พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 933-940

 ตอนที่ 933

 

ตีให้ตายก็ไม่ทำ

ยังจะลงนรกอีกเหรอ? เห็นได้ชัดว่าโดนควบคุมมานานเลยอยากออกไปเที่ยวเล่น แต่ยังดันทุรังพูดจาวางมาดสง่าภูมิฐานแบบนี้อีก


พอได้เห็นนิสัยของเขา เหมียวอี้ก็อยากจะซ้อมสักยก ถ้าพาเจ้าบ้านี่ไปพิภพใหญ่ด้วยจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาก็ได้


ทว่าไต้ซือศีลเจ็ดเอ่ยปากแล้ว เจ้ารองเองก็อยากไป ที่สำคัญที่สุดคือบอกเทพพยากรณ์เอาไว้ อีกฝ่ายรู้ความลับของตนเยอะเกินไป เหมียวอี้ไม่สะดวกจะปฏิเสธ ทำได้เพียงพยักหน้า “งั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน”


อาจารย์และลูกศิษย์ประนมมือขอบคุณพร้อมกันทันที ไต้ซือศีลเจ็ดเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่ที่นี่นาน อยากจะทิ้งศีลแปดไว้แล้วบอกลาเลย


ขณะกำลังชอบใจที่ได้ออกห่างจากอาจารย์ แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเอ่ยห้าม “ไต้ซือ ท่านพาลูกศิษย์ของท่านกลับไปด้วยกันดีกว่า”


ไต้ซือศีลเจ็ดแปลกใจ ศีลแปดที่กำลังประนมมือวางมือลงทันที เบิกตาโพลงถามว่า “พี่ใหญ่ ท่านคงไม่กลับคำพูดหรอกใช่มั้น?” ภาพลักษณ์พระสงฆ์ชั้นสูงหายไปหมดแล้ว


เหมียวอี้บิดหูเขาเข้ามา แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ถ้าพวกเราเคลื่อนไหวพร้อมกันจะตกเป็นเป้าที่ใหญ่เกินไป เจ้าไปกับอาจารย์เจ้าก่อน แล้วหลังจากนี้สองเดือน จำไว้ว่าต้องไปซ่อนตัวที่ท่าเรือของถ้ำคล้อยบูรพาที่ข้าเคยไปรับตำแหน่ง ถึงเวลาข้าจะไปหาเจ้าเอง”


ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ศีลแปดวางใจแล้ว ถ่ายทอดเสียงถามเช่นกันว่า “พี่ใหญ่ ท่านเข้าห้องหอเมื่อคืนนี้ เข้าทีละคนหรือว่าเข้าพร้อมกันเลย?”


เพียะ! โดนเหมียวอี้ใช้ฝ่ามือตบศีรษะโล้นฉาดหนึ่ง ศีลแปดหนีเตลิดทันที รู้ตัวว่าควบคุมปากได้ไม่ดีจึงเผลอพูดผิดไป กลัวว่าจะโดนตอบโต้รุนแรงกว่าเดิม


ศีลเจ็ดรู้จักลูกศิษย์ตัวเองดีมาก เมื่อเห็นเหมียวอี้ทำท่าทางอับอายจนโมโห กอปรกับศีลแปดที่หนีเหมือนเป็นวัวสันหลังหวะ เขาเดาว่าลูกศิษย์ตัวเองคงพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป จึงยิ้มพร้อมประนมมือกล่าวอำลา แล้วเหาะขึ้นฟ้าจากไป…


เมื่อกลับมาบนตึกของปราสาททอง เหมียวอี้ก็มาหาอวิ๋นจือชิวและเล่าเรื่องเมื่อครู่นี้ให้นางฟัง บอกอย่างชัดเจนว่าอีกไม่นานจะกลับไปพิภพใหญ่เพื่อนำตัวเยารั่วเซียนไปส่ง


อวิ๋นจือชิวไม่มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงตอบคำเดียวว่า “ถือโอกาสพาข้าไปเปิดหูเปิดตาด้วยสักหน่อยสิ”


เหมียวอี้ยอมแพ้นางแล้ว  เขาถอนหายใจ “ฮูหยิน! ไม่ต้องรีบไปตอนนี้หรอก ในภายหลังยังมีโอกาส เจ้าเพิ่งได้คุมยอดเขาหยกนครหลวง จัดการงานให้เข้าที่เข้าทางก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


อวิ๋นจือชิวเอามือลูบกระโปรงนั่งบนตักเขาทันที ใช้แขนคล้องคอเขาพร้อมบอกว่า “เจ้าคิดว่าข้าให้เจ้าแต่งงานกับฉินเวยเวยไปทำไม ต่อไปข้าจะให้ฉินเวยเวยรักษาการณ์แทนข้าชั่วคราว หยางชิ่งต้องช่วยลูกสาวตัวเองแสดงความสามารถอย่างเต็มที่แน่นอน วางใจได้ ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก”


“แล้วตอนไปส่งส่วยที่แดนโพ้นสวรรค์จะทำยังไง? เจ้าคงไม่ให้หยางชิ่งไปแทนเจ้าหรอกใช่มั้ย? พวกเราหายไปพร้อมกันสองคน ถ้าคนอื่นไม่สงสัยก็แปลกแล้ว” เหมียวอี้กล่าว


อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “ข้าบอกแล้วว่าให้เวยเวยคุมแทนข้าชั่วคราว ก่อนส่งส่วยข้าค่อยรีบกลับมาก็ได้ เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้าบริหารจัดการทางหนีทีไล่นี้ได้ดีแน่นอน ข้าแค่ไปรู้จักเส้นทางเอาไว้ เผื่อตอนหลังเจ้าหนีไป แล้วข้าไม่รู้ว่าจะไปตามหาเจ้าที่ไหน ข้าให้เจ้าแต่งงานรับอนุภรรยาสามคนมานอนกอดซ้ายกอดขวาใช้งานยังไงก็ไม่หมด แค่คำขอเล็กน้อยจากข้า เจ้าคงไม่ถึงขั้นเติมเต็มให้ไม่ได้หรอกใช่มั้ย?”


เหมียวอี้พูดไม่ออกสุดๆ คิดในใจว่าถ้าปล่อยให้เจ้าจับได้เรื่องข้ากับหวงฝู่จวินโหรว แล้วข้าจะทำอย่างไร?


อวิ๋นจือชิวยังมีเหตุผลมาอธิบายอีก “แล้วอีกอย่าง เจ้าบอกว่าเทพพยากรณ์นั่นทำให้เจ้ารู้สึกกลัวไม่ใช่เหรอ? ถึงอย่างไรฮูหยินคนนี้ก็มีวรยุทธ์บงกชทองเหมือนกัน ต่อไปพวกเราไม่ต้องไปหาเขาก็ได้ เราไปกลับด้วยตัวเอง จะได้ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างทาง ให้ข้าไปส่งพวกเจ้าก็เหมาะสมพอดีเลย เจ้าว่ามั้ยล่ะ? เอาตามนี้แล้วกัน ข้าจะรีบเตรียมการให้ทัน!” พูดจบก็กอดและใช้ริมฝีปากแดงนุ่มจูบเหมียวอี้เสียงดังทีหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมพึมพำร้องเพลงเบาๆ  เมื่อเห็นว่ากำลังจะได้ไปเปิดหูเปิดหาที่พิภพใหญ่ นางก็ดูอารมณ์ดีทีเดียว


ช่วงสองสามวันนี้ เหมียวอี้ถูกชะตาลิขิตให้เสพสุขกับวาสนาทางความรัก คืนนี้ต้องไปค้างคืนที่ตำนักคู่แฝด ไปดื่มสุราภายใต้แสงจันทร์กับสองพี่น้องโอวหยางที่ยังมีท่าทางกระดากอาย จนกระทั่งดวงจันทร์เคลื่อนที่ย้ายไปจากตำแหน่งเดิม ทั้งสามก็ลุกขึ้นเดินออกจากวงสุรา โดยมีจือซู จือฮว่ารีบเดินนำทางอยู่ข้างหน้า


ส่วนเหมียวอี้ก็เดินจูงมือที่ขาวเนียนนุ่มของโอวหยางหวนเดินตามไป นางรู้สึกเหมือนมีกวางน้อยกระโดดอยู่ในใจ ตื่นเต้นจนฝ่ามือมีเหงื่อซึมออกมาแล้ว


ในห้องนอนที่ประดับตกแต่งใหม่ หลังจากจือซู จือฮว่าออกไปแล้ว ในช่วงเวลาสำคัญเห็นโอวหยางหวนทำท่าทางงุ่มง่ามเหมือนฉินเวยเวยในคืนนั้น เหมียวอี้ก็หลุดขำ “หวนหวน นึกถึงตอนนั้นที่เจ้าล่วงเกินข้า ทำไมวันนี้กลับตื่นเต้นขนาดนี้ล่ะ?”


“เชอะ” โอวหยางหวนโดนเหมียวอี้ยั่วเย้าจนส่งเสียงกระเง้ากระงอด อับอายจนเป็นฝ่ายมุดศีรษะเข้ามาในอ้อมอกเขาก่อน ย่อมกลายเป็นเนื้อเข้าปากเสืออยู่แล้ว…


ท่านขุนนางเหมียวงานยุ่งมาก วันต่อมาต้องไปอยู่กับโอวหยางหลางอีก การเริงรักของปลาและน้ำเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ หลังจากเสร็จแล้วก็นอนกอดกันบนเตียง สาวงามนอนเปลือยอยู่ในอ้อมกอด แต่เหมียวอี้กลับกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจมากว่า “หลางหลาง พอเจ้ากับน้องสาวเจ้าถอดเสื้อผ้าออกแล้ว ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้างนะ ข้าสามารถแยกออกได้ แต่พอสวมเสื้อผ้าแล้วเหมือนกันทุกอย่างเลย จะให้ข้าแยกออกยังไงล่ะ?”


โอวหยางหลางเขินจนก้มหน้า แต่สุดท้ายก็ยังปัดผมที่ยุ่งสยายออกเบาๆ แล้วชี้ไปตรงจอนผมข้างหู พลางอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา “ที่โคนผมของข้ามีปานสีแดงเล็กๆ เม็ดหนึ่ง ถ้าดูให้ละเอียดก็จะแยกออกค่ะ รอให้ท่านสามีอยู่กับพวกเราสองพี่น้องไปนานๆ แล้ว ก็จะแยกออกได้จากอากัปกิริยา แต่ปกติพวกเราสองพี่น้องจะเกล้าผมต่างกันนิดหน่อย จะได้แยกออกได้สะดวก พวกจือฉินมักจะติดตามอยู่ข้างกายพวกเราเสมอ พวกนางแยกออกได้สบายๆ ถ้าท่านสามีแยกไม่ออกจริงๆ คอยดูว่าพวกนางติดตามใครก็จะแยกออกเองค่ะ”


“อ้อ! งั้นก็ดี ไม่อย่างนั้นถ้าขึ้นเตียงผิดเดี๋ยวจะเกิดปัญหา” เหมียวอี้พูดหยอก ที่จริงเขามีความคิดอีกอย่างหนึ่ง เพียงแต่ตอนนี้ไม่สะดวกจะเอ่ยปาก กะว่ารอให้สนิทคุ้นเคยกับสองพี่น้องก่อน แล้วค่อยลองเอ่ยถึงความคิดสกปรกแบบนั้นอีกที


โอวหยางหลางทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ทุบที่หน้าอกเขาเบาๆ หนึ่งที…


ผู้หญิงเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด ตอนที่ยังไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน พวกนางมักจะกำหนดระดับความสนิทสนม แต่พอใช้เวลากับทั้งคู่ไปเพียงคืนเดียว ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก สีหน้ากลัดกลุ้มกังวลหายไปแล้ว แทนที่ด้วยความสวยสดใสเย้ายวนใจ ยามสาวงามที่หน้าตาเหมือนกันปรากฏตัวพร้อมกันหรือยืนอยู่ด้วยกัน นั่นเป็นอะไรที่สบายตามาก ทำให้คนไม่น้อยแอบอิจฉาเหมียวอี้อยู่ในใจ


ความโชคร้ายอย่างเดียวของเหมียวอี้ ก็คือทุกครั้งออกจากคฤหาสน์ของสองพี่น้องนั่น อวิ๋นจือชิวก็จะเตะขาเขาแรงๆ หนึ่งทีโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งยังไม่ให้คำอธิบายด้วย


อันหรูอวี้และโอวหยางกวงพักอยู่ที่ยอดเขาหยกนครหลวงชั่วคราว ความเปลี่ยนแปลงของลูกสาวย่อมอยู่ในสายตาพวกเขาอยู่แล้ว เมื่อเห็นลูกสาวที่ไร้ใบหน้ายิ้มมาหลายปีมาคารวะด้วยใบหน้าอมยิ้มเหนียมอาย อันหรูอวี้ก็เรียกได้ว่าปลาบปลื้มจากใจจริงๆ ในที่สุดปมที่ติดอยู่ในใจมาหลายปีก็คลายออกแล้ว


ในใจโอวหยางกวงกลับเอือมระอาไม่หาย ลูกสาวทั้งคู่ของเขา ลูกสาวฝาแฝดที่แต่งงานกับผู้ชายคนเดียวกัน ในใจเขาเรียกได้ว่าสับสนวุ่นวายไปหมด บนใบหน้าเขามองไม่เห็นรอยยิ้มอะไรทั้งนั้น


บางครั้งผู้ชายคนนี้ก็ทำตัวประหลาดเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ ตอนที่เหมียวอี้ไม่ไปเข้าห้องหอกับลูกสาวทั้งคู่ของเขา เขาก็โมโหแทบทนไม่ไหว ด่าเหมียวอี้ว่ารังแกกันเกินไป แต่พอได้ร่วมหอกับลูกสาวของเขาอย่างเป็นทางการแล้ว ในใจเขากลับไม่สบอารมณ์ สรุปก็คือการที่ลูกสาวสองคนแต่งงานกับผู้ชายคนเดียวกัน ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ ความป่วยใจแบบนี้แก้ไม่หาย มันจะอยู่กับเขาไปทั้งชีวิต ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่เป็นอนุภรรยา!


ในจุดนี้ กลับเป็นอันหรูอวี้ที่ปล่อยวางได้ บนโลกนี้มีพี่น้องที่แต่งงานกับผู้ชายคนเดียวกันตั้งเยอะ ไม่ได้มีแค่ครอบครัวนางเสียเมื่อไร ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ ขอแค่ลูกสาวตัวเองใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็พอแล้ว อาจเป็นเพราะอยู่ภายใต้สังคมที่มีค่านิยมชายเป็นใหญ่ เดิมทีสภาพจิตใจของผู้หญิงและผู้ชายก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว


อยู่ที่ยอดเขาหยกนครหลวงอีกไม่กี่วัน หลังจากวางใจได้แล้ว อันหรูอวี้กับโอวหยางดวงก็ออกไปจากที่นี่


ยังเสพสุขชีวิตคู่รักใหม่กับเหมียวอี้ได้ไม่กี่วัน ฉินเวยเวยกับสองพี่น้องโอวหยางก็ถูกอวิ๋นจือชิวดึงตัวมาคอยเรียกใช้อยู่ข้างกายแล้ว ให้อนุภรรยาทั้งสามมาทำงานด้วยกันกับนาง ให้ทั้งสามเข้ามามีส่วนร่วมด้วยตัวเอง แบ่งงานบางอย่างให้ทั้งสามไปทำ


ตอนกลางคืนก็ให้เหมียวอี้สลับไปค้างคืนกับทั้งสามอีก ให้ทำเรื่องระหว่างชายหญิงทุกวันแบบนี้ เหมียวอี้ก็เริ่มเบื่อหน่ายแล้วเหมือนกัน เขาไม่ใช่คนหมกมุ่นเลย ไม่ได้ชื่นชอบด้านกามตัณหา แต่อวิ๋นจือชิวก็พูดถูก เพิ่งแต่งงานกันก็จะออกไปข้างนอกอีกแล้ว ดังนั้นช่วงนี้จึงควรไปอยู่กับพวกนางมากๆ หน่อย เขาก็เลยต้องฝืนใจยอมรับ


สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ยิ่งพูดไม่ออกก็คือ อวิ๋นจือชิวถึงขั้นให้เหมียวอี้รีบนอนกับหญิงรับใช้ของฉินเวยเวยกับสองพี่น้องโอวหยางให้ครบก่อนไปพิภพใหญ่


ต่อให้ตีให้ตาย เหมียวอี้ก็ไม่ทำเรื่องนี้ เจ้าเห็นข้าเป็นพ่อพันธุ์หมูไปแล้วรึไง?


แต่อวิ๋นจือชิวกลับบอกเขาด้วยท่าทางจริงจังว่า สำหรับผู้หญิงแล้ว มีเพียงการนอนกับนางเท่านั้น ถึงจะนับว่านางเป็นคนของตัวเองอย่างแท้จริงได้ ถ้าเจ้านอนกับหญิงรับใช้พวกนั้นแล้ว หัวใจของพวกนางถึงจะเอนเอียงไปหาเจ้า ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าให้กลุ่มคนที่ไม่รู้เส้นสนกลในชัดเจนมาอยู่ภายในศูนย์กลางของพวกเรา พวกเราก็จะออกไปข้างนอกอย่างมีห่วง โดยเฉพาะคนที่อยู่ข้างกายสองพี่น้องโอวหยางนั่น ถ้าแดนโพ้นสวรรค์ส่งพวกนางมาคอยเป็นหูเป็นตาให้จะทำอย่างไรล่ะ? มีแต่ต้องทำให้พวกนางกลายเป็นผู้หญิงของเจ้าเท่านั้น ถึงจะเหมาะสมที่สุด


เหมียวอี้ยังคงดึงดันไม่ตอบตกลง เรื่องนี้ใช่ว่าเขาจะทำไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าจะไม่ใช่ผู้ชาย ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นผู้ชายทั้งแท่ง เพียงแต่เรื่องแบบนี้เหลวไหลเกินไป คนเราต้องพิถีพิถันเรื่องอารมณ์ความรู้สึกสิ จะให้ฝืนทำเหมือนเป็นภารกิจ แบบนั้นมันใช่เรื่องที่ไหน? มิหนำซ้ำ จู่ๆ จะให้นอนด้วยทีละคนต่อเนื่องกัน พวกนางก็เป็นมนุษย์เหมือนกันนะ ทำแบบนี้จะให้พวกนางคิดอย่างไร?


เขาดึงดันจะเอาไว้จัดการทีหลัง จึงถูกอวิ๋นจือชิวพูดหยามเหยียดไปยกหนึ่ง ด่าว่าเขาเป็นพวกผู้ชายไร้ประโยชน์ แต่เหมียวอี้ก็ยังไม่ยอมทำอยู่ดี ไม่เคยเห็นเมียที่ไหนทำตัวพิลึกพิลั่นขนาดนี้เลย


หลังจากนั้นหนึ่งเดือน อวิ๋นจือชิวกับเหมียวอี้ก็ได้รับแผ่นหยกที่อันหรูอวี้สั่งให้คนส่งมา หลังจากอ่านเนื้อหาแล้วทั้งสองก็ทอดถอนใจ


ไม่นานข่าวก็แพร่ออกไป ประกาศว่าเรื่องการตายของท่านทูตสี่คนของแดนเซียน อันหรูอวี้คือตัวการใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบ จึงโดนปราชญ์เซียนมู่ฝานจวินลงโทษอย่างหนัก ส่งเข้าไปยืนสำนึกผิดที่เขตต้องห้าม ส่วนโอวหยางกวงก็ถูกถอดจากตำแหน่งท่านทูตสายชวดแล้วเช่นกัน


มู่ฝานจวินไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตอนแรก ความจริงลงโทษได้โหดร้ายกว่านั้น ทำให้แผนที่อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงกำหนดไว้ล่วงหน้าวุ่นวายไปหมดในรวดเดียว


หลังจากโอวหยางกวงถูกปลด ก็ไม่ได้ถูกแต่งตั้งให้ไปรับตำแหน่งที่ทะเลทรายม่านเมฆา แม้แต่อันเจิ้งเฟิงก็ลำบากไปด้วย ถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการร้านทะเลทรายม่านเมฆา ทั้งสองไปรับโทษที่แดนโพ้นสวรรค์ด้วยกัน คนหนึ่งไปทำสวน อีกคนไปเป็นคนเลี้ยงม้าเลี้ยงวิหคเทพ ส่วนตำแหน่งว่างของทั้งสองคน ก็ถูกแทนที่ด้วยลูกน้องเก่าของมู่ฝานจวินที่โยกย้ายมาจากสมาคมร้านค้าแดนเซียน เป็นนักพรตบงกชทองเช่นกัน


ว่ากันว่านี่เป็นแผนของฮูเหยียนไท่เป่า คุณชายใหญ่ของแดนโพ้นสวรรค์ ที่จริงแล้วฮูเหยียนไท่เป่ากำลังอาศัยโอกาสนี้ล้างบางลูกน้องคนสนิทของอันหรูอวี้ โอวหยางกวงและอันเจิ้งเฟิง


แต่หลังจากหยางชิ่งวิเคราะห์แล้วกลับบอกว่า น่าจะไม่ใช่ความคิดของฮูเหยียนไท่เป่า ถ้าไม่มีมู่ฝานจวินชี้แนะ ฮูเหยียนไท่เป่าก็ไม่กล้าทำอย่างนี้เหมือนกัน คงจะยืมมือของฮูเหยียนไท่เป่ามากำจัดอำนาจเบ็ดเสร็จที่ลูกศิษย์บริหารมาหลายปี เรื่องที่ขัดหูขัดตามู่ฝานจวินจะได้ไม่เกิดขึ้นอีก ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเพื่อให้มู่ฝานจวินปกครองแดนเซียนได้สะดวก ที่ให้ฮูเหยียนไท่เป่าออกจากเขตต้องห้ามล่วงหน้า ก็เพื่อให้มาเป็นแพะรับบาปเท่านั้น  ถือว่าเป็นการลงโทษเพื่อตบตาประเภทหนึ่งก็แล้วกัน


เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวก็รู้สึกว่าหยางชิ่งวิเคราะห์ได้มีเหตุผล แต่ฟังแล้วก็ทอดถอนใจไม่หาย มู่ฝานจวินให้ลูกสาวของอันหรูอวี้แต่งงานเข้ามาที่นี่ ก็นับว่าไม่ใจร้ายจนเกินไปแล้ว ถ้าจะให้ลูกสาวของอันหรูอวี้ติดร่างแกไปด้วยจริงๆ อันหรูอวี้กับสามีคงแปรพักตร์แน่นอน แบบนั้นไมตรีของลูกศิษย์มู่ฝานจวินก็นับว่าจบลงอย่างเป็นทางการ แต่พอเป็นแบบนี้ วันไหนที่ปล่อยอันหรูอวี้ออกมา ก็จะสามารถใช้งานนางต่อไปได้ ไม่ว่าจะเลือกทางไหนอันหรูอวี้กับสามีก็ต้องขอบคุณมู่ฝานจวิน พร่ำบนไม่ได้ ฝนตกฟ้าผ่าล้วนแฝงความเมตตาจากท่านปราชญ์จริงๆ!


แต่อวิ๋นจือชิวก็ยังหันมาสั่งให้เหมียวอี้เรียนรู้จากมู่ฝานจวินให้มากๆ บอกว่านี่คือจุดด้อยของเหมียวอี้ วิธีการใช้งานคนของมู่ฝานจวินต่างหากที่เป็นกลยุทธ์ของราชันอย่างแท้จริง วิธีการที่เจ้าจับตัวตงกัวหลี่กับลูกศิษย์มาทำงานให้นั้นไม่ยั่งยืนถาวร เจ้าคงจับคนทั้งใต้หล้ามาหมดทุกคนไม่ได้อยู่แล้วล่ะ ใช่มั้ย?


…………………………

 

 

 


ตอนที่ 934

 

นรกจ๋า อาตมามาแล้ว!

อำนาจที่เกี่ยวข้องกับตระกูลของอันหรูอวี้นับว่าถูกริดรอนจนหมดสิ้น สองพี่น้องโอวหยางทราบเรื่องแล้วร้องไห้หนักมาก อยากจะไปเยี่ยมพ่อแม่ที่แดนโพ้นสวรรค์


เหมียวอี้นำจดหมายที่อันหรูอวี้ส่งมาให้ทั้งสองอ่าน อันหรูอวี้พูดไว้อย่างชัดเจนมาก ว่าไม่ให้ทั้งสองไปหาพวกเขาที่แดนโพ้นสวรรค์ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะไปเยี่ยมพวกเขา สองพี่น้องเรียกได้ว่าน้ำตาอาบหน้าตลอดทั้งวัน


ส่วนสิ่งที่ท่านขุนนางเหมียวทำได้ในตอนนี้ ก็คือใช้เวลาอยู่กับพวกนางและพูดชี้แนะพวกนางมากๆ หน่อย เรื่องราวชัดเจนมากแล้ว ว่าถ้าทางแดนโพ้นสวรรค์ไม่ล้างบางอำนาจของอันหรูอวี้กับสามีจนเกือบหมด ก็ไม่มีทางปล่อยตัวออกมาแน่นอน


ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน เหมียวอี้ตัดสินใจว่าจะไปที่พิภพใหญ่ อวิ๋นจือชิวก็อดใจไม่ไหวอยากจะไปเห็นพิภพในตำนานว่ามีอะไรต่างจากที่นี่กันแน่ แค่ฟังจากปากเหมียวอี้ยังไม่รู้สึกถึงอกถึงใจมากพอ


อวิ๋นจือชิวเรียกรวมบุคคลระดับสูงของยอดเขาหยกนครหลวง เพื่อประกาศว่าตนกับเหมียวอี้จะไปทัศนาจรข้างนอกสักระยะ ฉินเวยเวยจะเป็นคนคุมปราสาททองชั่วคราว และสั่งให้พวกหยางชิ่งคอยช่วยเหลือ


การให้ฉินเวยเวยคุมยอดเขาหยกนครหลวง ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจมากเท่าไรกัน หยางชิ่งย่อมดีใจอยู่แล้ว เพียงแต่เกิดความสงสัยในใจนิดหน่อย เพิ่งมายอดเขาหยกนครหลวงได้ไม่นานก็จะไปอีกแล้วเหรอ?


ฉินเวยเวยกลับหวาดกลัวมาก ให้นักพรตบงกชแดงอย่างนางรับอำนาจหน้าที่ของท่านทูตเพื่อรักษาการณ์ยอดเขาหยกนครหลวง นางจะทำได้อย่างไรกัน?


แต่อวิ๋นจือชิวกับเหมียวอี้ก็ออกไปอย่างนี้แล้ว บทจะไปก็ไป ไม่ได้พาใครไปด้วยเลย


ทั้งสองมาที่ถ้ำคล้อยบูรพาก่อน เจอกับศีลแปดที่ท่าเรือนอกเมืองคล้อยบูรพา จากนั้นก็ไปหาเยารั่วเซียนที่อู่ต่อเรือร้าง


เยารั่วเซียนซ่อนตัวอยู่ที่นี่เกือบหนึ่งปีแล้ว เมื่อเจอกับเหมียวอี้อีกครั้งก็รู้สึกละอายใจเป็นเท่าตัว ในระหว่างนั้นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เคยแอบมาพบเขาเงียบๆ บอกให้เขารู้ว่าเหมียวอี้ต้องเสี่ยงอันตรายขนาดไหนเพื่อช่วยเขา มีหลายครั้งที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด


“ตาแก่มอมแมมนี่เป็นใครกัน?” ศีลแปดที่ปลอมตัวเป็นคนพายเรือถามอย่างแปลกใจ ไม่น่าเชื่อว่าตาแก่คนนี้จะมีค่าพอจนทำให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้มารับด้วยตัวเอง เขาเดาว่าที่ตัวเองต้องมาซ่อนตัวอยู่แถวนี้ คงจะเกี่ยวกับตาแก่นี่แปดส่วนแน่นอน


“เจ้าจะสนใจอะไรมากมายขนาดนั้น” เหมียวอี้สั่งให้เขาหุบปาก


พวกเขาหนีเข้าไปในทางน้ำของอู่เรือ หนีออกทางทะเลเพื่อเลี่ยงไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็น หลังจากออกจากจากฝั่งมาไกลแล้ว ทั้งสี่ถึงได้โผล่ขึ้นมาที่ผิวน้ำ อวิ๋นจือชิวเป็นคนพาพวกเขาฝ่าชั้นบรรยากาศออกมาถึงท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว


เหมียวอี้คอยระบุทิศทาง นำคนที่เหลือเหาะไปอย่างรวดเร็ว อวิ๋นจือชิวที่กำลังเหาะซ่อนแผ่นหยกเอาไว้ในแขนเสื้อ คอยจดเครื่องหมายบอกทางเงียบๆ นางอ่านเครื่องหมายบอกทางของเหมียวอี้ไม่ออก ตอนนี้ต้องทำแผนที่ที่ตัวเองสามารถอ่านเข้าใจได้


เยารั่วเซียนมองไปรอบๆ ไม่รู้ว่าการมาถึงท้องฟ้าในอวกาศหมายความว่าอะไร


ศีลแปดได้รับถ่ายทอดวิชาปลอมตัวมาจากไต้ซือศีลเจ็ด เมื่อฝุ่นควันที่ล้อมรอยกายหายไป เขาก็กลับสู่โฉมหน้าจริงที่แท้จริง แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ พวกเราจะไปไหนกัน?”


“จะถามมากขนาดนั้นไปทำไม? ไปถึงแล้วก็รู้เอง” เหมียวอี้ยังไม่บอก


หลังจากผ่านไปสักระยะ สิ่งแรกที่ทำให้ได้เปิดหูเปิดตาก็คือประตูดวงดาว ศีลแปดกับเยารั่วเซียนตกใจมาก อวิ๋นจือชิวที่เคยได้ยินมาแล้วก็เบิกตาโพลงเช่นกัน เห็นเพียงเหมียวอี้ปล่อยกระสวยทองออกมา ลำแสงที่หมุนวนด้วยความเร็วสูงครอบพวกเขาทะลุผ่านหลุมดำอันน่าสะพรึงกลัวไปได้ในชั่วพริบตาเดียว พอหันกลับไปอีกครั้ง ก็รู้สึกเหมือนเป็นความฝันที่เกิดขึ้นฉับพลัน ไม่น่าเชื่อว่าหลุมดำนั่นจะหายไปในอากาศแล้ว…


เยารั่วเซียนรีบถามว่าของในมือเหมียวอี้คือของวิเศษอะไร ส่วนศีลแปดก็ถามว่าหลุมดำเมื่อครู่นี้คืออะไร ดูออกได้จากสิ่งนี้ว่าความสนใจของทั้งสองต่างกันตรงไหน เยารั่วเซียนเป็นคนหลอมของวิเศษจึงสนใจของวิเศษ ส่วนศีลแปดก็สนใจสิ่งประหลาดเหมือนกับคนทั่วไป


เหมียวอี้ยังคงไม่ตอบอะไร


จนกระทั่งข้ามผ่านประตูดวงดาวบานสุดท้าย มาถึงอาณาเขตของพิภพใหญ่แล้ว เหมียวอี้ถึงได้เผยคำตอบของปริศนา


“อะไรนะ?” เยารั่วเซียนอุทานถาม


“เหยด!” ศีลแปดตกตะลึงมาก “พิภพใหญ่? สถานที่ที่เทพพยากรณ์ให้ท่านพาข้ามาคือพิภพใหญ่เหรอ?”


อวิ๋นจือชิวมองสำรวจโดยรอบด้วยดวงตาที่เป็นประกาย เห็นได้ชัดว่านางตื่นเต้นมาก นี่คือสถานที่ที่หกปราชญ์ต่างก็ใฝ่ฝันอยากจะมา ทว่าจากสภาพแวดล้อมโดยรอยยังมองไม่ออกว่ามีอะไรต่างกัน เพราะยังอยู่บนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ความลึกลับกว้างใหญ่ของจักรวาลยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้


เหมียวอี้พยักหน้าบอกว่า “ใช่แล้ว ที่นี่คือพิภพใหญ่! คือนรกที่เจ้าประกาศว่าจะตกลงไปนั่นแหละ!”


“วะฮ่าๆๆ!” ศีลแปดกางแขนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งทันที “นรกแบบนี้ ตกลงไปก็ดีเหมือนกัน! นรกจ๋า อาตมามาแล้ว!” นั่นคือสีหน้าคนของบ้าจริงๆ เหมือนคนที่ออกบวชเสียที่ไหนกัน


เหมียวอี้หันกลับมาบอกว่า “เยารั่วเซียน เจ้าไม่เหมาะจะอยู่ที่พิภพเล็กอีกต่อไปแล้ว ข้าเองก็จำใจถึงได้ส่งเจ้ามาที่นี่ เพราะว่าเป็นเจ้าหรอกนะ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะพามาให้รู้ความลับสุดยอดของข้าแบบนี้ พวกเจ้าจำไว้นะ ห้ามให้คนของพิภพใหญ่รู้ที่มาที่ไปของพวกเราเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะนำปัญหาใหญ่มาสู่พวกเรา”


“ตาปีศาจเฒ่า ได้ยินรึยัง ควบคุมปากเจ้าไว้ให้ดีนะ” ศีลแปดเอ็ดตะโรใส่เยารั่วเซียนทันที


จนกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเยารั่วเซียนเลย ส่วนเยารั่วเซียนก็ไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเขากับเหมียวอี้เช่นกัน ได้ยินเพียงว่าเห็นแก่หน้าไต้ซือศีลเจ็ด


ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้ตอบทุกคำถาม ต่อให้ไม่ถามเขาก็จะบอก เขาเล่าสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพิภพใหญ่ให้ทั้งสองฟัง บอกอะไรได้ก็บอกไปหมด ป้องกันไม่ให้ทั้งสองไปทำอะไรที่เป็นสิ่งต้องห้าม จะได้ไม่เหมือนตัวเองตอนมาครั้งแรก ที่หาเรื่องซี้ซั้วไปทั่วทุกที่


สถานีแรกคือดาวไร้ลักษณ์ สำนักลมปราณ เป็นสถานที่ที่หาไว้ให้เยารั่วเซียนค้างแรมเช่นกัน


อันที่จริง หลังจากผ่านเรื่องที่สำนักงามวิจิตรมา เขาก็พบว่าสมองของเยารั่วเซียนไม่ได้น่าอัศจรรย์อย่างที่จินตนาการไว้ จึงตัดสินใจจะให้เยารั่วเซียนปรับตัวกับสภาพแวดล้อมของพิภพใหญ่ได้ก่อน แล้วจากนั้นค่อยว่ากัน ตอนนี้ยังไม่กล้าให้เขาเพ่นพ่านไปทั่ว ส่วนอวิ๋นจือชิวกับศีลแปด ทั้งสองเป็นคนฉลาด ไม่ต้องให้เขาเป็นห่วงมากเกินไป โดยเฉพาะศีลแปด เขาไม่กลัวว่าศีลแปดจะโดนคนอื่นรังแก แต่กลัวคนอื่นจะโดนศีลแปดรังแกมากกว่า แบบนั้นคงต้องร้องว่าอามิตตาพุทธแล้ว


แต่เขาก็พาเยารั่วเซียนไปที่สำนักลมปราณคนเดียว ไม่ได้เปิดตัวอวิ๋นจือชิวกับศีลแปด เขาพาเยารั่วเซียนไปพบเจ้าสำนักอวี้หลิงเจินเหริน บอกว่าเป็นสหายรักของตน สำนักลมปราณย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับไว้ จึงทำตามที่เหมียวอี้บอก ให้เยารั่วเซียนไปอยู่ที่เรือนพักในป่าไผ่ของเหมียวอี้


ครั้งนี้ห่างจากเวลาที่จากพิภพใหญ่ไปไม่นาน หลังจากถามสถานการณ์นิดหน่อย ก็พบว่าสำนักลมปราณกับร้านขายของชำไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไร ร้านขายของชำที่กำลังขยายสาขาไปยังคงอยู่ในขั้นตอนวางรากฐาน


ที่เรือนพักในป่าไผ่ เหมียวอี้ไม่ได้ให้ใครตามมาอยู่เป็นเพื่อน เขาพาเยารั่วเซียนมาดูสภาพแวดล้อมด้วยตัวเอง


หลังจากพาเดินวนรอบหนึ่ง เยารั่วเซียนก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “สภาพแวดล้อมไม่เลวเลย เหมียว… หนิวโหย่วเต๋อ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีที่พักที่พิภพใหญ่แล้ว ข้าค้นพบแล้วว่าเจ้าบ้านี่ไม่ว่าไปที่ไหนก็ปะปนอยู่ที่นั่นได้” เขารู้สึกสะเทือนใจมากจริงๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่กล้าแม้แต่จะคิด ว่าจะสามารถมาที่พิภพใหญ่ได้


“ไม่ต้องพูดประจบแล้ว ข้าจะบอกเจ้าตรงๆ เลยนะ เพื่อที่จะช่วยชีวิตเจ้า ข้าสังหารลูกศิษย์ของเฟิงเป่ยเฉินกับลูกสาวของจีฮวนไปแล้ว ทั้งยังกำจัดท่านทูตของสองแดนนั้นไปแปดคน แค้นเก่ากับแค้นใหม่บวกรวมกัน ตอนนี้สถานการณ์ของข้าที่พิภพเล็กอันตรายมาก เฟิงเป่ยเฉินกับจีฮวนมาเอาชีวิตข้าได้ทุกเมื่อ ถ้าข้าตาย จุดจบของเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์จะยิ่งอนาถ เจ้าคิดหาทางช่วยข้าก่อนเถอะ!” ในที่สุดเหมียวอี้ก็บอกเจตนาที่แท้จริง


เยารั่วเซียนก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้น ถามอย่างลังเลว่า “เจ้าอยากได้เจดีย์งามวิจิตรเหรอ?”


“ถูกต้อง!” เหมียวอี้มองเขาด้วยแววตาแน่วแน่ พลางกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าต้องการรวมพิภพเล็กให้เป็นหนึ่งเดียว ทำให้ยุคของหกปราชญ์จบลง กำจัดความกังวลที่พิภพเล็กให้หมดสิ้น! ถ้าพบปัญหาที่พิภพใหญ่ขึ้นมา พิภพเล็กก็จะเป็นทางหนีทีไล่สุดท้ายของพวกเรา ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า!”


สำหรับเขา เจดีย์งามวิจิตรไม่พียงแค่สามารถแก้ปัญหาที่พิภพเล็กได้ แต่ยังกลายเป็นเครื่องมือป้องกันตัวที่พิภพใหญ่ได้ด้วย


เมื่อเดินทางไปมาระหว่างพิภพใหญ่กับพิภพเล็กหลายปี เขาเองก็นับว่าดูออกแล้วเหมือนกัน อย่าคิดว่าพิภพเล็กจะไม่มีค่าอะไรเลย นั่นเป็นความคิดตอนที่ยังโง่เขลาขาดความรู้ หลงไปคิดว่าคนจากสถานที่เล็กๆ ไร้ประโยชน์ ใช่ว่าเคล็ดวิชาฝึกตนที่พิภพเล็กจะไม่มีความสำคัญที่พิภพใหญ่เลย เคล็ดวิชาฝึกตนของสำนักต่างๆ มากมายในพิภพเล็ก ที่จริงก็มาจากแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งนี่เอง นี่ก็เป็นจุดประสงค์ที่สำนักใหญ่ๆ แต่ละแห่งส่งคนไปเข้าร่วมทุกๆ หนึ่งพันปีที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเปิด เคล็ดวิชาของหกปราชญ์ล้วนเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาของพิภพใหญ่


ที่จริงสำหรับพิภพเล็ก ข้อจำกัดที่ใหญ่ที่สุดก็คือทรัพยากรฝึกตน


ส่วนทักษะการหลอมของวิเศษที่พิภพเล็กก็อาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้น เหมียวอี้รู้สึกว่าเจดีย์งามวิจิตรก็ไม่เลวเลย


เยารั่วเซียนยิ้มเจื่อน “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะทะเยอทะยานมากขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเจ้านะ ข้าเองก็อยากให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์พ้นภัยคุกคามจากคนอื่น แต่เจ้าก็รู้นี่ เจดีย์งามวิจิตรเล็กของข้าสู้กับหกปราชญ์ไม่ได้ ถ้าจะให้หลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรของจริง พวกเราก็มีทรัพยากรไม่พออีก!”


“ปัญหาเรื่องทรัพยากร เดี๋ยวข้าคิดหาทางเอง ครั้งก่อนเจ้าเดิมพันกับเซี่ยงไป่ถิง บอกว่าเจ้าจะใช้เวลาแค่หนึ่งร้อยวันเพื่อหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรเล็ก แล้วถ้าจะหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรตัวจริง จะต้องใช้เวลานานเท่าไร?” เหมียวอี้ถาม


เยารั่วเซียนตอบว่า “หลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรเล็ก ตอนแรกข้าใช้เวลาไปร้อยกว่าปี ตอนที่ข้าเดิมพันไปแบบนั้น เพราะข้าเคยหลอมสร้างมาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าหลอมสร้างอีกก็จะชำนาญแล้ว ถ้ามีแผนอยู่ในใจก็ใช้เวลาไม่นานหรอก การหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรตัวจริงก็มีจุดที่แตกต่างอยู่บ้าง ประกอบกับเจดีย์งามวิจิตรตัวจริงมีขนาดใหญ่ ล้วนต้องทุ่มเทเวลา ถ้าอยากจะให้มั่นใจเชื่อถือได้และไม่สิ้นเปลืองวัสดุ เกรงว่าต้องใช้เวลาร้อยกว่าปีเหมือนกัน”


“ได้! ข้าจะรอเจ้าหนึ่งร้อยปี เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องวัสดุ ข้าแก้ปัญหาได้” เหมียวอี้ว่าอย่างนั้น


เยารั่วเซียนส่ายหน้า “ก็ยังไม่ได้! ตอนที่ข้าเดิมพันกับเซี่ยงไป่ถิง เจ้าเองก็ได้ยินแล้ว อาศัยวรยุทธ์ของข้าในตอนนี้ ไม่มีทางสร้างของวิเศษขนาดใหญ่แบบนั้นได้เลย เพราะวรยุทธ์ของข้าไม่สามารถบุกเบิกพื้นที่ใหญ่ขนาดเจดีย์งามวิจิตรได้ได้ เจดีย์งามวิจิตรหลอมสร้างโดยยอดฝีมือบงกชม่วงหลายคนของสำนักงามวิจิตร ถ้าข้าคนเดียวคิดจะหลอมสร้างออกมาให้ได้ อย่างน้อยก็ต้องมีวรยุทธ์ระดับบงกชม่วงขั้นห้า”


“แบบนี้…” เหมียวอี้ขมวดคิ้วพึมพำ เริ่มคิดคำนวณ ตอนนี้เยารั่วเซียนวรยุทธ์บงกชแดงขั้นหก ถ้าจะเพิ่มเป็นบงกชม่วงขั้นห้า อย่างน้อยต้องใช้ยาแก่นเซียนห้าหมื่นสามพันกว่าเม็ด แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาเลย ครั้งก่อนก็เอาไปจากพิภพใหญ่สิบล้านเม็ด ตอนนี้ในมืออวิ๋นจือชิวยังมียาแก่นเซียนจำนวนมากที่ยังใช้ไม่หมด ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือเวลา ถึงจะมียาแก่นเซียนแต่ก็ต้องใช้เวลาร้อยกว่าปี บวกกับเวลาในการหลอมของวิเศษ ก็แปลว่าต้องรออีกสองร้อยปีกว่าจะสร้างเจดีย์งามวิจิตรขึ้นมาได้


แต่คิดไปคิดมาก็เหมาะเจาะพอดี ตอนนี้ต่อให้ได้เจดีย์งามวิจิตรมา เขาก็ยังควบคุมไม่ได้อยู่ หลังจากนี้สองร้อยปี ต่อให้คลานก็ต้องคลานผ่านธรณีประตูของระดับบงกชทองได้แหละน่า?


สุดท้ายเหมียวอี้ก็พยักหน้า “ไม่ใช่ปัญหาเลย ข้าจะให้ยาแก่นเซียนเจ้าหนึ่งแสนเม็ด เวลาหนึ่งร้อยปีก็เพียงพอให้วรยุทธ์เจ้าเพิ่มถึงบงกชม่วงขั้นห้าแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยช่วยข้าหลอสร้างเจดีย์งามวิจิตร หลังจากนี้สองร้อยปีข้าต้องเห็นของ”


“ยาแก่นเซียนหนึ่งแสนเม็ด?” เยารั่วเซียนสูดหายใจตกตะลึง “เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย?”


“ไม่ได้ล้อเล่น อีกประเดี๋ยวจะให้เจ้าทันที เจ้าตั้งใจฝึกตนก็พอแล้ว เออใช่ ในระหว่างนั้นหลอมทวนวิเศษขั้นห้าให้ข้าสักด้ามสิ เอาเกราะรบขั้นห้าด้วย ทั้งหมดทำจากผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูง รอให้ข้าบรรลุระดับบงกชทองก็ใช้ได้แล้ว บางทีข้าอาจจะซัดให้หกปราชญ์หมอบโดยไม่ต้องรอเจดีย์งามวิจิตรของเจ้าก็ได้ อื้ม! ทำให้เมียข้าด้วยชุดหนึ่ง เรื่องวัสดุข้าจะหาทางเอามาให้… จะเบิกตากว้างขนาดนั้นทำไม ใช้เวลาสองร้อยปี ของเล็กน้อยแค่นี้เจ้าใช้เวลาไม่นานหรอก เจ้าไม่ต้องใช้วรยุทธ์บงกชม่วงขั้นห้าก็หลอมสร้างได้ ข้าเกือบตายเพราะเจ้าหลายครั้งแล้ว กับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เจ้าคงไม่ปฏิเสธที่จะช่วยหรอกใช่มั้ย?”


…………………………

 

 

 


ตอนที่ 935

 

ฮูหยินเจอชู้

โดย

Ink Stone_Fantasy

เหมียวอี้เองก็อยู่พักที่สำนักลมปราณชั่วคราวระยะหนึ่ง หลังจากจัดที่อยู่ให้เยารั่วเซียนเข้าที่เข้าทาง คุยกับอวี้หลิงเจินเหรินได้สักพัก เขาก็กล่าวอำลาแล้ว


หลังจากออกจากสำนักลมปราณ มาเจอกับอวิ๋นจือชิวและศีลแปดที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขา ทั้งสามก็ฝ่าชั้นบรรยากาศออกไปอีกครั้ง มุ่งตรงสู่ดาวเทียนหยวน


ขณะที่มาถึงดาวเทียนหยวน เหมียวอี้ก็กำชับทั้งสองอีกครั้ง หวังว่าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขา เพราะเขามีศัตรูอยู่ที่นี่ เขาไม่อยากวางไข่ไก่ไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน


และแน่นอน ยังมีสาเหตุที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือกลัวอวิ๋นจือชิวจะเปิดโปงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหวงฝู่จวินโหรว


ด้วยเหตุนี้เอง ตอนที่เข้ามาในตลาดสวรรค์ เหมียวอี้จึงแต่งหน้าปลอมตัวก่อน


เมื่อเข้ามาในเมือง ความเจริญเฟื่องฟูของตลาดสวรรค์ก็ดึงดูดความสนใจของอวิ๋นจือชิวกับศีลแปดทันที ความเจริญของที่นี่ไม่ใช่สิ่งที่กำลังของมนุษย์ธรรมดาจะสร้างขึ้นมาได้ วัสดุหินก้อนใหญ่ที่ใช้สร้างตึกมากมาย อาศัยกำลังของมนุษย์ธรรมดาไม่อาจเคลื่อนย้ายได้


ที่นี่คือคู่เมืองขนาดใหญ่ที่มีกลุ่มนักพรตอยู่อาศัย ทั้งสองไม่เคยเห็นมาก่อน ในดวงตาเอาแต่ฉายแววตกตะลึง เหมือนกับตอนที่เหมียวอี้มาครั้งแรก


“ไม่ต้องรีบเดินดูตอนนี้หรอก ยังมีเวลาเหลือเฟือให้พวกเจ้าเอ้อระเหยลอยชาย หาที่พักให้พวกเจ้าก่อนดีกว่า” เหมียวอี้เตือนทั้งสองให้รีบเดิน อย่าแวะหยุดดูนั่นดูนี่ ทำเหมือนไม่เคยเห็นของอย่างนั้นแหละ


ที่พักอยู่ไม่ไกล เป็นโรงเตี๊ยมที่อยู่เยื้องกับร้านขายของชำซื่อตรง ค่าใช้จ่ายในการเข้าพักโรงเตี๊ยมที่ตลาดสวรรค์สูงไม่เบา แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ราคานี้ใช่ว่าจะจ่ายไม่ไหว


เช่าห้องไว้สองห้อง พวกเขาเดินขึ้นมาชั้นบน หลังจากผลักเปิดหน้าต่างออก เหมียวอี้ก็ชี้ไปยังร้านขายของชำซื่อตรงที่เยื้องอยู่ตรงข้ามพลางอธิบายให้ฟัง บอกว่าเขาคือหนึ่งในผู้ถือหุ้นของร้านนั้น


“จุจุ พี่ใหญ่ ที่แท้ท่านก็คลี่คลายสถานการณ์ที่พิภพใหญ่ไว้แล้วนี่เอง ใช้ได้เลยนะ!” ศีลแปดรู้สึกอัศจรรย์ใจไม่หาย ยื่นศีรษะโล้นออกนอกหน้าต่าง เหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว


อวิ๋นจือชิวกลับอดใจไม่ไหวอยากจะไปดูร้านขายของชำซื่อตรงสักหน่อย ทั้งสามถึงได้ออกจากโรงเตี๊ยม เมื่อมาถึงด้านนอกของร้านขายของชำซื่อตรง พวกเขาก็สังเกตการณ์และเรียนรู้พักหนึ่ง


อวิ๋นจือชิวชื่นชมวิธีการบริหารที่เหมียวอี้สร้างขึ้นมา เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย ช่องทางทำเงินมากมายขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะให้คนอื่นครอบครองผลประโยชน์ส่วนใหญ่ไป แต่นางก็รู้เหมือนกันว่าถ้าไม่มีอำนาจหนุนหลังก็ไม่อาจฮุบไว้คนเดียวได้ เหมียวอี้คนเดียวได้ผลประโยชน์มาสองส่วนก็นับว่ายากแล้ว


อุตส่าห์มาถึงที่นี่ จะมัวเยี่ยมชมแต่ร้านนี้ไม่ได้อยู่แล้ว เหมียวอี้พาทั้งสองไปเดินเล่นทั่วตลาดสวรรค์ พาทั้งสองไปเปิดหูเปิดตาบริเวณที่เจริญเฟื่องฟูที่สุดก่อน


สำหรับพวกผู้หญิง ตลาดสวรรค์นับว่าเป็นสวรรค์ของการจับจ่ายจริงๆ มีแต่สิ่งที่เจ้านึกไม่ถึง ไม่มีสิ่งที่เจ้าหาซื้อไม่ได้ ไฟปรารถนาในการจับจ่ายของอวิ๋นจือชิวถูกจุดให้ลุกโชน นี่คือธรรมชาติที่ผู้หญิงแก้ไม่หาย


ทว่าหลังจากเข้าไปสำรวจดูหลายๆ ร้าน อวิ๋นจือชิวก็ค้นพบอย่างเศร้าใจว่าเศรษฐีนีที่พิภพเล็กอย่างนาง เมื่ออยู่ที่นี่ก็เป็นแค่คนจนคนหนึ่งเท่านั้น สินค้าที่ดีจริงๆ นางก็ซื้อไม่ไหวเลยสักชิ้น เอะอะก็หนึ่งพันล้าน หนึ่งหมื่นล้าน หนึ่งแสนล้าน หนึ่งล้านล้านผลึกแดงแล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่จะผลาญสมบัติในครอบครัวเพื่อซื้อของที่ตัวเองชอบชิ้นเดียว ทำได้เพียงดูแล้วจินตนาการเอา ใช้สายตามองนิดหน่อยแล้วปล่อยผ่าน หลายครั้งที่มองเหมียวอี้อย่างคับแค้นใจ


ท่านขุนนางเหมียวรู้สึกกดดันหนักมาก ได้นอนกับผู้หญิงอาจจะเป็นการเสพสุข แต่การเลี้ยงดูผู้หญิงคือความกดดัน สิ่งที่เรียกว่าความกดดันก็คือแรงผลักดัน ผู้ชายที่มีกำลังทรัพย์มากถึงจะมีผู้หญิงเยอะได้ คนจนก็อย่าคิดเพ้อฝันเลย เพราะเลี้ยงดูไม่ไหว


ร้านค้าสมาคมวีรชนตั้งอยู่บริเวณที่เจริญที่สุดของตลาดสวรรค์ เมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าประตูร้าน เหมียวอี้อยากจะมองข้ามร้านนี้ไป อยากจะพาทั้งสองเดินผ่านไปโดยตรง แต่หน้าร้านของร้านค้าสมาคมวีรชนใหญ่โตขนาดนั้น อวิ๋นจือชิวไม่ใช่คนตาบอด เข้ามาคล้องแขนเหมียวอี้ทันที “หนิวเอ้อร์ ดูร้านนี้สิ เหมือนจะเป็นร้านค้าสมาคมวีรชนที่เจ้าเคยพูดถึงใช่มั้ย?”


เหมียวอี้เกิดความกลัวในใจ พูดจาคลุมเครือทันทีว่า “ข้ากับผู้จัดการร้านของร้านนี้เป็นสหายกัน เข้าไปแล้วคนจะจำได้ง่ายมาก”


“ไม่เป็นไร งั้นเจ้าไม่ต้องเข้าไป ข้ากับศีลแปดจะเข้าไปดูสักหน่อย” อวิ๋นจือชิวปล่อยแขนเขา กวักมือเรียกศีลแปด แล้วน้องชายของสามีก็เดินส่ายก้นเข้าไปทันที


เหมียวอี้พูดไม่ออก รีบไปยืนชิดขอบถนน หลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แอบมองมาทางนี้อยู่เป็นระยะ


เมื่อเข้ามาในร้านค้า ก็ย่อมมีพนักงานเข้ามาทักทาย โดยเฉพาะอวิ๋นจือชิวกับศีลแปด ทั้งคู่ล้วนมีสง่าราศีที่ไม่ธรรมดา พนักงานยิ่งต้อนรับอย่างอบอุ่น นำทั้งสองเดินดูและแนะนำ ตอนที่เห็นยาเจี๋ยตันขั้นห้าและยาเจี๋ยตันขั้นหก ศีลแปดที่ภายนอกวางมาดสง่าภูมิฐาน แต่ในใจอยากได้จนน้ำลายแทบไหลอยู่แล้ว


ยาเจี๋ยตันขั้นห้า อวิ๋นจือชิวก็เคยเห็นมาแล้วเช่นกัน ส่วนยาเจี๋ยตันขั้นหก นางเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจริงๆ ของสิ่งนี้มีมูลค่าสูงมาก นางตาเป็นประกายลุกวาวขณะจ้องมองยาเจี๋ยตันสีรุ้งที่อยู่ในตู้จัดแสดง


ทำได้แค่ดูเฉยๆ เหมือนกัน ถ้าจะให้ซื้อคงซื้อไม่ไหว อวิ๋นจือชิวแอบเสียดายในใจ หันไปถามพนักงานว่า “ได้ยินว่าผู้จัดการร้านที่นี่แซ่หวงฝู่เหรอ?”


ผู้ชายไงล่ะ เมื่อเจอผู้หญิงสวยก็ย่อมคุยง่ายอยู่แล้ว นางดูสินค้าแล้วเจริญตา พนักงานดูนางก็เจริญตาเช่นกัน ต่อให้ไม่ซื้อ พนักงานก็ยังดูแลต้อนรับด้วยรอยยิ้มอยู่ดี พยักหน้าตอบทันทีว่า “ใช่แล้วขอรับ! ผู้จัดการร้านหวงฝู่อยู่บ้านข้างๆ นี้เอง!” ขณะที่พูดก็ชี้ไปยังห้องหรูหราที่มีเถาดอกไม้สีม่วงห้อยระย้า


คงเป็นเพราะได้ยินคนพูดถึงตัวเอง หวงฝู่จวินโหรวแหวกม่านเดินเนิบนาบออกมาแล้ว ดวงหน้างามดุจดอกพุดตาน เรือนร่างอรชรปานต้นหลิว เอวบางหน้าอกอิ่ม ผมดำขลับเกล้าม้วนขึ้น สวยสดใสราวกับหิมะในฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาแวววาวดุจดวงดาว บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่เย็นสดชื่นราวกับสายลมโชย เป็นรอยยิ้มปกติยามต้อนรับลูกค้า


เมื่อผู้หญิงทั้งสองพบหน้ากัน ก็ต่างกันต่างมองประเมินกันทันที ต่างก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายทั้งสวยทั้งมีสง่าราศีไม่ธรรมดา อดไม่ได้ที่จะมองกันและกันหลายรอบ


ตอนที่เห็นศีลแปดประนมมืออย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องดุจดอกบัวขาวในน้ำใส นัยน์ตาหวงฝู่จวินโหรวก็ฉายแววทึ่ง ชมในใจว่าช่างเป็นลูกศิษย์พุทธะที่สง่าราวกับหยกงาม


หนิวเอ้อร์เป็นสหายกับสาวงามคนนี้เหรอ? อวิ๋นจือชิวเอียงหน้ามองไปด้านนอกโดยจิตใต้สำนึก แต่ไม่เห็นเงาของเหมียวอี้แล้ว การที่ผู้ชายของตัวเองไปเป็น ‘เพื่อน’ กับสาวงาม ผู้หญิงค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องนี้ โดยทั่วไปความคิดแรกที่แวบเข้ามาจะเป็นความเข้าใจผิด หรือไม่ก็เกิดความระแวงใจ นี่คือธรรมชาติของผู้หญิง


“ลูกค้าท่านนี้ต้องการพบข้าหรือคะ?” หวงฝู่จวินโหรวถามด้วยรอยยิ้ม


อวิ๋นจือชิวกวาดมองเรือนร่างที่แช่มช้อยของอีกฝ่าย จากนั้นย้ายสายตาขึ้นไปบนใบหน้างดงามละเอียดอ่อน แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านคือผู้จัดการร้านหวงฝู่จวินโหรวหรือคะ?”


“ใช่แล้วค่ะ!” หวงฝู่จวินโหรวพยักหน้า “ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับหรือเปล่าคะ?”


“มิบังอาจหรอกค่ะ เพียงได้ยินนามของผู้จัดการร้านหวงฝู่มานานแล้ว ตั้งใจจะมาชื่นชมสักหน่อย”


ทั้งสองฝ่ายไม่ได้รู้จักกัน หลังจากทักทายตามมารยาทสองสามคำ อวิ๋นจือชิวก็ออกจากร้านค้าสมาคมวีรชนไปโดยไม่ได้ซื้ออะไร


หลังจากเดินออกประตูมาพบเหมียวอี้ ขณะที่กำลังเดินไปร้านอื่นต่อ อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มอย่างสนิทสนม พลางพูดหยอกว่า “หนิวเอ้อร์ เพื่อของเจ้าคนนั้นสวยไม่เบาเลยนะ”


“สวยเหรอ? เพื่อนคนไหนสวย?” เหมียวอี้แกล้งทำเป็นไม่รู้ ถามเหมือนงุนงง


อวิ๋นจือชิวตอบว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่จวินโหรวของร้านค้าสมาคมวีรชนไง เมื่อครู่อยู่ในร้านพอดี ข้าเพิ่งเห็นมา นางสวยมาก ได้คนแบบนี้มาเป็นเพื่อน เจ้าไม่ได้แอบคิดอะไรบ้างเลยเหรอ?”


เหมียวอี้พูดเหยียดหยามว่า “นางน่ะเหรอ? แบบนางนับว่าสวยด้วยเหรอ? ถ้าเทียบกับฮูหยินแล้วคนละชั้นกันเลย สู้ฮูหยินของข้าไม่ได้หรอก เป็นความงามที่หาได้ยากมาก”


อวิ๋นจือชิวพูดหยอกว่า “สวยก็สวยสิ ข้าไม่จำเป็นต้องไปอิจฉานางหรอก ทำไมเจ้าต้องพูดลดคุณค่านางขนาดนั้นล่ะ หรือว่ากินปูนร้อนท้อง ไปนอนกับนางมาแล้วเหรอ?”


เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ ตอบด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “พูดจาเหลวไหลให้มันน้อยๆ หน่อย ใช่ว่าข้าจะไม่เคยคุยกับเจ้าเรื่องนี้ คำว่า ‘เพื่อน’ ระหว่างข้ากับนางเป็นเพียงการเสแสร้ง ความจริงทำการค้าสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งในมือนางแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ ข้าเล่นงานนางตายไปนานแล้ว”


อวิ๋นจือชิวคิดไปคิดมาแล้วก็เห็นด้วย ด้วยนิสัยของสามีตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะไปทำเรื่องแบบนั้นกับอีกฝ่าย นางจึงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เมื่อหายกังวลแล้วก็เดินซื้อของต่อไป


เหมียวอี้แอบปาดเหงื่อ ด้วยนิสัยชอบชวนทะเลาะของผู้หญิงคนนี้ หากรู้ว่าตนแอบไปมีสัมพันธ์กับคนอื่น แบบนี้จะต่างอะไรกับการถล่มให้ฟ้าเป็นรู[1]…


ตลาดสวรรค์ใหญ่ขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินให้หมดภายในวันเดียว เดินเล่นจนดึกดื่น กอปรกับเหาะมาเป็นระยะทางไกล มีการสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปบ้าง ทั้งสามจึงกลับไปพักผ่อนผ่อนที่โรงเตี๊ยม


ถึงแม้ค่าเข้าพักโรงเตี๊ยมที่ตลาดสวรรค์จะไม่ใช่ถูกๆ แต่ก็นับว่าคุ้มค่าคุ้มราคา สภาพแวดล้อมไม่เลว หลังจากสองสามีภรรยาฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์และอาบน้ำด้วยกัน พวกเขาก็ไม่รีบร้อนที่จะฝึกตน แต่นอนกอดกันบนเตียงและคุยกันถึงสิ่งที่พบเจอมาเมื่อตอนกลางวัน


เหมียวอี้ค่อนข้างเหม่อลอย ในใจครุ่นคิดถึงคำพูดของอวิ๋นจือชิวเมื่อตอนกลางวันอยู่ตลอด กังวลว่าผู้หญิงคนนี้พูดจาคลุมเครือเพราะมองอะไรออกหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่เรียกว่ากินปูนร้อนท้อง


ส่วนอวิ๋นจือชิวที่ได้มาพิภพใหญ่เป็นครั้งแรกก็ตื่นเต้นจนท่วมท้น ดูค่อนข้างมีชีวิตชีวา บรรยายความรู้สึกและสิ่งที่เจอมาเป็นคำพูดได้ไม่หมด ประกอบกับอารมณ์และบรรยากาศที่ไม่เลว ทำให้นางถอดเสื้อผ้าออกอีกครั้ง เป็นฝ่ายรุกขอทำเรื่องสนุกบนเตียง นางรู้สึกถึงอกถึงใจเต็มที่ ทำสีหน้าผ่อนคลายสบายใจ


วันต่อมา อวิ๋นจือชิวกับศีลแปดยังอยากจะไปเดินเล่นที่ตลาดอีก แต่เหมียวอี้ไม่ไปเป็นเพื่อนแล้ว ปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตที่นี่ตามสะดวก ด้วยสถานการณ์ทั่วไปของตลาดสวรรค์ ตราบใดที่ไม่ก่อเรื่องก็ไม่มีปัญหาอะไร เขาอยากจะกลับไปดูที่ร้านขายของชำซื่อตรงสักหน่อย จึงไปหาที่ลับตาแล้วถอดหน้ากากออก จากนั้นกลับไปที่ร้านขายของชำซื่อตรง


สำหรับครั้งนี้ เหมียวอี้จากไปไม่นานแล้วสามารถกลับมาได้ ทำให้อวี้ซวีเจินเหรินดีใจมาก ทั้งสองย่อมพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องบริหารร้านขายของชำซื่อตรง


หลังจากคุยจบแล้ว อวี้ซวีเจินเหรินก็เตือนว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ของร้านค้าสมาคมวีรชนติดต่อมาทางนี้ บอกว่าถ้าท่านกลับมาแล้วให้ไปหานางสักเที่ยว มีเรื่องจะคุยกับเจ้า”


เหมียวอี้พยักหน้าอย่างเลอะเลือน คิดในใจว่า ตอนนี้อย่าเพิ่งเจอกันดีกว่า รอให้อวิ๋นจือชิวไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน จะได้ไม่ก่อปัญหาอะไรขึ้น ถึงอย่างไรครั้งนี้อวิ๋นจือชิวก็มาอยู่ไม่นาน แค่มาทำความรู้เส้นทางเท่านั้น


เมื่อกลับมาห้องตัวเอง เหมียวอี้ก็ผลักหน้าต่างมองไปยังหน้าต่างบานหนึ่งของโรงเตี๊ยมที่อยู่เยื้องกัน เขากับอวิ๋นจือชิวนัดกันไว้แล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรให้อวิ๋นจือชิวแขวนสิ่งของไว้บนหน้าต่าง แล้วเขาจะไปหาเอง


ทว่าเพิ่งจะกลับมาได้ไม่กี่วัน ต่อให้เหมียวอี้เก็บตัวฝึกฝน ไม่ก้าวออกจากประตูไปไหน ไม่กล้าโผล่หน้าออกไปตามอำเภอใจ แต่ฝั่งร้านค้าสมาคมวีรชนก็ยังรู้ข่าว จึงส่งคนมาเชิญทันที ยังคงเป็นผู้จัดการร้านหวงที่มีธุระจะคุยกับเขา


หวงฝู่จวินโหรวเป็นฝ่ายมาเกาะติดอย่างชัดเจน เหมียวอี้เรียกได้ว่าปวดหัวมาก อยากจะหลบก็หลบไม่ได้ แต่ถ้าไปพบก็กลัวจะยั่วโมโหผู้หญิงคนนั้น ตอนนี้ถึงได้พบว่าถ้าทั้งสองอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ต่อไป สักวันหนึ่งก็จะเกิดปัญหา เขาต้องเด็ดขาดกับเรื่องนี้ อยู่แบบหวาดระแวงต่อไปไม่ใช่เรื่องดี


ถึงแม้อวิ๋นจือชิวจะทำให้เขาเดือดดาลอยู่บ่อยๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าผู้หญิงที่เขารักที่สุดคืออวิ๋นจือชิว หลายสิ่งหลายอย่างที่อวิ๋นจือชิวทำไป เขาเองก็เข้าใจว่านางหวังดีกับเขา ลำพังแค่เรื่องอนุภรรยาก็ทำให้นางได้รับความไม่เป็นธรรมมากพอแล้ว เหมียวอี้รู้สึกผิดจริงๆ ไม่อยากให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำให้เกิดเหตุไม่คาดคิดระหว่างตัวเองกับอวิ๋นจือชิว


หรือจะพูดแบบนี้ก็ได้ว่า ตำแหน่งของอวิ๋นจือชิวในใจของเหมียวอี้ ในโลกนี้ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนมาแทนที่ได้ นี่คือความรักระหว่างสามีภรรยาที่แท้จริง!


…………………………


[1] ถล่มให้ฟ้าเป็นรู 把天给捅个窟窿 อุปมาว่าทำผิดใหญ่หลวง เหมือนไปทำลายที่อยู่อาศัยของท่านเซียน

 

 

 


ตอนที่ 936

 

อาตมาจะเล่นงานมันให้ตาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากแบ่งแยกความสำคัญชัดเจนและมีแผนในใจแล้ว เหมียวอี้ก็ตัดสินใจแน่วแน่ แข็งใจเดินออกไป แต่ระหว่างทางก็ยังเหลียวซ้ายแลขวา กลัวว่าจะบังเอิญเจอกับอวิ๋นจือชิว


มาถึงร้านค้าสมาคมวีรชนแล้ว พอเข้ามาในลานบ้านด้านหลัง ก็มีผู้หญิงสวยคนหนึ่งออกมาต้อนรับ หน้าตางดงามดุจภาพวาด สวยจนอยากกลืนกิน ไม่ได้ดูอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนหญิงรับใช้ทั่วไป


เหมียวอี้มองนางหลายครั้ง สังเกตเห็นโดยบังเอิญว่าหญิงรับใช้คนนี้มองตนด้วยแววตาที่คลุมเครือนิดหน่อย ขณะที่เดินตามนางไป ก็เอ่ยถามว่า “ก่อนหน้านี้เหมือนจะไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนนะ”


หญิงรับใช้ที่นำทางตอบว่า “บ่าวมาใหม่เจ้าค่ะ รับหน้าที่ปรนนิบัติคุณหนูหวงฝู่โดยเฉพาะ”


เหมียวอี้เพียงขานรับโดยไม่ได้คิดอะไรมากมาย พอมาถึงลานบ้านด้านในก็ยังไม่เจอหวงฝู่จวินโหรว แต่ไม่นานก็เห็นหน้าต่างบานหนึ่งบนตึกเปิดออก หวงฝู่จวินโหรวปรากฏตัวและส่งสายตาให้หญิงรับใช้คนนั้น หญิงรับใช้รู้กาลเทศะและถอยออกไป ตอนที่หันกลับมามองด้านหลังของเหมียวอี้อีกครั้ง ในดวงตานางฉายแววดุร้าย


เหมียวอี้ไม่อยากเข้าไปในห้องนอนของหวงฝู่จวินโหรวอีก แต่หวงฝู่จวินโหรวกลับกวักมือเรียก บอกใบ้ให้เขาเข้ามา จากนั้นก็ปิดหน้าต่าง


เหมียวอี้พูดไม่ออกมาก ทำได้เพียงผลักประตูตึกเข้าไป แล้วเดินขึ้นไปชั้นบน


ในห้องนอนหญิงสาว ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นแป้งหอมที่คุ้นเคย แขนงามสองข้างแอบจู่โจมจากด้านหลัง กอดเอวของเหมียวอี้เอาไว้ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ยังนึกว่าอีกตั้งนานกว่าเจ้าจะกลับมา ตอนหลังทำไมไม่มาหาข้าล่ะ?”


เหมียวอี้จับแขนนางแยกออก พอหันตัวมามอง ก็พบว่าหวงฝู่จวินโหรวถอดเครื่องประดับศีรษะออกแล้ว ผมนุ่มสยายประบ่า งดงามยิ่งกว่าดอกไม้


เหมียวอี้แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว เขาฝืนยิ้มพร้อมตอบว่า “มีธุระบางอย่างต้องจัดการ ข้า…” ปากเขาโดนอุดด้วยริมฝีปากแดงสวย พูดอะไรไม่ออกแล้ว หวงฝู่จวินโหรวเกิดอารมณ์ปรารถนา เป็นฝ่ายจูบเขาก่อน ทั้งยังเร่าร้อนมากด้วย เหมือนจะทนทุกข์จากความคิดถึงไม่ไหว


ที่เขาว่ากันว่า ชายจีบหญิงยากเย็นดุจภูเขากั้น หญิงจีบชายง่ายดายดุจมุ้งกั้น พอผู้หญิงเป็นฝ่ายรุก ผู้ชายที่สามารถควบคุมตัวเองได้ก็มีน้อยมาก เหมียวอี้ที่ตั้งใจจะตัดขาดความสัมพันธ์ ในเวลานี้โถมทับนางอย่างไร้สติอีกครั้ง เดิมทีทั้งสองก็คุ้นเคยกับการทำอย่างนี้อยู่แล้ว ไม่นานเหมียวอี้ก็เป็นฝ่ายรุกเอง หลังจากเสื้อผ้าปลิวกระจาย ก็เกิดฉากที่อุตลุตวุ่นวายอีกครั้ง


หลังจากนั้น เหมียวอี้ก็นึกเสียใจทีหลังอีกแล้ว ขณะมองดูเรือนร่างขาวใสดุจหิมะตรงหน้า ขณะลูบไล้สะโพกที่ขาวเนียนน่าทึ่ง เหมียวอี้ก็ทอดถอนใจ “จวินโหรว ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เต็มใจจะแต่งงานกับข้ามั้ย?” ถ้าอีกฝ่ายเต็มใจ ต่อให้เขาจะโดนอวิ๋นจือชิวหันสองดาบ แต่ก็ต้องได้รับความยินยอมจากอวิ๋นจือชิวก่อน เรื่องแบบนี้ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากฮูหยินภรรยาเอก ก็ไม่สามารถรับอนุภรรยาเข้าบ้านได้ อวิ๋นจือชิวต่างหากที่เป็นนายหญิงตัวจริง นอกเสียจากเจ้าจะถอดตำแหน่งภรรยาเอกทิ้ง


หวงฝู่จวินโหรวกำลังนอนหมอบเคลิบเคลิ้มอยู่ในอ้อมอกเขา นางส่ายหน้าปฏิเสธ “เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลหวงฝู่จะทำลายกฎเพื่อข้า ข้าแต่งงานออกไม่ได้ ถ้าเจ้าอยากอยู่กับข้า ก็มีแค่ต้องแต่งงานเข้ามาเท่านั้น นอกเสียจากเจ้าจะมีอำนาจมาก สามารถกดดันตระกูลหวงฝู่ของข้าได้ หรือไม่ก็ไปขอให้ราชันสวรรค์ประทานการสมรส ทำให้ตระกูลหวงฝู่เถียงอะไรไม่ออก หนิวโหย่วเต๋อ ในมือเจ้ามีหุ้นของร้านขายของชำอยู่สองส่วน ถ้าแต่งงานเข้าตระกูลข้า เจ้าก็ไม่ลำบากหรอก ทั้งยังได้รับการปกป้องจากตระกูลหวงฝู่ด้วย” พูดแบบนี้เท่ากับโน้มน้าวให้เหมียวอี้แต่งงานเข้ามา


หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เหมียวอี้ก็ตอบว่า “สงสัยระหว่างเราจะไม่มีทางคุยกันให้ลงตัวได้!”


หวงฝู่จวินโหรวเงยหน้าช้าๆ เอามือยันตัวลุกขึ้น แล้วจ้องเขาพร้อมถามว่า “เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?”


เหมียวอี้ลุกขึ้น เก็บเสื้อผ้าจากพื้นขึ้นมาใส่ พร้อมบอกว่า “พวกเราทำแบบนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีที่ดี ข้าไม่อยากหลบๆ ซ่อนๆ ไปตลอด มิหนำซ้ำถ้าข่าวแพร่ออกไป ชื่อเสียงเจ้าก็เสียหาย ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า ในเมื่อพวกเราไม่มีทางคุยกันให้ลงตัวได้ ข้าว่าเราควรจะยุติความสัมพันธ์ที่ผิดปกติแบบนี้เสียที… หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรง เจ้าอยากได้มาตลอดไม่ใช่เหรอ? ข้ามอบให้เจ้าเพื่อเป็นการชดเชยได้นะ!”


หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำมีมูลค่าไม่เบา ความหมายที่เขาบอก ก็คือจะมอบให้หวงฝู่จวินโหรวเพื่อชดเชย แต่อีกความหมายหนึ่งก็ชัดเจนมากเช่นกัน นั่นก็คือนำหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำมาตัดขาดความสัมพันธ์ที่คลุมเครือของทั้งสอง


หวงฝู่จวินโหรวสีหน้าเปลี่ยนไปมาก เป็นเพราะหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำมีมูลค่าไม่น้อย แต่เหมียวอี้กลับไม่เสียดายที่จะมอบให้นาง แค่คิดก็รู้แล้วว่าตัดสินใจแน่วแน่เรื่องตัดความสัมพันธ์ หวงฝู่จวินโหรวดึงผ้าห่มขึ้นมาบังหน้าอกขาวอวบอิ่ม นางกัดริมฝีปาก สีหน้าซีดเผือด แล้วสุดท้ายก็ลุกออกมาหยิบเสื้อผ้าใส่


หลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว นางก็นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เหมียวอี้มองดูทุกอากัปกิริยาของนางอย่างเงียบๆ เขาไม่มีหน้าจะไปเร่งรัดนาง เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย ทางด้านอวิ๋นจือชิว เขายังพอมีความมั่นใจอยู่บ้าง แต่ถ้าจะบอกให้หวงฝู่จวินโหรวไปเป็นอนุภรรยา เขาก็เอ่ยปากลำบาก ดังนั้นจึงยอมตัดใจทิ้งหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำ


ก็ช่วยไม่ได้ หวงฝู่เสียความบริสุทธ์ให้เขา ไม่อย่างนั้นคงไม่คู่ควรกับราคานี้หรอก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พัวพันกับนางอยู่อย่างนี้ ถึงอย่างไรภูมิหลังของหวงฝู่ก็ไม่ใช่เล่นๆ ถ้าไม่นำของที่มีน้ำหนักออกมา ก็จะชดเชยนางไม่ไหว ถึงแม้จะรู้ว่าการทำอย่างนี้จะเลวไปหน่อย แต่เจ็บสั้นย่อมดีกว่าเจ็บนาน จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาไม่จบไม่สิ้น เขาไม่อยากไปมีเรื่องกับตระกูลหวงฝู่จนนำอันตรายมาสู่อวิ๋นจือชิว


เมื่อใส่เครื่องประดับเสร็จแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็ลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ข้าไม่ใช่ผู้หญิงในหอโคมเขียว ไม่ได้ขายตัว! เจ้าเองก็ซื้อไม่ไหวหรอก! เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าเองก็ไม่ได้ให้เจ้ามารับผิดชอบอะไร หุ้นสองส่วนนั้นของเจ้า ถ้าหากข้าอยากได้ ข้าย่อมหาทางเอามาจนได้ ไม่ต้องให้เจ้ามอบให้หรอก” จากนั้นก็ยื่นมือเชิญ “ไปนั่งคุยกันข้างนอกเถอะ อยู่ในห้องนานคนจะสงสัย”


ทั้งสองเดินออกจากตึก พอนั่งลงในศาลาของลานบ้าน หวงฝู่จวินโหรวก็ตะโกนสั่ง “หงเอ๋อร์ น้ำชา!”


ผ่านไปครู่เดียว หญิงรับใช้คนนั้นก็ปรากฏตัวอีกครั้ง พอนำน้ำชามาวางแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็ยื่นมือเชิญ จากนั้นตัวเองก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบช้าๆ


เหมียวอี้จิบน้ำชาไปหลายคำ อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไว้ เห็นหญิงรับใช้คนนั้นอยู่ข้างๆ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา


หลังจากรอไปพักหนึ่ง เห็นหวงฝู่จวินโหรวยังทำสีหน้าเย็นชาไม่พูดอะไร เหมียวอี้จึงวางถ้วยน้ำชาแล้วถอนหายใจ “รอให้เจ้าคิดให้ดีก่อนแล้วก็ว่ากัน ข้าจะรอคำตอบจากเจ้า” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป


หลังจากมองคล้อยหลังเหมียวอี้จากไป หงเอ๋อร์ก็หันมามองหวงฝู่จวินโหรวที่กำลังทำสีหน้าเรียบเฉย “เถ้าแก่น้อย ทำไมเขาอยู่ในห้องนอนท่านนานขนาดนั้น?”


ถ้าเหมียวอี้มาได้ยินเสียงหงเอ๋อร์ในตอนนี้ จะต้องตกใจมากแน่นอน เป็นเสียงของปีศาจโลหิต


“คุยเรื่องความร่วมมือระหว่างร้านค้าสมาคมวีรชนกับร้านขายของชำซื่อตรง เจ้าอย่าถามมากดีกว่า ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!” หวงฝู่จวินโหรวตอบคำเดียว แล้วเหล่ตาถามว่า “ลงมือแล้วเหรอ?”


“ข้าก็นึกว่าเขาจะจับได้ แต่เหมือนเขาจะใจลอยนิดหน่อย ดื่มน้ำชาไปอย่างนั้นโดยไม่ตรวจสอบให้ละเอียด แปลกจริงๆ!” หงเอ๋อร์เดาะลิ้น


หวงฝู่จวินโหรวเม้มริมฝีปาก มือที่ถือถ้วนน้ำชาชะงักเล็กน้อย ที่จริงก่อนที่เหมียวอี้จะมา ฝ่ายนี้ก็เตรียมจะลงมือกับเหมียวอี้ไว้แล้ว ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเหมียวอี้อ่อนแอไร้อำนาจ ทั้งยังไม่ใช่คนของสำนักลมปราณอย่างเป็นทางการ ควบคุมการบริหารของร้านขายของชำไม่ได้ ฮุบหุ้นสองส่วนเอาไว้คนเดียวเท่ากับเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง เพียงแต่นางนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะไม่เตรียมป้องกันตัว


จากนั้นก็ได้ยินหงเอ๋อร์พูดเย้ยอีกว่า “โดนพิษ ‘วิญญาณโลหิต’ ของข้าไป คนที่สามารถถอนพิษนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ ถึงตอนนั้นขอเพียงข้ากระตุ้นนิดเดียว ข้าไม่กลัวหรอกว่าเขาจะไม่ยอมแพ้ เขาทำให้วรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้าของข้าลดเหลือบงกชทองขั้นเจ็ด ข้าจะต้องให้เขาลิ้มลองรสชาติเวลาทรมานจนอยู่ต่อไม่ไหว แต่จะตายก็ตายไม่ได้!”


หวงฝู่จวินโหรวกล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าจำไว้นะ ว่าอย่าสร้างปัญหาให้ร้านค้าสมาคมวีรชน ถ้าให้คนอื่นรู้ว่าคนของร้านค้าสมาคมวีรชนวางยาพิษลูกค้า ถ้าทำร้ายยี่ห้อของร้านค้าสมาคมวีรชน ถึงตอนนั้นทั้งสมาคมวีรชนไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ เจ้าเองก็รู้ถึงผลที่ตามมา!”


หงเอ๋อร์พยักหน้า “เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว เถ้าแก่น้อยไม่ต้องห่วง ข้าจะกระตุ้นพิษเดี๋ยวนี้ รออีกสักพักให้ร้านค้าสมาคมวีรชนพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัย ข้าค่อยลงมืออีกที ถึงตอนนั้นข้าจะให้เขาคายหุ้นสองส่วนกับยาเม็ดโลหิตของข้าออกมาพร้อมกันเลย เวลาสั้นๆ แค่นี้ ข้าไม่ถึงขั้นรอไม่ไหวหรอก ตอนนี้ปล่อยให้เขาลำพองใจไปก่อนเถอะ!”


“อย่าประมาทเลินเล่อ พวกเราเสียเปรียบเขาหลายรอบแล้ว เจ้าไม่ได้เผยพิรุธอะไรใช่มั้ย?”


“น่าจะไม่มีค่ะ มี ‘ไข่มุกซ่อนจิต’ แล้ว เขาน่าจะไม่พบกลิ่นคาวเลือดบนตัวข้า”


เหมียวอี้ที่กลับมาถึงร้านขายของชำซื่อตรงพบปัญหาอีกแล้ว หวงฝู่จวินโหรวรู้ว่าเขากลับมา เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็รู้ว่าเขากลับมาเหมือนกัน จึงส่งคนมาคอยเฝ้า พอเหมียวอี้กลับมาจากข้างนอก กลุ่มทหารสวรรค์ก็มาจับกุมตัวเขาทันที


เหมียวอี้รู้สึกอับอายจนโมโห มีใครเขาเรียกคนไปพบด้วยวิธีการนี้บ้าง? ทำเหมือนเขาเป็นนักโทษอย่างนั้นแหละ เดี๋ยวต่อไปต้องหาทางสืบสักหน่อยว่าเจ้าหมีควายนั่นมีภูมิหลังอย่างไรกันแน่ ถ้าสบโอกาสเหมาะก็เล่นงานเจ้าบ้านั่นให้ตายเสียเลย จะได้ไม่ต้องมาพัวพันไม่จบไม่สิ้นแบบนี้


อวี้ซวีเจินเหรินที่เดินออกประตูมาทำสีหน้าจนใจ เป็นเพราะเจ้าบ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่คุยกันด้วยเหตุผลเลยจริงๆ


“ไปกันเถอะ!” หัวหน้าทหารสวรรค์ผลักเหมียวอี้ ควบคุมตัวไปอย่างนี้แล้ว


ตรงหน้าต่างบนตึกโรงเตี๊ยมเยื้องร้านขายของชำ อวิ๋นจือชิวเรียกได้ว่าทำสีหน้าวิตกกังวล นางตกใจเพราะเห็นเหตุการณ์บนถนน พอยื่นหน้าออกไปดู ไม่น่าเชื่อว่าจะเห็นฉากที่เหมียวอี้โดนจับตัว


นางไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตของคนที่นี่เลย เมื่อเผชิญสถานการณ์แบบนี้ นางก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมือจากนั้นไหน ข้างหลังมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ศีลแปดมาเรียกนาง “พี่สะใภ้!”


“เข้ามาได้!” อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะตอบ ศีลแปดก็บุกเข้ามาอย่างร้อนใจราวกับไฟเผา แล้วกล่าวอย่างกังวลว่า “พี่สะใภ้ ท่านเห็นหรือเปล่า? เกิดเรื่องกับพี่ใหญ่แล้ว!”


อวิ๋นจือชิวเดินวนไปวนมาอย่างร้อนรน ประสานนิ้วมือพลางกล่าวอย่างกังวล “ข้าเห็นแล้ว พี่ใหญ่เจ้าบอกไว้ว่าไม่ให้ไปเกี่ยวข้องกับเขาอย่างเปิดเผย สถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าพวกเราเข้าไปมีส่วนร่วม เกรงว่าถึงตอนนั้นจะไม่เหลือใครไว้คิดหาทางช่วยเลย”


“พี่สะใภ้ ท่านไม่ต้องกังวล สงบใจเอาไว้ ข้าจะไปสืบข่าวก่อน ท่านรอฟังข่าวจากข้านะ”


“ก็ดี! ตอนนี้ก็ทำได้แค่นี้แล้ว เจ้ารีบไปรีบกลับแล้วกัน!” อวิ๋นจือชิวพยักหน้า นางเป็นผู้หญิง ไม่ค่อยสะดวกจะปรากฎตัวในวงสังคม โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆ ถ้าเข้าไปยุ่งด้วยเรื่องราวอาจจะพลิกผันยิ่งกว่าเดิม ตอนอยู่ที่นี่นางไม่มีภูมิหลังอะไรมาปกป้องทั้งนั้น


“แม่งเอ๊ย! ข้าอยากจะเห็นว่าไอ้เวรที่ไหนมันบังอาจมาแตะต้องพี่ใหญ่ของข้า อาตมาจะเล่นงานมันให้ตาย ถ้าไม่ตายข้ายอมเปลี่ยนไปใช้แซ่เดียวกับมันเลย!” ศีลแปดตะโกนแล้ววิ่งไป


ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เป็นเรื่องเร่งด่วน ศีลแปดจึงขี้คร้านจะอ้อมค้อม บุกเข้าไปที่ประตูลานบ้านด้านข้างของร้านขายของชำโดยตรง แต่โดนคนเฝ้าประตูขวางไว้ “ไต้ซือมีธุระอะไรหรือ?”


ศีลแปดกล่าวอามิตตาพุทธ แล้วถามว่า “ขออนุญาตถาม ฆราวาสหนิวโหย่วเต๋ออยู่ไหม?”


คนเฝ้าประตูทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ไม่ได้บอกว่าเหมียวอี้เพิ่งถูกจับไป หนึ่งในนันตอบว่า “ไม่อยู่ขอรับ ไต้ซือมีธุระอะไรหรือ?”


ศีลแปดยิ้มพร้อมบอกว่า “ฆราวาสหนิวติดหนี้อาตมาก้อนหนึ่ง ให้อาตมามาเบิกที่ร้านขายของชำซื่อตรง คาดว่าฆราวาสหนิวคงจะไม่หลอกอาตมา”


คนเฝ้าประตูทำสีหน้าสงสัย แต่เห็นท่าทางศีลแปดดูไม่เหมือนคนโกหกหลอกลวง เจ้าบ้านี่มีภาพลักษณ์ภายนอกเอาไว้รังแกคนอื่นจริงๆ

 

 

 


ตอนที่ 937

 

ศีลแปดมารับตัว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ลูกศิษย์ที่เฝ้าประตูไม่สะดวกจะไล่ แต่ก็ไม่สะดวกจะให้ศีลแปดเข้าไปเช่นกัน ทำได้เพียงไปรายงาน บอกว่ามีพระรูปหนึ่งมาคิดบัญชีกับฆราวาสหนิว


ผ่านไปครู่เดียว ผู้จัดการร้านเต๋อเจิ้งก็ออกมาตรวจสอบความจริง เห็นว่าศีลแปดมีท่าทางสง่าภูมิฐานไม่เหมือนคนหลอกลวง แต่ก็ยังไม่ให้ศีลแปดเข้าไปอยู่ดี ส่วนสิ่งที่ศีลแปดถามมา พวกเขาย่อมไม่ตอบอะไรอยู่แล้ว ยังคงอ้างว่าฆราวาสหนิวไม่อยู่เพื่อไล่ศีลแปดไป จะปล่อยคนเข้ามาซี้ซั้วไม่ได้จริงๆ


ศีลแปดอยากจะจุดไฟเผาร้านค้าเส็งเคร็งนี่ทิ้ง แต่ภายนอกย่อมมองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร จากนั้นก็ได้ยินคนเดินถนนคุยกันเรื่องเมื่อครู่นี้ ถึงได้รู้ว่าคนที่จับตัวเหมียวอี้ไปคือคนของจวนผู้บัญชาการเขตตะวันตก จึงถามทันทีว่าจวนผู้บัญชาการเขตตะวันตกไปทางไหน แล้วรีบเดินไปที่นั่นอย่างรวดเร็ว


เมื่อโดนคุมตัวมาถึงจวนผู้บัญชาการเขตตะวันตก เหมียวอี้ก็ถูกนำตัวขึ้นศาลโดยตรง เขาชินกับความไร้เหตุผลของท่านที่อยู่ข้างในแล้ว


ในศาลพิจารณาคดี เซี่ยโห้วหลงเฉิงกำลังนั่งพิงเก้าอี้ ใช้ขาสองข้างพาดบนโต๊ะยาว มองดูเหมียวอี้ที่เดินเข้ามาอย่างเย็นเยียบ แล้วโบกมือเบาๆ ไล่ลูกน้องทั้งหมดออกไป


“หนิวโหย่วเต๋อ เรื่องที่ข้าแต่งงานกับหวงฝู่ พอจะมีหวังบ้างรึเปล่า?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงเอนกายกระดิกเท้าถาม


แต่งงานบ้าอะไรล่ะ! นางนอนกับข้าไปแล้วโว้ย! เหมียวอี้พึมพำในใจ รู้แล้วว่าเจ้าบ้านี่เรียกตนมาเพราะเรื่องนี้ จึงตอบด้วยสีหน้าลำบากใจ “ตอนนี้ยังไม่มี”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงถลันตัวพรวดเข้ามาทันที ชี้หน้าเหมียวอี้พลางตะคอกอย่างโมโห “แล้วเจ้ายังมีหน้าไปนู่นไปนี่อย่างสบายใจอีกเหรอ ข้าไปหาเจ้าแต่ก็หาไม่เจอ เจ้าใจกล้าไม่เบา บังอาจไม่เห็นความสำคัญเรื่องของข้า!”


เหมียวอี้ถอนหายใจ “ข้าก็ไม่มีหนทางแล้วเหมือนกัน! ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้เรื่องขยายสาขาร้านขายของชำ ข้าวิ่งเต้นไปทั่วก็ยุ่งเหมือนกัน!”


“การขายสาขาร้านขายของชำสำคัญกว่า หรือเรื่องข้าแต่งเมียสำคัญกว่า?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถามอย่างโมโห


เจ้าแต่งเมียแล้วเกี่ยวบ้าอะไรกับข้าล่ะ! เหมียวอี้พูดไม่ออกมาก “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว เจ้ามีทั้งอำนาจทั้งอิทธิพล ยังกลัวจะขาดผู้หญิงอีกเหรอ? มีผู้หญิงสวยแบบไหนที่หาไม่ได้บ้าง ทำไมดึงดันจะกัดกระดูกแข็งอย่างผู้จัดการร้านหวงฝู่อยู่ได้?”


“ในใต้หล้านี้ยังหาใครที่สวยกว่าหวงฝู่ได้อีกเหรอ?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถาม


พอแล้ว! สงสัยจะเป็นการดีดฉินให้ควายฟัง ในสายตาเจ้าบ้านี่ หวงฝู่จวินโหรวสวยที่สุดในใต้หล้า! เหมียวอี้จึงยิ้มเจื่อนตอบไปว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วยเจ้านะ แต่หวงฝู่จวินโหรวมีเงื่อนไข ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่ตอบตกลง”


“เงื่อนไขอะไร? พูดมาได้เลย!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถามทันที


เหมียวอี้ตอบว่า “แต่งงานเข้าบ้านผู้หญิง! ผู้จัดการร้านหวงฝู่บอกแล้ว ผู้หญิงของตระกูลหวงฝู่ไม่แต่งงานออก ผู้ชายต้องแต่งงานเข้าบ้านหวงฝู่”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงพุ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ยังนึกว่าเงื่อนไขอะไร กฎบ้าๆ ของตระกูลหวงฝู่ ข้ารู้ตั้งนานแล้ว ก็แค่แต่งงานเข้าตระกูลเอง เรื่องจิ๊บจ๊อย”


เหมียวอี้เบิกตาโพลง ถามอย่างรู้สึกเหลือเชื่อว่า “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้วเต็มใจจะแต่งงานเข้าบ้านนางเหรอ?” เขารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ เจ้าบ้านี่มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ยิ่งมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิง


“ลูกชายผู้สง่าผ่าเผยอย่างข้าจะแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิงทำบ้าอะไร เสียหน้าไม่ไหวหรอก!”เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดดูถูกว่า “ขอแค่นางเต็มใจอยู่กับข้า เรื่องแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้าจะขอให้ราชันสวรรค์ประทานงานสมรสให้ แบบนี้ตระกูลหวงฝู่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากแล้ว ประเด็นสำคัญคือต้องให้นางตอบตกลงแต่งงานกับข้า เข้าใจมั้ย?”


เหมียวอี้ตกตะลึงมาก ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าบ้านี่จะหาทางทำให้ประมุขชิงประทานงานสมรสได้ แบบนี้ต้องมีเส้นสายเยอะขนาดไหนกันเชียว? จึงอดถามไม่ได้ว่า “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว เจ้าติดต่อกับราชันสวรรค์ได้เหรอ?”


พอพูดถึงเรื่องนี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็อึกอักเหมือนอยากตอบ แต่สุดท้ายก็ข่มคำพูดเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะหลีกเลี่ยงไม่พูดถึง โบกมือบอกว่า “ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรจะถาม เจ้ารีบหาทางจัดการก็พอ ถ้าให้โค่วเหวินหลานคว้าโอกาสไปก่อน ข้าจะเล่นเจ้าให้ถึงตาย”


“อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการโค่วก็ยินดีจะแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิง?” เหมียวอี้ถามหยั่งเชิง


“เหลวไหล! เจ้าหนุ่มหน้าขาวนั่นก็ขอให้ราชันสวรรค์ประทานงานสมรสได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นจะมีสิทธิ์อะไรมาแย่งผู้หญิงกับข้าล่ะ?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงทำสีหน้าไม่สบอารมณ์


เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว แอบตกใจ สงสัยว่าเจ้าบ้าที่อยู่ตรงหน้ากับโค่วเหวินหลานมีที่มาแปลกประหลาดอย่างไรกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถใช้เส้นสายกับทางราชันสวรรค์ได้


สิ่งนี้ยิ่งทำให้เขาหวาดกลัว ถ้าเล่นงานเจ้าบ้านี่ถึงตาย ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดภัยอะไรตามมา คาดว่าคงร้ายแรงกว่าปล้นเกาะศักดิ์สิทธิ์เสียอีก แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ มีภูมิหลังเส้นสายแบบนี้ยังขาดเงินอีกแหรอ? จำเป็นต้องเที่ยวตักตวงเงินคนอื่นไปทั่วแบบนี้อีกเหรอ?


ขณะที่กำลังคุยกัน จู่ๆ ด้านนอกก็มีคนเข้ามารายงาน “นายท่าน ข้างนอกมีพระสงฆ์จากแดนสุขาวดีรูปหนึ่งมาหาขอรับ”


“คนของแดนสุขาวดีจะถ่อมาทำอะไรที่นี่?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงงุนงง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นคนของแดนสุขาวดี?”


อย่าว่าแต่เขาที่แปลกใจ แม้แต่เหมียวอี้ก็ฉงนใจเช่นกัน ตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีอยู่สูงสุดในบรรดาเก้าโลก เขายังไม่เคยเห็นคนที่มาจากสองแห่งนั้นเลย ไม่รู้ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาจากตำหนักสวรรค์ด้วยรึเปล่า


ทหารที่เข้ามารายงานตอบว่า “ดูเหมือนจะใช่ น่าจะไม่ปลอมนะขอรับ”


“มาหาข้าเหรอ” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถามอีก


“ไม่ได้มาหานายท่านขอรับ มาหาเขา” ทหารชี้ไปที่เหมียวอี้ “บอกว่าท่านนี้ติดหนี้เขาอยู่ เขามาคิดบัญชี”


“มาหาข้า?” เหมียวอี้ชี้หน้าตัวเอง ถามกลั้วหัวเราะว่า “ล้อเล่นอะไรกัน ข้าจะไปติดเงินคนของแดนสุขาวดีได้อย่างไร?”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับหัวเราะร่า โบกมือบอกอย่างรู้สึกสนใจ “เชิญเข้ามา มายืนยันต่อหน้าเดี๋ยวก็กระจ่างเอง”


“ขอรับ!” ทหารเอ่ยรับแล้วถอยออกไป


เซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับไปนั่งหลังโต๊ะยาวเพื่อรอดูเอาสนุก ส่วนเหมียวอี้ก็เดินไปนั่งลงตรงเก้าอี้ด้านข้าง ทำสีหน้าอึดอัดใจ เขาเป็นใครกัน?


ผ่านไปครู่เดียว พระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องรูปหนึ่งที่สวมจีวรสีขาวก็ถูกนำทางเข้ามา ดูเป็นอัจฉริยบุรุษที่หล่อเหลา แค่มองปราดเดียวก็รู้สึกว่าโดดเด่นไม่ธรรมดา บนตัวมีสง่าราศีของพระสงฆ์ ท่วงทีที่สง่างามแบบนี้ทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงตะลึงงันเล็กน้อย ไม่เหมือนพระสงฆ์ที่มาจากสถานที่ธรรมดาทั่วไปเลยจริงๆ


เหมียวอี้กลับตกตะลึงอ้าปากค้าง ไม่น่าเชื่อว่าพระสงฆ์ที่มาจะเป็นศีลแปด เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว แอบด่าในใจว่าเจ้าบ้านี่เล่นอะไรของเจ้า กล้าแม้กระทั้งแอบอ้างเป็นคนของแดนสุขาวดี


ศีลแปดกวาดตามอง พอเห็นเหมียวอี้นั่งสงบอยู่อย่างนั้น ไม่เหมือนคนที่มีปัญหาอะไร ในใจก็รู้สึกโล่ง ตอนนี้หายห่วงแล้ว


เมื่อเห็นว่าเป็นคนที่มาจากแดนสุขาวดีจริงๆ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่สะดวกจะวางก้ามเช่นกัน เดินอ้อมหลังโต๊ะยาวมากุมหมัดคารวะ “เซี่ยโห้วหลงเฉิงผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ขอคารวะ ไม่ทราบว่าไต้ซือมาจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ส่วนไหนของแดนสุขาวดี?”


“อามิตตาพุทธ!” ศีลแปดประนมมือ แล้วกล่าวพร้อมยิ้มอย่างบริสุทธิ์ไร้ราคี “มิใช่มารมิใช่โจร ไม่หยุดนิ่งไม่ว่างเปล่า ไร้คราบไร้ฝุ่น”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงอ้าปากกว้าง รู้สึกมึนงงนิดหน่อย ฟังไม่เข้าใจเลย มาจากไหนกันแน่?


เขาเอียงหน้าหันมองเหมียวอี้ ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ฟังเข้าใจหรือเปล่า ในเมื่อรู้จักกับเหมียวอี้ เขาเดาว่าเหมียวอี้คงรู้ว่าอีกฝ่ายมาจากไหน


ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะกำลังเอียงหน้ามองเขาอยู่ ฟังไม่รู้เรื่องเช่นกัน กำลังจะถามพอดีว่าเขาฟังเข้าใจรึเปล่า เหมียวอี้คิดว่าในเมื่อศีลแปดกล้าแอบอ้างว่าเป็นคนของแดนสุขาวดี ก็คงนำชื่อสถานที่ที่เคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่งมาแอบอ้าง เซี่ยโห้วหลงเฉิงอาจจะรู้ก็ได้ว่าเป็นที่ไหน


ทั้งสองถลึงตาใส่กัน


ที่จริงความหมายของศีลแปดก็คือ ไม่ต้องยึดติดว่าเขามาจากที่ไหน แต่ชาวพุทธมักจะชอบอะไรแบบนี้ จะพูดทุกอย่างให้ดูคลุมเครือ เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่ ลึกลับซับซ้อน เปรียบเปรียบแฝงคติ ทำให้ทุกคนพยายามบรรลุ อันที่จริงต่อให้บรรลุแล้ว ท้ายที่สุดก็ยังต้องกินเที่ยวเยี่ยวขี้อยู่ดี ส่วนศีลแปดนั้นหลอกลวงคนอื่นจนเป็นนิสัย ท่าทางแบบนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ฝึกมาจนชำนาญแล้ว


แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงดันไม่อยากเสียหน้า แสร้งทำท่าเหมือนฟังรู้เรื่อง พยักหน้าขานรับแล้วบอกว่า “ช่างเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ไม่ทราบว่าไต้ซือมีฉายานามว่าอะไร”


ที่จริงเหมียวอี้ก็พอจะมองออกนิดหน่อยว่าเขาฟังไม่รู้เรื่อง เพียงแต่สงสัยในใจ ตกลงเจ้าฟังออกจริงๆ หรือแกล้งฟังออก


ศีลแปดตอบเสียงเรียบว่า “ศีลข้อหนึ่งคือเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ศีลข้อสองคือเว้นจากการลักขโมย ศีลข้อสามคือเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ศีลข้อสี่คือเว้นจากการพูดโกหก ศีลข้อห้าคือเว้นจากสุรา ศีลข้อหกคือเว้นจากการฟ้อนรำขับร้อง ศีลเจ็ดคือเว้นจากการนั่งนอนเหนือเตียงตั่ง ศีลแปดเว้นจากการบริโภคอาหารในยามวิกาล อาตมามีฉายานามว่าศีลแปด!”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงฟังจนอึ้งแล้วอึ้งอีก ฟังและทำความเข้าใจอยู่ตั้งนาน พอฟังถึงตอนท้ายถึงได้รู้ว่าอธิบายที่มาของฉายานาม คิดไปคิดมามาก็พบว่าเป็นสองคำสุดท้าย จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนั้นมั้ย? เข้าพึมพำในใจ คุยกับพระสงฆ์รูปนี้เหนื่อยจริงๆ… เขายิ้มแห้งพร้อมบอกว่า “ที่แท้ก็เป็นไต้ซือศีลแปด…” เขารีบวกเข้าหาประเด็น กลัวว่าอ้อมไปอ้อมมาแล้วสมองจะมีไม่พอใช้งาน ชี้เหมียวอี้พร้อมถามว่า “ได้ยินว่าไต้ซือมาคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”


“ใช่แล้ว!” ศีลแปดพยักหน้าเบาๆ แล้วหันไปพูดกับเหมียวอี้ “ฆราวาส ไม่เจอกันหลายปี อาตมามาทวงเงินทำบุญคืนจากเจ้า”


เงินทำบุญ? เงินทำบุญหัวโปกเจ้าสิ! เหมียวอี้ยืนขึ้นแล้วขมวดคิ้ว “ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นไต้ซือศีลแปดนี่เอง ทำไมท่านถึงมาเก็บเงินที่นี่ล่ะ ไม่ดูเสียบ้างว่าที่นี่คือที่ไหน” ในใจเดือดดาลมาก ในน้ำเสียงเจือความโมโหหลายส่วน เพราะเคยสั่งไว้แล้วว่ามาที่นี่ห้ามประกาศว่ามีความเกี่ยวข้องกับเขา


ศีลแปดยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “จิตว่าง ดวงตาว่าง มีที่ใดบ้างที่ไปไม่ได้?”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดแทรกอย่างประหลาดใจ “ไต้ซือศีลแปด เขาไปติดเงินทำบุญท่านได้อย่างไร ติดเงินท่านเท่าไร?”


ศีลแปดหันมามองเขาแล้วยิ้มบางๆ “เงินคือกรรม เพื่อที่จะตัดกรรม เท่าไรก็ไม่สำคัญหรอก อาตมาเห็นว่าผู้บัญชาการเซี่ยโห้วมีสติปัญญามาก อยากจะไขปริศนาของพุทธธรรมร่วมกับผู้บัญชาการ ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการคิดว่าอย่างไรบ้าง?”


ข้าจะไปมีสติปัญญาบ้าบออะไรล่ะ! เซี่ยโห้วหลงเฉิงปวดหัวทันที หัวเราะแห้งๆ พร้อมบอกว่า “ผู้บัญชาการผู้นี้โง่เขลา สนทนาธรรมกับไต้ซือไม่ไหว! เอ่อคือ ผู้บัญชาการผู้นี้ยังมีงานต้องทำ ไม่รบกวนการทวงเงินทำบุญของไต้ซือแล้ว” กุมหมัดคารวะส่งแขก


ศีลแปดทำสีหน้าสุดแสนจะเสียายทันที ส่วนเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ส่งสายตาให้เหมียวอี้ไม่หยุด ให้เหมียวอี้รีบพาพระสงฆ์พร่ำเพ้อคนนี้ออกไป อย่ามาสร้างความรำคาญให้เขาที่นี่ เขาเองก็ไม่สะดวกจะไปล่วงเกินคนของแดนสุขาวดี


เหมียวอี้เองก็ไม่อยากเห็นศีลแปดมาก่อเรื่องซี้ซั้วที่นี่แล้ว รีบกล่าวอำลาทันที


พอออกจากศาลพิจารณาคดี ระฆังดาราในกำไลเก็บสมบัติก็ส่งเสียงดัง ไม่น่าเชื่อว่าจงหลีค่วยจะส่งข่าวมา ถามว่าเหมียวอี้อยู่ที่ไหน บอกว่าจะมาหา เหมียวอี้ย่อมตอบว่าที่เดิม


“ใครส่งข่าวมา?” ศีลแปดแปลกใจ


เหมียวอี้ไม่ตอบ เพียงเดินออกจากจวนผู้บัญชาการไป เมื่อเดินอยู่บนถนนแล้ว ถึงได้แอบถ่ายทอดเสียงตำหนิศีลแปด “เจ้านี่ใจกล้าไม่เบา บังอาจแอบอ้างว่าเป็นคนของแดนสุขาวดี เจ้ารู้รึเปล่าว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีใครหนุนหลัง? เจ้าบ้านั่นอาจจะมาจากตำหนักสวรรค์ก็ได้ ถ้าสามารถคุยกับฝ่ายประมุขชิงได้ ไม่แน่ว่าอาจจะไปมาหาสู่กับแดนสุขาวดี ถ้าเขาจับได้ว่าเจ้าเล่นละคร ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะยุติปัญหายังไง!”


“เจ้าหมีควายนั่นมีภูมิหลังใหญ่โตขนาดนั้นเลยเหรอ? งั้นถ้ามีโอกาสจะต้องทำความรู้จักสักหน่อยแล้ว” ศีลแปดตื่นเต้นประหลาดใจ


เหมียวอี้จึงกล่าวอย่างโมโห “ทำความรู้จักบ้าอะไรล่ะ เจ้าบ้านั่นทั้งโลภเงินทั้งไร้เหตุผล เจ้าอย่าไปยุ่งกับเขาเลย อย่าหาเรื่องใส่ตัว ตอนนี้ข้าไปยุ่งกับเขาแล้ว จะสลัดทิ้งยังไงก็สลัดไม่หลุด ข้าถามหน่อยเถอะ เจ้าเห็นคำพูดข้าเป็นแค่ลมที่ผ่านหูใช่มั้ย ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าอย่าประกาศความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน ทำไมเจ้ายังมาที่นี่อีก?”


ศีลแปดร้องขอความเป็นธรรมทันที “ท่านคิดว่าข้าอยากทำรึไง! พวกเรามองจากบนโรงเตี๊ยมแล้วเห็นท่านโดนทหารสวรรค์จับตัวไป พี่สะใภ้ร้อนใจมาก ข้าเองก็โดนกดดันจนไม่มีทางเลือก ถึงได้มาสืบข่าว ตอนนี้พี่สะใภ้ยังรอฟังข่าวจากข้าอยู่นะ”


“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะไปปลอมตัวแล้วค่อยกลับไป” เหมียวอี้พูดทิ้งท้าย แล้วแยกทางกับศีลแปดที่ปากซอยแห่งหนึ่ง

 

 

 


ตอนที่ 938

 

 ศีลแปดหนีไปแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนที่ตัวเองไปไหนมาไหนคนเดียว ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากขนาดนี้ แต่หลังจากมีภรรยาก็เท่ากับมีอีกครึ่งชีวิตเพิ่มขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นนิสัยใจคอหรือการวางตัวในสังคมก็จะต้องคำนึงถึงอีกครึ่งหนึ่งด้วย ต้องสำรวมท่าทีไว้บ้าง เจ้าจะทำเหมือนมีไม่นางอยู่บนโลกนี้ไม่ได้ จะทำตัวเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้ เรื่องที่ทั้งสองทำร่วมกันย่อมไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียวอยู่แล้ว


เหมียวอี้รู้ว่าอวิ๋นจือชิวต้องร้อนใจมากแน่นอน หลังจากปลอมตัวแล้วจึงรีบกลับไปที่โรงเตี๊ยม


ถึงแม้จะได้ยินศีลแปดบอกว่าเหมียวอี้ไม่เป็นอะไร แต่พอได้เห็นเหมียวอี้กลับมาอย่างปลอดภัย อวิ๋นจือชิวถึงได้ตบหน้าอกอย่างโล่งใจ เดินเข้าไปรับและถามว่า “หนิวเอ้อร์ ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”


เหมียวอี้นั่งลงข้างๆ แล้วส่ายหน้าตอบว่า “จะมีเรื่องอะไรได้ล่ะ ก็ผู้บัญชาการหมีควายที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังนั่นแหละ”


อวิ๋นจือชิวรินน้ำชามาวางข้างๆ เขา แล้วนั่งลงถาม “เจ้าอยู่ของเจ้าดีๆ เขามาจับตัวเจ้าไปทำไม?”


“ไม่ถือว่าจับตัวหรอก แต่เจ้าบ้านั่นไม่พูดกันด้วยเหตุผลเลย อีกฝ่ายมีคนหนุนหลัง ก่อให้หาเรื่องคนอื่นตัวเองก็ไม่เป็นไร ไม่จับข้ามัดไปก็ดีเท่าไรแล้ว”


“จับตัวเจ้าไปก็ต้องมีสาเหตุสิ?”


ที่จริงเหมียวอี้ไม่อยากพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหวงฝู่จวินโหรวเลย เขายิ้มขื่นขมพลางเล่าว่า “เจ้าเองก็เห็นสาเหตุแล้ว หวงฝู่จวินโหรวผู้จัดการร้านค้าสมาคมวีรชน ผู้บัญชาการหมีควายคนนี้ชอบนาง เขารู้ว่าข้ารู้จักกับผู้จัดการร้านหวงฝู่ เลยดันทุรังจะให้ข้าเป็นพ่อสื่ออยู่ได้ อีกฝ่ายไม่ชอบเขา แต่เขากลับเกาะติดไม่ปล่อย ข้าจะมีหนทางอะไรได้อีก”


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่นั่นก็หน้าตาสะสวยไม่ธรรมดาจริงๆ มีคนมาจีบก็เป็นเรื่องปกติมาก”


เหมียวอี้ยกน้ำชาจิบแก้คอแห้ง แล้วพูดพึมพำว่า “ฮูหยิน เจ้าเองก็ได้มาเห็นที่นี่แล้ว ควรจะกลับได้แล้วหรือเปล่า? เวยเวยเพิ่งจะเริ่มงาน กลัวว่าจะมีหลายเรื่องที่ยังไม่คุ้น”


“ทำไม?” อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองทันที ถามด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรว่า “ข้าขัดหูขัดตาเจ้าเหรอ อยากจะไล่ข้ากลับแล้วล่ะสิ?”


เหมียวอี้ถอนหายใจแล้ว “เฮ้อ! ข้าจะกล้าได้ยังไง! เมื่อครู่นี้จู่ๆ เจ้ารองก็บุกไปที่จวนผู้บัญชาการ ทำเอาข้าตกใจแทบแย่ ข้าจะบอกความจริงให้แล้วกัน โรงเตี๊ยมที่เจ้าพักอยู่ก็ไม่ใช่ที่พักที่มั่นคงปลอดภัย ใครกล้ารับประกันว่าอยู่ที่โรงเตี๊ยมแล้วจะปลอดภัย พวกเราหลบๆ ซ่อนๆ อยู่แบบนี้ สักวันจะต้องโดนคนที่สนใจจับได้แน่นอน แบบนี้ไม่เป็นผลดีกับเจ้า ข้าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเจ้า ไม่มีทางทำงานได้อย่างสงบใจเลย ไม่มีสมาธิจะฝึกตนด้วย เข้าใจรึเปล่า?”


ที่แท้ก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของนาง! อวิ๋นจือชิวรู้สึกหวานซึ้งในใจ มองเขาอย่างอ่อนโยนแวบหนึ่ง แล้วลุกขึ้นมานั่งตักเขา เอามือคล้องคอเขาพลางพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “หาที่พักที่มั่นคงปลอดภัยได้ไม่ยากหรอก เปิดร้านที่ตลาดสวรรค์สักร้านก็สิ้นเรื่องแล้ว เครื่องประดับนั่นขายดีมากไม่ใช่เหรอ พวกเราคิดหาทางทำร้านขึ้นมาสักร้านดีมั้ย? เจ้าอยู่ที่นี่ก็มีเส้นสายอยู่บ้างไม่ใช่เหรอ ช่วยข้าหาหน้าร้านสักร้านดีไหม?”


เหมียวอี้เกาศีรษะ “ข้าก็เตรียมจะทำแบบนี้เหมือนกัน หาเส้นสายเพื่อตั้งร้านสักร้านน่าจะไม่ยาก แต่คนที่มีเส้นสายพวกนั้นก็จะมอบให้เปล่าๆ โดยไร้เหตุผลไม่ได้เหมือนกัน ตอนนี้ในมือเรายังไม่มีเงินเยอะขนาดนั้น ถ้าจะซื้อร้านค้าที่ตลาดสวรรค์สักร้านก็ต้องใช้เงินไม่น้อยเลย ที่ร้านขายของชำก็ต้องการเงินทุนเพื่อขยายสาขา กำไรพิเศษลดลงฮวบฮาบ เกรงว่าต้องรออีกสักพักแล้วค่อยว่ากัน”


“รอหน่อยก็ไม่เป็นไร หนิวเอ้อร์ งั้นข้าก็ตอบตกลงเจ้าแล้ว” อวิ๋นจือชิวใช้สองมือกอบใบหน้าเขา พร้อมกล่าวอย่างจริงจังตั้งใจ


อันที่จริงแล้ว ถ้ายังจัดการความสัมพันธ์ระหว่างตนกับหวงฝู่จวินโหรวให้ชัดเจนไม่ได้ เหมียวอี้ก็ไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวมาที่นี่เลย คิดไปคิดมาก็เลยยื้อเวลาไว้ก่อนดีกว่า ยังบอกเวลาแน่นอนไม่ได้ อย่างมากถ้าถึงตอนนั้นก็ค่อยหาข้ออ้างอีกที เขาจึงพยักหน้าตอบว่า “ของที่ฮูหยินอยากได้ ข้าจะไม่พยายามเต็มที่ได้อย่างไร!”


อวิ๋นจือชิวยิ้มหน้าระรื่น สวยหยาดเยิ้มมาก ริมฝีปากแดงน่าหลงใหลยื่นเข้ามาจูบ ลิ้นหอมเป็นฝ่ายรุกล้ำเข้ามาพัวพันในช่องปากเหมียวอี้ก่อน


เมื่อปะเหลาะให้นางมีความสุขแล้ว ทุกอย่างก็ย่อมพูดง่ายตามไปด้วย หลังจากถอนจูบ นางก็เอามือคล้องคอเหมียวอี้อีก “กลับไปก่อนก็ดีเหมือนกัน ข้าคิดเอาไว้แล้ว จะขายแต่เครื่องประดับอย่างเดียวไม่ได้ ข้าจะซื้อผลึกม่วงกับผลึกแดงกลับไปก่อน แล้วให้ตั๊กแตนแปรรูปสักหน่อย กลั่นให้บริสุทธิ์ก่อน รอให้ได้หน้าร้านมาแล้ว เราก็จะขายทั้งเครื่องประดับทั้งวัสดุหลอมของวิเศษที่มีความบริสุทธิ์สูง กำไรที่ได้น่าจะไม่แย่เท่าไรหรอก”


เหมียวอี้อยากจะให้นางไปไวๆ รีบพยักหน้าให้ความร่วมมือกับนาง “ให้ข้าทำเกราะรบป้องกันตัวสักชุดก่อนเถอะ เดี๋ยวจะเอาไปให้เยารั่วเซียนหลอมสร้าง ถ้าไม่มีของไว้ป้องกันตัวสักหน่อย ข้าก็รู้สึกไม่มั่นใจ”


เมื่อได้ยินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเขา อวิ๋นจือชิวก็เริ่มทำสีหน้าจริงจัง ครุ่นคิดในใจว่าต้องรีบกลับไปทำเวลาหน่อย จะมัวชักช้าอยู่ที่นี่ไม่ได้ จึงพยักหน้าบอกว่า “ได้ งั้นพรุ่งนี้ข้าจะซื้อของนิดหน่อย แล้ววันมะรืนก็กลับ” จากนั้นก็ยื่นปากไปข้างหูเหมียวอี้ คลอเคลียที่จอนผม กระซิบปลุกปั่นว่า “แต่สองคืนที่เหลือนี้เจ้าต้องปรนนิบัติข้าดีๆ หน่อยนะ ถ้าไม่ทุ่มเทกำลังป้อนให้ข้าอิ่ม ข้าก็จะไม่ไป”


ท่านขุนนางเหมียวย่อมทำตามคำสั่ง…


เหมียวอี้เบิกผลึกม่วงกับผลึกแดงจำนวนหนึ่งออกจากร้านขายของชำ แล้วนำมามอบให้อวิ๋นจือชิว นางจะได้นำกลับไปเตรียมตัวได้สะดวก จากนั้นก็ติดต่อกับจงหลีค่วย ฝ่ายจงหลีค่วยเดินทางออกจากปราสาทดำเนินนภาแล้ว แต่เวลาในการเดินทางจากปราสาทดำเนินนภามาถึงที่นี่ เพียงพอจะให้เขาไปส่งอวิ๋นจือชิวแล้วกลับมาอีกรอบ


เช้าตรู่ของอีกสองวันต่อมา หลังจากร่างเปลือยทั้งสองลุกจากเตียงขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ก็มาหาศีลแปดที่ห้อง ปรากฏว่าเคาะห้องศีลแปดอย่างไรก็ไม่ยอมเปิด ข้างในไม่มีคนตอบ จึงผลักเข้าไปหาข้างใน แต่ไม่เห็นเงาใครเลย


เห็นเพียงตรงจุดที่สังเกตเห็นได้ง่ายบนโต๊ะ มีแผ่นหยกวางทิ้งไว้แผ่นหนึ่ง พอเหมียวอี้หยิบขึ้นมาอ่าน ก็หน้าดำคร่ำเครียดทันที


“เป็นอะไรไป?” อวิ๋นจือชิวหยิบแผ่นหยกจากมือเขามาอ่านโดยตรง หลังจากอ่านจบก็สีหน้าเปลี่ยนเช่นกัน ตวาดเสียงแหลมว่า “หาเรื่อง! หนิวเอ้อร์ กลับไปตามหาเขาแล้วตีให้ตายเลย! ถ้าเจ้าทำไม่ลง พี่สะใภ้คนนี้ก็จะไม่เกรงใจแล้วเหมือนกัน!”


ศีลแปดออกไปแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือหนีไปแล้ว พอเจ้าบ้านี้ได้ยินว่าจะกลับพิภพเล็ก เขาก็ไม่ปลื้มแล้ว บอกว่ากลับไปพิภพเล็กแล้วน่าเบื่อ ยังไม่ได้ดูพิภพใหญ่ให้เต็มตาเลย ตอนนี้ยังไม่อยากกลับ ดังนั้นจึงทิ้งจดหมายไว้แล้วแอบหนีไป ทั้งยังบอกว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ไม่ต้องเป็นห่วง รอให้เขาเที่ยวทัศนาจรจนเต็มอิ่มแล้ว ก็จะไปติดต่อกับเหมียวอี้ที่ร้านขายของชำซื่อตรง


เหมียวอี้รีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อศีลแปด เพื่อที่จะติดต่อกันได้สะดวก ก่อนหน้านี้เขานำระฆังดาราไว้ให้ศีลแปดอีกอัน ปรากฏว่าติดต่ออย่างไรก็ไม่มีเสียงตอบกลับ


เหมียวอี้มั่นใจว่าเจ้าบ้านั่นต้องได้รับข้อความแล้วแน่นอน แต่จงใจไม่ตอบกลับ ถึงได้ส่งข้อความไปบอกว่า จะไม่ให้เขากลับไป เพียงแต่มีบางอย่างต้องคุยกันต่อหน้า ให้เขากลับมาพบหน้าตน


ศีลแปดจะโดนหลอกง่ายนั้นได้อย่างไร ก็แค่ไม่ตอบกลับ และไม่รู้ด้วยว่าไปหลบอยู่ที่ไหน


“เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนนะ ข้าจะไปสืบข่าวสักหน่อย ดูว่าเขาออกนอกเมืองไปรึยัง!”


เหมียวอี้พูดทิ้งไว้แล้วออกไปทันที มุ่งตรงไปหาเซี่ยโห้วหลงเฉิง ให้เขาช่วยถามทหารยามที่เฝ้าประตูเมือง ถึงอย่างไรศีลแปดก็หน้าตาโดดเด่น ตอนออกจากเมืองทหารยามจะต้องจำได้แน่นอน นอกเสียจากเจ้าบ้านั่นจะปลอมตัว


พอพูดถึงวิชาปลอมตัวของศีลแปด เหมียวอี้ก็ปวดหัวนิดหน่อย นั่นเรียกว่าเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้าจริงๆ


ธุระเล็กน้อยแค่นี้ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไรสำหรับเซี่ยโห้วหลงเฉิง เขาส่งไปคนไปสืบที่ประตูเมืองทั้งสี่ทิศทันที และไม่นานก็กลับมารายงาน มีคนเห็นศีลแปดออกจากเมืองไปแล้วจริงๆ ด้วย ออกไปทางประตูทิศเหนือ


เหมียวอี้รีบตามไปโดยออกทางประตูทิศเหนือ ค้นหาจนทั่วแล้ว ทว่าดาวเทียนหยวนกว้างใหญ่ขนาดนั้น แถมศีลแปดยังตั้งใจซ่อนตัว ผีที่ไหนจะไปหาเขาพบล่ะ ทำเอาเหมียวอี้แค้นจนกัดฟันกรอด เขย่าระฆังดาราเตือนเสียเลยว่า ศีลแปดต้องกลับมาภายในเวลาที่กำหนด ไม่อย่างนั้นจะได้เห็นดีกัน


ศีลแปดดื้อดึงมา ไม่ตอบอะไรกลับมาทั้งนั้น ในเวลานี้ใช้เหตุผลอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้บอกว่าเหมียวอี้ตายแล้วเขาก็ไม่เชื่อ เมื่อพระสงฆ์รูปนี้ตั้งใจแล้วว่าจะหนี ถ้าอยากจะดึงกลับมาก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น


เหมียวอี้กลับโรงเตี๊ยมมารออีกหนึ่งวัน ผ่านเวลาที่กำหนดแล้ว แต่ศีลแปดยังไม่กลับมา


เติบโตมาพร้อมกันตั้งแต่เด็ก เหมียวอี้รู้จักศีลแปดดีว่าเป็นคนอย่างไร นิสัยเสียขาดคุณธรรม ใจกล้าคับฟ้า เมื่อทำเรื่องชั่วไว้ก็จะปิดบังจนถึงที่สุด นอกเสียจากจะหมดทางถอย ไม่อย่างนั้นถ้าเจ้าจับตัวเขามาไม่ได้ เขาก็ไม่มีทางเต็มใจกลับมารับโทษแน่


หาไม่เจอแล้วจริงๆ อวิ๋นจือชิวจึงแสยะยิ้มและบอกว่า “งั้นก็ยังไม่ต้องหา พวกเรากลับกันก่อนดีกว่า แล้วไปหาไต้ซือศีลเจ็ด ให้อาจารย์เป็นคนสั่งให้เจ้ารองไสกัวกลับมา รอให้เจ้ามาที่นี่อีกรอบ แล้วค่อยพาเขากลับไป”


เหมียวอี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “เจ้าไม่รู้หรอกว่าเจ้ารองนิสัยเป็นอย่างไร เขาสามารถหลบไปเป็นเจ้าอาวาสที่สำนักแม่ชีได้ ถ้าไต้ซือศีลเจ็ดตามเขากลับมาได้ก็แปลกแล้ว เจ้ารองเคยทรยศสำนักหนีไปหลายครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะโดนจับกลับมาทุกรอบ เจ้าคิดว่าไต้ซือศีลเจ็ดจะควบคุมเขาได้เหรอ? ใช้อุบายความเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กับเขาไม่ได้ผลหรอก เขาสามารถตะโกนเรียกไต้ซือศีลเจ็ดว่าตาแก่โล้นได้ ไปหาไต้ซือศีลเจ็ดก็ไม่มีประโยชน์เลย!”


อวิ๋นจือชิวตกใจมาก “ทรยศหนีออกสำนักหลายครั้ง? เรียกไต้ซือศีลเจ็ดตาแก่โล้น? เอ่อ… หนิวเอ้อร์ ทำไมไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงมาก่อนเลยล่ะ?”


นางพบว่าน้องชายของสามีคนนี้ เหมือนคนของแดนมารยิ่งกว่านางเสียอีก ขนาดคนของแดนมารยังไม่ทรยศสำนักตามอำเภอใจอย่างนี้เลย


“เจ้าเคยเห็นใครอยากประกาศเรื่องเน่าเหม็นในครอบครัวบ้างล่ะ?” เหมียวอี้ใช้สองมือลูบหน้า กล่าวอย่างแค้นใจว่า “ไอ้เด็กเปรต อย่าให้ข้าจับได้ก็แล้วกัน!”


ไม่มีทางเลือก ถ้าอยากจะหาตัวศีลแปดกลับมาก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งสองไม่มีความสามารถที่จะระดมคนให้หาทั่วทั้งดาวเทียนหยวน ทำได้เพียงกลับไปก่อน เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่รอศีลแปดซึ่งไม่รู้ว่าจะกลับมาวันไหน


บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ อวิ๋นจือชิวทำเครื่องหมายระบุเส้นทางกลับมาตลอดทาง จนกระทั่งวาดเส้นทางกลับได้ทั้งหมดแล้ว พวกเขาก็กลับมาถึงพิภพเล็กอีกครั้ง


เวลาที่ทั้งสองใช้ในการเดินทางไปกลับ บวกกับเวลาที่พักอยู่ที่พิภพใหญ่ เป็นเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น เมื่อเห็นพวกเขากลับมาแล้ว ฉินเวยเวยที่ช่วงนี้เหมือนกำลังเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ในที่สุดก็ได้โล่งใจเสียที


เมื่อได้อำนาจทางนี้กลับมา อวิ๋นจือชิวก็ไปเลี้ยงดูเอาใจใส่ตั๊กแตนพวกนั้นทันที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทำธุรกิจจนชินแล้วหรือเปล่า นางตั้งอกตั้งใจเรื่องเปิดร้านที่ตลาดสวรรค์มาก เหมียวอี้โดนนางทิ้งชั่วคราว


เพียงแต่เหมียวอี้ในตอนนี้ไม่มีทางเปลี่ยวเหงา มีคนคอยอยู่ด้วยอยู่แล้ว เขาเดินไปที่ตำหนักอินทนิลคนเดียว เตรียมจะอยู่ที่นี่สักสามวัน นี่คือเจตนาของอวิ๋นจือชิวเช่นกัน อย่าให้อนุภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่รู้สึกอ้างว้าง จะได้ไม่มีใครมาว่าภรรยาเอกอย่างนางว่าใจดำอำมหิต


เมื่อได้รับรายงาน ฉินเวยเวยก็รีบนำหงเหมียน ลู่หลิ่วมาต้อนรับ ทั้งสามย่อเข่าคำนับ “นายท่าน!”


คำเรียกนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกแปลก ไม่ทันไรก็กลายเป็นนายท่านแล้ว ทว่าช่วยไม่ได้ มีเพียงคืนวันแต่งงานเท่านั้น ที่นางสามารถเรียกเขาว่า ‘ท่านสามี’ ได้ หลังจากนั้นคำว่า ‘ท่านสามี’ กับ ‘ฮูหยิน’ ก็มีเพียงเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวเท่านั้นที่เรียกขานกันอย่างนี้ อนุภรรยาไม่มีทางไปเทียบเสมอกับฮูหยินได้


ฉินเวยเวยที่อยู่ตรงหน้ายิ้มกว้างจนเห็นฟัน ดวงตานางเป็นประกายด้วยความยินดี ชุดกระโปรงสีขาวยังคงเป็นชุดโปรด แต่กลับเปลี่ยนจากการแต่งตัวแบบลูกสาวที่เก่งกาจ กลายเป็นชุดเครื่องแบบของสตรีที่แต่งงานแล้ว ทรงผมก็เป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าเดิม แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นหญิงที่มีสามีแล้ว สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้แอบทอดถอนใจ


เหมียวอี้ยื่นมือไปจูงมือนาง เดินเคียงคู่กัน พร้อมถือโอกาสบอกว่า “คืนนี้จะค้างกับเจ้าที่นี่”


“ค่ะ!” ฉินเวยเวยเอ่ยรับอย่างเอียงอาย

 

 

 


ตอนที่ 939

 

พิษวิญญาณโลหิตกำเริบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ที่เขาว่ากันว่าอยู่ห่างกันสักพักแล้วพบกันอีก จะรักกันยิ่งกว่าเพิ่งแต่งงาน คำพูดนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล นางกำลังแช่อิ่มอยู่ในความปีติยินดีของหญิงที่เพิ่งมีสามี กอปรกับไม่ได้เจอเหมียวอี้บ่อยๆ ดังนั้นพอได้เจอก็ยังรู้สึกหัวใจเต้นแรง พอได้ยินว่าเหมียวอี้ต้องการจะค้างที่นี่ ในใจก็เต็มไปด้วยความเขินอายหวานชื่น นี่คือข้อดีข้อเดียวของการเป็นอนุภรรยา


สิ่งที่มีไม่พอก็คือ เมื่อก่อนถึงแม้หยางชิ่งจะตำแหน่งไม่สูง แต่ก็เติมเต็มปัจจัยในการดำรงชีวิตให้ฉินเวยเวยได้อย่างไม่มีปัญหา ฉินเวยเวยเรียกได้ว่าถูกปรนนิบัติดูแลตั้งแต่เด็กยันโต เคยปรนนิบัติคนอื่นเสียที่ไหนกัน


พอนั่งลงในศาลา หงเหมียน ลู่หลิวก็นำน้ำชามาให้ ฉินเวยเวยรับมาวางไว้ตรงหน้าเหมียวอี้อย่างงุ่มง่าม “นายท่าน เชิญดื่มน้ำชาค่ะ!”


เหมียวอี้ยิ้มบางๆ รับประทานอาหารที่นี่อย่างรู้สึกขำ เป็นเรื่องที่ทำให้ฉินเวยเวยกังวลมาก


ก็ช่วยไม่ได้ มีภรรยาเอกของบ้านเป็นตัวอย่าง ไม่ว่างานอะไรอวิ๋นจือฉิวก็ทำได้ทั้งนั้น ทำได้ทั้งงานนอกบ้านและงานในบ้าน รับรองแขกและจัดการธุระได้รอบด้าน โดยเฉพาะการดูแลเรื่องอาหารการกินของเหมียวอี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ลงมือทำเองตลอด หลังจากเป็นท่านทูตแล้วก็ยังทำเหมือนเดิม ขอเพียงเหมียวอี้อยู่ข้างกาย อวิ๋นจือฉิวก็ทำหน้าที่ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ไม่เคยยืมมือคนอื่นมาทำให้เลย เข้าใจนิสัยการกินและรสชาติที่ถูกปากเหมียวอี้เป็นอย่างดี


สิ่งเหล่านี้ฉินเวยเวยล้วนเห็นมากับตาตัวเอง ขนาดภรรยาเอกยังทำเองทุกอย่าง อนุภรรยาอย่างนางมีสิทธิ์อะไรมาวางมาดเรียกใช้คนอื่น กลัวว่าถ้าทำได้ไม่ดีแล้วจะกุมหัวใจเหมียวอี้ไม่ได้ แล้วต่อไปเหมียวอี้จะไม่อยากมาที่นี่ อาหารที่นำมาวางวันนี้ถึงแม้ฝีมือจะมีการพัฒนา แต่กลับยังทำหยาบเกินไป ฝีมือด้านนี้ต้องใช้ประสบการณ์ ใชว่าจะทำได้ในช่วงเวลาสั้นๆ


ตอนที่นั่งรับประทานกับอาหารกับเหมียวอี้ ฉินเวยเวยก็ทำสีหน้าเขินอาย แต่ก็จ้องเขาพร้อมถามอย่างกังวลมากว่า “นายท่าน รสชาติเป็นอย่างไรบ้างคะ?”


ในจุดนี้เหมียวอี้จำเป็นต้องบอก “เทียบกับฮูหยินไม่ได้แน่นอน แต่เจ้ากับสองพี่น้องฝาแฝดไม่เคยทำมาตั้งแต่เด็กๆ ทำไม่เป็นก็เป็นเรื่องปกติมาก งานหนักแบบนี้ส่งให้ลูกน้องทำไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องลงมือทำเองให้ยุ่งยาก”


ทำไมรู้สึกว่าเขากำลังว่าตนว่าไร้ประโยชน์ล่ะ? ฉินเวยเวยทำสีหน้าอับอายยิ่งกว่าเดิม ในใจแอบตั้งปณิธานว่าจะทำให้ดีให้ได้ ต่อให้เทียบกับฮูหยินไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ห้ามแย่กว่าสองพี่น้องฝาแฝด จะปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไม่ได้


เมื่อตกกลางคืน ฉินเวยเวยที่ช่วยเหมียวอี้ถอดเสื้อผ้าก็พอมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว


ตรงข้างอ่างอาบน้ำ ฉินเวยเวยถูกเหมียวอี้ดึงไปอาบน้ำด้วยกันเป็นครั้งแรก นางยังคงประหม่าเขินอาย โดยเฉพาะการเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่ต่อหน้าผู้ชาย จะให้ฉินเวยเวยทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร นางลุกลี้ลุกลนปิดบังร่างกาย แต่เหมียวอี้กลับเชยชมอย่างร่าเริง แช่อยู่ในน้ำพลางมองดูนางทำท่าทางเขินอายเพราะจะหลบก็หลบไม่พ้น จะซ่อนก็ซ่อนไม่มิด เรือนร่างขาวหมดจดที่สูงสง่าน่าประทับใจนั้นช่างเป็นจุดเด่นจริงๆ ในเวลานี้เหมียวอี้ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองมีวาสนาไม่เบา…


ในค่ำคืนนั้น หลังจากพายุฝนสงบลง ฉินเวยเวยก็นอนกอดอยู่ในอ้อมอกเหมียวอี้ด้วยสีหน้าสุขสันต์ ใช้เสียงเล็กเสียงน้อยกระซิบพูดคุย


พอคุยไปคุยมา จู่ๆ ฉินเวยเวยก็พูดเสียงต่ำว่า “นายท่าน หงเหมียนกับลู่หลิวก็ถือว่าแต่งงานมาพร้อมกับข้าเหมือนกัน ถ้านายท่านสะดวก เมื่อได้จะได้ไปร่วมห้องกับพวกนางคะ?”


เหมียวอี้พูดไม่ออก อีกสามวันก็ต้องไปแล้ว ตอนนี้เขาจะมีอารมณ์มาทำเรื่องนี้เสียที่ไหนกัน ลำพังแค่อนุภรรยาที่มีอยู่ตรงหน้า เขาก็แทบจะอยู่ด้วยไม่ครบแล้ว ทำได้เพียงตอบไปว่า “ตอนหลังค่อยว่ากัน”


ได้ยินว่าผู้ชายชอบเรื่องแบบนี้ ฉินเวยเวยก็นึกว่าเขาไม่สะดวกจะพูดตรงๆ เพราะอยู่ต่อหน้านาง นางจึงพูดเสียงต่ำว่า “ถ้ามีโอกาสข้าจะช่วยจัดเตรียมให้นายท่านค่ะ!”


สามวันติดต่อกัน วันนี้อยู่กับฉินเวยเวยที่ตำหนักอินทนิล พรุ่งนี้ก็ต้องไปอยู่กับหลางหลางและหวนหวนที่ตำหนักคู่แฝด ขนาดเหมียวอี้เองก็ยังรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำภารกิจให้เสร็จ ทำบ่อยเกินไปแล้ว รู้สึกว่าความสนุกที่ควรจะมีมันหายไป


แต่จะว่าไปแล้ว ตอนนี้เหมียวอี้ก็น่าสงสารมากเหมือนกัน ที่ปรึกษาคนอื่นๆ ล้วนมีจวนที่พักของตัวเอง แต่เขากลับไม่มี จากเมื่อก่อนที่เคยกุมอำนาจมากมาย ตอนนี้กลายเป็นแค่ตำแหน่งเล็กๆ รู้สึกว่ายิ่งอยู่ยิ่งถอยหลัง ตอนนี้อยู่ปะปนกับผู้หญิงหลายคนในบ้านหลังเดียว แต่ถ้าเจ้าไปอยู่พับพวกนางแล้ว จะไม่ ‘มีปฏิสัมพันธ์’ ในด้านนั้นก็ไม่ได้ ถ้าอยู่กับคนนี้แล้วไม่อยู่กับคนนั้นก็จะไม่เหมาะสมอีก


แต่อนุภรรยาทั้งสามดันถูกอวิ๋นจือฉิวสั่งไว้ ว่าในทุกๆ วันต้องบังคับให้เขาฝึกคัดอักษร ถ้าหนีไปบ้านไหนก็หนีไม่พ้น อวิ๋นจือฉิวต้องการตรวจสอบ พวกนางสามคนไม่กล้าขัดคำสั่ง


หลังจากนั้นสามวัน อวิ๋นจือฉิวก็ส่งเหมียวอี้ขึ้นไปบนจักรวาล ก่อนที่จะแยกกัน อวิ๋นจือชิวก็แสดงจุดเด่นของแม่บ้านอีกครั้ง กำชับว่า “วรยุทธ์คือรากฐาน ถ้ามีเวลาก็ขยันฝึกตนเข้าไว้!”


“ทราบแล้วขอรับ!” เหมียวอี้รีบกุมหมัดน้อมส่ง “ฮูหยินเชิญกลับไปเถอะ!”


อวิ๋นจือฉิวกลอกตามองบน อยู่ด้วยกันมาหลายปี นางจะไม่รู้จักเขาเชียวเหรอ? นางรู้ว่าเขากลัวนางบ่นเยอะ จึงกำชับอีกว่า “เมื่อออกไปอยู่ข้างนอก จำไว้ว่าความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก ถ้าไม่มีธุระก็กลับมาทันที อย่าลืมว่าในบ้านดินแดนที่นุ่มละมุนของเมียๆ รออยู่ ถ้าอยู่ที่บ้านกินไม่อิ่ม ก็อย่าไปหาเศษหาเลยกินนอกบ้าน ถ้านางจับได้ขึ้นมา ก็อย่าหาว่านางไม่เกรงใจ!” พูดจบก็ยื่นมือ บอกใบ้ว่าให้เขาไปได้แล้ว


เหมียวอี้แอบปากเหงื่อในใจ กุมหมัดคารวะนางอีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังให้ มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองหลุดพ้นจากเครื่องจองจำ แทบจะกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว เมื่อเลือกทิศทางของพิภพใหญ่ได้แล้ว เขามุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว


อวิ๋นจือฉิวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ามองคล้อยหลังเขาจากไป นางถอนหายใจเบา “ข้าควบคุมเจ้าทำให้เจ้าเป็นทุกข์ขนาดนี้เชียวเหรอ? คนอื่นอยากให้ข้าควบคุมข้ายังไม่อยากสนใจเลย คนไร้มโนธรรม ชาติก่อนข้าคงติดหนี้เจ้า…”


ตอนใกล้จะถึงดาวเทียนหยวน เหมียวอี้นำระฆังดารามาติดต่อจงหลีค่วยอีกครั้ง เดาว่าต้องใช้เวลาอีกสองวันกว่าจงหลีค่วยจะมาถึง เหมียวอี้จึงมุ่งตรงไปหาเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก สอบถามว่าศีลแปดกลับมารึยัง


เซี่ยโห้วหลงเฉิงส่งคนไปคอยเฝ้าจับตาดูเรื่องนี้แล้ว ถ้าศีลแปดกลับมา ก็จะมาคนมารายงานทางนี้ทันที


“ข้าว่าเจ้าจะเอาแต่สนใจพระรูปนั้นไปทำไม? เขาหนีไปแล้ว ไม่ได้มาทวงเงินเจ้าแล้ว เจ้าควรจะดีใจสิถึงจะถูก!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่เข้าใจ


“เฮ้อ! ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่คืน แค่ตอนนี้ข้าคืนไม่เฉยๆ ไปมีเรื่องกับคนของแดนสุขาวดีไม่ไหวหรอก!” เหมียวอี้ถอนหายใจ


“เรื่องเหลวไหลของเจ้าข้าไม่สนใจหรอก เจ้ารีบจัดการเรื่องแต่งงานของข้ากับหวงฝู่เถอะ”


“ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว เจ้าเร่งข้าก็ไม่มีประโยชน์ ข้าช่วยตัดสินใจแทนหวงฝู่จวินโหรวไม่ได้ ทำไมเจ้าไม่เป็นฝ่ายจีบเองล่ะ?”


“เหลวไหล! ข้าเป็นฝ่ายจีบเองมาหลายปีแล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไร อีกฝ่ายก็ไม่ให้ข้าเข้าใกล้เลย ท่านย่าเอ๊ย”


“ข้าบอกได้แค่ว่า ข้าจะพยายามเต็มที่แล้วกัน”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงเบิกตาโพลง “เจ้าแซ่หนิว ที่เจ้าเคยซ้อมข้า ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลยนะ เจ้ายังอยากจะมีชีวิตอยู่มั้ย?”


ไม่เคยเห็นคนพึลึกแบบนี้มาก่อน! เหมียวอี้กลัวเขาแล้ว พูดยอมศิโรราบซ้ำๆ ว่า “ได้ๆๆ ข้าจะพยายาม!”


ที่จริงเขาไม่มีทางเป็นพ่อสื่อให้เรื่องนี้ได้เลย ผู้หญิงที่ตัวเองเคยนอนด้วยแล้ว จะให้เป็นคนกลางติดต่อให้คนอื่นมันใช่เรื่องเสียที่ไหนกัน?


เมื่ออกจากจวนผู้บัญชาการ เดินอยู่บนถนนได้ไม่ไกล เหมียวอี้ที่เดินขมวดคิ้วมาตลอดทางก็หันขวับไปมองข้างหลังอย่างอดไม่ได้ สตรีที่รูปร่างสะโอดสะองขาวใสกำลังเดินตามเขาอยู่ เขาหยุดนางก็หยุด เขาเดินเร็วนางก็เดินเร็ว เขาเดินช้านางก็เดินช้า


เหมียวอี้จำต้องหันตัวไปถาม “แม่นาง พวกเรารู้จักกันเหรอ? ทำไมต้องเดินตามข้า?”


หญิงสาวหัวเราะคิกคัก แล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้านี่ขี้ลืมจริงๆ เลย เจ้าลืมข้าไวขนาดนี้เชียวเหรอ? แต่ข้าลืมเจ้าไม่ลงเลยนะ!”


เสียงแบบนี้… เหมียวอี้เบิกตากว้าง อุทานถามว่า “ปีศาจโลหิต! เจ้ายังไม่ตายเหรอ?”


หญิงสาวค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้ แล้วยกมุมปากแสยะยิ้ม “อาศัยแค่ฝีมืออันต่ำต้อยของเจ้า ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก คืนของมาให้ข้าเสียดีๆ แล้วข้าจะละเว้นชีวิตเจ้า!”


เหมียวอี้แอบตกตะลึงในใจ ปีศาจตนนี้ถูกทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะยังสบายดีเหมือนคนไม่เป็นอะไร ช่างน่ากลัวจริงๆ เขาก้าวถอยหลังช้าๆ “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะกล้าแตะต้องข้าที่ตลาดสวรรค์!”


ปีศาจโลหิตเข้ามาประชิดทีละก้าว ทำเอาเขาถอยจนติดกำแพง ริมฝีปากแดงพ่นลมหายใจกลิ่นคาวเลือดใส่ “อยู่ที่นี่ข้าไม่กล้าแตะต้องเจ้าหรอก ข้าแนะนำให้เจ้าหัดอ่านสถานการณ์เอาไว้เสียบ้าง ไม่อย่างนั้นได้ลิ้มลองรสชาติเคล็ดวิชามารโลหิตของข้าแน่ เจ้าหนีไม่พ้นเงื้อมมือข้าหรอก นำหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรงกับของของข้าออกมา แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”


หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำ… นางมารร้ายหวงฝู่! เหมียวอี้หรี่ตาพลางด่าในใจ โดนหวงฝู่จวินโหรวหลอกเข้าแล้วจริงๆ ตัวเองถามหวงฝู่จวินโหรวเกี่ยวกับที่อยู่ของปีศาจโลหิตหลายครั้ง เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาตามมา แต่หวงฝู่จวินโหรวบอกว่าตอนนี้ปีศาจโลหิตใกล้จะตายแล้ว


ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตนเพิ่งจะกลับมาถึงตลาดสวรรค์ แต่ก็โดนปีศาจโลหิตจับตาดูแล้ว ปีศาจโลหิตจะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากร้านค้าสมาคมวีรชนแน่นอน ถ้าหวงฝู่จวินโหรวไม่ได้ช่วยก็แปลกแล้ว ถ้าปีศาจโลหิตจับตาดูเขามาตั้งแต่แรก ก็คงไม่รอจนถึงตอนนี้แล้วค่อยมาดักเจอหรอก ไม่อย่างนั้นเขาคงโดนปีศาจโลหิตดักตั้งแต่ตอนอยู่นอกเมืองแล้ว


เหมียวอี้คิดแล้วรู้สึกกลัว ถ้าโดนปีศาจโลหิตดักตอนจะกลับพิภพเล็ก เกรงว่าแม้แต่อวิ๋นจือฉิวก็จะมีภัยไปด้วย


ชั่วขณะนี้ เหมียวอี้แทบจะอยากลงมือฆ่าหวงฝู่จวินโหรวให้ตาย เขาทำเสียงฮึดฮัด แล้วหันตัวเดินจากไปไม่แยเสอะไรมาก ถึงอย่างไรตอนอยู่ที่นี่อีกฝ่ายก็ไม่กล้าทำอะไรตน


ปีศาจโลหิตยังคงเดินตามหลังเขา พลางพูดเย้ยว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าแนะนำเจ้าให้นะ ทางที่ดีอย่าให้ถึงขั้นสุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์”


“แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้ล่ะ?” เหมียวอี้พูดดูถูก แล้วมุ่งตรงสู่ร้านขายของชำซื่อตรง


เมื่อขึ้นตึกมาถึงห้องนอนของตัวเอง เหมียวอี้ก็ผลักหน้าต่างมองออกไปด้านนอก พบว่าปีศาจโลหิตยังไม่ได้จากไปไหน ยังยืนสบตากับเขาอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้ามร้านขายของชำ ปีศาจโลหิตยกมุมปากยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พลิกมือหยิบขลุ่ยสีเขาออกมาเลาหนึ่ง แล้วเป่าบรรเลงทำนองเพลง


เหมียวอี้ขมวดคิ้ว เกิดความระแวดระวังในใจ ไม่รู้ว่านางกำลังเล่นบ้าอะไร เพราะไม่ได้ยินเสียงดนตรีอะไรที่นางเป่าเลย แต่ปีศาจโลหิตกลับเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดตรงหว่างคิ้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังร่ายอิทธิฤทธิ์เป่าบรรเลงเพลง สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้แปลกใจก็คือ วรยุทธ์ของนางลดลงแค่สองขั้นเท่านั้นเอง


ขณะกำลังครุ่นคิด จู่ๆ เหมียวอี้ก็พบความไม่ชอบมาพากล พบว่าแขนขาทั้งสี่ของตัวเองสั่นเทิ้มนิดหน่อย อดไม่ได้ที่จะก้มมองสองมือของตัวเอง ภาพที่ปรากฏสู่สายตาคือเงามายา ปรากฏเป็นสีแดงเลือดรางๆ รู้สึกว่าน้ำเลือดในร่างกายตัวเองค่อยๆ หมุนขึ้นหมุนลง รุนแรงขึ้นทีละนิดราวกับพลิกแม่น้ำคว่ำทะเล เขาควบคุมไม่ได้เลย มันพุ่งไปที่หัวใจของเขาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับต้องการให้หัวใจของเขาระเบิดออก ในหูได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงราวกับเสียงกลอง ตึกตักตึกตัก อาการมึนศีรษะกำเริบทีละนิด


แทบจะชั่วพริบตาเดียว เม็ดเหงื่อก็ผุดเต็มหน้าผากเหมียวอี้ เขาหายใจถี่กระชั้น เบิกตากว้างมองปีศาจโลหิตที่อยูบนถนนฝั่งตรงข้าม มองเห็นรางๆ ว่าปีศาจโลหิตที่กำลังยิ้มชั่วร้ายวางขลุ่ยสีขาวในมือลงแล้ว แต่ความเจ็บปวดในร่างกายเหมียวอี้กลับยังไม่หายไปแม้แต่นิดเดียว กลับยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยซ้ำ


เหมียวอี้พยายามต้านทานอย่างสุดชีวิต ปกป้องเส้นเลือดใหญ่ตัวเอง หัวใจจะได้ไม่ระเบิดเพราะโดนน้ำเลือดไหลมารวมกัน

 

 

 


ตอนที่ 940

 

บรรลุระดับบงกชทอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้กลัวก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะไม่สามารถควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองได้เลย


แต่ก็ไม่อาจเรียกว่าตัวเองควบคุมไม่ได้ ที่จริงพลังอิทธิฤทธิ์ในร่างกายกำลังถูกตัวเองควบคุม แต่กลับไม่ใช่การควบคุมแบบที่ตัวเองต้องการ ในร่างกายราวกับกำลังมีตัวเองอีกคนกำลังควบคุมอยู่ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในร่างกาย เป็นสิ่งที่ตัวเองร่ายอิทธิฤทธิ์ทรมานตัวเอง พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ยอมรับการควบคุมตามความตั้งใจเดิมของเขา


เหมียวอี้ที่เหงื่อไหลราวกับเม็ดฝนขยับตัวไม่ได้เลยสักนิด ได้แต่บิดไปบิดมาไม่หยุดอยู่อย่างนั้น รูม่านตาที่ฉ่ำไปด้วยเลือดเดี๋ยวหดเล็กเดี๋ยวขยายใหญ่ หอบหายใจราวกับวัว ริมฝีปากสั่นเทา อยากจะร้องขอความช่วยเหลือแค่กลับไม่มีเสียงออกมา ลมหายใจวุ่นวายอุตลุต ไม่มีทางเอ่ยเสียงพูดได้เลย รู้สึกว่าตัวเองร่ายอิทธิฤทธิ์ทรมานตัวเอง ขนาดอยากจะช่วยเหลือตัวเองก็ยังทำไม่ได้


ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ที่เหงื่อแตกราวกับฝนเท สุดท้ายก็พังทลายลง สองมือที่จับบนขอบหน้าต่างคลายออก ร่างกายสูญเสียสมดุล เอนล้มลงข้างหลัง นอนขดอยู่บนพื้นและชักกระตุกอย่างรุนแรง รสชาติความเจ็บปวดแบบนั้นไม่มีทางบรรยายออกมาได้ ตรงจุดที่น้ำเลือดไหลผ่านราวกับมีดนับไม่ถ้วนกำลังกัด ในหัวเกิดภาพมายาประหลาดอย่างหนึ่ง รู้สึกเหมือนตัวเองกลับเข้ามาอยู่ในค่ายกลมารโลหิตอีกครั้ง ตรงหน้าเต็มไปด้วยทะเลเลือด ผีน้อยที่กลายเป็นเลือดนับไม่ถ้วนมุดเข้าไปในรูทวารทั้งเจ็ดของเขาไม่ขาดสาย แล้วกัดฉีกเนื้อในร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง ความรู้สึกตัวเลือนรางแท้ๆ แต่ความรู้สึกเจ็บปวดกลับชัดเจนอยู่ในหัวของเขา


รสชาตินี้เจ็บยิ่งกว่าตอนที่เขาโดนไฟเผาในตอนนั้นเสียอีก เพราะนั่นคือการเจ็บปวดภายนอกร่างกาย แต่ตอนนี้คือการเจ็บปวดภายในร่างกาย ถึงขั้นรู้สึกว่าเป็นความทรมานที่มาจากวิญญาณด้วยซ้ำ ราวกับมีมารร้ายตนหนึ่งเข้ามาแย่งชิงอำนาจในการควบคุมเลือดเนื้อร่างกายของเขาไป


ไม่มีเสียงการต่อสู้ เขาเองก็ไม่มีทางร้องขอความช่วยเหลือได้ คนของร้านขายของชำซื่อตรงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเขา มีเพียงเขาคนเดียวที่นอนรับความทรมานที่ไม่จบไม่สิ้นอยู่บนแผ่นไม้กระดานในห้องนอน


ตอนที่เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย ตอนที่เขาดิ้นรนต่อสู้กับความรู้สึกตัวสุดท้าย ขณะที่สายป่านเส้นสุดท้ายกำลังจะขาด จู่ๆ ก็รู้สึกสะท้านทั้งกายทั้งใจ ต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์สั่นสะเทือน ลมปราณกลุ่มหนึ่งทะลักออกมาจากต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ ในร่างกายราวกับมีจักรวาลเล็กๆ ซ่อนอยู่ ซ่อนแฝงพลังงานเอาไว้ไม่จบไม่สิ้น พลังอิทธิฤทธิ์โหมซัดสาดพัดม้วนออกมา รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัวราวกับได้ดื่มสุราชั้นดี ความรู้สึกพวกนั้นมาครอบรสชาติความเจ็บปวดทรมานกลุ่มนั้นเอาไว้โดยตรง


แต่สุดท้ายก็ยังครอบคลุมได้ไม่หมด ก่อตัวเป็นรสชาติประหลาดอย่างหนึ่งแทน แต่ความเจ็บปวดผสมกับความทรมานก็ทำให้เขาได้สติกลับมาชั่วคราวเช่นกัน


เหมียวอี้ที่ขดตัวอยู่บนพื้นค่อยๆ ลืมตาขึ้น ในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ จู่ๆ ก็บรรลุวรยุทธ์แล้วเหรอ? มาบรรลุวรยุทธ์ในเวลานี้เนี่ยนะ? ไม่น่าเชื่อว่ากระดาษที่กั้นระดับบงกชทองเอาไว้จะถูกตนเจาะออกไปในเวลานี้ จู่ๆ ตัวเองก็บรรลุวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทอง บรรลุถึงระดับทะยานสวรรค์ที่ตัวเองใฝ่ฝัน!


เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทุกครั้งที่บรรลุวรยุทธ์ ตัวเองมักจะอยู่ตรงคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นความตายเสมอ ครั้งนั้นที่บรรลุจากระดับพื้นบกไประดับต้านอากาศ ตัวเองก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้จะประสบเหตุการณ์คล้ายๆ กันอีกแล้ว เล่นบ้าอะไรเนี่ย


มันเป็นแค่ความรู้สึกตัวเล็กน้อยชั่วขณะเท่านั้น ต่อให้วรยุทธ์บรรลุถึงระดับบงกชทอง แต่ก็ระงับรสชาติความเจ็บปวดทรมานที่หวนกระโจนเข้าใส่ไม่ไหว ไม่นานเขาก็จมอยู่ในสภาวะเลอะเลือนอีกครั้ง แม้แต่ความดีใจยามวรยุทธ์บรรลุถึงบงกชทอง เขาก็ยังไม่ทันได้ซึมซับกับมันเลย


แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว จนกระทั่งความรู้สึกตัวค่อยๆ กลับมาชัดเจนอีกครั้ง รสชาติความเจ็บปวดทรมานนั้นก็หดหายไปราวกับกระแสน้ำเช่นกัน ร่างกายที่นอนอยู่บนพื้นเริ่มหายใจหอบเป็นระยะ


อาการของร่างกายค่อยๆ ทุเลาลง ตอนที่โซเซลุกขึ้นมา เขาพบว่าตัวเองราวกับถูกช้อนขึ้นมาจากน้ำ ทั้งตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ บนไม้กระดานมีน้ำเปียกโชกกองใหญ่


ข้ายังไม่ตายโว้ย! ขณะมองดูสภาพยับเยินของตัวเอง เหมียวอี้ก็ฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวด เหมือนจะหาเหตุผลที่ตัวเองไม่ตายได้แล้ว เพราะตัวเองอยู่ที่ร้านขายของชำซื่อตรง ถ้าตายอยู่ที่นี่ ปีศาจโลหิตก็ไม่ได้ของที่ตัวเองต้องการอยู่ดี


เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างค่อนข้างหมดแรง ใช้ฝ่ามือสองข้างยันตรงขอบหน้าต่าง มองไปด้านนอกด้วยสีหน้าซีดเผือด เป็นอย่างที่คาดไว้ ปีศาจโลหิตยังยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของถนน


มารดาเจ้าเถอะ! ไม่น่าเชื่อว่าปีศาจตนนี้จะช่วยให้วรยุทธ์ของตนบรรลุถึงระดับบงกชทอง เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณหรือควรจะเคียดแค้นปีศาจตนนั้น ถ้าไม่มีปีศาจตนนั้นช่วย ตนก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อไรตัวเองจะบรรลุถึงบงกชทอง การบรรลุระดับใหญ่ๆ แบบนี้เป็นเรื่องที่พูดยากจริงๆ  เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปตามแตะละบุคคล นักพรตบางคนถึงขนาดถูกพันธนาการไม่ให้ก้าวหน้าไปทั้งชีวิต ดังนั้นปีศาจตนนี้จึงช่วยเหมียวอี้ประหยัดเงินไปตั้งไม่รู้เท่าไร


เขาถึงขนาดพิจารณาว่าจำเป็นต้องฆ่าปีศาจตนนี้ทิ้งรึเปล่า ถ้าในอนาคตตัวเองมีโอกาสพุ่งสู่ระดับอนันตภาพ จะได้ให้ปีศาจตนนี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยอีกที


แน่นอนว่าปีศาจโลหิตไม่รู้ ถ้าหากรู้ละก็ เกรงว่าจะต้องโมโหจนกระอักเลือดแน่ นางยืนยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน พลางถ่ายทอดเสียงถาม “รสชาติเป็นอย่างไรล่ะ?”


มีทั้งได้มีทั้งเสีย เหมียวอี้กลับสงบใจเย็น เพียงแต่คิดไม่ตกเท่านั้น ถึงถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าเล่นไม่ซื่ออะไรกับข้า?”


ปีศาจโลหิตแสยะยิ้ม “เจ้าโดนพิษ ‘วิญญาณโลหิต’ ของข้า พิษจะกำเริบทุกๆ สี่ชั่วยาม กำเริบวันละสามครั้ง แต่ละครั้งจะออกรสออกชาติขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครู่นี้เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น ตอนหลังเจ้าได้ดื่มด่ำเต็มที่แน่”


โดนวางยาพิษ? เหมียวอี้ยังคงไม่เข้าใจ ถามว่า “เจ้าลงมือวางยาพิษข้าตั้งแต่เมื่อไร?”


“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ก็ส่งของมา” ปีศาจโลหิตตอบ


ถ้าโดนวางยาพิษแล้วจริงๆ เหมียวอี้ก็ไม่กลัวเลย อย่างอื่นเขาอาจจะกังวล แต่เขาไม่กังวลเรื่องโดนพิษสักเท่าไร จึงยิ้มอย่างดุร้ายพร้อมเตือนว่า “นางตัวแสบ อย่าเผลอมาตกอยู่ในมือข้าก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาคืนเป็นร้อยเท่า!”


“ปากแข็งเหรอ? งั้นข้าก็จะคอยดูว่าเจ้าจะปากแข็งไปถึงเมื่อไร! ข้าจะรอเจ้าที่ร้านค้าสมาคมวีรชน ตอนที่มาอย่าลืมนำของของข้ามาด้วย!” เมื่อพูดเหน็บแนมเสร็จ ปีศาจโลหิตก็หันตัวเดินจากไปอย่างสบายใจ เห็นได้ชัดว่ามีความมั่นใจมาก แน่ใจว่าเหมียวอี้จะต้องมาขอร้องแน่นอน


เหมียวอี้กำหมัดแน่นสองข้าง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไปตกหลุมพรางอีกฝ่ายได้อย่างไร หลังจากครุ่นคิดแล้ว ก็พบว่ามีแค่ก่อนหน้านี้ที่ได้ติดต่อกับอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้สัมผัสโดยตรง หรือว่าจะเพราะเป็นลมหายใจกลิ่นคาวเลือดที่อีกฝ่ายพ่นใส่?


เขาได้แต่มองตามเงาร่างของปีศาจโลหิตหายไปที่หัวถนน จนใจที่ทำอะไรอีกฝ่ายที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้ เขาอยากจะวิ่งไปขอให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงช่วยเหลือ แล้วจับผู้หญิงคนนี้มาฆ่าให้ตายเสียเลย แต่เขาก็เปลี่ยนความคิดทันที เพราะเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ยอมช่วยเรื่องนี้แน่ อีกฝ่ายเคยโดนหวงฝู่จวินโหรวตำหนิไปรอบหนึ่งแล้ว ถ้าเทียบตนกับหวงฝู่จวินโหรว เซี่ยโห้วหลงเฉิงต้องเชื่อฟังคำพูดของหวงฝู่จวินโหรวมากกว่าแน่นอน


วางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว เขาไม่อยากลิ้มรส ‘วิญญาณโลหิต’ อีกครั้ง ตอนนี้เรื่องถอนพิษต้องมาเป็นอันดับแรก


ร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง พอหันตัวมาก็ไถลตัวตามช่องหน้าต่างนั่งลงบนพื้น พอนั่งขัดสมาธิแล้ว ก็รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูอาการในร่างกาย ทว่าตรวจดูซ้ำแล้วซ้ำอีก ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าไม่พบความผิดปกติใดๆ เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าพิษนั่นซ่อนอยู่ตรงไหน


หรือว่าต้องรอให้พิษกำเริบอีกครั้ง ถึงจะพบว่ามันซ่อนตรงไหน? แต่ถ้ารอให้พิษกำเริบแล้วค่อยแก้ปัญหา ตอนนั้นเขาก็ไม่มีทางควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองได้เลย ตัวเองจะได้ร่ายอิทธิฤทธิ์ทรมานตัวเองอีกเหมือนเดิม แม้แต่เคล็ดวิชาอัคนีดาราในร่างกายก็ไม่สามารถถอนพิษได้ ค่อนข้างยุ่งยากจริงๆ


หลังจากทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไปรอบหนึ่ง เหมียวอี้ก็ไม่สนใจสูตรบ้าบออะไรแล้ว ร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดารากลั่นเปลวเพลิงไร้รูปร่างออกมาชำระล้างทั้งร่างกาย ไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่จุดเดียว ไม่สนใจว่าจะได้ผลหรือไม่ พยายามฆ่าพิษให้ตัวเองอย่างถึงที่สุดรอบหนึ่ง


สรุปก็คือเขาไม่เชื่อว่าถ้าตัวเองมอบของคืนให้ปีศาจโลหิต แล้วอีกฝ่ายจะปล่อยเขาไป ทั้งสองฝ่ายผูกความแค้นต่อกันไว้ใหญ่หลวง ถูกลิขิตให้ต้องตายกันไปข้าง ถ้าไม่รู้แม้กระทั่งโดนพิษอะไรหรือโดนพิษตรงไหน ต่อให้ประนีประนอมกัน เจ้าก็ไม่รู้อยู่ดีว่าอีกฝ่ายได้แก้พิษให้เจ้าแล้วหรือเปล่า ชีวิตโดนบีบอยู่ในมือคนอื่นแล้ว จะไปเจรจากันอย่างยุติธรรมได้อย่างไรกัน


โชคดีที่กำจัดพิษให้ตัวเองไปแล้ว เขารู้จักร่างกายของตัวเองดีมาก ไม่ใช่เรื่องที่เปลืองแรงสักเท่าไร ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงจะยุ่งยาก อาจเผลอทำให้บาดเจ็บได้


บนชั้นลอยของร้านค้าสมาคมวีรชน หวงฝู่จวินโหรวกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ถือปิ่นผักผมรูปแมลงปอสีแดงไว้ในมืออย่างเหม่อลอย จนกระทั่งข้างล่างมีเสียงเคาะประตู ถึงได้ตอบว่า “เข้ามาได้” พร้อมเก็บปิ่นปักผมไว้ในกล่องเครื่องประดับ


ปีศาจโลหิตอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด ขึ้นมาเรียกพร้อมยิ้มอย่างสนิทสนม “เถ้าแก่น้อย!”


หวงฝู่จวินโหรวเอียงหน้ามองนาง แล้วถามว่า “ทำสำเร็จแล้วเหรอ?”


ปีศาจโลหิตเริ่มหัวเราะคิกคัก “แน่นอนอยู่แล้ว ข้ารู้ดีที่สุดว่านั่นคือสภาพตอนพิษวิญญาณโลหิตกำเริบ หลอกสายตาข้าไม่ได้หรอก ถ้าเถ้าแก่น้อยได้ไปดูพร้อมกับข้าก็จะรู้เอง ท่าทางเวลาไอ้ชั่วนั่นทรมานจนอยากตาย รับรองว่าเถ้าแก่น้อยเห็นแล้วจะสะใจมากแน่นอน”


ท่าทางทรมานจนอยากตาย? หวงฝู่จวินโหรวเงียบไปพักหนึ่ง ไม่รู้ว่าท่าทางเวลาหนิวโหย่วเต๋อทรมานจนอยากตายเป็นแบบไหน ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าจะต้องน่าเวทนามาก เจ็บปวดมากแน่นอน คาดว่าคนคนนั้นคงอยากฆ่านางให้ตายแล้ว นางถามอย่างสงบนิ่งว่า “เขาตอบตกลงจะคืนของให้หรือเปล่า?”


ปีศาจโลหิตพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ตอนนี้ปล่อยให้เขาปากแข็งไปก่อนเถอะ หนึ่งวันพิษกำเริบสามครั้ง ข้าจะคอยดูว่าเขาจะทนได้สักกี่ครั้ง! เถ้าแก่น้อยไม่ต้องห่วง หลังจากพิษวิญญาณโลหิตกำเริบ ก็ไม่มีใครทนได้เกินสามวันหรอก รับรองว่าเขาจะทรมานจนทนไม่ไหว แล้วนำของกลับมาคืนแต่โดยดี!”


หวงฝู่จวินโหรวเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในอารมณ์ไหน ถามซักไซ้ว่า “เขาจะหาวิธีการถอนพิษเจอรึเปล่า?”


ปีศาจโลหิตยังนึกไปว่านางกลัวเหมียวอี้จะหาทางถอนพิษได้ “เถ้าแก่น้อยไม่ต้องห่วง พิษของข้าไม่ใช่ยาพิษทั่วไป ไม่ใช่สิ่งที่ยาถอนพิษจะรับมือไหว และไม่ใช่ว่าหมอเทวดาทุกคนจะถอนพิษได้ คนที่สามารถถอนพิษ ในใต้หล้านี้มีน้อยมากจนนับนิ้วได้ ถ้าข้าไม่ได้ชี้แนะ ในช่วงแรกเขาจะไปหาคนที่สามารถให้ให้ยาตรงกับโรคเจอได้อย่างไร นอกจากยอมจำนน เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หรือไม่เขาก็ต้องตัดหัวตัวเองลงมา!”


ณ ร้านขายของชำซื่อตรง เหมียวอี้ไม่ได้ตัดหัวตัวเองลงมา เพียงแต่พบว่าหัวตัวเองมีปัญหานิดหน่อย พอเปลวเพลิงไร้รูปร่างกวาดชำระล้างไปจนถึงส่วนหัว เขาถึงได้พบความผิดปกติ หมอกสีดำกลุ่มหนึ่งลอยวนขึ้นมาบนยอดศีรษะ


ที่แท้พิษก็ซ่อนอยู่ที่ศีรษะตัวเอง เหมียวอี้ไม่กล้าประมาทเลินเล่อ จึงแม้จะรู้จักร่างกายตัวเองดีมาก แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรประมาทกับศีรษะตัวเอง ถ้ามีอะไรผิดพลาดตัวเองอาจจะกลายเป็นไอ้โง่ได้


รอจนกระทั่งหมอกสีดำค่อยๆ หายไปจนหมดสิ้น เหมียวอี้ก็ลืมตาขึ้นช้าๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าถอนพิษหมดเกลี้ยงแล้วหรือยัง เขาใส่ยาแก่นเซียนเม็ดหนึ่งเข้าไปในปาก แล้วเริ่มฟื้นฟูพลังกายและพลังอิทธิฤทธิ์ที่เสียไป


รอจนกระทั่งฟื้นฟูกำลังวังชากลับมาอีกครั้ง เหมียวอี้ก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วยืนขึ้น เขากำหมัดสองข้าง เสื้อผ้าปลิวสะบัดเองโดยไร้ลม พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดอยู่ในร่างกายราวกับแม่น้ำที่ไหลทะลักอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทำให้คนรู้สึกมั่นใจราวกับสามารถทะยานขึ้นสวรรค์ไปสอยดวงจันทร์ได้ ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นทำให้เขาอยากจะวิ่งไปใส่เดี่ยวกับปีศาจโลหิต ความโชคดีในความโชคร้ายที่เหนือความคาดหมาย เรียกได้ว่าทำให้เขาดีอกดีใจไม่หยุด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)