ลำนำบุปผาพิษ 939-942

 บทที่ 939 พี่สาวมิใช่ของตายของเจ้า!


แต่ในเมื่อเธอกลับมาแล้ว ถ้าไม่มาดูเสียหน่อยคงไม่แล้วใจ ดังนั้นเธอจึงมา


เธอเคยชินกับการสอบถามข่าวคราวตี้ฝูอีให้ชัดเจนไปเสียแล้ว หากว่าเขากลับมา ประตูใหญ่ของวังค้ำนภาจะเปิดอ้า ขอเพียงเขาไม่อยู่ ประตูใหญ่ของที่นี่ถึงจะปิดไว้แน่นหนา…


ถึงแม้จะทราบว่าเข้าไปแล้วก็มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนที่ต้องกลับไปด้วยความผิดหวัง แต่กู้ซีจิ่วเป็นประเภทที่ไม่ถึงที่สุดไม่หันหลังกลับ ดังนั้นเธอจึงใช้วิชาเคลื่อนย้ายเข้าไปในวังคำนภา


โครงสร้างสถาปัตยกรรมในวังค้ำนภายังคงเป็นเช่นเดียวกับเมื่อก่อน ไม่เปลี่ยนไปเลย


สาวใช้ข้างในก็ยังคงเป็นสาวใช้เหล่านั้น ทุกคนต่างจัดการเรื่องราวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เก็บกวาดลานเรือน เช็ดถูราวบันได กู้ซีจิ่วสาวใช้ที่คุ้นตาอยู่หลายนาง…


เคราะห์ดีที่ยามนี้วรยุทธ์เธอสูงมากแล้ว ทั้งยังชำนาญปกปิดอำพรางตน ประกอบกับมีวิชาเคลื่อนย้ายที่ไปมาไร้ร่องรอย ดังนั้นคนในวังนี้จึงไม่พบเห็นคนนอกเช่นกู้ซีจิ่ว


แถมกู้ซีจิ่วก็ได้ยินบทสนทนาของพวกนางอยู่หลายประโยคด้วย ทราบจากบทสนทนาของพวกนางว่าตี้ฝูอีไม่ได้มาที่นี่เป็นเวลาหนึ่งปีครึ่งแล้ว สาวใช้เหล่านี้ก็คำนึงถึงผู้เป็นนายยิ่งนักเช่นกัน…


กู้ซีจิ่วยังไปดุที่ห้องนอนของตี้ฝูอีด้วย แน่นอนว่ายังคงผิดหวังตามเคย


อาจเป็นเพราะเขาจากไปเนิ่นนานเหลือเกิน ภายในห้องนอนแม้แต่กลิ่นอายของเขาก็ไม่มีแล้ว


มือเธอลูบผ้าห่มของเขาเล็กน้อย จากนั้นก็จ่อปลายจมูกสูดดม ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย


จึงทอดถอนใจเบาๆ “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ผู้เฒ่าเช่นท่านลึกลับซับซ้อนเกินไปหน่อยแล้ว!”


เธอนั่งครุ่นคิดบนเก้าอี้ที่เขานั่งเป็นประจำครู่หนึ่ง จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง ตี้ฝูอีจะฝึกฝนอยู่ที่วังบาดาลใต้มหาสมุทรลึกแห่งนั้นหรือเปล่า?


เรื่องถูกกำหนดให้ปริศนาที่ไม่อาจคลี่คลายได้ เนื่องจากถ้าไม่มีเขาเป็นผู้นำทาง ต่อให้เธอทราบว่าเขาอยู่ในวังบาดาลแห่งนั้น เธอก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดี


ตี้ฝูอี หวังว่าจะไม่ใช่อีกสามปีให้หลังเจ้าถึงจะมาปรากฏตัวต่อหน้าข้านะ มิเช่นนั้นข้าผู้เฒ่าจะซัดเจ้าให้กระเด็นซะ!


แถมข้าจะออกเรือนกับผู้อื่นให้เจ้าดูด้วย! ทำให้เจ้ารู้ว่าพี่สาวมิใช่ของตายของเจ้า!


เธอส่ายหน้านิดๆ จัดการความคิดนางร้ายของตน หมุนกายคราหนึ่งเคลื่อนย้ายจากไป


….


รถม้าขนาดกะทัดรัดคันหนึ่งเหาะเหินอยู่ในอากาศ


สัตว์ที่ลากรถคือสิงโตเวหาตัวหนึ่ง


ความเร็วในการเหินบินของสิงโตชนิดนี้เร็วกำลังดี ไม่ด้อยไปกว่าเพรียกวายุของกู้ซีจิ่ว แต่เพรียกวายุตัวนั้นเป็นสัตว์บก วิ่งไปตามท้องถนนจะสะดุดตาเกินไป ตกเป็นเป้าสายตาได้ง่ายๆ ดังนั้นยามที่กู้ซีจิ่วมาจึงเช่ารถโดยสารระดับสูงที่ลากโดยสิงโตเวหาคันนี้มา


รถลากสิงโตเวหาชนิดนี้มักปรากฏตัวกลางนภา ดังนั้นพวกเขาจึงไปมาได้โดยไม่มีใครรู้


ที่กู้ซีจิ่วค่อนข้างฉงนก็คือ ยามที่เธอกับอิงเหยียนนั่วโดยสารรถคันนี้มา อิงเหยียนนั่วใช้สารพัดวิธีเพื่อนั่งในรถกับเธอ หาข้ออ้างอันยอดเยี่ยมมามากมาย


ยกตัวอย่างเช่นผิวพรรณเขาบอบบางเกินไป ไม่อาจต้องลมบ่อยๆ ได้


หรืออย่างเช่นสิงโตเวหาชนิดนี้สติปัญญาสูงส่ง ไม่จำเป็นต้องมีคนบังคับอยู่นอกรถ ขอเพียงออกไปชี้ทางบ้างเป็นครั้งคราวก็พอ…


สารพัดเหตุผลไม่รู้จบรู้สิ้น


แต่หนนี้เมื่อออกเดินทางอีกครั้ง เจ้าเด็กคนนี้กลับรับหน้าที่เป็นสารถีบังคับรถอยู่ด้านนอกด้วยตัวเอง


ความเร็วของรถม้ารวดเร็วยิ่ง สายลมย่อมกรรโชกยิ่งนัก เส้นขนบนร่างสิงโตตัวนั้นโบกไสวอยู่ในสายลม


กู้ซีจิ่วเลิกผ้าม่านรถมุมหนึ่งออกเอ่ยถามอิงเหยียนนั่วที่นั่งอยู่ด้านหน้ารถม้า “อิงเหยียนนั่ว…”


“หือ? ลูกพี่กู้มีอะไร?”


“เจ้าไม่กลัวลมกรรโชกพัดกรีดผิวอันบอบบางของเจ้าแล้วหรือ?”


“หา? แหะๆ ไม่กลัวหรอก พวกเราทั้งสองต้องมีคนใดคนหนึ่งที่บังคับรถ มิเช่นนั้นหากสิงโตตัวนี้เตลิดขึ้นมาไม่รู้ว่าจะลากพวกเราไปไหนบ้าง”


“เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่าชี้ทางสิงโตเวหาใช้เวลาแค่หนึ่งถ้วยชาก็พอแล้ว?”


อิงเหยียนนั่วชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “นั่นต้องคุ้นทางถึงจะทำได้ สถานที่ที่พวกเราจะไปมิใช่เส้นทางที่สิงโตตัวนี้คุ้นเคยแล้ว ดังนั้นต้องคอยควบคุมทิศทางของมันตลอดเวลา”


————————————————————————————-


บทที่ 940 พวกเราสงบเสงี่ยมหน่อยได้หรือไม่?


กู้ซีจิ่วมองแผ่นหลังเขา เจ้าเด็กนี่นั่งเหยียดเอวตรงแน่วอยู่ตรงนั้นดั่งทหาร ยามที่สะบัดมือ แส้ก็จะกระจายออกมาเป็นพุ่มกลมๆ กลมเสียยิ่งกว่าวาดด้วยวงเวียน…


นัยน์ตาลุกวาบแวบหนึ่ง ขยับกายเล็กน้อย วินาทีต่อมาเธอพลันปรากฏตัวขึ้นข้างกายอิงเหยียนนั่ว นั่งเคียงข้างเขา


คงเป็นเพราะเธอโผล่มากะทันหันเกินไป ร่างกายอิงเหยียนนั่วคล้ายจะแข็งทื่อไปทันที ส่ายโงนเงน เกือบจะร่วงจากหน้ารถแล้ว!


กู้ซีจิ่วยื่นมือออกไป ดึงแขนเขาไว้ “ระวังหน่อยสิ!”


อิงเหยียนนั่วประหนึ่งถูกผึ้งต่อย รีบชักมือกลับทันที หลีกห่างจากมือเธอ เอนตัวไปด้านข้าง “เจ้า…เจ้าออกมาทำไม? ด้านนอกลมแรง เจ้ากลับไปนั่งในรถม้าเถอะ”


เมื่อครู่ร่างกายกู้ซีจิ่วแทบจะแนบชิดอยู่บนร่างเขา เธอลอบดมกลิ่นบนร่างเขาทันที…


อันที่จริงน่าประหลาดยิ่งนัก กลิ่นของตี้ฝูอีที่เธอได้กลิ่นคล้ายจะเป็นกลิ่นอายดวงวิญญาณของเขา แต่พอดมกลิ่นผู้อื่นก็เป็นกลิ่นกายปกติทั่วไป เหมือนบนร่างของอิงเหยียนนั่วในยามนี้ เป็นกลิ่นหอมสดชื่นของใบไผ่ชนิดหนึ่ง หอมยิ่งนัก แต่ไม่ใช่เขาแน่นอน…


เด็กน้อยอิงเหยียนนั่วผู้นี้รสนิยมค่อนข้างพิเศษ เขาชมชอบกำยานหอม แถมยังเป็นกำยานหอมหลายชนิดด้วย ด้วย ดังนั้นกู้ซีจิ่วมักจะได้กลิ่นกำยานที่แตกต่างกันไปบนร่างเขา


เธอยิ้มนิดๆ วางมือพาดบ่าเขา “อิงเหยียนนั่ว เจ้าเคยพบว่าจริงๆ แล้วตัวเองเป็นคนสองบุคลิกบ้างหรือเปล่า?”


อิงเหยียนตัวแข็งทื่อ “อ…อะไรนะ?”


กู้ซีจิ่วเพ่งพิศเขาจากบนจรดล่าง เพ่งพิศจนเส้นขนเขาลุกชันถึงเอ่ยอย่างอ้อยอิ่ง “ข้ารู้สึกว่าในตัวเจ้ามีวิญญาณอยู่สองดวง ร่างเล็กๆ นี้ของเจ้ามักจะมีดวงวิญญาณคอยสลับกันควบคุม…”


อยู่ในระยะประชิด กู้ซีจิ่วไม่เห็นว่าบนหน้าเขามีหน้ากากหนังมนุษย์อันใด ดูเหมือนจะเป็นผิวหนังของเขาจริงๆ ไม่ ไม่คล้ายว่าเป็นผู้อื่นปลอมตัวมา…


หรือว่าคนผู้นี้เป็นคนสองบุคลิกที่ร่ำลือกันจริงๆ?


อิงเหยียนนั่วเลิกคิ้วมองเธอครู่หนึ่ง ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “อันที่จริงคนในครอบครัวข้าก็เคยกล่าวทำนองนี้กับข้าเหมือนกัน บางครั้งข้าก็หลงลืมเรื่องที่ตัวข้าเองกระทำไปอยู่บ่อยๆ ต่อให้ผู้อื่นเอ่ยเตือนข้าข้าก็นึกไม่ออกเท่าไหร่…แต่ข้ารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่ในร่างจะมีวิญญาณอยู่สองดวง บางที…บางทีอาจเป็นคนสองบุคลิกเช่นที่เจ้าว่าจริงๆ กระมัง?”


สหายน้อยมู่เตี่ยนยังคงเฉลียวฉลาดนัก ปฏิกิริยาตอบสนองก็ว่องไวยิ่ง รีบตีงูที่พันกิ่งทันที ไหลตามคำพูดของกู้ซีจิ่วไป


อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นกริยาท่าทางหรือว่าการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแตกต่างกับอิงเหยียนนั่วเลย ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวน่าจะเป็นท่าทีที่มีต่อกู้ซีจิ่ว


นายท่านของเขาสามารถใกล้ชิดกู้ซีจิ่วอย่างไร้ข้อจำกัดได้ สามารถตัวติดกับนางได้ แต่เขาน่ะไม่กล้า! ต่อให้สวมรอยเป็นอิงเหยียนนั่วก็ไม่กล้าอยู่ดี…


นายท่าน ท่านบอกข้าน้อยไว้มิใช่หรือ ว่าท่านจะไม่สนิทสนมชิดเชื้อนางจนเกินไปเลี่ยงไม่ให้ฐานะถูกเปิด?


เหตุใดแม่นางกู้ผู้นี้มีท่าทีราวกับท่านเกาะติดดั่งแผ่นยาหนังสุนัขเล่า?


นายท่าน ต่อหน้าแม่นางกู้ผู้นี้ พวกเราสงบเสงี่ยมหน่อยได้หรือไม่?


มิเช่นนั้นในสายตาแม่นางกู้ ภาพลักษณ์ของอิงเหยียนนั่วคงย่อยยับไปหมดแล้ว!


ขณะที่เขาจมอยู่ในภวังค์ความคิด จู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งพาดลงบนข้อมือ เขาสะดุ้งโหยง เกือบจะซักฝ่ามือใส่อีกฝ่ายแล้ว เคราะห์ที่เขายั้งไว้ทัน มองกู้ซีจิ่วด้วยร่างกายที่แข็งทื่อ “ท่าน…ท่านจะทำอะไร?”


สวรรค์ แม่นางกู้ผู้นี้คงไม่คิดจะแทะโลมเขากระมัง?!


เขาควรยอมตายดีกว่ายอมศิโรราบหรือว่าแบ่งรับแบ่งสู้ดี?


กู้ซีจิ่วเหลืบมองใบหน้าที่เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีดของเขาแวบหนึ่ง “อย่าขยับ! ข้าจะตรวจสอบว่าในร่างเจ้ามีวิญญาณดวงอื่นอยู่หรือไม่”


เธอเคยเรียนวิชาปราบวิญญาณมานิดหน่อย หากมีวิญญาณดวงอื่นอยู่ในร่าง เธอยังพอตรวจสอบได้


มู่เตี่ยนย่อมทราบความสามารถของนางดี จึงไม่กล้าขัดขืน ยอมให้นางตรวจสอบอย่างว่าง่าย


————————————————————————————-


บทที่ 941 ไม่ต้องสงสัยเทพเซียนผีสางอะไรแล้ว!


บนข้อมือเขาสวมสนับข้อมือไว้เสมอ ชนิดของสนับข้อมือก็แตกต่างกันไปตามฤดูกาล อันที่สวมไว้หนนี้เป็นสายหนังสีดำ กู้ซีจิ่วจึงแกะออกจากข้อมือเขา


ข้อมือเขาเนียนกระจ่างดั่งหยก ไม่ได้สวมเครื่องประดับอะไรเลย


ผ่านไปครู่หนึ่ง กู้ซีจิ่วก็ชักมือกลับ ยิ้มแวบหนึ่ง “ข้าคิดมากไปแล้วจริงๆ!” พลางลุกขึ้นแล้วกลับเขารถม้าไป


มู่เตี่ยนเงียบงัน เหตุใดเขารู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ค่อนข้างหดหู่กันนะ?


ลังจากกู้ซีจิ่วกลับเข้าไปในรถม้า ก็ไม่คุยกับเขาอีกเลย ดูเหมือนจะนั่งสมาธิพักผ่อนไปแล้ว


อันที่จริงเธอลอบขันตัวเอง หลงผิดจนสงสัยผู้อื่นส่งเดชไปเสียแล้ว เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าเด็กคนนี้ก็คือคนสองบุคลิก ทว่าเป็นเพราะคล้ายคลึงกันอยู่บ้างเธอจึงสงสัยอยู่เสมอว่าเขาคือตี้ฝูอีปลอมตัวมา


ถ้าหากเป็นตี้ฝูอี บนข้อมือของเขาก็น่าจะมีกำไลคู่บุพเพวงนั้นกระมัง?! แถมกำลังวงนั้นยังถอดออกไม่ได้ด้วย


แต่เมื่อกี้เธอสังเกตอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีอยู่เลย


เอาล่ะ กู้ซีจิ่ว หยุดไว้แค่นี้แหละ! ไม่ต้องสงสัยเทพเซียนผีสางอะไรแล้ว!


เธอสูดลมหายใจเข้านิดๆ เปลี่ยนความคิดไป เริ่มใคร่ครวญถึงตนต้นของภัยพิบัติครั้งนี้


จักรพรรดิซวนถูกสารเคมีควบคุมอารมณ์ นั่นมิใช่การยืนยันหรอกหรือว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังคนนั้นก็คือบิดาราคาถูกของหลงซี นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้น…หลงฟั่น?


ตอนแรกเป้าหมายของเขาคือตี้ฝูอี ตอนนี้เขาเขามีจุดประสงค์อะไรถึงควบคุมจักรพรรดิซวนให้ก่อสงครามขึ้น?


นิ้วกู้ซีจิ่วเคาะตั่งนั่งใต้ร่างเบาๆ ตามจิตใต้สำนึก นึกถึงหุ่นตายชุดเขียวที่ถูกควบคุมด้วยเสียงขลุ่ยเหล่านั้น…


หัวใจเต้นแรงขึ้นมาในทันใด!


ภายหลังหุ่นตายชุดเขียวเหล่านั้นได้รับการพิสูจน์แล้ว่าเป็นนายพรานกลุ่มหนึ่ง แถมนายพรานเหล่านั้นยังเป็นศพที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยในการสังหารล้างเมืองเหล่านั้น…


ยามนั้นตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งในเขตชายแดนของอาณาจักรเฟยถูกสังหารล้างบางในชั่วข้ามคืน มีพยานหนีรอดมาแจ้งความได้เพียงชีวิตเดียว


ตำบลเล็กๆ แห่งนั้นเดิมทีเป็นครอบครัวนายพรานรวมกลุ่มกันจนกลายเป็นตำบล แต่ละคนล้วนองอาจห้าวหาญชำนาญการต่อสู้ ทว่าน่าประหลาดที่ถูกสังหารล้างบางได้ภายในชั่วข้ามคืน แม้แต่ศพก็ไม่หลงเหลืออยู่เลยสักร่าง มองเห็นเพียงโลหิตที่เจิ่งนองบนท้องถนนเท่านั้น…


จักรพรรดิซวนยังเคยส่งกู้เซี่ยเทียนกับหรงเช่อไปตรวจสอบอยู่เลย ร่ำลือกันว่าทัพเล็กของกู้เซี่ยเทียนและหรงเช่อหายตัวไปกว่าสิบวัน ต่อมาโชคดีที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นอีกรั้ง หลังจากกลับถึงเมืองหลวงก็รายงานต่อจักรพรรดิซวนว่าหลงทางอยู่ในหุบเขาใหญ่…


ตอนนั้นกู้ซีจิ่วก็เคยได้ยินเรื่องนี้แล้ว เพียงแต่ยามที่เธอทราบข่าวอย่างสมบูรณ์ พวกกู้เซี่ยเทียนกลับถึงเมืองหลวงแล้ว


และศพของนายพรานที่หายไปเหล่านั้นก็มีบทลงเอยคือ ทั้งหมดได้กลายเป็นหุ่นชุดเขียวที่เข้าโจมตีสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์…


การจู่โจมสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ในครานั้น ทำให้หุ่นตายชุดเขียวทั้งหมดหล่นลงสู่ลาวา แม้แต่หุ่นเชิดชุดม่วงที่เป็นร่างสถิตของหลงฟั่นก็ไม่เว้น


เธอยังนึกอยู่เลยว่าสรุปแล้วหลงฟั่นตายอย่างสมบูรณ์แล้วแต่ตี้ฝูอีบอกว่าหลงฟั่นฝึกฝนถึงขั้นทารกก่อกำเนิดอะไรสักอย่างแล้ว น่าจะไม่ตาย ตอนนั้นเธอยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ ทว่าตอนนี้กลับเชื่อสนิทใจแล้ว!


สงครามครั้งนี้หลงฟั่นที่บงการอยู่เบื้องหลังเป็นผู้ก่อขึ้นมา!


ยังจะมีอะไรที่ทำให้ผู้คนล้มตายได้มากกว่าการทำสงครามอีกเล่า? ง่ายดายต่อการนำศพมาทำเป็นหุ่นตายยิ่งนักมิใช่หรือ?


ก่อนหน้านี้กำลังรบของหุ่นตายกว่าหนึ่งพันตัวนั้น ก็ทำให้คนปวดหัวยิ่งนักแล้ว ถ้าหากหลงฟั่นสร้างหุ่นออกมาเป็นกองทัพได้…


กู้ซีจิ่วไม่กล้าคิดต่อไปแล้ว!


กู้ซีจิ่วพยายามทำให้ตัวเองสงบลง ค่อยๆ วิเคราะห์อยู่ในสมอง


นับตั้งแต่ตำบลนายพรานเล็กๆ แห่นั้นถูกสังหารล้างบาง จนถึงช่วงที่หุ่นตายชุดเขียวบุกโจมตีสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เป็นระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือน กล่าวอีกอย่าง็คือ การทำคนตายให้กลายเป็นหุ่นเชิดก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน อย่างน้อยๆ ก็ครึ่งเดือน


สงครามที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะกินวลาอย่างน้อยครึ่งปี หากว่าหลงฟั่นที่อยู่เบื้องหลังลอบใช้ซกศพในสนามรบมาผลิตเป็นหุ่นตายโดยไม่ให้ผู้ใดทราบ เช่นนั้นก็จะผลิตได้ในปริมาณน้อย


————————————————————————————-


บทที่ 942 ได้แต่หวังว่าเธอจะเดาผิด!


อย่างไรก็ตามถึงแม้ในสนามรบจะมีคนตายมากมาย แต่หลังจบศึกทุกครั้ง ศัตรูทั้งสองฝ่ายล้วนจะคิดหาวิธีรวบรวมซากศพของไพร่พลฝ่ายตน และจะรวบรวมซากศพของไพร่พลฝ่ายศัตรูจากนั้นก็เขียนลงในรายงานทางการทัพ บอกว่าปราบศัตรูได้จำนวนสามหมื่นคนอะไรทำนองนั้นเพื่อส่งข่าวดีกลับอาณาจักรตน…


จากนั้นก็นำศพของทหารฝ่ายศัตรูไปหาที่เผาทำลายให้สิ้นซาก


ส่วนทหารผู้เสียสละของอาณาจักรตนเหล่านั้นจะจัดหาสถานที่แล้วจัดพิธีขึ้น จากนั้นก็เผาให้กลายเป็นเถ้ากระดูกทีละร่างๆ แล้วส่งกลับบ้านเกิด…


กล่าวกันว่าวิธีจัดการศพในสนามรบเช่นนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้กำหนดไว้ ไม่ว่าอาณาจักรใดล้วนฝ่าฝืนไม่ได้


เพียงแต่ เมื่อสงครามดำเนินเข้าสู่ช่วงที่ดุเดือด ทุกสนามรบล้วนมีผู้คนล้มตายเรือนพันเรือนหมื่น ซากศพไม่ว่าจะเผาหรือฝังล้วนต้องสิ้นเปลืองกำลังคนอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงมีผู้ที่แอบละเลยเป็นประจำ ซากศพของทหารที่สิ้นชีพในสนามรบเหล่านั้นต่อให้หายไปสักสามสิบห้าสิบร่างก็ไม่มีผู้ใดมองออก…


กู้ซีจิ่วได้ตรวจสอบรายงานทางการทัพของจักรพรรดิซวนดูแล้วเช่นกัน กว่าครึ่งปีมานี้ทัพของอาณาจักนเฟยซิงยังคงชนะมากครั้งแพ้น้อยครั้ง สังหารฝ่ายศัตรูไปทั้งหมดหนึ่งแสนสองหมื่นสามพันแปดร้อยเจ็ดสิบคน ทางด้านอาณาจักรเฟยซิงมีผู้สละชีพไปแล้วห้าหมื่นหกพันสามร้อยห้าสิบสองคน…


แน่นอนว่านี่เป็นสถิติของทางภาครัฐทั้งสิ้น ความจริงน่าจะยังมีอีกมาก


ศพเหล่านี้ส่วนใหญ่เผาเป็นเถ้าไปแล้ว แต่ถ้าหากในสงครามแต่ละครั้งศพเหล่านี้คราวละหลายสิบร่างหรือแม้กระทั่งหลักร้อยร่างทุกครั้ง ย่อมไม่มีทางตรวจสอบได้…


หุ่นตายไม่กี่พันตัวไม่อาจก่อภัยพิบัติถึงขั้นโลกาวินาศได้ เพียงแต่ถ้าหากทหารที่รับผิดชอบการเผาศพศัตรูถูกควบคุมไว้โดยหลงฟั่น เช่นนั้นจำนวนศพที่เป็นไปได้ว่าจะถูกนำไปสร้างเป็นหุ่นตายในครั้งนี้เกรงว่าจะน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก!


เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ทั่วร่างกู้ซีจิ่วก็หลั่งหยาดเหงื่อเย็นเฉียบออกมาทันที!


ได้แต่หวังว่าเธอจะเดาผิด!


รถม้าเคลื่อตัวอย่างรวดเร็ว เธอเลิกม่านขึ้นมองท้องฟ้าด้านนอก ย่ำสนธยาแล้ว ขอบฟ้าครึ่งหนึ่งถูกแสงตะวันรอนเผาจนแดงฉาน ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับเหลี่ยมฟ้าแล้ว ราวกับจะกลิ้งลงมาจากเขา ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบสุข


แต่ที่ขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง มวลเมฆหนาซ้อนเป็นชั้น กึ่งมืดกึ่งครึ้ม เห็นแววอัปมงคลเลือนราง ราวกับกำลังจะมีพายุโหมกระหน่ำมา


สถานที่แห่งนี้ห่างจากพื้นที่ทำสงครามของสองอาณาจักรไม่ไกล


ถึงอย่างไรก็เป็นสถานที่ที่เคยมีผู้คนล้มตายมากมายนัก อากาศของที่นี่จึงคล้ายจะหนาวยะเยือกกว่าที่อื่นมากนัก ลมเย็นกวาดพัดไปรอบด้าน แฝงเสียงหวีดหวิวดั่งเสียคร่ำครวญของภูตผี


จู่ๆ เธอก็สัมผัสถึงบางอย่างได้ พลันมองลงไปด้านล่าง


ด้านล่างคือทุ่งร้างผืนหนึ่ง ไม้ยืนต้นตาย หิมะขาวผ่อง เนินเขา ทุ่งหญ้ารกชัฏล้วนมองเห็นอยู่ลิบๆ มองเผินๆ จะไม่พบเห็นว่ามีอะไรผิดปกติ


แต่มุมหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของทุ่งหญ้ารกร้าง กลับดูไม่ค่อยถูกต้อง…


รถม้าคันนี้เดิมกำลังแล่นผ่านที่นี่ไปในชั่วพริบตา จู่ๆ กู้ซีจิ่วก้เอ่ยขึ้นว่า “หยุดก่อน!”


มู่เตี่ยนรั้งบังเหียนสิงโตเวหาตัวนั้นไว้ “มีอะไร?”


กู้ซีจิวกระโจนออกไปนอกรถม้าทันที ชี้ไปทางมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ “เจ้าเห็นสิ่งผิดปกติอันใดไหม?”


มู่เตี่ยนมองลงไปแวบหนึ่ง เห็นเพียงว่าตรงนั้นขาวโพลนไปหมด คล้ายจะมีหิมะทับถมกันหนายิ่ง เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยถาม “สิ่งใดผิดปกติหรือ?”


กู้ซีจิ่วจึงกล่าวอธิบาย “เจ้าดูที่อื่นสิ มีไม้ยืนต้นตาย ทุ่งหญ้ารกร้าง โขดหินขรุขระ ประกอบอยู่ในทัศนียภาพ แต่ที่ตรงนั้นหิมะทับถมราบเรียบเสมอกันยิ่งนัก ไม่มีวัชพืชหรือโขดหินเลยสักนิด พื้นที่กว้างใหญ่นัก…”


มู่เตี่ยนมองอยู่หลายครา สะกิดใจขึ้นมานิดๆ ที่ตรงนั้นผิดปกติจริงๆ ด้วย! มองจากตำแหน่งภูมิประเทศแล้วไม่ควรจะราบเรียบถึงเพียงนี้ คล้ายวิธีอำพรางสายตาอย่างหนึ่ง!


เขาติดตามอยู่ข้างกายท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาเนิ่นนานปี ความสามารถที่แท้จริงเหนือล้ำกว่าพวกหลงซือเย่เสียอีก ซ้ำยังมีประสบการณ์โชกโชน เขาลอบกระตุ้นพลังสายตาแล้วมองเข้าไป ถึงขั้นมองออกว่าตรงนั้นมีไอมารจางๆ แผ่ออกมาด้วย


เมื่อกี้เขาเกือบจะพลาดสถานที่ประหลาดที่ปกคลุมด้วยไอมารแห่งนี้ไปเสียแล้ว


————————————————————————————-

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)