสีหน้าหงอยเหงา โดยไม่รอให้อาจารย์จิตวิญญาณประกาศผลก่อน
สิ่งนี้ก่อให้เกิดความฮือฮาขึ้นในบรรดาศิษย์ที่ชมอยู่ด้านล่างลานประลอง และต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานา
“ศิษย์น้องไป๋ผู้นี้เก่งกาจเหลือเกิน ไม่คาดคิดว่าจะใช้แค่วิชาคมวายุก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ไม่รู้ว่ายังจะมีวิธีการอะไรอื่นอีกหรือเปล่า!”
“ทำไมเขาปล่อยคมวายุได้รวดเร็วขนาดนี้ ข้าเหมือนจะรู้สึกว่าเขาไม่ได้ร่ายคาถาเลย อานุภาพมันก็เหนือกว่าคมวายุโดยทั่วไปมาก”
“เจ้าโง่ เจ้ายังดูไม่ออกอีกเหรอ วิชาคมวายุของศิษย์น้องไป๋ได้ฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบในตำนานแล้ว ไม่แน่อาจจะผนึกประทับวิชาแล้วก็ได้!”
“ประทับวิชา! คือสิ่งใดกัน?”
“อันนี้…แม้แต่ประทับวิชาเจ้าก็ยังไม่รู้ แล้วจะมีอะไรที่มันน่าสนทนากับเจ้าด้วยอีกเล่า กลับไปถามผู้อาวุโสก็จะรู้เอง”
……
ลานประลองที่หนึ่งครึกครื้นเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมดึงดูดความสนใจจากศิษย์ที่อยู่ลานประลองรอบๆ ด้วย ศิษย์บางคนที่เมื่อครู่ไม่ได้สนใจก็เดินเข้ามาด้วยความแปลกใจ และสอบถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เอ๋! นี่…ไม่ใช่ศิษย์น้องไป๋หรอกหรือ! ข้า…ไม่ได้ดูผิดนะ ไม่คาดคิดว่าศิษย์น้องไป๋จะอยู่บนลานประลองที่หนึ่ง ธงด้านหลังไม่ใช่เครื่องหมายที่แสดงถึงศิษย์แกนนำอันดับเก้าหรอกหรือ!” เซวียซานเพิ่งจะเข้ามาดูความครึกครื้นด้วยความแปลกใจพร้อมกับศิษย์คนอื่นๆ หลังจากที่สายตาของเขากวาดมองบนลานประลองอย่างไม่ใส่ใจ ก็รู้สึกตกใจจนพูดออกมาด้วยความสับสน
พอวั่นเสี่ยวเชี่ยน และศิษย์เก้าทารกไม่กี่คนที่ยืนอยู่ด้านข้าง เห็นใบเห็นของหลิ่วหมิงบนลานประลองอย่างชัดเจนแล้ว ก็จ้องมองจนอ้าปากค้าง
คนจำนวนหนึ่งที่รู้จักหลิ่วหมิงก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน
ผู้ที่ตกตะลึงเลยพรึงเพริดที่สุด กลับเป็นมู่อวิ๋นเซียนหญิงสาวใบหน้างดงามที่พอจะรู้จักหลิ่วหมิงอยู่บ้าง
นางเพิ่งจะโล่งใจที่เห็นตู้ไห่เอาชนะผู้ท้าสู้ได้ จากนั้นจึงมาเดินดูลานประลองอื่นๆ และเห็นว่าหลิ่วหมิงขึ้นลานประลองที่หนึ่งด้วย
ด้วยเหตุนี้สีหน้านางจึงเต็มไปด้วยความสนใจ แต่ต่อมานางกลับรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงสามารถเข้าไปอยู่ในอันดับต้นๆ บนแผ่นศิลาจันทราได้ ประมุขนิกายปีศาจจะต้องพิจารณาการเปลี่ยนตัวผู้ที่จะมาเป็นเตาหลอมพลังของเกาชงแล้ว
ถ้าหากว่าหลิ่วหมิงสามารถเข้าสู่สามอันดับแรกของศิษย์แกนนำได้ และรอดชีวิตกลับมาจากการทดสอบความเป็นความตาย หลานสาวของตนจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน ทางนิกายจะต้องไม่ยอมให้คนอื่นมาทำร้ายคนของศิษย์ที่สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงให้กับนิกายอย่างแน่นอน
ขณะมู่อวิ๋นเซียนกำลังรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากนั้น ในที่สุดบนลานประลองที่หนึ่งก็ไม่มีผู้ขึ้นไปท้าสู้แล้ว
หลังจากนาฬิกาทรายที่อาจารย์จิตวิญญาณได้ตั้งไว้จนเม็ดทรายเม็ดสุดไหลลงไปจนหมด เขาก็ประกาศสิ้นสุดการประลองของลานประลองที่หนึ่ง
ศิษย์ใต้ธงสิบคนที่อยู่บนลานประลองได้รับตำแหน่งชั่วคราว ก่อนการประลองรอบที่สองใครก็ไม่สิทธิ์มาท้าสู้พวกเขาได้
ได้ยินประกาศจากจากอาจารย์จิตวิญญาณเช่นนี้ บรรดาศิษย์ที่อยู่ด้านล่างลานประลองต่างก็มองหลิ่วหมิง และคนอื่นๆ ที่อยู่บนนั้นด้วยสายตาที่อิจฉา และยกย่องสรรเสริญ
ถ้าดูจากการประลองใหญ่ที่ผ่านมา ศิษย์สิบคนบนลานประลองนี้เกือบครึ่งหนึ่งจะยังรักษาตำแหน่งไว้ได้จนการประลองใหญ่สิ้นสุด
ต่อให้จะถูกท้าสู้ในการประลองรอบที่สองจนหลุดไปจากศิษย์แกนนำสิบอันดับแรก แต่ก็จะมีชื่ออันดับต้นๆ บนแผ่นศิลาจันทรา
หลังจากอาจารย์จิตวิญญาณประกาศเสร็จแล้ว หลิ่วหมิง และคนอื่นๆ ต่างก็ค่อยๆ ลงไปจากลานประลอง
“ศิษย์น้องไป๋ เจ้าทำให้สาขาเก้าทารกของเราได้หน้าเป็นอย่างมาก”
“ศิษย์พี่ไป๋ ยินดีด้วย จากการประลองใหญ่สองสามครั้งที่ผ่านมา ท่านเป็นคนแรกของสาขาเราที่ได้เข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรก”
“ฮ่าๆ! เช่นนี้แล้ว ดูสิว่าจะมีสาขาไหนกล้าดูถูกสาขาเก้าทารกเราอีกไหม!”
หลิ่วหมิงเพิ่งจะลงจากลานประลอง เซวียซาน วั่นเสี่ยวเชี่ยน และศิษย์เก้าทารกคนอื่นๆ ก็รีบมาห้อมล้อมตัวเขา และกล่าวออกมาด้วยความดีใจ
แน่นอนว่าหลิ่วหมิงย่อมตอบรับกลับไปอย่างถ่อมตัว แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นมา
“ศิษย์น้องไป๋ เจ้าช่างปิดได้มิดชิดเสียจริง แต่อย่าคิดว่าผนึกประทับวิชาคมวายุได้ก็จะสามารถอยู่สิบอันดับแรกได้ เท่าที่ข้ารู้มายังมีผู้ที่ซ่อนพลังไว้จำนวนมากเตรียมที่จะแสดงพลังที่แท้จริงในการท้าสู้รอบที่สอง ถ้าเจ้าอยากจะฉลองก็ควรจะรอให้การประลองใหญ่สิ้นสุดจริงๆ เสียก่อน”
เกาชงเดินมาพร้อมกับสือเจียน และคนอื่นๆ เขาพูดขึ้นกลับหลิ่วหมิงอย่างเยือกเย็นจากที่ไกลๆ และมู่หมิงจูที่ยืนอยู่ด้านข้างก็มองหลิ่วหมิงด้วยความตกใจ
เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่หลิ่วหมิงเข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรกได้นั้น ทำให้นางรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“ศิษย์น้องเกาชง ข้าจะได้อยู่ในสิบอันดับแรกหรือไม่ ก็รอดูหลังสิ้นสุดการประลองรอบที่สองในวันพรุ่งนี้ก็จะรู้เอง” หลิ่วหมิงเงยหน้ามองเกาชงครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ดี ข้าจะเช็ดหน้าเช็ดตารอคอย” เกาชงสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก หลังจากที่เขาจ้องมองหลิ่วหมิงอย่างเหี้ยมโหดแล้วก็หมุนตัวเดินจากไป
หลังจากเซวียซาน และศิษย์เก้าทารกคนอื่นๆ ได้ยินคำสนทนาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างหลิ่วหมิงกับเกาชง ก็อดที่จะมองหน้ากันไม่ได้
หลังจากที่การประลองบนลานประลองที่หนึ่งสิ้นสุดลง ลานประลองอื่นๆ ก็ค่อยๆ ทยอยกันสิ้นสุดลงเช่นกัน
จนเมื่อท้องฟ้าใกล้จะมืด บนลานประลองสุดท้ายก็ไม่มีคนอยู่แล้ว
ตอนนี้เองที่ประมุขนิกายปีศาจเหาะออกมาจากลานหยก แล้วประกาศสิ้นสุดการประลองรอบแรกอย่างเป็นทางการ พรุ่งนี้ก็จะเป็นการท้าสู้เพื่อจัดอันดับในระหว่างศิษย์แกนนำด้วยกัน
ศิษย์ทั้งหลายต่างก็แยกย้ายกันออกไป
การท้าสู้เพื่อจัดอันดับนี้ เป็นการจัดอันดับของศิษย์แกนนำหนึ่งร้อยคนโดยแบ่งออกเป็นสิบขั้นๆ ละสิบคน ทุกคนจะต้องไปเลือกท้าสู้กับศิษย์ที่อยู่ขั้นที่สูงกว่าตัวเอง ถ้าสามารถเอาชนะได้ก็จะได้อยู่ในตำแหน่งนั้น และยังสามารถท้าสู้ในขั้นที่สูงต่อไปได้ แต่ถ้าแพ้ก็จะอยู่ในตำแหน่งเดิม
เช่นนี้แล้ว ศิษย์สิบคนสุดท้ายจะต้องทำการท้าสู้ และศิษย์สิบคนแรกก็จำเป็นต้องรับคำท้า
แน่นอนว่ามันเป็นอย่างที่เกาชงพูดจริงๆ มีศิษย์จำนวนมากที่ไม่แสดงพลังที่แท้จริงในการท้าสู้ก่อนหน้านั้น หลังการประลองรอบที่สองเสร็จสิ้นจึงจะตัดสินอันดับที่แท้จริงได้
หลิ่วหมิงก็ไม่กล้ารีรอ หลังจากที่เขารีบจากเขาหินไปแล้วก็กลับไปพักผ่อนสะสมพลังตรงที่พัก
แต่เพียงไม่นาน กลับมีศิษย์นิกายสายนอกมาบอกตรงลานหน้าที่พักว่ากุยหรูฉวยอยากพบเขา
หลิ่วหมิงไม่รู้สึกแปลกใจในเรื่องนี้ หลังจากที่ลังเลเล็กน้อยแล้วก็รับปากออกไป จากนั้นก็ขี่เมฆทะยานขึ้นไปยังยอดเขาของสาขาเก้าทารก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาก็มาปรากฏตัวในห้องโถงหลักที่อยู่บนยอดเขา
ที่นั่นนอกจากจะมีกุยหรูฉวย จูชื่อ นักพรตจงแล้ว ยังมีสือชวนที่ยืนเก็บมืออยู่ด้านข้างอย่างเรียบร้อย
หลิ่วหมิงรีบคารวะทันที
“ชงเทียน ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถอะ! ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก ไม่คาดคิดว่าจะเข้าไปในสิบอันดับแรกได้ เรื่องนี้ทำให้พวกข้าทั้งสามรู้สึกแปลกใจและดีใจเป็นอย่างมาก” พอกุยหรูฉวนเห็นหลิ่วหมิงเข้ามาก็รีบกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
จูชื่อ และนักพรตจง ก็มองดูหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“มิกล้า! ศิษย์ก็แค่โชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิวกล่าวอย่างนอบน้อม
“เรื่องอื่นสามารถโชคดีได้ แต่การฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายของเจ้า กับวิชาคมวายุขั้นสมบูรณ์แบบของเจ้าเป็นเรื่องโชคดีได้หรือ? เป็นเพราะข้า และอาจารย์อาทั้งสองของเจ้าไม่รู้ว่าเจ้ามีความสามารถในการฝึกฝนวิชาได้ถึงเพียงนี้ มิเช่นนั้นคงจะแบ่งทรัพยากรให้เจ้าตั้งนานแล้ว จากนั้นถ้าได้ชี้แนะเจ้าอีกสักหน่อยล่ะก็เชื่อว่าพลังของเจ้าจะต้องอยู่ในระดับที่สูงมากกว่านี้” กุยหรูฉวนกล่าวด้วยความเสียดาย
“ศิษย์เองก็เพิ่งรู้ว่าการผนึกประทับวิชาเป็นเรื่องที่ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นคงจะรายงานความจริงให้อาจารย์กุยได้ทราบแล้ว” หลิ่วหมิงแสดงออกด้วยสีหน้าที่ดูซื่อๆ
“เจ้าไม่ต้องกังวลไป พวกข้าทั้งสามไม่สนว่าเจ้าจะใช่ร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์ในตำนานหรือไม่ หรือว่าใช้วิธีอื่นใดในการผนึกประทับวิชาได้ แค่อยากจะถามเจ้าว่าการประลองในวันพรุ่งนี้เจ้ามีความเชื่อมั่นแค่ไหนต่อการรักษาตำแหน่งสิบอันแรกไว้ได้” กุยหรูฉวนโบกมือแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“อันนี้มันก็พูดยาก แต่ถ้าหากไม่มีผู้ท้าสู้ที่มีปีศาจดุร้ายปรากฏออกมาล่ะก็ คงจะมั่นใจได้ในเจ็ดถึงแปดในสิบส่วน” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“เจ็ดถึงแปดส่วน! เฮ่อๆ! ดูท่านอกจากเจ้าจะมีวิชาคมวายุที่ประทับวิชาแล้วยังคงมีพลังอื่นที่ซ่อนอยู่” จูชื่อได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
กุยหรูฉวนก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
“ดีมาก ตอนนี้ข้าจะถามเจ้าสักประโยค เจ้าจะยอมไหว้ข้าเป็นอาจารย์หรือไม่ ข้าคิดที่จะรับเจ้าเป็นศิษย์ติดตาม!” นักพรตจงที่เงียบมาโดยตลอด พอเอ่ยปากก็พูดประโยคที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา
ถึงแม้เขาพอจะเดาได้ลางๆ ว่าที่เรียกเขามาครั้งนี้จะต้องมีสิ่งดีๆ มอบให้ แต่เรื่องที่ถูกนักพรตจงรับเป็นศิษย์ติดตามนี้เป็นเรื่องที่เขานึกไม่ถึงมาก่อน
แต่เมื่อเขาสามารถเป็นศิษย์ติดตามของอาจารย์จิตวิญญาณได้ ย่อมเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก
“แน่นอน ข้ายินดี! ไป๋ชงเทียนคารวะอาจารย์!”
หลิ่วหมิงฉุกคิดเล็กน้อยแล้วก็รีบโค้งคำนับพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างสุภาพ
“ดีมาก! ลุกขึ้นเถอะ! ถึงแม้จะมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ แต่ในเมื่อฝึกฝนจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ และยังผนึกประทับวิชาได้อีก ไม่แน่อาจยังพอมีหวังที่จะก้าวสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้” นักพรตจงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“คารวะอาจารย์อากุย อาจารย์อาจารย์อาจู!” หลิ่วหมิงรีบคารวะกุยหรูฉวนกับจูชื่อ
“ศิษย์หลานไป๋ จากนี้ไปเจ้าก็เป็นศิษย์ติดตามของสาขาเก้าทารกแล้ว รีบลุกขึ้นเถอะ!” กุยหรูฉวนหัวเราะเบาๆ
จูชื่อเองก็โบกมือให้หลิ่วหมิงลุกขึ้น
“ในเมื่อชงเทียนไหว้พวกท่านทั้งสองใหม่อีกครั้ง การเรียกขานก็เปลี่ยนไปด้วย หวังว่าคงไม่ไหว้โดยเสียเปล่านะ” นักพรตจงกล่าวกับอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสอง และหัวเราะเบาๆ
“เฮ่อๆ! ศิษย์น้องวางใจเถอะ! ในเมื่อชงเทียนเจ้าถูกรับเป็นศิษย์แล้ว จะขาดของขวัญต้อนรับไปไม่ได้อย่างแน่นอน ข้ามีมุกเพลิงอัคคีอยู่สามเม็ด และจะมอบมันให้กับศิษย์หลานไป๋ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งก็โยนมันออกไปทั้งหมด ไม่แน่มันอาจจะช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้” จูชื่อหัวเราะออกมา และหยิบตลับเหล็กเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อโยนไปให้หลิ่วหมิง
“ข้าไม่ได้ใจกว้างอย่างศิษย์น้อง ในมือมีแค่โอสถโลหิตไขกระดูกที่ใช้ชุบหลอมโลหิตให้บริสุทธิ์เท่านั้น” กุยหรูฉวนยิ้มแล้วก็หยิบขวดสีขาวบริสุทธิ์ออกมายื่นให้หลิ่วหมิงเช่นกัน
หลิ่วหมิงดีใจจนกล่าวขอบคุณออกมาติดๆ กัน เขาเก็บของทั้งสองสิ่งไว้ และยังไม่รีบร้อนที่จะเปิดมันออกมาดู
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น