องครักษ์เสื้อแพร 929-930

 ตอนที่ 929 ไม่อยากทำ แต่ไม่อาจไม่ทำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงได้รับจดหมายจากหลี่ตงฉวิน ก็รีบไปตามบุตรชายรองหลี่หรูป๋อมาหารือ หลี่เฉิงเหลียงอายุมากแล้ว งานต่างๆ ในกองทัพก็ไม่อยากยุ่งมากนัก บุตรชายคนโตหลี่หรูซงไปเป็นผู้บัญชาการประจำอยู่เมืองเซวียนฝู่ หลี่หรูป๋อกลับช่วยงานอยู่ข้างกายหลี่เฉิงเหลียง เขานับว่าเป็นรองแม่ทัพตัวจริง


สำหรับตำแหน่งรองแม่ทัพจริงๆ นั้นแม้เป็นหม่าหลิน แต่เพราะไม่ใช่คนในกลุ่มขุนพลตระกูลหลี่ ปกติจึงไปประจำอยู่เสิ่นหยาง เป็นเขตใหญ่อันดับสองของเมืองเหลียวโจว รองแม่ทัพเช่นเขาอยู่ที่นั่น ก็เรียกได้ว่าใหญ่โตไม่น้อย


ในจวนแม่ทัพใหญ่เมืองเหลียวโจวธรรมเนียมมาก ในเมื่อแม่ทัพใหญ่กับแม่ทัพน้อยหารือกัน ทหารติดตามย่อมต้องออกเฝ้าด้านนอกไว้ไกลๆ ไม่ให้เข้าใกล้  หากเข้าใกล้ก็จะตัดหัวทิ้งทันที


“เจ้าหวังทงช่างเหิมเกริมสิ้นดี!!”


ตอนซือเย๋กับทหารติดตามอยู่ข้างกาย หลี่เฉิงเหลียงยังวางท่าเช่นแม่ทัพใหญ่ แต่พอบุตรชายตนเข้ามา ก็ระเบิดอารมณ์ออกมาทันที หลี่เฉิงเหลียงใบหน้ากลมตาเรียวเล็ก รูปร่างใหญ่โต แม้ว่าสวมชุดผ้าฝ้ายติดกระดุม แต่ก็ยังแสดงให้เห็นถึงบารมีองอาจผ่าเผย แต่ทว่าหากดูใบหน้าให้ดี เหมือนจะเริ่มอ้วนหน่อยแล้ว


เขาส่งจดหมายให้หลี่หรูป๋ออ่าน นั่งจิบน้ำขาอยู่ที่โต๊ะต่อ กล่าวรุนแรงขึ้น เนื้อหาจดหมายนั้นหลี่หรูป๋อรู้แล้ว เขากล่าวว่า


“ท่านพ่อ หวังทงได้คืบเอาศอก เขาพูดเรื่องพวกนี้ หากคิดจะหาเรื่องในราชสำนักก็คงไม่ยากอันใด เมืองชายแดนทั้งเก้านี้ มณฑลทหารใต้หล้าผู้ใดบ้างไม่เป็นเช่นนี้ หรือว่าราชสำนักไม่รู้?”


หลี่เฉิงเหลียงไม่ตอบ หลี่หรูป๋อก้มหน้าคิด กล่าวว่า


“ท่านพ่อ เงินทองที่เราได้หว่านไปในเมืองหลวงมากมาย พวกขุนนางบุ๋นถึงตอนนั้นก็คงช่วยเราพูด หวังทงครั้งนี้ให้นายกองออกหน้า เราก็หานายกองไปโต้คืนก็ได้นี่ จะไปถามหวังทงอีกทำไม หรือเขาต้องการอะไร เงินทองผลประโยชน์ก็ให้ไปก็แล้วกัน”


หลี่หรูป๋อปกติชอบอ่านหนังสือดูงิ้วที่สุด ที่เหลียวหยางถึงกับตั้งโรงงิ้วสองโรงโดยเฉพาะ เชิญคณะงิ้วมีชื่อจากที่ต่างๆ มาแสดง หรือว่าให้นักเล่านิทานเล่าเรื่องสามก๊ก ให้เขาวิเคราะห์ก็ยากอยู่ แต่ทว่ามีประสบการณ์ มีใจคิดทำ ก็ย่อมพอทำได้


เขากล่าวมา หลี่เฉิงเหลียงเหมือนคิดได้หมดแล้ว เขานั่งอึ้งก่อนจะลุกเดินไปมุมหนึ่ง ห้องหนังสือผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวมีชุดเกราะกับอาวุธเรียงอยู่ หลี่เฉิงเหลียงหยิบธนูที่กำแพงออกมา  กะน้ำหนักในมือน้าวสาย จากนั้นก็โยนลงพื้น ถอนหายใจกล่าวว่า


“ใช้ชีวิตสบายมานาน แม้แต่ธนูก็น้าวไม่ได้”


“ท่านพ่อไหนเลยกล่าววาจาเช่นนี้ ท่านพ่อองอาจกล้าหาญ ข้าผู้เป็นบุตรชายยังไม่อาจเทียบได้ เหตุใดจะ……”


พวกฝึกยุทธหาวาจาปลอบสองคำได้แค่นี้ หลี่เฉิงเหลียงแค่นยิ้ม  กล่าวว่า


“หวังทงฝากวาจามา เขาว่าเราหลายปีก่อนไม่ขยับ คิดจะมาขยับตอนนี้ก็ไม่อาจขยับแล้ว วาจานี้เจ้าเข้าใจหรือไม่?”


หลี่หรูป๋อส่ายหน้า หลี่เฉิงเหลียงกล่าวว่า


“ตอนนี้มีกองกำลังหู่เวยอยู่ หวังทงกับตระกูลลี่เมืองจี้โจว ตระกูลหม่าเมืองเซวียนฝู่  สายสัมพันธ์แนบแน่น เราเมืองเหลียวโจวแม้อำนาจมาก แต่หากต้อง….เฮ้อ แม้ตอนนั้น ข้าเองยังไม่กล้าพูดว่าจะชนะชีจี้กวงได้หรือไม่……”


หลี่เฉิงเหลียงกล่าวเสียงเบามาก หากหลี่หรูป๋อกลับสะดุ้ง ลังเลกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า


“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ทางนั้นจงรักภักดีราชสำนักมาก ทางเราก็มีสองสามคนที่สนิทกับหม่าหลิน เรื่องนี้…..”


“เรื่องพวกนี้ ไหนเลยต้องให้เจ้ามาเตือน แต่หวังทงกล่าวมานั้น ข้าก็แค่กล่าวตามต่อก็เท่านั้น ตระกูลหลี่เรามีวันนี้ได้เพราะคุณแผ่นดินหมิง พระเมตตาจากฮ่องเต้ ความคิดเหลวไหลพวกนั้น เจ้าอย่าได้คิด แม้คิดก็ไม่อาจคิด!!”


น้ำเสียงอยู่ๆ ดุดันขึ้นมา หลี่หรูป๋อหดคอรีบรับคำ หลี่เฉิงเหลียงกล่าวจบก็ระบายต่อว่า


“หากจะใช้ขุนนางบุ๋นไปสู้กับหวังทง เราอยู่ไกลเพียงนี้ เขาอยู่ราชสำนัก ใกล้มากกว่าเรา สุดท้ายยังไม่รู้ว่าจะมีเรื่องพัวพันกันไปถึงเมื่อไร จะมีโทษอันใดโยนใส่ตระกูลหลี่เราอีก”


กล่าวจบก็ถอนหายใจ หลี่หรูป๋อเงียบไปพักก่อนจะกล่าวว่า


“ท่านพ่อหรือว่ารับปากเรื่องตำแหน่งรองแม่ทัพภาค ซุนโส่วเหลียนเดิมก็กินพื้นที่กองกำลังฝ่ายขวาติ้งเหลียว หลายปีนี้ขยายตัวใหญ่ เป็นรองแม่ทัพภาคก็แค่ได้ชื่อมาเพิ่ม จะว่าไป เขาแม้มีตำแหน่งรองแม่ทัพภาค ก็ยังคงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาท่านพ่ออยู่ดี เมืองเหลียวโจวจะมีพื้นที่ให้เขาได้พลิกอันใดได้หรือ?”


ให้หลี่เฉิงเหลียงเอ่ยมอบตำแหน่งให้ซุนโส่วเหลียนเอง เขาย่อมไม่อาจยอมกระทำ รู้สึกเสียหน้า หลี่หรูป๋อก็รู้ว่าตอนนี้ต้องหาทางลงให้บิดาตน


ได้ฟังเช่นนี้ หลี่เฉิงเหลียงก็เงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายยังคงถอนหายใจกล่าวว่า


“ล้วนเป็นขุนนางแผ่นดินหมิง ข้าจะมาถือศักดิ์ศรีอันใด เจ้าไปจัดการได้ ยื่นฎีกา ว่าตอนนี้เหลียวตงมีความซับซ้อน ต้องการให้จัดตั้งตำแหน่งรองแม่ทัพภาค”


หลี่หรูป๋อรีบรับคำ พ่อลูกสีหน้าล้วนไม่ดีนัก เมืองเหลียวโจวเดิมเป็นพื้นที่หนึ่งตระกูล ราชสำนักให้หม่าหลินมาเป็นรองแม่ทัพก็ไม่อาจแทรกแซงอันใดมาก คิดไม่ถึงว่าไปๆ มาๆ ถึงกับเป็นตนเองที่ลงมือแบ่งเอง


จะว่าไป ล้วนเป็นเพราะหวังทง หวังทงยกทัพขึ้นเหนือปราบเมืองกุยฮว่าเฉิงมีชัยชนะรุ่งโรจน์เช่นนั้น เมืองเหลียวโจวยกทัพไปตะวันตกปราบตัวหลุน แม้ว่ามีชัย แต่เทียบกับที่หวังทงได้ชัยแล้ว เรียกได้ว่าน้อยกว่ามาก


ขุนนางบู๊เทียบกันว่าใครใหญ่กว่าดูจากอันใด ก็ย่อมดูจากความสามารถการต่อสู้ ได้รับชัยชนะมาเท่าไร เดิมใต้หล้าล้วนกล่าวถึงหลี่เฉิงเหลียง ชีจี้กวง หากตอนนี้มีแต่หวังทงส่องประกายเฉิดฉาย แม้แต่ชื่อเสียงเมืองเหลียวโจวก็ลดลงไปมาก เรื่องราวยุ่งยากใจต่างๆ เริ่มตามมา


แน่นอนตระกูลหลี่ย่อมไม่รู้สึกว่าเป็นคนเริ่มต้นหาเรื่องก่อน ตนเองผิดก่อน แต่ย่อมทอดถอนใจกับวันนี้ที่ไม่เหมือนวันวาน ต้องหาทางจัดการเรื่องนี้ให้ได้ หลี่เฉิงเหลียงถอนหายใจกล่าวว่า


“ลูกน้องซุนโส่วเหลียน เจ้าลองดู คนไหนที่เปลี่ยนย้ายได้ก็รีบเปลี่ยนย้ายให้เร็ว อย่าให้ซุนโส่วเหลียนได้ใจเกินไป อีกเรื่อง ให้ตงฉวินส่งของขวัญหนักให้หวังทง วันหน้ายังมีเรื่องต้องคบหากันอีกมาก”


หลี่หรูป๋อรับคำ กำลังออกไปจัดการ กลับถูกหลี่เฉิงเหลียงเรียกไว้ หลี่เฉิงเหลียงท่าทางเหนื่อยล้าถามขึ้น


“เจี้ยนโจวทางนั้นเอาอย่างไร? ผู้แทนพระองค์อีกไม่กี่วันก็จะมาแล้ว ทุกอย่างต้องจัดการให้เรียบร้อย อย่าให้เกิดเรื่องได้!”


หลี่หรูป๋อสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่ทว่าก็ยังคำนับกล่าวว่า


“ท่านพ่อ หญิงนั่นน่าเบื่อหน่ายนัก พ่อค้าที่ไปเจี้ยนโจวสองสามคนวันก่อนก็เจอกับโจรม้า ไม่มีรอดชีวิตกลับมา”


พูดถึงตรงนี้  ลังเลครู่หนึ่งก็กล่าวว่า


“ท่านพ่อ หลี่ผิงหูทางนั้นรวมกำลังทหารแล้ว เจี้ยนโจวปกติก็กตัญญูดี จะลงมือจริงหรือ?”


“รบ อย่างไรต้องรบ เจี้ยนโจวเมืองเดียวจะกระไรนัก”


หลี่เฉิงเหลียงกล่าวหนักแน่น หลี่หรูป๋อคำนับรับคำ หลี่เฉิงเหลียงกล่าวอีกว่า


“บนสนามรบเปลี่ยนแปลงไปมา พวกโจรเจี้ยนโจวก็เล่ห์เหลี่ยมมาก และยังเชี่ยวชาญพื้นที่ รู้เส้นทางหมด ให้หลี่ผิงหูค่อยๆ รบ ควรสั่งสอนเจี้ยนโจวเสียบ้าง พวกใกล้ทางเผ่าหนี่วิ์เจินล้วนมาฟ้องนานแล้วว่า พวกป่าเถื่อนมักไปปล้นชิง เผ่าหนี่วิ์เจินเจี้ยนโจวหากยังไม่ยอมหยุด ทุกคนก็คงเอาตัวไม่รอดกันหมด ผู้ใดให้ความกล้าเขากัน มือเท้าเขาถึงกับยื่นไปเสียยาวเช่นนั้น!”


หลี่หรูป๋อยิ้ม คำนับรับคำ มีคำสั่งค่อยๆ รบ ผู้ใดก็รู้ว่าควรติดพันรบกับเผ่าหนี่วิ์เจินแห่งเจี้ยนโจวแล้ว


เมืองเหลียวโจวตั้งอยู่นอกด่าน เป็นพื้นที่ตนเอง ในความจริงนั้นก็คือสวรรค์น้อยๆ ของตน ขุนพลเหลียวหยางนับเป็นศูนย์กลาง ที่อื่นเป็นแค่กิ่งก้าน แม่ทัพใหญ่ไม่พอใจข่าวซุนโส่วเหลียน แม้ว่าไม่ได้แสดงท่าทีอันใดแต่ต้นจนจบ ถึงกับหลังปีใหม่มา ยามซุนโส่วเหลียนไปไหนมาไหน ทุกคนยังคงสีหน้ายิ้มเกรงใจ แต่ข่าวยังแพร่ออกไปและสร้างผลกระทบอย่างเช่นว่า  ที่เมืองหวงเฟิ่งเฉิง กองกำลังฝ่ายขวาติ้งเหลียว หากเป็นปีใหม่ก่อนๆ หน้าจวนตระกูลซุนล้วนราวตลาด ปีนี้กลับเงียบเหงา


เมื่อก่อนการค้ากองกำลังฝ่ายขวาติ้งเหลียวกับเกาหลีและที่นาดีที่นั่นล้วนไม่มีคนกล้าแตะต้อง  แต่ตอนนี้มีคนคิดมาแย่งชิง หากเป็นเมื่อก่อน ตระกูลซุนก็ย่อมใช้อาวุธเข้าสังหารขับไล่ แต่ตอนนี้กลับต้องเจรจาแทน เหตุผลร้อยพัน ล้วนแสดงให้เห็นว่าซุนโส่วเหลียนจบสิ้นแล้ว ตระกูลซุนล้มแล้ว


เดือนสิบสอง เดือนหนึ่งผ่านไป มาถึงเดือนสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 มารดาซุนโส่วเหลียนจัดงานวันเกิด เดิมคิดว่าจะเงียบเหงา แต่คิดไม่ถึงว่าหลี่หรูเหมยแห่งเมืองเหลียวโจวมาคารวะอวยพรด้วยตนเอง หลี่หรูเหมยเป็นบุตรชายคนที่สามของหลี่เฉิงเหลียง เขาออกหน้าแน่นอนย่อมเป็นตัวแทนตระกูลหลี่ ท่าทีแสดงให้เห็นชัดเจนถึงเรื่องราวต่างๆ ตอนนี้


ซุนโส่วเหลียนเป็นขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวไม่นับว่าเป็นอันดับหนึ่ง มารดาเขาจัดงานวันเกิดปกติไม่ได้รับการตอบรับเช่นนี้ แต่ตอนนี้บุตรชายแม่ทัพใหญ่มา เรียกได้ว่าอะไรกัน


มีคนคิดถึงข่าวผู้แทนพระองค์มาเมืองเหลียวโจว กับเรื่องหลี่หรูเหมยมาเมืองหวงเฟิ่งเฉิง ก็เข้าใจทันที ซุนโส่วเหลียนย่อมไร้ปัญหาแล้ว ที่ทำให้คนคิดไม่ถึงก็คือ ซุนโส่วเหลียนที่ทุกคนคิดว่ามีเพียงหัวการค้า ถึงกับมีความสามารถเช่นนี้ได้ ถึงกับมีสายสัมพันธ์อิทธิพลอำนาจเมืองหลวงได้ ทำให้พวกแม่ทัพใหญ่ต้องยอมก้มหัวให้


แน่นอน ไม่มีผู้ใดแย่งชิงการค้า ไม่มีผู้ใดแย่งชิงที่นา ซุนโส่วเหลียนอายุ 40 ต้นๆ มารดาจัดงานเลี้ยงวันเกิดอยู่ เขาก็เกือบร้องไห้ออกมา สิ่งที่อัดอั้นมานานทลายลงทันที ใต้เท้าหวังช่วยเหลือได้จริงๆ!


ได้ยินข่าวหลี่หรูเหมยมาอวยพร เดิมงานเลี้ยงที่เงียบเหงา แน่นอนก็ย่อมเริ่มคึกคักขึ้นมา หน้าประตูจวนก็ราวกับ ตลาดสด ซุนโส่วเหลียนเองก็ไม่ขี้เหนียว พอจบงานเลี้ยง ตกค่ำก็ส่งมอบของขวัญใหญ่ ให้บุตรชายตนซุนเผิงจวี่อายุ 17 ปี เดินทางไปเมืองหลวง ก่อนเดินทางไปก็สั่งความให้เข้าใจว่า


“ครั้งนี้ไปเมืองหลวง เจ้าอย่าได้คิดกลับมา ต้องอยู่กับใต้เท้าหวังต่อ เป็นทหารในสังกัด หากเป็นได้ ก็ย่อมเป็นวาสนาตระกูลเรา หากไม่ได้ กลับมาก็จะโบยเจ้าลูกหมาเช่นเจ้า อย่าทำหน้าตาเช่นนั้น ตำแหน่งนายกองเจ้านี้สถานะเทียบกับทหารในสังกัดใต้เท้าหวังแล้วไม่รู้ห่างกันกี่ขั้น!!”


ในเดือนสาม ซุนโส่วเหลียนก็มีข่าวว่าจะได้เป็นรองแม่ทัพภาค ซุนโส่วเหลียนสถานะไม่เหมือนเดิมแล้ว


ปลายเดือนสาม ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 ผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงยื่นฎีกา ขอตั้งตำแหน่งรองแม่ทัพภาค ณ กองกำลังฝ่ายขวาติ้งเหลียว ประจำเหลียวตง


ตอนที่ 930 หาเรื่อง

โดย

Ink Stone_Fantasy

บรรดาขุนนางยื่นฎีกาเพื่อให้ลดอำนาจตน ฮ่องเต้ย่อมไม่มีไม่อนุญาต เรื่องน่ายินดีไยไม่กระทำเล่า?


ฎีกาผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงได้รับอนุมัติรวดเร็ว และฮ่องเต้ว่านลี่ยังให้เกียรติมาก แม้ว่าเมืองเหลียวโจวมีตำแหน่งรองแม่ทัพภาคมาแบ่งพื้นที่ แต่ไม่ได้ใช้คนนอก หากเป็นการใช้คนของหลี่เฉิงเหลียงอย่างซุนโส่วเหลียนมารับตำแหน่ง


 คนนอกมองมาแล้ว หลี่เฉิงเหลียงทูลขอเอง ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงทำตาม สองฝ่ายไว้หน้ากันอย่างมาก ล้วนเป็นเรื่องน่ายินดี


แน่นอนไม่มีผู้ใดรู้ว่า ตระกูลหลี่เคยคิดจัดการซุนโส่วเหลียน เรื่องนี้ล้มเหลวกลางทาง ย่อมไม่มีผู้ใดคิดว่าในเรื่องนี้มีประเด็นซ่อนอยู่


หลี่เฉิงเหลียงรู้ความเช่นนี้ ผู้แทนพระองค์ไปเมืองเหลียวโจวตรวจสอบแน่นอนย่อมตรวจไม่พบสิ่งใด อยู่ที่นั่นไม่กี่วัน เดินไปมาสองสามรอบก็กลับมา พอกลับมาก็รายงานว่าไม่พบอันใดผิดปกติ เมืองเหลียวโจวนับว่าจงรักภักดีในหน้าที่ยิ่ง


วันที่ 21 เดือนสาม ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 บุตรบุญธรรมผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียง หลี่ผิงหู่นำกำลังออกรบนอกเมือง เริ่มสั่งสอนเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจว


รบรอบแรกได้ชัย ถือโอกาสอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว โจมตีพวกป่าเถื่อนทางตะวันออกต่อ ตัดหัวมาได้ 30 กว่า พวกป่าเถื่อนพ่ายแพ้กระเจิง พวกพ่อค้าชายแดนทางนี้ได้ยินข่าวมาว่า พวกที่ถูกตัดหัวทิ้งล้วนไม่ใช่เผ่าจากเจี้ยนโจว กลับเป็นพวกชาวบ้านจากเผ่าอื่นที่มาขอพึ่งพิง เรื่องนี้รู้กันไม่มากนัก


สำหรับกลุ่มพ่อค้าเทียนจิน ซุนโส่วเหลียนได้เป็นรองแม่ทัพภาค และยังประจำพื้นที่เหลียวตงที่ติดกับเกาหลี ข่าวนี้ส่งผลประทบหลายด้าน


อันดับแรก สินค้านอกด่านที่ขึ้นราคามาสามสี่ส่วนเริ่มราคาทรุดฮวบ ซุนโส่วเหลียนเท่ากับเป็นคนเทียนจิน ในเมื่อเขาอยู่เมืองเหลียวโจวเรืองอำนาจ เช่นนี้สินค้าย่อมไหลมาเทมา


มาพร้อมกับข่าวซุนโส่วเหลียนได้เลื่อนตำแหน่งก็คือ ตระกูลหลี่เมืองเหลียวโจวรับปาก วันหน้ากลุ่มพ่อค้าเทียนจินจะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับกลุ่มพ่อค้าเมืองเหลียวโจว ข่าวนี้แพร่ไปอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่ากลุ่มพ่อค้าเทียนจินจะขยายการค้าไปยังเมืองเหลียวโจวได้อย่างสบาย ไม่เหมือนกับช่วงก่อนหน้าที่เหมือนมีคนขวางไว้ตลอดเวลา


สินค้านอกด่านราคาทรุดฮวบ ร้านค้าเมืองเหลียวโจวพากันขาดทุน พวกเขากักตุนมาตลอด คิดไม่ถึงว่าจะขาดทุนในชั่วพริบตาเดียวเช่นนี้ได้


สินค้านอกด่านราคาทรุดฮวบ มีแต่ไม้ใหญ่ที่ราคาไม่ลง กลับเอาแต่ขึ้น เมืองเหลียวโจวขนไม้ใหญ่มาทางน้ำได้เร็ว ใช้ต่อเรือ ล้วนเป็นไม้ดีอันดับหนึ่ง หลังเส้นทางการค้าถูกขัดขวาง ราคาไม้ใหญ่ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่โกดังมีไม้ใหญ่เก็บไว้ไม่น้อย เพื่อขายราคาสูง จึงได้กักตุนไว้


ว่ากันว่าครั้งนี้เปิดทาง ทางน้ำจะมีไม้ใหญ่จำนวนมาขนมา ราคาน่าจะลง แต่ความจริงนั้น พอเปิดทาง โรงต่อเรือราษฎร์หลวงล้วนเริ่มเลือกซื้อหาไม้ และยังซื้อจำนวนมาก


เมืองเหลียวโจวตอนนี้เปิดทางให้กลุ่มพ่อค้าเทียนจิน ก็เท่ากับว่าเปิดโอกาสทางการค้า การค้ายิ่งมาก ก็ต้องควรมีการรับรองการขนส่งที่ดีพอไว้รับมือ ทุกคนล้วนต้องการเรือ ต้องเรือยิ่งมาก ความต้องการสูง ราคาแน่นอนก็ย่อมสูงตาม


***********


โรงช่างกับโรงต่อเรือเทียนจินเทียนจินอยู่ๆ ก็งานยุ่ง ใบสั่งซื้อกลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงก็มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม


เทียนจินผลิตปืนและชุดเกราะคุณภาพดีจริงๆ แต่ราคาก็ไม่ต่ำ กลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงแม้ว่าทำการค้าบนทุ่งหญ้าร่ำรวย แต่ตอนมาซื้อเกราะและอาวุธก็ต้องคำนวณให้ดี แต่ตอนนี้กลับซื้ออย่างไม่คิดอันใดมาก


ซื้อปืนและชุดเกราะ คนสำนักองครักษ์เสื้อแพรกับสำนักบูรพาต้องตรวจสอบ คนซื้อต้องมีคนรับประกัน เพื่อป้องกันเกิดเหตุกบฏ แต่ทว่าครั้งนี้คนมาซื้อล้วนมาจากเมืองกุยฮว่าเฉิง เป็นพ่อค้าใหญ่ที่ซานซี  หลักฐานครบ การรับประกันผู้ซื้อนี้ ไม่ใช่ชนชั้นสูง ก็เป็นคหบดีใหญ่ หรือไม่ก็ตระกูลสูงในพื้นที่


ตระกูลใหญ่ในพื้นที่พวกนี้มักเป็นพวกระดับเสนาบดีที่อำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิด ย่อมมีหน้ามีตาเป็นตระกูลสูงในพื้นที่


เห็นได้ว่า นอกจากโรงอาวุธกับชุดเกราะที่งานยุ่งแล้ว โรงต่อรถใหญ่ก็งานยุ่งเช่นกัน รถใหญ่ต้องการไม้จำนวนมาก ย่อมทำให้ราคาไม้สูงยิ่งขึ้นไปอีก


พวกที่มาซื้อยังเสนอเงื่อนไขว่า ช่างต้องส่งไปยังเมืองกุยฮว่าเฉิง จะจ่ายเงินให้มากอีกหน่อยได้ หากไม่ได้ ก็ขอให้ไปส่งมอบที่จางเจียโข่วเมืองเซวียนฝู่


หวังทงได้ข่าวมาในขณะเดียวกันว่า เสบียงเมืองเซวียนฝู่ราคาขึ้นแล้ว เพราะมีร้านค้าไปรับซื้อขนานใหญ่ที่นั่น สะสมในโกดังใกล้ปากทางด่าน ราวกับว่าคิดการณ์ไกลอันใด


ในเรื่องนี้ เทียนจิน หรือเรียกได้ว่าทั้งเขตปกครองเหนือ เริ่มมีคนมากมายถูกตามตัวมา ว่าเป็นผู้คุ้มกันขบวนการค้า ให้ค่าจ้างไม่น้อย และยังรับปากให้ผลประโยชน์อีกมากมาย


เมืองเซวียนฝู่กับเมืองจี้โจว รวมทั้งกองกำลังมี่อวิ๋นที่ตอนเหนือของเมืองหลวงมีเรื่องทหารออกมารับงาน และยังเป็นทหารชราเป็นหลัก คนพวกนี้เพราะรับงานอยู่แล้ว ถูกค่าตอบแทนล่อใจหนัก ถูกความอิสระบนทุ่งหญ้าล่อลวง ไม่ใช่ถูกวาจาโกหกหลอกมา


ทหารชายแดนแต่ละแห่งล้วนมีหลายคนมาเป็นผู้คุ้มกันพ่อค้าใหญ่เมืองกุยฮว่าเฉิง กินดีอยู่ดี สุราพร้อม ปล้นชิงตามสบาย เรื่องดีๆ เช่นนี้สำหรับพวกทหารชายแดนที่ไม่กลัวการเข่นฆ่าแล้วก็ย่อมเป็นสิ่งล่อใจมาก


ผู้คุ้มกันร้านสามธาราเทียนจินก็มีคนจำนวนมากทนสิ่งล่อใจไม่ไหวไปรับงาน และยังมีทหารชราจากกองกำลังหู่เวยกลุ่มหนึ่ง หรือแม้แต่องครักษ์เสื้อแพรเมืองหลวงก็มีคนไม่น้อยมาร่วม แน่นอนเรื่องนี้หวังทงคิดไว้ก่อนแล้ว ในเรื่องนี้ได้วางรากฐานตนให้แน่นหนาแล้ว


ความจริงนั้นอำนาจอิทธิพลใหญ่มากเช่นนี้ ได้ทำให้สำนักบูรพา องครักษ์เสื้อแพร ศาลซุ่นเทียน หรือแม้แต่กรมอาญาก็มีข่าวมา แต่เรื่องเกี่ยวกับเมืองกุยฮว่าเฉิง ก็ย่อมเกี่ยวข้องกับหวังทง ตอนนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงยังอยู่ในความดูแลของสำนักอาชาหลวง จึงเกี่ยวข้องกับในวังด้วย เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทุกคนล้วนรู้ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้าเอ่ยถึง


เป็นฮ่องเต้ว่านลี่ที่ตรงแอบตรัสกับหวังทงหลังประชุมราชสำนัก หวังทงตอบง่ายมากว่า


“พ่อค้าพวกนี้กล้าหาญไปแล้ว คิดจะลงมือกับเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่น  กระหม่อมวิเคราะห์แล้วเห็นว่า น่าจะมีชัยชนะได้ถึงหกส่วน กระหม่อมคิดว่า ให้ร้านค้าพวกนี้ไปลงมือกับพวกนอกด่าน ไม่ต้องเสียงบแผ่นดิน ไม่ต้องให้ทหารฝ่าบาทต้องสูญเสีย ไยไม่กระทำเล่าพะยะค่ะ?”


ส่วนเรื่องหากเกิดแพ้ขึ้นมานั้น หวังทงตอบตรงๆ ว่า


“แพ้ก็แพ้ ถ้าแพ้ไม่มาก ก็ไม่เป็นไร หากแพ้มาก พวกเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นย่อมคิดเหิมเกริม  ถึงตอนนั้น ฝ่าบาทก็อาศัยโอกาสนี้กวาดล้างเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นทิ้งเสียเลย”


“……พ่อค้าพวกนี้เหมือนว่านับวันยิ่งอยากเขมือบก้อนโตราวกับสัตว์ร้ายตัวใหญ่ แย่งชิงบนทุ่งหญ้ายิ่งมาก บนทุ่งหญ้าไม่มีให้แย่งแล้ว ไม่ว่าอย่างไรทุ่งหญ้าก็ไม่เหมือนในแผ่นดิน เกิดว่าพวกเขา?”


ตั้งแต่ตั้งแผ่นดินหมิงมา ชาวบ้านเคยเข้มแข็งเช่นนี้ที่ไหนกัน ใจกล้าเช่นนี้ที่ไหนกัน ฮ่องเต้ว่านลี่แน่นอนย่อมต้องกังวล หวังทงอธิบายว่า


“ฝ่าบาทไม่ต้องทรงเป็นห่วง ร้านค้าผู้คุ้มกันใหญ่สุดก็แค่พัน เล็กก็ราวร้อย พวกเขามีกลุ่มอิทธิพลอำนาจต่างกัน หากกลับไปอยู่กับนายตน ก็ย่อมขัดแย้งกันอยู่มาก ล้วนเป็นดังกลุ่มนกกา บนทุ่งหญ้าอาจรวมกัน หากกลับมาแผ่นดินหมิง พวกเขาย่อมขัดแย้งกันเอง ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงในราชสำนัก”


“กลุ่มนกกา เหตุใดสามารถต่อกรกับพวกนอกด่านได้?”


“ฝ่าบาท พวกทหารม้านอกด่านเทียบขบวนการค้าติดอาวุธแล้ว เรียกได้ว่ากลุ่มนกกาพะยะค่ะ”


หวังทงตอบอย่างมั่นใจ เขาทำการใดไม่เคยล้มเหลวฮ่องเต้ว่านลี่จึงผ่อนคลายความสงสัยลง แต่ทว่าแม้กล่าวเช่นนี้แต่ก็แอบคิดไปอีกว่า หากเกิดเหตุจริง หวังทงต้องรับผิดชอบเรื่องนี้


สำหรับเรื่องที่เกิดแล้ว หรือเรื่องที่จะเกิด หวังทงแน่นอนย่อมมั่นใจมาก ค่ายรถใหญ่และปืน แต่ละอย่างปรากฏ ในยุคนี้ก็ย่อมเปลี่ยนไป คนมากมาย แม้ว่าคนอยู่ในวงสังคมนี้ก็อาจไม่ทันได้สังเกต  หากหวังทงมองเห็นและรู้สึกได้


การต่อสู้บนทุ่งหญ้าที่จะเกิดย่อมเป็นการต่อสู้ของปืนกับอาวุธธรรมดา เป็นการเทียบกำลังกันระหว่างงานช่างและการค้าเข้มแข็งในแผ่นดินกับกิจการเลี้ยงสัตว์เร่รอนของทุ่งหญ้าเมืองกุยฮว่าเฉิงที่ยังล้าหลัง อาจเพราะเมืองกุยฮว่าเฉิงคนน้อย หรืออาจเพราะเมืองกุยฮว่าเฉิงประสบการสู้รบน้อย แต่ความสามารถต่อสู้นี้ไม่ใช่เทียบจากระดับอารยธรรมที่เท่าเทียมกัน หวังทงมั่นใจมาก


*************


เมืองกุยฮว่าเฉิงพยายามเตรียมการให้พร้อมที่สุด ความจริงนั้นพวกเขาเองก็เตรียมการตามระเบียบ เพราะผู้คุ้มกัน ร้านสามธาราเข้าร่วมด้วยมาก ผู้คุ้มกันพวกนี้ความจริงนั้นก็เป็นคนในกองทัพปกติมาก่อน  อยู่ในระเบียบวินัยมา  ผู้คุ้มกันที่เข้าร่วมครั้งนี้จากแต่ละตระกูลล้วนเริ่มมาร่วมฝึกซ้อมมากขึ้นเรื่อยๆ


ขณะเดียวกัน แต่ละตระกูลมีส่งขบวนการค้าตนไปทางตะวันออก สินค้าขบวนการค้าไม่ได้มากมายอันใด แต่ผู้คุ้มกันกลับมากกว่าปกติหลายเท่า บอกว่าเป็นขบวนการค้า ไม่สู้บอกว่าเป็นทัพหน้าลองเชิงดีกว่า ภาระกองกำลังนี้ไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการเตรียมการก่อนลงมือ พยายามดูลาดเลาเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นกับเผ่าอื่นๆ ให้ดีที่สุด และก็ดูตำแหน่งตั้งทัพ


แต่ก่อนหน้าทัพหน้าลองเชิงนี้ การปะทะเล็กๆ ก็มีเริ่มบ้างแล้ว ชนเผ่าที่เป็นพวกกับเมืองกุยฮว่าเฉิง ข่าวเร็วกว่าที่อื่นบนทุ่งหญ้ามาก พวกเขาอาศัยจังหวะน้ำขุ่นจับปลา เริ่มอพยพไปทางตะวันออก เริ่มปล้นชิงเผ่ามองโกลต่างๆ ทางตะวันออก


เพราะชัยชนะใหญบนทุ่งหญ้าหลายครั้ง อิทธิพลอำนาจบนทุ่งหญ้าจึงหดตัวลงอย่างมาก ปฏิกิริยากับการวิเคราะห์แผ่นดินหมิงก็ย่อมไม่แม่นยำและไม่ทันสมัย


เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นกับเผ่าคาราชิ่นเริ่มแรกยังไม่ให้ความสำคัญ ในสายตาพวกเขาแล้ว ก็แค่พวกสุนัขเถื่อนใจกล้าเหิมเกริมมาขโมยกินเท่านั้น


เดือนหก ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 โจรม้าเผ่าเล็ก 200 กว่าบนทุ่งหญ้า ชนเผ่านี้ต่างจากเผ่าอื่น วัวและแพะมีมาก แน่นอนกลายเป็นก้อนเนื้ออวบในสายตาผู้คน


แต่นี่เป็นกับดัก โจรม้า 200 กว่าถูกทหารม้าเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นที่ส่งมาล้อมไว้ หนีออกมาได้สิบกว่าคน โจรม้าถูกฆ่าตายหมดและทิ้งไว้ให้สัตว์ป่ากัดแทะศพ เพื่อเป็นการสำแดงบารมี วันที่สาม ก็มีขบวนการค้าหนึ่งผ่านมา สวมเสื้อผ้าให้ศพเหล่านี้ เสื้อผ้าขบวนการค้าชาวฮั่น


เดือนเจ็ด ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 บรรดาพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงประชุมใหญ่ กล่าวถึงความป่าเถื่อนของพวกนั้นที่สังหารชิงทรัพย์ ปล้นร้านค้าเมืองกุยฮว่าเฉิง แค้นนี้ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)