ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 936-937
ตอนที่ 936 สารของนิกายเทียนกง
“ดูท่าศิษย์น้องจะลืมอีกแล้ว จินเลี่ยหยางก็คือจินเลี่ยหยาง จินเทียนชื่อก็คือจินเทียนชื่อ! สองคนหาใช่คนเดียวกันไม่ เขาในยามนั้นหากไม่ใช่เพราะเตรียมกายเนื้อร่างหนึ่งไว้ล่วงหน้าแล้วให้วิญญาณเสี้ยวหนึ่งหนีกลับมายังนิกายก่อนสิ้นลมจากนั้นหลอมวิญญาณฟื้นคืนชีพ จะมีข้าในตอนนี้ได้อย่างไร หากไม่ใช่เพื่อการเดินทางมายังเศษซากแห่งโลกบนครั้งนี้กับการซ่อมแซมลูกกลอนกระบี่เม็ดนั้นที่ถูกทำลายไปในอดีต ข้าก็ไม่จำเป็นต้องกดพลังไว้ คงเลื่อนระดับเป็นระดับดาราพยากรณ์นานแล้ว แต่ถ้าก่อนหน้านี้ตอนพบกับมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์คนนั้น ข้าเลิกกดระดับพลังแล้วทุ่มเต็มกำลังใช้วิชาหลายวิชานั้นเข้าจริง ต่อให้โจมตีมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์คนนั้นถอยไปได้ แต่ตนเองก็คงเลื่อนระดับเป็นระดับดาราพยากรณ์ทันที ไม่อาจอยู่ในเศษซากของโลกบนต่อได้ ไม่ถึงที่สุดข้าไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นเด็ดขาด” จินเทียนชื่อเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบ
“นี่ก็ใช่ แต่หากเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่จินก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้าสำแดงพลังออกมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน” แรกสุดฉิวหลงจื่อพยักหน้าแต่จากนั้นก็เอ่ยออกมาอย่างกลัดกลุ้มเล็กน้อยอีกครั้ง
“แม้ข้าไม่อาจลงมือเต็มกำลังได้ แต่ก็ยังมีเจ้ากับศิษย์น้องหลิ่วไหม! ศิษย์น้องหลิ่วหลอมลูกกลอนกระบี่สำเร็จแล้วย่อมเพียงพอต่อกรกับศัตรูที่แข็งแกร่งคนใดก็ตามใต้ระดับดาราพยากรณ์ ส่วนตัวเจ้า ฮ่าๆ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าวิชากระบี่ที่เจ้าเผยออกมาเวลานี้ไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริงของเจ้าสักนิด แม้เจ้าจะหลอมลูกกลอนกระบี่ไม่สำเร็จมาตลอด แต่ตอนนี้เจ้าก็คงบรรลุวิชาลับจากศาสตร์กระบี่สมัยบรรพกาลวิชานั้นที่เจ้าเปลี่ยนไปฝึกบ้างแล้วกระมัง” ทันใดนั้นจินเทียนชื่อก็หรี่สองตาพลางเอ่ยขึ้น
“คิดไม่ถึงว่ากระทั่งเรื่องนี้ศิษย์พี่จินก็รู้ ไม่ผิด ข้าติดอยู่ระดับแก่นแท้มานานปีเช่นนี้ย่อมปรารถนาจะก้าวหน้า ในเมื่อหลอมลูกกลอนกระบี่ไม่สำเร็จก็มีแต่ต้องค้นหาวิธีอื่น ทว่าแม้ข้าจะหาวิชาลับของศาสตร์กระบี่สมัยบรรพกาลวิชานี้มาได้อย่างยากลำบาก แต่มันก็ขาดหายไปไม่น้อย ทั้งยังมีลักษณะบางประการคล้ายผู้ฝึกร่าง คือยามปกติจำต้องผนึกไว้ในกายเนื้อของตน มีเพียงยามเผชิญหน้าศัตรูที่อันตรายจึงจะปลดผนึกกายเนื้อใช้วิชานี้ได้ เพราะเพิ่งบรรลุได้บางส่วน ข้าจึงคงสภาพยามปลดผนึกไว้ได้ไม่นานนัก อีกทั้งเมื่อใช้วิชานี้แล้วก็ยังมีผลร้ายที่ติดตามมาอีกไม่น้อย ดังนั้นไม่ถึงเวลาที่จำเป็น ข้าก็ไม่กล้าใช้วิชานี้เช่นเดียวกัน” ตอนแรกฉิวหลงจื่อตกตะลึงแต่จากนั้นก็หัวเราะจืดเจื่อนตอบกลับมา
จินเทียนชื่อฟังแล้วก็นิ่งงันไร้วาจาโต้ตอบอยู่บ้าง
……
ครึ่งวันหลังจากนั้นหลิ่วหมิงค้นหาตามการชี้ทางของแผ่นค่ายกล ในที่สุดก็หาบริเวณที่มีสายแร่ซึ่งจินเทียนชื่อบอกพบ ทว่าการสำรวจและขุดเก็บสายแร่ล้ำค่าเช่นนี้ไม่ใช่งานที่จะทำเสร็จได้ในวันสองวัน
เขาขุดถ้ำชั่วคราวหยาบๆ แห่งหนึ่งแถวนั้น จากนั้นยกมือขึ้นส่งธงค่ายกลสีฟ้าอ่อนแปดผืนพุ่งไปปักตรงมุมต่างๆ ของถ้ำ
ม่านแสงสีฟ้าชั้นหนึ่งหมุนวนแล้วแผ่ขยายไปรอบด้านล้อมถ้ำทั้งหมดไว้ด้านใน จากนั้นส่องประกายวิบวับสองสามครั้งแล้วกลืนหายไปกับอากาศ
หลังทำทุกสิ่งนี้เสร็จ เขาถึงก้าวเท้าเดินเข้าไปในถ้ำอย่างไม่เร็วไม่ช้า เขาค้นหาที่ว่างจุดหนึ่งเพื่อนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นแล้วลูบข้างเอวแผ่วเบา แสงสีเงินส่องสว่าง ฝักกระบี่ว่างเปล่าสีเงินอ่อนลอยออกมา
ทันใดนั้นปากฝักกระบี่ก็เปิดออก แสงสีทองอ่อนสายหนึ่งแผ่กระจาย
เขาใช้จิตสัมผัสด้านในฝักกระบี่พบว่ามุกกลมสีทองอ่อนเม็ดหนึ่งนอนนิ่งสงบอยู่ด้านใน มันก็คือลูกกลอนกระบี่ว่างเปล่าเม็ดนั้นนั่นเอง บนลูกกลอนกระบี่ไม่มีร่องรอยความเสียหายแต่อย่างใด ทว่าปราณกระบี่อ่อนแรงกว่าก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่เล็กน้อย
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะแล้วหยิบสมุนไพรจิตวิญญาณที่เตรียมเอาไว้ก่อนแล้วจำนวนหนึ่งออกมาจากในแหวนย่อส่วนเติมเข้าไปในฝักกระบี่ แล้วจึงพลิกมือเรียกยันต์ที่ทอแสงสีเงินขมุกขมัวแผ่นหนึ่งตบลงบนฝักกระบี่เบาๆ
“ผนึก!”
ยันต์สีเงินกลายเป็นแสงสีเงินอ่อนสายหนึ่งแทรกเข้าไปในฝักกระบี่
ครั้งนี้เขาถูกบีบให้ไร้ทางเลือกจึงต้องใช้พลังของลูกกลอนกระบี่ นับว่าได้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่ของมันแล้ว แต่การควบคุมลูกกลอนกระบี่ก็ผลาญพลังจิตไปเร็วกว่าที่เขาคาดเอาไว้มากนัก
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกเสียดายที่สุดก็คือ ลูกกลอนกระบี่เม็ดนี้ถูกเรียกออกมาก่อนที่จะบำรุงเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ความพยายามก่อนหน้านี้จึงเรียกได้ว่าเสียเปล่าหมดสิ้น วันนี้ต้องเริ่มบำรุงใหม่อีกครั้ง
เขายกมือข้างหนึ่งลูบเบาๆ ฝักกระบี่ก็ทอแสงสีเงินวูบหนึ่งแล้วเร้นกายไปอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็นั่งทำสมาธิฟื้นพลังเวทไปพลาง ขณะที่ขบคิดเรื่องแร่อุกกาบาต
เช้าวันต่อมาหลิ่วหมิงออกจากถ้ำชั่วคราวด้วยความกระปรี้กระเปร่า เท้าเหยียบเมฆสีดำก้อนหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป
ไม่นานนักหลังจากเมฆสีดำวนตรงบริเวณหนึ่งอยู่สักครู่ก็ร่อนลงบนยอดเขาโล่งเตียนลูกหนึ่งในนั้นอย่างรวดเร็ว
ปราณสีดำสลายไป ร่างกายของหลิ่วหมิงปรากฏออกมา มือข้างหนึ่งถือแผ่นค่ายกลขึ้นมากวาดมองอีกสองสามครั้ง เขาก็ตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวครั้งหนึ่งอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป
ปราณสีดำสายหนึ่งม้วนตัวออกมา เซียเอ๋อร์ผู้สวมชุดที่ทำจากตาข่ายสีดำทั้งร่างปรากฏตัวออกมาเบื้องหน้าเขา
“เซียเอ๋อร์ ต่อจากนี้ต้องพึ่งเจ้าแล้ว” หลิ่วหมิงเอ่ยสั่งเสียงเรียบ
เขาตรวจสอบดูแล้วว่าอาจเป็นเพราะแร่อุกกาบาต หินรอบเทือกเขาแถบนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ยันต์ดำดินทั่วไปยากจะแทรกเข้าไปได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการขุดเปิดไปถึงหินแร่ด้านใน
เขาคิดไปคิดมาก็ได้แต่พึ่งการดำดินด้วยพรสวรรค์ธาตุดินของเซียเอ๋อร์ค้นหา ก่อนหน้านี้ในแดนลึกลับประตูสวรรค์เซียเอ๋อร์ก็เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน
“วางใจเถิดนายท่าน เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการเอง” เซียเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก ร่างกายขยับวูบเดียวก็มีแสงเรืองรองสีน้ำตาลทองสายหนึ่งลอยออกมาจากร่างของนางแล้วหุ้มร่างไว้มุดลงไปใต้พื้นดินทันที
เจ็ดวันให้หลังบนยอดเขาที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงยืนอยู่ท่ามกลางสายลม กลางฝ่ามือคือหินแร่สีเขียวคล้ำที่ทอแสงเรืองๆ ทั้งก้อนขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่ง เขามองด้วยสีหน้าผิดหวัง
แผ่นค่ายกลที่จินเทียนชื่อมอบให้ทำได้เพียงสัมผัสตำแหน่งคร่าวๆ ได้สิบลี้เท่านั้น ไม่อาจระบุตำแหน่งแน่นอนที่แร่อุกกาบาตอยู่ได้ โชคดีที่มีพลังพิเศษของเซียเอ๋อร์ หลังจากเปลี่ยนตำแหน่งอยู่หลายครั้งในที่สุดเขาจึงตามหาหินแร่อุกกาบาตน้อยนิดที่ขนาดไม่เท่ากันเจ็ดถึงแปดก้อนพบ ก้อนที่ใหญ่ที่สุดขนาดเพียงเท่าศีรษะ ก้อนที่เล็กที่สุดขนาดเท่าก้อนนี้ที่อยู่ในมือเขาเท่านั้น
เดิมทีคิดว่าที่แห่งนี้จะมีสายแร่อุกกาบาตสายใหญ่ ผลสุดท้ายกลับพบเพียงไม่กี่สายประปราย ส่วนหินแร่อุกกาบาตที่ตกผลึกเป็นก้อนก็หาพบน้อยนิดเพียงเท่านี้ นี่ทำให้เขาผิดหวังอยู่บ้าง
ในเวลานี้เองเสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาสายหนึ่งก็ดังลอยมา
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาพลิกมือข้างหนึ่งเรียกแผ่นค่ายกลส่งสารขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นหนึ่งออกมา ในเวลาเดียวกันนั้นเสียงนิ่งเรียบของจินเทียนชื่อก็ดังออกมาจากด้านใน
“ศิษย์น้องหลิ่ว หลังได้รับสารนี้ ขอให้รีบกลับมายังที่พักชั่วคราว มีเรื่องสำคัญต้องหารือ”
หลิ่วหมิงได้ยินพลันขมวดคิ้ว หลังจากเก็บแร่อุกกาบาตในมือเข้าไปในแหวนย่อส่วน เขาก็ใช้เคล็ดวิชาเรียกเมฆดำก้อนหนึ่งยกร่างของตนลอยเหาะจากไปไกลอย่างรวดเร็วทันที
ไม่กี่ชั่วยามให้หลังแสงสีดำเส้นหนึ่งก็แหวกเมฆหมอกร่อนลงมาในหุบเขาซึ่งเป็นที่พักชั่วคราวของศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ นั่นก็คือหลิ่วหมิงที่เร่งกวดเดินทางมาตลอดทางนั่นเอง
“ศิษย์น้องหลิ่ว รอเจ้าอยู่แค่คนเดียว” หลิ่วหมิงเพิ่งเดินเข้าไปในถ้ำ ฉิวหลงจื่อก็หัวเราะพลางเดินเข้ามาหา
“ปล่อยให้ศิษย์พี่ทั้งหลายรอนานแล้ว” หลิ่วหมิงผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบประโยคหนึ่ง
เวลานี้ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งหลายรวมถึงพี่น้องโอวหยางล้วนอยู่กันพร้อมหน้าในถ้ำแล้ว เมื่อรวมเขาเข้าไปด้วยทั้งหมดเหลือเพียงสิบหกคน
“วันนี้ที่เรียกทุกคนมารวมตัวกันที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งต้องบอกกับทุกคน” เมื่อเห็นคนมาครบแล้ว จินเทียนชื่อจึงลุกขึ้นเอ่ยด้วยเสียงกังวาน
“เนื่องจากเห็นว่ากลุ่มอำนาจใหญ่จากแผ่นดินแต่ละแห่งที่จะเข้ามาในเศษซากโลกบนแห่งนี้ปะปนกันมากมายยากแบ่งแยกมิตรศัตรู ตัวเศษซากโลกบนเองก็มีสภาพที่ซับซ้อนยากคาดเดา ดังนั้นก่อนหน้าที่พวกเราจะเข้ามายังที่แห่งนี้ ผู้อาวุโสระดับสูงในนิกายจึงทำข้อตกลงกับนิกายเทียนกงไว้ว่าศิษย์สองนิกายจะไม่ต่อสู้กันในเศษซากโลกบน นอกจากนี้ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียผลประโยชน์ ทั้งสองนิกายสามารถร่วมมือกันต่อต้านศัตรูที่แข็งแกร่งได้ หรือหากพบผลประโยชน์ประการใดที่นิกายหนึ่งยากจะคว้ามาได้ตามลำพัง ศิษย์ทั้งสองนิกายก็ร่วมมือคว้ามันมาก่อนแล้วค่อยหารือแบ่งสรรกันภายหลังได้” จินเทียนชื่อเอ่ยปากเข้าประเด็น
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกมาคนทั้งหลายที่อยู่ตรงนั้นส่วนใหญ่ก็เข้าใจเรื่องราวได้แปดเก้าในสิบส่วนแล้ว เรื่องที่จะพูดหลังจากนี้กว่าครึ่งคงเกี่ยวกับนิกายเทียนกง
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็อดไม่ได้นึกถึงกำไลเก็บของของศิษย์นิกายเทียนกงที่เก็บได้จากบึงหมอกพิษก่อนหน้านี้กับหุ่นระดับแก่นแท้ตัวหนึ่งด้านใน
หากถูกศิษย์นิกายเทียนกงคนอื่นรู้เข้า ไม่แน่อาจจะนำเรื่องยุ่งยากบางประการมาให้ก็เป็นได้
“หลายวันก่อนตอนที่พักอยู่ ข้าได้รับสารจากนิกายเทียนกง บอกว่าในซากโบราณสถานแห่งหนึ่งมีสมบัติที่สำคัญยิ่งต่อนิกายเทียนกงชิ้นหนึ่งอยู่ หนึ่งในภารกิจของการเดินทางเข้ามาในเศษซากแห่งโลกบนครั้งนี้ของพวกเขาก็คือการตามหาสมบัติชิ้นนี้แล้วนำกลับไป ทว่าข่าวนี้ไม่ทราบแพร่หลุดไปได้อย่างไร อีกทั้งระหว่างการค้นหาสมบัติก่อนหน้านี้นิกายเทียนกงมีศิษย์บาดเจ็บล้มตายไปจำนวนหนึ่ง หากอาศัยกำลังของตนเองเพียงฝ่ายเดียวโอกาสที่จะได้สมบัติมามีไม่มาก ดังนั้นพวกเขาจึงส่งข่าวมาหาพวกเรา หวังว่าพวกเราจะส่งผู้มีฝีมือแข็งแกร่งเดินทางไปร่วมมือกันได้ หลังเสร็จงานนิกายเทียนกงยินดีมอบสมบัติล้ำค่าชิ้นอื่นที่มีค่าครึ่งหนึ่งของสมบัติชิ้นนี้เป็นของแลกเปลี่ยน จากที่นิกายเทียนกงแจ้งมาตำแหน่งที่ซากโบราณสถานแห่งนี้อยู่ไกลจากจุดที่พวกเราอยู่ตอนนี้ค่อนข้างมาก ข้ากับศิษย์น้องฉิวจึงหารือกันแล้วว่าจะให้ศิษย์น้องฉิวกับศิษย์ที่ยังไม่หายดีอยู่รักษาตัวและค้นหาสมบัติบริเวณนี้ ส่วนข้าจะนำคนที่รักษาตัวได้พอประมาณแล้วเดินทางไปหานิกายเทียนกง ลองดูว่าจะมีโชควาสนาอย่างอื่นหรือไม่ แต่ข้าต้องเตือนทุกคนไว้ก่อน การเดินทางครั้งนี้จะต้องมีอันตรายไม่น้อยแน่นอน ดังนั้นจะเข้าร่วมหรือไม่แล้วแต่สมัครใจทั้งสิ้น ศิษย์น้องทุกคนจงใคร่ครวญให้ดี ครึ่งวันหลังจากนี้พวกเราจะออกเดินทาง” จินเทียนชื่อเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า
คนที่อยู่ที่นั่นฟังแล้วก็มองหน้ากันพักหนึ่ง ชั่วขณะหนึ่งไม่มีใครเอ่ยวาจา
หลิ่วหมิงครุ่นคิดในใจเร็วไว วิเคราะห์ข่าวสารที่เผยผ่านถ้อยคำของจินเทียนชื่อกับข้อดีข้อเสียของการอยู่และไปอย่างเร็วไว
“ศิษย์พี่จิน ข้าไม่ได้บาดเจ็บอะไร นับข้าไปหนึ่งคนเถิด” หลังจากครุ่นคิดครู่สั้นๆ หลิ่วหมิงก็เอ่ยปากขึ้นมา
เมื่อคำนี้เอ่ยออกมาย่อมดึงสายตาของคนทั้งหมดที่นี่
หลงเหยียนเฟยมองหลิ่วหมิง แม้ในใจอยากไปอยู่บ้าง แต่ประการแรกเพราะอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ยังไม่หายดี ประการต่อมากระบี่จิตวิญญาณสองเล่มของนางเสียหายไม่น้อย เกรงว่าสิบวันครึ่งเดือนคงไม่อาจฟื้นพลังกลับคืนมาเป็นปกติได้ นางจึงได้แต่เสียดาย
สองพี่น้องโอวหยางก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าคิดจะเข้าร่วม
อย่างไรนี่ก็เป็นสัญญาพันธมิตรระหว่างคนระดับสูงของนิกายยอดบริสุทธิ์กับนิกายเทียนกง แม้พวกนางอยากเข้าร่วม จินเทียนชื่อก็คงไม่ตกลง
“ศิษย์พี่จิน ผู้แซ่หลัวก็ยินดีเดินทางไปด้วย”
ทันใดนั้นคนอีกคนหนึ่งก็ก้าวออกมาข้างหน้า เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับเลิกคิ้ว
หลัวเทียนเฉิงนั่นเอง!
ตอนที่ 937 พบหน้า
“ดี ด้วยพลังของพวกเจ้าสองคนคงไม่มีปัญหาแน่” จินเทียนชื่อมองทั้งสองคนแล้วครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า
เดิมทีหลิ่วหมิงเป็นคนที่เขาสนใจอยู่แล้ว พลังย่อมไม่ต้องสงสัย ส่วนหลัวเทียนเฉิงก็ครอบครองร่างจิตวิญญาณตูเทียนที่ใกล้เคียงกับการเป็นอมตะคงกระพัน หากพูดถึงการรักษาชีวิต ทุกคนที่นี่คงไม่มีใครสู้เขาได้ เข้าร่วมการเดินทางที่อันตรายเช่นนี้ก็เหมาะสมอย่างยิ่งจริงๆ
“แค่กๆ ศิษย์พี่ ข้าก็ยินดีร่วมเดินทางไปด้วย” ในตอนนี้เองด้านหลังของกลุ่มคนก็มีเสียงแหบพร่าไอขึ้นเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นมา
ทุกคนหันหน้าไปมอง สิ่งที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจก็คือผู้ที่เอ่ยคือเวินเจิง
หลิ่วหมิงมองเวินเจิง เด็กคนนี้แม้จะได้สติแล้ว แต่สีหน้ายังซีดจนเป็นสีเทาอย่างเห็นได้ชัด ปราณบนร่างเหี่ยวเฉาเห็นชัดว่าอาการบาดเจ็บยังห่างไกลจากการหายดี
“ศิษย์น้องเวิน การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างอันตราย คงมีศึกที่ต้องปะทะอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้หลายครั้ง ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดีต้องพักรักษาให้ฟื้นตัว ไม่จำเป็นต้องฝืนเกินไปหรอก อย่างไรเสียเวลาที่จะได้อยู่ในเศษซากแห่งโลกบนนี้ก็ยังเหลือไม่น้อย” จินเทียนชื่อมองเขาแล้วส่ายหน้าเอ่ยบอก
“ศิษย์พี่หมายความว่าขอแค่ผู้แซ่เวินอาการบาดเจ็บหายดีก็เข้าร่วมการเดินทางได้ใช่หรือไม่?” เวินเจิงรับรู้ได้ถึงสายตาของผู้คนรอบด้านที่มองมาจึงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“หากอาการบาดเจ็บของศิษย์น้องหายดีย่อมเข้าร่วมการเดินทางครั้งนี้ได้ แต่สภาพของเจ้าตอนนี้…” จินเทียนชื่อคิ้วขมวดพลางคิดจะเปลี่ยนวิธีพูดเกลี้ยกล่อมห้ามเวินเจิง
“ได้ ในเมื่อขอเพียงอาการบาดเจ็บของข้าไม่เป็นไรก็ใช้ได้ เรื่องนี้ย่อมง่ายดายยิ่ง!”
เวินเจิงตอบกลับเสียงดังประโยคหนึ่งขัดคำพูดที่จินเทียนชื่อกำลังจะเอ่ย จากนั้นมือข้างหนึ่งก็พลิกหงาย ยันต์สีน้ำเงินแผ่นหนึ่งปรากฏออกมา มันส่งเสียง “ปัง” ขึ้นครั้งหนึ่งแล้วกลายเป็นไอหมอกสีน้ำเงินกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าล้อมร่างกายของเขาเข้าไป ด้านในมีอักขระแสงสีน้ำเงินสารพัดรูปแบบทะลักออกมาลอยร่อนขึ้นลงไม่หยุด
พวกจินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อเห็นเช่นนี้ย่อมเผยสีหน้าประหลาดใจ ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่เหลือก็พากันซุบซิบ
เวินเจิงทำสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ท่ามกลางไอหมอก สิบนิ้วบนสองมือทำท่าเคล็ดวิชาไม่หยุดประหนึ่งกงล้อขณะที่ปากท่องมนตร์ประหลาดแผ่วเบา เสียงทุ้มต่ำดังอื้ออึงคล้ายเสียงครวญครางของภูตผีลอยออกมาจากกลางไอหมอกรอบด้านเป็นระยะ
ครู่ต่อมาทุกคนก็รู้สึกถึงสายลมเย็นเยียบที่ฉับพลันโชยพัดในถ้ำ แสงเรืองรองสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าทั่วทุกสารทิศลอยละล่องไปยังจุดที่เวินเจิงอยู่
ผ่านไปพักหนึ่ง แสงสีน้ำเงินกับไอหมอกก็เกี่ยวกระหวัดเข้าหากันกลายเป็นรังไหมหมอกสีน้ำเงินรังหนึ่งล้อมเวินเจินไว้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังขยายหดเป็นจังหวะไม่หยุดประหนึ่งมีชีวิต
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาพลันเป็นประกาย
เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่าทุกครั้งที่รังไหมหมอกนี้ขยายแล้วหดตัว ลมปราณที่เดิมทีเบาบางของเวินเจิงก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน
คนอื่นย่อมสัมผัสเรื่องนี้ได้เช่นเดียวกัน พวกเขาฮือฮาขึ้นมาพักหนึ่ง
“ศิษย์พี่จิน หรือว่า…” หลังจากฉิวหลงจื่อเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยออกมาก็หันไปถามจินเทียนชื่อประโยคหนึ่งทันที
“ไม่ผิด น่าจะเป็นวิชาสาปคืนกำเนิดไม่ผิดแน่” จินเทียนชื่อขมวดคิ้วน้อยๆ เอ่ยตอบ
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึงทันที ตอนนั้นในแดนลึกลับปีศาจสวรรค์เขาเคยเห็นผู้อาวุโสขุยมู่ใช้วิชาพฤกษาแห้งพบหยาดพิรุณ หลังจากเขากลับนิกายจึงเคยอ่านตำราที่เกี่ยวข้องอยู่ นิกายยอดบริสุทธิ์เองก็มีวิชาลับที่ฟื้นสภาพร่างกายตนเองได้ในเวลาสั้นๆ จำพวกนี้เช่นเดียวกัน หนึ่งในนั้นก็คือวิชาสาปคืนกำเนิดที่จินเทียนชื่อเอ่ยออกมา
วิชานี้จะกระตุ้นศักยภาพในร่างด้วยวิชาคำสาปชนิดพิเศษทำให้ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บภายในและภายนอกร่างได้ในเวลาอันสั้นจนดูเหมือนร่างกายฟื้นฟูจนหายดีในพริบตา แต่ความจริงมันก็เหมือนวิชาพฤกษาแห้งพบหยาดพิรุณ คือจะสร้างความเสียหายแก่กายเนื้อและอายุขัยไม่น้อย ดังนั้นในสถานการณ์ทั่วไปจึงไม่มีใครเสี่ยงอันตรายใช้วิชาลับนี้อย่างเด็ดขาด
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเค่อเต็มๆ ในที่สุดรังไหมหมอกก็สงบแล้วพังทลายดังฟู่ หลังจากไอหมอกสลายไปก็เผยร่างกายของเวินเจิงออกมาอีกครั้ง
แต่ในเวลานี้สีหน้าซีดเซียวบนใบหน้าเขาหายไปหมดสิ้น สิ่งที่มาแทนที่คือใบหน้าแดงระเรื่อ และลมปราณเต็มเปี่ยม ไหนเลยยังจะเห็นสภาพป่วยไข้บาดเจ็บหนักเมื่อครู่อีก
ความเปลี่ยนแปลงก่อนหน้าและภายหลังของเวินเจิง ทำให้ผู้คนด้านข้างที่มองดูอยู่ส่งเสียงฮือฮาแล้วอดไม่ได้จุ๊ปากเอ่ยชม
“ศิษย์พี่จิน ไม่ทราบว่าตอนนี้ข้าเข้าร่วมการเดินทางครั้งนี้ได้หรือไม่?” เวินเจิงดูเหมือนจะมีความสุขกับสายตาตกตะลึงที่ทุกคนมองมาอย่างยิ่ง หลังจากเหล่มองหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงครั้งหนึ่ง เขาก็เอ่ยถามเสียงดัง
“ในเมื่อศิษย์น้องเวินตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็ไปด้วยกัน” จินเทียนชื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ได้แต่ตอบรับอย่างนิ่งสงบ
จากนั้นก็มีศิษย์ที่หายดีแล้วแต่พลังค่อนข้างอ่อนแอสองคนเอ่ยว่าอยากเข้าร่วมการเดินทางครั้งนี้ด้วย แต่หลังจากจินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อหารือกันพักหนึ่งก็ไม่อนุญาตให้ทั้งสองคนเข้าร่วม
ท้ายที่สุดก็มีเพียงหลิ่วหมิง หลัวเทียนเฉิงกับเวินเจิงสามคนและจินเทียนชื่อเท่านั้นที่เข้าร่วมภารกิจครั้งนี้กับนิกายเทียนกง
จินเทียนชื่อไม่ใส่ใจจำนวนคนมากน้อยสักนิด เขาเพียงกำชับทุกคนให้เตรียมตัวเพิ่มสักหน่อย ครึ่งวันให้หลังจะออกเดินทางทันที หลังจากนั้นทุกคนก็ต่างสนใจเพียงตัวเองหามุมสักมุมหลับตาทำสมาธิ
หลิ่วหมิงกลับไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรนัก เขาเพียงเดินไปข้างกายพี่น้องโอวหยางแล้วกำชับพวกนางทั้งสองว่าให้เคลื่อนไหวร่วมกับนิกายยอดบริสุทธิ์คนอื่นให้มากที่สุดแล้วระวังความปลอดภัยของตนเอง
หลังจากพี่น้องโอวหยางผ่านเหตุการณ์ก่อนหน้านี้มา พวกนางย่อมรู้ซึ้งถึงความไร้ระเบียบของเศษซากแห่งโลกบนดี พวกนางจึงพยักหน้าตกลง
หลิ่วหมิงคุยกับสตรีทั้งสองอีกสองสามประโยคก็เดินไปอีกมุมหนึ่งของถ้ำ ขณะที่กำลังจะนั่งลงทำสมาธิ ด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น กลิ่นหอมพัดโชยมา
เขางุนงงไปชั่วครู่ เมื่อหมุนตัวไปก็เห็นหลงเหยียนเฟยขยับเท้าดอกบัวเดินเข้ามาหา
“ดูท่าศิษย์น้องหลิ่วกับแม่นางตระกูลโอวหยางสองคนนั่นจะมีมิตรภาพต่อกันไม่น้อย นับตั้งแต่มาถึงเศษซากโลกบนแห่งนี้ เรียกได้ว่าเจ้าดูแลพวกนางทั้งสองพร้อมสรรพ หรือว่าพวกนางทั้งคู่จะเป็นสตรีคนรู้ใจของศิษย์น้องหลิ่ว” หลงเหยียนเฟยกวาดตามองสองพี่น้องโอวหยางด้านนั้นแล้วเอ่ยขึ้นคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
“ศิษย์พี่หลงล้อเล่นแล้ว!” หลิ่วหมิงได้ฟังก็ตกตะลึงแล้วยิ้มพลางส่ายหน้า
“เรื่องส่วนตัวของศิษย์น้องหลิ่ว เดิมทีข้าก็ไม่มีอำนาจถามอยู่แล้ว แต่ศิษย์น้องอย่าลืมว่าน้องเจียหลานยังรอเจ้าอยู่ที่ยอดเขาเลื่อนลอย” หลงเหยียนเฟยไม่รอหลิ่วหมิงเอ่ยจบก็ขัดเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ศิษย์พี่เข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงถูกคนไหว้วานให้ดูแลความปลอดภัยของคุณหนูตระกูลโอวหยางทั้งสองในเศษซากโลกบนแห่งนี้ก็เท่านั้น” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วอธิบายหลายประโยค
“อ้อ ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป หวังว่าคำพูดนี้ของศิษย์น้องจะเป็นคำพูดจากใจจริง” หลงเหยียนเฟยฟังคำนี้ สีหน้าก็ดีขึ้นนิดหน่อย หลังจากคุยกันอีกสองสามประโยคนางก็หมุนตัวจากไป
หลิ่วหมิงถอนหายใจแล้วนวดกลางหว่างคิ้ว หลังจากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิหลับตาทำสมาธิอยู่ที่เดิม
ครึ่งวันหลังจากนั้นลำแสงสีสันแตกต่างกันสี่สายก็เหาะจากที่พักชั่วคราว มุ่งเร็วรี่ไปยังขอบฟ้าไกลอย่างเงียบเชียบ
หลายวันให้หลังลำแสงสี่สายพุ่งเร็วรี่จากขอบฟ้าไกลมาถึงตีนเขาของขุนเขาใหญ่ยักษ์สีดำขลับที่สูงทะลุเมฆลูกหนึ่ง พวกเขาก็คือพวกจินเทียนชื่อสี่คนที่เดินทางมานั่นเอง
ทั้งสี่คนหาพื้นที่ว่างแห่งหนึ่งตามแต่ใจต้องการแล้วร่อนลงมา พวกเขาเงยหน้ามองรอบด้านแล้วค้นพบว่าอาณาบริเวณล้วนเป็นแผ่นดินรกร้างที่มีต้นไม้ไม่มาก
“น่าจะเป็นที่นี่” จินเทียนชื่อกวาดสายตามองแผนที่ในมือครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยปากขึ้นเรียบๆ
หลิ่วหมิงหลับตาทั้งสองข้างแล้วปล่อยจิตสัมผัสออกไปกวาดผ่านพื้นที่บริเวณสิบลี้ตรงนี้ แต่กลับว่างเปล่า ไม่พบคลื่นพลังจิตวิญญาณแต่อย่างใด
“ศิษย์พี่จิน คนของนิกายเทียนกงยังมาไม่ถึงหรือ?” หลัวเทียนเฉิงกวาดสายตามองรอบด้านแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไร้ความอดทนอยู่บ้าง
“เดิมทีนิกายเทียนกงจะนัดสองวันก่อน แต่เพราะทางด้านพวกเราต้องการพักรักษาตัวเพิ่มสักหน่อย ดังนั้นข้าถึงเปลี่ยนมานัดวันนี้ ไม่แน่ว่าคนของนิกายเทียนกงอาจมาถึงก่อนแล้ว”
สายตาของจินเทียนชื่อกวาดมองสภาพรอบด้านอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นร่างกายก็ขยับวูบหนึ่งปรากฏตัวหน้าศิลายักษ์ก้อนหนึ่งไม่ไกลจากตีนเขาแล้วเงยหน้าขึ้นสำรวจมอง
นี่เป็นศิลายักษ์สีเทาขาวก้อนหนึ่งที่สูงถึงหนึ่งจั้งกว่า กว้างสองถึงสามจั้ง แม้จะใหญ่กว่าศิลารอบด้านไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ผิดปกติมากมายนัก
พวกหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พากันเดินมาหยุดสองฝั่งข้างจินเทียนชื่อแล้วปล่อยจิตสัมผัสกวาดผ่านศิลานี้ด้วย พวกเขาค้นพบว่าศิลานี้ดูเหมือนธรรมดา แต่เมื่อสำรวจให้ละเอียดกลับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจางๆ
ครู่ต่อมาจินเทียนชื่อก็ยื่นมือกดเบาๆ บนศิลายักษ์ ผิวของศิลายักษ์ทอแสงสีน้ำเงินอ่อนชั้นหนึ่งออกมา จินเทียนชื่อขยับร่างกายวูบหนึ่งก็จมลงไปในศิลายักษ์ทันที ทิ้งเอาไว้เพียงเสียงกระแสจิตเบาบางประโยคหนึ่ง
“พวกเจ้าก็เข้ามาเถอะ”
หลังจากตกตะลึงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง หลัวเทียนเฉิงก็กลายเป็นแสงสีเงินเส้นหนึ่งตามเข้าไป
หลิ่วหมิงกับเวินเจิงที่เหลืออยู่มองตากันครั้งหนึ่งก็จมเข้าไปด้วย
เมื่อผ่านศิลายักษ์เข้ามา ทิวทัศน์เบื้องหน้าหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไปทันที เขาอยู่ในถ้ำที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง
เวลานี้จินเทียนชื่อกำลังสนทนาอยู่กับชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่แต่งกายมอซอ บนศีรษะสวมหมวกฟางคนหนึ่ง
แม้ชายหนุ่มกำยำผู้นี้ใบหน้าจะไร้สีเลือด ปราณบนร่างก็มีท่าทีไม่มั่นคงอยู่บ้าง แต่หลิ่วหมิงก็ยังสัมผัสได้ว่าเขาเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นปลายคนหนึ่ง แต่ดูเหมือนร่างกายจะบาดเจ็บหนัก
ด้านข้างชายหนุ่มกำยำมีศิษย์ที่แต่งชุดของนิกายเทียนกงเกือบสิบคนยืนเรียงแถวอยู่ ในนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อตัวสั้นสีน้ำเงินเช่นเดียวกัน เขาก็คือเยี่ยโจ่ง ชายหนุ่มรถเงินที่เคยร่วมมือกับหลิ่วหมิงต่อสู้กับศัตรูในงานชุมนุมประตูสวรรค์เมื่อครั้งนั้นนั่นเอง
“สหายเยี่ย พวกเราพบหน้ากันอีกแล้ว” หลิ่วหมิงประสานมือให้เยี่ยโจ่งแล้วพยักหน้าเอ่ยขึ้น
“ข้าเดาอยู่แล้วว่าคนของนิกายท่านที่มาครั้งนี้จะต้องมีสหายหลิ่วแน่นอน” ชายหนุ่มรถเงินยิ้มตาหยีคำนับคืน
หลัวเทียนเฉิงมองทั้งสองคนครั้งหนึ่งแต่ไม่ขยับทักทายแต่อย่างใด
อีกด้านหนึ่งชายหนุ่มกำยำกำลังยิ้มน้อยๆ เอ่ยกับจินเทียนชื่อว่า
“เมื่อครู่ข้ากำลังคิดว่าพี่จินน่าจะใกล้มาแล้ว เดิมทีคิดจะเปิดชั้นจำกัดออกไปต้อนรับแขก แต่คิดไม่ถึงว่าค่ายกลเงาวงกตนี่กลับถูกพี่จินมองออกอย่างง่ายดายเช่นนี้”
“พี่จ้าวชมเกินไปแล้ว แค่โชคดีเท่านั้น มา ข้าจะแนะนำศิษย์น้องทั้งสามคนกับพวกท่าน” จินเทียนชื่อตอบกลับอย่างนิ่งสงบแล้วชี้นิ้วไปยังสามคนด้านหลังร่าง
พวกหลิ่วหมิงทั้งสามคนเห็นสถานการณ์ก็ขานชื่อแซ่ตามลำดับทันที
“อ้อ? ท่านก็คือหลิ่วหมิงที่แสดงความสามารถโดดเด่นในงานชุมนุมประตูสวรรค์ มีฉายาว่าศิษย์สายในอันดับหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์หรือ?” หลังจากชายหนุ่มกำยำฟังจบก็มองสำรวจหลิ่วหมิงจากหัวจรดเท้ารอบหนึ่งแล้วเผยสีหน้าสนใจอย่างยิ่งออกมา
ศิษย์นิกายเทียนกงคนอื่นต่างพากันเบนสายตามาเช่นกัน บนใบหน้ามีสีหน้าต่างๆ กันไป เห็นชัดว่าได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของหลิ่วหมิงมาก่อน
“ศิษย์พี่ชมเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงศิษย์สายในตัวเล็กๆ คนหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์เท่านั้น” หลิ่วหมิงได้ยินก็ประสานมือเอ่ยตอบอย่างไม่ยโสแต่ก็ไม่ดูถูกตน
“ฮ่ะๆ ชมเกินไปหรือไม่ คิดว่าไม่นานหลังจากนี้ผู้แซ่จ้าวก็จะรู้” ชายหนุ่มกำยำหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น
จากนั้นชายหนุ่มผู้นี้ก็แนะนำศิษย์นิกายเทียนกงสั้นๆ รอบหนึ่ง ส่วนตัวชายหนุ่มเองชื่อว่าจ้าวอีเหวย หลิ่วหมิงเหมือนจะเคยได้ยินชื่อคนผู้นี้มาก่อน ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ศิษย์ลับของนิกายเทียนกงเช่นกัน
หลังจากทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนชื่อแซ่กันแล้วบรรยากาศระหว่างกันก็กลมเกลียวกันขึ้นมาบ้าง ต่อมาจินเทียนชื่อจึงถามรายละเอียดเกี่ยวกับสมบัติที่จะร่วมมือกันไปเอา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น