หมอดูยอดอัจฉริยะ 928-933

 ตอนที่ 928 ประกาศศักดา (4)

 

หลังจากเห็นคัมภีร์เป็นตายในมือของเยี่ยเทียน เรธเวทก็เปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะมีของศักดิ์สิทธิ์คุ้มกายอยู่ แต่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ของศักดิ์สิทธิ์นั้นจะสามารถปกป้องตนจากหนังสือเล่มนั้นได้หรือไม่ กล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า


“หนังสือเล่มนี้เป็นของชั่วร้าย คุณอย่าได้ใช้มันอีกเป็นอันขาด!”


“ได้ ผมจะไม่ใช้ พวกคุณสามคนเข้ามาได้เลย!”


เยี่ยเทียนติดตามอาจารย์หลี่ซั่นหยวนออกท่องยุทธภพตั้งแต่เด็ก เคยพบคนประเภทต่างๆ ทั้งวิญญูชนและทุรชนมานักต่อนักแล้ว แต่คนที่เขารังเกียจที่สุดก็คือคนประเภทข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรงอย่างเรธเวทนั่นเอง เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามีความโลภอยากได้คัมภีร์เป็นตายของเขา แต่ก็ยังพยายามจะวางท่าราวกับผู้ทรงธรรม สีหน้าท่าทางแบบนั้นเยี่ยเทียนเห็นแล้วคลื่นไส้จริงๆ


“ถึงอย่างไรเราก็เป็นคนจีน ตาแก่พวกนั้นก็นับว่าพอจะให้เกียรติเราอยู่ ทำอะไรให้ประเทศชาติสักหน่อยก็แล้วกัน!”


เมื่อเห็นคนสามคนในชุดเกราะนักรบสมัยยุคกลางเดินลงมาจากบนอัฒจันทร์ เยี่ยเทียนก็หรี่ตาเพ่งมอง คนที่รู้จักคุ้นเคยกับเขาต่างรู้กันดีว่า ทุกครั้งที่เยี่ยเทียนแสดงกิริยาเช่นนี้ หมายความว่าเขาได้เกิดจิตสังหารขึ้นมาแล้ว


เยี่ยเทียนเก็บหนังสือเล่มนั้นเข้าไปในอกเสื้อ เดินไปที่ตั้งโต๊ะไว้ริมสนามประลอง แล้วลงนามบนข้อตกลงที่ร่างไว้เรียบร้อยแล้ว


อัศวินโต๊ะกลมสามคนนั้นเป็นผู้ที่มีอิทธิพลอย่างมากในประเทศอังกฤษและทวีปยุโรป หากไม่มีข้อตกลงฉบับนี้ ลำพังแค่ตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแห่งสำนักวาติกันของเรธเวท ก็เพียงพอที่จะทำให้บรรดาสาวกผู้คลั่งไคล้ของสำนักวาติกันตามมาหาเรื่องกับเขาได้แล้ว


“คุณเยี่ย ได้ยินมานานแล้วว่า ประเทศจีนมีนักสู้ที่มีความสามารถมหัศจรรย์ต่างๆ อยู่จำนวนมาก ที่ผ่านมายังไม่เคยได้ไปขอรับการชี้แนะเลย นับว่าน่าเสียดายจริงๆ ต้องขอให้คุณเยี่ยโปรดยั้งมือไว้ไมตรีด้วย!”


หลังจากพวกเรธเวททั้งสามคนลงนามบนข้อตกลงเช่นเดียวกันแล้ว ก็มายืนประจันหน้ากับเยี่ยเทียน โดยตั้งแถวคล้ายจะเป็นรูปสามเหลี่ยมโอบล้อมเยี่ยเทียนไว้ เชื่อว่าเมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น ทั้งสามจะต้องใช้วิธีกระหนาบโจมตีเป็นแน่ และนี่ก็เป็นยุทธวิธีที่เรธเวทและสหายเก่าทั้งสองใช้มาหลายร้อยปีแล้ว


“เยซูคริสต์มีชื่อเสียงที่ยุโรปมาก ไม่รู้ว่าเป็นแค่การกุขึ้นมา หรือว่ามีความสามารถจริงๆ กันแน่นะ?”


เยี่ยเทียนถอนหายใจ แล้วทำหน้าผิดหวัง


“น่าเสียดายจริงที่เราไม่ได้เกิดเร็วอีกหน่อย จะได้เห็นความสง่างามของบรรดาผู้อาวุโสในสมัยโน้นกับตาตัวเองบ้าง!”


ไม่ใช่ว่าเยี่ยเทียนเพียงแสร้งพูดไปอย่างนั้น นี่เป็นคำพูดจากใจของเขาจริงๆ ปัจจุบันโลกนี้กำลังอยู่ในยุคธรรมตอนปลาย ปราณวิเศษในฟ้าดินร่อยหรอ นอกจากคนเฒ่าคนแก่ที่ใช้พลังแห่งศรัทธาหรือพลังอื่นๆ ช่วยให้มีชีวิตอยู่มาได้เป็นพันปีเหล่านี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแวดวงผู้บำเพ็ญพรต หรือผู้มีพลังพิเศษในต่างประเทศ ก็น้อยนักที่จะมีคนรุ่นใหม่เข้าสู่วงการนี้


แต่ในยุคสมัยที่พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์อยู่นั้นเป็นยุคที่มียอดบุคคลกำเนิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางโลกตะวันตกหรือในประเทศจีน ในยุคสมัยนั้นก็จะต้องมีเรื่องราวอันเฉิดฉายอัศจรรย์เกิดขึ้นมามากมายแน่นอน ทำให้ผู้คนอดใฝ่ฝันถึงไม่ได้


“โอหัง มาเรียกพระนามของพระองค์เช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”


เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดขึ้น อัศวินที่อยู่ข้างๆ เรธเวทนายหนึ่งก็แผดเสียงขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว


“เขาเป็นศาสดาของพวกคุณ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมนี่!”


เยี่ยเทียนยิ้มอย่างเจิดจ้า พระเยซูแม้จะมีชื่อเสียงขจรขจาย แต่ท่านก็เป็นเช่นเดียวกับพระศากยมุนีพุทธเจ้า คือต่างก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ทรงอิทธิฤทธิ์กันทั้งสองท่าน บุคคลลักษณะเดียวกันนี้ที่จีนก็มีอยู่มากมาย เยี่ยเทียนเชื่อว่า ปรมาจารย์จางซันเฟิงจะต้องแข็งแกร่งไม่แพ้ทั้งสองท่านนั้นแน่นอน


เพียงแต่ว่า เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรผู้ยิ่งใหญ่ที่จีนนั้น ส่วนมากมักจะเร้นกายอยู่ตามป่าเขา น้อยนักที่จะปรากฏกายในโลกมนุษย์ ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่ผู้บำเพ็ญเพียรยุคโบราณเหล่านั้นเลย แม้แต่พลังฝีมือระดับเยี่ยเทียนเอง ถ้าอยากจะทำให้คนตายฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก ขอเพียงเขาต้องการ ก็สามารถที่จะสร้างชื่อเสียงในลักษณะเดียวกับพระศากยมุนีพุทธเจ้าหรือพระเยซูคริสต์ได้เช่นกัน


ดังนั้นสำหรับยอดบุคคลในกาลก่อนเหล่านั้น เยี่ยเทียนอย่างมากก็เรียกได้ว่าพอจะนับถืออยู่บ้างเท่านั้น แต่ถ้าจะให้เขาไปกราบไหว้บูชาละก็ คงเป็นไปไม่ได้แน่นอน ผู้บำเพ็ญพรตก็คือผู้ฝืนลิขิตสวรรค์ ไม่กลัวฟ้าดินผีสางเทวดา แล้วทำไมจะต้องไปบูชาบุคคลผู้ยิ่งใหญ่จากต่างประเทศด้วยเล่า?


“จิตวิญญาณของคุณถูกมารชั่วร้ายกัดกินไปแล้ว จงรับการชำระล้างจากแสงแห่งพระเจ้าเสียเถิด!”


เรธเวทตาเป็นประกายเย็นวาบ เท้าซ้ายก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือขวาชักดาบยาวที่มีกระบังมือทรงไม้กางเขนเล่มหนึ่งออกมาจากข้างเอว ขณะที่เขาเริ่มเคลื่อนที่ อัศวินทั้งสองที่อยู่ซ้ายขวาก็ชักดาบยาวและก้าวออกมาพร้อมกัน ดาบยาวทั้งสามเล่มชี้ไปที่เยี่ยเทียน การเคลื่อนไหวสอดคล้องกันอย่างชำนาญยิ่งนัก


“ก็ดูจะมีวิชาอยู่เหมือนกันนี่…”


เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของทั้งสาม เยี่ยเทียนก็หนังตากระตุกขึ้นมา ถ้าใช้มาตรฐานของผู้บำเพ็ญพรตมาประเมินระดับของทั้งสามคนนี้ เรธเวทก็จะมีพลังฝีมือประมาณระดับเซียนเทียนช่วงกลาง ส่วนอีกสองคนนั้นก็อยู่ระดับเซียนเทียนช่วงต้น บางทีสาเหตุที่พวกเขามีชีวิตอยู่มาได้นานขนาดนี้ อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับพลังแห่งศรัทธาที่ก่อตัวอยู่ภายในกายก็เป็นได้


ถ้าเป็นการสู้กันตัวต่อตัว เยี่ยเทียนต้องสามารถปลิดชีพอัศวินคนใดคนหนึ่งภายในชั่วอึดใจได้อย่างแน่นอน แต่เมื่อสามคนร่วมมือกันแล้ว พลังกลับเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างล้นหลาม ดูคล้ายกับว่าอาจจะต้านทานเยี่ยเทียนได้อย่างสูสี นอกจากนี้ ดาบที่เรธเวทถืออยู่เล่มนั้นก็ทอประกายเย็นวาบออกมาจางๆ แสดงว่าไม่ใช่อาวุธธรรมดา


ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในที่ประชุมนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยเทียนแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา เท้ากางออกตั้งท่าในลักษณะที่ไม่ตรงกับแบบแผนใดๆ เลย ในเวลานับร้อยนับพันปีที่ผ่านมานี้ อำนาจจากต่างชาติไม่สามารถเข้าสู่ประเทศจีนได้ก็จริงอยู่ แต่ผู้บำเพ็ญพรตในประเทศจีนก็ไม่เคยไปพัฒนาเติบโตที่ต่างประเทศเช่นกัน ว่าไปแล้วก็พอจะมีสาเหตุบางอย่างอยู่


“ฆ่า!”


เรธเวทตวาดออกมาคำหนึ่ง แล้วกวัดแกว่งดาบยาว ฟันตรงไปทางเยี่ยเทียนอย่างซึ่งๆ หน้า กลายเป็นการใช้ดาบยาวด้วยวิธีเดียวกับการใช้ดาบใบกว้าง เสียงหวีดหวิวดังแหวกอากาศไป ปราณพิฆาตมหาศาลแผ่ล้นออกมาจากตัวดาบ แสดงว่าดาบยาวเล่มนี้คงเคยดื่มโลหิตมนุษย์มาแล้วไม่ใช่น้อยๆ


ขณะเดียวกันนั้นเอง ดาบยาวที่อยู่ในมือของอัศวินอีกสองนายก็แทงไปที่ชายโครงของเยี่ยเทียนราวกับอสรพิษ ทำให้เขาไร้หนทางหลบหลีก ในสายตาของคนอื่นๆ ดาบยาวทั้งสามเล่มได้ปิดผนึกที่ว่างด้านหน้าของเยี่ยเทียนไว้ทั้งหมดแล้ว เยี่ยเทียนจึงไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกนอกจากถอยไปข้างหลัง


ดาบยาวยังไม่ทันมาถึงตัว เยี่ยเทียนก็รู้สึกได้ถึงปราณดาบที่พุ่งมาปะทะหน้า และรู้สึกใจหายวาบ แม้จะบำเพ็ญจนถึงระดับเจี่ยตันแล้ว แต่เขาก็ยังมีกายเป็นเลือดเนื้ออยู่ ดาบที่มีปราณแกร่งกร้าวเช่นนี้จึงอาจจะทำให้เขาบาดเจ็บถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย


เพียงแต่เยี่ยเทียนตั้งใจไว้แล้วว่า ศึกครั้งนี้เขาจะต้องประกาศศักดาให้ได้ จึงไม่คิดที่จะถอยหลัง ยามนั้นลำตัวหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว นิ้วชี้ทั้งซ้ายและขวางอแล้วดีดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เกิดเสียง “ติ๊ง” ดังกังวานขึ้นสองครั้งติดต่อกัน ดาบสองเล่มถูกดีดจนกระเด็นขึ้นไปสูงลิ่ว


หลังจากดีดนิ้วไปสองครั้งนั้น เยี่ยเทียนไม่ได้ถอยหลังแต่กลับรุกไปข้างหน้า ร่างกระโจนไปถึงข้างหน้าเรธเวทอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แขนขวางอเข้าหาลำตัว ส่งข้อศอกจู่โจมไปที่ลำคอของเรธเวท การเคลื่อนไหวนั้นแม้จะดูไร้ลำดับกฎเกณฑ์ แต่กลับใช้ได้ผลอย่างยิ่ง


“โอหัง!”


ชีวิตนี้เรธเวทเคยรบพุ่งมาตั้งแต่เหนือจรดใต้ เคยใช้อาวุธมาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นประเภทมีดินปืนหรือไม่มีดินปืน และเคยผ่านการต่อสู้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง จึงมีประสบการณ์โชกโชนอย่างยิ่ง เขาเบี่ยงร่างออกด้านข้าง ใช้ไหล่ซ้ายปะทะรับศอกของเยี่ยเทียน แล้วสะบัดมือขวาออกไป ดาบยาวที่ฟันออกไปกลางอากาศจึงกลับโค้งงออย่างพิสดาร อ้อมแทงไปที่กลางหลังของเยี่ยเทียน


การเคลื่อนไหวของเรธเวทนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน แต่ลางสังหรณ์ในใจทำให้กล้ามเนื้อที่หัวไหล่ของเขาเคลื่อนไหว หัวใจก็พลันหดตัวลงสู่เบื้องล่างไปสิบกว่าเซนติเมตร ขณะที่ศอกขวาของเยี่ยเทียนโจมตีถูกไหล่ของเรธเวท ดาบยาวนั้นก็แทงเข้าไปในไหล่ซ้ายของเขา


เสียง “ตึง” ดังขึ้นหนักๆ ร่างของทั้งสองปะทะแล้วแยกจากกันทันที เรธเวทเคลื่อนร่างออกไปทางขวาเจ็ดแปดก้าว ส่วนเยี่ยเทียนก็โถมออกไปข้างหน้าเพื่อสลายปราณดาบที่ทิ่มแทงเข้ามาในร่าง


หลังจากร่างหยุดยืนนิ่งได้แล้ว เยี่ยเทียนก็หายใจเข้าลึกๆ ปราณแท้พลุ่งพล่านขึ้นมาจากจุดตันเถียน เพียงชั่วพริบตาก็ขับปราณดาบที่รุกล้ำเข้าสู่ร่างกายนั้นออกไปได้ ขณะเดียวกันกล้ามเนื้อไหล่ด้านหลังก็ขยายและหดตัว ปิดปากแผลนั้นจนสนิท


“ดี วิชาเยี่ยม คนคนเดียวมีของวิเศษอยู่ถึงสองชิ้น ผมประมาทคุณไปจริงๆ ศาสนาคริสต์มีสาวกได้ตั้งมากมายปานนั้น แล้วก็สืบทอดต่อมาได้นานขนาดนี้ ที่แท้ก็มีความพิเศษอยู่จริงๆ ด้วย!”


บนหน้าของเยี่ยเทียนปรากฏความโมโหออกมาเล็กน้อย เขาพบว่า ในระหว่างการประมือครั้งนี้ เขากลับเป็นฝ่ายที่ด้อยกว่า เพราะหลังจากที่เรธเวทถูกศอกนั้นโจมตีไปแล้ว ร่างของเขาก็เปล่งรัศมีสีขาวออกมาปกคลุมไว้หนึ่งชั้น แม้ว่าจะถอยไปไกลกว่าเยี่ยเทียน แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลย


“หลักคำสอนของพระองค์ พวกคุณจะมาเข้าใจได้อย่างไรกัน?”


ท่ามกลางม่านรัศมีสีขาวที่ปกคลุมร่างกายอยู่นั้น ชุดเกราะสีขาวแบบยุคกลางชุดนั้นยิ่งขับเน้นให้เรธเวทดูศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น เขายื่นมือออกมาสะบัดเบาๆ โลหิตที่ไหลหยดลงมาจากปลายดาบยาวในมือขวานั้น กลับถูกชุดเกราะดูดเข้าไปจนหมด


“คุณเยี่ย ขอเพียงคุณส่งมอบหนังสือชั่วร้ายเล่มนั้นมา ผมเชื่อว่า…พระองค์ต้องให้อภัยคุณแน่นอน!”


เรธเวทกล่าวขึ้นอย่างเที่ยงธรรมและสง่างาม แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ยามนี้ในใจของเรธเวทก็กำลังตื่นตระหนกอยู่ไม่หาย ชุดเกราะที่เขาสวมใส่อยู่และดาบยาวในมือเล่มนั้นมีที่มาไม่ธรรมดา เป็นหนึ่งในของศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่จำนวนไม่มากนักในสำนักวาติกัน และมีตำนานว่าเคยเป็นสมบัติของสาวกทั้งสิบสองของพระเยซูในอดีต


ดาบยาวนั้นเป็นอาวุธโจมตีหลัก แต่ขณะที่แทงเยี่ยเทียนไปนั้น เรธเวทกลับรู้สึกเหมือนกำลังแทงปุยฝ้ายกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆ ได้แต่ทิ่มแทงกายเนื้อของเยี่ยเทียนเท่านั้น


ชุดเกราะเป็นเครื่องป้องกันหลัก แต่เมื่อถูกศอกนั้นจู่โจม พลังแห่งศรัทธาที่แฝงอยู่ภายในชุดเกราะกลับแทบจะถูกตีสลายไป แม้จะมีชุดเกราะคุ้มกายอยู่ แต่เรธเวทกลับยังคงรู้สึกว่าอวัยวะภายในปั่นป่วนไปพักหนึ่ง จนแทบจะกระอักโลหิตออกมาจากปาก


ทั้งๆ ที่ครอบครองของศักดิ์สิทธิ์อยู่สองชิ้น แต่เรธเวทกลับเกือบจะพ่ายแพ้ไปแล้ว ทำให้เขาเกิดความคิดที่จะถอนตัว ถ้าเยี่ยเทียนยอมส่งมอบหนังสือเล่มนั้นมา เขาก็ไม่อยากจะต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับเยี่ยเทียนอีก คนเรายิ่งมีชีวิตอยู่มานานเท่าไร ก็มักจะเกิดความรักถนอมในชีวิตของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น


“อย่างที่เขาว่าคนตายเพราะเห็นแก่สมบัติ เหมือนนกตายเพราะเห็นแก่กินแท้ๆ จนป่านนี้แล้วยังจะคิดถึงคัมภีร์เป็นตายอีกรึ?”


ตั้งแต่ติดตามอาจารย์ออกท่องยุทธภพสมัยอายุสิบขวบต้นๆ เยี่ยเทียนก็เพิ่งจะเคยถูกผู้อื่นทำร้ายในระหว่างการต่อสู้ได้มากขนาดนี้เป็นครั้งแรก รอยยิ้มบนใบหน้าแลดูเบิกบานยิ่งขึ้นกว่าเดิม เมื่อเขาอ้าปากพ่น ประกายสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งออกมาโคจรรอบกายเยี่ยเทียน


“พวกคุณมีดาบ ผู้แซ่เยี่ยเองก็มีมีดเหมือนกัน อยากจะดูหน่อยซิว่า ของใครจะคมกว่ากัน!”


เยี่ยเทียนตั้งจิต มีดบินคู่กายกรีดผ่านอากาศเป็นทาง อัศวินสองนายที่ยืนอยู่ข้างๆ เรธเวทไม่ทันได้มีปฎิกิริยาโต้ตอบใดๆ ก็รู้สึกเย็นวาบที่ลำคอ และมีกลิ่นคาวเลือดโชยมาปะทะจมูก


เรธเวทประเมินสถานการณ์ได้รวดเร็วกว่าสหายทั้งสองมาก ขณะที่เยี่ยเทียนปล่อยมีดบินออกมา ในใจก็รับรู้ได้ถึงอันตรายแล้ว จึงรีบชูดาบศักดิ์สิทธิ์ในมือขึ้นมาทันที


แต่เมื่อได้ยินเสียงดัง “เคร้ง” เรธเวทก็ต้องตื่นตระหนกเมื่อพบว่า ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงไว้ด้วยพลังแห่งศรัทธาจากสาวกอย่างไม่มีวันหมดสิ้นนั้นถึงกับหักครึ่งไปแล้ว จากนั้นความเย็นเยียบสายหนึ่งก็แผ่กระจายตั้งแต่หว่างคิ้วถึงปลายจมูก เรื่อยไปจนถึงช่วงอกและช่วงท้องของเรธเวท


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”


ตั้งแต่เยี่ยเทียนปล่อยมีดบินออกมาจู่โจมคู่ต่อสู้ จนกระทั่งเก็บกลับไปนั้น เป็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเพียงชั่วสายฟ้าแลบเท่านั้น กระทั่งฝูงชนที่ชมการประลองอยู่โดยรอบยังมองเห็นได้ไม่ชัดเจนว่า ประกายแสงสีขาวนั้นคืออะไรกันแน่

 

 

 


ตอนที่ 929 ปิดฉาก

 

อัศวินโต๊ะกลมทั้งสามยืนอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนอย่างสงบนิ่ง นอกจากแสงสีขาวที่สว่างวาบขึ้นมาเมื่อครู่แล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลย


แต่หลังจากผ่านไปหลายวินาที คนทั้งหลายในที่ประชุมกลับเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล เพราะที่ลำคอของอัศวินทั้งสองนายที่ยืนขนาบข้างเรธเวทอยู่นั้น พลันมีโลหิตพุ่งกระฉูดออกมาเป็นสาย ขณะที่ชุดเกราะสีขาวบนร่างของทั้งสองถูกย้อมเป็นสีแดง ร่างทั้งร่างก็ล้มคะมำไปข้างหน้า เพียงไม่นานโลหิตก็ไหลบ่าท่วมพื้นราวกับสายน้ำสองสาย


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ พวกเขาตายได้ยังไงกัน?”


คำถามนี้ผุดขึ้นมาในใจของทุกคน สายตาทั้งหมดมองไปยังเรธเวทซึ่งยังคงยืนประจันหน้ากับเยี่ยเทียนอยู่


แต่ในขณะที่คนทั้งหลายยังไม่ทันได้มองดูอย่างละเอียด โลหิตก็สาดกระเซ็นไปทั่วสนามประลองราวกับสายฝน ร่างของเรธเวทพลันระเบิดออกมา โดยที่ร่างนั้นแยกออกเป็นสองซีก อวัยวะภายในสีสดไหลออกมากองเต็มพื้น เป็นภาพที่คาวเลือดอย่างยิ่ง


ส่วนดาบศักดิ์สิทธิ์ในมือของเรธเวทนั้นก็หักสะบั้นไปแล้ว ชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกผ่าออกจากกันเป็นสองซีกเช่นเดียวกับร่างของเขา ขณะเดียวกันกับที่ร่างกายระเบิดออกมา เสียงโลหะกระทบกันก็ดังกังวานขึ้น เป็นเสียงของชุดเกราะที่ตกลงบนพื้นตามร่างไปนั่นเอง


“พระเจ้าช่วย ม…มันฆ่าผู้พิพากษาเรธเวทตายไปแล้วหรือนี่?”


“พระผู้เป็นเจ้า นี่ท่านละทิ้งบุตรของพระองค์ไปแล้วหรืออย่างไร?”


“เป็นไปไม่ได้ เรธเวทมีของศักดิ์สิทธิ์ที่ตกทอดมาจากพระองค์อยู่ แล้วเขาจะถูกฆ่าตายได้อย่างไรกัน?”


หลังจากที่ร่างของเรธเวทระเบิดออกมา ในที่ประชุมก็มีสภาพราวกับถูกระเบิดลง เกิดความโกลาหลขึ้นมาในชั่วพริบตา ในบรรดาคนเหล่านี้ มีผู้ที่ศรัทธาในพระเยซูคริสต์อยู่เป็นจำนวนมาก ถึงอย่างไรศาสนาคริสต์ก็เป็นศาสนาที่มีสาวกมากที่สุดในโลก


แต่เรธเวทผู้มีตำแหน่งเป็นรองเพียงพระสันตะปาปาแห่งสำนักวาติกันนั้น กลับถูกเยี่ยเทียนสังหารอย่างง่ายดายราวกับเชือดไก่เชือดสุนัข และยังเป็นเหตุการณ์ที่คาวเลือดและโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง ในชั่วขณะนั้น บรรดาสาวกผู้ศรัทธาในพระเยซูเหล่านี้จึงเริ่มเกิดความกังขาในความเชื่อของตนขึ้นมาเป็นครั้งแรก


“น…นี่มันวิชาอะไรกัน?”


แดร็กคูล่าที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ก็ลุกพรวดขึ้นมาเช่นกัน ขณะที่เยี่ยเทียนปล่อยมีดบินออกมานั้น แม้แต่วิญญาณของแดร็กคูล่ายังรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาวูบหนึ่ง จนเกือบจะไปปลุกสายเลือดแวมไพร์ในร่างกายของเขา และแปลงร่างขึ้นมาในที่ประชุมแล้ว


แม้แต่สิ่งมีชีวิตจากโลกมืดอย่างแดร็กคูล่าก็ยังมองเห็นวิถีโคจรของมีดบินได้ไม่ชัดเจน ดังนั้นแม้ว่ายามนี้ศัตรูเก่าแก่ที่กวนใจเขามาเป็นพันปีจะกลายเป็นศพอยู่บนสนามประลองแล้ว แต่ในใจแดร็กคูล่าก็ไม่ได้รู้สึกยินดีเลยสักนิด ทว่ากลับรู้สึกพรั่นพรึงอยู่ไม่หาย


“ยังมีใครอยากจะมาวัดพลังกับผู้แซ่เยี่ยอีกไหม?”


ขณะที่ฝูงชนในที่ประชุมกำลังตกอยู่ท่ามกลางความตื่นตระหนก เสียงของเยี่ยเทียนก็พูดขึ้นมา เคราะห์ดีที่เจ้าหน้าที่ล่ามแปลภาษาเหล่านั้นไม่ได้เห็นภาพในสนามประลองด้วย ไม่อย่างนั้นละก็ พวกเขาคงจะแตกตื่นจนแปลคำพูดของเยี่ยเทียนออกมาได้ไม่เป็นประโยคแน่ๆ


เยี่ยเทียนไม่ได้พูดเสียงดังเลย แต่กลับทำให้ที่ประชุมอันอึกทึกนั้นเงียบกริบไปทันทีราวกับมีเวทมนตร์บางอย่าง บรรดาผู้คนที่กำลังปลดปล่อยความตื่นตระหนกในใจออกมาด้วยวิธีการกรีดร้องนั้น ต่างหยุดชะงักไปทันทีราวกับไก่โต้งที่ถูกบีบคอไว้


ในชั่วขณะนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเปล่งเสียงออกมา เพราะกลัวว่าจะเป็นการยั่วโทสะของปีศาจในร่างมนุษย์ที่อยู่บนลานประลองนั้นเข้า และชักนำภัยพิบัติมาสู่ตน ในใจของคนเหล่านี้ เยี่ยเทียนสามารถเทียบชั้นได้กับวายร้ายใหญ่ๆ ในตำนานเทพปกรณัมของทางตะวันตกอย่างซาตานและคาอินเลยทีเดียว


เยี่ยเทียนยังไม่หยุดการท้าทาย เขาหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาจากในอกเสื้อ แล้วพูดเสียงดังขึ้นกว่าเดิม


“พวกคุณไม่สงสัยกันเลยหรือ ว่าผมได้ใช้หนังสือเล่มนี้ฆ่าพวกเรธเวทไปรึเปล่า?”


ในจีนมีคำกล่าวโบราณว่า ฆ่าหนึ่งคนคือฆาตกร ฆ่าร้อยคนคือผู้กล้า ถ้ากวาดล้างได้เก้าหมื่นสิบหมื่น นั่นยิ่งนับเป็นผู้กล้าในหมู่ผู้กล้า ในวัยเด็กเยี่ยเทียนได้รับอิทธิพลจากอาจารย์หลี่ซั่นหยวนมามาก จึงมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อชาวต่างชาติทั้งหมด ถ้าจะต้องก่อการประหัตประหารขึ้นที่สวิตเซอร์แลนด์นี่ เขาก็ไม่ได้รู้สึกลำบากใจอะไร


แต่ยามนี้สายตาของทุกคนในที่ประชุมที่มองมายังหนังสือเล่มนั้น กลับไม่มีความโลภหลงเหลืออยู่อีกเลย แต่มีความหวาดกลัวมาแทนที่ และเป็นความหวาดกลัวชนิดที่ออกมาจากใจจริงๆ หนังสือเล่มนี้เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความตายและความพรั่นพรึงอันไร้ที่สิ้นสุด ซึ่งก็เหมือนกับตัวเยี่ยเทียนเอง


“ค…คุณฆ่าหัวหน้าอัศวินไปแล้ว?”


ในตำแหน่งที่นั่งของประเทศอังกฤษมีคนผู้หนึ่งลุกขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาถึงเพิ่งจะได้สติขึ้นมา กองซากศพเละเทะที่แยกเป็นสองกองบนลานประลองนั้น ก็คือหัวหน้าอัศวินที่มีชีวิตอยู่มานับพันปีแล้วผู้นั้นน่ะหรือ?


หลังจากที่คนผู้นั้นเปล่งเสียงอุทานออกมาแล้ว ก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือมาต่อสายทันที โดยไม่สนใจแล้วว่าตนกำลังอยู่ในสถานการณ์เช่นใด ไม่ใช่ว่าเขาเป็นปาปารัสซีที่กำลังจะทำข่าวใหญ่ ผู้ที่รับโทรศัพท์สายนั้นก็คือองค์ราชินีสมัยปัจจุบันนั่นเอง


เมื่อเห็นการกระทำของคนผู้นั้น ในที่ประชุมก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นไปทั่ว คนเหล่านี้ต่างก็เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่ประเทศต่างๆ ส่งมาเพื่อศึกษาดูงานประชุมใหญ่ครั้งนี้ ที่จริงแล้วถึงจะไม่ต่อโทรศัพท์ออกไป เครื่องจับภาพแบบเรียลไทม์ที่อยู่ในที่ประชุมนั้นก็จะถ่ายทอดเหตุการณ์จริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นั่นไปถึงประเทศต่างๆ อยู่ดี


กู้ต้าจวินซึ่งนั่งอยู่ที่ตำแหน่งของประเทศจีนก็กำลังคุยโทรศัพท์อยู่เช่นกัน แน่นอนว่า เทียบกับคนที่กำลังรายงานข่าวร้ายเหล่านั้นแล้ว สำหรับเขากลับเป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย น้ำเสียงก็ดังกังวานเป็นพิเศษ เมื่อเยี่ยเทียนสามารถสยบคู่ต่อสู้ในงานประชุมครั้งนี้ได้ทุกคำท้า กู้ต้าจวินเองก็พลอยรู้สึกภาคภูมิไปด้วย


“หวังว่าคราวนี้พอกลับไปแล้ว ตาแก่พวกนั้นจะไม่หาเรื่องมากวนเราอีกแล้วนะ!”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า เดินกลับไปยังที่นั่งท่ามกลางที่ประชุมอันวุ่นวาย แต่ไหนแต่ไรมาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติอย่างที่คนนอกกล่าวกันเลย หากต้องการให้ผู้อื่นเคารพยำเกรง ก็มักจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุการณ์นองเลือดทั้งนั้น


เยี่ยเทียนเองก็อยากให้มาตุภูมิของตนเป็นประเทศที่แข็งแกร่งเช่นกัน จึงได้ตอบตกลงมาร่วมงานประชุมครั้งนี้ เขาตัดสินใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะมาเพื่อประกาศศักดาและข่มขู่


เพียงแต่ว่า ตอนที่ใช้คัมภีร์เป็นตายสังหารนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้น แม้สถานการณ์จะแปลกพิสดาร แต่ก็ไม่ได้แสดงพลังอันแข็งแกร่งของเขาออกมา พวกเรธเวทที่กำลังถูกความโลภครอบงำจิตใจนั้นมาตกเป็นเหยื่อเข้าพอดี จึงได้เกิดเหตุการณ์อันสยดสยองคาวเลือดเช่นนี้ขึ้น


“อ…อาจารย์ นั่นคือมีดบินคู่กายของอาจารย์หรือครับ?”


หลังจากเยี่ยเทียนกลับไปถึงที่นั่งแล้ว แม้แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ยังอดรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาไม่ได้ เนื่องจากแรงอาฆาตที่ก่อตัวขึ้นจากการสังหารพวกเรธเวทนั้นรุนแรงมาก ขนาดเยี่ยเทียนท่องคาถารอดพ้นในใจแล้ว ก็ยังไม่อาจสลายแรงอาฆาตนั้นไปได้เลย กระแสพลังพิฆาตบนร่างของเยี่ยเทียนจึงทำให้คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่บริเวณนั้นต่างรู้สึกราวกับตกลงไปในโพรงน้ำแข็ง


“อืม ไว้พอแกเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ฉันจะหาวัตถุดิบมาหลอมมีดให้แกเล่มหนึ่งนะ!”


เยี่ยเทียนมองลูกศิษย์แวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์


“ฟ้าดินไร้ลำเอียง ทุกชีวิตเฉกเช่นสุนัขฟาง มีเกิดแล้วก็ต้องมีตาย แกจะกลัวอะไรของแกหา?”


แม้จะเพิ่งสังหารผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแห่งสำนักวาติกันและหัวหน้าอัศวินแห่งอังกฤษไป แต่ไม่ได้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกสะทกสะท้อนใจใดๆ เลย และเขาก็ไม่กลัวว่าสำนักวาติกันจะมาแก้แค้นด้วย ในทวีปยุโรปนั้นพวกแวมไพร์และสำนักวาติกันต่อสู้ขับเคี่ยวกันมาตั้งนานแล้ว แต่เห็นแดร็กคูล่าก็ยังอยู่ดีๆ อยู่เลย ถ้าฝ่ายนั้นจะมาล่วงเกินเยี่ยเทียนจริงๆ เขาก็ไม่ลังเลที่จะบุกสังหารเข้าไปในวาติกันเช่นกัน


“อาจารย์ พูดจริงหรือครับ?”


หลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น โจวเซี่ยวเทียนก็ตาลุกวาวขึ้นมา เห็นได้ชัดว่า การที่เยี่ยเทียนบอกว่าจะหลอมมีดบินให้นั้น ได้สร้างแรงจูงใจให้แก่เขาอย่างใหญ่หลวง


“ไว้แกไปถึงระดับเซียนเทียนก่อนค่อยว่ากัน”


เยี่ยเทียนพยักหน้า ช่วงนี้ที่เขากำลังรวบรวมทองคำอยู่ ก็เพื่อเตรียมการที่จะถลุงทองคำบริสุทธิ์มาช่วยหลอมมีดบินให้พวกศิษย์พี่นั่นเอง แต่ปริมาณทองคำที่จำเป็นต้องใช้นั้นมากมายมหาศาลเหลือเกิน แม้แต่ทรัพย์สมบัติมูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐของเยี่ยเทียน ก็ยังเกรงว่าจะใช้ถลุงทองคำออกมาพอให้หลอมมีดบินได้เพียงสองเล่มเท่านั้น


“ก…การประลองเมื่อครู่นี้ คุณเยี่ยจากประเทศจีนเป็นผู้ชนะ ก…การประชุมจะดำเนินต่อไป ณ บัดนี้ ย…ยังมีท่านไหนที่ต้องการจะขึ้นเวทีอีกไหมครับ?”


ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังสนทนากับลูกศิษย์อยู่บนอัฒจันทร์ เสียงของแฟรงก์ก็ประกาศขึ้นมาจากข้างล่าง ที่มุมปากของเขายังมีเศษหูฉลามที่กินไปตอนมื้อค่ำติดอยู่เลย เพราะเมื่อครู่พอเห็นสภาพการตายอย่างอนาถของเรธเวทแล้ว เขาก็อาเจียนอาหารมื้อค่ำอันหรูหราที่กินลงท้องไปออกมาจนหมดเกลี้ยง


หลังจากเสียงของพิธีกรประกาศขึ้น ทั่วทั้งที่ประชุมก็กลับเงียบไปทันที สายตาของทุกคนมองไปยังตำแหน่งที่นั่งของประเทศจีน ไม่มีใครกล้าตอบคำถามของแฟรงก์เลยสักคน เหตุการณ์จริงอันนองเลือดนั้นได้ทำลายความมั่นใจของพวกเขาไปจนหมดสิ้นแล้ว


หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ก็ยังไม่มีใครลงไปที่สนามประลองเลย งานประชุมผู้มีพลังพิเศษครั้งนี้จึงปิดฉากลงอย่างอึมครึม


แต่ในใจของผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน กลับมีเงาร่างของปีศาจปรากฏขึ้นมาหนึ่งเงา ในตลอดชีวิตอันยาวนานที่เหลือต่อจากนี้ไป พวกเขาก็จะไม่อาจลืมสิ่งที่ได้เห็นในวันนี้ไปได้ เหล่าผู้มีพลังพิเศษที่กองทัพต่างๆ ส่งมานั้น ก็ไม่อาจจะทำงานในกองทัพต่อไปได้อีก เพราะเยี่ยเทียนได้กลายเป็นฝันร้ายที่พวกเขาไม่มีวันจะลบเลือนไปได้เลยชั่วชีวิต


“ในที่สุดก็กลับได้เสียที เก็บข้าวของ พรุ่งนี้กลับฮ่องกงกัน ศิษย์พี่หนานกำลังจะไปถึงระดับเซียนเทียนแล้วละ!”


 ระหว่างทางกลับสถานทูต เยี่ยเทียนได้รับโทรศัพท์จากโก่วซินเจียว่า หนานไหวจิ่นซึ่งติดอยู่ที่ระดับโฮ่วเทียนขั้นสูงสุดมาหลายสิบปีนั้น ในที่สุดก็เลื่อนขั้นได้แล้ว


หลังจากกลับไปถึงสถานทูต เยี่ยเทียนก็ลืมเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไปจนหมดสิ้น สำหรับเขาซึ่งเคยฆ่าคนญี่ปุ่นเกือบร้อยคนที่พม่ามาแล้วนั้น งานประชุมผู้มีพลังพิเศษครั้งนี้ก็เป็นแค่ตลกคาเฟ่ฉากหนึ่งเท่านั้นเอง เขาทำหน้าที่ของตัวเองไปแล้ว เรื่องการแสวงหาผลประโยชน์ต่อจากนั้น ก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป


เยี่ยเทียนไม่ได้กังวลในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนี้จะสงบลงไป หลังจากงานประชุมผู้มีพลังพิเศษยุติลงอย่างเงียบๆ ทั่วโลกก็เกิดความปั่นป่วนโกลาหลที่คนทั่วไปไม่ได้รับรู้ขึ้นมาระลอกหนึ่ง


ฝ่ายที่มีปฏิกิริยาขึ้นมาก่อนคือรัฐบาลญี่ปุ่น กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่นเข้าสู่สถานการณ์ฉุกเฉินระดับหนึ่ง จากนั้นทางรัฐบาลอังกฤษก็มีคำสั่งลับให้กองทัพราชนาวีเตรียมการพร้อมรับศึกเช่นกัน ส่วนกองเรือบรรทุกอากาศยานของสหรัฐที่ประจำการอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ก็มีประกาศให้กองกำลังแนวร่วมสหรัฐ ญี่ปุนและเกาหลีดำเนินการซ้อมรบ


เห็นได้ชัดว่า ความแข็งแกร่งของเยี่ยเทียนได้ไปจี้ต่อมประสาทอันอ่อนไหวของบางประเทศเข้า คนเหล่านั้นได้ลืมความตั้งใจในตอนแรกเริ่มไปแล้ว ซึ่งนั่นก็คือการใช้กำลังในการสู้รบระดับบุคคลขั้นสูง เป็นตัวกำหนดอำนาจและอิทธิพลของแต่ละประเทศขึ้นใหม่ บัดนี้พวกเขากลับพยายามใช้พลังอำนาจของประเทศในทุกๆ ด้านมาปกปิดความหวาดกลัวที่มีต่อเยี่ยเทียน


ตั้งแต่สงครามเย็นระหว่างสหรัฐและโซเวียตเป็นต้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่สถานการณ์ทั่วโลกตึงเครียดขึ้นมาถึงเพียงนี้ และทั้งหมดนี้ก็มีต้นเหตุมาจากเยี่ยเทียนเพียงคนเดียว ขณะเดียวกับที่คนเหล่านั้นกำลังวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของเยี่ยเทียนผ่านภาพที่บันทึกไว้อย่างทุ่มเท ทวีปเอเชียก็ถูกปกคลุมไปด้วยเงาของสงคราม


แต่เพียงไม่นานสถานการณ์ก็ได้รับการคลี่คลาย หลังจากที่แต่ละประเทศเริ่มดำเนินการจัดกำลังพลไปได้ไม่กี่ชั่วโมง พวกเขาก็กลับยกเลิกคำสั่งเตรียมออกรบไปอย่างกะทันหัน


ตามข้อมูลที่เปิดเผยจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพของบางประเทศ การตัดสินใจนี้มีสาเหตุมาจากสาสน์ฉบับหนึ่งที่ส่งมาจากประเทศจีน ซึ่งมีเนื้อความว่า ทางจีนจะมีการดำเนินการส่งเยี่ยเทียนไปเยี่ยมเยือนประเทศต่างๆ อย่างไม่เป็นทางการ

 

 

 


ตอนที่ 930 ตัดสินเป็นตาย

 

ในบ้านพักตากอากาศบนสันเขาที่ฮ่องกงหลังนั้น นอกจากศิษย์สำนักเสื้อป่านแล้ว ยังมีหนานไหวจิ่นพร้อมลูกศิษย์มาชุมนุมกันอีกด้วย ในบ้านพักอันใหญ่โตหลังนั้นจึงคึกคักมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ศิษย์รุ่นเล็กหลายคนกำลังยกชาเสิร์ฟน้ำกันวุ่นเลยทีเดียว


เยี่ยเทียนยกเหล้าขึ้นมาแก้วหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า


“ศิษย์พี่หนาน ยินดีด้วยนะครับ ผมไม่ได้มาช่วยคุ้มกันให้ศิษย์พี่เลย เหล้าแก้วนี้ถือว่าเป็นการขอไถ่โทษต่อศิษย์พี่ก็แล้วกัน!”


ในโลกสมัยปัจจุบันนี้ น้อยนักที่จะมีผู้ไปถึงระดับเซียนเทียนได้ โดยเฉพาะผู้ที่เหลืออายุขัยอยู่ไม่มากอย่างโก่วซินเจียหรือหนานไหวจิ่นด้วยแล้ว หากพัฒนาไปถึงระดับเซียนเทียนได้ ก็เท่ากับได้เพิ่มอายุขัยขึ้นมาอีกช่วงหนึ่ง นี่จึงถือเป็นเรื่องใหญ่โตอย่างยิ่ง สมควรแล้วที่จะจัดการเฉลิมฉลองอย่างเต็มที่


ดังนั้นเมื่อได้ข่าวว่า หนานไหวจิ่นกำลังจะบรรลุถึงระดับเซียนเทียนแล้ว เยี่ยเทียนจึงรีบกลับมาจากยุโรปทันที แต่เมื่อเขากลับมาถึงฮ่องกง หนานไหวจิ่นกลับบรรลุถึงระดับเซียนเทียนสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้เยี่ยเทียนถึงได้พูดออกมาแบบนั้น


“ศิษย์น้องเยี่ย ฉันก็ได้พึ่งเธอนี่แหละ ถ้าไม่มีพลอยวิเศษที่เธอให้มาชิ้นนั้น ฉันอาจจะเลื่อนขั้นไม่สำเร็จก็ได้!”


หนานไหวจิ่นยิ้มแห้งๆ พลางส่ายหน้า แล้วกล่าวต่อไปว่า


“เทียบกับศิษย์พี่หยวนหยางแล้ว ฉันมีคุณสมบัติด้อยกว่ามาก ได้พลอยวิเศษมาตั้งหลายปีแล้ว กลับเพิ่งจะบรรลุถึงระดับนี้ได้ น่าละอายจริงๆ เลย!”


หนานไหวจิ่นเริ่มใช้พลอยวิเศษในการฝึกบำเพ็ญก่อนคนอื่น แต่หลังจากที่จั่วเจียจวิ้นและโก่วซินเจียทยอยกันเข้าสู่ระดับเซียนเทียนไปแล้ว เขากลับเพิ่งจะเลื่อนขั้นได้สำเร็จ ความเร็วระดับนี้ช่างไม่น่าชื่นชมเอาเสียเลย ตอนนี้แม้แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ยังใกล้จะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ขาดแต่เพียงการแปลงสภาพดวงจิตในขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น


เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็พูดยิ้มๆ


“ศิษย์พี่หนาน ไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอกครับ ผมว่าพื้นฐานของท่าน มั่นคงกว่าพวกศิษย์พี่ใหญ่มากเลย เป็นแบบนี้ก็ไม่ได้แย่อะไรนี่ครับ”


แม้ว่าหนานไหวจิ่นจะเพิ่งเข้าสู่ระดับเซียนเทียน แต่ไม่ว่าจะเป็นระดับความเข้มข้นของปราณแท้ภายในกายหรือจิตดั้งเดิม ต่างก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกโก่วซินเจียเลย นี่ก็หมายความว่า เขามีพื้นฐานที่มั่นคงอย่างยิ่ง ในการฝึกบำเพ็ญต่อจากนี้ไป ก็จะสามารถก้าวหน้าไปได้เร็วขึ้นมาก


หนานไหวจิ่นพลันมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา หุบยิ้มลงแล้วเอ่ยขึ้นว่า


“ศิษย์น้องเยี่ย ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะถาม ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่?”


เยี่ยเทียนหัวเราะพลางโบกมือ “ศิษย์พี่หนาน จะเกรงใจไปไย มีอะไรก็ถามมาได้เลยครับ”


สมัยโน้นเพื่อที่จะไปเสาะหาวิชายุทธระดับเซียนเทียนมาให้แก่เยี่ยเทียน หนานไหวจิ่นต้องนอนกลางดินกินกลางทราย เดินทางอยู่ในเทือกเขาชิงเฉิงเป็นเวลานานถึงหนึ่งเดือนเศษ แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรต่อเยี่ยเทียนเลย แต่เขาก็จดจำน้ำใจไมตรีครั้งนั้นไว้ในใจไม่เคยลืมเลือน ดังนั้นจึงคอยเอาใจใส่ดูแลหนานไหวจิ่นมาตลอด


“ศิษย์น้องเยี่ย พวกเราต่างก็เข้าสู่ระดับเซียนเทียนกันแล้ว ไม่ค่อยเหมาะสมนักที่จะใช้ชีวิตอยู่ในโลกของปุถุชนนี้ ที่ฉันอยากจะถามคือ เราจะเข้าสู่ดินแดนผนึกกันเมื่อใดหรือ?”


ตอนที่ยังมีพลังฝีมือระดับโฮ่วเทียนก็ยังรู้สึกได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก แต่เมื่อได้เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ระบบต่างๆ ของร่างกายก็จะย้อนกลับไปเป็นเช่นเดียวกับยามที่อยู่ในครรภ์มารดา อากาศอันสกปรกปนเปื้อนในโลกนี้จึงทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดทรมานเป็นธรรมดา ต้องปิดรูขุมขนและหายใจภายในร่างกายแทบทุกวัน แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว ก็ยังต้องเสียเวลาอีกมากมายเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่หายใจเข้าไปในแต่ละวันออกจากร่างกาย


เมื่อหนานไหวจิ่นถามขึ้นมาดังนั้น โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นก็มองไปที่เยี่ยเทียนพร้อมกัน พวกเขาก็มีความคิดที่จะออกจากโลกของปุถุชนมานานแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเยี่ยเทียนไม่ยอมที่จะจากไป ทั้งสองเองก็จนใจ เพราะถ้าไม่มีเยี่ยเทียนไปด้วย อาศัยพลังฝีมือของพวกเขา หลังจากเข้าสู่ดินแดนผนึกไปแล้ว จะมีชีวิตที่ดีกว่าทุกวันนี้ได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่


“นี่ อาจารย์อาหนาน ดินแดนผนึกนั่นมีดีตรงไหนล่ะครับ ไม่สู้อยู่ที่นี่อย่างเสรีมีความสุขยังจะดีกว่าอีก”


เสียงของเหลยหู่พูดขึ้นมาจากด้านข้าง ทุกสิ่งล้วนมีกรณีพิเศษเกิดขึ้นได้จริงๆ การที่เหลยหู่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้นั้นก็นับว่าบังเอิญพออยู่แล้ว แต่เขายังกลับไม่มีจิตแห่งเต๋าอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว ช่วงนี้เขากำลังมีชีวิตอย่างรุ่งโรจน์ที่ฮ่องกง ไหนเลยจะยอมไปอยู่ที่แดนต่างมิติอะไรนั่น


“ศิษย์พี่หนาน ศิษย์พี่ใหญ่ ผมรู้ว่าพวกท่านอยากไป…”


เยี่ยเทียนคิดอยู่พักใหญ่ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมา


“แต่พวกท่านก็รู้ว่า ผมน่ะอายุยังน้อย ยังตัดขาดจากคนในครอบครัวไม่ได้จริงๆ ถ้าศิษย์พี่ทุกท่านอยากจะเข้าสู่ดินแดนผนึกนั่นจริงๆ จะให้ผมส่งพวกท่านไปก็ได้นะ!”


เยี่ยเทียนรู้มาจากบันทึกของจางซันเฟิงว่า เมื่อครั้งโบราณกาล โลกนั้นกว้างใหญ่ไพศาลเหลือประมาณ สุดที่สมัยนี้จะเปรียบเทียบได้ และก็มีเทพนิยายและตำนานต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ในกาลต่อมา มีผู้ยิ่งใหญ่ตัดแยกพื้นที่บางส่วนออกไป ทำให้เกิดเป็นมิติของมนุษย์โลกและดินแดนผนึกต่างๆ เช่น แดนปีศาจอสูร หรือแดนของผู้บำเพ็ญเซียน เป็นต้น


อย่างดินแดนแห่งทวยเทพที่เยี่ยเทียนรู้จักนั้น ก็คือดินแดนแห่งหนึ่งที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยของผู้บำเพ็ญพรต ที่นั่นอุดมไปด้วยปราณวิเศษ ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้คนสามารถบำเพ็ญจนถึงระดับหยวนอิงได้ สำหรับระดับที่สูงขึ้นไปยิ่งกว่านั้น จางซันเฟิงผู้มีการบำเพ็ญในระดับจินตันก็ไม่อาจจะล่วงรู้ได้เช่นกัน


เยี่ยเทียนรู้อยู่แล้วว่าตำแหน่งของดินแดนแห่งทวยเทพอยู่ที่ไหน และจางซันเฟิงยังได้ระบุจุดเชื่อมต่อไปยังดินแดนผนึกอื่นๆ ไว้อีกด้วย จุดเชื่อมต่อเหล่านั้นต่างก็เป็นจุดที่เปราะบางที่สุดของดินแดนผนึก เพียงมีพลังฝีมือในระดับเซียนเทียนก็สามารถเข้าไปได้แล้ว ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงมั่นใจว่าจะสามารถส่งพวกเขาไปถึงมิติเหล่านั้นได้


“เธอไม่ไปรึ?”


เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียก็ร้อนใจขึ้นมาทันที


“ศิษย์น้องเล็ก ตาแก่อย่างพวกเรานี่ ขืนบุ่มบ่ามเข้าไปในดินแดนเหล่านั้น น่ากลัวว่าจะกลายเป็นเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ มีแต่ต้องพึ่งพาเธอเท่านั้น ถ้าเธอไม่ไป แล้วพวกเราจะไปได้อย่างไรกัน?”


แม้ว่าหลังจากที่บรรลุถึงระดับเซียนเทียนแล้ว รูปลักษณ์ของโก่วซินเจียจะดูอ่อนเยาว์ลงไปหลายสิบปี แต่พวกเขาได้รู้จากบันทึกของจางซันเฟิงว่า ภายในมิติดินแดนเหล่านั้น มีผู้ที่สามารถบรรลุถึงระดับเซียนเทียนได้ตั้งแต่อายุสามสิบสี่สิบปีอยู่ถมเถไป ต่อให้พวกเขาเข้าไปในนั้นแล้ว ก็คงเป็นได้เพียงผู้บำเพ็ญพเนจร ไม่มีสำนักไหนจะมาเห็นคุณค่าของพวกเขาหรอก


แต่เยี่ยเทียนนั้นไม่เหมือนกัน ตอนนี้เขายังอายุไม่ถึงสามสิบปี ก็ใกล้จะไปถึงขั้นบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคแล้ว กรณีเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลยในวงการบำเพ็ญพรตที่นี่ ดังนั้นเขาจะต้องกลายเป็นจุดสนใจของสำนักต่างๆ แน่นอน


หรือในอีกทางหนึ่ง ต่อให้เยี่ยเทียนไม่เข้าร่วมกับค่ายสำนักไหนเลย ในดินแดนผนึกนั้นยอดฝีมือระดับจินตันก็ต้องได้เป็นผู้มีอิทธิพลในถิ่นใดถิ่นหนึ่งอยู่แล้ว ถ้าได้ติดตามเยี่ยเทียนไป อย่างน้อยที่สุดพวกโก่วซินเจียก็จะสามารถดำรงชีพอยู่ที่นั่นต่อไปได้แล้ว


“ศิษย์พี่ใหญ่ หากบุพการียังอยู่ มิควรเดินทางไกล ดังนั้นก่อนที่พวกท่านจะมีอายุถึงหนึ่งร้อยปี ผมจะไม่จากไปไหนทั้งนั้น!”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า น้ำเสียงแน่วแน่ ในวัยเยาว์เขาไม่ได้มีชีวิตอยู่ร่วมกับมารดา ดังนั้นจึงรักถนอมชีวิตในปัจจุบันนี้อย่างยิ่ง


“นี่…นี่ เฮ้อ”


พวกโก่วซินเจียต่างก็เป็นคนรุ่นก่อน ซึ่งให้ความสำคัญต่อความกตัญญูอย่างยิ่งยวด ดังนั้นเมื่อเยี่ยเทียนเอ่ยถึงบิดามารดา พวกเขาจึงไม่อาจจะกล่าวแย้งอะไรได้อีก


เมื่อเห็นว่าบรรยากาศภายในห้องเริ่มจะตึงเครียด จั่วเจียจวิ้นจึงพูดไกล่เกลี่ยขึ้นมาว่า


“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่หนาน ที่จริงเราอยู่ที่โลกของปุถุชนนี่นานอีกสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน การฝึกใจท่ามกลางโลกีย์นั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะเลวร้ายเสมอไปหรอก!”


เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าควรจะเข้าสู่ดินแดนผนึกหรือไม่นั้น จั่วเจียจวิ้นเองก็มีความสับสนอยู่เช่นกัน เพราะเขามีลูกสาวและหลานสาว ในใจจึงยังไม่อาจปล่อยวางจากสิ่งผูกมัดได้ คำพูดของเยี่ยเทียนก็ทำให้เขาเปลี่ยนความคิด จึงตัดสินใจว่าจะรอจนไร้ซึ่งสิ่งผูกมัดก่อน แล้วจึงจะเข้าสู่ดินแดนต่างมิตินั้น


“ก็ได้ เราเข้าสู่ระดับเซียนเทียนกันแล้ว ก็น่าจะมีอายุขัยให้อยู่ได้อีกสักร้อยสองร้อยปีอย่างสบายๆ ทำตามที่ศิษย์น้องเล็กบอกก็แล้วกัน!”


หนานไหวจิ่น และโก่วซินเจียสบตากันแวบหนึ่ง แล้วพูดเปลี่ยนประเด็น


“ศิษย์น้องเล็ก ได้ข่าวว่าเธอรวบรวมคัมภีร์ทุยเป้ยถูได้จนครบถ้วนแล้ว แต่มันกลับกลายเป็นคัมภีร์เป็นตายอะไรนั่น ไม่ทราบว่าจะนำออกมาให้พวกเราดูหน่อยได้ไหมล่ะ?”


เยี่ยเทียนพาโจวเซี่ยวเทียนไปยุโรปครั้งนี้ หลังจากกลับมาแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็ยังรู้สึกตื่นเต้นไม่หาย จึงได้เล่าเกี่ยวกับชัยชนะของเยี่ยเทียนออกมาอย่างถึงรสถึงชาติไปแล้วหนหนึ่ง ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ต่างก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักกันทั้งนั้น จึงไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอยู่แล้ว


“ได้อยู่แล้วครับ แต่ศิษย์พี่ทุกท่านอย่าได้ใช้จิตดั้งเดิมตรวจดูตัวอักษรคำว่าตายนั่นเด็ดขาดเลยนะครับ!”


เยี่ยเทียนหยิบคัมภีร์เป็นตายออกมาจากในอกเสื้อ แล้ววางลงบนโต๊ะ


“เจ้าของสิ่งนี้มีความชั่วร้ายมาก ตัวอักษรตายนั้นสามารถกลืนกินจิตดั้งเดิมของคนได้ และก็เหมือนจะดูดพลังชีวิตจากร่างกายมนุษย์ได้ด้วย ศิษย์พี่ทุกท่านอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด!”


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนท่าทางเคร่งเครียดเช่นนี้ พวกโก่วซินเจียจึงไม่กล้าประมาท แต่ก็ลองใช้จิตสัมผัสตัวอักษรคำว่า ‘เป็น’ ดู พลังชีวิตอันกระปรี้กระเปร่านั้นทำให้จิตดั้งเดิมของพวกเขารู้สึกปลอดโปร่งสบายขึ้นมาทันที จึงพากันอุทานอย่างอัศจรรย์ใจ


แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนประหลาดใจคือ ไม่ว่าพวกโก่วซินเจียจะถ่ายปราณวิเศษเข้าสู่ คัมภีร์เป็นตายอย่างไร ก็ไม่อาจกระตุ้นให้ คัมภีร์เป็นตายทำงานได้เลย นี่ก็หมายความว่า นอกจากตัวเขาเองแล้ว คนอื่นๆ ไม่มีทางใช้หนังสือประหลาดเล่มนี้ได้เลย


“น่าเสียดาย คงไม่มีโอกาสได้เห็นตอนที่ คัมภีร์เป็นตายนี่ตัดสินความเป็นตายแล้วล่ะ!”


หลังจากชื่นชมไปรอบหนึ่ง โก่วซินเจียก็ส่ง คัมภีร์เป็นตายคืนให้เยี่ยเทียน ตอนนี้พวกเขาก็ไม่เหลือศัตรูคู่แค้นที่ไหนแล้ว จึงไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้ คัมภีร์เป็นตายนี้คร่าชีวิตศัตรูอีกแล้ว


“อาจารย์ลุงใหญ่ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นหรอกนะครับ!”


โจวเซี่ยวเทียนรินน้ำชาให้พวกเยี่ยเทียน แล้วไปยืนอยู่ข้างหลังเยี่ยเทียน เมื่อได้ยินคำพูดของโก่วซินเจียก็ยิ้มพลางพูดขึ้น


“อาจารย์ เจ้าคนที่ชื่อซ่งเสี่ยวหลงนั่นเราก็ยังหาไม่เจอไม่ใช่หรือครับ? คงต้องเป็นเพราะตระกูลซ่งให้ท้ายมันอยุ่แน่นอน ผมว่า…เราลองใช้ คัมภีร์เป็นตายนี่ดู ดีไหมครับ?”


“เรื่องนี้ ไม่รู้จะทำได้รึเปล่านะ”


ตั้งแต่ออกจากแอฟริกาใต้แล้วเกิดเหตุเครื่องบินตกสู่เกาะเซียน ‘เผิงไหล’ นั่นจนมาถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลาสองปีกว่าแล้ว แต่ซ่งเสี่ยวหลงนั้นราวกับหายสาบสูญไปจากโลกนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตระกูลซ่งหรือเยี่ยเทียน ต่างก็ไม่อาจสืบหาข่าวคราวของเขาได้เลย ยามนี้เมื่อได้ยินลูกศิษย์พูดขึ้น เยี่ยเทียนก็อดรู้สึกสนใจขึ้นมาไม่ได้


แต่การกระตุ้น คัมภีร์เป็นตายนั้นจะต้องใช้ปราณแท้ของเยี่ยเทียนเกือบครึ่งหนึ่ง ในสถานที่ที่ขาดแคลนปราณวิเศษธรรมชาติเช่นนี้ อย่างน้อยเยี่ยเทียนก็ต้องสิ้นเปลืองพลอยวิเศษชั้นกลางไปหนึ่งชิ้นจึงจะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้ ถ้าเกิดหาไม่พบขึ้นมา อย่างนั้นก็มีแต่จะขาดทุนเปล่าๆ เยี่ยเทียนจึงยังตัดสินใจไม่ได้


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนท่าทางลังเล โก่วซินเจียจึงเอ่ยขึ้นว่า


“ศิษย์น้องเล็ก ลองดูก่อนก็ไม่เสียหายอะไร เจ้าซ่งเสี่ยวหลงนั่นเป็นตัววิบัติจริงๆ ถ้าสามารถกำจัดมันไปเสียได้ ก็ถือว่าเป็นการตัดเคราะห์ตัดกรรมไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว!”


“ได้ครับ อย่างนั้นก็ลองดู!”


เมื่อศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยปากแล้ว เยี่ยเทียนจึงไม่ลังเลอีก ถือคัมภีร์เป็นตาย ไว้ในมือซ้ายแล้วพูดขึ้นว่า


“ติงติงกับเจียงซานออกไปก่อน ศิษย์พี่ทุกท่านก็อย่าปล่อยจิตดั้งเดิมออกมานะครับ เพื่อป้องกันการเกิดเหตุไม่คาดฝัน!”


แม้ว่าจะเข้าใจวิธีใช้ คัมภีร์เป็นตาย ในระดับหนึ่งแล้ว แต่เยี่ยเทียนก็ยังไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย เขาสังหรณ์ใจอยู่ว่า คัมภีร์เป็นตายไม่เพียงแต่สามารถตัดสินเป็นตายได้เท่านั้น แต่อาจจะยังมีวิธีใช้แบบอื่นอีกก็เป็นได้ เพียงแต่ตอนนี้พลังฝีมือของเขายังไม่เพียงพอ จึงไม่อาจจะปลดปล่อยพลังของมันออกมาได้มากกว่านี้


หลังจากกำชับทุกคนเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนหายใจเข้าลึกๆ ปราณวิเศษอันบริสุทธิ์ยิ่งสายหนึ่งถ่ายเทจากฝ่ามือของเขาเข้าสู่ คัมภีร์เป็นตาย ทำให้ คัมภีร์เป็นตาย สว่างขึ้นมาทั้งเล่มทันที ความแตกต่างระหว่างสีขาวอันอบอุ่นและสีดำอันแปลกพิสดารนั้นปรากฏชัดแก่สายตาของทุกคน


“ซ่งเสี่ยวหลง!”


เยี่ยเทียนพลิกเปิดหน้าหนังสือสีดำ จิตดั้งเดิมตั้งสมาธิอยู่ที่ชื่อของซ่งเสี่ยวหลง ขณะเดียวกันนิ้วมือที่รวบรวมปราณวิเศษไว้ก็เขียนตัวอักษรลงไปบนนั้นสามตัว

 

 

 


ตอนที่ 931 ความตาย

 

ในบ่อนคาสิโนเดอะเวนีเชียนที่เปิดใหม่ในมาเก๊านั้น นักพนันจากทั่วทุกมุมโลกต่างมาชุมนุมกันอยู่ที่นี่ ในห้องพนันอันหรูหราตระการตานั้นมีผู้คนขวักไขว่ ที่นี่มีทั้งลูกค้าที่เป็นเศรษฐีมือหนัก และก็มีป้าๆ ที่หิ้วตะกร้าจ่ายตลาดแวะผ่านมาลองเสี่ยงดวงที่บ่อนคาสิโนแห่งนี้ดู แต่ละวันมีผู้คนสารพัดประเภทแวะเวียนมาเป็นลูกค้าที่นี่


“เจอร์รี วันนี้คุณมือไม่ค่อยขึ้นเลยนะ พักก่อนสักหน่อยดีไหมล่ะ?”


ที่โต๊ะเล่นลูกเต๋าตัวหนึ่ง พนักงานหญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่งเตือนนักพนันที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับตนด้วยความหวังดี ตั้งแต่เดอะเวนีเชียนเริ่มกิจการจนมาถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาประมาณครึ่งปีแล้ว และเธอก็เห็นนักพนันผู้มีท่าทางเศร้าซึมแต่มีเงินใช้ไม่ขาดคนนี้มาที่นี่เกือบจะทุกวัน


สาเหตุที่บอกว่าเขาดูเศร้าซึมนั้นก็เป็นเพราะว่า ชายลูกครึ่งที่มีหน้าตาหล่อเหลา และพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วคนนี้มักจะขมวดคิ้วอยู่เสมอ พนักงานหญิงคนสวยยังไม่เคยเห็นเขายิ้มมาก่อนเลย แม้แต่ตอนที่ชนะได้ไปแสนกว่าเหรียญฮ่องกง ก็ยังไม่เห็นเขาจะยิ้มเลยสักนิด


บ่อนคาสิโนเปิดกิจการ ก็ย่อมต้องหากำไรเป็นธรรมดา แม้ว่านักพนันหนุ่มคนนี้จะมีแพ้บ้างชนะบ้าง แต่ในครึ่งปีที่ผ่านมานี้ก็คงเสียเงินให้บ่อนคาสิโนไปราวๆ สิบล้านเหรียญฮ่องกงเป็นอย่างต่ำแล้ว ดูจากท่าทางโปรยเงินอย่างไม่นึกเสียดายของเขาแล้ว ราวกับไม่ได้เห็นเงินเหล่านี้อยู่ในสายตาเลย


นักพนันประเภทนี้ บ่อนคาสิโนย่อมยินดีต้อนรับอย่างยิ่ง แน่นอนว่า ทางบ่อนก็ต้องมีการสืบดูเบื้องลึกเบื้องหลังของลูกค้าอย่างละเอียดเช่นกัน หลังจากผ่านการสืบข้อมูล บ่อนคาสิโนจึงพบว่า นายเจอร์รีคนนี้เป็นลูกครึ่งจีนอเมริกัน โดยมีมารดาเป็นคนเชื้อสายจีน ส่วนบิดาก็เป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ แห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา มีทรัพย์สินเป็นมูลค่าเกือบสิบล้านเหรียญสหรัฐ


เมื่อหนึ่งปีก่อน บิดามารดาของเจอร์รีเสียชีวิตไปทั้งคู่จากอุบัติเหตุทางจราจรครั้งหนึ่ง หลังจากได้รับมรดกของบิดา นิสัยใจคอของเจอร์รีก็เปลี่ยนไปมาก เขาขายกิจการของบิดาทิ้งไป แล้วก็มาอยู่ที่มาเก๊า ดื่มเหล้าเล่นพนันทุกวัน ตามความคิดของคนอื่นๆ เขาน่าจะยังคงจมอยู่กับความทุกข์ที่บิดามารดาเสียชีวิตไป


อายุน้อยมีเงินมาก ซ้ำยังหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ โดยเฉพาะใบหน้าอันเศร้าซึมนั้น สามารถเรียกความเห็นใจจากผู้หญิงได้ดีนัก ในเวลาครึ่งปีกว่าที่ผ่านมา พนักงานหญิงแสนสวยประจำโต๊ะลูกเต๋าคนนี้ก็คอยส่งสัญญาณให้ชายหนุ่มตั้งหลายครั้งแล้ว ถ้าชายหนุ่มคนนี้ส่งสัญญาณกลับมาสักหน่อย เธอก็พร้อมจะเสนอตัวให้ทันที


แต่สิ่งที่ทำให้พนักงานหญิงต้องผิดหวังคือ ชายหนุ่มคนนี้กลับนิ่งเฉยราวกับเป็นตอไม้ ไม่เคยมีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ ต่อสัญญาณของเธอเลย ชีวิตแต่ละวันวนเวียนอยู่แต่การเล่นพนันแล้วก็ไปนอน และพอจะสังเกตได้จากกลิ่นสุราบนตัวของเขาว่า เขาอาจจะกำลังใช้สุราคลายทุกข์อยู่


วันนี้ชายหนุ่มผู้นี้แพ้เสียไปหกแสนกว่าเหรียญฮ่องกงแล้ว เมื่อเห็นเขาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเล่นเลย พนักงานหญิงจึงอดเอ่ยปากเตือนเขาไม่ได้


เจอร์รีผู้มีดวงตาสีดำอย่างคนตะวันออก แต่มีโครงหน้าแบบคนตะวันตกนั้น โยนธนบัตรมูลค่าหนึ่งพันเหรียญฮ่องกงปึกหนึ่งลงไปตรงหน้าพนักงานหญิงคนสวย ดวงตาทั้งคู่จับจ้องไปที่ลูกเต๋าในแก้วครอบอย่างไร้ชีวิตชีวา แล้วตอบอย่างหมดอาลัยตายอยาก


“ไม่ต้องพักหรอก แลกชิปมาให้ผมอีกแสนเหรียญ!”


ลูกครึ่งจีนอเมริกันที่ชื่อว่าเจอร์รีคนนี้ ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่คนอเมริกันที่ได้รับมรดกมาอะไรนั่นเลย แต่เป็นซ่งเสี่ยวหลงที่พวกเยี่ยเทียนตามหามาตลอดต่างหาก!


คราวก่อนหลังจากที่รีบหนีออกมาจากแอฟริกาใต้ ซ่งเสี่ยวหลงก็ไปหลบซ่อนอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในอเมริกามาตลอด ตอนนั้นเขานึกว่าเยี่ยเทียนตายไปแล้ว เดิมคิดว่าจะหลบอยู่สักประมาณหนึ่งปี หลังจากนั้นค่อยไปแสดงตัวกับตระกูลซ่ง เขาเชื่อว่า ตระกูลคงไม่ทำอะไรเขาโดยไร้หลักฐาน เพื่อคนที่ตายไปแล้วเพียงคนเดียวหรอก


แต่สิ่งที่ซ่งเสี่ยวหลงคาดไม่ถึงคือ ขณะที่เขากำลังเตรียมจะกลับไปหาตระกูล ก็พลันได้ยินข่าวว่าเยี่ยเทียนปรากฏตัวขึ้น ขณะเดียวกันตระกูลซ่งและสมาคมหงเหมินก็ออกประกาศตั้งค่าหัวไว้สูงลิ่ว หากผู้ใดสามารถให้เบาะแสเกี่ยวกับซ่งเสี่ยวหลงได้ ก็จะมอบเงินรางวัลให้จำนวนสิบล้านเหรียญสหรัฐ


หลังจากที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ซ่งเสี่ยวหลงก็สิ้นหวังโดยสิ้นเชิง เขารู้ว่า ตระกูลได้ตัดเขาออกจากกองมรดกแล้ว หากเขากล้าไปปรากฏตัว ก็จะต้องเผชิญกับการล่าสังหารของสมาคมหงเหมินและการลงโทษของตระกูลแน่นอน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ซ่งเสี่ยวหลงก็มีแต่ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น


ซ่งเสี่ยวหลงไม่อยากตาย หรืออย่างน้อยก็ไม่อยากตายต่อหน้าเยี่ยเทียน ภาษิตว่า กระต่ายเจ้าเล่ห์ย่อมมีหลายโพรง ตั้งแต่ตอนที่ได้ข้องเกี่ยวกับกิจการของตระกูลสมัยอายุยี่สิบต้นๆ ซ่งเสี่ยวหลงก็เคยจัดหาทางหนีทีไล่ให้ตัวเองไว้ทางหนึ่งแล้ว


ซ่งเสี่ยวหลงไปหาคู่สมรสชาวจีนและชาวอเมริกันที่ไม่มีบุตรธิดามาคู่หนึ่ง จ่ายเงินก้อนโตให้แก่ทั้งคู่ แล้วดำเนินการผ่านขั้นตอนต่างๆ ทำให้ตนกลายเป็นทายาทตามกฎหมายของพวกเขา


แม้กระทั่งรูปถ่ายในข้อมูลส่วนตัวของซ่งเสี่ยวหลงก็ยังทำได้อย่างแนบเนียน เขาใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ปรับเปลี่ยนใบหน้าของตนเอง นอกจากดวงตาแล้ว เค้าหน้าส่วนอื่นๆ ล้วนเป็นลักษณะแบบชาวอเมริกันทั้งนั้น


เมื่อถึงคราวหมดสิ้นหนทาง ซ่งเสี่ยวหลงจึงเริ่มใช้แผนที่เขาได้ตระเตรียมไว้นานแล้ว ก่อนอื่นเขาไปทำศัลยกรรมตกแต่งที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เพื่อให้หน้าตาของตัวเองเหมือนกับเจอร์รีที่อยู่ในรูปถ่ายนั้นทุกประการ จากนั้น…คู่สามีภรรยาวัยกลางคนซึ่งไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย ก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้ลูกชายซึ่งกำลังศึกษาอยู่ที่ยุโรปได้รับมรดกของทั้งสองไปตามกฎหมาย


อเมริกาเหนือเป็นถิ่นของสมาคมหงเหมิน ถ้าอยู่ที่นั่นต่อไป ความลับอาจรั่วไหลได้ง่าย ดังนั้นหลังจากที่เปลี่ยนแปลงตัวตนของตัวเองแล้ว ซ่งเสี่ยวหลงจึงตัดสินใจอย่างอาจหาญ เขาเดินทางมาเอเชีย โดยมีจุดหมายคือมาเก๊าซึ่งอยู่ข้างๆ เกาะฮ่องกงนั่นเอง


ซ่งเสี่ยวหลงใช้แผนเส้นผมบังภูเขา ซึ่งก็ได้ผลดีตามคาด ในสถานที่ที่มีคนต่างชาติและคนเชื้อสายจีนอยู่ปะปนกันเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของเขาเลย ส่วนตระกูลซ่งและสมาคมหงเหมินที่ตามหาเขาไปทั่วนั้น ก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่า ซ่งเสี่ยวหลงจะมาหลบซ่อนอยู่ที่มาเก๊านี่เอง


ซ่งเสี่ยวหลงเคยกุมอำนาจของตระกูลซ่งในต่างประเทศมาแล้วครั้งหนึ่ง จึงมีบัญชีลับที่เปิดกับธนาคารสวิสอยู่ด้วย เงินที่ฝากไว้ในนั้นเพียงพอที่จะให้เขานำไปถลุงได้หลายชาติเลยทีเดียว ซ่งเสี่ยวหลงผู้กำลังอึดอัดกลัดกลุ้มจึงไปหมกตัวอยู่ในบ่อนคาสิโนทุกวัน เขารู้ว่า ตนอาจจะต้องมีชีวิตอยู่โดยใช้ชื่อเจอร์รีนี้ไปตลอดชาติเลยก็เป็นได้


“หนึ่งหมื่น แทงสูง!”


ซ่งเสี่ยวหลงผลักชิปมูลค่าหนึ่งหมื่นไปกองที่จุดวางพนันอย่างเหม่อลอย ในใจกลับกำลังคิดว่าควรจะกอบกู้วิกฤตนี้อย่างไรดี และควรจะกำจัดเยี่ยเทียนด้วยวิธีไหนดี เพื่อที่จะได้กลับไปกุมอำนาจของตระกูลอีกครั้ง เขาอายุยังน้อย จึงไม่อยากจะใช้ชีวิตอย่างไร้แก่นสารเช่นนี้ไปตลอดชาติ


“หนึ่งหมื่น แทงสูงเหมือนเดิม!”


ซ่งเสี่ยวหลงมองดูชิปที่ถูกกินไป แล้วโยนออกไปอีกหนึ่งเหรียญ ทุกวันนี้อาจดูเหมือนว่าเขากำลังใช้เงินโดยไม่ยั้งคิด แต่ที่จริงเขาก็พยายามประหยัดมากแล้ว และต่อให้ในหนึ่งปีเขาแพ้เสียไปสิบล้านเหรียญฮ่องกง ทรัพย์สินของเขาก็มีพอให้เล่นแพ้ไปได้อีกหลายร้อยปีเลยทีเดียว


เพียงไม่นาน ชิปที่อยู่ในมือเขาก็ถูกกินเรียบหมด ซ่งเสี่ยวหลงส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นมา ขณะที่กำลังจะบอกลาพนักงานหญิงสุดสวยที่อยู่ตรงหน้าก็กลับพบว่า วันนี้พนักงานหญิงคนนั้นมีสีหน้าแปลกไป


“มีอะไรหรือ? มองผมทำไม?”


ซ่งเสี่ยวหลงลูบใบหน้าของตัวเองดู เพราะพนักงานหญิงคนนั้นจ้องมาที่ใบหน้าของเขาด้วยสายตาแปลกๆ อย่างไรชอบกล ในความหวาดกลัวนั้นดูเหมือนจะแฝงไว้ด้วยความเห็นใจและสับสน ซ่งเสี่ยวหลงไม่ชอบสายตาแบบนี้เลย


“เอ๊ะ ทำไมเราถึงเลือดกำเดาไหลล่ะ?”


ซ่งเสี่ยวหลงได้รสคาวที่มุมปาก พอยกมือขึ้นมาแตะดู ก็เห็นโลหิตเปื้อนเต็มฝ่ามือ จึงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หมายจะหยิบผ้าเช็ดมือออกมาเช็ด


แต่ซ่งเสี่ยวหลงพลันพบว่า การเคลื่อนไหวของตัวเองกลับเชื่องช้าลงมาก มือขวาที่ยื่นไปหากระเป๋านั้นรู้สึกราวกับไม่มีเรี่ยวแรงเลยสักนิด ขณะเดียวกันขาทั้งสองข้างก็หนักอึ้งราวกับมีปรอทอยู่ข้างใน ร่างทั้งร่างกำลังล้มลงไป


“เกิดอะไรขึ้น แล้วเสียงรอบๆ ล่ะ ทำไมคนพวกนั้นเคลื่อนไหวช้าขนาดนี้?”


เสียงพูดคุยดังจอแจในบริเวณนั้นพลันเงียบหายไปหมด คนแต่ละคนที่ซ่งเสี่ยวหลงมองเห็นต่างก็ดูราวกับกำลังเคลื่อนไหวอย่างสโลว์โมชัน ใบหน้าของพนักงานหญิงคนสวยที่อยู่ตรงหน้านั้นก็ค่อยๆ เลือนรางไปเรื่อยๆ


“นี่เราเป็นอะไรไปเนี่ย?”


ซ่งเสี่ยวหลงอยากจะยกมือขึ้นมาเคาะศีรษะตัวเองดู แต่เมื่อพลังกายเหือดหายไป เขาจึงไม่อาจขยับได้แม้แต่ปลายนิ้ว และหนังตาก็หนักขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกง่วงงุนอยากจะหลับ


“ทำไมเราถึงลอยขึ้นมาได้ล่ะ? ท…ที่นี่มันบ่อนคาสิโนเดอะเวนีเชียนนี่นา?!”


ขณะที่สติของซ่งเสี่ยวหลงกำลังจะดับวูบไป ทันใดนั้นวิญญาณของเขาก็ถูกดึงหลุดออกมาจากร่างแล้วลอยขึ้นไปบนฟ้า ซ่งเสี่ยวหลงมองเห็นผู้คนที่อยู่ในห้องพนันอันคึกคักนั้นได้อย่างชัดเจน แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ ผู้คนในห้องโถงนั้นดูราวกับจะกลายเป็นใบ้กันไปหมด เพราะเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย


“หา? ไม่สิ นี่มันอะไร?”


ร่างของซ่งเสี่ยวหลงลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ในขณะนั้นเอง กระแสลมสีดำก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา ไอปราณแห่งความตายที่แผ่ออกมาจากกระแสลมนั้นทำให้ซ่งเสี่ยวหลงได้สติขึ้นมาในที่สุด


แต่ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว ขณะที่ซ่งเสี่ยวหลงมองเห็นความโกลาหลที่เกิดขึ้นในห้องโถงใหญ่ ร่างเงาของเขาที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ถูกพัดพาเข้าไปในกระแสลมแล้ว และนั่นก็เป็นภาพของโลกใบนี้ที่ซ่งเสี่ยวหลงได้เห็นเป็นครั้งสุดท้าย!


“มีคนตาย มีคนตายแล้ว!”


ขณะที่ร่างของซ่งเสี่ยวหลงสูญเสียเลือดและของเหลวไปอย่างรวดเร็ว จนดูคล้ายกับมัมมี่มากขึ้นทุกทีนั้น ในที่สุดพนักงานหญิงซึ่งคอยสังเกตดูเขามาตลอดก็กรีดร้องขึ้นมา เพราะไม่ว่าใครก็ตาม หากต้องมาเห็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ดีๆ กลับกลายเป็นโครงกระดูกไปต่อหน้าต่อตา ก็คงจะไม่อาจสะกดกลั้นความหวาดกลัวไว้ในใจได้ทั้งนั้น


จะกล่าวหาว่าพนักงานหญิงเป็นพวกยึดติดกับรูปโฉมภายนอกก็คงไม่ถูก ซ่งเสี่ยวหลงผู้มีส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบกว่าเซนติเมตรพร้อมหน้าตาอันหล่อเหลานั้น ภายในเวลาเพียงหนึ่งนาทีกว่าๆ ผิวหนังบนร่างก็แห้งติดกับโครงกระดูกไปแล้ว เหตุการณ์อันแสนพิสดารนั้นทำให้ลูกค้าในบริเวณนั้นต่างตกใจจนขวัญกระเจิง ทำให้ภายในห้องพนันเกิดความอลหม่านขึ้นมา


เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนเมื่อทราบเรื่องก็รีบมาทันที แม้จะรู้สึกตื่นตระหนกกับสภาพของซ่งเสี่ยวหลงไม่น้อย แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ จึงนำถุงออกมาบรรจุร่างของซ่งเสี่ยวหลงไว้ ทำให้บรรยากาศอันวุ่นวายอลหม่านภายในห้องโถงคลี่คลายไป


แม้จะจัดการเก็บศพของซ่งเสี่ยวหลงไปแล้ว แต่พวกเขากลับไม่อาจปิดปากของบรรดาลูกค้าได้ ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที ข่าวที่ปรากฏผีดิบขึ้นในบ่อนคาสิโนก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งบ่อน บ่อนคาสิโนที่ตอนแรกกำลังคึกคักจึงกลับวังเวงขึ้นมาในพริบตา



“มีปฏิกิริยาแล้ว หรือว่าจะพันธนาการดวงวิญญาณของซ่งเสี่ยวหลงมาได้จริงๆ?” ในบ้านพักตากอากาศบนเกาะฮ่องกง สายตาของทุกคนต่างกำลังจับจ้องไปที่ คัมภีร์เป็นตาย


ขณะที่บ่อนคาสิโนเดอะเวนีเชียนซึ่งอยู่ห่างไปอีกเกาะหนึ่งนั้นเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น คัมภีร์เป็นตายที่เยี่ยเทียนถืออยู่ก็พลันเปล่งรัศมีสีดำออกมา บดบังประกายสีขาวบนหน้าหนังสือจนหมองไป ส่วนชื่อของซ่งเสี่ยวหลงนั้นก็ถูกอาบไปด้วยสีแดงฉาน

 

 

 


ตอนที่ 932 ปกป้อง

 

“เยี่ยเทียน เป็นอะไรไปน่ะ?”


ขณะที่คัมภีร์เป็นตายเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ทุกคนในห้องโถงก็พบว่า สีหน้าของเยี่ยเทียนดูขาวซีดกว่าปกติ มือซ้ายซึ่งถือคัมภีร์เป็นตายอยู่ก็สั่นน้อยๆ กระทั่งร่างของเขายังถูกรัศมีสีดำนั้นปกคลุมไปแล้วครึ่งร่าง แลดูออกจะพิสดารอยู่


“เปล่าครับ!”


เยี่ยเทียนโพล่งออกมาสองคำ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก แบ่งปราณแท้ในกายแล้วถ่ายเทเข้าสู่คัมภีร์เป็นตายอย่างช้าๆ หลังจากผ่านไปเนิ่นนานจึงจะผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ บนหน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเล็กละเอียด


หลังจากหยิบขวดยาออกมาจากกระเป๋า และเทยาวิเศษที่โก่วซินเจียเป็นคนปรุงใส่ปากไปหนึ่งเม็ดแล้ว เยี่ยเทียนก็มองไปที่คัมภีร์เป็นตายซึ่งกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้วอย่างหวาดหวั่น และเอ่ยขึ้นว่า


“ซ่งเสี่ยวหลงเสร็จเราแล้ว ถือว่าไม่ได้สูญพลังไปเปล่าๆ แล้วละนะ!”


“อย่าเพิ่งไปสนเจ้าซ่งเสี่ยวหลงอะไรนั่นเลย”


เมื่อเห็นสภาพของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียจึงพูดขึ้นอย่างรีบร้อน


“ศิษย์น้องเล็ก นี่เป็นอะไรไปน่ะ? รีบตรวจร่างกายเร็ว อย่าได้ทิ้งอาการบาดเจ็บใดๆ ไว้!”


พวกโก่วซินเจียเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว จึงต่างรู้กันว่าในระดับนี้ ปราณแท้ในกายมีอยู่อย่างสมบูรณ์เพียงใด ต่อให้อยากจะใช้ให้หมด ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แน่ เยี่ยเทียนกระตุ้นใช้คัมภีร์เป็นตายครั้งเดียว ถึงกับกลายเป็นสภาพนี้ จึงทำให้ทุกคนตกตะลึงกันจริงๆ


“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ แค่ร่างกายเสียพลังปราณชีวิตมากไปหน่อยเท่านั้น แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร…”


เมื่อเห็นทุกคนท่าทางเคร่งเครียด เยี่ยเทียนจึงฝืนยิ้มพูดว่า


“คัมภีร์เป็นตายนี่คงจะไม่ใช่ของที่พลังฝีมือระดับผมในตอนนี้จะควบคุมได้ดั่งใจนึก วันหน้าใช้ให้น้อยๆ หน่อยท่าจะดี!”


เยี่ยเทียนเคยใช้อักษร ‘ตาย’ ในคัมภีร์เป็นตายไปหนึ่งครั้ง ซึ่งก็คือในงานประชุมแลกเปลี่ยนของผู้มีพลังพิเศษที่จัดขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์เมื่อไม่กี่วันก่อนนั่นเอง ตอนนั้นคัมภีร์เป็นตายได้แสดงอานุภาพออกมา ดูดพลังของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ราชครูจากไทยกลายเป็นมนุษย์ตากแห้ง เหลือแต่เพียงผิวหนังหุ้มโครงกระดูกเท่านั้น


แต่ตอนที่กระตุ้นใช้ตัวอักษร ‘ตาย’ ครั้งนั้น เยี่ยเทียนไม่ได้เสียปราณแท้ไปมากนัก เพียงใช้ไปเล็กน้อยตอนที่จะปลุกคัมภีร์เป็นตายขึ้นมา ต่อจากนั้นคัมภีร์เป็นตายก็เริ่มดูดพลังของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เอง ราวกับว่ามันสามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง


แต่ที่เยี่ยเทียนคาดไม่ถึงก็คือ คราวนี้หลังจากที่เขาเขียนชื่อของซ่งเสี่ยวหลงลงบนคัมภีร์เป็นตายแล้ว คัมภีร์เป็นตายกลับดูดปราณแท้ในกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับวาฬหรือวัวดื่มน้ำก็ไม่ปาน ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ ปราณแท้อันทรงพลังในกายของเยี่ยเทียนก็ถูกสูบไปจนเกลี้ยง


ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อปราณแท้ในกายของเยี่ยเทียนถูกใช้ไปจนหมดแล้ว พลังดึงดูดนั้นก็คล้ายกับจะมาสูบพลังปราณชีวิตต้นกำเนิดที่จุดตันเถียนของเขาไปอีก พลังชีวิตราวกับจะหลุดลอยไปจากร่าง เยี่ยเทียนอยากจะตัดขาดจากคัมภีร์เป็นตายเล่มนั้นแต่ก็ยังทำไม่ได้


เพราะเคยเห็นสภาพราวกับมัมมี่ของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว เยี่ยเทียนจึงรู้สึกตื่นตระหนกเหมือนจะตายมิตายแหล่ ยังดีที่เจี่ยตันของเขาก่อตัวสมบูรณ์แล้ว ปราณแท้จึงกำเนิดขึ้นใหม่ได้อย่างรวดเร็วยิ่ง แต่แม้กระนั้น เจี่ยตันซึ่งอยู่ในจุดตันเถียนของเขาก็ยังย่อขนาดเล็กลงไป และหมุนอย่างเชื่องช้าและอับแสงอยู่ในจุดตันเถียนของเยี่ยเทียน


เยี่ยเทียนรู้สึกได้อย่างเลือนรางผ่านจุดเชื่อมโยงระหว่างเขากับคัมภีร์เป็นตายว่า เหมือนจะมีวิญญาณของคนผู้หนึ่งถูกสูบเข้าไปในหนังสือ ดังนั้นเขาถึงได้แน่ใจว่าซ่งเสี่ยวหลงเสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งก็ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก เพราะในที่สุดก็กำจัดตัววิบัตินี้ไปได้แล้ว


หลังจากฟังคำอธิบายของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียก็พึมพำขึ้นว่า


“นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเลือดลมที่ทรงพลัง คัมภีร์เป็นตายจึงได้รับพลังเสริมจากร่างของเขา แต่ซ่งเสี่ยวหลงเป็นเพียงคนธรรมดา ร่างกายมีแต่สิ่งปนเปื้อนหลังกำเนิด คงเพราะสาเหตุนี้ คัมภีร์เป็นตายถึงได้สูบพลังปราณชีวิตไปจากร่างของเธอ”


ความเป็นจริงนั้นใกล้เคียงกับที่โก่วซินเจียคาดเดามาอย่างยิ่ง คัมภีร์เป็นตายนี้เดิมทีก็เป็นของล้ำค่าอันพิสดารจากยุคโบราณ แต่ภายหลังได้รับความเสียหายไปมาก ที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบันจึงเหลืออานุภาพอยู่ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน และยังมีพลังอีกหลายอย่างที่ไม่อาจนำออกมาใช้ได้


แต่ก็นับว่าเคราะห์ดีแล้วที่เป็นเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นด้วยพลังฝีมือของเยี่ยเทียนในปัจจุบันแล้ว คงไม่มีทางควบคุมคัมภีร์เป็นตายได้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพื่อรักษาโรค เยียวยาอาการบาดเจ็บ หรือดูดวิญญาณคน ก็พอที่จะสูบพลังของเยี่ยเทียนจนกลายเป็นมนุษย์ตากแห้งไปได้แล้ว


เนื่องจากการใช้คัมภีร์เป็นตายครั้งนี้ทำให้พลังต้นกำเนิดได้รับความเสียหาย เยี่ยเทียนจึงยังไม่รีบเดินทางกลับจีน แต่อยู่พักผ่อนอย่างสงบที่บ้านพักบนเกาะฮ่องกงก่อน


สามวันให้หลัง ข่าวหนึ่งก็แพร่สะพัดมาถึงหูเขา ในบ่อนคาสิโนแห่งหนึ่งที่มาเก๊า พบศพแห้งที่มีลักษณะการตายพิสดารอย่างยิ่งร่างหนึ่ง จากการตรวจเทียบดีเอ็นเอพบว่า ผู้เสียชีวิตก็คือซ่งเสี่ยวหลงซึ่งเป็นเป้าหมายที่วงการมือสังหารรับจ้างและสมาคมหงเหมินกำลังตามล่าอยู่นั่นเอง


เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ร่างกายของเยี่ยเทียนฟื้นฟูพลังปราณชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ภายใต้การเร่งเร้าจากซ่งเฮ่าเทียน เขาจึงพาพวกศิษย์พี่กลับไปยังกรุงปักกิ่ง โดยตั้งใจไว้ว่า หลังจากที่ได้พบกับบรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้นแล้ว ก็จะพาเหล่าศิษย์สำนักเสื้อป่านกลับไปไหว้อาจารย์ที่เหมาซาน


………………


“ท่านผู้เฒ่า ขนาดลูกชายผม ผมยังไม่ได้กอดเลยนะครับ จะต้องรีบร้อนกันขนาดนี้เลยหรือ?”


เยี่ยเทียนกำลังเดินอยู่ภายในเขตกำแพงสีแดงอันสงบเงียบห่างไกลผู้คนของจงหนานไห่ พลางบ่นว่าซ่งเฮ่าเทียนอย่างไม่พอใจ ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะก้าวเข้าไปในเรือนสี่ประสานของตัวเองได้ไม่ทันไร พอรู้ตัวอีกทีก็ถูกซ่งเฮ่าเทียนลากขึ้นรถยนต์ที่จอดรอไว้นานแล้ว ทำเอาลูกชายที่เห็นเขาแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ยื่นมือออกมากอดเลยนั้นกลับกลายเป็นร้องไห้กระจองอแงขึ้นมาทันที


“เยี่ยเทียน ฉันก็โดนพวกนั้นกดดันมาเหมือนกันนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะระยะนี้สถานการณ์กำลังตึงเครียด พวกฉันก็คงไปหาแกที่ฮ่องกงตั้งนานแล้วละ”


ซ่งเฮ่าเทียนได้ยินแล้วหัวเราะเฝื่อนๆ


“แกน่ะรู้ตัวรึเปล่า ฉันว่าแกนี่มีรังสีอำมหิตหนักเกินไปแล้วนะ เรื่องที่แกจัดการราชครูจากไทยกับคนญี่ปุ่นนั่นก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมจะต้องฆ่าพวกอังกฤษด้วย?”


“ท่านผู้เฒ่าวางใจเถอะครับ มีผมอยู่ พวกนั้นอย่างมากก็ได้แค่ขู่หน่อยเดียวเท่านั้นแหละ”


เมื่อได้ยินซ่งเฮ่าเทียนบอกเช่นนั้น เยี่ยเทียนก็ส่ายหน้า แม้ว่าน้อยนักที่จะมีผู้บำเพ็ญพรตเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเยี่ยเทียน ถ้าประเทศต่างๆ ไม่รักษาสัญญาจริงๆ เยี่ยเทียนก็พร้อมที่จะเดินทางรอบโลก เพื่อดำเนินการประหัตประหารไปทั่วทุกสารทิศ


ขณะพูด เยี่ยเทียนและซ่งเฮ่าเทียนก็เข้าสู่อาคารเล็กๆ หลังหนึ่งในจงหนานไห่ที่ถูกบดบังด้วยกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ ทันทีที่เยี่ยเทียนก้าวเข้าประตูไป คนเจ็ดแปดคนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ลุกขึ้นมาพร้อมกัน


“ท่านทั้งหลาย ผู้แซ่เยี่ยมิกล้ารับหรอกครับ!”


เมื่อเห็นพวกประธานเยวี่ยเข้ามาต้อนรับ เยี่ยเทียนจึงรีบประสานมือแสดงความเคารพ ที่เขามาพบเหล่าผู้อาวุโสในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากจะพูดเรื่องบางอย่างให้กระจ่าง ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น ดั่งแขกที่มาเยือนโลกหล้าเพียงชั่วคราว ทำงานให้แก่ประเทศชาติบ้างเป็นบางครั้งคราวก็ไม่เลว แต่หากจะให้เยี่ยเทียนเห็นผลประโยชน์ของประเทศชาติสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดละก็ อย่างนั้นไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน


“เยี่ยเทียน เธอนั้นเปรียบดั่งเสาเข็มค้ำสมุทรของประเทศเราเลยนะ!”


สีหน้าของพวกประธานเยวี่ยดูเหมือนจะแฝงความตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย ประธานอู๋นั้นยิ่งพยายามยกยอเยี่ยเทียนสุดตัว แต่ที่เกินคาดคือ ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นั่นต่างก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่มีใครคัดค้านในประเด็นนี้เลยสักคน


“อ้อ? ประธานอู๋ คราวนี้คงจะมีผลประโยชน์ไม่น้อยเลยสินะครับ?”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วยิ้มออกมา เขาเองก็ไม่เกรงใจเช่นกัน เดินตรงไปนั่งลงบนโซฟาตัวหนึ่งในห้องรับแขก พวกประธานเยวี่ยและประธานอู๋รอจนกระทั่งเยี่ยเทียนนั่งลงแล้ว จึงจะนั่งลงรอบๆ เยี่ยเทียน เป็นการล้อมเยี่ยเทียนไว้ตรงกลางอย่างอ้อมๆ


“ไม่ใช่แค่นั้นนะ”


ประธานอู๋พยักหน้าแรงๆ แล้วพูดขึ้นว่า


“เยี่ยเทียน งานประชุมสุดยอดเมื่อหลายวันก่อน ผมเป็นคนพาคนไปเข้าร่วมเอง คนจีนเราได้เชิดหน้าชูตากันจริงๆ แล้วละทีนี้…”


แม้ว่าในหลายปีมานี้ประเทศจีนจะแข็งแกร่งมากขึ้นทุกวัน แต่เมื่ออยู่ในระดับนานาชาติแล้ว ก็ยังคงเป็นได้เพียงประเทศที่กำลังพัฒนาเท่านั้น เพราะในหลายๆ ด้านเช่นเศรษฐกิจการค้าและการทหาร การปกครอง ก็ยังล้าหลังกว่าต่างประเทศอยู่มาก ในการประชุมผู้นำหลายครั้ง ผู้นำของประเทศอย่างอเมริกาและอังกฤษจึงมักจะแสดงท่าทียกตนเหนือกว่าอย่างไม่รู้ตัวอยู่เสมอ


แต่ในงานประชุมสุดยอดเมื่อหลายวันก่อนนั้น ผู้นำประเทศต่างๆ กลับปฏิบัติต่อปัญหาของประเทศจีนแตกต่างไปจากเดิมชนิดหมุนกลับหนึ่งร้อยแปดสิบองศา ท่าทีเย้ยหยันและเย็นชาอย่างแต่ก่อนกลับกลายเป็นการยกยอปอปั้น บางประเทศอย่างอเมริกาและอังกฤษยิ่งไม่เอ่ยถึงปฏิบัติการซ้อมรบในช่วงก่อนหน้านี้เลย


ในงานประชุมผู้มีพลังพิเศษนั้น เยี่ยเทียนโดดเด่นเหนือผู้ใด สามารถกำราบผู้มีพลังพิเศษจากทั่วโลก ทำให้หลายๆ ประเทศอย่างอเมริกา อังกฤษและรัสเซียรู้สึกถึงความกดดันอย่างชัดเจน กล่าวได้ว่าตั้งแต่มีการคิดค้นหัวรบนิวเคลียร์เป็นต้นมา นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่มีวิธีการข่มขู่ที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นมาบนโลก และก็มีอิทธิพลต่อสถานการณ์ของโลกอย่างลึกซึ้ง


แน่นอนว่า ประเทศต่างๆ อย่างอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซียนั้น ต่างก็ได้ยื่นข้อเสนอต่อประเทศจีนเพื่อขอเจรจาแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการพัฒนาผู้มีพลังพิเศษในวงกว้างแล้ว ภายใต้ความกดดันจากประเทศต่างๆ ซึ่งแทบจะรวมกลุ่มเป็นพันธมิตรกันอยู่แล้วนั้น ประธานอู๋จึงได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย สาเหตุที่สมาชิกสภามาชุมนุมกันในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะโน้มน้าวเยี่ยเทียนนั่นเอง


“เจรจาแลกเปลี่ยน? ถึงจะสอนพวกนั้นไป แล้วพวกนั้นจะไปเรียนสำเร็จได้ยังไงล่ะครับ?”


หลังจากเข้าใจความหมายของประธานอู๋แล้ว เยี่ยเทียนก็ยิ้มอย่างเย็นชา แต่ละประเทศก็มีหลักการบำเพ็ญเพียรเฉพาะตัวของประเทศตน เช่นบุคคลอย่างพระเยซูของศาสนาคริสต์ หรือพระมุฮัมหมัดของศาสนาอิสลาม ต่างก็เป็นผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ด้วยกันทั้งนั้น หลักการบำเพ็ญเพียรของพวกท่านนั้น คนจีนย่อมไม่อาจจะศึกษาทำความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้เช่นกัน


และในทำนองเดียวกัน หลักการบำเพ็ญพรตของจีนนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่ชาวต่างชาติจะสามารถศึกษาบรรลุได้ ไม่อย่างนั้นในการปะทะกันทางวัฒนธรรมตลอดหลายพันปีที่ผ่านมานี้ ต่างฝ่ายต่างก็คงจะหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวไปนานแล้ว นอกจากนี้ โลกในปัจจุบันกำลังเข้าสู่ยุคธรรมตอนปลาย ไม่ว่าจะเป็นประเทศจีนหรือว่าโลกตะวันตก ผู้บำเพ็ญพรตและผู้มีพลังพิเศษก็มีแต่จะลดน้อยลงเรื่อยๆ


แม้แต่เยี่ยเทียนเอง อย่างมากที่สุดก็คงจะปกป้องประเทศจีนไปได้เพียงหนึ่งร้อยปี หลังจากที่เขาเข้าสู่ดินแดนผนึกแล้ว การข่มขู่ที่จีนมีต่อประเทศตะวันตกก็ย่อมจะยุติไปโดยปริยาย

 

 

 


ตอนที่ 933 สิบปี

 

เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนท่าทางจะไม่เห็นด้วย ประธานอู๋จึงเอ่ยขึ้นว่า


“เยี่ยเทียน แต่เราก็ยังจำเป็นต้องมีการเจรจาแลกเปลี่ยนอยู่ดีนั่นละ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็กลายเป็นว่าเราปิดหูปิดตาตัวเองจนตามโลกไม่ทันอีกน่ะสิ ความผิดพลาดสมัยราชวงศ์ชิงน่ะจะปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำอีกไม่ได้แล้วนะ”


ความแข็งแกร่งทางการเมืองการปกครองนั้น ไม่ได้เพียงขึ้นอยู่กับว่า ประเทศไหนมีอาวุธนิวเคลียร์มากกว่า หรือประเทศไหนมีบุคลากรทางการทหารที่แข็งแกร่งกว่ากันเท่านั้น แต่จะสะท้อนออกมาในด้านอื่นๆ เช่นการทูตหรือเศรษฐกิจด้วย และในขั้นตอนเหล่านี้ การประนีประนอมและการโอนอ่อนผ่อนผันตามความเหมาะสมก็เป็นสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้เลย


“เยี่ยเทียน เราแค่แนะแนวบางอย่างไปแบบคร่าวๆ ก็พอแล้ว ส่วนที่เป็นแก่นแท้ เราไม่มีทางให้คนต่างชาติพวกนั้นได้รู้ได้เห็นกันอยู่แล้วละ…”


ทันทีที่ประธานอู๋พูดจบ ประธานเยวี่ยก็กล่าวเสริมขึ้นบ้าง พวกเขารู้ว่า สถานการณ์ระหว่างประเทศในปัจจุบันซึ่งกำลังดำเนินไปด้วยดีนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าในอนาคตไม่มีการข่มขู่จากเยี่ยเทียนแล้ว เกรงว่าประเทศเหล่านั้นก็อาจจะกลับไปมีท่าทีอย่างในอดีต ขู่ว่าจะตัดขาดกับประเทศจีนในระดับนานาชาติอีก


“ท่านทั้งหลาย ลืมข้อตกลงเมื่อก่อนหน้านี้ไปแล้วหรือครับ”


เมื่อได้ยินผู้มีอำนาจทั้งสองท่านพูดเองเออเองกันแบบนั้น เยี่ยเทียนก็มีสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง


“ตอนนั้นเราก็คุยกันเรียบร้อยแล้วนี่ครับว่า ผมจะทำงานให้รัฐครั้งนี้ครั้งเดียว แล้วต่อไปอย่ามารบกวนผมอีก!”


เยี่ยเทียนยังไม่ทันพูดจบ นายพลจ้าวผู้มีนิสัยโผงผางก็ตบโต๊ะลุกขึ้นมา แล้วพูดเสียงดังว่า


“เยี่ยเทียน เธอมาพูดแบบนี้ได้ยังไง การทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติก็เป็นสิ่งที่พลเมืองทุกคนควรทำอยู่แล้ว…”


“นี่ๆ เหล่าจ้าว อย่าหุนหันไป มีอะไรก็พูดจากันดีๆ!”


เมื่อเห็นนายพลจ้าวอารมณ์ร้อนขึ้นมาเช่นนี้ ประธานเยวี่ยจึงรีบกล่าวขัดขึ้น เยี่ยเทียนไม่ได้เป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของพวกเขา ที่พวกเขานึกอยากจะตำหนิอย่างไรก็ได้ แต่เป็นชาวยุทธตัวจริงที่ตัดสินเรื่องราวต่างๆ โดยการต่อสู้ใช้กำลัง มิหนำซ้ำยังมีความสามารถเหลือล้นอีกด้วย พวกเขาจึงได้แต่คล้อยตามเท่านั้น


ประธานเยวี่ยมองเยี่ยเทียนอย่างอึดอัดลำบากใจ แล้วพยายามปั้นสีหน้าให้ดูเป็นมิตร


“เยี่ยเทียน เธอก็รู้ว่า พลังของประเทศเราน่ะเทียบกับบางประเทศทางตะวันตกไม่ได้เลย ในบางครั้ง…”


“พอเถอะ ไม่ต้องพูดแล้วละครับ”


เยี่ยเทียนโบกมือ


“เรื่องการเจรจาแลกเปลี่ยนที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ผมจะส่งลูกศิษย์ในสำนักไปเอง ท่านทั้งหลายคงมีภารกิจมากมาย กระผมไม่รบกวนละนะ!”


ถึงอย่างไรเยี่ยเทียนก็เป็นคนจีน เขาเองก็อยากจะเห็นประเทศชาติของตนแข็งแกร่งเหมือนกัน แม้ว่าเขาจะไม่อยากวุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ แต่ก็ไม่อาจจะหักใจตัดขาดได้ทั้งหมด การเจรจาแลกเปลี่ยนที่ว่านั้นเขาก็ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องไปด้วยตนเอง อาศัยพลังฝีมือของเหลยหู่และโจวเซี่ยวเทียนซึ่งใกล้จะเข้าสู่ระดับเซียนเทียน ก็เพียงพอที่จะจัดการกับเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว


“ดี งั้นก็ตกลงตามนี้เลยนะ!”


เมื่อเห็นว่านายพลจ้าวดูท่าทางจะไม่ค่อยพอใจ ประธานเยวี่ยจึงรีบตอบตกลงไปทันที ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็พยักหน้ากันหมด ในใจพวกเขาต่างรู้กันดีว่า ด้วยนิสัยเหมือนแม่วัวหวงลูกของเยี่ยเทียนแล้ว ถ้าลูกศิษย์ของเขาเกิดพลาดท่าเสียทีขึ้นมา มีหรือที่จะอยู่นิ่งเฉย? หากถึงเวลานั้นเขาย่อมต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแน่นอน


เยี่ยเทียนประสานมือคารวะ


“อย่างนั้นผมก็ขอลาละนะ!”


ผู้ที่มีพลังฝีมือระดับสูงอย่างเยี่ยเทียนนี้ ย่อมไม่จำเป็นที่จะต้องพยายามป้องกันตัวใดๆ เลย หากในที่นั้นมีคนคิดมุ่งร้ายต่อเขา เยี่ยเทียนก็จะสามารถรู้สึกได้ทันที และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เยี่ยเทียนก็ไม่รังเกียจที่จะกระทำการเชือดไก่ให้ลิงดูเช่นกัน


แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่รู้ว่า เยี่ยเทียนมีความสามารถแบบนี้อยู่ด้วย แต่ไม่ว่าจะดูจากยาวิเศษที่เยี่ยเทียนนำมาให้ หรือว่าดูจากพลังที่เขาได้แสดงออกมา ขอเพียงเป็นคนที่มีความสามารถในการขบคิดเป็นปกติ ไม่ว่าใครก็คงไม่กล้าใช้วิชามารต่างๆ ไปจัดการกับเขาอีกแล้ว ถึงอย่างไรผู้ที่จะสามารถดำรงตำแหน่งของพวกเขาเหล่านี้ได้ ก็ไม่ใช่ว่าอาศัยเพียงลูกไม้ต่างๆ แล้วก็จะขึ้นตำแหน่งได้เช่นกัน


……………………


ภูเขาเขียวลำน้ำใสที่เหมาซานยังคงปลอดจากมลพิษจากโลกภายนอก โดยเฉพาะจุดที่ฝังร่างของหลี่ซั่นหยวนไว้ บนภูเขาลูกนั้นถูกเยี่ยเทียนเหมาไปทั้งลูก บนภูเขาปลูกไม้ดอกไม้ผลต่างๆ ไว้เต็มไปหมด ยามนี้ตรงกับช่วงฤดูสารทพอดี จึงมีกลิ่นของผลไม้ต่างๆ หอมโชยไปทั่วภูเขา


“อาจารย์ พวกเราเหล่าศิษย์ทั้งหลายมาเยี่ยมท่านแล้ว และยังมีศิษย์รุ่นหลานของท่านอีกด้วย สำนักเสื้อป่านเราเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาแล้วละครับ!”


หน้าสุสานของหลี่ซั่นหยวนมีของเซ่นไหว้ต่างๆ จัดวางไว้เต็มไปหมด เยี่ยเทียนถือธูปเซ่นไหว้สามดอกชูขึ้นเหนือศีรษะ พาศิษย์ทั้งหลายไปคุกเข่ากราบคารวะ แล้วปักธูปเซ่นไหว้ลงตรงหน้าสุสาน จากนั้นก็หยิบสุราอู่เหลียงเย่ขวดหนึ่งมาราดรดลงไป และเอ่ยขึ้นว่า


“อาจารย์ คัมภีร์ทุยเป้ยถูหรือก็คือคัมภีร์เป็นตายนั้น ศิษย์ได้รวบรวมจนครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ท่านที่อยู่ในโลกหน้าก็วางใจได้แล้วนะครับ”


เยี่ยเทียนลุกขึ้นยืน มองดูคนทั้งหลายที่กำลังคุกเข่าอยู่ข้างหลังตน แล้วเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา


เดิมทีเยี่ยเทียนนึกว่า สำนักเสื้อป่านคงจะเหลือตนอยู่เพียงคนเดียว แต่ตอนนี้นอกจากจะมีศิษย์พี่ทั้งสองซึ่งมีการบำเพ็ญถึงระดับเซียนเทียนแล้ว ยังได้รับศิษย์เพิ่มมาอีกสามคนด้วย


โดยเฉพาะเจียงซานซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดนั้น มีพรสวรรค์ในด้านศาสตร์การเสี่ยงทายและนรลักษณ์ศาสตร์อย่างยิ่ง เฉพาะแค่ในด้านการอ่านกว้าเสี่ยงทาย เจียงซานก็เหนือล้ำกว่าอาจารย์แล้ว เรื่องหลายๆ อย่างที่แม้แต่เยี่ยเทียนยังอ่านได้ไม่ชัดเจน เจียงซานกลับพอจะสรุปคำพยากรณ์ออกมาได้บ้างเล็กน้อย


ส่วนโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นเอง ก็ได้รับลูกศิษย์หลายคนที่มีคุณสมบัติสูงอย่างยิ่งจากบรรดาเด็กที่เหลยหู่หามา คนจีนนั้นยึดถือเรื่องการสืบทอดเป็นที่สุด ถ้าพวกเขาทั้งสองไม่ถ่ายทอดวิชาของตนสืบไป หลังจากตายไปแล้วก็คงจะไม่มีหน้าไปพบอาจารย์แน่


ศิษย์สำนักเสื้อป่านที่มาชุมนุมกันที่นี่ในขณะนี้มีจำนวนถึงยี่สิบกว่าคน  ศิษย์ใหม่ผู้มีพรสวรรค์และอุปนิสัยที่ดีงามเหล่านี้จะกลายเป็นรากฐานในการพัฒนาสำนักเสื้อป่านต่อไปในอนาคต เยี่ยเทียนพยากรณ์ได้เลยว่า หนึ่งร้อยปีหลังจากนี้ สำนักเสื้อป่านจะเจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างไรบ้าง


“เยี่ยเทียน ทีนี้วิญญาณของอาจารย์ที่อยู่บนสวรรค์ก็คงจะหมดห่วงแล้วละนะ”


หลังจากจุดธูปที่หน้าสุสานของหลี่ซั่นหยวนอย่างเคารพนอบน้อมเสร็จแล้ว โก่วซินเจียเองก็รู้สึกสะทกสะท้อนใจเช่นกัน ตลอดชีวิตอันผันผวนของเขานี้ ได้ประสบความยากลำบากมาไม่น้อย เดิมทีนึกว่าตนคงจะต้องแก่ตายอยู่กลางป่าเขาแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่า หลังจากที่ได้รู้จักศิษย์น้องเล็ก ชีวิตก็เกิดการเปลี่ยนแปลงราวกับพลิกฟ้าดิน ได้เปิดประตูบานใหญ่สู่โลกอีกใบหนึ่ง


หลังจากไล่ศิษย์อื่นๆ ในสำนักเหล่านั้นไปแล้ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามคนก็ยังคงนั่งตรงหน้าสุสานของหลี่ซั่นหยวนอยู่เนิ่นนาน แม้จะกล่าวว่า อาจารย์เพียงรับเข้าสำนัก ส่วนการบำเพ็ญนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลก็ตาม แต่ถ้าไม่มีหลี่ซั่นหยวน โชคชะตาของพวกเขาทั้งสามก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีทางประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้แน่นอน


เยี่ยเทียนหันไปพูดกับโก่วซินเจีย


“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านกับศิษย์พี่รองก็อายุมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอเข้าไปในดินแดนผนึกพร้อมกับผมหรอกครับ หรือไม่อย่างนั้นพวกเราก็เดินทางไปที่จุดเชื่อมต่อดินแดนแห่งทวยเทพ แล้วผมส่งพวกพี่เข้าไปดีไหมครับ?”


โก่วซินเจียนั้นไม่เหมือนกับเยี่ยเทียน เขาอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว ถึงจะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นมาหลังจากที่บรรลุสู่ระดับเซียนเทียนได้ แต่ก็เป็นระยะเวลาเพียงร้อยสองร้อยปีเท่านั้น ถ้าไม่สามารถบรรลุถึงขั้นบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคภายในระยะเวลานี้ได้ ในท้ายที่สุดสังขารของเขาก็ยังคงต้องสลายกลับสู่พื้นปฐพี


แต่แม้กระทั่งในดินแดนแห่งทวยเทพซึ่งมีผู้บำเพ็ญระดับเซียนเทียนอยู่มากมาย การบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคก็ยังเป็นเรื่องที่ยากจะสำเร็จได้อยู่ดี ถ้าโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นอาศัยอยู่ในโลกของปุถุชนซึ่งขาดแคลนปราณวิเศษนี้ต่อไป การที่จะก้าวหน้าต่อไปอีกขั้นนั้น จึงนับว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่ายากเสียอีก


“ศิษย์น้องเล็ก พวกเราจะรอเธอ”


โก่วซินเจียส่ายหน้า “


ไม่ใช่ว่าฉันกับศิษย์พี่รองของเธอกลัวตาย จนไม่กล้าเข้าสู่แดนต่างมิติเองหรอกนะ แต่เพราะพวกเราเองก็อยากจะหาประสบการณ์อยู่ในโลกนี้อีกสักระยะ หลังจากจิตใจพัฒนาขึ้นแล้ว คาดว่าการฝึกบำเพ็ญในภายหน้าจะต้องได้ผลดียิ่งขึ้นแน่นอน”


โก่วซินเจียแม้จะไม่ได้ออกเคลื่อนไหวมานานกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว แต่ที่จริงแล้วพรสวรรค์ของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหนานไหวจิ่นเลย เขามีพื้นฐานจากทางเต๋า แต่ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับอาจารย์ซิงอวิ๋น และมักจะเสวนาเกี่ยวกับจิตแห่งเต๋าและธรรมะร่วมกันอยู่เสมอ จึงได้ศึกษาทั้งทางพุทธ เต๋า และขงจื่ออย่างลึกซึ้ง


หลังจากอ่านบันทึกส่วนหนึ่งของจางซันเฟิงที่เยี่ยเทียนเขียนออกมาจากความทรงจำแล้ว โก่วซินเจียก็ได้ข้อสรุปประการหนึ่งคือ บำเพ็ญพรตนั้นไซร้คือการฝึกใจ หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียน การฝึกใจก็จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น หากฝึกจนถึงขั้นได้เมื่อไร การบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว


“ได้ครับ อย่างนั้นพอถึงเวลาแล้ว เราสามคนค่อยไปตะลุยแดนของผู้บำเพ็ญพรตด้วยกัน!”


เยี่ยเทียนเองก็เข้าใจในเหตุผลที่โก่วซินเจียกล่าวมา เมื่อนึกถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันอันหลากหลายในภายภาคหน้าแล้ว เยี่ยเทียนก็อดรู้สึกเลือดร้อนคุกรุ่นขึ้นมาไม่ได้


หลังจากนั่งอยู่บนเขาไปครึ่งค่อนวัน พวกเยี่ยเทียนก็กลับมาที่อารามเต๋าบนสันเขา เนื่องจากที่นี่เป็นสถานที่กำเนิดสำนักเสื้อป่านในสมัยปัจจุบัน อีกทั้งทุกปีเยี่ยเทียนยังมาพักอาศัยอยู่ที่นี่ครั้งละหลายๆ วัน ดังนั้นอารามแห่งนี้จึงได้รับการบูรณะต่อเติมจนใหญ่โตขึ้นมาก และภายในอารามก็มีควันธูปสักการะจากผู้ศรัทธาโชยอยู่ไม่ขาด


“ลุงทึ่ม เป็นไงบ้าง ร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่ไหมครับ? นี่ก็จ้างคนมาทำความสะอาดแล้วไม่ใช่หรือ ลุงไม่ต้องมาทำเรื่องพวกนี้หรอกครับ!”


เมื่อมาถึงหน้าอารามเต๋า เยี่ยเทียนก็ก้าวเข้าไปหยิบไม้กวาดมาจากมือของคนผู้หนึ่ง


ผู้ดูแลอารามเต๋ายังคงเป็นลุงทึ่มและภรรยาเช่นเดิม แต่ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ในอดีตนั้น ตอนนี้เริ่มมีผมหงอกขาวที่ขมับทั้งสองข้างแล้ว แต่เพราะใช้ชีวิตอยู่บนเขามานาน ร่างกายจึงแข็งแกร่ง หลายวันมานี้ก็ลงเขาไปวันละหลายเที่ยว เพื่อลำเลียงสิ่งของที่จำเป็นต่างๆ ขึ้นมาบนเขา


“เยี่ยเทียน นี่จะดูถูกลุงทึ่มของแกรึไง?”


ลุงทึ่มแย่งไม้กวาดมาจากมือของเยี่ยเทียน แล้วพูดอย่างไม่พอใจ


“ฉันยังกินเนื้อได้ตั้งมื้อละสองชั่ง นี่ถ้าไม่ออกกำลังเสียหน่อย แล้วมันจะไปเผาผลาญได้ยังไงล่ะ? พอเลย ไปทำธุระของแกเถอะ เจ้าเฟิงค่วงนั่นก็มาแล้ว กำลังตามหาแกอยู่พอดีเลย”


“ครับลุงทึ่ม เจ้าหนุ่มบ้านลุงที่ไปปักกิ่งคนนั้นก็สบายดีอยู่นะ ผมคอยดูแลอยู่ตลอดเลย ลุงวางใจได้เลยนะครับ” เยี่ยเทียนพยักหน้ายิ้มๆ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก


สมัยก่อนคนในหมู่บ้านตระกูลหลี่เคยช่วยเหลือเยี่ยเทียนและพ่อมาไม่น้อยเลย หลายปีที่ผ่านมานี้เยี่ยเทียนจึงไม่เคยลืมที่จะกลับมาเยี่ยมเยือนบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านตระกูลหลี่


ไม่ว่าเด็กคนไหนที่มาจากหมู่บ้านตระกูลหลี่ เขาก็จะช่วยส่งไปเรียนในมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ปักกิ่งทุกคน รวมถึงรับผิดชอบค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทั้งหมดให้ด้วย มีหลายคนที่หลังจากจบการศึกษาแล้วก็อยู่ในเมืองต่อไปเลย นับว่าเป็นการยุติวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรมของคนรุ่นก่อนไป


หลังจากอยู่บนเขาสามวัน และไปพักที่บ้านของเฟิงค่วงอีกหลายวัน เยี่ยเทียนจึงจะเดินทางกลับกรุงปักกิ่ง ส่วนโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นนั้นไม่ได้กลับฮ่องกง แต่ร่วมกันออกท่องทัศนาจรไปทั่วประเทศ ตามที่ทั้งสองได้กล่าวไว้ ผู้บำเพ็ญจะต้องเข้าสู่โลกีย์เสียก่อน จึงจะสามารถหลุดพ้นออกมาจากโลกีย์ได้


เมื่อกลับไปถึงกรุงปักกิ่ง เยี่ยเทียนผนึกพลังฝีมือทั้งหมดของตัวเองไว้ และก็ไม่ได้พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการหายใจรับอากาศที่มีมลพิษนั้นเลย กลายเป็นเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง ในแต่ละวันนอกจากศึกษาตำราเกี่ยวกับเต๋าแล้ว ก็เพียงแต่เล่นสนุกกับลูกชาย เป็นชีวิตที่สงบราบเรียบอย่างแท้จริง


กาลเวลาผ่านไปดั่งกระสวยทอผ้า เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปสิบปีแล้ว เยี่ยชิวที่ตอนนั้นเพิ่งจะกำลังหัดพูด ตอนนี้ก็ได้ขึ้นชั้นประถมแล้ว ส่วนพวกป้าๆ ของเยี่ยเทียนก็ชราลงทุกวัน แม้แต่ใบหน้าอันงดงามของซ่งเวยหลันก็เริ่มปรากฏร่องรอยของกาลเวลาแล้ว


เยี่ยเทียนยับยั้งการบำเพ็ญของตัวเองมาสิบปีเต็ม ในสิบปีนี้ เขาไม่ได้โคจรพลังหรือนั่งสมาธิเลยสักครั้งเดียว เพียงแต่ดื่มด่ำรับรู้ความหลากหลายของชีวิตสารพัดรูปแบบอย่างตั้งใจ ร่างกายระดับเซียนเทียนของเขาจึงเปี่ยมด้วยมลภาวะปนเปื้อนต่างๆ ในโลกมนุษย์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)