ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 933-935
ตอนที่ 933 พลังของลูกกลอนกระบี่
จินเทียนชื่อที่อยู่ไม่ไกลร่างกายโงนเงนแล้วเซร่วงหล่นลงไปเบื้องล่าง
“ปึก” เขาหล่นลงไปในกองเศษหินด้านล่างจนฝุ่นสีเทาฟุ้งกระจาย
หลิ่วหมิงตกใจรีบปล่อยจิตสัมผัสกวาดผ่านจินเทียนชื่อบนพื้นทันที เมื่อพบว่าแม้ปราณของเขาจะแผ่วเบาอย่างยิ่งและเลือดลมก็ปั่นป่วนอยู่บ้าง แต่น่าจะไม่ต้องกังวลถึงชีวิต เขาถึงโล่งอก
ตอนนี้เองจู่ๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป ร่างกายเลือนรางวูบหนึ่งกลายเป็นเงาสี่ร่างที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการ พุ่งเร็วรี่ไปคนละทิศพร้อมกันดุจบุปผาบาน
ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมดัง “ฟึบ” “ฟึบ” พร้อมกับที่อากาศรอบด้านไหวกระเพื่อม ลูกธนูสีเขียวหม่นมากมายถี่ยิบปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าแล้วโถมเร็วรี่มามืดฟ้ามัวดิน
เงาสามร่างที่หลิ่วหมิงสร้างขึ้นถูกลูกธนูสีเขียวหม่นพุ่งทะลุในพริบตาแล้วพังทลายกลายเป็นปราณสีดำอีกครั้ง
มีเงาเพียงร่างเดียวที่คำรามแผ่วเบาแล้วสองมือกลายเป็นเงาหมัดนับไม่ถ้วนกระหน่ำต่อยโจมตีลูกธนูส่วนใหญ่ที่อยู่รอบข้างจนสลายไป ทว่าแผ่นหลังกลับถูกลูกธนูที่หลุดรอดมาสองดอกโจมตีเข้าอย่างแรงดังปึกสองครั้งทำให้เขาหน้ามืดจนเกือบร่วงหล่นจากท้องฟ้า
ความเจ็บปวดแล่นจากแผ่นหลังเข้าสู่หัวใจ หลิ่วหมิงในเวลานี้ชุดเกราะสีเงินปริแตกปะปนอยู่กับเลือดเนื้อเละเทะ เกล็ดสีแดงฉานหลายเกล็ดแตกเป็นชิ้นๆ
มนุษย์ปีศาจที่อยู่ไกลออกไปเห็นการจู่โจมกะทันหันครั้งนี้ไม่สำเร็จ ใบหน้าก็เคร่งขรึม
ลูกธนูสีเขียวหม่นที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันเป็นสิ่งที่เขาแอบสร้างจากการรวมไอปีศาจของแขนขาที่ระเบิดตัวเองก่อนหน้านี้
หากเมื่อครู่หลิ่วหมิงไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาเกราะอสูรกับเรียกเกล็ดมังกรสีแดงออกมาปกป้องแผ่นหลังไว้ก่อนก้าวหนึ่ง เขาก็คงถูกการลอบจู่โจมกะทันหันครั้งนี้ทะลวงผ่านจุดสำคัญไปจริงๆ
“เหอะ! ปฏิกิริยาว่องไวยิ่งนัก! แต่ตอนนี้ใช้วงแหวนสะกดมารไปแล้ว สายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าก็คงไม่ได้ปล่อยออกมาง่ายๆ ข้าจะดูสิว่าเจ้ายังจะดิ้นรนได้จนถึงเมื่อไร!”
มนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์พ่นลมหายใจออกมา ร่างกายฉับพลันขยับวูบกลายเป็นพายุมารสีเขียวหม่นสายหนึ่งพุ่งโถมออกมา
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์ก็แค่นเสียงหยัน เขาไม่พูดพร่ำยกมือขึ้นข้างหนึ่ง มังกรหมอกสีดำขนาดยี่สิบกว่าจั้งสามตัวก่อตัวออกมาในพริบตาแล้วพุ่งเข้าใส่ฝั่งตรงข้ามอย่างดุดัน
“รนหาที่ตาย!”
เสียงคำรามดังออกมาจากด้านในพายุมารสีเขียวหม่น พายุมารหมุนวนอย่างบ้าคลั่งกลายเป็นพายุหมุนขนาดมหึมาในพริบตา แล้วหอบมังกรหมอกสามตัวเข้าไปด้านในปั่นจนสลายเป็นชิ้นๆ ในทันใด
เงาคนร่างหนึ่งพุ่งออกมา ร่างต้นของมนุษย์ปีศาจนั่นเองที่พุ่งออกมาจากกลางพายุมาร เขาเลือนหายไปวูบหนึ่งแล้วปรากฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิงประดุจเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา แขนข้างหนึ่งสะบัด ทันใดนั้นแส้ยาวที่มีเพลิงสีม่วงวนล้อมเส้นหนึ่งก็หวดเข้าใส่หลิ่วหมิงดั่งสายฟ้าแลบ
ระยะห่างใกล้ขนาดนี้หลิ่วหมิงหลบไม่พ้นอย่างสิ้นเชิง เพลิงสีม่วงที่ลุกโชติช่วงร่วงลงมาครู่เดียวก็กลืนร่างของหลิ่วหมิงหายไปด้านในจนหมด
มนุษย์ปีศาจเผยสีหน้ายินดี เขาขยับนิ้วมือครั้งหนึ่งแล้วพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งออกมาใส่เพลิงสีม่วงเต็มผืนฟ้า เพลิงมารทั่วฟ้าส่งเสียงดังพรึ่บแล้วลุกไหม้อย่างรุนแรงจนกลายเป็นทะเลเพลิงสีม่วง
ทว่าเมื่อมนุษย์ปีศาจทำท่าเคล็ดวิชาด้วยมือข้างหนึ่งสั่งให้เปลวเพลิงทั่วฟ้าม้วนตัวสลายไป ที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่า มีเพียงยันต์ที่ทอแสงสีทองหม่นหมองแผ่นหนึ่งลอยร่วงลงมาอย่างเชื่องช้า มันคือยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลือง!
หลิ่วหมิงคนก่อนหน้านี้กลับเป็นเพียงร่างจำแลงของยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลือง ส่วนหลิ่วหมิงตัวจริงเป็นจั๊กจั่นลอกคราบหนีไปก่อนที่เพลิงมารจะร่วงลงมาแล้ว
ในเวลานี้เองเงาเลือนรางของคนผู้มีปีกสองข้างอยู่บนแผ่นหลังก็โผล่ออกมาตรงที่ว่างห่างจากมนุษย์ปีศาจหลายสิบจั้ง สองตาของเขาจับจ้องมนุษย์ปีศาจอย่างเย็นชา พร้อมกันนั้นมือข้างหนึ่งก็ลูบข้างเอวอย่างแผ่วเบา ฝักกระบี่ฝักหนึ่งปรากฏออกมาในทันใด มันทอแสงสีเงินระยิบระยับอยู่เลือนราง
ร่างต้นของหลิ่วหมิงนั่นเอง!
เขาเป่าลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นนิ้วทั้งห้าที่จับอยู่บนฝักกระบี่ก็พลันดีดรัวจนมองแล้วตาลาย เคล็ดวิชาหลายสายพุ่งจมหายไปในฝักกระบี่ทันที
จากนั้นด้านในฝักกระบี่พลันมีเสียงใสกังวานดังออกมา กระบี่น้อยสีทองยาวสองถึงสามชุ่นเล่มหนึ่งพุ่งออกมา ทั่งร่างแผ่จิตกระบี่อันเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง
“สะบั้น”
หลิ่วหมิงเห็นกระบี่น้อยปรากฏออกมาก็ทำท่าเคล็ดวิชาด้วยมือข้างหนึ่งอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย แล้วอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งใส่กระบี่เล่มนี้ จากนั้นโพล่งออกมาคำหนึ่งว่า “สะบั้น”
กระบี่น้อยสีทองดูดซับโลหิตบริสุทธิ์จนหมดสิ้นแล้วเลือนหายไปกลายเป็นก้อนกลมสีทองเรืองรองขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือก้อนหนึ่ง จากนั้นหมุนติ้วหายไปกับอากาศ
“แย่แล้ว ลูกกลอนกระบี่!”
ตอนนี้มนุษย์ปีศาจเพิ่งสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เมื่อหันศีรษะมาเห็นภาพกระบี่น้อยสีทองกลายเป็นลูกกลมพอดี เขาก็ตกตะลึงหน้าถอดสีทันที ร่างกายพุ่งพรวดถอยหลังดั่งลูกธนูอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย พร้อมกันนั้นเสียงครืดคราดก็ดังออกมาจากปาก เพลิงมารสีเขียวหม่นปรากฏออกมาเหมือนจะใช้วิชาลับอันร้ายกาจสักวิชา แต่สายไปแล้ว
พริบตาเดียวหลังจากนั้นลำคอของเขาก็รู้สึกเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง ปราณกระบี่สีทองอ่อนที่เลือนรางคล้ายมีแต่ก็คล้ายไม่มีสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นใกล้เพียงเอื้อมมือแล้วแล่นผ่านไปดุจสายฟ้าแลบ ก่อนจะก่อตัวเป็นมุกกลมสีทองระยิบระยับทั้งเม็ดใหม่อีกครั้ง จากนั้นขยับไหววูบหายไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนไม่เคยปรากฏมาก่อน
ปากของมนุษย์ปีศาจเพิ่งพ่นเพลิงมารสีเขียวหม่นออกมาได้ครึ่งเดี๋ยว มันก็ส่งเสียงดังพรึ่บแล้วสลายหายไปเช่นนี้
“เจ้า…”
เขาอ้าปากอย่างไม่อยากเชื่อ แต่ฝืนพูดออกมาได้ประโยคเดียว ตรงลำคอก็มีรอยเลือดเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง จากนั้นร่างไร้ศีรษะก็แยกออกจากหัว สั่นวูบเดียวร่วงลงไปจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
แส้ยาวสีม่วงเส้นหนึ่งหล่นจากแขนขวาของร่างไร้ศีรษะร่างนั้น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจทั้งตกตะลึงทั้งยินดี
แม้เขาจะถูกบีบให้จนตรอกต้องใช้ไม้ต้ายสุดท้ายก้นหีบ เรียกลูกกลอนกระบี่ที่เพิ่งผนึกไว้บำรุงได้ไม่นานนักออกมาใช้วิชาลับพิเศษของเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง แต่ความน่าอัศจรรย์ยามมันเคลื่อนย้ายชั่วพริบตากับพลังอันมากมายของมันก็ยังเหนือกว่าที่เคยจินตนาการไว้มากยิ่งนัก
นับจากที่เขาอาศัยร่างจำแลงของยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองดึงความสนใจของคู่ต่อสู้เพื่อเปิดผนึกบนฝักกระบี่จนกระทั่งฟันศีรษะของมนุษย์ปีศาจลงมาในหนึ่งกระบี่ ทั้งหมดเพิ่งเป็นเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจเท่านั้น
แม้พลังของมนุษย์ปีศาจจะถูกกฎของเศษซากแห่งโลกบนกดไว้จนสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาได้ไม่ถึงสามส่วนของยามปกติ อีกทั้งเขายังได้รับบาดเจ็บหนักอยู่ แต่อย่างไรเขาก็เป็นมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์ตัวจริงเสียงจริง ก่อนหน้าที่เขาจะใช้ลูกกลอนกระบี่ เขาไม่คิดเลยจริงๆ ว่ามันจะประสบความสำเร็จง่ายดายเช่นนี้
ทว่าหากพูดกันอีกแง่หนึ่ง ต่อให้ลูกกลอนกระบี่มีพลังร้ายกาจเหนือฟ้าอย่างแท้จริง แต่ถ้าเผชิญหน้ากับมนุษย์ปีศาจคนนี้ยามที่มีพลังเต็มที่ มันก็คงไม่มีทางทำสำเร็จในกระบี่เดียวแน่นอน มิเช่นนั้นเขาคงไม่ต้องชักช้ามาจนถึงตอนนี้แล้วฝืนใช้วิธีสุดท้ายนี้
ในเวลานี้เองแสงสีทองก็ส่องสว่างขึ้นเบื้องหน้าเขา มุกกลมสีทองเม็ดนั้นที่เคลื่อนย้ายชั่วพริบตากลับมาเมื่อครู่นั่นเอง แสงรัศมีบนผิวของมันหม่นลง ราวกับว่าการโจมตีเมื่อครู่ทำให้จิตกระบี่น่าหวาดกลัวที่อยู่ในตัวมันรั่วออกไปมากกว่าครึ่ง
หลิ่วหมิงเพ่งความคิด ส่วนมือข้างหนึ่งลูบฝักกระบี่สีเงินอ่อนข้างเอวอีกครั้ง มุกกลมสีทองพุ่งเข้าไป
แสงสีเงินไหลเคลื่อนบนผิวฝักกระบี่สีเงินอ่อนแล้วหายไปไร้ร่องรอยอีกครั้ง
ในเวลานี้เองเสียงร้องประหลาดก็ดังขึ้นกลางท้องฟ้า หลิ่วหมิงมองตามเสียงไปจากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมื่อครู่เขามัวแต่ตกอยู่ในอารมณ์ตื่นตะลึงและยินดีจากการใช้ลูกกลอนกระบี่ครั้งแรก จึงไม่ได้สนใจสักนิดว่าศีรษะของมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์ผู้นั้นไม่ได้ร่วงหล่นลงมาตามร่างกาย แต่ยังคงตั้งลอยอยู่กลางอากาศ ตรงลำคอเลือดสีเขียวเข้มจับตัวแข็ง ด้านนอกมีไอปีศาจสีเขียวหม่นชั้นหนึ่งหุ้มอยู่
เวลานี้เขากำลังอ้าปากพ่นไอปีศาจสีเขียวหม่นสายหนึ่งไปหาแส้ยาวสีม่วงที่หล่นร่วงอย่างรวดเร็วลงไปเบื้องล่าง
“อย่าฝัน!”
หลิ่วหมิงที่เคยสัมผัสพลังของแส้ยาวสีม่วงมาแล้วย่อมไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายทำสำเร็จ เขาตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวในทันใด ไอหมอกสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากหมุนติ้วกลางอากาศก็ก่อตัวเป็นศีรษะที่มีเส้นผมยาวสีเขียวทั้งศีรษะ เฟยเอ๋อร์นั่นเอง
ทันทีที่เฟยเอ๋อร์ปรากฏกายก็พุ่งตรงไปหาแส้ยาวสีม่วงที่ร่วงลงไปทันที
ส่วนปีกสองข้างบนแผ่นหลังของหลิ่วหมิงพัดกระพือกลายเป็นรุ้งยาวสีเงินเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่เข้าไปหาศีรษะของมนุษย์ปีศาจ
เฟยเอ๋อร์โฉบหายวับไปไม่กี่ครั้งก็อยู่ห่างจากแส้ยาวสีม่วงร้อยกว่าจั้ง ไวกว่าไอปีศาจสีเขียวหม่นเล็กน้อย เส้นผมสีเขียวมากมายพุ่งเร็วรี่ออกไปหุ้มแส้ยาวสีม่วงไว้ก่อนก้าวหนึ่ง
ศีรษะมนุษย์ปีศาจเห็นสถานการณ์ก็หน้าเขียว สีหน้าลังเลปรากฏเพียงแวบเดียวก่อนจะจางหายไป เขากัดฟันบ่ายหน้าแหวกท้องฟ้าหนีไปในทันทีพร้อมกับที่ปากท่องเคล็ดวิชาดังงึมงำออกมา
เส้นผมสีเขียวของหัวบินพันแส้ยาวสีม่วงไว้และกำลังจะลากกลับมา แต่ทันใดนั้นไอปีศาจสีเขียวหม่นที่ศีรษะมนุษย์ปีศาจพ่นออกมาก็หมุนคว้างจมลงในแส้ยาว
ฉับพลันผิวของแส้ยาวก็มีอักขระสีม่วงตัวแล้วตัวเล่าปรากฏออกมา แสงจิตวิญญาณส่องสว่างวูบวาบ แผ่กลิ่นอายน่าหวาดกลัวประหลาดสายหนึ่งออกมา
“เฟยเอ๋อร์ ไม่ต้องสนใจสมบัติชิ้นนี้แล้ว รีบหลบเร็ว!”
หลังจากหลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสไปด้านหลัง เขาก็สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน เขาหยุดลำแสงแล้วสั่งเฟยเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นแขนเสื้อก็สะบัดเรียกมุกพลังวารีออกมาถ่ายเทพลังเวทเข้าไปด้านในอย่างบ้าคลั่ง เกราะวารีสีดำชั้นหนึ่งลอยออกมาจากร่างในทันใด
เฟยเอ๋อร์เข้าใจในทันที เส้นผมสีเขียวเต็มศีรษะโยนแส้ยาวออกไปไกล แล้วมันก็หมุนตัวกลายเป็นแสงสีเขียวสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าหนี
เสียงเปรี้ยงดังสนั่นขึ้นครั้งหนึ่ง
หลังจากแส้ยาวสีม่วงถูกโยนออกไปเพียงชั่วครู่ มันก็กะพริบวูบวาบไม่กี่ครั้งก่อนจะระเบิดตัวเอง กลายเป็นเมฆรูปเห็ดสีม่วงสูงหลายร้อยจั้งก้อนหนึ่งลอยขึ้นมา
ของสิ่งนี้เป็นถึงอาวุธเวทที่แท้จริงของมนุษย์ปีศาจ เมื่อระเบิดตัวเอง พลังแข็งแกร่งเพียงไรคิดดูก็รู้ ปราณสีม่วงซัดถาโถมไปทั่วทุกสารทิศ พลังของมันแผ่ไปทั่วทั้งหุบเขา ยอดเขาหลายลูกที่ยังเหลืออยู่สลายกลายเป็นจุณในพริบตา ฝุ่นทรายบนพื้นดินพัดขึ้นมาทั่วท้องฟ้า
หลิ่วหมิงรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังจิตวิญญาณรุนแรงด้านนอกมุกพลังวารี ม่านวารีทั้งผืนสั่นไหวอย่างรุนแรง ผิวของเกราะวารีปรากฏรอยร้าวหลายเส้น
ในเวลาเดียวกันนี้แสงดาวสายหนึ่งก็พุ่งจากพื้นดินบริเวณใกล้ๆ ขึ้นมาบนท้องฟ้า มันพุ่งวูบผ่านไปแล้วอุ้มเฟยเอ๋อร์จากไปด้วย หลังจากส่องสว่างวูบหนึ่งเขาก็ปรากฏตัวห่างไปหลายร้อยจั้งโดยที่มีกระแสปราณสีม่วงไล่โจมตีด้านหลัง เขาโซเซครั้งหนึ่งทำท่าจะล้มลงไปกับพื้น จินเทียนชื่อนั่นเอง!
“รีบตามไป!”
จินเทียนชื่อตั้งหลักได้อย่างหวุดหวิดอยู่ท่ามกลางแสงดาว ริมฝีปากขยับเล็กน้อยส่งกระแสจิตประโยคหนึ่งแล้วล้วงยันต์สีทองอ่อนแผ่นหนึ่งมาฉีกเป็นชิ้นๆ อย่างเร็วไว เกราะคุ้มกันสีทองชั้นหนึ่งล้อมเขากับเฟยเอ๋อร์ไว้ด้านใน
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาไม่สนใจคลื่นปราณที่พุ่งโจมตีมาด้านหน้า แต่เก็บมุกพลังวารีแล้วกระพือปีกเนื้อสีเงินบนแผ่นหลังทันที เสียงสายลมพัดรุนแรงดังหวีดหวิว แสงสีเงินกะพริบวูบเดียวก็ไล่ตามไปยังทิศทางที่ศีรษะมนุษย์ปีศาจหนี
ทว่าชักช้าเพียงครู่เดียว ศีรษะของมนุษย์ปีศาจก็อยู่ห่างไปหลายลี้แล้ว
เวลานี้ศีรษะของมนุษย์ปีศาจเองก็สังเกตเห็นแสงสีเงินที่กะพริบวูบวาบทางด้านหลังเช่นกัน เขาพลันกัดฟัน อ้าปากถ่มโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งสร้างหมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งออกมาทันที
หมอกโลหิตกับไอปีศาจสีเขียวหม่นเกี่ยวกระหวัดพันกัน ด้านในมีอักขระมารประหลาดโลดเต้นขึ้นลงไม่หยุด ศีรษะทั้งหัวเลือนรางวูบหนึ่งก็กลายเป็นแสงสีเลือดสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่จากไป มันสั่นวูบเดียวก็กระโจนไปด้านหน้าไกลหลายร้อยจั้งอย่างน่าเหลือเชื่อ และหลังจากสั่นอีกครั้ง มันก็กลายเป็นจุดสีดำจุดหนึ่งแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“วิชาโลหิตหลบหลีก!”
รูม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็กลงแล้วเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
ตอนที่ 934 รวมตัว
หากหลิ่วหมิงใช้วิชาขี่กระบี่ได้ เมื่อรวมกับปีกเนื้อสีเงินของเคล็ดวิชาเกราะอสูร บางทีอาจเป็นไปได้ที่จะไล่ตามทัน ทว่าตอนนี้หลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือดอย่างต่อเนื่อง ปีกทั้งสองข้างบนแผ่นหลังมีรอยแผลอยู่ทั่ว พลังของลูกกลอนกระบี่ก็รั่วออกไปจนเกลี้ยง ไม่บำรุงในฝักกระบี่ใหม่อีกครั้งก็ไม่อาจใช้ได้อีก
ยิ่งรวมกับความเร็วอันน่าตะลึงยามนี้ของอีกฝ่ายก็เห็นชัดว่าไล่ตามไม่ทันแล้ว
หลิ่วหมิงถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วหมุนตัวเหาะเชื่องช้าไปยังจุดที่จินเทียนชื่ออยู่ เมื่อไปถึงตรงหน้าเขาจึงเอ่ยออกมาอย่างจนปัญญา
“ศิษย์พี่จิน ข้าปล่อยให้เขาหนีไปได้ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“หนีไปแล้วก็ปล่อยให้หนีไปเถอะ! โชคดีที่เจ้าหลอมลูกกลอนกระบี่สำเร็จ มิเช่นนั้นวันนี้คงอันตรายจริงๆ ตอนนี้มนุษย์ปีศาจคนนี้บาดเจ็บหนัก สมบัติเวทในมือก็ระเบิดตัวเองไปแล้ว คุกคามอะไรพวกเราไม่ได้แล้ว ข้าแค่ลมปราณเสียหายไปบ้าง ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เมื่อครู่เสียงดังมากเกินไป ที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่นาน พวกเราไปจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากันเถอะ” จินเทียนชื่อมองหลิ่วหมิงนิ่งนานครั้งหนึ่งแล้วส่ายศีรษะเอ่ยบอก เขาตบยันต์หลายแผ่นลงบนร่างและกลืนโอสถหลายเม็ดลงไปทันที สีหน้าจึงดีขึ้นบ้าง
“ก็ดี” หลิ่วหมิงย่อมไม่เห็นต่าง!
หัวบินที่อยู่ด้านข้างถูกแรงระเบิดของแส้ยาวเล่นงาน แต่ได้จินเทียนชื่อช่วยไว้ทันเวลา นอกจากเส้นผมสีเขียวทั้งศีรษะซึ่งไหม้ไปไม่น้อยก็ไม่เป็นอันใดมาก
หลิ่วหมิงตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณเก็บอสูรเลี้ยงตัวนี้เข้าไปทันที
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เก็บของจำนวนหนึ่งที่หลงเหลืออยู่บริเวณนั้น จากนั้นทำท่าเคล็ดวิชา เมฆสีดำก้อนหนึ่งยกร่างทั้งสองคนกลายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป
ทั้งสองคนบินออกไปได้ไม่นานนัก ท้องฟ้าฝั่งตรงข้ามก็พลันมีลำแสงสีทองพุ่งเร็วรี่มาถึง
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง เมฆดำใต้เท้าหยุดชะงักทันทีพร้อมกับที่หมุนตัวกลับไปมอง
“ดูท่าศิษย์น้องฉิวจะมาแล้ว” จินเทียนชื่อที่อยู่ด้านข้างกวาดสายตามองแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า
แสงสีทองเส้นนั้นเร็วอย่างที่สุด มันกะพริบวูบวาบเพียงไม่กี่หนก็มาถึงตรงหน้า หลังจากแสงดับลงก็เผยให้เห็นเงาคนด้านใน ฉิวหลงจื่อกับหลงเหยียนเฟยนั่นเอง
“ศิษย์พี่จิน ศิษย์น้องหลิ่วเจ้าก็อยู่ด้วย มนุษย์ปีศาจคนนั้นเล่า? ศิษย์พี่จิน ท่าน…ท่านบาดเจ็บหรือ?” หลังจากฉิวหลงจื่อเห็นจินเทียนชื่อกับหลิ่วหมิง แรกสุดสีหน้าโล่งอก แต่เมื่อมองจินเทียนชื่ออย่างละเอียด สีหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้งแล้วเอ่ยขึ้นมา
“มนุษย์ปีศาจคนนั้นร่างกายบาดเจ็บหนักหนีไปไกลแล้ว ไม่จำเป็นต้องไล่ตาม ข้าบาดเจ็บเล็กน้อย แต่กินโอสถไปบ้างแล้ว ขอแค่พักผ่อนสักหลายวันก็คงหายดีไม่เป็นอะไรมาก ใช่แล้ว ศิษย์คนอื่นล่ะ?” จินเทียนชื่อโบกมือเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยถามอีกครั้ง
“ศิษย์พี่โจมตีมนุษย์ปีศาจพวกนั้นจนถอยไปได้ ไม่เสียทีที่เป็น… ฮ่าๆ หลายวันก่อนหลังจากพวกเราแยกกัน ข้าพาพวกศิษย์น้องหลัวไปยังประตูทางเข้าซากโบราณในหุบเขาแห่งหนึ่ง พวกเราพบผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจกลุ่มหนึ่งเข้า พลังของพวกเขาแข็งแกร่งอย่างที่สุด ประมือกันได้ไม่กี่กระบวนก็มีศิษย์น้องคนหนึ่งไม่ระวังตัวจนจบชีวิตแล้วยังมีอีกหลายคนบาดเจ็บ ดังนั้นข้าจึงพาศิษย์น้องที่เหลือหาทางหนีออกมา แต่ระหว่างทางก็เห็นศิษย์น้องหลงถูกศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับสองคนไล่สังหารอยู่จึงลงมือสังหารเจ้าสองคนนั่น ได้ยินน้องหลงบอกว่าท่านถูกมนุษย์ปีศาจระดับแก่นแท้หลายคนล้อมอยู่ที่นี่ ข้าจึงให้ศิษย์น้องหลัวพาศิษย์คนอื่นไปหาสถานที่รักษาอาการบาดเจ็บก่อน ส่วนข้ากับศิษย์น้องหลงเร่งเดินทางมา” ฉิวหลงจื่อได้ยินก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างยินดีเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงอธิบายหลายประโยคด้วยสีหน้าที่หม่นหมองลงเล็กน้อย
“ประโยคแรกเจ้าพูดผิดแล้ว ครั้งนี้ที่ข้ารอดปลอดภัยมาได้ต้องขอบคุณศิษย์น้องหลิ่ว มนุษย์ปีศาจเหล่านั้นมาจากแผ่นดินว่านหมัว วิชามารที่มีไอปีศาจแท้เสริมส่งร้ายกาจอย่างแท้จริง พลังหลังจากผสานร่างแล้วทะลุไปถึงระดับดาราพยากรณ์ หากไม่ได้ลูกกลอนกระบี่ของศิษย์น้องหลิ่วแสดงพลังอันยอดเยี่ยม ครั้งนี้ข้าก็คงอันตรายจริงๆ” จินเทียนชื่อหัวเราะจืดเจื่อนตอบกลับ
“ระดับดาราพยากรณ์! ลูกกลอนกระบี่!”
ฉิวหลงจื่อได้ยินก็สูดลมหายใจดังเฮือก จากนั้นสองตาพลันเปล่งประกายมองหลิ่วหมิงจากบนจรดล่างไม่หยุดราวกับว่ากำลังมองสัตว์ประหลาดที่หายากอะไรอยู่
ใบหน้าของหลงเหยียนเฟยที่อยู่ด้านข้างก็เต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน ดวงเนตรงามจับจ้องหลิ่วหมิงไม่วางตา
แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ระดับแก่นแท้ การหลอมลูกกลอนกระบี่สำเร็จก็เป็นเรื่องที่คนไม่รู้เท่าไรเฝ้าฝันปรารถนา แต่หลิ่วหมิงกลับทำเรื่องนี้ได้ตั้งแต่อยู่ในระดับแก่นเสมือน จะไม่ให้ทั้งสองคนตกตะลึงและอิจฉาอย่างยิ่งได้อย่างไร
นอกจากนี้หลงเหยียนเฟยยังเผชิญหน้ากับมนุษย์ปีศาจเหล่านี้มากับตัวเอง นางรู้จักความน่ากลัวของพลังพวกเขาอย่างลึกซึ้ง!
“ศิษย์พี่จินชมเกินไปแล้ว! ลูกกลอนกระบี่ของข้าเพิ่งก่อตัวเป็นรูปร่าง ยังไม่สำเร็จก้าวสุดท้ายด้วยซ้ำ เพราะก่อนหน้านี้บุ่มบ่ามใช้ สิ่งที่ลงทุนบำรุงมาก่อนหน้าทั้งหมดจึงเสียเปล่า อีกทั้งหากไม่ได้ศิษย์พี่จินยื้อเขาไว้ ศิษย์น้องก็คงไม่มีโอกาสเรียกอาวุธชิ้นนี้ออกมาแน่นอน ใช่แล้ว แล้วผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่ศิษย์พี่ฉิวพูดถึงเล่า? คงไม่ใช่ผู้ฝึกฝนของหุบเขาปีศาจสวรรค์กระมัง?” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็หัวเราะเปลี่ยนประเด็นถามขึ้นมา
“น่าจะไม่ใช่ ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจเหล่านั้นเป็นพวกแปลกหน้า วิชาก็แปลก แตกต่างจากศิษย์หุบเขาปีศาจสวรรค์อย่างสิ้นเชิง เมื่อเห็นพวกเราหนีก็ไม่ได้ไล่ตาม เกรงว่าคงเป็นเผ่าปีศาจของแผ่นดินอื่น” ฉิวหลงจื่อส่ายศีรษะเอ่ยขึ้น
หลิ่วหมิงได้ยินคำนี้ สายตาก็ทอประกายเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไรอีก
“ดูท่าการเดินทางมายังเศษซากแห่งโลกบนครั้งนี้ จะอันตรายกว่าที่พวกเราคาดไว้อยู่บ้าง ที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่สำหรับพูดคุย พวกเรากลับไปที่พักก่อนค่อยพูดกัน” จินเทียนชื่อได้ยินก็สีหน้าเคร่งขรึม
ฉิวหลงจื่อกับหลงเหยียนเฟยย่อมไม่เห็นต่าง แต่หลิ่วหมิงกลับประสานมือกะทันหันเอ่ยขึ้นว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่จินพวกท่านไปกันก่อนเถิด สหายทั้งสองจากตระกูลโอวหยางยังอยู่ใกล้ๆ ข้าต้องไปตามหาพวกนางสองคนก่อนแล้วค่อยเดินทางไปรวมตัว”
“ศิษย์น้องหลิ่วหมายถึงสองพี่น้องนั่นของตระกูลโอวหยางสินะ เมื่อครู่ตอนที่ข้ากับศิษย์น้องหลงเดินทางมาบังเอิญพบที่ซ่อนตัวของพวกนางพอดีเลยบอกให้พวกนางกลับไปก่อนแล้ว” ฉิวหลงจื่อหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้นมา
“เช่นนี้หรือ ถ้าเช่นนั้นก็ดี” หลิ่วหมิงได้ยินก็มีสีหน้าโล่งอกแล้วพยักหน้าเอ่ยตอบ
สองชั่วยามให้หลัง คณะเดินทางก็มาถึงท้องฟ้าเหนือหุบเขาที่เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบแห่งหนึ่ง
ฉิวหลงจื่อลอยอยู่กลางอากาศ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วยิงแสงหลายเส้นออกมา พวกมันทยอยจมหายไปรอบด้านอย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นไอหมอกที่เดิมทีนิ่งสนิทก็ปั่นป่วน เผยทางเข้าขนาดหลายจั้งกว่าออกมาอย่างเร็วไว
ทั้งสี่คนเห็นเช่นนี้จึงเหาะเข้าไปทีละคน หลังจากทุกคนเข้าไปไอหมอกก็ประสานปิดเข้าหากันอีกครั้ง
หลังจากเหาะลงไปด้านล่าง หลิ่วหมิงจึงกวาดสายตามองรอบด้านแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
หุบเขาที่มีภูเขาสามด้านล้อมแห่งนี้มีปากหุบเขาติดแม่น้ำ เป็นที่พักชั่วคราวที่ดีอย่างที่สุดแห่งหนึ่ง
ในหุบเขาเงียบสงบยิ่งนัก รอบด้านมีหินประหลาดตั้งซ้อนกันเป็นกองอยู่ไม่น้อย กองใหญ่ที่สุดขนาดเท่าตึก ส่วนกองเล็กที่สุดก็สูงเท่าคน
ฉิวหลงจื่อก้าวยาวมาถึงหน้าศิลายักษ์ขนาดสามถึงสี่จั้งก้อนหนึ่ง เขายกมือข้างหนึ่งย้ายศิลายักษ์ไปด้านข้างเผยปากถ้ำสีดำสนิทแห่งหนึ่งออกมา
หลังจากทั้งสี่คนพุ่งเข้าไป ศิลายักษ์ก็ปิดลงอย่างเชื่องช้า ปิดปากถ้ำเอาไว้อีกครั้ง
“ศิษย์พี่จิน ศิษย์พี่ฉิว พวกท่านกลับมาแล้ว” พวกเขาเพิ่งเหยียบเข้าไปในถ้ำ ชายหนุ่มหน้าตาหมดจดคนหนึ่งก็ประสานหมัดเดินเข้ามา เขาคือหลัวเทียนเฉิงนั่นเอง
สายตาของเขากวาดผ่านบนร่างคนทั้งสี่อย่างเร็วไวแล้วหยุดอยู่บนร่างหลิ่วหมิงนานเล็กน้อย ในดวงตาเผยแววตาประหลาดจางๆ หลังจากนั้นสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มน้อยๆ
ครู่ต่อมาพวกเขาก็เดินผ่านทางเดินที่ไม่ยาวนักก่อนจะเข้าไปในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่ง
ถ้ำแห่งนี้กว้างขวางอย่างยิ่ง พื้นที่ไม่น้อยกว่าหนึ่งหมู่กว่า รอบด้านฝังหินจันทราสีขาวแวววาวไว้จำนวนหนึ่งส่องให้ถ้ำทั้งหมดทอแสงสีขาวเรืองรองสว่างไสวยิ่งนัก
ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์นั่งจับกลุ่มสองสามคนกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ในถ้ำ เดิมทีพวกเขาส่วนใหญ่นั่งขัดสมาธิอยู่ ทว่าเวลานี้เห็นพวกเขาเข้ามา แต่ละคนก็ลุกขึ้นยืนทันที
เห็นชัดว่าจำนวนคนที่นี่น้อยลงจากตอนที่เขาจากไปอยู่หลายคน นอกจากนี้สภาพของทุกคนก็ไม่ค่อยดีนัก บนร่างคนส่วนใหญ่บาดเจ็บหนักเบาไม่เท่ากัน อีกทั้งดูแล้วความฮึกเหิมก็ห่อเหี่ยวลงไปบ้าง ตรงมุมถ้ำถึงกับมีคนผู้หนึ่งนอนหมดสติอยู่ตรงนั้น
เวลานี้พี่น้องโอวหยางยืนอยู่ท่ามกลางหมู่คน เมื่อเห็นร่างของหลิ่วหมิง ดวงตาก็เผยแววตายินดีจางๆ ออกมาด้วย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าเล็กน้อยให้สตรีทั้งสองคน
ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนก็หนีจากการเข่นฆ่ามาเช่นกัน ตอนนี้หลังจากได้พักผ่อนพักหนึ่ง สีหน้าจึงดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อยแต่ก็ยังไม่มีสีเลือดมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอวหยางฉิน ตรงกลางหว่างคิ้วมีปราณสีดำเบาบางชั้นหนึ่งวนเวียนอยู่เลือนราง สีหน้าดูซีดอยู่เล็กน้อย
โอวหยางเชี่ยนเห็นหลิ่วหมิง ดวงตาก็ฉายแววเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อมองผู้คนที่อยู่ด้านข้างในที่สุดก็ไม่เอ่ยปากพูดอะไร
ศิษย์คนอื่นของนิกายยอดบริสุทธิ์เห็นจินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อผู้นำคณะเดินทางระดับแก่นแท้สองคนกลับมา คนส่วนใหญ่ก็เผยสีหน้ายินดีออกมา
คนเหล่านี้ในยามปกติล้วนเป็นผู้ที่โดดเด่นในหมู่ศิษย์รุ่นเดียวกันของแต่ละยอดเขาแห่งนิกายสายใน พวกเขาต่างได้รับความสำคัญจากผู้อาวุโสของแต่ละคนหรือผู้ควบคุมยอดเขา แม้พบศัตรูที่สู้ไม่ได้ แต่อาศัยความสามารถก็ปกป้องตนเองได้อย่างไร้กังวล ดังนั้นในตอนแรกพวกเขาจึงแย่งชิงกันแทบเป็นแทบตายเพื่อเข้ามายังที่แห่งนี้จนท้ายที่สุดก็แสดงความโดดเด่นเข้ามาอยู่ในรายชื่อการเดินทางได้
เดิมทีพวกเขาล้วนวิ่งเข้ามาเพื่อโชควาสนาครั้งใหญ่ที่ปรากฏขึ้นสามหมื่นปีครั้ง แต่ผลสุดท้ายเพิ่งเข้ามาในเศษซากโลกบนแห่งนี้เพียงระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาก็พบเหตุการณ์ไม่คาดฝันติดต่อกัน คนที่ตายก็ตายไป คนที่เจ็บก็เจ็บไป เทียบกับร่างกายที่บาดเจ็บแล้ว สภาพจิตใจพลิกกลับตาลปัตรมากยิ่งกว่า คนไม่น้อยไม่เหลือความเชื่อมั่นในตนเองอีกต่อไป
จินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อผู้นำคณะระดับแก่นแท้สองคนนี้ย่อมกลายเป็นหลักยึดในใจพวกเขาเวลานี้เมื่อพบว่าทั้งสองคนกลับมาพร้อมกัน กระทั่งหลิ่วหมิงที่เดิมทีมีโอกาสตายเก้ารอดหนึ่งก็ยังกลับมาด้วย พวกเขาย่อมทั้งตกใจทั้งยินดี
หลังจากจินเทียนชื่อเห็นสภาพของศิษย์ทั้งหลายในถ้ำ บนใบหน้าเขาก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ และเอ่ยปลอบประโลม จากนั้นเดินตามฉิวหลงจื่อไปยังมุมถ้ำ นั่งยองลงข้างกายศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่หมดสตินอนอยู่บนพื้นคนนั้น
หลิ่วหมิงฉุกคิดขึ้นมาจึงเดินตามมาด้วย หลายคนในหมู่ศิษย์เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ล้อมเข้ามา
ฉิวหลงจื่อพยุงศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่หมดสติคนนั้นขึ้นมา ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงมองไม่เห็นว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ตอนนี้เขาเพิ่งมองเห็นใบหน้าชัด ดวงตาอดไม่ได้ฉายแววประหลาดใจจางๆ
ที่แท้คนผู้นั้นก็คือเวินเจิง
ดวงตาสองข้างของเขาปิดสนิท เสื้อผ้าบนร่างมีคราบเลือดเป็นด่างดวง ลมปราณแผ่วเบาอยู่บ้าง แต่ลมหายใจยังนับว่าปกติ เห็นชัดว่าหลังจากร่างกายบาดเจ็บหนัก เขากินโอสถลับรักษาอาการบาดเจ็บไปทันเวลา
จินเทียนชื่อสำรวจสภาพของเวินเจินพักหนึ่งก็พลิกมือเรียกโอสถสีขาวเม็ดหนึ่งยัดเข้าไปในปากของเขา
จากบทสนทนาแผ่วเบาระหว่างฉิวหลงจื่อกับจินเทียนชื่อ หลิ่วหมิงจึงค่อยๆ เข้าใจความเป็นมาของเรื่องราว
ตอนที่ 935 จินเลี่ยหยาง
ระหว่างที่เวินเจิงติดตามฉิวหลงจื่อไปหาสมบัติก็ถูกผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจลึกลับทำร้ายจนบาดเจ็บหนัก เขากินโอสถสลายภัยระดับพสุธาที่นิกายมอบให้ถึงรักษาชีวิตเอาไว้ได้แต่ก็สลบมาจนถึงวันนี้
แววตาของหลิ่วหมิงสั่นไหว เขาเคยประมือกับเวินเจิงมาก่อน รู้จักพลังของเขาดี เขาเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจเหล่านั้นกลับพ่ายแพ้ยับเยินขนาดนี้เชียวหรือ?
นี่ทำให้สมองของเขาอดไม่ได้ปรากฏเงาร่างงามของหญิงสาวที่เคยอภิรมย์ชั่วข้ามคืนกับเขาผู้นั้น! หลิ่วหมิงเคยได้ยินชื่อแผ่นดินหมานฮวงตั้งแต่ตอนที่อยู่บนเกาะอวิ๋นชวน แผ่นดินแห่งนี้เป็นแผ่นดินที่เผ่าปีศาจเป็นประชากรหลัก ผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจบนนั้นจะเหนือกว่าแผ่นดินจงเทียนก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดแม้แต่น้อย
หรือผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่ฉิวหลงจื่อพบจะเหมือนเหยาจี เป็นผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจของแผ่นดินหมานฮวง
หลิ่วหมิงคิดสะระตะไปพักหนึ่งก็ยังไม่ได้คำตอบจึงโยนความสงสัยประการนี้ทิ้งไป
หลังจากจินเทียนชื่อตรวจสภาพบาดแผลของเวินเจิงเสร็จก็ช่วยรักษาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า
“ศิษย์น้องเวินไม่เป็นอะไรมากแล้ว ตอนนี้ทุกคนล้วนบาดเจ็บ พักอยู่ที่นี่ก่อนสักระยะค่อยคิดแผนต่อไปเถิด”
พวกฉิวหลงจื่อกับหลิ่วหมิงย่อมไม่เห็นต่าง
หลังจากนั้นจินเทียนชื่อก็ไปที่ปากถ้ำวางค่ายกลไว้หลายค่ายกล เมื่อแน่ใจว่าทุกสิ่งไม่มีปัญหาถึงหาที่นั่งขัดสมาธิแล้วล้วงแผนที่ของเศษซากแห่งโลกบนมาตั้งใจศึกษา
ศิษย์ทั้งหลายแยกย้ายกันอีกครั้ง พวกเขาต่างนั่งขัดสมาธิรักษาอาการบาดเจ็บตามที่ต่างๆ ในถ้ำ
เมื่อเห็นพี่น้องโอวหยางนั่งลงตรงริมผนังถ้ำแห่งหนึ่งแล้ว หลิ่วหมิงก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปหา
“ทั้งสองท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“ข้าไม่เป็นไร แค่เสียลมปราณไปบ้างเท่านั้น แต่ตอนต่อสู้กับหลงเซวียน ฉินเอ๋อร์ถูกไอปีศาจที่มีพลังกัดกร่อนจำนวนหนึ่งแทรกเข้าไปในเส้นลมปราณ ข้าใช้สารพัดวิธีแล้วแต่ก็ขับมันออกมาได้ไม่หมด” โอวหยางเชี่ยนมองหลิ่วหมิง ในดวงเนตรงามมีแววตากังวลอยู่เล็กน้อย
“พี่เชี่ยน ข้าไม่เป็นไร ไอปีศาจถูกข้าใช้วิชาขับออกไปเกินครึ่งแล้ว หากใช้เวลาอีกสักหน่อยจะต้องขับออกไปได้หมดแน่” บนใบหน้าของโอวหยางฉินมีสีหน้าทุกข์ทรมานอยู่เลือนราง แต่นางก็ฝืนยิ้มเอ่ยออกมา
โอวหยางเชี่ยนได้ยินก็กัดฟันแน่น ดวงตาแดงระเรื่อ
“ให้ข้าดูอาการบาดเจ็บของแม่นางโอวหยางหน่อยได้หรือไม่” หลิ่วหมิงได้ยินว่าไอปีศาจ ในใจก็คิดอะไรได้จึงเอ่ยขึ้นมา
“ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนพี่หลิ่วแล้ว” โอวหยางเชี่ยนได้ยินหลิ่วหมิงพูดคำนี้ก็เอ่ยออกมาอย่างรู้สึกขอบคุณ
หลิ่วหมิงโบกมือ สะบัดมือส่งพลังเวทสายหนึ่งเข้าไปในร่างของโอวหยางฉิน หลังจากล่องไปในเส้นลมปราณอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง เขาก็พบตำแหน่งที่อยู่ของไอปีศาจสายนั้นที่ทั้งสองสาวเอ่ยถึง เป็นเช่นที่โอวหยางเชี่ยนว่ามันกำลังรัดเส้นลมปราณหลายเส้นไว้แน่น
ไอปีศาจสายนี้เปล่งแสงสีเขียวอยู่เลือนราง แม้ไม่ใช่ไอปีศาจแท้แต่ก็คล้ายคลึงอยู่เล็กน้อย อีกทั้งยังมีพลังกัดกร่อน มันแทบจะหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกับเส้นลมปราณหลายเส้นนั้น มิน่าโอวหยางเชี่ยนจึงไม่อาจขับมันออกไปได้จนหมด
“พี่หลิ่ว มีวิธีหรือไม่?” โอวหยางเชี่ยนเห็นหลิ่วหมิงไม่พูดจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
แม้โอวหยางฉินไม่พูด แต่เวลานี้นางก็มองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่บ้างเช่นกัน
“ข้าอาจลองวิธีหนึ่งได้” หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยก็พลิกมือเรียกวงแหวนสีดำขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือวงหนึ่งออกมา มันก็คือวงแหวนสะกดมารวงนั้นที่แสดงผลงานโดดเด่นในศึกใหญ่กับมนุษย์ปีศาจที่ผสานร่างเมื่อครู่นั่นเอง
หลิ่วหมิงยังค้นประโยชน์ของวงแหวนนี้ไม่พบทั้งหมด แต่ของสิ่งนี้มีประโยชน์ในการดูดซับและกลืนกินไอปีศาจอย่างมาก จุดนี้เคยพิสูจน์มามากมายหลายครั้งแล้ว
“แม่นางฉิน ล่วงเกินแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวขออภัยก่อนครั้งหนึ่ง จากนั้นมือหนึ่งจับวงแหวนกลมไว้ ส่วนมืออีกข้างกุมมืองามที่เย็นอยู่บ้างของโอวหยางฉิน
บนใบหน้าซีดเผือดของโอวหยางฉินปรากฏริ้วสีแดงก่ำอยู่เลือนราง แต่ปากไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของสตรีนางนี้ เวลานี้เขากำลังถ่ายทอดพลังเวทเข้าไปในวงแหวนสีดำอย่างช้าๆ
วงแหวนสีดำราวกับหลุมไร้ก้น ไม่ว่ากรอกพลังเวทเข้าไปเท่าไรก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงคิ้วขมวด กลางหว่างคิ้วมีแสงเจิดจ้าสายหนึ่งพุ่งออกมาผสานเข้าไปในวงแหวนสีดำ จากนั้นวงแหวนกลมจึงมีลวดลายประหลาดตัวแล้วตัวเล่าทอแสงขึ้นมาอย่างเชื่องช้า แสงสีดำสนิทชั้นหนึ่งลอยออกมา
หลิ่วหมิงสัมผัสได้ถึงแรงดูดกลืนสายหนึ่งที่แผ่ออกมาจากวงแหวนกลมสีดำได้ในทันที เขาจึงเพ่งสมาธิชักนำพลังสายนี้มาไว้บนมือซ้าย
ใบหน้าของโอวหยางฉินฉับพลันเผยสีหน้าทุกข์ทรมานเล็กน้อยออกมา แขนที่ถูกหลิ่วหมิงจับไว้มีไอปีศาจสีดำสายหนึ่ง มันเพิ่งปรากฏออกมาก็หมุนคว้างถูกวงแหวนสีดำกลืนกินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
โอวหยางเชี่ยนเห็นภาพตรงหน้า ใบหน้าก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนยินดี
ไม่นานนักไอปีศาจสายแล้วสายเล่าก็ถูกสูบออกจากร่างของโอวหยางฉินเข้าไปในวงแหวนสีดำจนหมด
เมื่อไอปีสาจสายสุดท้ายถูกวงแหวนสีดำดูดไป ในที่สุดปราณสีดำที่วนเวียนอยู่บนใบหน้าของโอวหยางฉินก็สลายหายไปหมดสิ้น แม้สีหน้ายังคงซีดเผือดอยู่บ้าง แต่ก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติแล้ว
“เอาล่ะ ขับไอปีศาจออกหมดแล้ว แม่นางโอวหยางพักผ่อนสักพักก็น่าจะฟื้นตัวได้” หลิ่วหมิงปล่อยมือแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ขอบคุณพี่หลิ่วมาก!” ดวงหน้างามของโอวหยางฉินผงกศีรษะเล็กน้อยเอ่ยขอบคุณเสียงเบา
“แม่นางฉินไม่ต้องเอ่ยขอบคุณ ข้ารับปากแล้วว่าจะพยายามสุดกำลังปกป้องทั้งสองท่านให้ปลอดภัยในเศษซากแห่งโลกบนแห่งนี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนสมควรทำ” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วไม่ได้เอ่ยอันใดมากอีก เดินไปนั่งที่มุมอีกข้างหนึ่งโดยไม่สนใจใคร
เขาพลิกมือข้างหนึ่งเล่นวงแหวนสีดำในมือ บนใบหน้าเผยสีหน้าตื่นเต้นยินดีออกมาจางๆ
จากการทดลองครั้งนี้ เขาพอจะเข้าใจประโยชน์อย่างอื่นของสมบัติชิ้นนี้ได้เลือนรางแล้ว
ไม่ต้องสงสัยสักนิดว่าวงแหวนชิ้นนี้เป็นสมบัติที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเอาชนะไอปีศาจโดยเฉพาะ ทว่าเขาเหมือนจะยังควบคุมไม่ได้ดั่งใจ
แต่เขาเชื่อว่าขอเพียงศึกษาเพิ่ม เขาจะต้องควบคุมสมบัติชิ้นนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่นอน
ในใจหลิ่วหมิงคิดเช่นนี้ จากนั้นมือก็พลิกเก็บวงแหวนสีดำไป เขาเรียกโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่งออกมากินจากนั้นเริ่มนั่งทำสมาธิโคจรปราณ
สามวันให้หลังบนภูเขาขนาดเล็กสูงสิบกว่าจั้งลูกหนึ่งใกล้ที่พักชั่วคราวของนิกายยอดบริสุทธิ์ ชายหนุ่มชุดสีทองผู้หนึ่งกับชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่งกำลังยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังยอดเขาเตี้ยๆ ที่ทอดยาวไร้ขอบเขตไกลออกไป
ทั้งสองคนก็คือจินเทียนชื่อกับหลิ่วหมิง
“วิชาของศิษย์น้องหลิ่วตอนสู้ศึกใหญ่กับมนุษย์ปีศาจครานี้ทำให้ศิษย์พี่คนนี้ตกตะลึงยิ่งนักอีกครั้ง” จินเทียนชื่อเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ศิษย์พี่จินชมเกินไปแล้ว ข้าก็เพียงโชคดีเท่านั้น หากไม่ได้ศิษย์พี่ทำร้ายมนุษย์ปีศาจผู้นั้นจนบาดเจ็บหนัก ข้าก็คงไม่มีโอกาสทำสำเร็จ ไม่ทราบว่าต่อไปศิษย์พี่วางแผนไว้อย่างไร?” หลิ่วหมิงส่ายศีรษะตอบ
“ศิษย์น้องหลิ่วถ่อมตัวยิ่งนัก! เจ้าก็คงค้นพบแล้วว่าตอนนี้เข้ามาในเศษซากแห่งโลกบนได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนกว่า กลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ ก็เริ่มเข่นฆ่ากันแล้ว มนุษย์ปีศาจแห่งแผ่นดินว่านหมัวเจ้าก็เคยพบแล้ว พวกเขาไม่เพียงพลังแข็งแกร่ง ร่างกายยังครอบครองไอปีศาจแท้ จัดการยากยิ่งนัก ศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับเหล่านั้นด้อยกว่าไกลอย่างที่เทียบกันไม่ได้ ส่วนผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่พวกฉิวหลงจื่อพบ หากข้าเดาไม่ผิดก็น่าจะมาจากแผ่นดินหมานฮวง พรสวรรค์และพลังยอดเยี่ยมยิ่งนักเช่นกัน ยามนี้กำลังพลของพวกเราเสียหาย คงได้แต่ถอยทัพพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว รอสักสิบวันครึ่งเดือนให้อาการบาดเจ็บของศิษย์ส่วนมากฟื้นตัวก่อนค่อยคิดการอย่างอื่น” จินเทียนชื่อถอนหายใจเอ่ยขึ้น
“ก็คงได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว ยังดีที่ดูจากประสบการณ์ครั้งก่อน พวกเรายังอยู่ในเศษซากแห่งโลกบนได้อีกนาน เวลาเท่านี้ยังเสียไปได้” หลังจากหลิ่วหมิงฟังแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
“ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงสิ่งเหล่านี้ ในเมื่อศิษย์น้องหลิ่วไม่เป็นอะไรมาก ช่วงเวลานี้ก็ไม่จำเป็นต้องพักไปพร้อมกับพวกเราที่นี่ แม้เทือกเขาแห่งนี้จะแลดูรกร้าง แต่มีสายแร่ของแร่ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าแร่อุกกาบาตอยู่” จินเทียนชื่อฉับพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มจางๆ
“แร่อุกกาบาตหรือ? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อแร่ชนิดนี้มาก่อน ศิษย์พี่จินโปรดชี้แนะ” หลิ่วหมิงได้ยินก็งงงัน
“แร่อุกกาบาตเป็นวัตถุดิบที่มีประโยชน์อย่างยิ่งชนิดหนึ่งในการหลอมธงค่ายกลระดับสูงรวมถึงการวางค่ายกลจำนวนหนึ่ง หากในค่ายกลผสานวัตถุดิบนี้เข้าไปก็จะอาศัยพลังแห่งดวงดาราปริมาณหนึ่งมาเสริมส่งทำให้พลังของค่ายกลเพิ่มมากขึ้นได้ แร่อุกกาบาตเป็นทรัพยากรที่นิกายสายในขาดแคลนยิ่งนัก ได้ยินมาว่าช่วงก่อนหน้านี้ศิษย์น้องกวาดทำภารกิจบนป้ายประกาศลี้ลับ น่าจะเคยเห็นภารกิจที่เกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง” จินเทียนชื่อดวงตาทอประกายเจิดจ้าแล้วเอ่ยออกมาพร้อมหัวเราะเบาๆ
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็นึกขึ้นได้ ก่อนหน้านี้ตนเคยเห็นภารกิจตามหาสายแร่อยู่บนป้ายประกาศลี้ลับจริงๆ นอกจากนี้หินแร่ที่ขาดแคลนจำนวนหนึ่งก็แลกแต้มคุณูปการได้ยังค่อนข้างมาก หลายแสนไปจนถึงล้านแต้มล้วนมีทั้งสิ้น แต่ติดปัญหาอยู่ที่สายแร่เหล่านี้หาร่องรอยยากอย่างที่สุด อีกทั้งนิกายสายในยังไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ เขาคาดว่าค่อนข้างจะเปลืองเวลา จึงทำเพียงสอบถามนิดหน่อยแล้วตัดสินใจเลิกสนใจภารกิจจำพวกนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยศึกษาอย่างละเอียด
“แร่ชนิดนี้ค่อนข้างหายาก เพราะข้ามีสัมผัสที่เฉียบไวต่อพลังแห่งแสงดาวจึงสัมผัสได้ว่ามีแร่ชนิดนี้อยู่ใกล้ๆ เพียงแต่ไม่รู้ตำแหน่งที่แม่นยำของมัน คนที่เคลื่อนไหวตามลำพังได้ในกลุ่มตอนนี้มีไม่มาก ยามนี้ข้าไม่อาจแยกร่างได้ หากศิษย์น้องหลิ่วยินดีไปค้นหา ยามแลกเปลี่ยนเป็นแต้มคุณูปการกับนิกายน่าจะได้มาจำนวนไม่น้อย” จินเทียนชื่อยื่นข้อเสนอให้หลิ่วหมิงด้วยใบหน้านิ่งสงบ
“ในเมื่อศิษย์พี่จินเป็นฝ่ายชี้แนะ ศิษย์น้องย่อมไม่ปล่อยเรื่องดีเช่นนี้ไป ข้าจะเดินทางไปสักเที่ยวแล้วกัน” หลิ่วหมิงใคร่ครวญเล็กน้อยก็ไม่รู้สึกว่ามีปัญหาประการใดจึงตกลงในทันที
“ดียิ่ง แผ่นค่ายกลนี้น่าจะสัมผัสที่ตั้งของหินแร่ล้ำค่าจำนวนหนึ่งได้ ศิษย์น้องเอาไปใช้ก่อนเถิด แต่จงจำไว้ว่าหากพบศัตรูที่แข็งแกร่งอย่าปะทะตรงๆ” จินเทียนชื่อขยับนิ้วเบาๆ เรียกแผ่นค่ายกลสีเงินอ่อนแผ่นหนึ่งออกมา มันหมุนติ้วกลางอากาศแล้วร่วงลงบนมือของหลิ่วหมิง
“ศิษย์พี่จินวางใจ ศิษย์น้องเข้าใจผลดีผลร้ายในเรื่องนี้ดี” หลิ่วหมิงพยักหน้ารับแผ่นค่ายกลมาจากนั้นเอ่ยอย่างจริงจัง
“มีศิษย์น้องหลิ่วออกโรง ข้าก็วางใจแล้ว ศิษย์น้องพยายามรีบไปรีบกลับเถิด หากพบเรื่องไม่คาดฝันอันใดให้กลับมาทันที ไม่ได้มาก็ไม่เป็นไร พยายามรักษาตนเองให้ปลอดภัยไว้ก่อน” จินเทียนชื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
หลิ่วหมิงย่อมรับปากเต็มปากเต็มคำ ร่างกายขยับกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไปไกลทันที
จินเทียนชื่อยืนอยู่ที่เดิมมองลำแสงของหลิ่วหมิงมุ่งไปไกล สองตาหรี่ลงเล็กน้อยไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่
“ศิษย์พี่จิน ท่านจะวางใจปล่อยศิษย์น้องหลิ่วให้เดินทางตามลำพังจริงหรือ ไม่กลัวเขาพบกับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจแห่งแผ่นดินหมานฮวงเหล่านั้นรึ?” ทันใดนั้นด้านหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งใกล้ๆ ก็มีเสียงถอนหายใจดังขึ้น จากนั้นเงาคนร่างหนึ่งก็ขยับไหว ฉิวหลงจื่อผู้สะพายกระบี่ยาวไว้บนหลังเดินออกมา
“ฮ่ะๆ หากกระทั่งผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจกลุ่มหนึ่งยังจัดการไม่ได้ หลังจากนี้ศิษย์น้องหลิ่วจะกลายเป็นศิษย์ลับของนิกายเราได้อย่างไร” จินเทียนชื่อเอ่ยทั้งที่ไม่หันหน้ากลับมา เหมือนกับไม่รู้สึกผิดคาดแม้แต่น้อย
“นี่ก็ใช่ หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นลูกกลอนกระบี่ของศิษย์พี่ถูกทำลายอย่างคาดไม่ถึง หลังจากนั้นถูกศัตรูที่แข็งแกร่งมากมายลอบเล่นงานล้อมโจมตีทำให้พลังร่วงหล่นจากระดับดาราพยากรณ์มาเป็นปุถุชนจนต้องฝึกฝนใหม่อีกครั้ง แค่มนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์คนเดียวจะอยู่ในสายตาของศิษย์พี่ได้อย่างไร จินเลี่ยหยางแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ในยามนั้นคืออันดับหนึ่งของศิษย์ลับ ในยามนั้นมีใครไม่รู้บ้าง” ฉิวหลงจื่อได้ยินก็ถอนหายใจเอ่ยขึ้นมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น