ลำนำบุปผาพิษ 931-938

 บทที่ 931 ข้าเมามากอยากพักผ่อนแล้ว


ดังนั้นหนนี้เธอจึงปลดปล่อยได้เต็มที่


ทั้งสองคนนั่งดื่มอย่างหนำใจอยู่บนกิ่งไม้ จากนั้นกู้ซีจิ่วก็เมามายไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ทันระวัง ร่วงลงมาจากกิ่งไม้ทันที!


‘ผลุบ!’ เธอนึกว่าตัวเองจะล้มหัวทิ่มมุดเข้าไปในกองหิมะเสียแล้ว นึกไม่ถึงว่าจจะหล่นสู่อ้อมกอดของคนผู้นึ่ง


กลิ่มหอมจางๆ อวลอยู่ที่ปลายจมูก กู้ซีจิ่วที่เมามายอยู่คล้ายได้กลิ่นที่คุ้นเคย จึงลืมตาขึ้นนิดๆ ก้อนสีม่วงเข้าสู่ครรลองสายตา หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นมาแวบหนึ่ง โพล่งนามหนึ่งออกไป “ตี้ฝูอี!”


อ้อมกอดที่โอบอุ้มเธออยู่แข็งทื่อไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงกระจ่างเยือกเย็นสายหนึ่งดังขึ้นริมหูเธอ “ข้าเหมือนเขามากหรือ?”


กู้ซีจิ่วพยายามเพ่งสายตา อยากมองหน้าตาคนที่โอบอุ้มเธอไว้ชัดๆ แต่เธอดื่มมากเกินไปจริงๆ ใบหน้าหล่อเหลาเบื้องหน้าจึงเดี๋ยวกลมเดี๋ยวก้อน จู่ๆ ก็แยกออกเป็นสองเป็นสาม…


เธอยื่นมืออกไป คิดจะจับใบหน้าที่สั่นไหวนั้นไว้ให้นิ่ง “อย่า…อย่าสั่นสิ เจ้าสั่นจนข้าตาลายไปหมดแล้ว…”


เดิมทีคนผู้นั้นอุ้มเธอเดินยู่ ยามนี้จึงหยุดฝีเท้าลงแล้วมองเธอ มองใบหน้าที่แดงก่ำด้วยฤทธิ์สุราของเธอ “เช่นนี้หรือ?”


มือน้อยๆ ของกู้ซีจิ่วลูบคลำใบหน้าของเขาอยู่พักหนึ่ง แจ่มใสขึ้นมาในทันใด มองเห็นใบหน้าคนที่อุ้มเธอไว้อย่างชัดเจน มือน้อยปล่อยลงอย่างห่อเหี่ยว “ไม่ใช่เขา…”


ทันใดนั้นเธอก็พยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ดิ้นจนหลุดจากอ้อมแขนของเขา แต่เนื่องจากดื่มมากเกินไป เมื่อสายลมโชยมา ฤทธิ์สุราตีขึ้น ฝ่าเท้าพลันอ่อนยวบ เกือบสะดุดขั้นบันไดแล้ว จึงถูกคนประคองไว้อีกครั้ง


กู้ซจิ่วรู้สึกเพียงว่าฟ้าดินพลิกหมุน ทว่ายังคิดจะผลักคนที่พยุงตนไว้ผู้นี้ออก “ข้า…ข้าจะเดินเอง…”


เธอออกแรงผลักให้มากหน่อย ทว่าผลักคนออกไม่ได้ ตนกลับเป็นฝ่ายล้มลงแทน นั่งอยู่ในหิมะทันที


หิมะที่เพิ่งตกลงมาย่อมอ่อนนุ่ม หลังจากเธอนั่งลงก็รู้สึกเสมือนนั่งอยู่บนเตียงของตน ด้วยเหตุนี้จึงเอนกายในกองหิมะ แล้วโบกมือไปมา “ข้าเมามากอยากพักผ่อนแล้ว” จากนั้นก็หลับตาหมายจะนอนหลับ…


อิงเหยียนนั่วแทบจะกุมขมับแล้ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรลากนางออกมาจากกองหิมะ “ตัวโง่งม เจ้าอยากแข็งตายหรือไง!”


จากนั้นก็ปัดหิมะที่เกาะบนร่างร่างออก ด้วยเกรงว่านางจะหนาวจัดจึงทาบฝ่ามือเข้าที่ด้านหลังนาง ถ่ายทอดกระแสความอบอุ่นสายหนึ่งเข้าไปในแผ่นหลังนาง โคจรวนทั่วร่างรอบหนึ่ง ขจัดไอเย็นที่แทรกซึมเข้าสู่ร่างนางออกไป


ขณะที่เขากำลังยุ่งง่วน จู่ๆ คนในอ้อมแขนพลิกตัว กอดเอวเขาทันที ศีรษะซบตรงอกเขา พึมพำออกมาตามที่คิด “ตี้ฝูอี…ข้าคิดถึงท่าน ข้าไม่ต้องการข้าแล้วหรือ? ทำไมถึงผิดนัด?”


ความอุ่นชื้นค่อยๆ แผ่ซึมออกมาตรงอก ร่างของอิงเหยียนนั่วนิ่งงัน กอดเธอไว้แน่น หลุบตามองเธอ ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ก้มลงจูบห้าผากเธอ ดูเหมือนจะกระซิบบอกบางสิ่ง


ลมแรงเกินไป แถมกู้ซีจิ่ยังเมาด้วย เธอจึงได้ยินไม่ชัด เพียงขดตัวเข้าหาอ้อมกอดผู้อื่นตามสัญชาตญาณ ระว่างที่สะลึมสะลือคล้ายจะได้กลิ่นอายอันมีเอกลักษณ์ที่คุ้นเคยกลิ่นนั้น เธอเกาะเขาแน่น ไม่คิดจะปล่อยมืออีก ผล็อยลับไปอย่างมึนงง


….


ภายในโถงใหญ่แห่งหนึ่ง


ในห้องโถงมีสระน้ำร้อนสระหนึ่ง ในสระมีคนผู้หนึ่งกำลังแช่อยู่ คนที่แช่อยู่ในสระผู้นี้ประหลาดยิ่ง แช่ทั้งๆ ที่ยังสวมเสื้อคลุมสีขาวเอาไว้ แม้แต่หน้ากากบนศีรษะก็ไม่ถอดออก เขานั่งอยู่ในนั้นคล้ายจะทำสมาธิอยู่ และคล้ายว่าเพลิดเพลินอยู่


ริมสระมีบุรุษในชุดสีมรกตผู้หนึ่งกำลังค้อมเอวรายงานเขา “เรียนท่านเจ้า การพัฒนาของทุกแห่งล้วนเป็นไปตามที่ท่านเจ้าคาดการไว้ขอรับ ไม่มีผู้ใดค้นพบกองกำลังของพวกเราที่ซุ่มอยู่…”


คนชุดขาวผู้นั้นพยักหน้านิดๆ “แล้วตี้ฝูอีล่ะ? มีข่าวเขาหรือไม่?”


————————————————————————————-


บทที่ 932 มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนที่จะใช้นางเป็นหมาก


บุรุษชุดสีมรกตผู้นั้นชะงักไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้าพลางเอ่ยตอบ “ยังไม่มีเช่นเดิมขอรับ” จากนั้นก็คาดเดาในแง่ดี “เขาอาจตายไปแล้วก็ได้ คนของเราจับตามองความเคลื่อนไหวของของคนในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อยู่ตลอด และจับตามองกู้ซีจิ่วตลอดเวลาเช่นกัน ถึงแม้การแสดงออกของนางจะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่แอบส่งออกไปสืบข่างคราวของตี้ฝูอีอยู่หลายครั้ง นี่แสดงว่าตี้ฝูอีไม่ได้ไปพบนางเลย…”


บนร่างคนชุดขาวผู้นั้นคล้ายมีรังสีสังหารแผ่ออกมา น้ำเสียงเฉยเมยทว่าเยียบเย็น “ถึงเจ้าตายเขาก็ไม่ตาย! เขาน่าจะหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อตรวจสอบพวกเรา…”


บุรุษชุดสีมรกตขมวดคิ้ว “เมื่อเขาอยู่ในที่สว่าง พวกเราอยู่ในที่มืด ตอนนี้พวกเราสองฝ่ายต่างอยู่ในที่มืดแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะงัดลูกไม้อะไรออกมาต่อกรกับพวกเรา ข้าน้อยรู้สึกอยู่เสมอว่าไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ ผู้อาวุโสหลงก็สิ้นท่าครั้งใหญ่ในเงื้อมมือเขา ถูกเขาวางแผนทำลายดวงวิญญาณ จงบจนยามนี้ก็ยังไม่อาจกลัมารวมตัวได้…”


คนชุดขาวผู้นั้นหัวเราะเบาๆ เอนร่างพิงขอบสระ กล่าวคำหนึ่งออกมาอย่างเฉื่อยชา “โง่!”


ถ้อยคำนี้ไม่ทราบเช่นกันว่าตำหนิผู้ใด


บุรุษชุดสีมรกตไม่กล้าพูดอะไรต่อแล้ว


คนชุดขาวผู้นั้นเงียบอยู่ครู่หนึ่ง “ระยะนี้สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มีความเคลื่นไหวใหม่ๆ บ้างไหม?”


บุรุษชุดสีมรกตส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ” เขาอดกลั้นอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าอดไม่อยู่ เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “กู้ซีจิ่วผู้นั้นสรุปแล้วมิใช่คนรักของตี้ฝูอีหรือขอรับ? หนึ่งปีก่อนเขารักใคร่เอ็นดูนางอย่างยิ่ง ถึงขึ้นมีคนร่ำลือว่าเขาคิดจะสู่ขอตบแต่งนาง แต่ยามนี้ผ่านไปเกือบปีหนึ่งแล้ว แม้แต่หน้าก็ยังไม่โผล่มา เขาไม่ต้องการนางแล้วหรือขอรับ? หรือคิดจะใช้นางเป็นเหยื่อล่อพวกเรา?”


คนชุดขาวผู้นั้นหรี่ตาลงนิดๆ น้ำเสียงก็ราบเรียบเช่นกัน “ตี้ฝูอีผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เรื่องที่ชมชอบละเล่นที่สุดก็คือกลับเท็จเป็นจริง กลับจริงเป็นเท็จ จิตใจของเขาไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาได้กระจ่าง คนผู้นี้ใช้ชีวิตมาเนิ่นนานถึงปานนี้ยังไม่เคยเห็นว่าเขาจะชอบใครจริงสักคน ไม่ว่าผู้ใดล้วนเป็นตัวหมากในมือเขาทั้งนั้น…”


เขายิ้มบางๆ อีกครา “ความเป็นไปได้ที่เขาจะชอบพอกู้ซีจิ่วมีน้อยนัก มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนที่จะใช้นางเป็นหมาก…เจ้าลืมเรื่องที่เขาเคยใช้นางเป็นตัวหมากวางแผนร่วมกับหลงซือเย่ จนเกือบสังหารผู้อาวุโสหลงได้ไปแล้วหรือ? หากมิใช่ข้าลงมือ ผู้อาวุโสหลงคนนั้นคงฟื้นฟูไม่ได้แล้ว ยังไม่รู้เลยว่ายามนี้จะไปเป็นผีเร่ร่อนอยู่ที่ใด!”


“ใช่ขอรับ ท่านเจ้าปราดเปรื่องนัก!”


นิ้วมือคนชุดขาวเคาะขอบสระเบาๆ คล้ายจะครุ่นคิดอยู่


บุรุษชุดสีมรกตพลันกล่าวขึ้น “ท่านเจ้าขอรับ กู้ซีจิ่วผู้นั้นค่อนข้างประหลาด ความเวในการฝึกฝนของนางว่องไวยิ่ง! อีกทั้งความคิดจิตใจก็ละเอียดลออจนน่ากลัว ข้าน้อยเกรงว่าภายหน้านางจะกลายเป็นอุปสรรคของท่านเจ้า มิสู้กำจัดนางไปเสีย…”


นิ้วมือคนชุดขาวชะงักไปเล็กน้อย น้ำเสียงแผ่วเบาทว่าเย็นยะเยือก “อย่าคิดร้ายต่อนาง นางจะกลายเป็นคนของข้าในไม่ช้าก็เร็ว”


บุรุษชุดสีมรกตตะลึงงัน พลั้งปากเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง “ท่านเจ้าชอบนางหรือขอรับ?”


คนชุดขาวหันหน้ามา เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเขาสวมหน้ากากอยู่ ผู้อื่นไม่มีทางมองเห็นใบหน้าเขา แต่บุราชุดกลับรู้สึกว่าสายตาของคนชุดขาวราวกับมีดที่ร่อนลงบนร่างจนก็มิปาน เฉียบคมเยือกเย็น ทำให้เขาแทบจะทรุดเข่าลง


เขาไม่กล้าพูดต่อแล้ว คนชุดขาวมองเขาครู่หนึ่ง คล้ายจะแย้มยิ้มแวบหนึ่ง “ดูเหมือนเจ้าจะพูดมากไปหน่อยแล้ว…”


บุรุษชุดสีมรกตผู้นั้นหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบคุกเข่าหมอบอยู่บนพื้น “ขอรับ! ข้าน้อยทราบความผิดแล้ว!” และไม่ทราบว่าไปคว้ามีดเล่มหนึ่งมาจากที่ใด ตัดลิ้นตนทิ้งครึ่งหนึ่งเสียงดังฉัวะ


โลหิตสดๆ พุ่งกระฉูด เขาเจ็บจนทั้งร่างสั่นสะท้าน ทว่าไม่กล้าร้องออกมาสักคำ


คนชุดขาวถอนหายใจเบาๆ “ข้าก็ไม่ได้พูดสักหน่อยว่าจะเอาลิ้นเจ้า…ช่างเถอะ เห็นแก่เจ้าที่รู้ความถึงเพียงนี้ ข้าจะไม่ลงโทษเจ้าอีก เจ้านำลิ้นไปให้ผู้อาวุดสหลงต่อคืนเสียเถอะ”


บุรุษชุดสีมรกตดั่งได้รับการอภัยโทษ ตอบรับเสียงอู้อี้ หยิบลิ้นที่ขาดครึ่งของตนขึ้นมาแล้วรีบรุดจากไป


————————————————————————————-



บทที่ 933 แต่ยามนี้แม้แต่ข้อนี้เขาก็ทำไม่ได้…


คนชุดขาวผู้นั้นมองคราบเลือดที่ริมสระ คล้ายจะขมวดคิ้ว วาดแขนเสื้อคราหนึ่ง ริมสระพลันสะอาดเอี่ยมดั่งล้างด้วยน้ำ มองไม่เห็นคราบเลือดอีกเลย


เขาแหงนหน้ามองฟากฟ้า ทิศทางนี้ที่เขามองไป สายตาจะมองทะลุผิวกระจกตรงใจกลางห้องโถงได้พอดี มองเห็นนภาดาษดาวที่ด้านนอก


สายตาเขาจับจ้องดวงใหญ่ที่อยู่กึ่งกลางดวงนั้น


โบกไม้โบกมือเบาๆ อยู่ครู่ใหญ่ ทำท่าดึงบางอย่างลงมา “เจ้าอยู่ข้างบนนานพอแล้ว! สมควรลงมาเปลี่ยนให้ผู้อื่นขึ้นไปบ้าง!”


สายตาเขาซอกแซกไปตามท้องฟ้าส่วนอื่นรอบหนึ่ง คิ้วขมวดนิดๆ


บนฟ้ามีดาวมากมายเกินไป เขาไม่อาจแยกแยะอย่างชัดเจนได้ว่าดวงไหนเป็นเป็นตัวแทนของผู้ใด ดังนั้นจนแล้วจนรอดเขาก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วดวงไหนคือตัวแทนของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…


ที่แท้คนผู้นั้นไปซอนอยู่ที่ไหนกัน?


….


วันต่อมากู้ซีจิ่วตื่นขึ้นมาในเรือนตน เมื่อเธอลุกขึ้นนั่งศีรษะก็โยกไปมาเธอเคยดื่นจนเมาแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ทราบว่าถ้าเมาแล้ววันต่อมาจะปวดหัวได้ง่ายๆ เพราะอาการแฮงค์ แต่หนนี้เธอเมาหนักถึงขนาดนั้น ทว่าหลังจากตื่นขึ้นมากลับพบว่าสมองแจ่มใสยิ่ง ไม่รู้สึกปวดหัวเลยสักนิด


เธอนั่งทบทวนบนเตียงครู่หนึ่ง เหตุการณ์เมื่อคืนแวบขึ้นมาเบื้องหน้าเธอทีละฉากๆ


เธอดื่มสุรา จากนั้นอิงเหยียนนั่วก็มาร่ำสุรากับเธอ…


แล้วต่อจากนั้นล่ะ?


เธอใช้มือกดจุดไท่หยางตรงขมับตน ขบคิดพลางออกแรงไปด้วย ก็พบว่านึกอะไรไม่ออกอยู่ดี…


เธอไม่ใช่คนที่เมาง่ายๆ แต่ถ้าเมาแล้วจะมีอาการอย่างไรนั้นตัวเธอก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกัน ดังนั้นพอยามนี้นึกเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ออกก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง เธอจึงไม่เก็บมาใส่ใจ


เธอมองกำไลบนข้อมือ อดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้


นำกำไลวงนั้นมาแนบบนหน้าตน สัมผัสอุณหภูมิของกำไล


ตี้ฝูอีบอกว่าหากเขาประสบเหตุเหนือความคาดหมาย กำไลวงนี้จะแตกหัก ความจริงแล้วเธอก็เชื่อครึ่งม่เชื่อครึ่ง ต่อมาจึงถามหยกนภาอีกรอบ หยกนภาเป็นผู้รอบรู้ มันบอกประโยชน์ใช้สอยกำไลวงนี้ของกู้ซีจิ่ว เหมือนที่ตี้ฝูอีบอกทุกประการ ด้วยเหตุนี้เธอจึงเชื่ออย่างสนิทใจ


ยามนี้กำไลวงนี้ยังอยู่ดี นั่นยืนยันได้ว่าเขาก็ยังอยู่ดีเช่นกัน เพียงแต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุผลใดจึงไม่ปรากฏตัวออกมา


คนผู้นี้ติดนิสัยทำอะไรตามใจตนมาโดยตลอด จัดการเรื่องราวก็แค่แยกแยกถูกผิด น้อยมากที่จะคำนึงถึงความรู้สึกผู้อื่น…


อันที่จริงเธอก็เข้าใจเขาเหมือนกัน แต่นานขนาดนี้แล้วเขายังไม่ยอมปรากฏตัวในใจเธอจึงไม่สบายใจยิ่งนัก เธอไม่ขอให้เขาบอกเธอทุกเรื่อง เธอไม่ขอให้เขาเปิดเผยความลับทั้งหมดกับเธออย่างซื่อตรง แต่ดีร้ายอย่างไรก็ส่งคนมาแจ้งเธอบ้างว่าปลอดภัยดี แต่ยามนี้แม้แต่ข้อนี้เขาก็ทำไม่ได้…


กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้วเล็กน้อย ไม่ยินดีใคร่ครวญเรื่องพวกนี้


ช่างเถอะ เธอยังมีเรื่องอีกมากต้องจัดการ ไม่มีเวลามาชอกช้ำระกำใจอยู่ที่นี่ ไม่มีเวลามาคิดเรื่องพวกนี้


พลันลุกขึ้นมาจากเตียง พร่งนี้ต้องออกไปทำภารกิจ ภารกิจครั้งนี้เป็นงานใหญ่ เธอต้องตระเรียมข้าวของบางส่วนไว้ล่วงหน้า…


….


ณ วังหลวงของอาณาจักรเฟยซิง


จักรพรรดิซวนเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักอย่างหงุดหงิดฉุนเฉียว


มีองครักษ์นายหนึ่งเข้ามาถวายสาสน์กราบทูล “ฝ่าบาท นี่คือข่าวการทัพที่องค์รัชทายาทให้นำมาถวายฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”


จักรพรรดิซวนฉวยไปทันที คลี่จดหมายออกอ่าน แล้วฉีกออกเป็นชิ้นๆ เอ่ยอย่างโกรธกริ้ว “เหตุใดยังไม่ได้ชัยอีก?! กองทัพของเรามิใช่ว่ามีทัพลับที่แข็งแกร่งมากหรอกหรือ? โง่เง่า สวะไร้ประโยชน์!”


องครักษ์นายนั้นก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยวาจา ระยะนี้จักรพรรดิซวนอารมร์ฉุนเฉียวยิ่งนัก ขยับเขยื้อนนิดหน่อยก็สำแดงโทสะแล้ว เขาไม่กล้าไปแตะตาพายุหรอก


“ไสหัวไป! ไสหัวไปให้พ้นหน้าเรา!” จักรพรรดิซวนโบกมือ ไล่องครักษ์นายนั้นออกไป


ภายในห้องทรงงานกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง


จักรพรรดิซวนเดินวนไปวนมาอย่างร้อนใจ ทันใดนั้นก็สัมผัสถึงบางสิ่งได้ หันหลังขวับทันที มองเห็นสตรีนางหนึ่งปรากฏตัวอยู่ด้านหลังเขา…


————————————————————————————-


บทที่ 934 ท่านไม่เห็นอะไรทั้งนั้น


สตรีนางนี้สวมชุดฝ่ายใน น้ำตาโลหิตสองสายไหลอาบ เอ่ยด้วยเสียงแผ่วหวิวหลายคำ “ฝ่าบาท ทรงปรักปรำหม่อมฉัน…”


เป็นจิ้งกุ้ยเฟย ถูกเขาประหารด้วยแพรขาวผู้นั้น!


มีผี!


เส้นขนทั่วร่างจักรพรรดิซวนลุกชันขึ้นมา ยกมือฟาดออกไป!


พลังวิญญาณดั้งเดิมของเขาคือขั้นสี่ ถึงแม้จะอยู่สุขสบายมาเนิ่นนานยิ่ง แต่ฝ่ามือที่ฟาดออกไปนี้ยังคงทรงอานุภาพนัก เขานึกว่าจะสามารถซัด ‘ผี’ ตัวนี้ให้กระเด็นไปได้ นึกไม่ถึงว่าผีตัวนั้นกลับหายวับไปในพริบตา


จากนั้นต้นคอของจักรพรรดิซวนก็มีไอเย็นเป่ารด “ฝ่าบาท หม่อมฉันกับองครักษ์หวาไม่ได้มีอะไรกันเลย ทว่าฝ่าทกลับปรักปรำหม่อมฉัน เเพื่อเปิดศึกกับอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยใช่ไหมเพคะ?”


ทั้งร่างจักรพรรดิซวนแทบจะแข็งทื่อไปหด เขาพุ่งไปด้านหน้าทันที หันกลับไปอย่างหวาดผวา ทว่ายังคงมองไม่เห็นเงาร่างของจิ้งกุ้ยเฟยเช่นเดิม กลับมีแขนข้างหนึ่งโอบด้านหลังเขาไว้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันกล่าวถูกไหมเพคะ?”


จักรพรรดิซวนสำแดงออกไปติดๆ กันหลายกระบวนท่า ล้วนเสมือนซัดใส่อากาศ เขาหวาดผาตนแทบฉี่รดกางเกงแล้ว ในที่สุดก็ตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว “อะไรกันนักหนา?!”


“เหตุใดต้องเปิดศึกกับอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยให้ได้ล่ะเพคะ? ฝ่าบาท เฮ่าเยวี่ยกับเฟยซิงมิใช่พันธมิตรกันหรือ?”


“แล้วอย่างไรเล่า? เราต้องการเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุด! เราจะรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง!” จักรพรรดิววนโบกกำปั้นไปมา


จากนั้นจู่ๆ ท้ายทอยเขาก็เจ็บแปลบ ถูกทุบให้สลบไปทันที


จิ้งกุ้ยเฟยที่อยู่ด้านหลังเขาผู้นั้นพุ่งฉิวมาด้านหน้า ขณะที่กำลังจะสัมผัสชีพจรที่ข้อมือเขา เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากกฎขึ้นด้านหลังเธอ เด็กหนุ่มปากแดงฟันขาว สง่างามดั่งลำไผ่ “ให้ข้าทำเถอะ”


ขณะที่พูด เด็กหนุ่มก็จับชีพจรบนข้อมือจักรพรรดิซวนแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “เขาไม่ได้ถูกสิ่งใดสิงร่าง ดวงวิญญาณในร่างนี้ก็คือเขา”


จิ้งกุ้ยเฟยถอดชุดฝ่ายในออก เผยให้เห็นชุดทะมัดทะแมงสีดำที่อยู่ด้านใน มือถูคลึงใบหน้าครู่หนึ่ง ลอกหน้ากากหนังคนแผ่นหนึ่งออก เผยโฉมหน้าที่แท้จริง เป็นกู้ซีจิ่วนั่นเอง


เธอก้มหน้าเหลือบมองจักรพรรดิซวนแวบหนึ่ง “เขายังคงเป็นตัวเองอยู่จริงๆ เพียงแต่นิสัยเขาฉุนเฉียวมาก แถมยังโอหังไม่น้อย คิดจะเลียนแบบปฐมจักรพรรดิ[1] อยากรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง…ข้าสงสัยว่าเขาจะถูกฉีดยากล่อมประสาทบางอย่างเข้าไปในร่าง”


เด็กหนุ่มผู้นั้นเลิกคิ้วขึ้น “ยากล่อมประสาท?”


มุมปากกู้ซีจิ่วหยักยิ้มนิดๆ “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าเรื่องที่เขาทำในยามนี้เหมือนถูกล้างสมอง?”


เด็กหนุ่มผู้นั้นไม่พูดอะไร


ไม่รู้ว่ากู้ซีจิ่วหยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งออกมาจากไหน เจาะเข้าที่เส้นเลือดของจักรพรรดิซวนทันที ยามที่ดึงออกมาอีกครั้งก็มีเลือดติดมาครึ่งเล่ม จากนั้นก็โบกมือให้เด็กหนุ่มผู้เป็นเพื่อนร่วมงาน “ข้าจะไปตรวจสอบเลือด ฝากเจ้จัดการด้วยนะ” พลันหมุนกายหายลับไป


เด็กหนุ่มผู้เป็นเพื่อนร่วมงานถอนหายใจเบาๆ เหลือบมองจักรพรรดิซวนแวบหนึ่ง ยื่นมือไปตบร่างจักรพรรดิซวนเบาๆ จักรพรรดิประหนึ่งถูกปลุกจากฝัน ลืมตาขึ้น ทันทีที่เด็กหนุ่มผู้นั้นก็สะดุ้งโหยง อ้าปากจะส่งเสียง เด็กหนุ่มผู้นั้นพลันชูมือ ไม่รู้ว่าหยิบไม้บรรทัดเล่มหนึ่งออกมาจากไหนกดลงบนปากของจักรพรรดิซวน จากนั้นเขาก็กะพริบตา “ฝ่าบาท ท่านเห็นอะไรหรือ?”


จักรพรรดิซวนเหมือนถูกสะกดจิต สายตาล่องลอย “อะไร…เห็นอะไร?”


เด็กหนุ่มยิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง เอ่ยเสียงนุ่ม “ท่านไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”


จักรพรรดิซวนพยักหน้าอย่างเลื่อนลอย “อืม เราไม่เห็นอะไรทั้งนั้น…”


เด็กหนุ่มพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็หันหลังจากไป


จักรพรรดิซวนนั่งโง่งมอยู่บนพื้นครู่ใหญ่ มองซ้ายมองขวา เอ๊ะ ทำไมเรามานอนอยู่บนพื้นล่ะ?


….


ภายในเรือนที่เงียบสงัดแห่งหนึ่งในตัวเมือง กู้ซีจิ่วกำลังยุ่งง่วนเป็นขั้นเป็นตอนอยู่


กว่าหนึ่งปีมานี้เเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างนัก แลละใช้ประโยชน์จากความรู้ที่เธอร่ำเรียนมาจากยุคปัจจุบัน ค้นคว้าสิ่งของมากมายที่เป็นไปไม่ได้ในยุคนี้ได้สำเร็จ ยกตัวอย่างเช่นอุปกรณ์ตรวจเลือดเครื่องนี้และยารักษาโรค…


————————————————————————————-


[1]  ปฐมจักรพรรดิในที่นี้หมายถึงจิ๋นซีฮ่องเต้ผู้เป็นจักรพรรดิองค์แรกของจีน และเป็นผู้รวบร่วมแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งเดียว



บทที่ 935 อย่าคิดสังหารเพื่อปิดปากข้าเลย


แน่นอน ด้วยข้อจำกัดทางเงื่อนไข ผลการตรวจเลือดของเธอจึงไม่สมบูรณ์แบบมากขนาดนั้น ไม่สามารถตรวจค่าพื้นฐานมากมายในชีวิตประจำวันได้ แต่สามารถตรวจสอบเว่าในเลือดของเขามีตัวยาพิเศษหรือไม่


ขณะที่เธอยุ่งง่วนอยู่ อิงเหยียนนั่วก็แวบเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียง มองขวดมองกระปุกต่างๆ รวมถึงอุปกรณ์ที่เรียกชื่อไม่ถูกของเธอ มองการทำงานของเธอ ดูอยู่เงียบๆ ที่ด้านข้าง


ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็หยุดมือแล้ว มองตัวอย่างเลือดในจานทดลองแล้วขมวดคิ้วนิดๆ อิงเหยียนนั่วจึงมองแวบหนึ่งเช่นกัน “พบอะไรหรือไม่?”


กู้ซีจิ่วพรูลมหายใจออกมาเบาๆ “ในเลือดของเขามีตัวอย่างตกค้างอยู่เล็กน้อยจริงๆ”


“ตัวยาอันใดที่ตกค้างอยู่?” อิงเหยียนนั่วถาม เขามองอะไรไม่ออกเลย


กู้ซีจิ่วนวดคลึงหว่างคิ้ว “เป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง…ช่างเถอะ พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ จะทำให้ประสาทเขาตื่นตัว เส้นประสาทบางเส้นในสมองสับสนวุ่นวาย เมื่อได้รับสารตัวนี้อย่างต่อเนื่องจะทำให้เส้นประสาทเขาถูกทำลาย…”


เห็นได้ชัดว่าอิงเหยียนนั่วไม่เข้าใจคำนามบางอย่างที่ผุดออกมาจากเธอ เพียงแต่เขาจับใจความได้ “มียาถอนหรือไม่?”


กู้ซีจิ่วส่ายหน้านิดๆ “ยาถอนประเภทนี้ไม่อาจผลิตได้ในทันที”


เธอตรวจสอบพบว่าพิษในตัวจักรพรรดิซวนเป็นสารเคมีขั้นสูงชนิดหนึ่งของยุคปัจจุบัน สูงเกินไปด้วย! ต่อให้อยู่ในยุคปัจจุบันยาถอนตัวนี้ก็ไม่อาจผลิตได้ในระยะเวลาชั่วข้ามคืน! นับประสาอะไรกับยุคนนี้เล่า?


“เจ้าไม่อาจผลิตได้ในยามนี้หรือ? ผลิตไม่ได้ในสองสามวันใช่ไหม?”


กู้ซีจิ่วไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย “สองสามวันรึ? สองสามเดือนก็ยังไม่แน่ว่าจะผลิตออกมาได้! นี่เป็นสารเคมีพิเศษขั้นสูง…”


“ไม่ใช่ของในยุคนี้ใช่ไหม?” จู่ๆ อิงเหยียนนั่วก็ถามออกมาประโยคหนึ่ง


“แน่นอนสิ…” กู้ซีจิ่วตอบออกไปโดยไม่ยั้งคิด ทันใดนั้นคล้ายว่าเธอจะสังเกตอะไรได้ เงยหน้ามองเขา “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าไม่ใช่ของในยุคนี้?” ที่มาของเธอมีเพียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์และตี้ฝูอีที่ทราบ แม้แต่จิ้งจอกกับเชียนหลิงอวี่ก็ยังไม่ทราบเลย ทำไมจู่ๆ อิงเหยียนนั่วผู้นี้ถึงเอ่นเชนนี้ออกมาได้?


อิงเหยียนนั่วชะงักไปครู่หนึ่ง กะพริบตาปริบๆ “ตอนเจ้าเมาเคยบอกว่าเจ้าไม่ใช่คนยุคนี้…”


ในสมองกู้ซีจิ่วเกิดเสียงดังหึ่งๆ ทันที เธอรู้ว่าตอนตัวเองเมาไว้ใจไม่ได้ยิ่งนัก! นึกไม่ถึงว่าแม้แต่เรื่องที่เป็นความลับเช่นนี้ก็ยังพูดออกมา!


สีหน้าเธอเดี๋ยวมืดเดี๋ยวครึ้มสลับไปมา อิงเหยียนนั่วรีบกล่าวขึ้นว่า “วางใจเถอะ ข้าจะเก็บความลับของเจ้าไว้ อย่าคิดสังหารเพื่อปิดปากข้าเลย”


กู้ซีจิ่วเงียบไป


เธอหัวเราะเหอะๆ คราหนึ่ง ฝ่ามือตบไหล่อิงเหยียนนั่วทีหนึ่ง แย้มยิ้มแล้เอ่ยอย่างน่าพรั่นพรึง “จำคำเจ้าไว้!”


การทำภารกิจครั้งนี้แบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม และคนที่ออกมาก็มีมากมายยิ่งนัก มากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พื้นที่ที่ทุกคนไปแตกต่างกัน รับผิดชอบภารกิจที่ต่างกัน การจับกลุ่มก็แตกต่างกันไป และไม่ได้ยึดตามการจับกลุ่มต่อสู้ก่อนหน้านี้ไปเสียทั้งหมด


กลุ่มของกู้ซีจิ่วต้องการเพียงสองคน เดิมทีจิ้งจอกน้อยต้องการมากับเธอ แต่อิงเหยียนนั่วกลับยืนกรานว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะอยู่กลุ่มเดียวกับเธอ โยนหลานไว่หูไปอยู่กลุ่มเดียวกับเยี่ยนเฉินทันที


ด้านเยี่ยนเฉินก็เป็นห่วงจิ้งจอกน้อย จึงหลอกล่อแกมห่านล้อมให้จิ้งจอกน้อยรั้งอยู่ ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงพาอิงเหยียนนั่วมาด้วย…


ถึงแม้สำนักศึกษาชุมนมสวรรค์จะไม่เข้าร่วมข้อพิพาทระหว่างอาณาจักร แต่กลับไม่ยินยอมให้ปรากฏเหตุร้ายขึ้นในทวีปนี้


เมื่อมีเหตุร้ายปรากฏขึ้น สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ย่อมต้องส่งคนไปตรวจสอบปราบปราม คนของสำนักอื่นก็ส่งคนลงเขาเช่นเดียวกัน…


หนนี้จู่ๆ จักรพรรดิซวนก็เป็นบ้าปลุกปั่นให้เกิดสงครามครั้งนี้ขึ้น อันที่จริงไม่ว่าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์หรือว่าที่อื่นๆ ต่างเคยส่งคนมาลอบตรวจสอบ แต่ล้วนตรวจสอบไม่พบอะไรทั้งสิ้น


————————————————————————————-


บทที่ 936 อันที่จริงไม่จำเป็นต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้น


ตามกฎเกณฑ์ของทวีปนี้ โดยทั่วไปแล้วสงครามระหว่างอาณาจักรแต่ล่ะสำนักไม่มีสิทธิ์ยื่นมือแทรกแซง ดังนั้นสงครามครั้งนี้จึงทวีขึ้นเรื่อยๆ ดำเนินมาจนถึงตอนนี้ จวบจนยามนี้ไม่ทราบว่ามีประชาชนมากน้อยเพียงใดแล้วที่ต้องพลักถิ่นฐานบ้านเกิด ไม่ทราบว่ามีผู้คนมากน้อยเพียงใดที่ตกตายในสนามรบ…


หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าประชาชนของทั้งสามอาณาจักรล้วนต้องถูกลากเข้ามาในร่วมสงคราม สถานภาพของทวีปนี้ก็จะพลิกผันไปอีกครั้ง…


กล่าวกันว่าเจ้าสำนักของสามสำนักหลัก สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ รวมถึงสำนักฝึกยุทธ์ใหญ่น้อยทั้งหลายล้วนล้วนเสนอให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาคลี่คลายปัญหา วิงวอนให้เขาซึ่งเป็นผู้อาวุโสลงสนาม ยุติสงครามนี้


แต่กู่ฉานโม่สิ้นเปลืองความคิดจิตใจไปไม่น้อยกว่าจะติดต่อทูตส่างซั่นได้ บอกกล่าวความเห็นของทุกคน ครึ่งเดือนผ่านไปได้รับการตอบกลับจากทูตส่างซั่นประโยคเดียวว่า ‘ปล่อยไปตามกรรม’


กู่ฉานโม่โมโหจนจมูกแทบคดแล้ว!


ทุกคนล้วนทราบกันดี สถานการณ์ใต้หล้านี้ รวมกันนานเข้าก็ต้องแยก แยกกันนานแล้วจึงหลอมรวม แต่ไหนแต่ไรมาวงศ์ตระกูลทั้งหลายไม่อาจยืนยง แต่ถึงอย่างไรก็สงบสุขกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ทุกคนเคยชินกับกฎหมายของยุคที่ร่มเย็นเป็นสุขแล้ว ยามนี้จู่ๆ ก็เข้าสู่ยุคสงคราม ต้องมองเห็นประชาชนพลักถิ่นฐานเพราะเพลิงสงคราม ยากยิ่งนักที่ทุกคนจะรับได้ ล้วนอยากใช้ความสามารถตนมาคลี่คลายสถานการณ์


แต่กฏเกณฑ์ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เข้มงวดนัก ไม่อนุญาตให้สำนักยุทธ์ทั้งหลายเข้าร่วมสงคราม หากเข้าร่วมจะต้องรับโทษหนัก


ด้วยเหตุนี้ถึงแม้พวกเขาจะร้อนใจแต่ก็ไม่กล้าทำอะไร ทำได้เพียงส่งสายลับไปสืบข่าวคราวทุกหนทุกแห่งอยู่เป็นนิตย์


ด้านสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์หายวันก่อนสืบพบข่าวที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง ระยะนี้ในสนามรบมีศพสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย และมีคนคลุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล…


นี้ก็คือเรื่องร้าย!


ด้วยเหตุนนี้สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จึงรีบส่งคนจำนวนมากออกไปตรวจสอบเรื่องนี้ทันที แยกกันไปหลายทาง ยอดฝีมือแทบทั้งสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ล้วนต้องออกโรง!


กู่ฉานโม่พูดจายอดเยี่ยมนัก บอกว่าสำหรับพวกเธอแล้ว นี่ถือเป็นการทดสอบในสถานการณ์จริง! อย่าทำให้อาจารย์ใหญ่อย่างเขาผิดหวัง หวังหว่าทุกคนจะสามารถตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดให้ถึงที่สุดได้!


ภารกิจที่กู้ซีจิ่วได้รับมอบหมายคือตรวจสอบว่าจักรพรรดิซวนถูกวิญญาณร้ายอันใดสิงร่างหรือไม่…


ดังนั้นเธอจึงพาอิงเหยียนนั่วมา


เรื่องราวที่กู้ซีจิ่วเคยประสบพบเจอรุนแรงยิ่งกว่าการแก่งยิงชิงดีในวังหลวง ดังนั้นเธอขบคิดเพียงเล็กน้อยก็สัมผัสได้ว่ากุ้ยเฟยที่ถูกจักรพรรดิซวนประหารนางนั้นถูกปรักปรำ เป็นแผนที่จักรพรรดิซวนจงใจคิดขึ้นปลุกปั่นให้เกิดสงคราม จิ้งกุ้ยเฟยผู้นั้นและองครักษ์หวาล้วนเป็นแพะรับบาป


ด้านผลประโยชน์ทางการเมืองแล้ว ชื่อเสียงด่างพร้อยของสตรีนางหนึ่งไม่ควรค่าให้กล่าวถึง ในสายตาจักรพรรดิซวนที่ถูกความทะเยอทะยานด้านการเมืองเข้าครอบงำ ล้วนสละได้ทุกสิ่ง


กู้ซีจิ่วค่อยๆ ตรวจสอบแล้วนำมาวิเคราะห์ก็สามารถคาดเดาได้แปดเก้าส่วนแล้ว เธอรู้จักจิ้งกุ้ยเฟยผู้นั้น ดังนั้นเธอจึงแปลงโฉมเป็นจิ้งกุ้ยเฟยไปหลอกจักรพรรดิซวนให้ตกใจกลัวได้


ถือโอกาสตรวจสอบว่าที่แท้เกิดอะไรขึ้นกับเขา ถูกวิญญาณร้ายอันใดสิงร่างหรือไม่…


จากบทสนทนากู้ซีจิ่วทราบว่าจักรพรรดิซวนคนนี้ยังเป็นจักรพรรดิซวนคนนั้น อย่างน้อยดวงวิญญาณก็ยังเป็นดวงเดิม จากนั้นเธอจึงสงสัยว่าเขาอาจเสพยา


ความจริงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าในร่างของจักรพรรดิซวนมีสารเคมีของยุคปัจจุบันอยู่จริงๆ


เนื่องจากเหตุผลทางเทคนิค เธอเลยตรวจสอบยังไม่ได้ว่าเป็นสารชนิดไหน จึงไม่สามารถผลิตยาถอนได้


กู้ซีจิ่วกำหมัด “ถ้าหลงซือเย่อยู่ที่นี่ก็คงดี”


หลงซีเป็นหมอ และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาด้วย ด้วยความสามารถของเขา น่าจะผลิตยาถอนได้รวดเร็วยิ่ง


อิงเหยียนนั่วเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง เม้มริมฝีปาก ประกายแสงวาบผานดวงตาเขาแวบหนึ่ง เอ่ยเนิบๆ ว่า “อันที่จริงไม่จำเป็นต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้น”


กู้ซีจิ่วสะกิดใจทันที “ความหมายของเจ้าคืออะไร? สังหารจักรพรรดิซวนทิ้งหรือ?”


————————————————————————————-



บทที่ 937 คิดถึงผู้อื่นจนบ้าไปแล้ว


กู้ซีจิ่วสะกิดใจทันที “ความหมายของเจ้าคืออะไร? สังหารจักรพรรดิซวนทิ้งหรือ? แต่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ สังหารเขาจะทำให้เกิดความโกลาหลในอาณาจักรเฟยซิง ขณะนี้ผู้ที่ประจำการอยู่ในเมืองหลวงคือหรงฉู่ หรงฉู่ผู้นี้นิสัยกำเริบเสิบสานหุนหันพลันแล่น ไม่เหมาะจะเป็นจักรพรรดิ หากเขาขึ้นครองราชย์จะต้องก่อสงครามนองเลือดที่หนักกว่าเดิมขึ้นโดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อล้างแค้นจักรพรรดิซวนเป็นแน่ และเรื่องนี้คล้ายจะมีคนที่ลอบบงการอยู่เบื้องหลัง หากไม่กำจัดคนที่บงการอยู่เบื้องหลังผู้นั้น เปลี่ยนจักรพรรดิสักกี่คนก็ไม่มีประโยชน์…”


อิงเหยียนนั่วแย้มยิ้ม ดวงตาทอประกายนิดๆ “ลูกพี่กู้ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเข้าใจเรื่องความรุ่งเรืองเสื่อมโทรมของอาณาจักรนี้อย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ถ้างั้นเจ้าว่า ผู้บงการอยู่เบื้องหลังคนนั้นเป็นใคร?”


กู้ซีจิ่วเหล่มองเขาแวบหนึ่ง ตบไหล่เขาเบาๆ “เจ้าเด็กน้อยอย่าแสร้งทำเป็นลับลมคมในเช่นนี้เลย คนที่บงการอยู่เบื้องหลังผู้นั้นข้าพูดไปก็ยังไม่แน่ว่าเจ้าจะรู้จัก เอาล่ะ เจ้าออกไปก่อน ข้าจะเก็บข้าวเก็บของเสียหน่อย พวกเราจะมุ่งสู่แนวหน้า ข้าสงสัยว่าทัพลับอันแข็งแกร่งอันใดที่จักรพรรดิซวนพูดออกมาก็มีปัญหาเช่นกัน!”


เธอเริ่มเก็บขวดและกระปุกเหล่านั้น อิงเหยียนก็เชื่อฟังคำพูดของเธอ หันหลังเดินออกไป


กู้ซีจิ่วมองเงาหลังของเขาแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววใคร่ครวญลึกซึ้ง


เธอรู้สึกอยู่เสมอว่าอิงเหยียนนั่วผู้นี้ค่อนข้างประหลาด อายุยังน้อยแต่เรื่องราวที่รู้กลับมากมายยิ่ง!


สิ่งที่เรียนรู้ก็ซับซ้อนนัก เขาเป็นวิชาเนตรสะกดจิต หลังจากไต่สวนคนเสร็จสิ้นสามารถใช้วิชาเนตรลบความทรงจำส่วนนี้ของผู้ถูกไต่สวนได้ ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น…


แถมยังฉลาดล้ำเลิศ มีอยู่หลายครั้งนักที่เธอไม่จำเป็นต้องพูดเพียงส่งสัญญาณมือเล็กน้อย เขาก้เข้าใจแล้วว่าควรทำอะไร จัดการเรื่องราวได้เรียบร้อยหมดจดจนน่ากลัว


เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงความเมามายครั้งนั้น เธอดื่มไปไม่น้อย อิงเหยียนนั่วก็ดื่มไม่น้อยเช่นกัน


แต่เธอเมาจนร่วงลงมาจากต้นไม้ร่วงสู่อ้อมแขนของคนผู้หนึ่ง หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย คงเป็นอิงเหยียนนั่วที่รับเธอไว้ ระหว่างที่สะลึมสะลืออยู่เธอคล้ายจะได้กลิ่นของตี้ฝูอี ไม่รู้ว่าได้กลิ่นจริงๆ หรือเมาจนจมูกเพี้ยนไป…


กู้ซีจิ่วรู้ว่าตี้ฝูอีเชี่ยวชาญการปลอมตัว หนึ่งคนพันโฉมหน้าหลอกให้ผู้อื่นหัวหมุนได้ ดังนั้นหลังจากสร่างเมาในใจเธอจึงเกิดความหวังขึ้นเล็กน้อย หวังว่าเขาจะเป็นตี้ฝูอี หวังว่าเขากลับมาพบเธอจริงๆ…


ดังนั้นหลังจากสร่างเมาเธอจึงไปหาเขา พูดจาเป็นนัยๆ อยู่นานสองนาน ก็หลอกถามอะไรมาไม่ได้เลย


เธอแน่ใจว่ากลิ่นที่รับรู้ได้คือกลิ่นดวงวิญญาณของตี้ฝูอี แต่ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เข้าใกล้ในระยะประชิดยิ่ง ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วที่ร้อนรนใจ จึงจงใจสะดุดล้มแล้วโผใส่อ้อมอกเขา ล้มทับเขาอยู่ตรงนั้น ผลคือกลิ่นที่ได้จากตัวเขาแตกต่างกับตี้ฝูอีอย่างสิ้นเชิง


ฝ่ายอิงเหยียนนั่วคอนที่ถูกเธอทับไว้ข้างล่างก็แข็งทื่อไปทั้งตัว ผลักเธอออกทันทีราวกับเธอเป็นภัยพิบัติร้ายแรง ทั้งกลิ้งทั้งคลานหลบออกด้านข้าง ซ้ำยังกล่าวอะไรทำนองว่าชายหญิงมิพึงชิดเชื้อด้วย ขอให้ภายหน้ากู้ซีจิ่วอย่าเข้าใกล้เขาถึงเพียงนั้นอีก…


วาจาประโยคเดียวทำให้กู้ซีจิ่วเหน็บหนาวไปทั้งใจ ก่นด่าความประสาทของตน คิดถึงผู้อื่นจนบ้าไปแล้ว เห็นเด็กน้อยยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้หนึ่งเป็นตี้ฝูอีไปได้…


วันนั้นอิงเหยียนนั่วหลีกลี้หนีหน้าเธอทั้งวัน ยามที่พบเห็นเธฮดวงตาจะเต็มไปด้วยความระแวดระวัง หวาดหวั่นว่าเธอจะโผเข้าใส่แล้วข่มเหงเขา ทำให้กู้ซีจิ่วอับจนวาจายิ่งนัก


เดิมทีเธอยังนึกว่าตนคงทำให้เจ้าเด็กน้อยคนนี้ขุ่นเคืองเสียแล้ว ต่อไปเจ้าเด็กน้อยผู้นี้คงไม่เข้าใกล้เธออีก กลับนึกไม่ถึงว่าวันถัดมายามที่กู่ฉานโม่แบ่งกลุ่มย่อย เจ้าคนผู้นี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะไปกับเธอให้ได้…


ตลอดการเดินทางครั้งเจ้าเด็กน้อยปฏิบัติต่อเธออย่างประเดี๋ยวอบอุ่นประเดี๋ยวเย็นชา ทำให้คนค่อนข้างเดาทางไม่ออก


สุดท้ายกู้ซีจิ่วก็สรุปความว่าเป็นช่วงวัยต่อต้านของเด็กหนุ่มในช่วงวัยรุ่น ไม่ใส่ใจเขามากนัก


————————————————————————————-


 บทที่ 938 ช่างเป็นเงามืดในจิตใจอย่างร้ายแรงโดยแท้!


โชคดีที่ถึงแม้เจ้าเด็กคนนี้จะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่กลับเป็นคู่หูที่ยอดเยี่ยมมาก ทำให้กู้ซีจิ่ว ทำให้กู้ซีจิ่วคลายไปไม่น้อย


จะว่าไปก็แปลก กู้ซีจิ่วมักจะเลอะเลือนมองเห็นเงาของตี้ฝูอีบนร่างเขาบ่อยๆ ทำให้เธอค่อนข้างจนคำพูด สุดท้ายเธอจึงสรุปอาการของตัวเองว่าเป็น ‘ไข้ใจจนกลายเป็นโรคประสาท’


การตัดสินด้วยอารณ์เช่นนี้ดูไม่ฉลาดเลย ดังนั้นเธอจึงไม่เก็บมาใส่ใจ


ศิษย์ที่สามารถเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ได้ล้วนมีภูมิหลังวงศ์ตระกูลกระจ่างแจ้งชัดเจนยิ่งนัก อิงเหยียนนั่วผู้นี้เป็นบุตรชายราชครูแห่งอาณาจักรเจาหยาง ได้รับการแนะนำร่วมกันจากเชียนเยวี่ยหร่าน ฮวาอู๋เหยียน ทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ยรวมถึงหลงซือเย่ด้วย คนที่มีภูมิหลังวงศ์ตระกูลกระจ่างแจ้งถึงเพียงนี้จะเป็นตี้ฝูอีปลอมตัวมาได้อย่างไร?


ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอเคยให้เจ้าหอยยักษ์ดมกลิ่นอายบนร่างอิงเหยียนนั่วผู้นี้แล้ว เจ้าหอยยักษ์ก็บอกว่าไม่มีจุดที่คล้ายคลึงกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเลยสักนิด


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตนคิดมากเกินไปแล้วจริงๆ!


ขณะเธอเก็บกวาดข้าวของอยู่ตรงนี้ บนกำแพงนอกเรือน อิงเหยียนนั่วที่สวมชุดดำยืนอยู่ตรงนั้นแทบจะกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับรัตติกาล เขาหลุบตามองมือตน มือที่เป็นมือของเด็กหนุ่ม เล็กกว่ามือของเขาในวัยผู้ใหญ่มาก…


เมื่อไหร่เขาถึงจะกลับเป็นปกติได้?


เขาดีดนิ้วเบาๆ คราหนึ่ง คล้ายจะส่งสัญญาณบางอย่าง


ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่เตี่ยนก็ร่อนลงใต้กำแพงเบาๆ ปานหมอกควัน ค้อมกายทำความเคารพอิงเหยียนนั่ว “นายท่าน!”


“มู่เตี่ยน ข้าจะไปตรวจสอบเรื่องราวบางอย่าง เจ้าต้องเฝ้าระวังอยู่ข้างกายนาง ห้ามมีข้อผิดพลาดอันใดทั้งสิ้น!” อิงเหยียนนั่วสั่งการ


มู่เตี่ยนชะงักไปเล็กน้อย “ขอรับ!”


อิงเหยียนนั่วพยักหน้านิดๆ กำชับเขาอีกหลายประโยค จากนั้นร่างก็แวบหายไปทันที


มู่เตี่ยนถูใบหน้าอย่างขมขื่น เริ่มหดกระดูกด้วยวิธีที่คุ้นชิน ผ่านไปครู่หนึ่งร่างกายก็เหมือนอิงเหยียนนั่วทุกประการ จากนั้นก็ปรับแต่งใบหน้า พริบตาเดียวเขาก็กลายร่างเป็นอิงเหยียนนั่วยืนอยู่บนกำแพง เหม่อมองสายลมต่อไป


อดจะคร่ำครวญอยู่ในใจไม่ได้


นายท่าน ท่านอยากเปลี่ยนสถานะติดตามนางในดวงใจข้าน้อยพร้อมสนับสนุนยิ่ง แต่เหตุใดท่านไม่เปลี่ยนให้ร่างกายสูงกว่านี้หน่อยเล่า?


เขาเป็นชายชาตรีที่สูงหนึ่งร้อยแปดสิบเนติเมตรคนหนึ่งให้หดกายเป็นหนุ่มน้อยหน้าหยกเช่นนี้ ช่างเป็นเงามืดในจิตใจอย่างร้ายแรงโดยแท้!


โดยเฉพาะสาวน้อยผู้นั้นที่มาลองเชิงเขาอยู่เสมอ ตอนที่โผใส่เขาจนล้มลงบนพื้นวันนั้นน่าสะพรึงนัก…


เมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นมู่เตี่ยนก็ปวดตับยิ่งนัก ถึงแม้รสนิยมทางเพศของเขาจะเป็นปกติ มีสาวงามมาซุกอกทำให้ความมั่นใจในตัวเขาเอ่นล้นออกมา แต่สาวงามนางนี้เป็นสตรีของนายท่าน เขาไหนเลยจะกล้าแตะต้อง?! ยังต้องการชีวิตอยู่นะ!


อันที่จริงมู่เตี่ยนเชี่ยวชาญกรปลอมตัวยิ่ง และนายท่านของเขาก็ชอบการละเล่นหนึ่งคนพันโฉมหน้า มีหลากรูปลักษณ์สารพัดนิสัย บางครั้งมู่เตี่ยนก็ต้องสวมรอยเป็นตัวตนเหล่านั้นจัดการเรื่องราวแทนนายท่าน ต่อให้เมื่อก่อนนายท่านจะมีฐานะปลอมคือพ่อค้าเร่ แต่ก็เป็นพ่อค้าเร่ที่เรือนกายสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลา นี่เป็นครั้งแรกที่ปลอมเป็นเด็กน้อยอ่อนเยาว์เช่นนี้ โดยเฉพาะเด็กน้อยที่นุ่มนิ่มถึงเพียงนี้ด้วย…


ทุกครั้งที่มู่เตี่ยนมารับช่วงต่อจะรู้สึกกดดันยิงนัก รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าละครฉากนี้แสดงยากเป็นที่สุด…


ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ออกมา มอง ‘อิงเหยียนนั่ว’ ที่ยืนบนกำแพงแวบหนึ่ง “เจ้ารอยู่ที่นี่ก่อนสักครู่ ข้าไปแปบเดียวเดี๋ยวก็กลับมา”


‘อิงเหยียนนั่ว’ อะจะเอ่ยถามไม่ได้ “เจ้าจะไปไหน?”


กู้ซีจิ่วหยักยิ้มแวบหนึ่ง “เด็กน้อยอย่าได้ซักถามให้มากความ!” จากนั้นร่างกายพลันส่องแสงแวบหนึ่งเคลื่อนย้ายจากไปโดยตรง


‘อิงเหยียนนั่ว’ พูดไม่ออก เขาร้อนใจนัก อยากไล่ตามแต่ก็ไม่รู้ว่าควรตามไปที่ไหนดี…


….


ณ วังค้ำนภา


กู้ซีจิ่วยืนอยู่หน้าประตู มองบานประตูที่ปิดสนิทเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง


ยามที่เธอกลับมาถึงอาณาจักรเฟยวิงก้สอบถามจนชัดเจนแล้ว ช่วงที่ผ่านมานี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมิได้กลับมาที่วังค้ำนภาเลย


————————————————————————————-

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)