องครักษ์เสื้อแพร 926-927
ตอนที่ 926 ส่งทูตเจรจามา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ราชสำนักกำลังส่งผู้แทนพระองค์ไปที่ว่าการมณฑลทหารเมืองเหลียวโจว ในวังส่งขันทีไปตรวจกองเสบียงทหารที่เมืองเหลียวโจวด้วยเช่นกัน มีราชโองการลงไป ข่าวก็ไปทั่วหล้าอย่างรวดเร็ว คนรู้ข่าวก็พากันทอดถอนใจ เมืองเหลียวโจวก่อนหน้าหาเรื่องติ้งเป่ยโหวไว้ไม่น้อย ตอนนี้กรรมตามสนองแล้ว
ที่ว่าการมณฑลทหารมีหน้าที่ดูว่ามณฑลทหารชายแดนมีกินตำแหน่งว่างหรือไม่ ตรวจสอบเสบียงและเบี้ยหวัดว่าจ่ายจริงหรือไม่ เมืองชายแดนใดก็ล้วนทำไม่ได้ แม้แต่กองกำลังหู่เวยเทียนจินก็เช่นกัน แน่นอนเสบียงกองกำลังหู่เวยความจริงนั้นมีมากกว่าที่กำหนดไว้มาก หากนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกัน
จัดผู้แทนพระองค์ไปตรวจสอบเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าไปหาเรื่องเมืองเหลียวโจว ผู้ใดจะหาเรื่องเมืองเหลียวโจว เป็นนายกองอวี๋เจียนหรู่ยื่นฎีกาก่อน แต่นายกองผู้นี้เดิมไม่มีสิทธิ์มีเสียงใดในวงการขุนนาง ฎีกาเมื่อก่อนที่คนจำได้ก็คือขอให้ศาลเมืองซุ่นเทียนตรวจสอบเรื่องจับเด็กไปขาย ครั้งนี้ถึงกับกล้ายื่นฎีกาที่คนคาดไม่ถึง แต่ไม่ต้องสืบความมาก ก็รู้ว่าคนผู้นี้ได้ไปพบหวังทง และหลังจากได้พบหวังทง ครอบครัวอยู่ๆ ก็ร่ำรวยขึ้นมา
หวังทงเหตุใดจึงคิดเป็นศัตรูกับเมืองเหลียวโจว ทุกคนรู้ดีแก่ใจ ก่อนและหลังจากกลับจากเมืองกุยฮว่าเฉิง มีคำถามมากมายจากราชสำนักต่อการรบของหวังทงว่าจริงหรือไม่ ยังมีการโจมตีมากมาย อย่างไรก็ต้องเกี่ยวพันกับการพวกตระกูลหลี่แอบกระพือลมเบื้องหลัง
ไม่พูดถึงเรื่องอื่น เอาแค่เรื่องที่หวังทงสร้างความชอบใหญ่ ราชสำนักแทบจะปัดทิ้ง แต่พอหลี่เฉิงเหลียงสร้างความชอบที่ด้อยกว่าหวังทงมาก กลับได้รับเสียงชื่นชมมากกว่า ได้ชื่อเสียงมากยิ่งกว่า เทียบสองเรื่องนี้แล้ว หวังทงจึงไม่ได้รู้สึกดีอันใดกับเมืองเหลียวโจว
หากสืบลึกลงไปละเอียด ยังรู้อีกว่า ปลายเดือนสิบเอ็ด ซุนโส่วเหลียนขุนพลเมืองเหลียวโจวมาคารวะหวังทงที่จวน อาจมารายงานข่าวลับอะไรสักอย่าง หลายคนที่เข้าใจเทียนจินดี ล้วนรู้ว่าซุนโส่วเหลียนกับเทียนจินสายสัมพันธ์การค้าแนบแน่น อาจกล่าวได้ว่า นับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจหวังทง
หวังทงมาถึงสถานะนี้ ยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยวหลายที่ก็ควรอยู่ เมืองเหลียวโจวเป็นเนื้อก้อนโต ประชากรหลายร้อย พื้นที่อุดมสมบูรณ์กว้างใหญ่ การค้ารุ่งเรือง ดีที่ทั้งหมดเป็นของตระกูลหลี่ผู้เดียว ทุกคนเห็นแล้วก็น้ำลายสอ หากตระกูลหลี่แต่ไรมาก็เป็นตระกูลขุนพลอันดับหนึ่งแผ่นดินหมิง ผู้ใดก็ไม่กล้าแตะต้องเสือตัวนี้ ตอนนี้ติ้งเป่ยโหวสถานะไม่ธรรมดา บางทีก็อาจจับจ้องเนื้อก้อนนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร ตระกูลหลี่ตอนนี้อยู่ต่อหน้าหวังทงก็ต้องก้มหัว
การลงมือกับเมืองเหลียวโจว บางทีเพราะก่อนหน้าแย่งชิงอำนาจทางการเมือง กำลังแก้แค้นเอาคืน หรือต้องการส่วนแบ่งกับเมืองเหลียวโจว กัดเนื้อกินสักก้อนหนึ่ง ก็เพื่อการเมือง เพื่อเงินทองวาสนา คนใต้หล้าหรือแม้แต่คนหวังทงก็ล้วนคิดเช่นนี้
ส่งผู้แทนพระองค์ไปตรวจสอบที่เมืองเหลียวโจวเพื่อหาข้อผิดพลาด ความจริงนั้นการตัดสินใจลงมือเช่นนี้ในวังรอบคอบมาก แม้แต่คณะเสนาบดีใหญ่ยังยื่นฎีกาลับว่า ‘เมืองเหลียวโจวอยู่นอกด่าน ราวกับเสือพยัคฆ์หลับใหลข้างเตียงนอน ต้องทำการให้รอบคอบ ป้องกันพยัคฆ์ทำร้ายคน’ เป็นต้น ฮ่องเต้ว่านลี่ก่อนส่งผู้แทนพระองค์ไป ยังเรียกหวังทงเข้าวังมาถาม
“ฝ่าบาทไม่ทรงต้องกังวลอันใดพะยะค่ะ!”
หวังทงตอบอย่างมั่นใจ ได้ยินคำตอบ ฮ่องเต้ว่านลี่กลับถามเรื่องที่เหมือนไม่เกี่ยวข้องกันว่า
“หวังทง เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดจึงตั้งเมืองจี้โจว?”
เดิมคิดถามเองตอบเอง คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะตอบออกมา เขายิ้มทูลว่า
“ฝ่าบาท เมืองจี้โจวเป็นหนึ่งในเก้าเมืองชายแดนที่ตั้งขึ้นมาหลังสุด ตั้งหลังจากเมืองเหลียวโจวเข้มแข็งขึ้น เมืองจี้โจวตั้งขึ้นมา นอกจากป้องกันเมืองหลวงแล้ว ยังไว้รับมือพวกนอกด่าน ยังมีไว้เพื่อเป็นด่านกันเมืองเหลียวโจวกับเมืองหลวงอีกด้วย!”
ฮ่องเต้ว่านลี่แปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็พยักหน้าเห็นตามที่หวังทงวิเคราะห์ พ้นจากด่านซานไห่กวนเข้าสู่เขตปกครองเหนือ จากด่านซานไห่กวนถึงเมืองหลวงเส้นทางเหมือนเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ไม่มีอะไรเป็นปราการ ยากรับมือ เมืองหลวงเป็นเมืองสำคัญ ย่อมต้องจัดการป้องกันเหตุผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น ตั้งเมืองเมืองจี้โจวย่อมคิดถึงเรื่องพวกนอกด่านเคลื่อนไหวบ่อย แต่ป้องกันเหตุคาดไม่ถึงจากเมืองเหลียวโจวก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลเช่นกัน
เห็นหวังทงเข้าใจ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ชี้ต่อว่า
“ตอนอดีตฮ่องเต้ยังอยู่ กาวก่งกับจางจวีเจิ้งแต่ไรมาก็พยายามแบ่งเขตเมืองเหลียวโจว ส่งขุนนางบุ๋นไปดูแล แต่เพราะเห็นว่าเมืองเหลียวโจวตั้งอยู่นอกด่าน ยังมีสองด้านติดตอนเหนือและตะวันออก ความรับผิดชอบมากจึงต้องให้อำนาจการนำทหารอยู่ในมือผู้บัญชาการผู้เดียว หลี่เฉิงเหลียงคุมอำนาจเมืองเหลียวโจวแต่ผู้เดียวมา 20 ปี ทหารก็เป็นทหารตระกูลเขา พี่น้องลูกหลานก็ล้วนเป็นขุนพลทหาร อำนาจเงินทองล้วนอยู่ในกำมือ ความร่ำรวยเรียกได้ว่าสามารถเทียบแผ่นดินได้ และยังแอบเลี้ยงดูโจรเพื่อตนเองอีก ไม่กำราบเสียบ้าง เกรงว่าคงได้ลืมตัวไปแล้ว แต่ว่า…..”
ฮ่องเต้ว่านลี่ลังเล ตรัสขึ้นอีกว่า
“ที่ต้องให้ความสำคัญกับเมืองเหลียวโจว ก็เพราะเมืองเหลียวโจวอยู่โดดเดี่ยวนอกด่าน เสบียงรวบรวมเองได้ ยังมีทหารกล้า หากบีบมากไป พ่อลูกตระกูลหลี่ร่วมเคลื่อนไหวกันขึ้น ก็ย่อมเป็นภัยใหญ่ เรามิอาจยอมให้แผ่นดินหมิงต้องเคลื่อนกำลังรบ นั่นนับเป็นภัยแห่งแผ่นดินหมิง”
ไม่แปลกที่ทรงลังเล ในฐานะโอรสสวรรค์ ต้องมาระแวงเมืองชายแดนเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าเปิดเผย หวังทงถวายบังคมทูลตอบ น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจว่า
“ฝ่าบาท เผ่าอันต๋าเข้มแข็งหรือเผ่าเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นเข้มแข็ง?”
“พวกป่าเถื่อนจะไปสู้อันต๋าได้อย่างไร”
ที่เรียกว่า ‘ป่าเถื่อน’ นั้น ก็เป็นคำเรียกดูแคลนพวกเผ่ามองโกลทางทุ่งหญ้าตะวันออกของแผ่นดินหมิง เพราะการต่อสู้ของพวกเขาเรียกได้ว่าไม่เอาไหนเลย เผ่าอันต๋าเป็นเจ้าแห่งทุ่งหญ้า ย่อมต้องเข้มแข็งกว่า
“ฝ่าบาท กองกำลังหู่เวยกับกองกำลังเมืองจี้โจวทำลายเผ่าอันต๋าสิ้น เมืองเหลียวโจวยกทัพออกปราบตัวหลุนนั้นก็แค่ไม่กี่พันหัว เทียบกันแล้ว ประสิทธิภาพการบผู้ใดเข้มแข็งผู้ใดอ่อนแอกัน?”
กล่าวเช่นนี้ ความกังวลของฮ่องเต้ว่านลี่มลายหายไปไม่น้อย หวังทงทูลอีกว่า
“ฝ่าบาท กองกำลังหู่เวยกับจี้โจวยกทัพขึ้นเหนือยึดเมืองกุยฮว่าเฉิง ตอนนี้กองกำลังหู่เวยกับกองกำลังจี้โจวล้วนอยู่ใกล้เมืองหลวง พื้นที่เมืองหลวงยังมีกองกำลังเมืองหลวง กองกำลังทหารเราเหนือว่าเมืองเหลียวโจว ฝ่าบาทยังทรงกังวลสิ่งใดกันพะยะค่ะ?”
พูดถึงตรงนี้ จางเฉิงแทรกถามขึ้น
“หวังทง ผู้บัญชาการเมืองเซวียนฝู่คือหลี่หรูซงนะ!”
“จางกงกงกล่าวได้ถูกต้อง แต่ทหารเมืองเซวียนฝู่นั้นหากราชสำนักมีราชโองการสั่งการย่อมได้ หากหลี่หรูซงเหิมเกริมไร้คุณธรรม จะมีคนตามด้วยกี่คน? ถึงตอนนั้นตระกูลหม่ากับตระกูลลี่เอ่ยปาก หลี่หรูซงยังจะทำอันใดได้ หม่าหลินตอนนี้ก็เป็นรองแม่ทัพเมืองเหลียวโจว หลี่เฉิงเหลียงอย่างไรก็ต้องคิดให้มากอีกสักหน่อย!”
พอหวังทงวิเคราะห์เช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้ตัดสินพระทัยส่งผู้แทนพระองค์ไป
**************
ความจริงนั้น หวังทงยังมีอีกการวิเคราะห์ที่ไม่ได้กราบทูล ตามข่าวขององครักษ์เสื้อแพรกับร้านสามธารา พ่อลูกตระกูลหลี่ รวมทั้งคนสนิทหลี่เฉิงเหลียงที่เป็นเหล่าขุนพลเมืองเหลียวโจว ต่างเสวยสุขกับอำนาจวาสนามากไปแล้ว และยังหลงใหลนารี อาหารเลิศรส เรื่องพวกนี้เทียบดูแล้ว ในบรรดาการค้าเทียนจินกับเมืองเหลียวโจว สินค้ารายรับสูงที่สุดและกำไรสูงที่สุด ไม่มีสินค้าใดเกินสินค้าฟุ่มเฟือยที่ขายไปยังเมืองเหลียวโจว
คนเราพอเสวยสุขกับอำนาจวาสนามากไป คนก็จะไร้ปณิธาน จะไปคิดเสี่ยงตายออกรบทำไมกัน จะไปมีจิตใจคิดการใหญ่ทำไมกัน แท้จริงแล้วไม่น่าเป็นห่วงอันใด
เรื่องที่หวังทงวิเคราะห์ได้ละเอียด หลี่เฉิงเหลียงเป็นขุนพลมา 30 ปี ย่อมวิเคราะห์ได้กระจ่างเช่นกัน ผู้แทนพระองค์เตรียมออกเดินทางจากเมืองหลวงหลังวันที่ 25 เดือนหนึ่ง ทูตเจรจาจากเมืองเหลียวโจววันที่ 16 เดือนหนึ่งก็มาถึงเมืองหลวง ตามระยะเดินทางจากเมืองเหลียวโจวมาเมืองหลวง ในวังไม่ทันมีราชโองการออกไป คนทางนั้นก็ออกเดินทางแล้ว
เมืองเหลียวโจวส่งขุนนางกองเอกสารในจวนหลี่เฉิงเหลียงมาปฏิบัติงานนอกพื้นที่ หากไม่ใช่คนสนิทย่อมไม่ได้ คนผู้นี้แซ่หลี่ ชื่อว่าตงฉวิน อายุ 42 เป็นบัณฑิตจวี่เหรินจากเมืองเติงโจว ผู้นี้มีชื่อในเอกสารรายงานองครักษ์เสื้อแพรกับร้านสามธาราอยู่มาก เป็นหนึ่งในสามที่ปรึกษาสามคนแรกของหลี่เฉิงเหลียง
คนผู้นี้เข้าเมืองหลวงมา ศาลซุ่นเทียนย่อมต้องรีบนำข่าวแจ้งหวังทง เดิมคิดว่าหลี่ตงฉวินมาเมืองหลวง คงไปติดต่อกับพวกบรรดาขันทีก่อน ตามธรรมเนียมการทำงานเมืองหลวงตอนนี้ ไปเดินเส้นสายกับทางน้องชายพระสนมเอกเจิ้งได้ผลที่สุด
แต่หวังทงคิดผิด หลี่ตงฉวินมาถึงเมืองหลวงพักคืนหนึ่ง วันรุ่งขึ้นก็ส่งเทียบขอเข้าพบหวังทง ฟ้ายังไม่สว่างดีก็นำของขวัญมารอพบหน้าจวน พอประตูจวนเปิดก็ส่งมอบเทียบนัดหมาย
หวังทงก็ออกไปเข้าร่วมประชุมขุนนางแต่เช้าตามปกติ ไม่ได้สนใจหลี่ตงฉวิน กล่าวเพียงว่า ‘ให้เขารอหน้าประตู’ จากนั้นก็ออกไป
หลังเลิกประชุมขุนนาง หวังทงนำเรื่องนี้รายงานฮ่องเต้ว่านลี่ นับว่าแจ้งแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ตรัสอันใด ตรัสเพียงว่า ‘เจ้าทำไปตามสบาย’
หลังเลิกประชุมขุนนาง หวังทงไม่ได้กลับจวน หากไปยังสำนักองครักษ์เสื้อแพรทำงาน ฟ้าใกล้มืดจึงได้กลับจวน
หลี่ตงฉวินผู้นั้นคอยอยู่ด้านนอกมาตลอด เดือนหนึ่งเมืองหลวงอากาศมิได้อบอุ่นอันใด หลี่ตงฉวินแม้สวมชุดหนังหนาเป็นตัวนอก หากสีหน้าก็ยังเขียวคล้ำ ปากเริ่มเป็นสีม่วง หวังทงมองจากบนหลังม้า ก็พยักหน้ากล่าวนิ่งเรียบว่า
“แขกท่านนี้รอนานแล้ว เชิญเข้าไปคุยกันด้านใน!”
หลี่ตงฉวินคิดจะรับคำ แต่อาจเพราะหนาวมานาน คิดจะขยับก็ย่อมแข็งไปหมด หวังทงไม่สนใจ เดินเข้าไปทันที
เตรียมตัวครู่หนึ่ง หวังทงก็ออกมายังห้องรับแขก หลี่ตงฉวินถูกเชิญตัวเข้ามา สีหน้าดีกว่าด้านนอกอยู่มาก พอเข้ามาอบอุ่นไม่ว่า ยังมีน้ำชาร้อนให้ดื่มอีกด้วย
หลี่ตงฉวินพอเข้ามาในห้องก็โขกศีรษะคำนับ หวังทงเห็นหลี่ตงฉวินคุกเข่าก็ส่ายหน้ายิ้ม กล่าวว่า
“หากหลี่เฉิงเหลียงรู้จักเช่นนี้แต่ต้น จะมีวันย่ำแย่เช่นนี้ได้อย่างไร”
หลี่ตงฉวินเงยหน้ากล่าวว่า
“ด้วยเพราะชื่อเสียงมี สามารถแย่งชิงก็แย่งสักหน่อย ได้แย่งแล้วจึงได้รู้ว่าตนเองแย่งไม่ได้ จึงได้รู้ว่าควรยอมแพ้ ไม่เช่นนี้นายท่านก็คงไม่ส่งข้าน้อยมาคารวะท่านโหว”
หวังทงส่ายหน้าหลุดหัวเราะ กล่าวว่า
“ฝีปากไม่เลวนะ ลุกขึ้นมาพูดกัน!”
หลี่ตงฉวินขอบคุณลุกขึ้น ได้รับอนุญาตจากหวังทงแล้ว จึงได้เปิดประเด็นตรงไปตรงมาทันทีว่า
“ท่านโหว นายท่านบอกว่า ก่อนหน้ามีเรื่องเข้าใจผิดก็ไม่อยากเอ่ยถึงอีก วันหน้าการค้าเทียนจินในเมืองเหลียวโจวย่อมไร้การต่อต้าน เปิดทางสะดวก จะไม่หาเรื่องใดให้ลำบากอีก นายท่านเห็นว่าท่านโหวร่ำรวย คิดจะทำการค้าร่วมกับท่านโหวอีกด้วย”
“ข้ากับขุนพลซุนมีการค้ากันแล้ว ความปรารถนาดีของตระกูลหลี่ ข้าได้แต่ขอบคุณแล้ว”
“ท่านโหว ซุนโส่วเหลียนเก่งกล้าการรบ นายท่านข้านั้นคิดจะส่งเสริมนานแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะมอบตำแหน่งใดให้ดี ขอท่านโหวชี้แนะ!”
ตอนที่ 927 แบ่งอำนาจรักษาวาสนา เลือกทางเสี่ยงเพื่อประโยชน์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในภาพที่เห็นนั้น หวังทงกับเมืองเหลียวโจวปะทะกันมีสองเหตุ หนึ่งก็คือเกี่ยวกับผลประโยชน์หวังทงที่เทียนจิน กลุ่มพ่อค้าไปเมืองเหลียวโจวถูกกีดกันไม่หยุด อีกเรื่องก็คือ ซุนโส่วเหลียน
เมืองเหลียวโจวจะจัดการซุนโส่วเหลียนนั้นไม่ได้มีข่าวกระจ่างสักเท่าไร แต่ทุกคนล้วนรู้ว่าซุนโส่วเหลียนเป็นคนหวังทง ใกล้ปีใหม่มาคารวะหวังทงที่เมืองหลวง จากนั้นหวังทงก็หาเรื่องเมืองเหลียวโจวทันที ในเรื่องนี้ย่อมมีสาเหตุใดอะไรสักอย่าง ทุกคนย่อมเดาออกได้
หลี่ตงฉวินเป็นคนมีความสามารถ บางทีอาจจะวิเคราะห์การจัดการแบบหวังทงมาก่อน พอมาถึงก็ไม่อ้อมค้อม กล่าวเข้าประเด็นทันที
วิธีการทำงานเช่นนี้ ทำให้หวังทงสบายใจมาก เงียบไปครู่หนึ่งก็ยิ้มกล่าวว่า
“ร้านค้าเทียนจินที่เมืองเหลียวโจวก็ไม่ได้ขออะไรมาก ร้านเมืองเหลียวโจวได้รับการปฏิบัติเช่นไร ก็ปฏิบัติกับร้านค้าที่เทียนจินตามนั้น เรื่องนี้คงไม่ยากกระมัง?”
“ท่านโหวใจกว้าง ขอท่านโหววางใจ วันหน้าร้านค้าเทียนจินไปเมืองเหลียวโจวก็จะเหมือนกับร้านค้าอยู่ที่เทียนจิน หากมีอันใดไม่เป็นตามนี้ ให้ท่านโหวตัดหัวข้าน้อยไปได้เลย”
“กล่าวเช่นนี้มีประโยชน์อันใด รอดูวันหน้าก็แล้วกัน”
หวังทงไม่สนใจวาจาสวยหรูคนผู้นี้ พ่อค้าเทียนจินไม่ว่าเงินทุนหรือแนวคิดการค้า หรือว่าเส้นทางการค้า ล้วนเหนือกว่าพ่อค้าเมืองเหลียวโจวในเงื่อนไขเดียวกัน แม้ไม่ได้สิทธิพิเศษใด พ่อค้าเทียนจินก็ได้เปรียบกว่าอยู่แล้ว
“ซุนโส่วเหลียนนี่……เจ้าตัดสินใจแทนได้หรือ?”
หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง ได้ฟังแล้ว หลี่ตงฉวินก็ก้มคำนับกล่าวว่า
“ท่านโหวต้องการเช่นไร ขอให้กล่าวกับข้าน้อย ข้าน้อยรับไว้ได้ก็จะให้คำมั่นกับท่านโหว ข้าน้อยรับไม่ไหวก็จะม้าเร็วไปสอบถาม ภายใน 20 วันย่อมมีข่าวมาให้ใต้เท้าได้”
ตั้งแต่ก้าวเข้าจวนหวังทงมา หลี่ตงฉวินแสดงท่าทีอ่อนน้อมคล้อยตาม ที่ควรนอบน้อมก็นอบน้อม แต่ก็มิใช่ว่าก้มหัวให้หมดทุกเรื่องอย่างไร้หลักการราวกับเป็นทาส
ท่าทีเขาเช่นนี้ทำให้หวังทงรู้สึกสบาย ไม่กล่าวอ้างเรื่องไม่เกี่ยวข้อง พูดกันตรงไปตรงมาว่า
“เมืองเหลียวโจวกว้างใหญ่ เพียงแค่จากเหลียวหยางขยายคลุมพื้นที่กว้างออกไปก็ย่อมมีพื้นที่กว้างประมาณมิได้ ข้าคิดว่าควรจะส่งรองแม่ทัพภาคไปประจำเหลียวตงเขตประชิดเกาหลี เหมือนระบบเมืองจี้โจว ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการหลี่จะเห็นเช่นไร?”
“เรื่องนี้……”
หลี่ตงฉวินท่าทีนอบน้อมสุภาพลงโขกศีรษะเป็นครั้งแรก ตำแหน่งขุนพลประจำพื้นที่กับรองแม่ทัพภาคเหมือนไม่ได้แตกต่างกัน แต่ในความจริงนั้นแตกต่างกันมาก
ขุนพลประจำพื้นที่เป็นตำแหน่งที่ส่งไปประจำดูแลพื้นที่ทหาร รองแม่ทัพภาคเท่ากับเป็นรองแม่ทัพ ดูแลทั้งภาคส่วน เมืองจี้โจวอยู่ข้างเมืองหลวง และยังไร้ภูมิศาสตร์เป็นปราการกั้น ดังนั้นเพื่อสร้างระบบการสมดุลอำนาจ เมืองจี้โจวจึงมีผู้บัญชาการหนึ่งและรองแม่ทัพอีกสี่
อำนาจรองแม่ทัพไม่น้อย อำนาจเท่ากับกำกับดูแลภาพรวม และในพื้นที่รักษาการณ์ของเขาเองนั้น ก็เทียบได้กับเมืองชายแดนเล็กๆ เขาอยู่ที่นั่นเทียบได้กับตำแหน่งผู้บัญชาการเลยทีเดียว
หรืออาจกล่าวได้ว่า การมีอยู่ของรองแม่ทัพ ในเมืองชายแดนก็เท่ากับผู้ช่วยผู้บัญชาการ หรืออาจขึ้นทดแทน ในเมืองชายแดนกลับเป็นการแบ่งสรรอำนาจให้สมดุล
หวังทงกล่าวถึงตำแหน่งนี้ ย่อมไม่ใช่ผู้ช่วย หากเป็นการแบ่งสรรอำนาจมากกว่า เหลียวหยางกับเสิ่นหยางเป็นสองเขตพื้นที่ใหญ่ของเมืองเหลียวโจว และยังห่างไกลจากจุดศูนย์กลางอย่างเหลียวตงมาก จัดรองแม่ทัพภาคไปประจำที่นั่น ก็เท่ากับแบ่งพื้นที่เมืองเหลียวโจวออก ตั้งเป็นเขตใหม่
พื้นที่ดูแลของซุนโส่วเหลียนอยู่ที่กองกำลังฝ่ายขวาที่ติ้งเหลียว ซึ่งก็คือที่เรียกว่าเมืองหวงเฟิ่งเฉิง ที่นั่นเป็นศูนย์กลางของเหลียวตง หวังทงเสนอเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า จะเลื่อนตำแหน่งให้ซุนโส่วเหลียน
อำนาจวาสนาตระกูลหลี่อยู่ในพื้นที่นี้ พื้นที่นี่จึงจะมีเงินทองร่ำรวย จึงจะสามารถเลี้ยงดูครอบครัวทหารได้ จึงจะสามารถทำให้สถานะตนมั่นคงได้ หากอยู่ๆ ถูกแบ่งออกไปส่วนหนึ่ง ก็ย่อมไม่อาจยอมรับได้
หลี่ตงฉวินจะไม่รู้เรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร พูดถึงตรงนี้ เขาจึงไม่กล้ารับปากจริงๆ ลังเลไปมา ก่อนจะคำนับกล่าวว่า
“ท่านโหว ตำแหน่งใต้เท้าซุนตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างอันใดกับรองแม่ทัพภาคสักเท่าไร หากคิดจะเลื่อนสถานะให้สูงขึ้น ให้รุ่งเรืองอำนาจวาสนา ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ขาดอันใด หรืออย่างไรก็ปีหน้าค่อยสร้างความชอบจากการรบให้ราชสำนักบำเหน็จรางวัลบรรดาศักดิ์ให้ใต้เท้าซุน เรื่องตำแหน่งรองแม่ทัพภาคนี้ เกรงว่าจะส่งผลกระทบมากไปสักหน่อย นายท่านข้าน้อยอาจไม่สะดวกจะกล่าว แม้ท่านโหวบอกกล่าวกับราชสำนักแล้ว ก็เกรงว่าอาจต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกระมัง!?”
หวังทงส่ายหน้าพิงพนักเก้าอี้ ยกถ้วยชาข้างกายขึ้น กล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า
“เจ้าตัดสินใจไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดมากความ ไม่สู้กลับไปถามผู้บัญชาการหลี่ เขายังคิดอยู่ท่ามกลางอำนาจวาสนานี้หรือคิดเป็นอื่นกัน”
“นายท่านข้าน้อยสร้างความดีความชอบเพื่อแผ่นดินหมิงเช่นนี้ ……”
หลี่ตงฉวินคิดจะตอบตามที่คิด แต่อยู่ๆ ก็คิดได้ รีบหยุด หวังทงกล่าวต่อว่า
“คิดรักษาอำนาจวาสนาให้ยืนยาวนาน ความจริงนั้นมีทหารในมือ มีพื้นที่ในมือมากมายเท่าไร ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจวาสนา เมืองเหลียวโจวเป็นของแผ่นดินหมิง ไม่ใช่ของตระกูลหลี่ หากยังดื้อดึง เกรงว่าจะนำภัยใหญ่มาสู่ตนเอง!”
กล่าวจบ หลี่ตงฉวินก็สะดุ้งโหยง หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“เอ หรือว่าผู้บัญชาการหลี่ไม่ใส่ใจภัยใหญ่นี้?”
“งั้นข้าน้อยจะรีบเขียนจดหมายไปถามทันที ต้องขอท่านโหวรอสักหลายวันหน่อย”
กล่าวกันถึงขั้นนี้ หลี่ตงฉวินย่อมไม่กล้าเจรจารับปากอันใดต่อ ได้แต่รีบกลับไปถามให้เร็วที่สุด หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า
“เผ่าหนี่ว์เจินที่เจี้ยนโจวอย่างไรต้องปราบ ไม่เช่นนั้นทุกเรื่องไม่ต้องคุยกัน”
หวังทงเน้นย้ำจริงจัง เขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก หลี่ตงฉวินกลับไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อันใด ก้มกายลงคำนับกล่าวว่า
“ขอท่านโหววางใจ เรื่องนี้ต้องจัดการแน่นอน”
*************
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 เริ่มต้นด้วยความเงียบสงบ เดือนหนึ่ง หวังทงได้ต้อนรับทูตเจรจาจากเมืองเหลียวโจว มีคนรู้เรื่องนี้น้อยมาก
จริงๆ สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ละครใหญ่ตอนนี้ หรือจะบอกว่าในช่วงเวลานี้ที่เรียกได้ว่าละครฉากใหญ่นั้นก็คือ เรื่องการประชุมขุนนางเพื่อปลดฮองเฮา
ปลดฮองเฮา แต่งตั้งฮองเฮาใหม่ เป็นเรื่องที่พบได้น้อยมากในราชวงศ์หมิงเกือบสองร้อยปีมานี้ เพราะย่อมเกี่ยวข้องกับการแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก แต่ในตอนนี้ ทุกคนล้วนไม่ได้ตื่นเต้น หรืออาจเรียกได้ว่าถึงขั้นรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้น่าสนใจอันใด
เพราะไม่มีคนคิดโต้แย้งอันใด คนยื่นฎีกาก็จัดการไว้พร้อมแล้ว คนที่คอยประสานรับก็จัดการไว้พร้อมแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสขึ้นในที่ประชุมขุนนางก็เป็นไปตามแผนการที่วางไว้ ไม่ว่าขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่หรือเสนาบดีหกกรมกอง หรือขุนนางสำนักตรวจสอบล้วนระมัดระวังให้คนสนิทไปกำชับ เกรงว่าพอถึงเวลาจะมีพวกออกมาค้านหรือทูลไปคนละทิศละทาง พวกระดับนายกองหกกรมมีคนไปบอกกล่าวไว้หมดแล้ว
ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวล้วนมิได้มีท่าทีเหมือนปีที่แล้วอีกแล้ว ฎีกาตอนนี้ก็มีแต่ชื่นชมสรรเสริญพระสนมเอกเจิ้งว่าเหมาะสมเพียงใดที่จะเป็นฮองเฮา
เคยมีคนจดบันทึกไว้ว่า ‘ในราชสำนักมีพยัคฆ์กินคน ไหนเลยกล้ากล่าววาจา’ บันทึกนี้เขียนออกมาก็ถูกฮูหยินตนเองเผาทิ้ง แต่ที่มีข่าวออกมาก็เพราะคุยกันตอนเมา
หลังเห็นด้วยกับการแต่งตั้งฮองเฮา ยามนี้พวกที่ตื่นเต้นดีใจที่สุดก็คือพวกสำนักตรวจสอบ ที่ยกให้นายกองอวี๋เจียนหรู่เป็นหัวหน้า แม้คนพวกนี้ถูกเพื่อนร่วมงานด้วยกันมีท่าทีเมินเฉย แต่ไม่น้อยก็แอบอิจฉา อิจฉาที่คนเหล่านี้ได้มีที่พึ่งพาหนักแน่นดังภูผา ข่าวแพร่ไปว่า อวี๋เจียนหรู่จะได้ไปเป็นนายกองตรวจการมณฑลทหารเทียนจิน จากนั้นก็จะได้กลับเมืองหลวงมาดำรงอื่นต่อ ความจริงนั้นเรียกได้ว่าเส้นทางขุนนางที่ก้าวกระโดด ผลประโยชน์ดีที่จับต้องได้ มิน่าเล่าจึงมีผู้คนอิจฉา
สถานการณ์มาถึงขั้นนี้ ในวังมีแอบส่งสัญญาณให้ฮองเฮาหวังได้รู้ หลังพิธีอภิเษกสมรส ฮ่องเต้ว่านลี่กับฮองเฮาหวังร่วมเตียงกันน้อยจนน่าสงสาร ฮองเฮาหวังไม่มีโอรส พระนางไม่คิดอาลัยในตำแหน่งฮองเฮานี้เท่าไรนัก จึงอ้างว่าพระวรกายอ่อนแอ ไม่อาจดูแลวังหลังได้ ขอฝ่าบาทเลือกพระสนมที่ทรงสติปัญญามาแทนตำแหน่ง……
ในเมื่อพระนางรู้ความเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่จึงมีพระราชานุญาติ พระสนมเอกเจิ้งได้ขึ้นดำรงตำแหน่งฮองเฮาอย่างเป็นทางการ ฮองเฮาหวังลดตำแหน่งลงไปเป็นพระสนมชั้นเฟย ‘รักษาพระวรกาย’ ในวัง
ต้นเดือนสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 พระสนมเอกเจิ้งได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ตามประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงไม่เคยง่ายดายเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องมีเรื่องโต้แย้งกัน เป็นเรื่องใหญ่ดุเดือดในราชสำนัก แต่ครั้งนี้กลับผ่านไปเรียบง่าย
น้องชายพระสนมเอกเจิ้งได้รับแต่งตั้งเป็นอันหยวนป๋อ ได้เป็นชนชั้นสูงอันดับหนึ่งในเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ จวนอู่ชิงโหวเดิมยังคงถูกเฝ้าไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอก
**************
ข่าวลับจากเมืองกุยฮว่าเฉิงมาถึงมือหวังทง ไม่ใช่เรื่องสำคัญใด แต่เมิ่งตั๋วแห่งเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่รู้ตัดสินใจเช่นไรดี
เมืองกุยฮว่าเฉิงหลังถูกกองกำลังหมิงเข้าครอบครอง ขบวนการค้าผู้คุ้มกันกับเผ่าที่มาพึ่งพิงรอบนอกเมืองก็ติดอาวุธออกไล่ล่าปล้นชิงบนทุ่งหญ้าไม่หยุด แต่ทิศทางหลักก็ไปทางตะวันตกเมืองกุยฮว่าเฉิง เพราะทางตะวันตกไม่มีพวกนอกด่านกลุ่มใหญ่ และยังเป็นพื้นที่ลุ่มแม่น้ำ มีที่นาสมบูรณ์มากมาย ขับไล่พวกนอกด่านบริเวณลุ่มแม่น้ำออกไป ฟื้นฟูระบบท่อส่งน้ำเพื่อการเกษตร ก็สามารถทำนาอุดมผืนใหญ่ได้แล้ว
ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องให้ผลประโยชน์ ก็ย่อมมีคนอยากไปทางนี้กันมาก ในกลุ่มนี้มีตระกูลใหญ่จากซานซีและส่านซีร่วมกับขุนพลทหารในพื้นที่ เตรียมจัดการยึดพื้นที่ลุ่มน้ำแล้วแบ่งสรรที่นาผลประโยชน์กัน
เทียบกับผลประโยชน์ทางตะวันตกแล้ว การค้าอย่างเดียวตอนเหนือและทางตะวันออกเมืองกุยฮว่าเฉิงก็ไม่ได้คึกคักเท่าไร เพราะทางตะวันออกมีเผ่าใหญ่สองเผ่าอย่างฉาฮาเอ่อร์กับเคอเอ่อร์ชิ่น ไม่อาจแตะต้องโดยง่าย และทางตะวันออกมีหลายเผ่าที่พ่อค้าเมืองเหลียวโจวทำการค้าด้วย ไม่ค่อยทำการค้ากับเมืองกุยฮว่าเฉิง ห่างกันไกล ไม่มีผลประโยชน์อันใดให้เก็บเกี่ยวโดยง่าย
ทว่าทางตะวันตกนับวันยิ่งมีให้ปล้นน้อยลง การค้าก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้น ทุกคนมักคิดหาทางแสวงหาผลประโยชน์ใหม่เพิ่ม ทางตะวันออกแม้มีศัตรูเข้มแข็ง แต่ก็ไม่อาจสนใจเรื่องนี้แล้ว
พ่อค้าใหญ่เมืองกุยฮว่าเฉิงแอบหารือกัน หากทำให้ทางตะวันออกเกิดเรื่อง ดีที่สุดก็ให้ขบวนการค้าถูกเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นปล้น และมีการบาดเจ็บล้มตาย ถึงตอนนั้นทุกคนในเมืองกุยฮว่าเฉิงร่วมมือกัน ร่วมกันไปแก้แค้น หากใช้กำลังทางการได้ ย่อมดีที่สุด หากใช้กำลังทางการไม่ได้ ทุกคนก็รวมกำลังคนและม้าไปกันเอง แม้ไม่ชนะ แต่ก็จะสามารถขยายอาณาเขตเมืองกุยฮว่าเฉิงไปทางตะวันออก อย่างไรก็มีแต่ผลดี
พวกพ่อค้านับวันยิ่งใจกล้า เมิ่งตั๋วไม่รู้จะรับมือเช่นไร ดังนั้นจึงเขียนจดหมายมาถาม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น