ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 934-942
บทที่ 934 ได้รางวัลเหมือนกัน
Ink Stone_Fantasy
“ดูสิ องค์กรที่นายกเทศมนตรีต้องจัดการมีมากขนาดนี้ แต่บางองค์กรก็มีไว้เพื่อให้คำปรึกษาเท่านั้นซึ่งง่ายต่อการดูแล เพราะว่าทุกคนช่วยกันบริการ”
“ส่วนอื่นๆ ล่ะ? พวกเขามีอำนาจในการสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาได้ นายต้องระวัง พวกนี้อาจจะทุจริต พวกเขาอาจจะแลกเปลี่ยนอำนาจและเงินกับคนบางคน อาจจะแค่เป็นหุ่นนั่งกินเงินเดือนไปวันๆ แต่พอพวกนี้มีเรื่องขึ้นมา ปัญหาจะมาตกอยู่ที่นาย!” เออร์บักพูดแบบไม่ถนอมน้ำใจ
ฉินสือโอวยื่นมือออกมาแล้วอุทานว่า “เกี่ยวอะไรกับผม?!”
“แน่นอนว่าเกี่ยวกับนาย! จะบอกอะไรให้นะ พอเกิดเรื่องประชาชนที่เลือกนายเขาไม่ไปตำหนิคนพวกนั้นหรอก แต่พวกเขาจะตำหนินาย ฉิน พวกเขาจะตำหนิว่านายจัดการไม่ดี ไร้ความสามารถในการนำทีม! อย่าเถียงกับฉันเลย ใครให้นายเป็นนายกเทศมนตรีกัน?” เออร์บักพูดอย่างเคร่งขรึม
“แต่ว่าฝ่ายพวกนี้ก็มีข้อดีอยู่ พนักงานก็มาจากประชาชนเป็นคนเลือก ดังนั้นความรับผิดชอบจึงไม่ได้ตกที่ตัวนายคนเดียว ถัดมาก็ยังมีบางฝ่าย นายต้องชัดเจนก่อนเพราะผู้รับผิดชอบของฝ่ายพวกนี้นายเป็นคนกำหนดเอง นายบอกว่าเป็นใครก็เป็นคนนั้น พอเกิดเรื่องนายต้องรับผิดชอบทั้งหมด! รับผิดชอบเรื่องครั้งนี้ทั้งหมด!”
“มีฝ่ายไหนบ้างนะเหรอ? สภาประเมินทรัพย์สิน คณะกรรมการอนุรักษ์ธรรมชาติ คณะกรรมการมรดกทางประวัติศาสตร์ สภาวางแผนงาน คณะกรรมการคมนาคม สภาการแพทย์และอนามัย สภากำจัดขยะมูลฝอย สภาผู้สูงวัย คณะกรรมการคนพิการ…”
เออร์บักเริ่มยกมือขึ้นมานับ ไล่ไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ทุกครั้งที่เขาพูดขึ้นมาหนึ่งชื่อ สีหน้าฉินสือโอวก็จะดูซึมไปทีละน้อย พูดจนฉินสือโอวสุดท้ายต้องยั้งเขาไว้ พูดอย่างสิ้นหวังว่า “ก็แค่เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ทำไมถึงได้มีหลายฝ่ายขนาดนี้?”
ทนายชรายักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “นี่คือแนวคิดการจัดการทางการเมืองของประเทศแคนาดา อำนาจต้องกระจายบ้าง ผู้คนคิดว่าการกระจุกตัวของอำนาจที่มากเกินไปจะก่อให้เกิดการทุจริตและระบบราชการ ทำลายสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง”
“ดังนั้นแล้ว ส่วนที่อาจจะก่อให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจ พวกเขาต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นโดยการออกแบบระบบ ต่อให้การออกแบบระบบแบบนี้จะนำมาซึ่งความไม่สะดวกในหลายด้านแต่ก็ต้องทำ”
ฉืนสือโอวนวดขมับ ทันใดนั้นเขาก็คิดขึ้นได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ “แผนกต่างๆ ที่เมื่อกี้คุณพูดมารวมๆ แล้วก็ 50 ได้ใช่ไหม? แต่ที่ผมจำได้แน่ๆ พนักงานข้าราชการของเมืองเล็กนี้มีไม่ถึง 50 คนนะ”
เออร์บักตอบ “ผิดแล้ว ทั้งหมด 28 คน นี่ยังไม่รวมสถานีตำรวจ แต่มีบางคนก็ทำงานไม่ประจำด้วย ถ้านายเจาะจงไปที่ภาครัฐก็คงไม่ได้เจอพวกเขาหรอก”
“ไม่ทำประจำก็ได้เหรอ?” ฉินสือโอวอยากจะตะโกนลั่นออกมา เป็นรัฐบาลที่แปลกอะไรอย่างนี้
“ยังจำตอนที่นายเพิ่งมาได้ไหมว่ากรมสรรพากรมีระบบในการทำงานยังไง? เข้างานแค่จันทร์ พุธ ศุกร์ ดังนั้นแล้วไม่ได้ทำงานประจำจะไปแปลกอะไร” เออร์บักพูดอย่างมีเหตุมีผล
ฉินสือโอว “รัฐบาลเทศบาลโคตรแบบเชี่ย!”
“ไม่ใช่แค่ตำแหน่งพวกนี้ อย่างหัวหน้าฝ่ายทรัพยากรบุคคล การพาณิชย์ภาครัฐ การอนุมัติวางแผนที่ดินและด้านทรัพย์สิน ก็ไม่ต้องทำงานประจำก็ได้…” เออร์บักพูดอย่างช้าๆ
รอบนี้ฉินสือโอวทนไม่ไหวตะโกนลั่นขึ้นมา “เชี่ย นี่ก็ไม่ต้องทำประจำได้เหรอ?!”
“ใช่สิ นายกเทศมนตรีพาร์ทไทม์ไง เมื่อกี้ฉันก็บอกนายแล้วไม่ใช่เหรอ? นายลืมแล้วหรือว่าไม่ตั้งใจฟังกัน?” เออร์บักแสร้งทำเป็นไม่พอใจ แสดงสีหน้าจริงจังออกไป แต่ในความเป็นจริงแล้วแววตาของเขากำลังยิ้มออกมาอยู่
แต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้ฉินสือโอวโดนหลอกแล้ว เขาลูบหน้าตัวเอง คุ้นๆ ว่าเออร์บักได้พูดเรื่องนี้กับเขาไปแล้วจริงๆ แต่เขากลับงงไปเอง
ที่แท้งานของนายกเทศมนตรีก็น่ากลัวแบบนี้นี่เอง!
ฉินสือโอวก่นด่า “แม่ง ผมโดนแฮมเล็ตหลอกแล้ว เขาบอกว่าเป็นนายกเทศมนตรีง่ายนิดเดียว ผมต้องไปคิดบัญชีกับเขา!”
เออร์บักยักไหล่ “จริงๆ แล้วถ้านายทำงานจนคุ้นเคยแล้ว มันก็ไม่ได้ยากจริงๆ นั่นแหละ แต่จุดสำคัญคือนายต้องอดทนทำงานงานนี้ และสัมผัสคลุกคลีในทุกๆ ด้านของเมืองเล็ก”
เหมาเหว่ยหลงนั่งฟังเงียบๆ อยู่ข้างๆ มาตลอด พอเห็นว่าทนายชราพูดมาพอสมควรแล้ว เขาจึงเสริมเพิ่มเติมหน่อย “ฉินโซ่ว งานนายกเทศมนตรีไม่ได้ง่ายจริงนะ ฉันไม่รู้สถานการณ์ฝั่งนี้ของนาย แต่ฝั่งฉันพวกประชาชนพอมีเรื่องอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ชอบไปหานายกเทศมนตรี บ้านใครหมาหาย ไก่วิ่งหนีไป ลูกใครถูกคนข่วน ก็ไม่ไปหาตำรวจ แต่ไปหานายกเทศมนตรี!”
ฉินสือโอวนอนแผ่ลงอย่างทรมาน พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เมื่อก่อนก่อนที่จะออกนอกประเทศ มีคนบอกว่าข้าราชการของประเทศแคนาดาเป็นขี้ข้าของประชาชนอย่างแท้จริง ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อหรอก แต่นี่มันเรื่องจริงเหรอเนี่ย”
บรรยากาศอึมครึมขึ้นมา ฉินสือโอวคิดดูแล้วก็รู้สึกแปลก “ถ้าเป็นแบบนี้ แล้วใครจะยินยอมเป็นนายกเทศมนตรีล่ะ?
เออร์บักพูดเสียงเรียบว่า “ก่อนอื่นเลย ยังไงก็มีคนยินดีที่จะรับใช้ประชาชนในเมืองนี้อยู่แล้ว อย่างที่สอง รายได้ของนายกเทศมนตรีดีมากทีเดียว สุดท้าย สวัสดิการหลังเกษียณของนายกเทศมนตรีก็ดีมากเช่นกัน รายได้ก็เหมือนกับเวลาทำงาน นอกจากนี้แล้วรัฐบาลยังพาไปเที่ยวต่างประเทศทุกปีอีกด้วย”
ฉินสือโอวไตร่ตรองสวัสดิการต่างๆ ที่เออร์บักพูดมา ท้ายสุดก็ส่ายหน้า “ถ้าอย่างนั้นใครอยากเป็นก็ไปเป็นเลย ผมไม่ได้ขาดเงิน แล้วผมก็ไม่ได้อยากไปท่องเที่ยวต่างประเทศด้วย”
วินนี่เดินเข้ามาพร้อมท้องโตแล้วพูดว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ พอถึงเวลาฉันไปเข้าร่วมลงเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีดีไหม?”
ฉินสือโอวนึกว่าเธอล้อเล่น จึงลูบไปมาที่ท้องโตของเธอ หัวเราะแล้วพูดขึ้น “ถึงเมื่อไรกัน ถึงตอนนั้นท้องของคุณก็ยังโตแบบนี้อยู่”
เหมาเหว่ยหลงร้องโห่ขึ้นมา บอกให้พวกเขาไปแสดงความรักต่อกันไกลๆ ส่วนเขาจะโชว์ความรักต่อลูกน้อย
เรื่องที่เกี่ยวกับนายกเทศมนตรีจึงจบลงชั่วคราวเพียงเท่านี้ แล้วฉินสือโอวก็พักเพื่อฟื้นฟูเส้นเอ็นของเขาอย่างสงบ
โอโดมส่งยาพ่นมาให้สองขวด บอกเขาให้ใช้ขวดแดงพ่นก่อน อีกครึ่งชั่วโมงให้หลังค่อยตามด้วยขวดเขียว ใช้สลับกันสองขวด พ่นสี่ครั้งต่อวัน อย่างมากภายในหนึ่งสัปดาห์เขาก็สามารถกลับมาเดินเป็นปกติได้แล้ว
“จำไว้ว่าพ่นได้แต่ขาหนีบนะ ห้ามพ่นตรงจุดอื่น!” โอโดมกำชับเรียบร้อยก่อนจากไป
วินนี่ช่วยนวดให้ฉินสือโอว หลังจากนั้นก็กะจะพ่นขวดยาสีแดงต่อ ปรากฏว่าพวกแมวป่าน้อยปีนขึ้นมาบนโซฟาอีก อ้าขาสั้นๆ ทั้งสองข้างออกให้วินนี่นวดพวกมันเช่นเคย
ฉินสือโอวทนดูไม่ได้ แกล้งขู่พวกมันโดยการง้างมือตบไปทีหนึ่ง แต่พวกมันไม่กลัว มุดหนีเข้าไปอ้อมอกวินนี่ รู้ว่าวินนี่ปกป้องพวกมันแล้วจะปลอดภัย
มีแค่เขาและวินนี่ในห้องรับแขก ฉินสือโอวจึงถอดกางเกงออกโดยไม่สนใจใครแล้วฉีดพ่นยาตรงขาหนีบ ส่วนผสมในขวดแดงคือน้ำมัน ซึ่งซึมซับเข้าสู่ผิวหนังได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นสักพักตรงบริเวณขาหนีบเขาก็มีความรู้สึกร้อนวูบๆ
ซิมบ้ายื่นหัวเล็กๆ ของมันมามองทุกการกระทำ รอจนฉินสือโอววางขวด มันจึงอ้าขาแล้วร้องเรียกใหญ่
ฉินสือโอวจ้องมันแล้วยกขวดแดงขึ้นพร้อมถามว่า “ร้องทำไม? อยากจะพ่นด้วยเหรอ?”
ดวงตาเล็กดำสนิทของซิมบ้าก็จ้องไปที่เขาเช่นกัน แล้วร้องออกมาไม่หยุด ไม่นานหู่จือ เป้าจือ ฉงต้าและหลัวปอก็ออกันขึ้นมา แหกขาและส่งเสียงร้องเช่นกัน
ก่อนหน้านั้นพวกมันอ้าสองขาทำตามฉินสือโอวแล้วได้รับการนวดจากวินนี่เป็นรางวัล จึงนึกว่าอยากได้อะไรก็ให้ทำตามเขา ไม่ผิดพลาดแน่ๆ อย่างไรก็ตามอะไรที่เขาได้ พวกมันก็ต้องได้เช่นกัน
ฉินสือโอวเขกไปที่หัวของมันด้วยความขมขื่น แสดงออกถึงความไม่พอใจ แล้วก็พ่นยาไปที่เป้าของซิมบ้า
ทันใดนั้น หู่จือ เป้าจือ ฉงต้าและหลัวปอก็ออกันขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น อ้าขาสองขาอย่างว่านอนสอนง่ายให้เขาพ่นยาให้
หลังจากนั้นผ่านไปครึ่งนาที ท่าทางของพวกมันก็ผิดปกติ โดยเริ่มจากแมวป่าน้อย เพราะมันเป็นแมว จึงมีปฏิกิริยาตอบสนองไวที่สุด มันรีบลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปมาอย่างกระวนกระวาย หลังจากนั้นก็กระโดดขึ้นพร้อมเสียงร้องโหยหวน!
บทที่ 935 หมึกกระดองที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์
Ink Stone_Fantasy
ไม่เสียแรงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักล่ามหากาฬของป่าใหญ่แห่งอเมริกาเหนือ แรงกระโดดของแมวป่านั้นคือที่สุดจริงๆ
ซิมบ้าหอนไปพลางกระโดดโลดเต้นไปพลาง มันกระโดดเพียงครั้งเดียวก็ไปได้ไกลถึงสองเมตรครึ่งแล้ว ทำเอาฉินสือโอวมองจนตาค้างเลยทีเดียว
วินนี่ตกใจ ร้องออกมาทันใดว่า “เกิดอะไรขึ้น? นี่เกิดอะไรขึ้นคะ? ลูกรักรีบมาหาหม่ามี้เร็ว ให้หม่ามี้ดูว่าหนูเป็นอะไร…”
เมื่อได้ยินวินนี่เรียกหา ซิมบ้าที่กระทืบเท้าไปมาอย่างแรง แต่ไม่ว่ามันจะกระทืบอย่างไรก็รู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมา สุดท้ายจึงร้องเอ๋งๆ แล้วโผเข้าหาอ้อมกอดของวินนี่ อุ้งเท้าน้อยนั้นกอดไปที่ข้อมือของวินนี่อย่างแรง แล้วร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
วินนี่กำลังปลอบซิมบ้าอยู่ ทางฝั่งหลัวปอก็เริ่มบ้าง มันเองก็อ้าขาออกอย่างไม่สบายตัว วินนี่นึกว่ามันคงอยากฉี่ จึงตะโกนออกไปว่า “ไปข้างนอก รีบออกไปข้างนอก! ลืมไปแล้วเหรอว่าครั้งที่แล้วที่ฉี่ในบ้าน หม่ามี้จัดการยังไง?”
ไม่ช้า วินนี่ก็เข้าใจว่าหลัวปอไม่ได้อยากฉี่ เพราะหู่จือกับเป้าจือเองก็อ้าขาออกด้วยเช่นกัน อุ้งเท้าหน้ากดลงกับพื้น ท่าทางเหมือนกับนักเต้นที่กำลังยืดเส้นอยู่ จากนั้นก็พยายามฉีกขาออกเต็มที่ ราวกับจะทำท่าฉีกขาให้ได้อย่างนั้น
ทั้งหู่จือและเป้าจือเป็นสัตว์เพศผู้ ไม่เหมือนกับหลัวปอที่ต้องนั่งฉี่ พวกมันจะฉี่โดยการยกขาขึ้นข้างหนึ่ง
พอตอนนี้พวกมันต่างก็ทำท่านี้กันทั้งคู่ จึงเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เพราะจะฉี่ แต่คือรู้สึกไม่สบายตรงบริเวณหว่างขาต่างหาก
ฉินสือโอวเข้าใจถึงความรู้สึกไม่สบายที่หว่างขาแบบนี้ดี อาการแบบนี้พูดได้ง่ายๆ ว่าหว่างขาไฟลุกแล้ว
เขาเองกำลังเผชิญกับความแสบร้อนตรงหว่างขาเหมือนกัน แต่ในใจกลับดีใจอย่างมาก ถึงขั้นทนไม่ไหวที่จะหัวเราะร่าออกมา ช่างสะใจจริงๆ ใครใช้ให้เจ้าพวกนี้ทำเลียนแบบเขาไปเสียทุกอย่าง!
วินนี่เข้าใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จึงมองตาเขม็งไปที่เขาทีหนึ่ง แล้วถามว่า “คุณทำอะไรอีกแล้ว? เกิดอะไรขึ้น? คุณทาน้ำมันพริกตรงหว่างขาพวกมันหรือเปล่าคะ?!”
ฉินสือโอวพูดอย่างไม่พอใจว่า “จะใช่ได้อย่างไรกัน? ผมรักพวกมันมากนะ…”
“พูด! ความ! จริง!” วินนี่ฉุนขึ้นมา สีหน้าพวกเจ้าตัวเล็กเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจริงๆ ทำให้เธอรู้สึกปวดใจมาก
ฉินสือโอวชูสเปรย์ยาพ่นในมือขึ้นมา แล้วพูดว่า “เมื่อกี้ผมฉีดเจ้านี่น่ะ พวกมันก็จะเอาด้วย ผมก็เลยฉีดให้พวกมันนิดหนึ่ง”
“นิดหนึ่ง?” วินนี่ถามอย่างสงสัย
“โอเค ฉีดพักหนึ่ง” ฉินสือโอวยิ้มด้วยความรู้สึกผิด
วินนี่จ้องไปที่เขาอีกที แล้วพาพวกเจ้าตัวเล็กขึ้นไปอาบน้ำที่ชั้นบน ในตอนนี้ทั้งหู่เป้าและหลัวปอล้วนเดินไปข้างหน้าโดยใช้ขาหน้าลากตัวไปกับพื้น พวกมันไม่กล้าหุบขาหลัง จำเป็นต้องฉีกขาไว้ ทำให้ต้องพึ่งการลากตัวในการไปข้างหน้าอย่างเดียว
จากนั้นทั้งวัน พวกเจ้าตัวเล็กล้วนเดินโดยการลากขาทั้งหมด เพราะว่าสเปรย์ยาพ่นสีแดงนั้นเป็นของเหลวประเภทน้ำมัน หลังจากฉีดเข้าไปแล้วก็ซึมเข้าไปในผิวหนังทันที แม้จะใช้น้ำล้างก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก
สเปรย์ยาพ่นแบบนี้มีประสิทธิภาพดีมาก การนำทั้งสีแดงและสีเขียวมาผสมกันใช้ เพียงแค่สองวันเท่านั้น เส้นเอ็นที่ได้รับบาดเจ็บของฉินสือโอวก็ดีขึ้นมากแล้ว แม้ว่าจะไม่สามารถทำกิจกรรมโลดโผนได้ แต่กิจกรรมจำพวกลุกยืนหรือเดินนั้นไม่มีปัญหา
ฉินสือโอวนึกว่าตัวเองคงจะพลาดงานประจำปีของบริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรสเสียแล้ว แต่ตอนนี้ดูท่าว่าความกังวลของเขานั้นคงจะเสียแรงเปล่า
เมื่อร่างกายฟื้นฟูได้ระดับหนึ่งแล้ว ก็พอดีกับที่ฉินสือโอวได้รับโทรศัพท์จากเรค ที่โทรมาบอกว่าค้อนเหล็กกล้าขนาดใหญ่ที่เขาสั่งไว้ได้ทำเสร็จแล้ว แล้วถามเขาว่าจะให้ส่งไปให้เลยหรือเปล่า
ฉินสือโอวบอกให้เรคส่งไปที่ท่าเรือก็พอ เขาขับเรือลาดตระเวนพาอีวิลสันตามไปที่นั่น มีคนงานสองคนกำลังยกไม้กระบองที่ทำจากทองผสมกำลังเปล่งแสงสว่างไสวขึ้นมาอยู่
เมื่อได้เห็นหน้าอีวิลสันที่มีร่างกายกำยำแล้ว คนงานสองคนก็ตกใจ แล้วถามว่า “ของนี้เอาไว้ให้เขาคนนี้ใช้เหรอครับ? พระเจ้า ช่างเป็นคนที่ร่างกายใหญ่โตจริงๆ!”
ฉินสือโอวเพียงหัวเราะแต่ไม่ได้อธิบายอะไร เจ้าสิ่งนี้คนจะใช้ได้ไง นอกจากว่าคนคนนั้นจะเป็นเทพเฮอร์คิวลีสลงสวรรค์มา ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางที่จะยกอาวุธที่หนักแบบนี้ได้หรอก
กระบองแบบนี้มีรูปร่างเหมือนกันหมด พอตั้งมันไว้บนพื้นจะมีแท่งเหล็กแหลมหลายแท่งยื่นออกมา ดูท่าทางน่ากลัวและน่าเกรงขามอย่างที่สุด
ฉินสือโอวสั่งให้คราเคนมาหา พร้อมกับขับเรือมุ่งไปทางทะเลลึก เมื่อทั้งสองพบกันแล้ว เขาจึงหาพื้นที่โล่งในท้องทะเลมาจุดหนึ่ง แล้วให้อีวิลสันโยนกระบองทั้งเก้าอันลงไป
หนวดอีกข้างของคราเคนยังไม่โตออกมาเต็มที่เลย
กระบองที่หนักอึ้งได้ถูกโยนลงไปติดต่อกัน แม้ว่าจะมีแรงต้านในน้ำให้จมช้าลง แต่ตอนที่พวกมันจมลงไปใต้ท้องทะเลนั้น ก็ยังคงมีบางส่วนที่จมลงไปในโคลนทะเล
มีปูสีน้ำตาลที่โชคร้ายตัวหนึ่งที่อยู่ข้างล่างนั้นแล้วไม่ทันหลบ ทำให้โดนกระแทกเข้าอย่างจัง จากนั้นพอฉินสือโอวมองดูอีกที ก็เห็นว่าเจ้าตัวเล็กที่น่าสงสารนี้ ได้สลายกลายเป็นฝุ่นไปแล้ว!
ฉินสือโอวสอนให้คราเคนยื่นหนวดเข้าไปในกระบอง ในนั้นได้ออกแบบช่องเอาไว้แล้ว แบบนี้เมื่อยื่นหนวดเข้าไปพันไว้ไม่กี่รอบ ก็สามารถยึดกระบองไว้ได้โดยที่ไม่หลุดแล้ว
ฉินสือโอวมองดูทีหนึ่ง คราเคนที่ติดอาวุธแล้วนั้น ดูราวกับเป็นบอสใหญ่ของโลกแห่งเทคโนโลยีอย่างไรอย่างนั้น ภาพลักษณ์ที่ออกมานั้นช่างดุดันนัก ลำตัวสีแดงสด อาวุธสีเงินสว่างไสว ทำเอาท่านฉินคนนี้มองดูแล้วก็ไฟลุกขึ้นมาทันที
อีกเรื่องที่ทำให้เขาไฟลุกขึ้นมามากกว่าเดิม ก็คือหนวดข้างที่คราเคนเสียไปนั้น ได้งอกออกมาใหม่จนมีความยาวสองเมตรกว่าแล้ว ครั้งก่อนที่เจอเพิ่งจะงอกออกมาเป็นตอเท่านั้น ไม่คิดว่าจะงอกได้ช้าขนาดนี้
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็คิดได้ว่าต้นเหตุน่าจะเป็นเพราะหลังจากที่พลังโพไซดอนของเขาได้พัฒนาแล้วนั้น พลังโพไซดอนในตอนนี้ทั้งแรงกล้าและทรงคุณภาพ ยิ่งกับสัตว์จำพวกปลาแล้วยิ่งทำให้ทรงคุณภาพมากขึ้น
เมื่อคิดทบทวนอยู่สักพัก ฉินสือโอวตัดสินใจโยนกระบองอีกอันลงไป หนวดของคราเคนมีความยาวสองเมตรกว่าๆ แม้ว่าจะไม่สามารถใช้งานเจ้าสิ่งนี้ได้ดังใจนัก แต่การจะหยิบมาใช้นั้นไม่มีปัญหา
มองดูคราเคนที่ได้อาวุธแล้ว ฉินสือโอวยังคงมีความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย นั่นก็คือยังขาดเสื้อเกราะอยู่
แต่เรื่องนี้จนปัญญาจริงๆ เพราะคราเคนยังเติบโตได้อีก เทียบกับตอนที่เจอกันกับตอนนี้ คราเคนโตมาหนึ่งเมตรกว่าแล้ว ความยาวทั้งตัวก็มีมากกว่ายี่สิบเอ็ดเมตรแล้ว!
แม้ว่าฉินสือโอวจะสามารถทำเสื้อเกราะตามขนาดของคราเคนได้ก็ตาม แต่ก็ยังใส่ไม่ได้อยู่ดี
หลังจากติดอาวุธเสร็จ ก็ถึงเวลาทดลองใช้ ฉินสือโอวไปสำรวจดูรอบๆ แล้วพบเข้ากับปลาค็อดที่ไม่ค่อยมีค่าอยู่กลุ่มหนึ่ง
เขาออกคำสั่งให้คราเคน จัดการปลาค็อดฝูงนี้ซะ!
แต่กลายเป็นว่าคราเคนเพิ่งจะพ่นน้ำวิ่งเข้ามาเท่านั้น ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ฝูงปลาค็อดก็แตกกระเจิง หายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที!
“ให้ตายสิ รังสีอำมหิตของเจ้านี่ สามารถไปไกลได้หลายร้อยเมตรเลยนะเนี่ย” ฉินสือโอวคิดในใจอย่างมีความสุข
ใต้ท้องทะเลไกลออกไปอีกนิดมีโขดหินอยู่จำนวนหนึ่ง ฉินสือโอวให้คราเคนทดลองพลังโจมตีกับโขดหินพวกนี้
คราเคนพุ่งพรวดเข้าไป ตามด้วยฟาดหนวดออกไปรัวๆ
‘ตู้ม’ เสียงดังก้องกังวาน จากนั้นบนโขดหินพวกนี้ที่มีขนาดสิบกว่าตารางเมตรก็ได้ปรากฏรอยร้าวออกมาทีเดียวหลายรอย ส่วนจุดของโขดหินที่โดนเข้ากับกระบองนั้น ได้กลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว!
พวกหมึกยักษ์ล้วนเป็นสัตว์ประเภทที่มีความโหดร้าย คราเคนก็คือที่หนึ่งในสัตว์โหดร้ายทั้งปวง ความชื่นชอบของมันก่อนหน้านี้ก็คือการทำลายเรืออับปางให้เป็นผุยผงเพื่อแสดงความร้ายกาจของมัน ตอนนี้เมื่อมีกระบองแล้ว ก็เท่ากับเป็นการเสริมปีกให้กับเสือเลย
หลังจากนั้นไม่รอให้ฉินสือโอวออกคำสั่ง หมึกยักษ์ได้ทำการสะบัดหนวดไปมาอย่างรวดเร็ว ใช้กระบองทำลายโขดหินรอบข้างจนแหลกในเวลาไม่นาน
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังคุ้นเคยกับการสะบัดหนวดไปมาอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถรักษาพลังในการทำจู่โจมต่อเนื่องไว้ได้ด้วย
ความสามารถในการเรียนรู้ในการต่อสู้ของสัตว์นั้นดีกว่ามนุษย์มาก จากการเรียนรู้วิธีสะบัดหนวดเพียงข้างเดียวจนถึงสามารถสะบัดหนวดหลายข้างรัวๆ ออกไปได้นั้น คราเคนใช้เวลาไปเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น
บทที่ 936 บินไปสู่ซีกโลกใต้
Ink Stone_Fantasy
มองดูหมึกยักษ์ที่ทำลายโขดหินปะการังได้อย่างสง่างามแล้ว ฉินสือโอวก็รู้สึกได้ใจขึ้นมา มีคราเคนติดอาวุธอยู่ที่นี่ เขารู้สึกว่าฟาร์มปลาของตัวเองปลอดภัยหายห่วงแน่นอน แม้ว่าจะมีเรือปีศาจโผล่มา เพียงแค่มันเหวี่ยงแขนออกไปทีเดียวก็สามารถส่งพวกนั้นกลับไปหาซาตานได้แล้ว!
เมื่ออารมณ์ดีแล้ว ฉินสือโอวจึงแผ่พลังโพไซดอนไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสมือนแผ่เมตตาไปทั่ว ให้เหมือนราวกับแสงอาทิตย์กำลังสาดส่องลงมา
ปลาจำนวนหนึ่งที่รู้สึกได้ถึงพลังโพไซดอนพากันว่ายเข้ามาอย่างเร่งรีบ คราเคนที่กำลังฮึกเหิม จึงสะบัดกระบองไปมาอยากจะเข้าไปทำร้าย
ฉินสือโอวรีบหยุดมันไว้ เจ้าพวกนี้ถือเป็นสมบัติของเขาเลยนะ
จากนั้น ก็มีฉลามหางยาวตัวหนึ่งว่ายเข้ามาด้วย หลังจากสัมผัสได้ถึงพลังโพไซดอนแล้ว มันก็สะบัดหางยาวๆ ของมันเพื่อเร่งความเร็ว
ทางคราเคนที่เพิ่งจะถูกฉินสือโอวสยบลงนั้น เมื่อเห็นฉลามหางยาว ก็เริ่มโกรธฟึดฟัดขึ้นมาทันที มันไม่สนใจคำสั่งของฉินสือโอว ตวัดกระบองแล้วพุ่งเข้าไป
ฉลามหางยาวเพิ่งจะสังเกตเห็นคราเคนหน้าตาแปลกประหลาดก็ตอนนี้ มันจ้องอย่างตกใจแล้วก็รีบหันหลังกลับทันที หางยาวนั้นสะบัดไปมาราวกับใบพัดมอเตอร์ ครู่เดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉินสือโอวสยบคราเคนด้วยความรู้สึกจนปัญญา เจ้าหมอนี่นิสัยก้าวร้าวเกินไปแล้ว เขารู้สึกคุ้นตากับฉลามหางยาวตัวนั้น หรือว่าจะเป็นตัวที่เป็นพ่อสื่อให้เขาได้มาเจอกับคราเคนตัวนั้นหรือเปล่านะ ตอนนั้นที่ทะเลเขตเกาะไอซ์ไฟเออร์ เป็นครั้งแรกที่ท่านฉินคนนี้ได้พบกับคราเคน ตอนนั้นที่ได้เจอกันก็เพราะคราเคนอยากจะล่าฉลามหางยาวตัวนี้นั่นแหละ
ไม่เจอกันนาน จนฉินสือโอวได้ลืมฉลามหางยาวที่ตัวเองเป็นคนพามาตัวนี้ไปแล้ว ดูท่าว่าช่วงนี้มันจะมีชีวิตที่ไม่เลวเลย หางใหญ่และแข็งแรงขึ้นมาก ความเร็วในการว่ายน้ำก็เร็วขึ้น แม้แต่คราเคนเองก็ยังตามไม่ทัน
แน่นอนว่า สาเหตุเป็นเพราะเหล็กกล้ามากมายที่คราเคนถือไว้ด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างฉลามหางยาวกับคราเคนนั้น ฉินสือโอวจำได้คร่าวๆ ว่าทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันนัก เพราะในตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเขายื่นมือเข้าช่วยแล้วล่ะก็ ฉลามหางยาวคงต้องตายคาหนวดของคราเคนแล้ว แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้คิดอะไรต่ออีก
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสี่ออกโรงพร้อมกัน ฉินสือโอวปล่อยพลังโพไซดอนจำนวนมากแผ่ไปในฟาร์มปลา เมื่อเห็นว่าพวกปลากุ้งปูต่างก็เติบโตได้ไม่เลว เขาจึงเรียกจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับมา แล้วพักผ่อนอย่างสบายใจ
ปลายเดือนมกราคม งานประจำปีของบริษัทเอ็กซ์เพรสได้เริ่มขึ้น ก่อนหน้านี้เจนนิเฟอร์ได้ทำการยืนยันกับฉินสือโอวแล้วว่า ให้เขาออกเดินทางจากสนามบินเซนต์จอห์นไปที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟในออสเตรเลีย ทางบริษัทเอ็กซ์เพรสจะเตรียมเครื่องบินเหมาลำไว้ให้ที่นั่น
ไม่เสียชื่อที่เป็นบริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องการบริการระดับโลก บริษัทเอ็กซ์เพรสถึงกับเหมาลำเครื่องบินให้กับฉินสือโอวโดยเฉพาะเลย เจนนิเฟอร์บอกเขาว่า เพราะเขาเป็นแขกวีไอพีของบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรส LV2 จึงได้รับสิทธิพิเศษในการได้นั่งเครื่องบินส่วนตัวไปออสเตรเลีย
ฉินสือโอวถามเธอว่าสิทธิ์ปกติเป็นอย่างไร เธอบอกว่าปกติแล้วเครื่องบินเหมาลำจะจัดให้กับแขกพิเศษที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานประจำปีจำนวนสี่ถึงหกคนโดยแบ่งตามเมืองต่างๆ เซนต์จอห์นมีผู้ที่ได้รับเชิญก็คือเพื่อนของเขาแบรนดอนกับนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงอีกสองคน
ท่านฉินคิดวิเคราะห์อยู่สักพัก ก็บอกกับเธอว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเครื่องบินส่วนตัวก็ได้ ให้ทุกคนนั่งไปพร้อมกันก็พอ
นั่งเครื่องบินคนเดียวบินจากแคนาดาไปถึงออสเตรเลีย ในการบินข้ามโลกแบบนี้ ฉินสือโอวรู้สึกว่าคงจะเบื่อน่าดู สู้นั่งคุยเรื่อยเปื่อยกับแบรนดอนยังดีเสียกว่า
ที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจก็คือ แบรนดอนก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานประจำปีด้วย? ก่อนหน้านี้ตอนที่แบรนดอนคืนบัตรเครดิตให้เขานั้น ได้พูดว่าแม้แต่เขาเองยังไม่มีสิทธิ์ได้บัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสเลย
ฉินสือโอวได้จัดเตรียมเรือหาปลาให้พร้อม ระยะเวลาในการไปออสเตรเลียครั้งนี้คือสิบวัน ต้องเข้าร่วมการรายงานของบริษัทเอ็กซ์เพรสหลายงาน มีเวลาพักผ่อนมากมาย สามารถชื่นชมกับแสงแดดของออสเตรเลียได้อย่างเต็มที่
ตอนเหนือของซีกโลกใต้มีสภาพอากาศที่ตรงข้ามกับที่นี่ เกรตแบร์ริเออร์รีฟในตอนนี้ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การพักผ่อนที่สุด แสงแดดแรงกล้า ลมทะเลอบอุ่น ชายหาดพันลี้ ท้องฟ้าหมื่นลี้
ความจริงเขาอยากจะพาวินนี่ไปเที่ยวออสเตรเลียด้วย แต่วินนี่ไม่อยากเหนื่อยกับการเดินทาง เขาเองก็ได้ถามโอดอมแล้ว วินนี่ในตอนนี้ไม่เหมาะกับการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมอย่างกะทันหัน ควรจะอยู่ที่ฟาร์มปลาดีกว่า มีพวกเจ้าตัวน้อยอยู่เป็นเพื่อน สามารถรับประกันว่าจะทำให้เธออารมณ์ดีได้อย่างแน่นอน
บริษัทเอ็กซ์เพรสอนุญาตให้แขกวีไอพีสามารถพาญาติพี่น้องมาเข้าร่วมงานประจำปีด้วย ฉินสือโอวคิดไปคิดมา จึงตัดสินใจพาเหมาเหว่ยหลง แบล็คไนฟ์ กับนีลเซ็นไปด้วย คนหนึ่งไปเป็นเพื่อน อีกสองคนไปเป็นบอดี้การ์ด เหมาะสมที่สุดแล้ว
วันที่ยี่สิบ ทั้งสี่คนนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปที่สนามบินเซนต์จอห์น เครื่องบินส่วนตัวที่ทางบริษัทเอ็กซ์เพรสจัดให้ได้รออยู่ที่นั่นแล้ว
ก่อนหน้านี้เจนนิเฟอร์เคยบอกกับเขาแล้ว เครื่องบินที่ทางบริษัทจัดสรรให้เขานั้นเป็นเครื่องบิน XRS บอมบาร์ดิเอร์โกลบอลเอ็กซ์เพรส
ฉินสือโอวที่เตรียมซื้อเครื่องบินพาณิชย์อยู่ จึงพอมีความรู้ในด้านนี้อยู่บ้าง เครื่องบิน XRS บอมบาร์ดิเอร์ โกลบอลเอ็กซ์เพรสเป็นเครื่องบินพาณิชย์ที่มีระดับที่สุดของบริษัทบอมบาร์ดิเอร์ ทั้งห้องผู้โดยสารและการใช้งานพูดได้ว่าสมบูรณ์แบบ เป็นเครื่องบินที่ได้รับการสืบทอดคุณภาพที่ดีเลิศของบริษัทบอมบาร์ดิเอร์ เพื่อตอบสนองความช่างเลือกและพิถีพิถันของลูกค้าระดับสูง เป็นเครื่องบินพาณิชย์ที่หรูหราที่สุด และมีเทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทบอมบาร์ดิเอร์ เพียงแค่โครงเครื่องบินก็มีราคาเกินกว่าสามสิบล้านดอลลาร์แคนาดา!
ฉินสือโอวมีลักษณะนิสัยที่ดีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือหากว่านัดใครไว้แล้ว เขาจะมาถึงก่อนเวลาเสมอ จะไม่ให้คนอื่นต้องมารอตัวเอง นี่คือนิสัยที่ได้มาจากตอนที่ยังทำงานบริษัท และยังคงติดมาจนถึงทุกวันนี้
เครื่องบินระดับสูงย่อมคู่กับแอร์โฮสเตสระดับสูงด้วย แอร์โฮสเตสที่บริษัทเอ็กซ์เพรสจ้างมานั้นไม่ใช่พวกคุณลุงคุณป้าเหมือนที่สายการบินแคนาดาใช้ แต่เป็นสาวสวยอายุน้อยที่หน้าตาสะสวย รูปร่างสมบูรณ์แบบทั้งนั้น ความสูงของทั้งสี่คนล้วนอยู่ที่หนึ่งเมตรเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรทั้งนั้น พวกเธอสวมชุดสีชมพูกับถุงน่องสีเนื้อ ยืนสง่าอยู่ที่ประตูทางเข้าห้องผู้โดยสาร ราวกับว่ากำลังจะเดินพรมแดงอย่างไรอย่างนั้น
แอร์โฮสเตสสาวคนหนึ่งเช็กบัตรเชิญของฉินสือโอว แล้วจัดแจงกระเป๋าสัมภาระของเขา แล้วพูดว่า “คุณฉินคะ ขอบพระคุณมากที่มาถึงสนามบินก่อนเวลาค่ะ ตอนนี้ยังเหลือเวลาก่อนเครื่องจะออกอีกครึ่งชั่วโมง คุณมีอะไรให้ช่วยไหมคะ?”
ฉินสือโอวทำท่าบอกแอร์โฮสเตสสาวให้พวกเขาตามสบาย แล้วพูดว่า “ผมเดินเล่นในเครื่องบินไปก่อนแล้วกันครับ พวกคุณไม่ต้องสนใจพวกผมก็ได้”
เหมาเหว่ยหลงเพิ่งเคยนั่งเครื่องบินระดับนี้เป็นครั้งแรก ความจริงแล้วฉินสือโอวเองก็เช่นกัน เมื่อก่อนตอนเขาเหมาลำเครื่องบินล้วนเป็นเครื่องบินพาณิชย์แบบธรรมดาทั้งนั้น ไม่ใช่เครื่องบินที่มีระดับขนาดนี้
ห้องผู้โดยสารของเครื่องบินบอมบาร์ดิเอร์โกลบอลเอ็กซ์เพรสสามารถจุคนได้ 19 คน ความจริงแล้วจะจุ 50 คนก็ยังได้ เพราะมีพื้นที่กว้างขวาง การที่ตั้งไว้ที่ 19 คนก็เพราะอยากให้ผู้โดยสารสามารถมีพื้นที่ส่วนตัวได้เต็มที่
แอร์โฮสเตสสาวรูปร่างสูงโปร่งยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ในเมื่อพวกคุณอยากจะเดินเล่น งั้นดิฉันนำทางพวกคุณไปชมส่วนต่างๆ ของเครื่องบินแล้วกันนะคะ คุณสะดวกไหมคะ?”
ฉินสือโอวยิ้มแล้วพูดว่า “สะดวกที่สุดเลยครับ”
จุดเด่นของห้องโดยสารของเครื่องบินบอมบาร์ดิเอร์โกลบอลเอ็กซ์เพรสนั้น อธิบายง่ายๆ เลยก็คือหรูหรา สะดวกสบาย และมีระดับ ห้องโดยสารที่กว้างขวางแบ่งออกเป็นส่วนเล็กๆ หลายส่วน ส่วนพักผ่อนของผู้โดยสาร ส่วนห้องน้ำ ส่วนเตรียมอาหาร ห้องสูท และเคาน์เตอร์บาร์เป็นต้น
ในส่วนของส่วนประกอบเครื่องบินนั้น ห้องผู้โดยสารจะมีหน้าต่างเยอะขึ้นกว่าปกติ เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถชื่นชมแสงธรรมชาติ เพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ อีกอย่างเครื่องบินลำนี้ยังสามารถปรับแรงดันอากาศในห้องโดยสารได้ด้วย สามารถลดความรู้สึกเหนื่อยล้าของผู้โดยสารขณะเดินทางได้
แอร์โฮสเตสสาวเพิ่งจะแนะนำเสร็จ แบรนดอนก็มาถึงพร้อมกับผู้หญิงสวยเซ็กซี่คนหนึ่ง เขาเห็นฉินสือโอวแล้วก็รีบเข้ามากอด หัวเราะแล้วพูดว่า “ขอบคุณความมีน้ำใจของนายนะฉิน ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่มีสิทธิ์ได้ขึ้นเครื่องบินบอมบาร์ดิเอร์โกลบอลเอ็กซ์เพรสแน่”
การต้อนรับแขกของบริษัทเอ็กซ์เพรสมีกฎอย่างเข้มงวด นั่นก็คือเครื่องบินบอมบาร์ดิเอร์โกลบอลเอ็กซ์เพรสนั้นมีไว้บริการให้กับแขกวีไอพีของบัตร LV2 เท่านั้น
ทั้งสองคนคุยกันต่อ เพราะยังต้องรอลูกค้าของบริษัทเอ็กซ์เพรสอีกสองคน สุดท้ายคนที่ตามมาทีหลังนั้นได้นำความแปลกใจมาให้กับฉินสือโอวด้วย นั่นก็คือฮับเบิลที่ไม่เจอกันมานานนั่นเอง ฮับเบิล ดรัมมอนด์ ที่ปรึกษาทางการเงินที่มีชื่อเสียงของนิวฟันด์แลนด์
บทที่ 937 ช่างมีชะตาต้องกันเสียจริง
Ink Stone_Fantasy
“เฮ้ ฮับเบิล ไม่เจอกันนานนะครับ” ฉินสือโอวเข้ามาโอบกอดฮับเบิลอย่างกระตือรือร้น หลังจากทริปท่องเที่ยวของสภาการประมงสิ้นสุดแล้วพวกเขาทั้งสองก็ยังคงติดต่อกันเป็นประจำ อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะกลายเป็นผู้ร่วมธุรกิจกันอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ฮับเบิลพบกับโปรเจกต์การลงทุนหนึ่ง คือเขาอยากจะลงทุนธุรกิจยางพาราที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับพวกอเมริกันจากวอลสตรีต เขามาชวนให้ฉินสือโอวร่วมลงทุนด้วย แต่ตอนนั้นฉินสือโอวให้เงินสนับสนุนการหาเสียงกับแฮมเล็ตไปห้าสิบล้านเหรียญ ทำให้ในมือมีเงินไม่มากพอ ตอนนั้นจึงไม่ได้เข้าร่วมด้วย
หลังจากกอดกับฉินสือโอวแล้ว ฮับเบิลยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนที่ผมได้รับข่าว ผมก็รู้เลยว่าจะต้องได้เจอกับคุณแน่ ดังนั้นผมจึงเฝ้ารอวันนี้มาตลอดเลย”
ฉินสือโอวหัวเราะขึ้นมา เจ้าหมอนี่ช่างพูดเสียจริง เขาแนะนำเหมาเหว่ยหลงให้กับฮับเบิล จากนั้นทุกคนก็เริ่มคุยเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจของอเมริกาเหนือกัน
นักธุรกิจที่ดีล้วนเป็นนักพูดที่เก่งกาจ โดยเฉพาะที่ปรึกษาระดับแนวหน้า ไม่อย่างนั้นจะโน้มน้าวผู้ลงทุนได้เหรอ? ฮับเบิลเป็นที่สุดของที่สุดในด้านนี้ เขารู้ว่าเหมาเหว่ยหลงทำฟาร์มอยู่ จึงวิเคราะห์ข้อมูลฟาร์มของแคนาดาที่ส่งออกไปต่างประเทศให้ฟัง ทำเอาเหมาเหว่ยหลงฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
ไม่นานก็จะถึงเวลาที่นัดแล้ว ฉินสือโอวมองดูโทรศัพท์มือถือขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ทำไมแขกอีกคนยังมาไม่ถึงอีกล่ะ?”
ฮับเบิลมองดูโทรศัพท์ของเขาแล้วยิ้มๆ ใบหน้าเผยให้เห็นว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เหมาเหว่ยหลงก็บ่นออกมาด้วย ฮับเบิลพูดว่า “ฉิน ถ้าหากผมเป็นคุณนะ ผมจะภาวนาไม่ให้เขามาคืนนี้ดีกว่า เชื่อผมสิ คุณไม่อยากเจอเขาหรอกครับ”
ฉินสือโอวเต็มไปด้วยสีหน้าสงสัย จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ เขาสูดหายใจเฮือกหนึ่งแล้วพูดว่า “ฟัค!”
เขารู้ว่าอีกคนที่เหลือคือใครแล้ว
เจ้าของคนก่อนของฟาร์มปลาแกธเธอริง เจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของนิวฟันด์แลน อัลเบิร์ต!
คนในเซนต์จอห์นทุกคนต่างก็รู้เรื่องขัดแย้งระหว่างเขากับอัลเบิร์ต เพราะฟาร์มปลาแกธเธอริง ทำให้อัลเบิร์ตเสียหายไม่น้อย ถึงขั้นเข้าเนื้อลามไปถึงกระดูกเลยก็ว่าได้ หากพูดถึงคนสังคมระดับสูงในนิวฟันด์แลนด์ คนที่ฉินสือโอวไม่อยากให้มามากที่สุด นั่นต้องเป็นอัลเบิร์ตแน่นอน
เป็นไปตามคาด ตอนที่เครื่องบินเตรียมจะออกบินแล้ว ก็มีคนรูปร่างอวบอ้วนคนหนึ่งพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งขึ้นเครื่องมาอย่างเร่งรีบ ฉินสือโอวปรายตามองไปทีหนึ่ง ถ้านี่ไม่ใช่เจ้าอ้วนอัลเบิร์ตแล้วจะยังเป็นใครได้อีก?
อัลเบิร์ตพาคุณนายร่างเล็ก รูปร่างเซ็กซี่คนหนึ่งกับเด็กอ้วนสามคนคนหนึ่งตัวโต อีกสองคนตัวเล็กมาด้วย เด็กสามคนนี้มีพิมพ์เดียวกับเขาไม่มีผิด ผมสีน้ำตาล รูปหน้าใหญ่ รอบๆ จมูกมีกระเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยท่าทางหยิ่งผยอง
หลังจากขึ้นเครื่อง อัลเบิร์ตมองไปเห็นแอร์แอร์โฮสเตสสาวสี่คนที่หน้าตาสละสลวยแล้วดวงตาก็เป็นประกายไปครู่หนึ่ง สายตาเขาจับจ้องไปที่เรียวขาที่สวยงามใต้ถุงน่องสีเนื้อของแอร์แอร์โฮสเตสสาวสวยที่ยืนอยู่หน้าสุดอย่างไม่ละสายตา
คุณนายร่างเล็กข้างเขาสังเกตเห็นถึงจุดนี้ จึงส่งเสียงกระแอมออกมาทีหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็หยิบบัตรเชิญออกมาโบกไปที่หน้าของแอร์โฮสเตส แล้วทั้งห้าคนก็เดินเข้ามา
แอร์แอร์โฮสเตสเดินตามอยู่ข้างหลังยิ้มแล้วพูดว่า “สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง ดิฉันขอดูบัตรเชิญของคุณอีกครั้งได้ไหมคะ?”
อัลเบิร์ตขมวดคิ้ว ทำทีวางมาดแล้วพูดว่า “หมายความว่าอะไร เธอจะบอกว่าบัตรเชิญของพวกเราเป็นของปลอมอย่างนั้นเหรอ?”
คุณนายร่างเล็กตั้งใจทำแบบนั้นเองแหละ เพราะไม่พอใจที่เมื่อกี้อัลเบิร์ตจ้องหัวหน้าแอร์โฮสเตสนั่นเอง แน่นอนว่า เธอไม่กล้าหือกับผู้ชายคนนี้อยู่แล้ว จึงไปลงกับแอร์โฮสเตสสาวแสนสวยแทน และจงใจหาเรื่องกับเธอ
แอร์โฮสเตสสาวสวยอธิบายอย่างมีมารยาทว่านี่เป็นกฎ เธอจำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลในบัตรเชิญ คุณนายร่างเล็กทำหน้าถมึงทึงทันที แล้วพูดออกไปอย่างโกรธเคืองว่า “การกระทำของเธอเรียกว่าไม่ให้เกียรติ เข้าใจไหม? เธอแน่ใจว่าเธออยากจะไม่ให้เกียรติลูกค้าคนสำคัญของบริษัทเอ็กซ์เพรสจริงเหรอ? รอฉันไปร้องเรียนแล้วกัน ฉันจะเรียกร้องให้บริษัทเอ็กซ์เพรสให้คำตอบที่น่าพอใจกับฉันอย่างแน่นอน”
ทางบริษัทเอ็กซ์เพรสคงไม่ยอมเสียลูกค้าไปกับแอร์โฮสเตสที่จ้างมาอย่างแน่นอน หากว่าอัลเบิร์ตร้องเรียนไปแล้ว งั้นไม่ว่าอย่างไร บริษัทเอ็กซ์เพรสคงไม่ปกป้องแอร์โฮสเตสสาวคนนี้อย่างแน่นอน การให้เธอมาขอโทษคือการลงโทษที่เบาที่สุด
แอร์โฮสเตสสาวคนนี้จึงลำบากใจขึ้นมา ตามกฎแล้วเธอจำเป็นต้องตรวจเช็กข้อมูลในบัตรเชิญก่อน แต่สถานการณ์ของเธอในตอนนี้นั้นเป็นเรื่องยากที่จะขอบัตรเชิญมาดูได้
ฉินสือโอวที่มองดูอยู่ข้างๆ มาตลอด รู้สึกว่าการกระทำของอัลเบิร์ตนั้นต่ำทรามเกินไป เขารู้สึกทนดูไม่ไหวขึ้นมา จึงยิ้มเยือกแล้วดีดนิ้วทีหนึ่ง เพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจของอัลเบิร์ตและครอบครัว จากนั้นก็โบกมือแล้วพูดว่า “ไม่เจอกันนานเลยนะครับ คุณอัลเบิร์ต ถึงตอนนี้คุณก็ยังวางอำนาจเหมือนเดิมเลยนะครับ”
เมื่อเห็นหน้าของฉินสือโอวชัดแล้ว ใจของอัลเบิร์ตก็แทบระเบิดออกมา ความดันเลือดพุ่งขึ้นมาในทันที ใบหน้าอวบอ้วนก็กลายเป็นสีแดง
แบรนดอนหัวเราะแล้วพูดว่า “ฉินเป็นไอดอลคุณเหรอครับ คุณอัลเบิร์ต? ตอนผมหนุ่มๆ พอได้เจอกับไอดอลแล้วก็ตื่นเต้นแบบนี้เหมือนกัน แต่ว่าผมแนะนำว่าคุณสงบใจลงหน่อยก็ดีนะครับ เพราะว่ามันไม่ดีต่อหัวใจนะครับ!”
“ฟัค ฟัคยู!” อัลเบิร์ตกัดฟันแล้วสบถสองคำนี้ออกมา
ฟาร์มปลาแกธเธอริงทำให้เขาเสียหายไปถึงครึ่งร้อยล้าน นั่นน่ะคือรีสอร์ตระดับหรูที่เขาเตรียมการมานานหลายปี เพราะตำแหน่งที่เป็นเอกลักษณ์และสภาพแวดล้อมที่ดีของเกาะแฟร์เวล เขาเคยมีความฝันว่าอยากจะสร้างฟาร์มวินด์เซอร์บนทะเลที่เกาะเล็กๆ แห่งนั้น
แต่เพราะฉินสือโอว ทำให้ทุกอย่างหายไปหมด เขาไม่เพียงแต่เสียเงิน แต่ยังสูญเสียโอกาสที่จะเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของแคนาดาที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
ฉินสือโอวที่ได้ยินคำพูดหยาบคายของเขา จึงชี้ไปที่เขาแล้วพูดว่า “อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนายนะ ตอนนี้บอดี้การ์ดของนายไม่ได้อยู่ด้วย แต่ฉัน….”
เขาชี้ไปที่ด้านหลัง นีลเซ็นกับแบล็คไนฟ์ยืนขึ้นมาด้วยสีหน้าเยือกเย็น ทั้งสองคนสวมชุดสูทสีดำกับรองเท้าหนังสีดำ พร้อมผูกเนกไทสีดำ บนหน้ายังสวมแว่นกันแดดโบลองอีกด้วย เต็มไปด้วยภาพลักษณ์บอดี้การ์ดของหัวหน้าแก๊ง
แน่นอนว่าอัลเบิร์ตรู้ถึงสำนวนที่ว่าคนฉลาดต้องถอยในยามที่อยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ เขาจ้องไปที่ฉินสือโอวอย่างเคียดแค้นทีหนึ่ง แล้วพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ดี ดีมาก! ที่รัก พาพวกเด็กๆ ไปที่ห้องสวีท พวกเราจะไม่อยู่ร่วมกับคนเถื่อนพวกนี้”
แบรนดอนเข้าไปขวางเขาไว้ ใช้สายตาแนะนำคุณนายร่างเล็กที่อยู่ข้างๆ อัลเบิร์ตว่า “ตรวจสอบบัตรเชิญก่อนด้วยครับ ไม่อย่างนั้นใครจะรู้ว่าพวกคุณมาจากที่ไหน?”
“แล้วคุณเป็นใครคะ? คุณพูดแบบนี้คือกำลังสงสัย…คุณนายร่างเล็กกำลังจะโกรธ แต่อัลเบิร์ตได้แย่งบัตรเชิญมาแล้วโยนให้กับแอร์โฮสเตสสาว แล้วตะโกนออกไปเสียงดังว่า “ไปห้องสวีท ฉันไม่อยากพูดรอบสอง!”
คุณนายร่างเล็กกระทืบเท้าไปมา ใช้สายตาที่ไม่พอใจมองไปที่แบรนดอนสองที จากนั้นก็บิดเอวที่บางเล็กกับสะโพกที่โด่งงอนนั้นเดินเข้าไปห้องสวีทที่อยู่ส่วนหน้าของห้องโดยสาร เด็กทั้งสามคนที่ตอนแรกกำลังหยอกล้อกันอยู่ เมื่อเห็นคุณพ่อโกรธก็สงบลง
ฮับเบิลยักไหล่ เม้มปากแล้วพูดกับฉินสือโอวว่า “ดูท่าผมคงดูถูกความขัดแย้งของคุณทั้งสองไปหน่อยนะครับ”
ฉินสือโอวปัดมือไปมาแล้วพูดว่า “ไม่หรอกครับ เป็นเขาฝ่ายเดียวที่มีอคติกับผม ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ไม่เลวคนหนึ่งเลย ดูทึ่มๆ แถมน่ารักด้วย ฟาร์มปลาที่เขาให้ผมมาก่อนหน้านี้ก็ไม่เลวเลย ความจริงแล้วผมชอบเป็นเพื่อนกับคนแบบนี้มากนะ”
แอร์โฮสเตสสาวสวยใช้เครื่องมือเล็กๆ เครื่องหนึ่งที่ดูเหมือนกับเครื่องสแกนนำมาสแกนไปที่บัตรเชิญ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาก็นำบัตรเชิญคืนให้กับคุณนายร่างเล็ก จากนั้นก็กลับมาพูดกับแบรนดอนด้วยรอยยิ้มขอบคุณว่า “ขอบคุณที่ช่วยนะคะ เชิญคุณนั่งรอสักครู่ เที่ยวบินของเรากำลังจะออกเดินทางแล้วค่ะ”
แบรนดอนยิ้ม ฉินสือโอวนึกว่าคาสโนวาคนนี้จะหยอกแอร์โฮสเตสสาวเสียแล้ว แต่เขาไม่ทำอย่างนั้น กลับเดินกลับมาด้วยท่าทีสุขุมแทน
ไม่ถูกนี่นา ฉินสือโอวมองดูแบรนดอนอย่างแปลกใจ
บทที่ 938 แสงแดดแผดเผา
Ink Stone_Fantasy
เครื่องบิน XRS บอมบาร์ดิเอร์โกลบอลเอ็กซ์เพรสเป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทบอมบาร์ดิเอร์ ไม่เพียงแต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ตกแต่งหรูหรามีระดับเท่านั้น การใช้งานก็โดดเด่น
อัตราการบินของมันสามารถบินได้สูงถึง 15,545 เมตร ในความสูงระดับนี้มีอากาศไหลเวียนน้อยมาก ดังนั้นจึงรู้สึกสบายอย่างที่สุด หลังจากเครื่องบินออกตัวแล้วฉินสือโอวรู้สึกได้ถึงการไต่ระดับเพียงสองครั้งเท่านั้น หลังจากไต่ระดับสองครั้งนั้นแล้ว เครื่องบินก็มั่นคงมากราวกับอยู่บนผืนดินเลย
ในด้านความเร็ว เครื่องบินพาณิชย์ลำนี้ก็ใช่ย่อย อัตราความเร็วในการบินปกติของมันคือ 0.85 มัค หรือก็คือ 0.85 เท่าของความเร็วเสียงนั่นเอง ในหนึ่งชั่วโมงสามารถบินไปได้ไกลถึงหนึ่งพันกว่ากิโลเมตร ในระดับความเร็วแบบนี้ เครื่องบินสามารถบินต่อเนื่องกันได้นานถึงสิบสองชั่วโมง…
คนเยอะมักจะมีแต่เรื่องน่าสนใจ กลุ่มผู้ชายพากันพูดคุยสัพเพเหระกันในพื้นที่พักผ่อน หลังเดินทางผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ตอนเปิดประตูผู้โดยสารออกนั้นสิ่งที่รอต้อนรับอยู่ก็คือลมร้อนที่พัดโชยมาโดนหน้า!
ถึงหน้าร้อนแล้ว
ออสเตรเลียอยู่ห่างจากอเมริกาเหนือถึงสองพันกิโลเมตร เพราะว่าอยู่ในเขตซีกโลกเหนือและใต้ ทำให้สภาพอากาศของทั้งสองตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ตอนนี้ที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟเป็นช่วงฤดูร้อน แน่นอนว่าเพราะที่นี่อยู่ในพื้นที่สภาพอากาศเขตร้อน ดังนั้นอากาศจึงร้อนมากตลอดปี
ระหว่างหนึ่งปีนั้น เดือนมกราคมที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟเป็นช่วงที่มีอุณหภูมิสูงที่สุด อุณหภูมิตอนกลางวันของที่นี่เฉลี่ยอยู่ที่สูงกว่าสามสิบองศาเซลเซียส
ถึงตอนที่เครื่องบินกำลังจะลงพื้น แอร์โฮสเตสสาวได้พูดแนะนำให้ทุกคนเปลี่ยนเป็นชุดสบายตัวด้วย ไม่เสียแรงที่บริษัทเอ็กซ์เพรสเป็นบริษัทด้านการบริการ ดูแลได้ทั่วถึงจริงๆ บริษัทได้จัดเตรียมพวกเสื้อยืดกับกางเกงชายหาดไว้ให้บนเครื่องบินด้วย ผู้โดยสารแค่เปลี่ยนชุดก็พอแล้ว
เกรตแบร์ริเออร์รีฟไม่มีสนามบิน เครื่องบินบอมบาร์ดิเอร์โกลบอลเอ็กซ์เพรสจึงทำการลงจอดที่สนามบินแคนส์แทน ซึ่งเป็นสนามบินที่ใกล้เกรตแบร์ริเออร์รีฟที่สุด สนามบินมีขนาดใหญ่ ในทุกปีต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวออสเตรเลียมากมาย ตอนที่พวกฉินสือโอวลงเครื่องมาก็ได้พบกับนักท่องเที่ยวมากมายด้วย
รถบัสระดับหรูของบริษัทเอ็กซ์เพรสได้จอดรออยู่ในสนามบินแล้ว ทุกคนเพิ่งลงจากเครื่องบิน รถบัสก็ได้ขับเข้ามารับอย่างช้าๆ
ฉินสือโอวยืดเส้นยืดสายไปทีหนึ่ง ก็มีเสียงข้อต่อดังกร๊อบแกร๊บขึ้นมา นั่งเครื่องบินมายี่สิบกว่าชั่วโมง ถึงจะเป็นเครื่องบินระดับพรีเมียมก็เถอะ ก็ยังคงมีความรู้สึกเหนื่อยอยู่นิดๆ
เวลาที่พวกเขาถึงสนามบินคือตอนบ่ายสองโมงครึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดพอดี ฉินสือโอวยืนอยู่ข้างนอกแค่ไม่กี่สิบวินาที ก็รู้สึกว่าเหงื่อไหลท่วมตัวแล้ว แสงอาทิตย์เหนือหัวแผดเผาลงมา ทุกอย่างที่นี่ล้วนแผดเผาทั้งนั้น
ระหว่างที่กำลังรับลมร้อนอยู่นั้น ฉินสือโอวส่ายหัว สกีหิมะที่เขาเคอร์บัลเหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานเอง แต่เขาในตอนนี้กลับอยู่ในฤดูที่ร้อนระอุเสียแล้ว
เหล่าแอร์โฮสเตสได้เตรียมกำหนดการมาให้ทุกคนคนละชุด หลังขึ้นรถบัสแล้วฉินสือโอวก็หยิบออกมาดู สถานที่ที่พวกเขาจะไปนั้นเป็นรีสอร์ตแห่งหนึ่ง ชื่อว่า รีสอร์ตควอเลีย เห็นว่าไม่นานมานี้รีสอร์ตนี้ถูกนิตยสารของคองเดนาสต์ ซึ่งเป็นนิตยสารท่องเที่ยวยกให้เป็นรีสอร์ตที่ดีที่สุดในเขตโอเชียเนีย
เหมาเหว่ยหลงดูประวัติของรีสอร์ตก็ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่ฉันกำลังกลับบ้านแล้วเหรอ?”
แบรนดอนถามว่าหมายความว่าอย่างไร เหมาเหว่ยหลงชี้ไปที่ประวัติของรีสอร์ตบนคู่มือแล้วพูดว่า “คุณดูสิ ในนี้บอกว่ารีสอร์ตตั้งอยู่ที่แฮมิลตัน ผมมีฟาร์มอยู่ที่แฮมิลตันฟาร์มหนึ่ง ไม่เรียกว่าได้กลับบ้านแล้วเหรอครับ?”
รีสอร์ตควอเลียตั้งอยู่บนพื้นที่เหนือสุดของเกาะแฮมิลตัน ตรงชายแดนเกรตแบร์ริเออร์รีฟ เงียบสงบมาก เป็นที่ที่มีชื่อเสียงในด้านความหรูหราระดับโลกในออสเตรเลีย รถบัสขับเคลื่อนไปตามทาง ระหว่างทางไม่มีการก่อสร้างหรือรถขับผ่านเลย ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปดินแดนในอุดมคติอย่างไรอย่างนั้น
แต่ฉินสือโอวกลับรู้สึกว่าที่แบบนี้ไม่น่าสนใจเท่าไรนัก เพราะว่าเกาะแฟร์เวลก็คือดินแดนในอุดมคติที่ดีที่สุดในโลกอยู่แล้ว เขากลับหวังว่าบริษัทเอ็กซ์เพรสจะเลือกเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์กเป็นสถานที่จัดงานประจำปีมากกว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นทุกคนจะได้พากันไปเที่ยวเล่น ไปบ้าระห่ำกันถึงจะดี
ปกติตลอดปีก็อยู่แต่บนเกาะเล็กๆ ที่ตัดขาดโลกภายนอก แม้ว่าฉินสือโอวจะชอบการใช้ชีวิตแบบสุขสบายแบบนี้ แต่ก็ยังคงต้องการกิจกรรมที่บ้าคลั่งเพื่อแก้เบื่อบ้าง ก็เขายังเป็นคนหนุ่มอยู่เลยนี่นา
ในรีสอร์ตมีบ้านพักสไตล์ลอฟท์อยู่ 60 ห้อง รอบข้างล้อมรอบไปด้วยป่าไม้สวยงามน่าค้นหา หากว่าใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่มานาน การได้มาพักในที่แบบนี้สักพักถือว่าสบายมากเลยทีเดียว ที่นี่เป็นที่ที่เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจมาก
หลังจากเข้าไปในอาณาเขตรีสอร์ตแล้ว จะเห็นศาลาพักผ่อนที่ออกแบบสวยงามประณีตค่อยๆ ปรากฏออกมา เป็นศาลาที่มีครบหมดทุกสไตล์ แต่ไม่ว่าจะสไตล์ไหน การออกแบบของศาลาเหล่านี้ก็ยังคงเข้ากับทิวทัศน์โดยรอบอย่างลงตัวทั้งนั้น สามารถทำให้เพลิดเพลินจนลืมเวลาไปได้
รถบัสขับผ่านไป ทางนี้เป็นทรายขาวบริสุทธิ์ที่ยาวระดับพันลี้ ส่วนทางนั้นเป็นป่าไม้ที่เขียวขจีสวยงาม และเหมือนกับเกาะแฟร์เวล ที่มักมีสัตว์ตัวเล็กมุดออกมาจากป่าเป็นพักๆ หรือไม่ก็วิ่งกลับจากถนนเข้าไปในป่า
ฉินสือโอวหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปจำนวนหนึ่งส่งให้วินนี่ วินนี่ก็ส่งรูปกลับมาให้เขาจำนวนหนึ่ง เป็นรูปที่เธอถ่ายเซลฟีกับเจ้าตัวเล็กทีละตัว ในทุกรูปจะมีวินนี่อยู่ด้วย มันมุดเข้าไปที่หน้าอกของวินนี่ แล้วโผล่หน้าเล็กๆ ที่อ้วนกลมออกมา
รถบัสขับเข้าไปยังที่จอดรถของรีสอร์ต มีคนมารอต้อนรับกลุ่มของฉินสือโอวอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว เป็นคนผิวขาวผมทองที่สวมเสื้อเชิ้ตสุภาพกับกางเกงสแลค มีคนแนะนำว่านี่ก็คือผู้จัดการทั่วไปของบริษัทเอ็กซ์เพรสในเขตออสเตรเลีย ชื่อว่าควินซี เกตส์
“คุณเกี่ยวข้องกับคุณบิล เกตส์หรือเปล่าครับ?” ฉินสือโอวถามพร้อมหัวเราะ เขาไม่ได้ถามเล่นๆ นะ เพราะดูจากโครงหน้าของชาวผิวขาวคนนี้แล้ว มีส่วนคล้ายกับเศรษฐีระดับโลกคนก่อนจริงๆ
ควินซีหัวเราะแล้วพูดว่า “คุณมีสายตาที่เฉียบแหลมจริงๆ ครับ ความจริงแล้วบิลเป็นลูกพี่ลูกน้องของผมเอง พูดถึงจุดนี้แล้วผมต้องอธิบายเกี่ยวกับตัวผมไหมครับ ว่าที่ผมได้มาเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรสนั้นเกี่ยวข้องกับบิลหรือเปล่า?”
ฉินสือโอวและคนอื่นๆ พากันหัวเราะตามขึ้นมา ควินซีคนนี้เป็นคนที่ร้ายกาจจริงๆ ตัวเองเป็นถึงสมาชิกคนในตระกูลเกตส์ ที่บริษัทเอ็กซ์เพรสให้เข้ามาดูแลที่ออสเตรเลีย ไม่แน่ว่าอาจจะเพราะอยากยืมอำนาจของตระกูลเกตส์ด้วยก็ได้
ห้องพักถถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ที่รีสอร์ตต้องรับรองแขกพิเศษถึงหลายร้อยคน แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะได้บ้านพักส่วนตัวกันคนละหลัง ห้องพักของแขกทุกคนได้ถูกจัดแบ่งเรียบร้อยแล้วโดยแบ่งตามพื้นที่ ฉินสือโอวเลยโชคร้ายเพราะต้องพักอาศัยกับอัลเบิร์ต
ฉินสือโอวไม่อยากเห็นหน้าที่น่ารังเกียจของอัลเบิร์ตทั้งเช้าและเย็น ส่วนอีกทางก็คงคิดแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นทั้งสองจึงไปหาควินซีเพื่อขอเปลี่ยนห้องพักกันโดยไม่ต้องนัดหมาย ควินซีไม่ได้ถามเหตุผล แค่ไปพูดคุยกับฮับเบิลและแบรนดอนสักครู่ แล้วก็รีบเปลี่ยนห้องให้พวกเขา
อากาศร้อนอบอ้าว ส่วนฉินสือโอวก็นั่งเครื่องบินมาแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืน จึงวางกระเป๋าสัมภาระลงแล้วเตรียมอาบน้ำ
สระว่ายน้ำของห้องพักทำด้วยกระจกนิรภัย เชื่อมเข้าไปในทะเลโดยตรง หรือก็คือสระว่ายน้ำสระนี้กับท้องทะเลนั้นมีเพียงกระจกแผ่นเดียวกั้นอยู่เท่านั้น ส่วนผิวน้ำของสระว่ายน้ำก็อยู่ในระดับเดียวกับท้องทะเลด้วย
เมื่อก่อนฉินสือโอวเคยเห็นสระว่ายน้ำแบบนี้แต่เพียงในโทรทัศน์เท่านั้น เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้เขารู้สึกสนใจขึ้นมา เขาสวมกางเกงว่ายน้ำลงไปในสระ ที่สระว่ายน้ำนี้ยังสามารถสัมผัสกับคลื่นทะเลได้เหมือนกับอยู่บนทะเลอีกด้วย
แสงอาทิตย์แผดเผาจนน้ำในสระว่ายน้ำร้อนระอุไปแล้ว หลังฉินสือโอวลงน้ำแล้ว ก็ปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปในทะเลอย่างที่ทำประจำ แต่กลับพบว่าใต้ท้องทะเลรอบๆ นั้นไม่มีอะไรเลย มีแต่เพียงก้อนหินเม็ดทรายเท่านั้น
ฉินสือโอวเข้าใจในทันที เพื่อเป็นการคุ้มครองนักท่องเที่ยว ใต้ท้องทะเลรอบๆ บริเวณรีสอร์ตจึงถูกเก็บกวาดไปหมดแล้วนั่นเอง ก็เหมือนกับที่อัลเบิร์ตวางแผนจะทำกับฟาร์มปลาแกธเธอริงนั่นแหละ ท้องทะเลแบบนี้ไม่มีทั้งสาหร่ายและหญ้าทะเล ทำให้ไม่มีปลามาอยู่อาศัย จึงไม่มีพวกแมงกะพรุนกับงูทะเลด้วย
จำนวนของแมงกะพรุนและงูทะเลที่ถูกฆ่าตายในออสเตรเลียนั้นสูงที่สุดในโลก น่านน้ำรอบๆ นี้ไม่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก ทุกปีจะต้องมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยกว่าสิบคนเลย
บทที่ 939 ทฤษฎีหกช่วงคน
Ink Stone_Fantasy
ฉินสือโอวไม่ได้สำรวจต่อไปอีก เกรตแบร์ริเออร์รีฟขึ้นชื่อเรื่องแนวปะการัง ถ้าลงลึกไปอีกจะต้องพบกับโลกใต้ทะเลที่เต็มไปด้วยสีสันมากมายแน่ แต่ว่าเขาเพียงแค่อยากเห็นแนวปะการังสีสันสวยงามแถวริมทะเลมากกว่า เมื่อตอนนี้ไม่สามารถเห็นได้ เขาจึงสบายใจขึ้น ไม่ว่าอย่างไรทะเลแนวชายฝั่งของฟาร์มปลาของเขาก็สวยกว่า!
เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว ในใจท่านฉินก็รู้สึกดีขึ้นมา
พนักงานหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านหลัง ถามว่า “คุณผู้ชายคะ ไม่ทราบว่าคุณต้องการดื่มอะไรดีคะ? น้ำผลไม้ ไวน์แดง กาแฟเย็น ชาเย็น หรือว่าคุณต้องการจะทานอะไรอย่างอื่นคะ?”
ฉินสือโอวหัวเราะแล้วตอบกลับไปว่าขอน้ำเปล่าให้ผมแก้วหนึ่งก็พอครับ จากนั้นพนักงานจึงเดินมาพร้อมกับแก้วคริสทัลที่รินน้ำดื่มไว้แก้วหนึ่ง
มองดูแก้วคริสทัลแล้ว ฉินสือโอวก็พลันนึกถึงตอนที่ยังอยู่ที่เมืองไหเต่าเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นเขาถูกตำรวจเรียกไปพบกับเออร์บักที่สถานีตำรวจ และที่นั่นเองที่เออร์บักได้ใส่จี้หัวใจโพไซดอนลงไปในแก้วคริสทัลที่นำไปสู่จุดเริ่มต้นของชีวิตที่แปลกพิสดารของเขา
ระหว่างที่จิบน้ำเปล่าอยู่นั้น ฉินสือโอวก็อดที่จะพูดออกมาไม่ได้ว่า “ชีวิตคนเป็นดั่งความฝันจริงๆ…”
“สวัสดีค่ะ คนจีนหรือเปล่าคะ?” เสียงหวานเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากที่ไม่ไกลนัก ฉินสือโอวเอียงคออย่างแปลกใจ มองไปที่สระว่ายน้ำข้างๆ เห็นผู้หญิงผมทองรูปร่างสูงโปร่ง สัดส่วนได้รูปคนหนึ่งกำลังมองมาที่เขาพร้อมรอยยิ้ม
ผู้หญิงคนนี้มีรูปร่างเหมือนนางแบบ เอวเล็กคอด ขาเรียวยาว เมื่อลมทะเลโชยมา ก็พัดเอาเส้นผมปลิวไสวไปตามสายลม ดวงตากลมสวย ฟันสีขาวผ่อง แววตาเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาของวัยสาว แต่หน้าตาดูอ่อนโยน ริมฝีปากแดงระเรื่อยิ้มมุมปากเล็กน้อย ราวกับกำลังหยอกเล่นใครอยู่
วิลล่าในรีสอร์ตแห่งนี้มีมากมายหลายรูปแบบ มีวิลล่าเดี่ยว วิลล่าแฝด วิลล่าแบบเป็นแถว วิลล่าที่สร้างแบบทับซ้อนกัน วิลล่าที่ฉินสือโอวพักอยู่นั้น ก็คือวิลล่าแฝด ตึกทั้งสองของวิลล่ามีพื้นที่ว่างส่วนตัวกั้นไว้ระหว่างกลาง แต่ใช้กำแพงกั้นเดียวกัน ทำให้สระว่ายน้ำด้านนอกกำแพงของทั้งสองตึกนั้นอยู่ชิดติดกัน
ฉินสือโอวไม่ได้สังเกตว่ามีคนออกมาจากวิลล่าข้างๆ ตอนไหน ยังดีที่เขาไม่ได้ทำเรื่องน่าขายหน้าลงไป จึงยืนขึ้นมาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม แล้วทักทายกลับไปว่า “ผมชื่อฉิน เป็นคนจีนครับ ไม่ทราบว่าคุณคือ…อ้อ คือผมหมายถึงว่า ผมไม่ได้รบกวนคุณใช่ไหมครับ?”
เขากะจะถามว่าอีกฝ่ายเป็นใครอย่างที่เคยทำบ่อยๆ แต่พลันนึกขึ้นได้ว่ามีวัฒนธรรมของบางประเทศ ที่ไม่ควรถามคำถามพวกนี้กับสุภาพสตรี แต่ทว่าเขาก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้หน้าตาคุ้นมาก คลับคล้ายว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน
หญิงสาวไม่ได้ตอบเขาทันที เขามองไปที่รูปร่างของฉินสือโอวด้วยสายตาชื่นชม พยักหน้าแล้วพูดว่า “เป็นกล้ามเนื้อที่สวยงามนะคะ”
ฉินสือโอวออกกำลังกายทุกวัน จิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็ช่วยพัฒนาร่างกายของเขาอยู่ตลอดไม่ขาด เมื่อสองอย่างนี้รวมกัน ทำให้กล้ามเนื้อบนตัวเขานั้นชัดเจนมาก เขาอาจไม่ได้มีรูปร่างกำยำเหมือนกับผู้ชายชาวอเมริกันเหนือ แต่ว่ารูปร่างสันทัด บวกกับการต้องออกทะเลตากแดดเป็นประจำจนผิวกลายเป็นสีแทน ทำให้มีเสน่ห์น่าดึงดูดเป็นที่สุด
ผู้หญิงสวยและเซ็กซี่ล้วนสามารถดึงดูดเพศชายได้ ฉินสือโอวเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นจึงรู้สึกสนใจผู้หญิงสวยเป็นธรรมดา แต่ว่าเขาไม่เหมือนกับสัตว์เลี้ยงอย่างฉงต้า เขายังมีการหักห้ามใจอยู่ แถมมีมากด้วย จึงไม่ได้ตอบกลับไป เพียงยิ้มๆ แล้วนั่งลงไปในน้ำต่อ
“โอ้ เป็นเด็กหนุ่มขี้อายเสียด้วย คุณบรรลุนิติภาวะแล้วใช่ไหมคะ? ฉันคิดว่าคุณต้องบรรลุนิติภาวะแล้วแน่เลย ใช่ไหมคะ?” เมื่อเห็นฉินสือโอวหลบหน้า ผู้หญิงจึงพูดหยอกเขาขึ้นมา
ท่านฉินรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา หมายความว่าอะไรกัน จะจีบฉันหรือไง? เหอๆ ฉันรอวันนี้มาหลายปีแล้ว ในที่สุดก็มีสาวฝรั่งอยากจีบฉันแล้ว…
ในใจรู้สึกได้ใจ แต่ไม่ได้แสดงออกไปทางสีหน้า เขาพูดเล่นตอบกลับไปว่า “ผมบรรลุนิติภาวะแน่นอนแล้วสิครับ ไม่อย่างนั้นใครจะมาจ้างผมเป็นบอดี้การ์ดล่ะครับ? ความจริงแล้วผมเป็นบอดี้การ์ดครับ เป็นทหารชาวจีน รู้จักไหมครับ?”
เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แต่รู้ว่ามีสาวต่างชาติบางคนที่มักจะอยู่ในสังคมระดับสูงเพื่อจับปลาใหญ่ เขาจึงหาข้ออ้างมาปิดบังฐานะตัวเอง ถ้าหากว่าสาวคนนี้คิดจะมาจับปลาใหญ่แล้วล่ะก็ แน่นอนว่าคงจะไม่สนใจบอดี้การ์ดอย่างแน่นอน
ก่อนจะมาเขาได้ยินเจนนิเฟอร์บอกว่า แขกที่บริษัทเอ็กซ์เพรสเชิญมานั้นส่วนมากจะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จอายุสี่สิบขึ้นไปทั้งนั้น คนที่ยังหนุ่มสาวนั้นมีน้อยมาก คนที่อายุน้อยกว่าสามสิบนั้นก็มีแค่เขาคนเดียว เรื่องนี้บวกกับรูปร่างของเขาแล้ว การจะบอกว่าตัวเองเป็นบอดี้การ์ดของเหล่าเศรษฐีจึงเป็นความคิดที่ดีทีเดียว
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้แล้ว ดวงตาสีฟ้าของหญิงสาวก็เปล่งประกายทันที เธอกระโดดลงไปในสระว่ายน้ำมองไปราวกับปลาสีขาวตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ใช้เวลาไม่นานก็ว่ายมาอยู่ข้างๆ เขาแล้ว เธอพาดตัวไว้ที่กระจกอย่างดีใจแล้วถามว่า “คุณเป็นบอดี้การ์ดเหรอคะ? อ้อ แน่นอนว่าฉันรู้จักค่ะ บอดี้การ์ดจากจงหนานไห่เหรอคะ? หรือว่าทหารรักษาชาติ? คุณเก่งเท่าพวกเขาไหมคะ?”
ฉินสือโอวยักไหล่ ทำท่าชกกำปั้นออกไป เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแขนเป็นมัดๆ ชัดเจน แล้วก็พอดีกับตอนที่ปล่อยกำปั้นออกไปนั้นมีคลื่นทะเลสาดมาโดนตัวเขา ทำให้ยิ่งดูสง่างามน่าเกรงขามที่สุด!
“ว้าว! พระเจ้า คุณเก่งจัง!” หญิงสาวตื่นเต้นขึ้นมามากกว่าเดิมจนสีหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมา “คุณเป็นบอดี้การ์ดของใครคะ? ลองพูดมาหน่อยสิคะ ดูว่าฉันจะรู้จักหรือเปล่า”
ฉินสือโอวยักไหล่ แล้วพูดว่า “ขอโทษนะครับ กฎข้อแรกของบอดี้การ์ดอย่างพวกผมก็คือ ห้ามเปิดเผยข้อมูลของผู้จ้างวานเด็ดขาด ความจริงแล้ว พวกผมก็ไม่ควรสนทนากับคนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยนะครับ ลาก่อนนะครับ คุณผู้หญิงคนสวย หวังว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกนะครับ”
เขาเห็นพวกเหมาเหว่ยหลงพูดคุยกันสนุกสนานแล้วเดินมาพอดี จึงไม่อยากให้เจ้าพวกนี้เข้าใจผิด จึงรีบเดินจากไป
หลังจากอาบน้ำจืดแล้ว ฉินสือโอวเดินออกมา เหมาเหว่ยหลงก็พูดขึ้นด้วยท่าทีตื่นเต้นว่า “ทายสิเมื่อกี้ฉันเจอใครมา? แกต้องทายไม่ถูกแน่นอน ไอ้หนู ฉันจะใบ้ให้นะ เป็นเทพสาวท่านหนึ่ง”
“ใคร? นางพญางูขาวเหรอ?” ฉินสือโอวพูดหยอกกลับไป
นางพญางูขาวที่นำแสดงโดยจ้าวหย่าจือนั้น เป็นไอดอลของเขามาโดยตลอด ความจริงแล้วจุดสำคัญที่วินนี่ได้ใจเขาไป ก็เพราะเธอมีส่วนคล้ายนางพญางูขาวด้วย อ่อนหวานอ่อนโยน ทั้งยังเป็นกุลสตรีด้วย
เหมาเหว่ยหลงกลอกตาทีหนึ่ง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ยี่สิบปีที่แล้วอาจถือว่านางพญางูขาวคือเทพองค์หนึ่ง แต่ว่าตอนนี้เป็นไม่ได้แล้วล่ะ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ ให้ตายเถอะ ตอนเด็กที่ฉันดูเรื่องตำนานนางพญางูขาวนั้น ยังเคยสาบานว่าจะขอนางพญางูขาวเป็นเมียเลย แค่พริบตาเดียว ฉันจะเป็นพ่อคนแล้ว!”
ทั้งสองคนพากันนึกย้อนวันเวลาเก่าๆ กัน ทำเอาลืมเรื่องเทพสาวที่พูดก่อนหน้าไปเสียสนิท
งานประจำปีของบริษัทเอ็กซ์เพรสมักจะจัดขึ้นตอนกลางคืน แขกทุกคนไปถึงงานกันตอนกลางวัน แต่ฉินสือโอวกับเหมาเหว่ยหลงกลับออกไปเที่ยวกันแทน พวกเขาเห็นรถบัสสวยหรูหลายคันพากันขับเข้ามา มีคนดังคนหนึ่งเดินออกมา
ที่อเมริกามีสำนวนอยู่ประโยคหนึ่งว่า เราสามารถรู้จักคนทั้งโลกได้โดยผ่านการพูดคุยกับคนหกคน
สำนวนนี้ไม่ได้ไร้สาระเลย แต่เป็นบทสรุปที่ได้มาจากการทดลอง ในปี 1967 นักจิตวิทยาทางสังคมที่มีชื่อเสียงของอเมริกา สแตนลีย์ มิลแกรมได้ทำการทดลองในเนแบรสกา โดยการคัดคนมา 100 คน เขาส่งพัสดุไปให้ทุกคนคนละหนึ่งชิ้น ส่วนชื่อผู้รับบนกล่องพัสดุนั้นเป็นนักเล่นหุ้นคนหนึ่งในบอสตันที่พวกเขาไม่รู้จัก
ในกล่องพัสดุเขาได้แนบคำอธิบายไว้ด้วยว่า ขอให้ทุกคนช่วยนำพัสดุนี้ส่งไปให้กับคนที่พวกเขาคิดว่าน่าจะรู้จักผู้รับคนนี้ จากนั้นค่อยส่งต่อไป สุดท้ายมีพัสดุประมาณ 1/3 ที่สามารถส่งไปให้ผู้รับบนจ่าหน้าได้ถูกต้อง และจำนวนครั้งที่พัสดุเหล่านี้ถูกส่งก่อนที่จะถึงมือผู้รับได้ถูกต้องนั้นก็ไม่เกิน 6 ครั้งเลย
เรื่องพวกนี้หลายๆ คนคงเคยได้ยินมาแล้ว แต่ที่คนไม่รู้ก็คือ มิลแกรมได้ทำการวิเคราะห์พัสดุที่ถูกส่งได้ถูกต้องทุกชิ้นด้วย ระหว่างที่เขาวิเคราะห์พัสดุเหล่านี้อยู่นั้น พบว่าพัสดุเหล่านี้ส่วนใหญ่จะถูกส่งผ่านคนเนแบรสกาสามคน
เรื่องนี้บ่งบอกอะไรได้บ้าง?
บทที่ 940 มนุษยสัมพันธ์
Ink Stone_Fantasy
สิ่งที่ได้จากการทดลองนี้ก็คือ ในชีวิตของคนนั้น จะต้องรู้จักกับเพื่อนประเภทที่สามารถช่วยเหลือเราได้บ้างไม่มากก็น้อย
ก่อนหน้านี้ที่บัตเลอร์มาพูดอวดเรื่องคอนเนคชั่นกับฉินสือโอวนั้น ฉินสือโอวไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก แต่การมาร่วมงานประจำปีของบริษัทเอ็กซ์เพรสในครั้งนี้ เขาก็คิดได้ว่า เมื่อก่อนการที่เขาคบหาเพื่อนโดยอิงหลักการหวูเว่ย (การไม่ทำอะไร แต่ใช้ชีวิตไปตามสภาพแวดล้อมแทน) นั้น อาจจะไม่ผิดเสียทีเดียว
เขาจะไม่จงใจเข้าหาเพื่อนที่มีฐานะ แต่การทำแบบนี้กลับทำให้เขาได้รับความชื่นชมจากคนใหญ่คนโตเสียมากกว่า สิ่งที่คนเหล่านั้นชื่นชมเขาก็คือการใช้ชีวิตแบบอยู่ในส่วนของตัวเอง ไม่แก่งแย่งกับใครนั่นเอง
เคอร์ สเตราส์ก็คือหนึ่งในคนใหญ่คนโตเหล่านี้ เขากับฉินสือโอวเคยเจอกันแค่สี่ห้าครั้งเท่านั้น แต่ภาพความทรงจำที่ทั้งสองฝ่ายทิ้งไว้ให้แก่กันนั้นกลับเป็นภาพที่ดีมาก
เมื่อรวมเข้ากับทฤษฎีหกช่วงคนแล้ว การที่ฉินสือโอวรู้จักกับเคอร์ สเตราส์นี่แหละ ทำให้เขาได้รู้จักคนใหญ่คนโตที่มีประโยชน์มากมาย
ตอนเย็นตอนที่ฉินสือโอวกำลังออกไปเดินเตร็ดเตร่อยู่นั้นก็ได้พบเข้ากับหัวหน้าคนปัจจุบันของตระกูลสเตราส์ เขากำลังพูดคุยอยู่กับชายหนุ่มอายุใกล้เคียงกันอยู่ เมื่อเห็นฉินสือโอวเขาก็โบกมือทักทาย แล้วพูดอย่างดีใจว่า “เฮ้ ฉิน มานี่เร็ว ผมจะแนะนำเพื่อนให้คุณรู้จัก”
ฉินสือโอวรีบย่ำเท้าเข้าไปหา การทำแบบนี้สามารถทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีได้ เพราะสามารถทำให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ว่าคุณสนใจพวกเขาจริงๆ
เคอร์ สเตราส์ไว้หน้าฉินสือโอวมาก เขาโอบไหล่ของฉินสือโอวอย่างสนิทสนมแล้วแนะนำว่า “นี่คือฉิน เป็นเพื่อนที่ผมกับพ่อมีร่วมกัน เป็นเจ้าของฟาร์มปลาที่เก่งกาจของแคนาดาคนหนึ่ง ขนาดพื้นที่ของฟาร์มปลาของเขานั้น สามารถสร้างประเทศได้ใหม่อีกประเทศหนึ่งเลย”
ฉินสือโอวตอบกลับอย่างนอบน้อมไม่กี่คำ เคอร์ก็แนะนำคนอื่นต่ออีกว่า “นี่คืออังเดร คาลันโป คุณเรียกเขาว่าคุณลุงอังเดรก็ได้ เพราะว่าเขาเป็นคนที่ใส่ใจในศักดิ์เอามากๆ ฮ่าๆ คุณลุงอังเดรเป็นซีอีโอของบริษัทต่างชาติฟิลลิป มอร์ริส ถ้าหากคุณชอบสูบบุหรี่แล้วล่ะก็ งั้นรู้จักคุณลุงอังเดรไว้ไม่เสียหายแน่นอน…”
ตอนฟังชื่อรู้สึกไม่คุ้นหู แต่เมื่อได้รู้ถึงตำแหน่งแล้ว ฉินสือโอวก็เลิกคิ้วขึ้นมาทันที ชื่อบริษัทต่างชาติฟิลลิป มอร์ริสนั้น เมื่อก่อนตอนอยู่ที่ประเทศจีนเขาอาจไม่เคยได้ยินมาก่อนก็จริง แต่พอมาถึงแคนาดาแล้ว กลับได้ยินชื่อนี้บ่อยมาก
บริษัทนี้คือบริษัทผลิตยาสูบที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าชื่ออาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่หากพูดถึงสินค้าหลักของบริษัทนี้อย่างบุหรี่มาโบโร่แล้วล่ะก็ งั้นไม่ว่าจะคนสูบบุหรี่หรือคนไม่สูบบุหรี่ ก็ต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอน
“นี่คือโมล ฟริตซ์ ซีอีโอของบริษัทรถไฟยูเนียนแปซิฟิก คุณลุงของเขาก็คือแลนซ์ ฟริตซ์ แน่นอนว่าเจ้าหมอนี่ไม่ชอบให้คนพูดถึงความสัมพันธ์ของเขากับคุณลุง แต่ว่าผมไม่สนใจหรอก เพราะว่าพวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายแล้ว ฮ่าๆ” เคอร์หัวเราะ
โมล ฟริตซ์เป็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหม่น มีพุงโตแต่ภูมิฐาน และมีดวงตาที่ส่องประกายสว่างคู่หนึ่ง
เมื่อเคอร์แนะนำจบแล้ว โมลก็เข้ามาจับมือกับฉินสือโอว พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงใสว่า “อย่าไปฟังเจ้าเคอร์พูดไปเรื่อยครับ ผมก็คือผม คุณลุงผมก็ส่วนคุณลุง พวกผมไม่ได้เป็นคนเดียวกันอยู่แล้ว จะให้โยงถึงกันได้อย่างไร จริงไหมครับ?”
“ถูกของคุณครับ คุณฟริตซ์ ก็เหมือนกับที่ผมไม่ชอบให้ถูกโยงไปหาฉินสื่อหวง (จิ๋นซีฮ่องเต้) นั่นแหละครับ” ฉินสือโอวพูดพร้อมรอยยิ้ม
โมลรู้สึกสนใจขึ้นมาแล้ว เขาถามออกไปด้วยความอยากรู้ว่า “ฉินสื่อหวง? คือใครครับ?”
“ฉินเป็นคนจีน ส่วนฉินสื่อหวงก็เป็นหนึ่งในราชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีน ถ้าหากว่าพวกเขามีประธานาธิบดี งั้นฉินสื่อหวงคนนี้ก็คือประธานาธิบดีนั่นแหละครับ” ชายหนุ่มรูปร่างผอมคนหนึ่งพูดพร้อมรอยยิ้ม
โมลเบิกตากว้าง พูดว่า “คุณเกี่ยวข้องกับราชาคนนี้เหรอครับ?”
ชายหนุ่มรูปร่างผอมมองไปที่ฉินสือโอวอย่างสงสัย แล้วพูดว่า “แต่ว่า เท่าที่ผมรู้ว่าฉินสื่อหวงกับคนแซ่ฉินนั้นไม่เกี่ยวข้องกันไม่ใช่เหรอครับ รู้สึกว่าเขาจะชื่อหยิงเจิ้งไม่ใช่เหรอครับ?”
“ใช่ครับ ชื่อของฉินสื่อหวงคือหยิงเจิ้ง พวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันจริงๆ ครับ” ฉินสือโอวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
โมลตบไปที่บ่าของฉินสือโอวเบาๆ แล้วก็หัวเราะร่าออกมา
เคอร์แนะนำชายหนุ่มร่างผอมที่พอมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของจีนต่อว่า “คนนี้คือซิต ชวาร์ซ เป็นเพื่อนร่วมรบที่สนิทที่สุดของผม เขาเป็นซีอีโอของบริษัทคนกลางในการซื้อหุ้นนอกตลาด onex หมอนี่เป็นพวกรอบรู้เรื่องประวัติศาสตร์ ที่ชอบที่สุดก็คือประวัติศาสตร์ของโรมันและจีน”
ฉินสือโอวจับมือกับซิต คนพวกนี้ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตทั้งนั้น บริษัทต่างชาติฟิลลิป มอร์ริสเป็นหนึ่งธุรกิจใหญ่ห้าร้อยอันดับแรกของโลก บริษัท onex ก็เป็นหนึ่งในห้าร้อยนั้นเช่นกัน ส่วนบริษัทรถไฟแปซิฟิกยูเนี่ยนนั้นไม่ใช่ แต่ว่าบริษัทแม่อยู่ในห้าร้อยอันดับนั้น ส่วนคุณลุงของโมลก็คือซีอีโอของบริษัทแปซิฟิกยูเนี่ยนนั้นเอง เท่ากับว่าเป็นธุรกิจของตระกูลเลยก็ว่าได้
ซิตจ้องมองฉินสือโอวอยู่ เขาไม่เพียงแต่รู้เรื่องประวัติศาสตร์เท่านั้น ไม่นานเขาก็นึกอีกฐานะหนึ่งของฉินสือโอวขึ้นมาได้ทันที “ปีที่แล้วที่เกิดพายุในอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ มีคนไปช่วยผู้โดยสารที่โดยสารมากับเรือ คนหนุ่มคนนั้นก็คือคุณใช่ไหมครับ? แล้วก็ตอนนี้ในตลาดอาหารทะเลระดับสูงของนิวยอร์กที่ว่าถูกฟาร์มปลาต้าฉินเหมาไปทั้งหมด คุณก็คือเจ้าของฟาร์มปลานั้นใช่ไหมครับ?”
ฉินสือโอวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “คิดว่าใช่ครับ ผมก็คือคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งสองนั้นเองครับ”
ตลาดอาหารทะเลระดับสูงนั้นไม่เท่าไร แต่การที่ได้เป็นวีรบุรุษกู้ภัยในท้องทะเลนั้น กลับเรียกคะแนนได้มากจริงๆ
โมลพูดกับเคอร์ว่า “ช่างเป็นคนหนุ่มที่สุดยอดจริงๆ เรื่องนั้นผมก็เคยได้ยินมาบ้าง ขอโทษที่ผมจำคุณไม่ได้ในทันทีนะครับ พูดจริงๆ นะทุกคน ตอนนั้นผมรู้สึกชื่นชมกัปตันคนนี้มาก เขาเป็นคนที่เก่งมาก!”
คนอื่นๆ พากันเห็นด้วย ฉินสือโอวพยักหน้าอย่างถ่อมตัว แต่ก็น้อมรับกับคำชมทุกคำ การถ่อมตัวมากเกินไปนั้นรังแต่จะทำให้นักธุรกิจใหญ่รู้สึกว่าเขาเสแสร้งเสียมากกว่า
พระอาทิตย์ตกดิน เหล่าคนรุ่นใหญ่พวกนี้คุยกันว่าจะไปเล่นไพ่โป๊กเกอร์กัน ซิตชวนฉินสือโอวไปด้วย ตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ของเขาดังขึ้นมา หลังจากรับสายแล้วก็พบว่าแบรนดอนโทรมา บอกเขาว่าบิลลี่กับเบลคก็มาด้วยเช่นกัน ให้เขาตามไปร่วมวงด้วย
ฉินสือโอวขอตัวอย่างมีมารยาท บอกว่าเพื่อนมาหาให้เขาไปทักทาย ซิตดูท่าว่าจะรู้สึกดีกับเขาไม่น้อย เพราะได้เชิญเขาไปตีกอล์ฟกันพรุ่งนี้ด้วย แน่นอนว่าฉินสือโอวคงปฎิเสธไม่ได้แล้ว จึงตอบตกลงไปด้วยสีหน้าดีใจ
การมาถึงของบิลลี่กับเบลคนั้นทำให้ฉินสือโอวแปลกใจมาก แขกที่บริษัทเอ็กซ์เพรสเชิญมางานประจำปีในครั้งนี้มีแต่ระดับสูงเท่านั้นไม่ใช่เหรอ? ทำไมเจ้าสองคนนี้ถึงมาร่วมงานได้กัน?
ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสี่คนนั้นสนิทกันมากแล้ว ฉินสือโอวจึงไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไร หลังจากเดินเข้าไปหาพวกเขาแล้วเขาก็ถามสิ่งที่คาใจออกมาทันที “พวกนายสองคนก็มีสิทธิ์มาร่วมงานประจำปีครั้งนี้ด้วยเหรอ? บริษัทเอ็กซ์เพรสเชิญแขกมาหนึ่งหมื่นคนเหรอไง?”
บิลลี่ปล่อยหมัดใส่ฉินสือโอวทีหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนโกรธเคืองว่า “นายกล้าดูถูกฉันเหรอ ไอ้นี่ แกตายแน่!”
แบรนดอนอธิบายว่า “แน่นอนว่าเจ้าสองคนนี้ไม่มีสิทธิ์ได้รับบัตรเชิญหรอก แต่ว่าพ่อของเบลคได้รับสิทธิ์นี้ พี่ชายของบิลลี่ก็มีสิทธิ์เช่นกัน พวกเขามาร่วมงานในตัวแทนของญาติน่ะ แค่นี้ก็มีสิทธิ์แล้ว”
แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่ไม่มีสิทธิ์ที่สุดก็คือฉินสือโอวนั่นแหละ แต่ว่างานประจำปีของบริษัทเอ็กซ์เพรสนั้นมีเกณฑ์อยู่ว่า ในหนึ่งปีที่ผ่านมาขอแค่ผู้ถือบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสมีการเคลื่อนไหวเงินมากกว่าห้าสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็สามารถมาร่วมงานได้แล้ว
การใช้จ่ายเงินของฉินสือโอวทั้งหมดทำผ่านบัตรใบนี้ เพราะมีบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรสช่วยดำเนินเรื่องให้ ทำให้ธนาคารจ่ายเงินได้ทันใจ อีกทั้งยังมีเจนนิเฟอร์ช่วยเหลือในการแจ้งยอดด้วย ทำให้เขากลายเป็นคนสำคัญของบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรสไปเลย
คนที่เป็นตัวแทนญาติผู้ใหญ่มาร่วมงานด้วยนั้นก็มีไม่น้อยเหมือนกัน เพราะบริษัทใหญ่ๆ ในแคนาดากับอเมริกานั้นส่วนมากเป็นบริษัทครอบครัวทั้งนั้น ซึ่งบริษัทเหล่านี้ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการปั้นลูกหลานให้มารับช่วงธุรกิจต่อ
บทที่ 941 แร่ทองคำเต็มลำ
Ink Stone_Fantasy
ทั้งสี่คนรวมตัวกัน นอกจากคุยโวไร้สาระแล้วก็มีหารือเรื่องธุรกิจกันบ้าง สิ่งที่พวกเขาสนใจกันตอนนี้ก็คืออาวุธสำหรับยุทธนาวีกับเหรียญทองพวกนั้น
เบลคบอกว่า “อาวุธนั้นต้องถูกปล่อยไปประมูลอย่างแน่นอน พวกเราเชิญเศรษฐีใหญ่กับสมาชิกของราชวงศ์ในตะวันออกกลางมาได้มากกว่ายี่สิบคนแล้ว ยังจำอาฟิฟได้ไหม? คนที่ซื้อภาพสีน้ำมัน ‘อาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์’ ของพวกเราไปนั่นแหละ เขาเองก็สนใจเหมือนกัน พวกเรารอรับเงินก้อนใหญ่ในงานประมูลฤดูใบไม้ผลิกันได้เลย”
“การจัดการเหรียญทองคำนั้นแบ่งเป็นสองช่องทาง ช่องทางแรกคือนำออกขายลับๆ ส่วนอีกทางก็คือนำออกไปประมูล เหรียญทองที่จะนำออกไปประมูลนั้นถ้าไม่ใช่เหรียญที่คุณภาพต่ำที่นำออกไปขายในราคาถูก ก็ต้องเป็นเหรียญคุณภาพสูงแล้วขายในราคาสูงแทน ส่วนเหรียญทองที่คุณภาพระดับกลางนั้น พวกเราจะนำออกไปขายเอง“
ฉินสือโอวพยักหน้า บอกว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว เขาในตอนนี้ไม่ได้ใส่ใจเรื่องการประมูลมากนัก เพราะว่าฟาร์มปลาได้เริ่มทำเงินให้เขาได้แล้ว ทางบัตเลอร์มีรายได้ต่อเดือนมากกว่าสิบล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว ความนิยมอาหารทะเลที่ผ่านการดัดแปลงจากพลังโพไซดอนได้พุ่งกระฉูดไปแล้ว!
เมื่อพูดถึงธุรกิจ บิลลี่บอกว่าตอนนี้เขาคิดว่ามีโอกาสที่จะหาเรืออับปางเจออีกลำแล้ว จากการวิเคราะห์ข้อมูลของเรืออับปางที่ลูกน้องเขาได้รับมา พบว่ามีเรือลำเลียงลำหนึ่งจมลงไปแถวน่านน้ำโซมาเลีย เรือลำนี้เป็นเรือลำเลียงสมบัติตอนช่วงต้นของสเปน บนเรือนั้นได้เต็มไปด้วยแร่ทองคำดิบ หากว่าสามารถงมขึ้นมาได้ รับรองว่าจะสามารถทำให้พวกเขารวยได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนแน่นอน
“ตอนนี้พวกเราก็กำลังเป็นเศรษฐีชั่วข้ามคืนแล้วนะ” แบรนดอนพูดพร้อมกับหัวเราะ
สิ่งที่ฉินสือโอวอยากรู้คือมีทองคำบนเรือลำนั้นมากเท่าไรมากกว่า จึงถามออกไป
บิลลี่กางมือออกมา ฉินสือโอวพูดด้วยเสียงตกใจว่า “ห้าตัน?!”
จากราคาทองคำในตอนนี้ ทองคำหนึ่งตันมีราคาประมาณสี่สิบล้านกว่าดอลลาร์สหรัฐ งั้นทองคำห้าตันก็เท่ากับเป็นเงินสองร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐเลยสิ ถึงว่าบิลลี่ถึงบอกว่าพวกเขาจะกลายเป็นเศรษฐีข้ามคืน!
บิลลี่จ้องตาเขม็งไปทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ห้าตันอะไรกัน? หนึ่งพันตันต่างหาก!”
ทุกคนตื่นเต้นกันทันที เบลคดึงตัวเขามาจับไหล่ไว้เขย่าไปมาแล้วพูดว่า “ฟัค! หนึ่งพันตัน? มีหนึ่งพันตันแล้วทำไมนายถึงชูแค่ห้านิ้วล่ะ?! นายแน่ใจนะว่าไม่ได้เข้าใจผิด? ทองคำหนึ่งพันตัน? สี่หมื่นกว่าล้านดอลลาร์สหรัฐ?!”
ทองคำหนึ่งพันตันนี่น่าขนลุกจริงๆ เพราะในช่วงก่อนศตวรรษที่ 19 มีปริมาณการผลิตทองคำที่ค่อนข้างต่ำ เพราะช่วงพันปีก่อนหน้าประวัติศาสตร์นั้น มนุษย์สามารถขุดทองคำได้ไม่ถึงหนึ่งหมื่นตันด้วยซ้ำ อย่างในช่วง 100 ปีของศตวรรษที่ 18 ก็สามารถขุดพบได้แค่ 200 ตันเท่านั้น
จนถึงศตวรรษที่ 19 ที่ได้มีการค้นพบแหล่งขุดแร่ทองคำ ทำให้ปริมาณทองคำในช่วงเวลานั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วง 50 ปีหลังของศตวรรษที่ 19 ที่ปริมาณการค้นพบทองคำนั้นมากกว่าปริมาณทองคำทั้งหมดที่ค้นพบใน 5000 ปีก่อนหน้าอีก
ในปัจจุบัน ปริมาณการผลิตทองคำของโลกนั้นคือประมาณ 2600 ตันต่อปี
แต่ไม่ว่าอย่างไรทองคำหนึ่งพันตันก็ยังน่าขนลุกอยู่ดี!
แต่บิลลี่ก็ได้ทำลายความฝันของพวกเขาลง “ฉันเองก็ฟัคแล้ว เพื่อนฝูง พวกนายได้ตั้งใจฟังคำพูดฉันหรือเปล่า? ใช่ หนึ่งพันตัน แต่พวกนั้นไม่ใช่ทองคำบริสุทธิ์ แต่เป็นแร่ทองคำดิบ! เป็นแร่ดิบ!”
แบรนดอนที่ได้ยินคำพูดนี้ก็มีท่าทีผ่อนคลายลง พูดว่า “ฉันว่าแล้ว ทองคำหนึ่งพันตันนั้นน่าขนลุกเกินไป แต่แร่ทองคำดิบหนึ่งพันตันนี่ไม่จำเป็นต้องงมหรือเปล่า? การเจียระไนล่ะ? เจียระไนไปถึงไหนแล้ว?”
เขาทำงานธนาคาร ธนาคารต้องทำการเก็บสะสมทองคำ ทองคำที่เก็บสะสมในธนาคารทั่วแคนาดารวมกันแล้วยังไม่ถึงหนึ่งพันตันเลย
ความจริงแล้วแร่ทองคำดิบไม่ค่อยมีมูลค่าสักเท่าไร ทุกคนต่างก็รู้ดี แอฟริกาใต้นั้นเป็นประเทศที่ผลิตทองคำมาแต่โบราณ แต่แม้แต่ทองคำดิบหนึ่งพันตันในประเทศแอฟริกาใต้ก็สามารถเจียระไนได้แค่ทองคำ 4k ออกมาเท่านั้น แร่ทองคำที่มีความบริสุทธิ์สูงหนึ่งตันสามารถเจียระไนทอง 10k ส่วนที่มีความบริสุทธิ์ต่ำหน่อยหนึ่งตันสามารถเจียระไนทอง 2k ทองคำที่เจียระไนได้ต่ำกว่า 2k ต่อตันนั้นล้วนไม่มีค่าแก่การเจียระไน
หากว่าแร่เหล่านี้เป็นแร่ดิบ แม้จะเป็นแร่ที่มีความบริสุทธิ์สูง แต่หนึ่งพันตันก็เท่ากับทองคำแค่สิบกิโลกรัมเท่านั้น ถือว่าเป็นปริมาณที่น้อยมากๆ
ฉินสือโอวมีความรู้ในด้านนี้ไม่มาก ที่แคนาดาก็ไม่มีเหมืองทองคำด้วย และสภาพแวดล้อมที่เขาอาศัยอยู่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องพวกนี้ ดังนั้นเขาจึงถามแบรนดอน ว่าแร่ทองคำดิบคืออย่างไรกันแน่
แบรนดอนอธิบายว่า “แร่ทองคำก็คือแร่หินที่มีแร่ทองผสมอยู่ พวกมันสามารถผ่านกระบวนการแต่งแร่เพื่อกลายเป็นแร่ทองคำแท้ได้ ส่วนแร่ทองคำแท้นั้นก็ต้องผ่านการหลอมสกัดแร่ออกมาก่อน จึงจะสามารถกลายเป็นทองคำบริสุทธิ์กับทองรูปพรรณได้”
“แล้วมีแร่ที่มีปริมาณแร่ทองคำค่อนข้างสูงไหม?” ฉินสือโอวถาม
แบรนดอนพยักหน้าแล้วพูดว่า “มี แบ่งออกเป็นสองแบบ แบบแรกคือแร่ทองคำเนื้อดี แร่พวกนี้จะมาจากดาวตก ในดาวตกบางประเภทจะมีปริมาณทองคำอยู่ด้วย ตอนที่ดาวตกผ่านชั้นบรรยากาศของโลกมานั้น ดาวตกกับชั้นบรรยากาศจะเกิดการเสียดสีและปฏิกิริยาการเผาไหม้กับอากาศ ทำให้เศษตะกอนอื่นๆ ถูกกำจัดออกไปในกระบวนการนี้”
“อย่างที่นายรู้ ทองคำนั้นแข็งแรงมาก แม้ในอุณหภูมิสูงก็ยากที่จะทำปฏิกิริยาเคมีกับสารอื่นๆ ได้ ดังนั้นในการพุ่งผ่านชั้นบรรยากาศที่มีอุณหภูมิสูง ซึ่งสูงกว่าจุดหลอมละลายของทองคำก็คือ 1063 องศาเซลเซียสทำให้ตอนที่พวกมันร่วงลงสู่พื้นแล้วยังอยู่ในสภาพของเหลว คลุมไปบนก้อนหินหรือเม็ดทรายจากนั้นก็แข็งตัวกลายเป็นแร่ทองคำเกรดดี”
บิลลี่ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ความบริสุทธิ์ของแร่ทองคำแบบนี้คือแทบจะ 100% หาพบได้ยากมาก เมื่อถูกค้นพบแล้วจะกลายเป็นสมบัติส่วนตัวของคนในพื้นที่ หรือไม่ก็กลายเป็นสมบัติของชาติไป แน่นอนว่าแร่ทองคำบนเรือนั้นไม่ใช่แร่แบบนั้นแน่นอน ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่กังวลเรื่องสงครามอาวุธของโซมาเลีย แล้วไปงมตั้งนานแล้ว!”
ฉินสือโอวทำท่าบอกให้เขายังไม่ต้องพูดอะไร แล้วถามแบรนดอนต่อว่า “จากนั้นล่ะ? แร่ทองคำที่คุณภาพดีอีกอย่างเป็นแบบไหน?”
แบรนดอนพูดต่อว่า “อีกแบบก็คือแร่ทองคำตกผลึก เป็นแร่ที่มีขึ้นเมื่อประมาณสี่ร้อยล้านปีก่อนในยุคสตาทีเรียนของบรมยุคโพรเทอโรโซอิก”
“แร่ทองคำชนิดนี้ก็กำเนิดมาจากดาวตกเช่นกัน แต่ว่าทองคำที่ได้นั้นไม่ได้มาจากการสกัด แต่ได้มาจากตอนที่ดาวตกก้อนใหญ่ที่พุ่งผ่านชั้นบรรยากาศมา แล้วเพราะอุณหภูมิที่สูงเกินไป ตัวดาวตกทนความร้อนไม่ได้ ทำให้ส่วนผสมต่างๆ ในดาวตกไม่เสถียร และเมื่อจุดหลอมและจุดระเหยไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดการระเบิดออกมา”
“หลังจากระเบิดแล้ว ชิ้นส่วนของดาวตกยังคงเผาไหม้ต่อ ทำให้เศษตะกอนถูกเผาได้ง่ายยิ่งขึ้น สุดท้ายจึงเหลือไว้เพียงแต่ก้อนที่เต็มไปด้วยแร่ทองคำ แร่ทองคำเหล่านี้ก็คือทองคำที่ผ่านการตกผลึกโดยธรรมชาติ กลายเป็นผลึกไอโซเมทริก Face Centered Cubic (FCC) หรือกลายเป็นแร่กึ่งของเหลว ซึ่งก็มีค่ามากเหมือนกัน แค่นำมาเจียระไนแบบง่ายๆ ก็จะได้ทองคำบริสุทธิ์มาแล้ว!”
ฉินสือโอวมองไปที่บิลลี่ บิลลี่ยักไหล่แล้วพูดว่า “มองฉันทำไม? แร่หินในเรืออับปางก็ไม่ใช่แร่หินเกรดดีแบบนั้นเหมือนกัน”
พอเป็นแบบนี้ฉินสือโอวก็หมดแรงทันที เขาพูดว่า “งั้นนายรู้หรือเปล่าว่าแร่พวกนั้นเจียระไนไปแค่ไหนแล้ว?”
บิลลี่พูดอย่างน้อยใจว่า “เอกสารของสินค้าในตอนนั้นส่วนใหญ่ได้หายไปหมดแล้ว จะให้ฉันไปหาข้อมูลที่แน่ชัดจากไหนล่ะ? แต่ว่าแร่ทองคำหนึ่งพันตันนั้น อย่างน้อยก็สามารถเจียระไนออกมาเป็นทองคำได้หนึ่งถึงสองตันแน่นอน ไม่อย่างนั้นเรือลำเลียงสมบัติของสเปนก็คงไม่มีความจำเป็นต้องลำเลียงพวกมันมาตั้งแต่แรกแล้ว!”
ทองคำหนึ่งถึงสองพันตันก็ยังถือว่าใช้ได้อยู่ มูลค่าไม่ต่ำไปกว่ายุทธนาวี เป็นคนต้องอย่าโลภมาก และไม่ควรคาดหวังมากเกินไป
เมื่อคิดได้แบบนี้ ฉินสือโอวจึงตบบ่าบิลลี่แล้วพูดว่า “โอเค เพื่อน งั้นนายให้คนงานลงมือเถอะ ไปงมมันขึ้นมา”
บิลลี่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแล้วพูดว่า “ขอโทษนะ ฉิน แต่เรื่องนี้ต้องให้นายออกหน้าด้วย”
บทที่ 942 โดนหลอกกันหมด
Ink Stone_Fantasy
ฉินสือโอวมองบิลลี่อย่างสงสัย แล้วพูดว่า “ทำไมต้องให้ฉันออกหน้า?”
บิลลี่ถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง สีหน้าเคร่งเครียด แล้วพูดแจกแจงให้ฟังว่า “พวกนายคงรู้เกี่ยวกับสถานการณ์งี่เง่าของโซมาเลียแล้ว ตอนนี้พวกเรารู้ถึงตำแหน่งที่แน่นอนของเรือทองคำแล้ว แต่ว่าไม่สามารถส่งเรือไปงมได้ในทันที ไม่อย่างนั้นคงต้องถูกโจรสลัดของโซมาเลียบุกปล้นอย่างแน่นอน”
“ดังนั้น พวกเราต้องคำนวณมูลค่าของเรือทองคำก่อน ถ้าหากว่ามูลค่าไม่มาก งั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปงม แต่หากว่าแร่มีส่วนผสมของแร่ทองคำสูง พวกเราจะได้จ้างพลเรือติดอาวุธเพื่อตามไปอารักขา ถึงจะสามารถไปงมได้”
“ฉิน นายจะต้องให้วาฬเบลูกาของนายไปหาเรืออับปางตรงจุดที่มันจมลงไป แล้วเอาหินออกมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นพวกเราค่อยมาวิเคราะห์ปริมาณทองคำกัน…”
ยิ่งพูด เสียงของบิลลี่ก็ยิ่งเบาลงเรื่อยๆ เพราะเขาเห็นสีหน้าของฉินสือโอวไม่ค่อยดี
สีหน้าของฉินสือโอวต้องไม่ดีแน่นอน เขาตบไปที่บ่าของบิลลี่แล้วพูดว่า “เพื่อนรัก นี่คือสิ่งที่นายบอกว่าพวกนายกำลังจะงมเรือขึ้นมาได้แล้วอย่างนั้นเหรอ? ทำไมฉันรู้สึกว่า พวกนายนอกจากค้นพบเรือลำหนึ่งแล้ว ไม่ได้มีความคืบหน้าอื่นๆ เลย?”
บิลลี่ยิ้มขืนๆ แล้วพูดว่า “ดังนั้นจึงต้องขอพึ่งบารมีนายไง ลูกพี่ฉิน ไม่อย่างนั้นพวกเราจะยินดีให้นายรับผลประโยชน์เกินครึ่งเหรอ”
ฉินสือโอวคิดสักพัก ก็หมดคำจะพูด เพราะที่บิลลี่พูดมานั้นไม่ผิดเลย
เขาปัดมือออก แล้วพูดว่า “ได้ งั้นเรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง โซมาเลียอยู่ในเขตมหาสมุทรอินเดีย พวกเราอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก แค่นำทางให้วาฬเบลูกาว่ายไปที่นั่น ก็ต้องใช้แรงไม่น้อยเลย”
เบลคพูดด้วยเสียงห่อเหี่ยวใจว่า “ใช่ นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย ฉินจะมีเวลาพาวาฬเบลูกาไปถึงมหาสมุทรอินเดียได้อย่างไร?”
บิลลี่ลูบจมูกเบาๆ ไม่พูดอะไรต่อ ก็นี่น่ะเป็นหัวข้อสนทนาห่วยแตกที่เขายกขึ้นมาเอง
ฉินสือโอวพูดว่า “ก็ไม่จำเป็นว่าฉันจะต้องไปด้วยหรอก ขอแค่เป็นเรือของฉัน วาฬเบลูกาก็ตามไปแล้ว ขอแค่วางอาหารล่อไว้ตลอดทาง มันก็จะว่ายไปถึงมหาสมุทรอินเดียได้ แต่ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจัดการให้เสร็จได้ในเวลาอันสั้นอยู่ดี ดังนั้นค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน”
ใกล้ถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว ในรีสอร์ตมีห้องโถงขนาดใหญ่ที่กว้างขวางอยู่ห้องหนึ่ง อาหารค่ำจึงจัดขึ้นที่นั่น
ฉินสือโอวนึกว่าอาหารค่ำมื้อนี้จะเป็นที่ที่ให้ทุกคนได้กินดื่ม ร้องรำทำเพลง จีบสาว และหารือธุรกิจกัน แต่หลังจากเข้าไปข้างในแล้วกลับพบว่าไม่ใช่ ในห้องโถงได้จัดโต๊ะเก้าอี้ไว้แล้ว บริษัทเอ็กซ์เพรสจะทำการประกาศผลประกอบการประจำปี จึงเชิญให้พวกเขามาฟังเท่านั้น
เรื่องนี้ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกเบื่อเป็นอย่างมาก ดีที่บริษัทเอ็กซ์เพรสหลอกคนทั้งหมดได้สำเร็จ มีบางคนที่ถึงขั้นใส่สูทผูกไทมาร่วมงานด้วย อย่างที่รู้ว่าอุณหภูมิของข้างนอกนั้นสูงกว่าสามสิบองศาเซลเซียสเลย หากไม่ใช่เพราะเครื่องปรับอากาศในห้องโถงเพียงพอแล้วล่ะก็ คาดว่าชื่อของบริษัทเอ็กซ์เพรสคงถูกคนพวกนี้เล่นงานเอาแน่ๆ
เมื่อมองเห็นแบบนี้แล้ว ฉินสือโอวรู้สึกดีใจขึ้นมานิดหนึ่ง คำโบราณว่าไว้ ไม่ห่วงว่าไม่ได้ส่วนแบ่ง แต่ห่วงว่าจะถูกแบ่งให้ไม่เท่ากัน ทุกคนที่นี่ต่างถูกหลอกกันหมด มีบางคนที่ถูกหลอกได้อย่างน่าสงสารด้วย โดยเฉพาะชาวเยอรมันทั้งหลาย ที่ตอนนี้หน้าดำกันหมดแล้ว เมื่อเห็นแบบนี้แล้วเขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างมาก
ในบัตรเชิญของทุกคนจะมีเลขที่นั่งอยู่ด้วย หลังจากเข้าไปในห้องโถงแล้วก็มีพนักงานสาวสวยเดินเข้ามาถามว่า “คุณผู้ชาย ไม่ทราบว่าคุณราศีอะไรคะ?”
ฉินสือโอวอึ้ง พูดด้วยน้ำเสียงอึกอักว่า “รู้สึกว่าจะราศีสิงห์หรือว่าอะไรนี่แหละ? ผมเกิดวันที่หนึ่งกันยายน คุณคิดให้ผมแล้วกัน?”
เขาพูดจบ พนักงานก็อึ้งทันที ฉินสือโอวจึงได้แต่ยิ้มขืนๆ แล้วอธิบายว่า “พวกเราคนจีนไม่ค่อยสนใจเรื่องราศี แต่จะใช้เป็นปีนักษัตรแทน ผมเกิดปีหนู ว่าแต่คุณถามเรื่องนี้ทำไมครับ?”
ทุกคนที่อยู่ข้างหลังพากันหัวเราะร่าออกมา มีคนเข้ามาจับไหล่ฉินสือโอวไว้แล้วหัวเราะพร้อมพูดว่า “ฉิน คุณนี่เป็นคนที่มีอารมณ์ขันจริงๆ เขาไม่ได้ถามราศีของคุณ แต่ถามระดับที่นั่งกับเลขที่นั่งต่างหาก! (คำว่าเลขที่นั่งกับราศีของภาษาจีนใช้คำเดียวกัน)”
ฉินสือโอวหันหลังกลับไปมอง เห็นชายที่อยู่ในชุดมิชลาฮ์สีขาวทั้งตัวคนหนึ่งกำลังหัวเราะร่าเขาอยู่ ใบหน้านี้ช่างคุ้นตาจริงๆ ที่แท้ก็อาฟิฟนี่เอง เจ้าหมอนี่ก็มาด้วย!
ข้างๆ อาฟิฟมีโลลิต้าตาสีน้ำตาลคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย ครั้งที่แล้วที่ฉินสือโอวไปเข้าร่วมงานแถลงข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์เรือล่มที่จัดขึ้นในสวนของพระราชวังก็เคยเจอกับเธอมาก่อน เธอคือเจ้าหญิงที่สวยที่สุดของตะวันออกกลาง เจ้าหญิงซาลามาห์
ครั้งนี้เจ้าหญิงโลลิต้าคนนี้มาในชุดเดรสเจ้าหญิงสีชมพู ติดมงกุฎสีเงินเล็กๆ ที่ประดับเพชรไว้บนผม สิ่งที่ดึงดูดผู้คนที่สุดยังคงเป็นตาคู่นั้นของเธอ ทั้งตาและขนตาของเจ้าหญิงนั้นไม่ได้มีการแต่งเติมอะไรมากมาย มีเพียงแค่เส้นขอบตาบนล่างบางๆ เท่านั้นแต่แค่นี้ก็สามารถเผยให้เห็นถึงดวงตาที่สวยงามได้รูปน่าค้นหาคู่นั้นได้แล้ว
ฉินสือโอวกอดกับอาฟิฟ อาฟิฟพูดออกมาอย่างดีใจว่า “ได้มาเจอกับคุณที่นี่ดีจริงๆ เพื่อนฉิน เดี๋ยวผมจะแนะนำหนุ่มคนหนึ่งให้รู้จักนะครับ เชื่อว่าพวกคุณต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้แน่”
หลังจากพูดทักทายกันเสร็จ ฉินสือโอวก็ยื่นบัตรเชิญให้กับพนักงาน พนักงานรับมาดูสักพักก็พาเขาไปยังที่นั่งแถวด้านหน้า หลังจากเขานั่งลงแล้วเพิ่งรู้ว่า ข้างๆ เขาก็คือคนที่เพิ่งจะรู้จักกันเมื่อตอนเย็น ราชารถไฟ โมล ฟริตซ์นั่นเอง
“เขาหลอกพวกเราสำเร็จแล้ว ใช่ไหมครับ?” โมลพูดกับฉินสือโอวพร้อมหัวเราะเหอๆ
ฉินสือโอวมองไปที่ชุดสูทที่ตัวเองใส่อยู่ แล้วพูดว่า “แม้ว่าจะไม่อยากยอมรับ แต่พวกเราโดนหลอกแล้วจริงๆ”
โมลยิ้มพร้อมปัดมือแล้วพูดว่า “ไม่มีใครสามารถหลอกตระกูลฟริตซ์ได้หรอก ดูสิ นี่คืออะไร?”
เขายื่นมือเข้าไปในกระเป๋ากำมือแล้วแบออกมา ในนั้นมีช็อกโกแลตแท่งหนึ่งอยู่
ฉินสือโอวกลั้นหัวเราะไม่อยู่แล้วชูนิ้วโป้งขึ้นมา ราชารถไฟคนนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ ถึงขนาดพกช็อกโกแลตแท่งมาร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำด้วย?
โมลก็หัวเราะขึ้นมาด้วย เขาอธิบายว่า “ความจริงแล้วผมไม่ได้ใส่ไว้เองหรอกครับ เสื้อตัวนี้ลูกสาวผมเตรียมไว้ให้ เธอเป็นคนละเอียดอ่อนมาก เลยใส่ของทานเล่นไว้ในกระเป๋าให้เผื่อเจอสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้”
“น่าอิจฉาคุณจริงๆ ครับ ลูกสาวของคุณช่างใส่ใจจริงๆ” ฉินสือโอวพูดชมจากใจจริง
โมลหัวเราะออกมา จากนั้นก็ลากฉินสือโอวไปแนะนำให้ลูกสาวตัวเองรู้จัด ราวกับเด็กที่กำลังอวดรถของเล่นอยู่
ฉินสือโอวฟังไปพลางหัวเราะไปพลาง มีพูดแทรกตามโอกาสบ้าง ขอแค่ทำให้โมลมีความสุขได้ก็พอ
เขารู้สึกว่าคนในสังคมสูงพวกนี้ไม่ได้เป็นคนน่ารังเกียจเหมือนอัลเบิร์ตไปเสียทั้งหมด คนส่วนมากความจริงก็คือคนธรรมดา ออกจะใช้ชีวิตเรียบง่ายกว่าด้วย แถมยังมีวิธีการสานสัมพันธ์ที่ดี การได้พูดคุยกับพวกเขาแล้ว รู้สึกดีกว่าคุยกับคนธรรมดาเยอะเลย
แน่นอนว่า คนพวกนี้จะนับถือคุณจริงหรือเปล่านั้น ไม่สามารถมองออกได้ ก็พวกเขาล้วนเป็นนักแสดงฝีมือดีกันทั้งนั้น
งานเลี้ยงกำลังจะเปิดม่านอย่างเป็นทางการแล้ว ทุกคนที่อยู่ในงานล้วนเป็นลูกค้าระดับสูงของบริษัทเอ็กซ์เพรสทั้งนั้น ดังนั้นคนที่เป็นพิธีกรของงานจึงเป็นประธานคนปัจจุบันของบริษัทเอ็กซ์เพรส คุณเคนเนดี ชิโน
หลังจากเคนเนดีออกโรงก็สามารถสยบเสียงบ่นของพวกรุ่นใหญ่จนหมด เขาเป็นบุคคลในตำนานของวงการธุรกิจในอเมริกา เขาคือ ‘บิดาของบัตรเครดิต’ เขาที่แหละที่เป็นผู้สร้างวงการธุรกิจบัตรเครดิตที่แพร่หลายไปทั่วโลกในปัจจุบัน
น่าเสียดายที่เมื่อก่อนฉินสือโอวไม่รู้จักเขา ไม่อย่างนั้นเขาต้องขว้างไข่เน่าใส่เขาอย่างแน่นอน ให้ตายสิ มีคนหนุ่มชาวจีนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้กี่คนแล้วที่ถูกบัตรเครดิตทำลายชีวิตลง คนในรุ่นของเขาส่วนมากก็เป็นทาสบัตรเครดิตกันทั้งนั้น
ในบรรดาแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานนั้น คนที่ใหญ่ที่สุดถ้าไม่ใช่เพื่อนของเคนเนดีก็เป็นพนักงานของเขาเอง ส่วนคนตัวเล็กๆ ที่เหลือนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่หากอิงจากทฤษฎีหกช่วงคนที่ฉินสือโอวเพิ่งนึกได้แล้ว ผู้ใหญ่ของคนเหล่านี้คงเกี่ยวข้องกับเคนเนดีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย สรุปก็คือ ไม่มีใครที่กล้าไม่เคารพเขา
…………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น