ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 938-941
ตอนที่ 938 เตาหล่อหลอมจิตวิญญาณและอสู...
“เรื่องนี้เล่าแล้วยาว ครั้งนี้พวกเรานิกายเทียนกงโชคไม่ดี เข้ามายังเศษซากแห่งโลกบนเวลาสั้นๆ เดือนกว่าก็เสียศิษย์ไปแล้วครึ่งหนึ่ง สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือในการค้นหาสมบัติครั้งหนึ่งพวกเราถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าพยัคฆ์เงินหลายคนจากแผ่นดินหมานฮวงลอบจู่โจม เมื่อถูกบีบจนไร้ทางเลือกข้ากับศิษย์น้องระดับแก่นแท้อีกคนหนึ่งจึงใช้วิชาลับของนิกาย ผลสุดท้ายจึงพ่ายแพ้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย แม้พวกเราสองคนไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่อย่างน้อยก็ต้องรักษาตัวสิบวันไปจนถึงครึ่งเดือนจึงจะฟื้นพลังต่อสู้ได้ ทว่าตอนนี้ไม่ทราบเพราะเหตุใดตำแหน่งสมบัติชิ้นสำคัญที่นิกายเราต้องการตามหาดันถูกกลุ่มอำนาจอื่นล่วงรู้เข้า พวกเราจึงเชิญทุกท่านจากนิกายยอดบริสุทธิ์เดินทางมาช่วยเหลือ” ชายหนุ่มกำยำถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเอ่ยขึ้น
เวินเจินได้ยินว่า ‘แผ่นดินหมานฮวง’ ดวงตาก็ฉายแววเหี้ยมเกรียมแวบหนึ่ง
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง หลายวันก่อนพวกเราก็ถูกผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจกลุ่มหนึ่งลอบโจมตีจนเสียสหายร่วมนิกายไปหลายคนเช่นกัน คนอื่นก็ล้วนกำลังรักษาตัวอยู่ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงพาพวกศิษย์น้องหลิ่วมาแค่สามคน” จินเทียนชื่อได้ฟังก็พยักหน้า
“สหายจินเดินทางมาช่วยเหลือด้วยตนเอง ข้าก็ได้มากกว่าที่หวังแล้ว นอกจากนี้สหายทั้งสามคนที่พี่จินพามาล้วนไม่ใช่พวกฝีมือธรรมดา จะว่าไปแล้วก็ละอาย ยามนี้คนที่บาดเจ็บหนักในนิกายของเรารักษาตัวอยู่ในที่ซ่อนอีกแห่งหนึ่ง ดังนั้นจึงส่งศิษย์ระดับผลึกเดินทางไปได้เจ็ดคนเท่านั้น ภารกิจครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่คงต้องพึ่งพี่จินแล้ว” จ้าวอีเหวยชายหนุ่มร่างกำยำกวาดสายตาผ่านพวกหลิ่วหมิงสามคนแล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
“พี่จ้าวเกรงใจแล้ว นิกายของพวกเราทั้งสองเป็นมิตรที่ดีต่อกันมาตลอด เรื่องนี้พวกเราย่อมทำสุดกำลัง ในเมื่อข่าวของสมบัติชิ้นนี้แพร่ออกไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นงานก็ไม่ควรชักช้า พวกเราลงมือกันตอนนี้เลยเถิด เรื่องอื่นเดินทางไปคุยไปก็ได้” จินเทียนชื่อเสนอขึ้นมา
“ได้! อาจารย์อาเล็ก ภารกิจครั้งนี้เดิมพวกเราเชิญสหายนิกายยอดบริสุทธิ์เดินทางมาช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ดูแล้วกลายเป็นจะต้องให้ศิษย์นิกายเราสนับสนุนพวกพี่จิน รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้รบกวนอาจารย์อาเล็กบอกพี่จินด้วย” จ้าวอีเหวยย่อมไม่เห็นต่าง เขาหมุนตัวมาประสานมือเอ่ยกับชายหนุ่มรถเงินอย่างเคร่งขรึม
“ศิษย์หลานจ้าววางใจเถิด เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องบอกข้าย่อมเข้าใจ” ชายหนุ่มรถเงินได้ยินก็ยิ้มด้วยท่าทางสบายๆ
จ้าวอีเหวยเห็นเช่นนี้หลังจากกำชับอีกสองสามประโยคก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
หลังจากนั้นคณะเดินทางสิบเอ็ดคนของหลิ่วหมิงก็ออกจากถ้ำแล้วเหาะจากไปไกล
ชายหนุ่มร่างกำยำกับบุรุษผู้มีใบหน้าซีดเผือดอีกคนหนึ่งยืนอยู่ตรงปากถ้ำ เฝ้ามองลำแสงของคณะเดินทางจนมองไม่เห็นแล้วถึงขมวดคิ้วแน่นหมุนตัวกลับมาด้านในถ้ำ
“พี่จ้าว ครั้งนี้ให้อาจารย์อาเล็กพาศิษย์คนอื่นเดินทางไปที่นั่นจะเสี่ยงเกินไปหน่อยหรือไม่ อาจารย์อาเล็กเป็นถึงหลานเพียงคนเดียวของผู้อาวุโสสูงสุด มีตำแหน่งพิเศษในนิกายเรามาตลอด หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจริง หลังจากพวกเรากลับไปคงไม่อาจอธิบายประมุขนิกายกับผู้อาวุโสสุงสุดได้” เพิ่งย้อนกลับเข้ามาในถ้ำ บุรุษผู้มีสีหน้าซีดเผือดก็เผยสีหน้ากังวลเอ่ยขึ้นมา
“เรื่องนี้ ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่เตาหล่อหลอมจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งนัก มันเกี่ยวพันกับความรุ่งเรืองตกต่ำหลายหมื่นปีหลังจากนี้ของนิกายเรา จะนิ่งดูดายเสียมันไปได้อย่างไร ตอนนี้ข้ากับเจ้าสองคนล้วนฝืนกดอาการบาดเจ็บอยู่ จะไม่ให้อาจารย์อาเล็กเดินทางไป ศิษย์ระดับผลึกคนอื่นก็ไม่มีคุณสมบัติในการนำกลุ่มแม้แต่น้อย แต่เจ้ากับข้าคงไม่ต้องกังวลมากไปนักหรอก ในเมื่อท่านประมุขวางใจให้อาจารย์อาเล็กเข้ามาในเศษซากแห่งโลกบนครานี้ย่อมต้องมีเหตุผลของเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังมีสมบัติคุ้มครองกายนานาชนิดที่ผู้อาวุโสสูงสุดมอบให้เป็นการส่วนตัวอีก เกรงว่ากระทั่งข้าหรือเจ้าปะทะกับเขาก็คงทำอันใดไม่ได้ นอกจากนี้แม้ว่านิกายเรากับนิกายยอดบริสุทธิ์จะเป็นพันธมิตรกัน แต่หากไม่มีอาจารย์อาเล็กตามไปคุม ข้ากับเจ้าจะวางใจให้ศิษย์คนอื่นเดินทางไปได้อย่างไร” จ้าวอีเหวยฟังแล้วก็เผยรอยยิ้มจืดเจื่อนอธิบาย
“ตอนนี้ก็ได้แต่คิดเช่นนี้แล้ว! น่าชังจริงๆ หากไม่ใช่เพราะพบกับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจพยัคฆ์เงินพวกนั้นก่อนหน้านี้ ข้ากับเจ้าจะตกอยู่ในสภาพน่าขายหน้าเช่นนี้ได้อย่างไร หวังว่าอาจารย์อาเล็กออกโรงครานี้จะรีบไปรีบกลับได้นะ อย่าให้มีเรื่องผิดพลาดอันใดเกินขึ้นเลย” บุรุษผู้มีใบหน้าซีดเผือดได้แต่เอ่ยอีกสองประโยคอย่างเคียดแค้น
ในเวลาเดียวกันไกลออกไปหลายร้อยลี้บนท้องฟ้าชายหนุ่มรถเงินกำลังยืนอยู่ที่หัวเรือของเรือเหาะสีฟ้าลำหนึ่ง เขากำลังเล่าเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ให้กลุ่มคนจากนิกายยอดบริสุทธิ์ฟังอย่างละเอียด
ที่แท้สมบัติที่นิกายเทียนกงตามหาก็คือสมบัติประหลาดชิ้นหนึ่งที่ชื่อว่าเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงได้ยินถึงตรงนี้ ในใจก็ตกตะลึง!
ไม่ว่าอาวุธจิตวิญญาณหรืออาวุธเวท โดยทั่วไปหากเป็นจำพวกเตาหลอมกับเตาล้วนล้ำค่ายิ่งขึ้น
“เตานี้คงมีไว้ใช้หลอมอาวุธสินะ?” หลัวเทียนเฉิงที่อยู่ด้านข้างโพล่งถาม
“สหายหลัวคิดเหมือนยามข้าได้ยินครั้งแรก แต่เตาหล่อหลอมจิตวิญญาณนี้ไม่ได้มีไว้ใช้หลอมอาวุธจิตวิญญาณหรืออาวุธเวท ทว่ามีไว้เพิ่มพลังจิตวิญญาณให้แก่อาวุธจิตวิญญาณกับอาวุธเวท หากนิกายเทียนกงของข้าได้ของสิ่งนี้มาจะทำให้พลังของหุ่นทั้งหมดในนิกายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับ ดังนั้นเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณจึงสำคัญยิ่งยวดสำหรับนิกายของเรา คงต้องขอให้ทุกท่านทุ่มเทจิตใจให้งานนี้ หลังเสร็จเรื่องนิกายเราจะมอบของตอบแทนที่ทุกท่านพึงพอใจให้แน่นอน” เยี่ยโจ่งย่อมไม่กังวลว่านิกายยอดบริสุทธิ์ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่เช่นเดียวกันจะสะบั้นสัญญาพันธมิตรเพียงเพื่ออาวุธเวทชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความลับของนิกายเขาก็ยังพูดคลุมเครืออยู่บ้าง เล่าจนถึงสุดท้ายก็ยิ้มน้อยๆ ขณะที่มองจินเทียนชื่อผู้ไม่พูดสักคำ
“ฟังจากคำพูดนี้ของสหายเยี่ย นิกายของท่านน่าจะหมายตาเตาหลอมนี้ไว้นานแล้ว กระทั่งประโยชน์ของมันก็ยังรู้กระจ่างเช่นนี้?” จินเทียนชื่อได้ยินก็เอ่ยถามอย่างไม่แสดงท่าที
“พี่จินพูดไม่ผิด เตาหลอมนี้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณของนิกายข้า มันเป็นอาวุธเวทพิทักษ์นิกายที่ตกทอดกันมาของนิกายใหญ่แห่งศาสตร์หลอมอาวุธในสมัยบรรพกาลแห่งหนึ่ง แต่หลังจากนิกายแห่งนั้นล่มสลายมันก็สาบสูญไป จนกระทั่งเมื่อสามหมื่นปีก่อนหรือก็คือการค้นหาสมบัติในเศษซากแห่งโลกบนครั้งก่อน คนรุ่นก่อนของนิกายเราคนหนึ่งค้นพบร่องรอยของสมบัติชิ้นนี้ในซากโบราณสถานแห่งหนึ่งบนเศษซากแห่งโลกบนโดยบังเอิญ ทว่าตอนที่กำลังจะเอามันมา กลับคิดไม่ถึงว่าอสูรยักษ์ป่าเถื่อนตัวหนึ่งจะพุ่งพรวดเข้ามาชิงกลืนสมบัติชิ้นนี้กับสมบัติชิ้นอื่นลงท้องไปพร้อมกันเสียก่อน” เยี่ยโจ่งหัวเราะฝืดเฝื่อน เล่าความเป็นมาเป็นไปของเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังอย่างไม่มีเจตนาปิดบังแม้แต่น้อย
“อสูรยักษ์ป่าเถื่อนหรือ?” ไม่เพียงแค่พวกหลิ่วหมิงสามคน กระทั่งจินเทียนชื่อได้ยินคำนี้ก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน
“ไม่ผิด จากที่ผู้อาวุโสท่านนั้นเล่า อสูรยักษ์ป่าเถื่อนตัวนี้รูปร่างมหึมาอย่างยิ่ง เหมือนมันจะไวต่อคลื่นปราณจิตวิญญาณนานาชนิดอย่างที่สุดและชอบกินวัตถุที่มีพลังจิตวิญญาณที่สุด นอกจากนี้ยังหนังหยาบเนื้อหนา จากที่เขาประเมิน แม้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ก็ยังยากจะทะลวงผ่านร่างเนื้อของมันได้ในเวลาอันสั้น ยามนั้นผู้อาวุโสท่านนั้นของนิกายเราเพิ่งจะพลังระดับแก่นเสมือน เขาไม่อาจแย่งชิงสมบัติจากในปากอสูรตัวนี้ได้เลย ผนวกกับเหลือเวลาก่อนจะเคลื่อนย้ายออกจากเศษซากโลกบนไม่มาก ด้วยความจนหนทาง ผู้อาวุโสท่านนั้นจึงได้แต่ส่งอาวุธเวทกำหนดตำแหน่งชิ้นหนึ่งเข้าไปในปากของอสูรยักษ์หลังจากนั้นก็จากไปอย่างเสียดาย ครั้งนี้เมื่อนิกายของเราเข้ามาในเศษซากโลกบนแห่งนี้จึงส่งศิษย์หลายคนไปตามหาอาวุธเวทกำหนดตำแหน่งค้นหาอสูรตัวนี้ทันที จนกระทั่งไม่กี่วันก่อนพวกเราเพิ่งพบว่ามันยังซุ่มซ่อนอยู่ในสถานที่หนึ่งอย่างสมบูรณ์ดี เตาหล่อหลอมจิตวิญญาณนั่นย่อมยังปลอดภัยไร้อันตรายอยู่ในท้องของมัน ทว่าต่อมาเนื่องจากนิกายของเราพบศัตรูที่แข็งแกร่งกะทันหัน สูญเสียกำลังพลไปมาก ศิษย์พี่ผู้นำคณะเดินทางทั้งสองคนก็บาดเจ็บหนัก พวกเราหมดหนทางถึงขอความช่วยเหลือจากทุกท่าน” หลังจากเยี่ยโจ่งครุ่นคิดครู่หนึ่งก็อธิบายกับทุกคนอย่างละเอียดเพิ่ม
พวกหลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้มองหน้ากัน
สมบัติที่นิกายเทียนกงต้องการตามหาถึงกับอยู่ในร่างของอสูรยักษ์ป่าเถื่อนตัวหนึ่ง สถานการณ์เช่นนี้เรียกได้ว่าเหนือความคาดหมายของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
“ไม่ทราบว่านิกายของท่านตรวจสอบกระจ่างหรือยังว่าอสูรยักษ์ตัวนั้นเป็นตัวอะไร? หากพลังของมันทัดเทียมกับผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ อาศัยเพียงพวกเราไม่กี่คนนี้เกรงว่าการจะเอาเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณนั่นมาให้ได้คงจะฝืนเกินกำลังอยู่บ้าง” จินเทียนชื่อเอ่ยทีละคำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พูดไปแล้วก็ละอาย แม้นิกายเราค้นหาข้อมูลจากเอกสารนับไม่ถ้วน แต่ก็หาความเป็นมาอย่างละเอียดของอสูรยักษ์ตัวนั้นไม่พบ คิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์หนึ่งจากยุคดึกดำบรรพ์ที่หลงเหลือมาจากสมัยบรรพกาลกระมัง แต่ทุกท่านไม่ต้องกังวลใจ จากที่ผู้อาวุโสท่านนั้นสังเกต อสูรยักษ์ป่าเถื่อนตัวนั้นสติปัญญาด้อย ทำทุกสิ่งตามสัญชาติญาณ แม้มีพลังอยู่บ้างแต่น่าจะไม่อันตรายมากนัก เพียงแค่กายเนื้อของอสูรตัวนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง อยากจะเอาเตาหลอมมาจึงยังค่อนข้างยุ่งยาก” เยี่ยโจ่งส่ายศีรษะเอ่ยบอก
“เช่นนี้ดูท่าอสูรตัวนี้คงหนังหยาบเนื้อหนาจนใช้กำลังทะลวงร่างกายของมันยากยิ่ง และหากบุ่มบ่ามโจมตี มันก็อาจเตลิดหนีไป ถึงเวลาจะรั้งมันไว้ต่อก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย” จินเทียนชื่อฟังเยี่ยโจ่งอธิบายอย่างละเอียดจบก็ขมวดคิ้ว
“เรื่องนี้ทุกท่านโปรดวางใจ ก่อนหน้าข้าออกเดินทางได้พกหุ่นห้าธาตุชุดหนึ่งที่นิกายมอบให้เป็นพิเศษมาด้วย หากใช้หุ่นห้าตัวนี้จะสร้างค่ายกลกักขังห้าธาตุชนิดพิเศษได้ชั่วคราว น่าจะขังอสูรตัวนี้ไว้ได้เป็นเวลาไม่น้อย” เยี่ยโจ่งตอบโดยไม่ครุ่นคิด
“หากอสูรตัวนี้ด้อยสติปัญญาและนิกายท่านขังมันไว้ในค่ายกลได้ ข้าก็มีวิธีหนึ่งอาจลองใช้เอาเตาหลอมมาได้” จินเทียนชื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาทั้งสองข้างก็เปล่งประกายเอ่ยขึ้นมา
“คำพูดนี้จริงหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นวิธีอันใด?” เยี่ยโจ่งได้ยินก็เอ่ยถามอย่างยินดียิ่งนัก
“ที่จริงก็ไม่ใช่วิธีชาญฉลาดอันใด ในเมื่ออสูรตัวนี้ชอบกลืนวัตถุที่มีพลังจิตวิญญาณ ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ใช้อาวุธจิตวิญญาณสักชิ้นลงมือโจมตีอสูรยักษ์ตัวนั้นล่อให้มันกินเข้าไป พริบตาที่มันอ้าปากก็พุ่งเข้าไปในตัวมันหาวิธีเอาเตาหลอมล้ำค่าชิ้นนี้มาก็ได้แล้ว” จินเทียนชื่อยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยบอก
“ที่แท้ก็วิธีนี้เอง! ก่อนหน้าที่จะเข้ามายังเศษซากแห่งโลกบน ในนิกายก็เคยหารือเกี่ยวกับวิธีนี้ ทว่าจากที่ผู้อาวุโสท่านนั้นบอก ระหว่างที่อสูรยักษ์ตัวนี้อ้าปากหุบปากจะมีลมหายใจซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนร้ายกาจยิ่งนัก เกรงว่าภายในร่างคงจะเข้มข้นยิ่งกว่า ลมเหล่านี้เหมือนจะไม่มีผลอย่างใดกับสมบัติประหลาดแห่งฟ้าดินเหล่านั้น แต่หากพวกเราผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ แม้กายเนื้อแข็งแกร่งอีกเท่าใดก็ยากนักจะทานทนได้แม้เพียงชั่วครู่ หากเข้าไปเอาสมบัติในท้องจะต้องเอาชนะลมที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเหล่านี้ก่อนถึงจะได้” เยี่ยโจ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา
“นี่เป็นข้อยุ่งยากประการหนึ่ง” จินเทียนชื่อฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว
“แต่เรื่องนี้ก็พอมีวิธีรับมือชั่วคราวอยู่ ในมือข้ามีชุดเกราะจักรกลเต็มตัวสองชุดที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อเข้าไปในร่างของอสูรตัวนี้ วัสดุที่ใช้หลอมมันผสมดินจิตวิญญาณดำที่หายากเอาไว้ ไม่เพียงต้านทานลมกัดกร่อน ยังมีคุณสมบัติเปลี่ยนรูปได้ประมาณหนึ่ง น่าจะต้านได้ช่วงเวลาหนึ่งอย่างไม่เป็นปัญหา จุดสำคัญอยู่ที่หลังจากเข้าไปจะพุ่งออกมาจากในร่างอสูรตัวนี้ได้อย่างไร เรื่องนี้ยังไม่มีวิธีที่เหมาะสมนัก อีกประการหนึ่งก็คือภายในร่างอสูรตัวนี้เหมือนชั้นจำกัดปิดสนิทขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง จิตสัมผัสไม่อาจทะลุผ่านไปได้แต่น้อย เกรงว่าหลังจากเข้าไปด้านในคงไม่อาจสื่อสารกับด้านนอกได้ หากอยู่ในร่างอสูรตัวนี้นานเข้า เมื่อชุดเกราะแตก…” เยี่ยโจ่งเอ่ยขึ้นต่อช้าๆ
เมื่อคำนี้เอ่ยออกมาพวกหลิ่วหมิงก็เงียบไปทันที
ตอนที่ 939 ชุดเกราะจักรกล
ได้ยินเยี่ยโจ่งบอกเช่นนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไร การเข้าไปในร่างอสูรยักษ์ค้นหาเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณก็เป็นงานที่อันตรายยิ่งนัก
“ทุกท่านไม่จำเป็นต้องกังวลนัก แม้อสูรตัวนี้ภายนอกจะทนทานประหนึ่งหินผา แต่ภายในร่างย่อมไม่มีทางเป็นเช่นนั้น ขอเพียงค้นหาเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณได้ทันเวลาแล้วส่งการโจมตีจากภายในร่างอสูรยักษ์ตัวนั้น ข้าไม่เชื่อว่ามันจะไม่เจ็บปวดอย่างที่สุดจนอ้าปากอีกครั้ง” เวินเจิงที่เงียบมาตลอดฉับพลันเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นชา
“ศิษย์น้องเวินพูดไม่ผิด อีกอย่างเกรงว่าคงไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว” จินเทียนชื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างเชื่องช้า
แม้การเดินทางครั้งนี้จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายอยู่บ้าง แต่ทุกคนในที่นี้ล้วนเข้าใจหลักการที่ว่าไม่เข้าถ้ำเสือไหนเลยจะได้ลูกเสือ
“ไม่ปิดบังทุกท่าน ในเมื่อนิกายของเราพกชุดเกราะสองชุดนั่นเข้ามาในเศษซากแห่งโลกบน ความจริงก็หมายความว่าเลือกวิธีนี้เป็นหนึ่งในตัวเลือกสุดท้ายแล้ว เมื่อพวกพี่จินเห็นว่าเป็นไปได้เช่นกัน ถ้าเช่นนั้นก็เลือกวิธีนี้เถิด” เยี่ยโจ่งส่งกระแสจิตหารือกับศิษย์นิกายเทียนกงคนอื่นพักหนึ่งแล้วก็เอ่ยขึ้นเช่นนี้
“ดีมาก ถึงเวลาพวกเราแบ่งงานร่วมมือกัน ให้ศิษย์นิกายท่านห้าคนควบคุมหุ่นห้าธาตุชุดนี้ตั้งค่ายกลกักขังชั้นจำกัด สหายเยี่ย ศิษย์น้องเวินกับข้ารับผิดชอบโจมตีอสูรตัวนี้ดึงความสนใจของมัน ศิษย์น้องหลิ่ว ศิษย์น้องหลัว พวกเจ้าสองคนเข้าไปในร่างอสูรตัวนี้ค้นหาเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณ”
จินเทียนชื่อวางแผนทั้งหมดอย่างรวดเร็วบอกกับทุกคน
หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยก็พยักหน้า หลัวเทียนเฉิงก็เผยสีหน้ากระเหี้ยนกระหือรือออกมาและตกปากรับคำทันทีอย่างไม่คิดแม้แต่นิด
ศิษย์นิกายเทียนกงคนอื่นเห็นว่าตนไม่ต้องเสี่ยงอันตรายเข้าไปในร่างของอสูรยักษ์ย่อมไม่พูดอันใดเช่นกัน
“ศิษย์พี่จิน ข้าเชี่ยวชาญวิชาสาปสังหาร อยู่ภายในร่างของอสูรตัวนี้จะสำแดงพลังได้มากกว่า ข้าสามารถเข้าไปในร่างอสูรตัวนี้ค้นหาเตาหลอมล้ำค่าด้วยได้หรือไม่?” เวินเจิงเลิกคิ้วเรียวแล้วเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าไม่ยินยอมอยู่บ้าง
“ศิษย์น้องเวิน วิชาคำสาปของเจ้าทรงพลังมากยิ่งนัก การดึงรั้งอสูรตัวนี้ด้านนอกขาดเจ้าไปไม่ได้ แต่ศิษย์น้องหลิ่วกับศิษย์น้องหลัวกายเนื้อแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เข้าไปข้างในจึงเหมาะสมกว่า” จินเทียนชื่อเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
เวินเจิงฟังแล้วก็เหล่มองหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงครั้งหนึ่งแล้วไม่พูดอะไรเพิ่มอีก
จากนั้นคณะเดินทางก็ปรึกษารายละเอียดของแผนการ จากนั้นเหาะรวดเร็วไปทางตะวันออกตามการนำทางของเยี่ยโจ่งเป็นเวลาสองวันเต็ม หลังจากข้ามเขาหิมะที่ทอดยาวแถบใหญ่ก็โผล่มาที่ชายป่าอันไร้ขอบเขตผืนหนึ่ง
ทุกคนทยอยหยุดอยู่บนท้องฟ้าเหนือยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากป่าหลายสิบลี้
เมื่อทอดสายตามองไปก็เห็นป่าผืนนี้เบื้องหน้าเป็นสีน้ำตาล ไม่รู้ว่าเหตุใดมองไปแล้วต้นไม้แต่ละต้นจึงโล่งเตียน บนนั้นมีใบไม้สีเหลืองหน้าตาประหลาดจำนวนหนึ่งติดอยู่หรอมแหรม ส่วนด้านตะวันออกเฉียงใต้ของป่ามีภูเขาดินสีน้ำตาลหม่นกินพื้นที่ราวหลายสิบหมู่นูนขึ้นมาจากพื้นราบ
ภูเขาดินทั้งลูกสภาพไม่เป็นระเบียบ บนตัวภูเขาเป็นหลุมเป็นบ่อนูนเว้าไม่เรียบ ตรงสันเขามีเสาศิลานูนขึ้นมาต้นแล้วต้นเล่าเรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ รอบภูเขาดินเต็มไปด้วยหมอกสีเทาจางๆ ชั้นหนึ่งทำให้ภูเขาดินทั้งลูกแลดูพร่ามัว เพิ่มบรรยากาศลึกลับให้สถานที่แห่งนี้หลายส่วน
ดวงตาของหลิ่วหมิงจับจ้องอยู่ที่ภูเขาดินลูกนั้นนานแล้ว แม้ไอหมอกสีเทาด้านบนไม่ได้แผ่คลื่นพลังจิตวิญญาณออกมาแต่มันกลับทำให้เขารู้สึกประหลาดลึกล้ำไม่อาจหยั่งบางประการ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที
“เจ้านั่น คงจะเป็นอสูรยักษ์ป่าเถื่อนที่สหายเยี่ยพูดถึงกระมัง” ดวงตาจินเทียนชื่อทอแสงดาวสีขาวชั้นหนึ่งออกมากวาดผ่านป่าที่อยู่ไกลๆ ท้ายที่สุดสายตาก็จับจ้องอยู่บนภูเขาดินลูกนั้นแล้วเอ่ยถามขึ้นกะทันหัน
“ศิษย์พี่จินตาดีดุจคบไฟ จากคำบรรยายในบันทึกของนิกาย น่าจะเป็นอสูรตัวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ดูจากสภาพแล้ววันนี้อสูรตัวนี้คงกำลังหลับอยู่ หลังจากนี้ตอนพวกเราขยับเข้าใกล้จำต้องเก็บปราณทั่วร่างให้ได้มากที่สุด อสูรตัวนี้ไวต่อคลื่นพลังเวทยิ่งนัก การเคลื่อนไหวรุนแรงเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้มันตกใจตื่นได้แล้ว” หลังจากเยี่ยโจ่งเพ่งมองภูเขาดินลูกนั้นอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลัวเทียนเฉิงกับเวินเจิงได้ยิน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ พวกเขามองสำรวจ “ภูเขาดิน” ลูกนั้นอย่างละเอียดบ้าง
หลังจากทุกคนสังเกตอยู่อีกพักหนึ่ง เยี่ยโจ่งถึงเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“ทุกสิ่งให้ดำเนินไปตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ แต่มีจุดหนึ่งที่ต้องระวัง ในเมื่อข่าวการมาเอาสมบัติครั้งนี้รั่วออกไปแล้ว ก็เป็นไปได้อย่างมากว่าคนของกลุ่มอำนาจอื่นจะมาถึงแถวนี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนของเผ่าปีศาจน่าจะหมายตาอสูรตัวนี้อยู่เช่นกัน จงระวังให้มาก”
ทุกคนได้ยินก็มีสีหน้าหวาดหวั่นแล้วพากันพยักหน้า
“นี่คือชุดเกราะจักรกลเต็มตัวสองชุด แค่ต้องกรอกพลังเวทเข้าไปด้านในก็ใช้ได้แล้ว แต่แนะนำให้พี่หลิ่วกับพี่หลัวสวมมันตรงนี้ปรับตัวสักหน่อยจะดีกว่า แล้วก็ยังมีมุกกลมสองเม็ดนี้อีก พวกมันคือมุกระบุตำแหน่ง สามารถสัมผัสตำแหน่งที่แน่ชัดของเตาหลอมชิ้นนี้ได้อย่างแม่นยำในขอบเขตร้อยจั้ง” เยี่ยโจ่งแบ่งกระบอกโลหะสีดำสองกระบอกกับมุกกลมสีทองอร่ามสองเม็ดให้หลิ่วหมิงและหลัวเทียนเฉิง หลังจากอธิบายกับทั้งสองคนคร่าวๆ รอบหนึ่งก็พาศิษย์นิกายเทียนคงอีกหกคนที่เหลือเดินไปยังกองหินระเกะระกะด้านข้างบอกว่าจะเตรียมตัวหารือเรื่องการวางค่ายกลห้าธาตุสักหน่อย
หลิ่วหมิงกำกระบอกโลหะสีดำด้วยมือข้างเดียว หลังจากกะน้ำหนักดูเล็กน้อย เขาก็รู้สึกว่าหนักอยู่บ้าง
ชุดเกราะจักรกลชุดนี้หนักไม่แพ้มุกพลังวารีลูกหนึ่งสักนิด ผู้ฝึกฝนที่กายเนื้อไม่แข็งแกร่งพอ หากสวมชุดเกราะที่หนักเช่นนี้เข้าไป หากไม่ใช้พลังเวทกระทั่งก้าวเดินก็คงทำไม่ได้
เขาครุ่นคิดเช่นนี้แล้วเงยหน้ามองหลัวเทียนเฉิง เขาเหมือนจะค่อนข้างสนใจชุดเกราะของนิกายเทียนกงชุดนี้ กำลังก้มหน้าดูแล้วดูอีกไม่หยุดเช่นเดียวกัน
จินเทียนชื่อมองจนพวกเยี่ยโจ่งเดินเข้าไปในกองหินระเกะระกะแล้วจึงสะบัดแขนเสื้อ ธงค่ายกลขนาดเล็กสีเหลืองอ่อนเจ็ดแปดผืนทอแสงจิตวิญญาณพุ่งรวดเร็วไปสี่ด้านแปดทิศทยอยปักลงบนพื้นดินล้อมเป็นรูปสี่เหลี่ยม
จากนั้นเขาก็ท่องมนตร์แล้วยกมือขึ้น แสงเปลวเพลิงสีขาวหลายเส้นพุ่งเข้าไปในธงค่ายกลรอบด้านในพริบตา ธงค่ายกลทอแสงจิตวิญญาณวูบหนึ่งแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมาค่ายกลสีขาวจางๆ ค่ายกลหนึ่งก็ลอยออกมาล้อมทั้งสี่คนไว้ด้านใน
“นี่คือค่ายกลกักพลังจิตวิญญาณ ขอเพียงอยู่ในเขตของค่ายกลนี้ คลื่นพลังเวททั้งหมดจะไม่ส่งไปด้านนอก ศิษย์น้องหลิ่วกับศิษย์น้องหลัวทำความคุ้ยเคยกับชุดเกราะจักรกลนี่สักหน่อยเถอะ ไม่ต้องกังวลว่าจะปลุกอสูรยักษ์ตัวนั้น” จินเทียนชื่อเอ่ยเช่นนนี้
พวกหลิ่วหมิงย่อมเอ่ยขอบคุณ
“ที่นี่มีแต่พวกเราสี่คน ข้าจะพูดตามตรง ตอนที่ไปเอาสมบัติ ศิษย์น้องหลิ่ว ศิษย์น้องหลัวต้องระวังให้มาก แม้คนของนิกายเทียนกงจะบอกว่าอสูรยักษ์ตัวนั้นด้อยสติปัญญา เพียงแค่หนังหยาบเนื้อหนาเท่านั้น แต่อย่างไรอสูรตัวนี้ก็อยู่มาอย่างน้อยหลายหมื่นปี ใครก็ไม่รู้รายละเอียดแน่ชัดว่าสภาพมันเป็นอย่างไร พวกเจ้าหาโอกาสเข้าไปในร่างมันได้เป็นดีที่สุด แต่หากทำไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ต้องฝืน เอาชีวิตตนเองเป็นสำคัญ” จินเทียนชื่อเอ่ยกำชับอย่างจริงจัง
“ขอบคุณศิษย์พี่จินยิ่งที่เตือน!” หลัวเทียนเฉิงประสานหมัดเอ่ยขึ้นทันที
“เรื่องนี้แน่นอน!” หลิ่วหมิงพยักหน้าเช่นกัน
“แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง การไปเอาเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณครั้งนี้ งานที่ศิษย์น้องหลิ่วกับศิษย์น้องหลัวทำค่อนข้างอันตราย หากเอาเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณมาได้สำเร็จ ของตอบแทนที่นิกายเทียนกงมอบให้ ศิษย์น้องทั้งสองแต่ละคนจะได้สามส่วน ข้ากับศิษย์น้องเวินได้คนละสองส่วน” หลังจากจินเทียนชื่อคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อ
หลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงสบตากันครั้งหนึ่ง แต่ละคนต่างพยักหน้า เวินเจิงที่อยู่ด้านข้างท่าทางเหมือนไม่ยินยอมอยู่บ้าง แต่เห็นสามคนที่เหลือล้วนตกลงแล้วจึงไม่ได้พูดอะไรมาก
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี พวกเจ้าสองคนทำความคุ้นเคยกับชุดเกราะนี่สักหน่อยเถอะ ศิษย์น้องเวิน เจ้ากับข้าไปสำรวจสภาพรอบๆ กันสักหน่อย ดูสิว่ามีกลุ่มอำนาจนิกายอื่นซ่อนตัวอยู่บริเวณนี้แล้วหรือไม่” จินเทียนชื่อกำชับพวกหลิ่วหมิงหลายประโยคแล้วเหาะออกจากค่ายกลกักพลังจิตวิญญาณไปกับเวินเจิง
ทันทีที่ทั้งสองคนจากไป หลัวเทียนเชิงก็กวาดสายตามองหลิ่วหมิงอย่างเย็นชาแล้วเดินไปนั่งลงอีกด้านหนึ่งของค่ายกลกักพลังจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วสนใจแต่ศึกษาชุดเกราะจักรกลในมือเช่นกัน
ในเวลาเดียวกันที่กองหินระเกะระกะด้านข้างไม่ไกล รอบตัวเยี่ยโจ่งกับศิษย์นิกายเทียนกงคนอื่นก็มีชั้นจำกัดกั้นเสียงสีเหลืองขมุกขมัวชั้นหนึ่งล้อมอยู่ด้วย พวกเขาจงใจหลบเลี่ยงคนของนิกายยอดบริสุทธิ์เพื่อลอบหารือเช่นเดียวกัน
“อาจารย์อาเล็ก ข้าทำตามที่ท่านสั่งแล้ว ตอนเข้ามาที่นี่ข้าลอบใช้ยันต์ตอบสนองของนิกาย ตอนนี้ยืนยันได้ว่านอกจากพวกเราแล้วไม่มีใครอื่นอยู่ใกล้บริเวณร้อยลี้ของอสูรยักษ์” ศิษย์ร่างกำยำที่หน้าตาซื่อบื้อคนหนึ่งในนั้นเอ่ยกับเยี่ยโจ่งอย่างเคารพ
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี!” เยี่ยโจ่งได้ยินสีหน้าก็ผ่อนคลายลง
“อาจารย์อาเล็ก ท่านว่าพวกคนที่นิกายยอดบริสุทธิ์ส่งมานี่จะพึ่งได้หรือไม่? อย่างไรเมื่อค่ายกลหุ่นห้าธาตุนี้ถูกใช้งานย่อมเกิดความเคลื่อนไหวไม่น้อย หากผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจพวกนั้นมาหาถึงที่ พวกเราถูกศัตรูกระหน่ำหน้าหลังเกรงว่าคงจะต้านไว้ไม่ไหว…” ศิษย์ที่หูแหลมคางยื่นอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างกังวล
“จากที่ศิษย์พี่จ้าวบอก จินเทียนชื่อผู้นำคณะครั้งนี้ของนิกายยอดบริสุทธิ์เป็นคนที่มีความเป็นมาใหญ่โต พลังลึกล้ำหยั่งไม่ถึง พวกเราเพียงรับผิดชอบทำงานของตนเองให้ดีก็พอ ส่วนเรื่องอื่นต้องแล้วแต่ลิขิตฟ้า อีกอย่างสามคนที่เขาพามา พลังของหลิ่วหมิงก็แข็งแกร่งอย่างที่สุดเช่นกัน ตอนนั้นเขาแสดงความสามารถอันโดดเด่นในงานชุมนุมประตูสวรรค์ ส่วนหลัวเทียนเฉิงข้าก็เคยเห็นการต่อสู้ของเขากับตาตนเอง แม้พลังเพียงระดับผลึกขั้นกลาง แต่เขาครอบครองร่างจิตวิญญาณตูเทียนในตำนาน พลังทัดเทียมระดับแก่นแท้ ดังนั้นกล่าวโดยรวมแล้วพวกเรามั่นใจกับการมาเอาสมบัติครั้งนี้ได้ไม่น้อย” เยี่ยโจ่งอธิบายกับทุกคนช้าๆ
ศิษย์ของนิกายเทียนกงทั้งหลายได้ฟังคำอธิบายนี้ก็โล่งอกขึ้นมาก
จะว่าไปแล้วหลังจากศิษย์นิกายเทียนกงเหล่านี้เข้ามาในเศษซากของโลกบน ไม่นานก็พบการลอบจู่โจมจากมนุษย์ปีศาจและเผ่าปีศาจตามต่อกัน สูญเสียกำลังพลไปแต่สิ่งที่หามาได้น้อยยิ่งกว่าน้อย สมบัติล้ำค่าสักชิ้นก็ยังไม่ได้มา หากได้เตาหล่อหลอมจิตวิญญาณชิ้นนี้มาเข้ากระเป๋า ถ้าเช่นนั้นการเดินทางมายังเศษซากแห่งโลกบนครั้งนี้ก็นับว่าไม่เสียเปล่า หลังกลับไปนิกายคงได้รางวัลก้อนโต
ในค่ายกลกักพลังจิตวิญญาณอีกด้านหนึ่งหลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิปล่อยจิตสัมผัสออกไปศึกษากระบอกโลหะสีดำอย่างละเอียด
กระบอกนี้มีขนาดแค่ค่อนฝ่ามือเท่านั้น ผิวเรียบลื่นอย่างยิ่ง ด้านในมีหินผลึกสีดำก้อนแล้วก้อนเล่าที่ทอแสงสีดำเรืองๆ ฝังไขว้ตัดกันอยู่
หลิ่วหมิงเคยเห็นวิชาหุ่นของนิกายเทียนกงมาไม่น้อย ตั้งแต่หุ่นสี่ทิศ หุ่นมนุษย์ทองแดงยักษ์ที่เผิงเยวี่ยควบคุมไปจนถึงหุ่นมนุษย์ หุ่นพลังจิตวิญญาณในมือของชิงหลิงที่ทะเลทรายกุ่ยโม่เป็นต้น ไม่มีตัวไหนที่ฝีมือการประดิษฐ์ไม่ล้ำเลิศจนทำให้คนยากจะจินตนาการ
การสร้างชุดเกราะจักรกลกับการสร้างหุ่นแม้แตกต่างแต่ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ในเมื่อเป็นสิ่งที่นิกายเทียนกงออกแบบเป็นพิเศษย่อมไม่มีทางเป็นของธรรมดา
จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่นับว่าไม่คุ้นกับชุดเกราะจักรกล ตั้งแต่ที่เขาเป็นศิษย์จิตวิญญาณคนหนึ่งบนแผ่นดินอวิ๋นชวนเขาก็เคยเห็นมันมาก่อนแล้ว
หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ เขาก็ทำตามที่เยี่ยโจ่งว่าทดลองเคลื่อนพลังเวทในร่างรวมไปที่ปลายนิ้วอย่างเชื่องช้าแล้วจิ้มเบาๆ ไปบนกระบอกโลหะ
ตอนที่ 940 อสูรยักษ์
ผลึกสีดำในกระบอกกลมฉับพลันมีประกายแสงแวววาวไหลเคลื่อน เสียง “ฟู่” ดังขึ้นแผ่วเบาครั้งหนึ่ง ปราณสีดำเส้นหนึ่งก็ม้วนตัวออกมาจากด้านในแล้วเริ่มวนเวียนบนปลายนิ้วทั้งห้า
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าปลายนิ้วเย็นเฉียบอยู่พักหนึ่ง ครู่ต่อมาปราณดำก็เริ่มแผ่ลามจากฝ่ามือไปทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ลมหายใจเดียวก็ปกคลุมไปทั้งร่าง กระทั่งใบหน้าก็ถูกปกคลุมไว้ด้วย
เสียง “กึกๆ” ดังขึ้นมาพร้อมกับที่ชุดเกราะซึ่งทอแสงสีดำขมุกขมัวชุดหนึ่งลอยออกมา ปกป้องทั้งร่างของเขาไว้อย่างแน่นหนา
สองแขนที่อยู่สองฝั่งของเสื้อเกราะมีภาพสัญลักษณ์หัวหมาป่าสองหัวสลักไว้ด้วยลายเส้นแวววาวสีดำ แลดูประหนึ่งมีชีวิต
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกค่อนข้างอัศจรรย์ใจก็คือแม้ทั้งร่างจะถูกชุดเกราะจักรกลหุ้มอยู่ แต่กลับไม่กระทบกับประสาทสัมผัสของเขาเลยแม้แต่น้อย
เขาปล่อยจิตสัมผัสกวาดออกไปเล็กน้อยแล้วก็พบว่าด้านในหน้าอกของชุดเกราะมีศิลาแวววาวสีขาวก้อนหนึ่งกำลังทอแสงจิตวิญญาณอยู่เรืองๆ เห็นชัดว่ามันเป็นแกนกลางของชุดเกราะนี้
บนส่วนอื่นของชุดเกราะมียันต์สีดำหน้าตาเหมือนลูกอ๊อดนับไม่ถ้วนกะพริบวูบวาบอยู่เรืองๆ แผ่ปราณธาตุดินหนาทึบออกมาเป็นระยะ
ดูจากภายนอกแล้วชุดเกราะจักรกลชุดนี้พลังป้องกันไม่เลวทีเดียว
หลิ่วหมิงมองภาพสัญลักษณ์หัวหมาป่าตรงหัวไหล่ซ้ายขวา หลังจากนั้นจึงโคจรพลังเวทในร่างไปยังหัวไหล่ทั้งสองข้าง ปราณสีดำสายหนึ่งวนล้อมภาพสัญลักษณ์หัวหมาป่ารอบหนึ่ง ทันใดนั้นสองตาบนหัวหมาป่าก็เปล่งแสงเจิดจ้า ตรงหัวไหล่ของชุดเกราะนูนขึ้นมาเป็นภาพนูนรูปหัวหมาป่าสีดำที่ดูราวกับมีชีวิตสองตัว
หลิ่วหมิงเพ่งสมาธิถ่ายเทพลังเวทในร่างเข้าไปในหัวหมาป่าทั้งสองหัวต่อ
หัวหมาป่าสีดำทั้งสองหัวอ้าปากกว้างพ่นลำแสงสีดำขลับสองสายออกมาจากสองฝั่งเหมือนฝาหอยพัด ปกป้องหลิ่วหมิงไว้ตรงกลาง
“ชุดเกราะจักรกลของนิกายเทียนกงน่าสนใจจริงๆ…”
หลิ่วหมิงทดลองอยู่ครู่หนึ่ง ลำแสงสีดำสามารถเคลื่อนพลังเวทบังคับให้เปลี่ยนรูปได้ จากสองสายกลายเป็นสี่สาย หรือจะแปลงเป็นรูปร่างต่างๆ เช่นโล่ คมดาบแสงก็ได้ เขาค่อนข้างพอใจทีเดียว
เวลานี้หลัวเทียนเฉิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็กำลังบังคับชุดเกราะจักรกลที่คลุมทั่วร่าง ทำความคุ้นเคยกับการใช้งานแบบต่างๆ อย่างค่อนข้างสนใจเช่นเดียวกัน
ตอนนี้พวกหลิ่วหมิงที่ดูจากด้านนอกเหมือนกับหุ่นสีดำสองตัวก็ลุกขึ้นขยับในค่ายกล เริ่มแรกการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างระมัดระวังเล็กน้อย แต่เมื่อพบว่าไม่ว่าตนจะเคลื่อนไหวอย่างไร ‘ภูเขาลูกน้อย’ ลูกนั้นที่อยู่ไกลออกไปก็ไม่มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด ทั้งสองคนจึงเริ่มกระโดดโลดเต้นอยู่ในค่ายกล
หลังจากเวลาผ่านไปค่อนครึ่งชั่วยาว จินเทียนชื่อกับเวินเจิงก็เหาะกลับมาจากไกลๆ ดูจากสีหน้าของทั้งสองคนแล้วเห็นชัดว่าไม่พบสิ่งผิดปกติประการใด
ส่วนหลิ่วหมิงหลังจากฝึกอยู่พักหนึ่งก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับชุดเกราะจักรกลแล้ว เวลานี้เห็นจินเทียนชื่อกลับมาจึงเอ่ยปากท่องมนตร์ สองมือทำท่าเคล็ดวิชา แสงสีดำบนร่างไหลวนพักหนึ่ง ชุดเกราะก็กลายเป็นกระบอกโลหะสีดำขลับกระบอกหนึ่งอีกครั้ง
ตอนนี้พวกเยี่ยโจ่งเจ็ดคนที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็หารือกันเสร็จกำลังเดินมาตรงนี้เช่นเดียวกัน
“ในเมื่อเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ถ้าเช่นนั้นงานก็ไม่ควรชักช้า ออกเดินทางกันเร็วหน่อยเถิด” จินเทียนชื่อยกแขนเสื้อเก็บค่ายกลกักพลังจิตวิญญาณ หลังจากบอกทุกคนว่าไม่พบสิ่งผิดปกติเขาก็เอ่ยขึ้นเสียงขรึม
พวกหลิ่วหมิงกับเยี่ยโจ่งย่อมไม่เห็นแย้ง ดังนั้นคณะเดินทางจึงเก็บซ่อนลมปราณทั่วร่าง ออกเดินทางจากตีนเขาอย่างระมัดระวัง เหาะเรี่ยพื้นมุ่งไปยังป่าต้นไม้ยักษ์เบื้องหน้า
เพื่อไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น หลังจากทั้งคณะเหาะมาได้ราวยี่สิบลี้ เยี่ยโจ่งจึงส่งสัญญาณให้เริ่มเดินเท้า เดินเป็นเวลากว่าครึ่งเค่อจึงมาถึงสองสามลี้ใกล้ๆ ‘ภูเขาดินน้อย’ ที่เห็นก่อนหน้านี้แล้วหยุดอย่างเงียบเชียบ
ตอนที่อยู่ห่างไปร้อยลี้ยังไม่รู้สึกอันใดกับขนาดร่างกายของอสูรตัวนี้นัก แต่เมื่อเข้ามาใกล้ ความมหึมาของอสูรยักษ์ป่าเถื่อนตัวนี้ก็ทำให้ศิษย์หัวกะทิกลุ่มหนึ่งจากนิกายยอดบริสุทธิ์กับนิกายเทียนกงสูดลมหายใจดังเฮือกอย่างห้ามตนเองไม่ได้
แม้แต่จินเทียนชื่อที่เห็นโลกมามากก็ยังตะลึงไปเล็กน้อย
มองจากระยะใกล้เช่นนี้ อสูรยักษ์ตัวนี้เหมือนเทือกเขาขนาดย่อมลูกหนึ่ง ร่างกายใหญ่โตมโหฬารพาดทับป่าฝั่งนี้ทั้งแถบ รอบร่างมีฝุ่นดินสีน้ำตาลหม่นกระจายอยู่ทั่ว เมื่อนอนนิ่งแลดูสูงตระหง่านปานยอดเขา ไอหมอกสีเทาชั้นแล้วชั้นเล่าลอยวนเวียนอยู่รอบด้าน
หากไม่มีคนบอกล่วงหน้า คนทั่วไปเดินผ่านด้านข้างก็คงแยกไม่ออกอย่างสิ้นเชิง
“เริ่มเถอะ!”
หลังจากจินเทียนชื่อรั้งสายตากลับมาก็พยักหน้าให้เยี่ยโจ่งที่อยู่ด้านข้างแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา
เยี่ยโจ่งได้ยิน ริมฝีปากก็ขยับเล็กน้อยสั่งบางสิ่งกับศิษย์นิกายเทียนกงหลายคนด้านหลังเสียงเบา
หลังจากนั้นศิษย์ห้าคนในนั้นก็ทยอยเหาะเร็วรี่ออกมา แยกย้ายกันไปอยู่รอบด้านของภูเขาดินอย่างเงียบเชียบ ตำแหน่งที่ยืนก่อตัวเป็นรูปดาวห้าแฉกอยู่เลือนราง
ส่วนเยี่ยโจ่งร่างกายพุ่งวูบเดียวไปปรากฏตัวอยู่เหนือยอดเขาของภูเขาดิน เขาพลิกมือข้างหนึ่งเรียกแผ่นค่ายกลห้าสีแผ่นหนึ่งออกมา นิ้วลากบนแผ่นค่ายกลอย่างต่อเนื่องเร็วดุจสายฟ้าแลบ
ศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนก็สะบัดแขนเคลื่อนไหวอย่างชำนาญ เห็นชัดว่าก่อนหน้านี้ฝึกทำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ธงค่ายกลหลากสีผืนแล้วผืนเล่าปักเป็นระเบียบบนพื้นดินรอบด้าน วางค่ายกลรูปวงกลมขนาดหลายจั้งห้าค่ายกลอย่างรวดเร็ว
พวกจินเทียนชื่อกับหลิ่วหมิงมือไพล่หลังยืนดูภาพตรงหน้าอย่างนิ่งสงบ แต่ในเวลาเดียวกันก็สังเกตความเคลื่อนไหวของ ‘ภูเขาดิน’ อยู่ตลอดเวลา
ดูจากสีสันของธงค่ายกล ค่ายกลทั้งห้ามีสีแดง เหลือง ฟ้า เขียว ทองทั้งหมดห้าสี พวกมันต่างสลักยันต์รูปแบบต่างๆ เอาไว้ เป็นตัวแทนของห้าธาตุคือทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน
ใจกลางค่ายกลมีลูกแก้วกลมขนาดเท่าฝ่ามือหลากสีสันทั้งหมดห้าลูกวางไว้สอดรับกัน คิดว่าคงจะเป็นหุ่นห้าธาตุห้าตัวนั้น
ทันใดนั้นเยี่ยโจ่งที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าก็ทำหน้าเคร่งขรึม ริมฝีปากขยับเล็กน้อย
ศิษย์ทั้งห้าคนกระตุ้นพลังเวทพร้อมกันโดยไม่ต้องนัด ยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าไปยังธงค่ายกลรอบด้าน
พร้อมกับที่เคล็ดวิชาจมเข้าไป ธงค่ายกลนานาสีสันก็เปล่งแสงรัศมีเจิดจ้าแล้วขยับน้อยๆ ก้อนแสงขนาดเท่าฝ่ามือดวงแล้วดวงเล่าปรากฏขึ้นตรงกลาง
ดวงแสงเหล่านี้สีสันเหมือนกับค่ายกลไม่มีผิด ทั้งยังยิ่งรวมตัวกันมากขึ้นทุกที พริบตาเดียวในค่ายกลก็มีดวงแสงมากมายนับร้อยดวง
เวลานี้สีหน้าของคนทั้งห้าเริ่มเคร่งเครียดอยู่บ้าง แต่เคล็ดวิชาที่มือยังคงเป็นลำดับไม่สับสนแม้แต่น้อย
ครู่ต่อมาเคล็ดวิชาในมือของพวกเขาก็หยุดลงพร้อมกัน ดวงแสงเหล่านั้นในค่ายกลผนึกรวมกันกลางท้องฟ้ากลายเป็นแสงแวววาวห้าสีดวงแล้วดวงเล่าพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา
หลังจากแสงแวววาวห้าสีระเบิดบนท้องฟ้าเหนือค่ายกล พวกมันก็กลายเป็นเส้นไหมแวววาวเล็กละเอียดนับไม่ถ้วนโปรยปรายลงมาแทรกเข้าไปในลูกแก้วกลมตรงใจกลางค่ายกลด้านล่าง
ทันใดนั้นพลันเกิดแสงสว่างเจิดจ้า
ลูกแก้วกลมหลากสีสันทั้งห้าลูกทยอยลอยขึ้นมา หลังจากหมุนติ้วรอบหนึ่งก็เปลี่ยนรูปร่างขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกับที่สายลมโบกพัด เพียงครู่เดียวหุ่นนักรบมนุษย์สวมเกราะร่างยักษ์สูงหลายสิบจั้งห้าตัวก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทุกคน
บนร่างหุ่นนักรบมีลำแสงหนาห้าเส้นสีแดง เหลือง ฟ้า เขียว ทองพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า แรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งสายหนึ่งแผ่ไปทั่ว
“ศิษย์น้องทุกคนประจำตำแหน่ง!” จินเทียนชื่อเห็นสถานการณ์ก็รีบเอ่ยกับพวกหลิ่วหมิงเสียงเบา
พวกหลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึมทันทีจากนั้นก็แยกย้ายกันไป
เปรี้ยง!
ในเวลานี้เอง ‘ภูเขาดิน’ ที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลางก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ผิวหน้าเริ่มเกิดรอยปริร้าว หลังจากนั้นเศษหินกับเศษดินสีน้ำตาลหม่นก้อนแล้วก้อนเล่าก็ทยอยร่วงหล่นลงมา
สองฝั่งของภูเขาน้อยมีเสียงดินโคลนแห้งร่วงกราวลงบนก้อนหินสีเทาปนน้ำตาลสองก้อน ดวงตาใหญ่ยักษ์ขนาดเท่าบ้านคู่หนึ่งลืมขึ้นมา พร้อมกันนั้น ‘ภูเขาน้อย’ ทั้งลูกก็ลุกขึ้นยืน
“โฮก!”
เสียงคำรามดังสะเทือนแก้วหูแทบดับ ภูเขาดินทั้งลูกพริบตาพังทลายเป็นชิ้นๆ อสูรยักษ์ขนาดมโหฬารตัวหนึ่งค่อยๆ ปรากฏร่างให้เห็นชัด
อสูรตัวนี้ทั้งร่างสีเทาปนน้ำตาลรูปร่างคล้ายเม่นยักษ์ตัวหนึ่ง มันสูงถึงเกือบสองสามร้อยจั้งและยาวหกถึงเจ็ดร้อยจั้ง
บนหลังของมันมีกระดูกแหลมประหนึ่งเสาศิลาหลายสิบแท่ง ศีรษะมโหฬารยาวจนเหมือนมังกรเล็กน้อย เหนือศีรษะมีเขาเดี่ยวสีดำสนิทยาวสิบกว่าจั้งเขาหนึ่ง หลังร่างมีหางยาวสีเทาหนึ่งเส้นที่ส่วนปลายเป็นรูปสามเหลี่ยม สี่ขาสั้นหนาแลดูเหมือนภูเขาขนาดเล็กสี่ลูก หนึ่งเท้าเหยียบลงไปต้นไม้บริเวณหลายสิบจั้งต่างหักโค่นกลายเป็นเศษไม้
ในตอนนี้เองเสียงแหวกอากาศก็ดังรอบอสูรตัวนี้ เงาคนพุ่งโฉบมาตามต่อกัน
จินเทียนชื่อ เหวินเจิงกับศิษย์นิกายเทียนกงอีกคนหนึ่งยืนอยู่กลางท้องฟ้า ทั้งสามคนล้อมอสูรตัวนี้ไว้ตรงกลาง ปกป้องพวกเยี่ยโจ่งทั้งหกคนอยู่รางๆ
หลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงเหาะขึ้นฟ้าพร้อมกัน พวกเขาลอยอยู่กลางอากาศ จดจ่อสมาธิทั้งหมดรอคอยจังหวะ
ทว่าต่อให้หลิ่วหมิงเห็นโลกมามาก เมื่อเห็นขนาดมโหฬารของอสูรยักษ์ป่าเถื่อนตรงหน้าหลังลุกขึ้นยืน ในใจก็ตกตะลึงจริงๆ
อสูรยักษ์ตัวใหญ่โตเช่นนี้ นับได้ว่าเป็นปีศาจอสูรที่รูปร่างมโหฬารที่สุดที่เขาเคยพบมานับตั้งแต่เหยียบเข้าสู่โลกแห่งการฝึกฝน
เมื่อหลิ่วหมิงมองอสูรยักษ์ตรงหน้า ในใจพลันวอกแวก ภาพที่อยู่ลึกลงไปในความทรงจำโผล่ออกมากะทันหัน
ยามนั้นเขายังเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีคนหนึ่ง นาทีสุดท้ายขณะหนีออกจากเกาะมฤตยู เขาเคยพบอสูรยักษ์ตัวใหญ่ค้ำฟ้าตัวหนึ่ง รูปร่างคล้ายกับตัวตรงหน้านี้เพียงแต่เล็กกว่าหน่อยเท่านั้น
ทว่าด้วยร่างกายมนุษย์ธรรมดาของเขาในตอนนั้น เขาย่อมตกใจขวัญกระเจิง อีกทั้งเพื่อหนีเอาชีวิตรอดเขาจึงเพียงเหล่มองไวๆ ครั้งเดียวเท่านั้น
“โฮก!”
ดวงตาที่สะลึมสะลืออยู่บ้างของอสูรยักษ์ค่อยๆ กระจ่างใส หลังจากเห็นสถานการณ์รอบกายชัดเจน ดวงตาใหญ่ยักษ์พลันมีเพลิงโทสะลุกโชนแล้วแหงนหน้าคำรามเกรี้ยวกราดสนั่นฟ้า
เกล็ดมหึมาสีเทาดำรอบร่างของมันฉับพลันเปล่งคลื่นแสงวงแล้ววงเล่า สายลมก่อเกิดใต้เท้าทั้งสี่ ร่างกายกลายเป็นเงาสีเทาก้อนหนึ่งพุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้า
เยี่ยโจ่งที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของอสูรยักษ์เห็นภาพนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขาโยนแผ่นค่ายกลห้าสีแผ่นนั้นในมือออกไปกลางท้องฟ้าเบาๆ เคล็ดวิชาที่สองมือเปลี่ยนแปรดุจกงล้อยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าเข้าใส่มัน
แผ่นค่ายกลห้าสีที่เดิมใหญ่เพียงสองถึงสามชุ่นพริบตาก็มีขนาดหลายจั้งแล้วหมุนติ้วรวดเร็วกลางอากาศ
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
แผ่นค่ายกลส่องแสงวูบหนึ่งก่อนจะไปปรากฏเหนือศีรษะของอสูรยักษ์ จากนั้นหมุนอย่างรุนแรงปล่อยแสงรัศมีหมื่นสายออกมาดุจดวงตะวันเจิดจ้าห้าสีดวงหนึ่ง
ในเวลาเดียวกันศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนที่ซุ่มอยู่ด้านข้างค่ายกลก็มีธงผืนน้อยห้าสีผืนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของพวกเขาแต่ละคน พร้อมกับที่เสียงคำสาปแผ่วเบาดังออกมาจากปาก ธงค่ายกลก็สะบัด แสงเรืองรองห้าสีทะลักออกมาทยอยจมเข้าไปในหุ่นร่างยักษ์เบื้องหน้า
ลำแสงเส้นหนาห้าเส้นที่พุ่งขึ้นท้องฟ้าจากหุ่นนักรบร่างยักษ์ห้าตัวส่องสว่างวูบหนึ่งก่อนจะหายไป พริบตาเดียวพวกมันก็เชื่อมต่อกันเป็นผืนกลายเป็นเกราะแสงห้าสีรูปครึ่งวงกลมเหมือนชามคว่ำ ล้อมอสูรยักษ์กับพวกหลิ่วหมิงไว้ด้านในด้วยกัน พร้อมกันนั้นผิวรอบนอกก็ปล่อยวงแหวนแสงแสบตาชั้นแล้วชั้นเล่าออกมา
ตอนที่ 941 ค่ายกลหุ่นเทพห้าธาตุ
เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินครั้งหนึ่ง
สี่เท้าของอสูรยักษ์ที่รูปร่างเหมือนเต่ากระทืบลงบนเกราะแสงห้าสีในพริบตา กำแพงเกราะทั้งหมดสั่นไหวอย่างรุนแรงในทันที แสงรัศมีห้าสีที่เกี่ยวกระหวัดกันกะพริบวูบวาบท่าทางคลอนแคลนเหมือนจะถล่ม
ร่างกายมโหฬารของอสูรยักษ์ถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งกระแทกกลับไปทันที ร่างกายมหึมาลากไปบนพื้นเกิดเป็นร่องลึกเส้นหนึ่ง
หลังจากอสูรยักษ์ตั้งหลักได้ มันก็สะบัดศีรษะมหึมาสองครั้งเหมือนมึนงงอยู่บ้างเพราะถูกกระแทก
พริบตาที่อสูรยักษ์พุ่งชน ร่างกายของศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนรอบด้านก็สั่นสะท้านเล็กน้อยเช่นเดียวกัน พวกเขารีบสะบัดธงค่ายกลในมือ ยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าจมลงไปในค่ายกลใต้เท้าอีกครั้ง เกราะแสงห้าสีจึงมั่นคงขึ้นบ้าง
“อาศัยจังหวะตอนนี้แหละ!” เยี่ยโจ่งที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าตะโกนเสียงดัง ปากท่องเคล็ดวิชาหลายประโยคแล้วอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งลงบนแผ่นค่ายกลห้าสีที่กำลังหมุนวนอย่างเร็วไวอยู่
แผ่นค่ายกลห้าสีฉับพลันระเบิดแสงรัศมีแล้วส่งเสียงสั่นสะเทือนดังอื้ออึงออกมาพักหนึ่ง คลื่นปราณจิตวิญญาณรุนแรงรวมตัวจากสี่ด้านแปดทิศก่อตัวเป็นพายุหมุนพลังจิตวิญญาณขนาดมหึมาลูกหนึ่ง ชักนำให้ท้องนภาทั้งผืนสั่นไหวอย่างรุนแรง แม้หลิ่วหมิงจะยืนอยู่ไกลออกไปก็ยังสัมผัสได้ว่าอากาศเบื้องหน้าสั่นไหว
ศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนที่อยู่รอบด้านยกมือขึ้นทันที ธงค่ายกลในมือมีแสงจิตวิญญาณเส้นหนาเส้นหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
ม่านแสงห้าสีเปล่งแสงรัศมีเจิดจ้า ยันต์บนม่านแสงเริ่มกะพริบวูบวาบรัวเร็ว
เสียง “ปัง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
ม่านแสงห้าสีรูปครึ่งวงกลมทั้งหมดก็พังทลายกลายเป็นประกายแสงแวววาว ทว่าครู่ต่อมาประกายแสงทั้งหมดกลับผนึกตัวรวมกันกลายเป็นแถบแสงห้าสีแถบแล้วแถบเล่าพาดสลับถักทอกันเหมือนตาข่ายยักษ์พันธนาการร่างกายของอสูรยักษ์ไว้อย่างแน่นหนา
อสูรยักษ์เพิ่งตระหนักได้ว่าสถานการณ์ท่าจะไม่ดีแล้ว กระดูกแหลมที่เหมือนเสาศิลาหลายสิบแท่งบนแผ่นหลังมีไอหมอกสีเทาแถบใหญ่ผุดออกมาในทันใด ร่างกายมโหฬารดิ้นรนอย่างรุนแรงจนพื้นดินใกล้ๆ สั่นสะเทือนรุนแรงดังครืดคราด
แม้แถบแสงที่เกิดจากชั้นจำกัดจะเป็นเส้นเรียวเล็กอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับขนาดร่างของอสูรยักษ์ แต่มันทนทานเหนือกว่าที่ผู้คนคาดคิด ไม่ว่าอสูรยักษ์จะขยับดิ้นรนอย่างไร มันก็ยังพันธนาการอสูรไว้กับที่อย่างแน่นหนา
ในเวลาเดียวกันหุ่นธาตุห้าตัวในค่ายกลที่เดิมทีสูงไม่กี่สิบจั้งก็มียันต์ที่เป็นสัญลักษณ์ของห้าธาตุก่อตัวขึ้นกลางหน้าอก จากนั้นร่างกายก็เริ่มขยายขนาดขึ้นทีละนิดอีกครั้ง พร้อมกับที่เยี่ยโจ่งและศิษย์นิกายเทียนกงอีกห้าคนขยับอย่างต่อเนื่อง
สองสามลมหายใจหลังจากนั้น หุ่นทั้งห้าตัวก็ขยายใหญ่จนสูงร้อยจั้ง รอบร่างส่องแสงเจิดจ้าสีแดง เหลือง ฟ้า เขียว ทองห้าสีไม่หยุด
ครู่ต่อมาศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนก็ทำท่าเคล็ดวิชาอย่างพร้อมเพรียงแล้วยิงยันต์ตัวหนึ่งลงบนร่างหุ่นยักษ์
หุ่นขนาดยักษ์สีฟ้าตัวที่อยู่ใกล้หลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงที่สุดร้องคำราม ยันต์รูปร่างเหมือนหยดน้ำตรงหน้าอกกะพริบวูบวาบไม่กี่ครั้ง เสาแสงสีฟ้าหนาเท่าถังน้ำสี่เส้นก็พุ่งออกมาตามต่อกัน พุ่งเข้าใส่หุ่นสี่ตัวที่เหลืออย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันหุ่นตัวอื่นก็เคลื่อนไหวแบบเดียวกัน ลำแสงต่างสีสันพุ่งออกมาจากตัวพวกมันด้วย
ชั่วพริบตาค่ายกลแสงรูปดาวห้าแฉกที่ตัดกันไปมาค่ายกลหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งนัก มันส่องสว่างขึ้นอีกครั้งแล้วพาแสงจิตวิญญาณห้าสีร่วงลงมาขังอสูรยักษ์รูปร่างเหมือนเต่าไว้ด้านในทั้งตัว
ม่านแสงห้าสีกับค่ายกลแสงห้าแฉกแสดงพลังของชั้นจำกัดสองชั้นออกมาพร้อมกัน กำราบอสูรยักษ์ให้มันฟุบหมอบลงไปกับพื้นได้ทันที
สองตามหึมาของอสูรยักษ์ฉายแววตระหนกลนลานออกมาเล็กน้อย มันอ้าปากพ่นกระแสลมสีดำเหลือบม่วงมากมายเข้าใส่หุ่นสีแดงที่อยู่ตรงกันข้ามมันทันที พลังดุดันจนทำให้คนที่ล้อมอยู่หวาดหวั่นอยู่ในใจ!
แม้อสูรยักษ์ตัวนี้จะสติปัญญาต่ำเตี้ยมากขนาดไหน เวลานี้มันก็เข้าใจว่าหุ่นห้าตัวนี้รอบร่างคือกุญแจสำคัญของค่ายกลนี้ ขอเพียงทำลายได้สักตัว ตนย่อมเป็นอิสระ
พวกเยี่ยโจ่งย่อมไม่มีทางให้มันได้สมหวัง พวกเขาตวาดเบาๆ อย่างพร้อมเพรียงอีกหนและตั้งท่าเคล็ดวิชาในเวลาเดียวกันอีกครั้ง!
ขณะที่กระแสลมสีดำเหลือบม่วงอยู่ห่างจากหุ่นนักรบสิบกว่าจั้ง ใต้เท้ามันก็พลันมีแสงเรืองรองห้าสีแถบใหญ่พุ่งออกมาโถมเข้าใส่กระแสลมสีดำ
กระแสลมสีดำเหลืองม่วงส่วนหนึ่งถูกแสงเรืองรองห้าสีพุ่งชนจนทยอยพังทลายหายไป แต่ก็มีส่วนหนึ่งสะท้อนย้อนกลับมา
เสียงเปรี๊ยะดังอลหม่านขึ้นพักหนึ่ง!
กระแสลมสีดำเหลือบม่วงเหล่านี้ทยอยฟาดลงบนส่วนหัว ลำตัวและขาทั้งสี่ข้างของอสูรยักษ์จนร่างของมันสั่นสะท้าน แม้ไม่ทิ้งร่องรอยไว้บนผิว แต่มันก็เจ็บปวดจนไม่กล้าพ่นลมหายใจออกมาอีก
“ค่ายกลหุ่นเทพห้าธาตุไม่ธรรมดาจริงๆ! ตอนนี้ถึงตาพวกเราลงมือแล้ว ศิษย์น้องหยวน ศิษย์น้องเวินพวกเจ้าสองคนรับผิดชอบโจมตีสองฝั่งของหัวอสูรตัวนี้อย่างเต็มกำลัง ข้าจะรับผิดชอบโจมตีด้านหน้า ศิษย์น้องหลิ่ว ศิษย์น้องหลัว พวกเจ้าสองคนอยู่ด้านข้างรอจังหวะลงมือ หากอสูรยักษ์ตัวนี้เจ็บปวดจนอ้าปากก็พุ่งเข้าไปได้ทันที” จินเทียนชื่อเห็นเช่นนี้ก็หันมาสั่งทุกคน
ศิษย์น้องหยวนที่เขาเรียกก็คือศิษย์ชายคนนั้นที่เหลือของนิกายเทียนกง รูปร่างของเขาดูแล้วเตี้ยอยู่บ้าง แต่ร่างกายกำยำยิ่งนัก หลังจากได้ยินคำพูดของจินเทียนชื่อ เขากับเวินเจิงก็ขยับวูบเดียวแยกกันไปปรากฏตัวสองฝั่งของหัวอสูรยักษ์ จินเทียนชื่อก็ขยับร่างมาประจันหน้ากับหัวของอสูรตัวนี้เช่นเดียวกัน
อีกด้านหนึ่งหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงต่างกลายเป็นเงาสีดำสองร่าง พวกเขาโฉบวูบไม่กี่ครั้งก็ปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลด้านหลังจินเทียนชื่อแล้วรออย่างนิ่งสงบ
จะว่าไปแล้วหัวของอสูรตัวนี้ก็ใหญ่ถึงหนึ่งหมู่กว่า เมื่อเทียบกันแล้วร่างกายของพวกจินเทียนชื่อก็ไม่ต่างจากมด แตกต่างกันอย่างยิ่งจริงๆ
อสูรยักษ์เห็นผู้คนเหาะเข้ามาใกล้ ดวงตาก็ฉายแววบ้าคลั่ง ร่างกายส่ายไปมา ดิ้นรนลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า พลางส่งเสียงคำรามดังสนั่นฟ้าขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกันแถบแสงห้าสีรอบตัวก็รัดแน่นขึ้นอีกหน่อย
เยี่ยโจ่งรวมถึงศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนที่ควบคุมค่ายกลอยู่เวลานี้เหงื่อท่วมศีรษะ เม็ดเหงื่อใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองไหลร่วงลงมาไม่หยุด เห็นชัดว่าการควบคุมค่ายกลกักขังห้าธาตุนี้ไม่ใช่เรื่องสบายอย่างใด แต่ผลาญพลังเวทรวมถึงพลังจิตมากอย่างที่สุด
หลังจากชายหนุ่มแซ่หยวนจากนิกายเทียนกงตั้งหลักได้ เขาก็ไม่พูดพร่ำยกสองแขนขึ้นมา แสงแวววาวสองสายพุ่งจากแขนเสื้อของเขาเข้าใส่ซีกซ้ายของหัวอสูรยักษ์ในทันใด
ท่ามกลางแสงแวววาวคือกระบี่บินจักรกลที่มีลวดลายค่ายกลสามสิบกว่าตัวเวียนวนอยู่สองเล่ม เล่มหนึ่งทอแสงสีแดงระยิบระยิบ อีกเล่มหนึ่งมีปราณสีฟ้าลอยวน
“สะบั้น”
ชายหนุ่มแซ่หยวนขยับนิ้วรวดเร็ว กระบี่บินสองเล่มบินวนรอบหนึ่งจากนั้นเสียงกลไกก็ดังขึ้นก่อนที่มันจะผสานร่างเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นคมดาบประหลาดสองสี สีแดงกับสีฟ้าเล่มหนึ่งในพริบตา มันขยับวูบเดียวพุ่งแหวกอากาศไกลสิบกว่าจั้งส่งเสียงดังหวีดหวิวซัดเข้าใส่ซีกซ้ายของส่วนหัวอสูรยักษ์!
เสียง “ฟึบ” แผ่วเบาดังลอยมา!
คมดาบยักษ์สะบั้นเกล็ดบนส่วนหัวของอสูรยักษ์แต่ไม่อาจฟันมันขาดได้แม้แต่น้อย มันดีดกระเด็นกลับมาพร้อมเสียงแผ่วเบา
ภาพที่น่าตะลึงเช่นนี้ไม่เพียงทำให้ชายหนุ่มแซ่หยวนตกใจสะดุ้งโหยง แต่พวกจินเทียนชื่อกับหลิ่วหมิงก็สีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน
หนึ่งการโจมตีนี้ นอกจากทำให้หัวอสูรยักษ์สั่นไหวเล็กน้อยก็ไม่เกิดผลอื่นใดอีก
เวินเจิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งเห็นสถานการณ์ก็ยิ้มเย็นชา พร้อมกันนั้นแขนข้างหนึ่งก็ชูขึ้นฟ้า ปากพร่ำคำสาปงึมงำจำนวนหนึ่งออกมา สองมือยิงเคล็ดวิชาหลายสายออกมาต่อเนื่อง ลูกบอลแสงสีเทาดำดวงแล้วดวงเล่าก่อตัวขึ้นก่อนจะทยอยกลายเป็นอีกาสีเทาอ่อนตัวแล้วตัวเล่ามากมายถึงสี่สิบแปดตัว!
อีกาสีเทาอ่อนทั้งหมดกระพือปีกสองข้างบินวนเหนือศีรษะของเวินเจิง จากนั้นรวมตัวกันกลายเป็นอีกาสีเทาอ่อนขนาดยักษ์ที่ประหนึ่งมีชีวิตตัวหนึ่งทันที
“ไป!”
เวินเจิงชี้นิ้วใส่ซีกขวาของหัวอสูรยักษ์ อีกาพิบัติขนาดยักษ์กระพือปีกทั้งสองข้างกลายเป็นแสงสีเทาอ่อนสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วเข้าใส่
“กา!”
ขณะที่อีกาพิบัติอยู่ห่างจากรูหูขวาของอสูรยักษ์ไม่ถึงสิบกว่าจั้งนั่นเอง เสียงอีกากรีดร้องแหลมสูงเขย่าขวัญก็ดังออกมา
เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
อสูรยักษ์คล้ายจะถูกเสียงของคำสาปนี้สะกดไว้ หัวมหึมาส่ายไหวไม่กี่ครั้ง สองขาหลังก็พลันทรุดลงไปนั่งทำให้พื้นดินด้านล่างสั่นสะเทือนรุนแรง ทรายและหินปลิวกระจาย
อีกาพิบัติตัวนี้เหมือนจะใช้พลังทั้งหมดไปกับเสียงคำสาป มันจึงพังทลายกลายเป็นไอหมอกสีเทาอ่อนสายแล้วสายเล่ากระจายออกไป
การโจมตีของเวินเจิงกับชายหนุ่มแซ่หยวนกินเวลาทั้งหมดเพียงเจ็ดถึงแปดลมหายใจ จินเทียนชื่อกลับไม่ได้ขยับตัวเคลื่อนไหวใดๆ เขาเพียงมองอสูรยักษ์ไม่ละสายตาคล้ายกำลังรอโอกาสอันใดอยู่
ชายหนุ่มแซ่หยวนเหล่มองเวินเจิงครั้งหนึ่ง ในดวงตามีแววตาไม่พอใจปรากฏแวบหนึ่งก่อนจะหายไป จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ตบถุงเก็บของข้างเอว ไอหมอกสีดำหลายสิบลูกพุ่งออกมากลายเป็นหุ่นกระดูกตัวแล้วตัวเล่าลอยเรียงรายอยู่หน้าร่างเขา
หุ่นกระดูกเหล่านี้แต่ละตัวสูงเกือบสิบจั้ง โครงกระดูกสีขาวทั่วร่างทอแสงจิตวิญญาณจางๆ ในมือแต่ละข้างถือขวานยักษ์ยาวเจ็ดแปดจั้งเล่มหนึ่งชูขึ้นฟ้า
ชายหนุ่มแซ่หยวนท่องมนตร์เป็นลำดับ สิบนิ้วที่มือทั้งสองข้างดีดรัว แสงสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาแล้วทยอยจมลงไปยังผลึกกลางหน้าอกของหุ่นกระดูก
กลางหน้าอกของหุ่นกระดูกทั้งหลายส่องแสงเจิดจ้า สองมือกำขวานยักษ์เงื้อไปหลังหัวแล้วฟันลงมาสุดแรง
เสียงแหวกอากาศดังสนั่นขึ้นทันที ประกายแสงสีขาวยาวเจ็ดถึงแปดจั้งสายแล้วสายเล่าพุ่งเสียงดังหวีดหวิวออกมาจากบนคมขวาน
จากนั้นเสียงเปรี้ยงปร้างราวกับสายฝนกระทบใบตองก็ดังออกมา!
แสงขวานพุ่งโจมตีอสูรยักษ์ไม่หยุดแต่มันก็ยังไม่มีวี่แววบาดเจ็บแม้แต่น้อย มันเพียงเอนไปทางขวาเล็กน้อยแล้วสะบัดหัวไม่กี่ครั้งเท่านั้น
เวินเจิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ยอมแพ้แม้แต่นิด ปากท่องคำสาปงึมงำไม่หยุดพร้อมกับที่สองแขนกางออก สร้างอีกาพิบัติสีเทาอ่อนตัวแล้วตัวเล่าพุ่งมืดฟ้ามัวดินเข้าใส่รูหูขวาของอสูรยักษ์ซ้ำไปมาพร้อมกับเสียงร้องต้องสาปที่ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าการโจมตีของชายหนุ่มแซ่หยวนจะดุดันเช่นไรหรือคำสาปของเวินเจิงจะแข็งแกร่งเช่นไรก็ทำร้ายอสูรยักษ์หนังหยาบเนื้อหนาตัวนี้ให้บาดเจ็บจริงๆ ไม่ได้
อสูรยักษ์ถูกโจมตีไม่หยุดเช่นนี้ก็ส่งเสียงฟึดฟัดออกมาจากจมูกต่อเนื่อง ขาคู่หน้าของมันตะกุยดินสีเหลืองบนพื้นดินขึ้นมาไม่หยุด กระดูกแหลมบนแผ่นหลังมีไอหมอกสีเทารวมตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นร่างกายของมันก็สั่นอย่างรุนแรง ไอหมอกสีดำหนาทึบบนแผ่นหลังหมุนเร็วไวพักหนึ่งก็กลายเป็นคมดาบปราณสีดำมากมาย แผ่ขยายไปสี่ด้านแปดทิศอย่างบ้าคลั่ง
เสียง “ปัง” “ปัง” ดังขึ้นต่อเนื่องหลายครั้ง!
ครั้งนี้แถบแสงห้าสีที่พันธนาการรอบตัวมันถูกคมดาบปราณสีดำตัดจนทยอยพังทลาย
เยี่ยโจ่งรวมถึงศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนเห็นสถานการณ์ก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง
แต่เวลานี้เองอสูรยักษ์ก็คำรามลั่นแล้วก้มหน้าลง ขาหน้าตะกุยพื้นดินอย่างแรง ส่วนขาหลังกระทืบทีหนึ่ง ใช้เขาเดี่ยวบนหัวพุ่งชนค่ายกลแสงด้านบน
เสียงเปรี้ยงดังสนั่น!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น