หมอดูยอดอัจฉริยะ 924-927

 ตอนที่ 924 ก้มศีรษะ

 

“คุณเยี่ย พ…พวกเราอยู่ข้างในน่าจะปลอดภัยกว่ามั้งครับ?”


ตอนที่เดินตามเยี่ยเทียนออกจากที่ประชุมไปนั้น กู้ต้าจวินรู้สึกราวกับมีหนามแหลมทิ่มแทงหลังมาตลอดทาง หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ เขาคงจะตายไปกี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ เสื้อผ้าเปียกชุ่มด้วยเหงื่อเย็นเยียบไปทั่วร่างแล้ว


แม้ฝ่ายผู้จัดงานประชุมผู้มีพลังพิเศษครั้งนี้จะเป็นรัฐบาลของแต่ละประเทศ แต่ในเบื้องหน้านั้น คงไม่มีรัฐบาลประเทศไหนที่จะยอมรับเรื่องการจัดงานประชุมครั้งนี้แน่ ดังนั้นไม่ว่าในที่ประชุมจะเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้น ก็จะไม่มีใครมาสืบสาวเอาความทั้งนั้น


อย่างเรื่องที่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นราชครูจากไทยถูกเยี่ยเทียนสังหารไปด้วย ‘คัมภีร์เป็นตาย’ นั้น ไม่ว่ารัฐบาลไทยจะโมโหเดือดดาลเพียงใด ก็คงทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทน ไม่มีทางมากล่าวโทษเยี่ยเทียนต่อหน้าสาธารณชนเด็ดขาด


ในทางเดียวกัน ต่อให้พวกเขาตายอยู่ที่นี่ รัฐบาลจีนก็คงจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เช่นกัน ในจุดนี้ แต่ละประเทศต่างตกลงกันเป็นเอกฉันท์แล้ว


“เหล่ากู้ คุณนี่ออกมาจากกองทัพเสียเปล่า มีความกล้าอยู่แค่นี้น่ะรึ?”


เมื่อได้ยินกู้ต้าจวินพูดเช่นนั้น โจวเซี่ยวเทียนก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที เขากำลังเลือดร้อนเตรียมตัวจะฆ่าคนอยู่พอดี มีอารมณ์มาฟังคำพูดบ่อนทำลายขวัญแบบนี้ที่ไหนกัน?


“ผ…ผม พวกคุณถือเสียว่าผมไม่ได้พูดอะไรเลยก็แล้วกัน”


กู้ต้าจวินถูกโจวเซี่ยวเทียนว่าจนหน้าแดงก่ำ เขาย่อมไม่กล้าเถียง ตนนั้นเป็นทหารฝ่ายบุ๋นมาตลอด แม้จะอยู่ในกองกำลังพิเศษ แต่ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองอิเล็กทรอนิกส์ จึงไม่เคยต้องออกไปปฏิบัติภารกิจชนิดที่ต้องเห็นเลือดเลย


“เหล่ากู้ ไม่เป็นไรหรอก เรื่องบางอย่างคุณคงจะไม่เข้าใจ…”


เมื่อเห็นกลุ่มคนที่ตามหลังพวกเขาออกมาอย่างใจกล้าไม่หวาดเกรง เยี่ยเทียนจึงหรี่ตาแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา


 “คนบางคนก็เปลี่ยนสันดานตัวเองไม่ได้ บรรพบุรุษเคยเป็นโจร จนถึงตอนนี้ก็เลยยังหลงเหลือกรรมพันธุ์ของโจรอยู่ วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับคนพวกนี้ก็คือ กำจัดกายเนื้อของพวกมันซะ!”


“อาจารย์ ให้ผมไปจัดการพวกมันไหมครับ?”


เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดเช่นนั้น โจวเซี่ยวเทียนก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที ดวงตาเหลือบมองไปทางกลุ่มคนที่ตามออกมาอย่างไม่ประสงค์ดี ท่าทางกระตือรือร้นสุดขีด


“เพราะติงติงท้องแล้ว แกก็เลยนึกว่าตัวเองแน่มากใช่ไหม?”


เยี่ยเทียนตบด้านหลังศีรษะของลูกศิษย์ไปหนึ่งฉาด


“ไปเอารังสีอำมหิตมาจากไหนมากมายปานนั้น? ตอนนี้แกกำลังจะเลื่อนขั้นไปถึงระดับเซียนเทียนอยู่แล้ว อย่าทำให้จิตแห่งเต๋าสั่นคลอนสิ ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ห้ามแกลงมือกับใครอีก!”


การเลื่อนขั้นในระหว่างการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั้น เยี่ยเทียนเคยประสบกับตัวเองมาแล้ว ตอนแรกเขาคิดว่าจะให้โจวเซี่ยวเทียนได้ลองเรียนรู้ดูบ้าง แต่คาดไม่ถึงเลยว่า โจวเซี่ยวเทียนกลับมีอาการราวกับมีมารอยู่ในใจ ซึ่งมีแต่จะเป็นภัยต่อการแปลงจิตของเขาในขั้นตอนสุดท้าย


“อาจารย์ พลังฝีมือศิษย์ยังอ่อนด้อย ขอบพระคุณที่ตักเตือนครับ!”


หลังจากฝ่ามือของเยี่ยเทียนฟาดลงไปบนศีรษะของโจวเซี่ยวเทียน ไอเย็นสายหนึ่งก็ถ่ายเทเข้าสู่ห้วงจิตของเขาทันที ทำให้โจวเซี่ยวเทียนรู้สึกสมองปลอดโปร่ง แววคลุ้มคลั่งในดวงตาก็ค่อยๆ ลดลงไป


“ก็แค่พวกปลาเล็กปลาน้อยเท่านั้น มันคุ้มให้แกมาเกิดโทสะขนาดนี้ไหม?”


เยี่ยเทียนยิ้มพลางส่ายหน้า แต่เมื่อเขามองไปทางประตูห้องประชุมแล้วก็กลับอึ้งไปทันที


“เอ๋? คนนี้ก็ออกมาด้วยรึ คิดจะทำอะไรกัน?”


ผู้ที่ออกมาจากที่ประชุมก็คือแดร็กคูล่าซึ่งเป็นแวมไพร์ชั้นดยุกผู้นั้นนั่นเอง และยังมี ‘เพื่อนเก่า’ ของเยี่ยเทียนอย่างรูดอล์ฟตามหลังมาอีกด้วย แต่ดูท่าทางเขาจะยังไม่ค่อยยอมรับคำพูดของแดร็กคูล่าเมื่อครู่เท่าไรนัก จึงมองมาที่เยี่ยเทียนด้วยสายตามาดร้ายอย่างเห็นได้ชัด


“เยี่ยเทียน การกระทำบางอย่างของแดร็กคูล่าในอดีตนั้น ได้สร้างความวุ่นวายให้แก่คุณไม่น้อย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ…”


เยี่ยเทียนและรูดอล์ฟรวมถึงทุกคนในสวนที่กำลังจับตาดูเยี่ยเทียนอยู่นั้นต่างคาดไม่ถึงเลยว่า แดร็กคูล่าจะออกมาขอโทษเยี่ยเทียนก่อนอื่นเป็นอันดับแรก และน้ำเสียงยังฟังดูจริงใจอย่างยิ่งอีกด้วย สองมือประสานกันไว้ที่หน้าอก แสดงความเคารพต่อเยี่ยเทียนแบบชนชั้นสูงในยุคโบราณ


“นายท่าน นี่ท่านจะ?”


รูดอล์ฟโพล่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้


“หุบปาก!”


แดร็กคูล่าหันหลังไปถลึงตาใส่รูดอล์ฟ ประกายเย็นเฉียบในดวงตานั้นทำให้รูดอล์ฟยอมหุบปากลงอย่างว่าง่าย


แดร็กคูล่าหันหน้ามามองเยี่ยเทียนแล้วพูดต่อ


“คุณเยี่ย ผมว่า…คุณคงจะยอมรับการขอโทษของผมอยู่ใช่ไหม?”


“ได้ นับว่ายังพอมีคนฉลาดอยู่บ้าง ดยุกแดร็กคูล่า ถ้าคุณสามารถตอบคำถามต่างๆ ของผมได้ บางทีพวกเราอาจจะกลายมาเป็นมิตรกันได้อยู่!”


หลังจากฟังคำพูดของแดร็กคูล่าแล้ว เยี่ยเทียนก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ และในใจก็ประเมินพลังฝีมือของดยุกชั้นแวมไพร์ผู้นี้ในระดับที่สูงขึ้น


ผู้ที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความมืดมนนั้น ย่อมมีความสามารถในการรับรู้ถึงอันตรายที่ไวอย่างยิ่ง เนื่องจากเยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงไอปราณของผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในโลหิตของแดร็กคูล่า จึงเกิดจิตสังหารต่ออีกฝ่ายขึ้นมาจริงๆ แต่เยี่ยเทียนกลับคาดไม่ถึงว่า ฝ่ายนั้นจะรับรู้ถึงจิตสังหารของเขาได้ด้วย


“ได้เลย ตามที่คุณปรารถนา”


แดร็กคูล่ายืดกายยืนตรง ที่จริงในใจเขาเองก็มีความสงสัยอยู่ไม่น้อย เมื่อครั้งก่อนเขาเพียงแค่ส่งเคิร์ทไปสืบข้อมูลเกี่ยวกับเยี่ยเทียนเท่านั้นเอง และเคิร์ทก็ตายไปที่ไซบีเรียแล้ว ว่ากันตามเหตุผลแล้วเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ไม่รู้เพราะอะไรอีกฝ่ายถึงต้องมีจิตคิดสังหารตนด้วย


ตรงตามที่เยี่ยเทียนคาดไว้ หลังจากมีชีวิตอยู่มานานนับพันปี ความสามารถในด้านอื่นยังไม่ต้องเอ่ยถึง เฉพาะความสามารถในการรับรู้ถึงอันตราย แดร็กคูล่าก็เชื่อมั่นว่าไม่มีใครเหนือไปกว่าตนอีกแล้ว สายตาของเยี่ยเทียนที่มองมาทางเขาในตอนแรกที่มาถึงนั้น ทำให้แดร็กคูล่ารู้สึกขนลุกของพองขึ้นมาทันที เพราะเขาสัมผัสถึงจิตสังหารนั้นได้อย่างชัดเจน


ต่อมาเมื่อได้ประจักษ์ถึงความสามารถของเยี่ยเทียนแล้ว แดร็กคูล่าจึงตัดสินใจทันทีว่า ต่อให้เยี่ยเทียนถือเคียวยมทูตอยู่ เขาก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เด็ดขาด และยังเป็นฝ่ายออกมากระชับความสัมพันธ์กับเยี่ยเทียนเองอีกด้วย จะว่าไปแล้วทุกอย่างก็มีสาเหตุมาจากสายตาของเยี่ยเทียนในตอนนั้นทั้งสิ้น


“ดยุกแดร็กคูล่า คุณเคยเดินทางไปแถบตะวันออกมาก่อน น่าจะรู้เกี่ยวกับผู้บำเพ็ญพรตอยู่สินะ?”


ดวงตาของเยี่ยเทียนหรี่ลง จับจ้องไปที่แดร็กคูล่า


“ผู้บำเพ็ญพรตที่แข็งแกร่งที่สุดที่คุณเคยเจอในตอนนั้น จะมีพลังฝีมือเป็นแบบไหนกันแน่?”


“ผมเคยไปจีนมาแล้วจริงๆ บอกโดยไม่ปิดบัง ผมยังเคยมีทายาทบริวารเป็นคนจีนด้วย แต่ตอนนั้นสองประเทศกำลังทำสงครามกันอยู่ ผมต้องขออภัยต่อคุณเกี่ยวกับเรื่องในสมัยนั้นด้วย!”


หลังจากได้ยินคำถามของเยี่ยเทียน ในที่สุดแดร็กคูล่าก็เข้าใจแล้วว่าจิตสังหารของอีกฝ่ายนั้นมาจากสาเหตุใด เขาก็นับว่าเป็นคนใจนักเลงคนหนึ่ง ในเมื่อตัดสินใจจะก้มศีรษะแล้ว จึงเปิดเผยเรื่องราวในอดีตออกมาตรงๆ เลย ถ้าเยี่ยเทียนยังไม่ยอมให้อภัยอีก เขาเองก็คงไม่นั่งรอความตายอยู่เฉยๆ เหมือนกัน


“อืม คุณก็เป็นคนนิสัยดีเหมือนกันนะ ไว้พอการประชุมครั้งนี้จบลงแล้ว ผมจะมาสอบถามคุณอย่างละเอียดอีกที”


วาจาของแดร็กคูล่าทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกชื่นชมเขามากยิ่งขึ้น โลกแห่งความมืดนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเลวร้ายอะไร เพียงแต่ยึดหลักยกให้ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ การขอโทษและความเปิดเผยของแดร็กคูล่านั้น ก็มีสาเหตุมาจากพลังอันแข็งแกร่งของเยี่ยเทียนนั่นเอง


ส่วนเรื่องที่แดร็กคูล่าเคยดูดเลือดของผู้บำเพ็ญพรตนั้น เยี่ยเทียนกลับไม่ได้ใส่ใจมากนัก ผู้บำเพ็ญพรตเหล่านั้นก็ไม่ใช่บรรพบุรุษของเขาสักหน่อย แล้วจะไปสนใจทำไม ยิ่งไปกว่านั้น การรบราฆ่าฟันระหว่างผู้บำเพ็ญพรตด้วยกันเองนั้น ยังมีอัตราสูงกว่าการถูกชนชาติอื่นสังหารเสียอีก


“ขอบพระคุณ คุณเยี่ยมาก ถ้าคุณยอมให้เลือดผมสักหยดหนึ่ง ผมยินดีนำทุกสิ่งที่มีอยู่มาเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนทั้งหมดเลย!”


แดร็กคูล่ารู้ว่าการกระทำของตนนั้นชนะใจของเยี่ยเทียนได้แล้ว จึงเผยจุดประสงค์ของตนออกมาตรงๆ เลย


“เรื่องนี้ไว้ว่ากันทีหลัง คำถามของผมคุณยังตอบไม่หมดเลยนะ”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า การชื่นชมอีกฝ่ายนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไปเป็นสหายกับอีกฝ่ายเสียเดี๋ยวนั้น แต่บุคคลที่อยู่ตรงหน้านี้ช่างเฉลียวฉลาดเหลือเกิน ถ้าเยี่ยเทียนปฏิเสธคำขอของเขาไป ภายหลังคงยากที่จะคิดหาทางจัดการเขาได้อีก


“คุณหมายถึงผู้บำเพ็ญพรตที่ประเทศจีนน่ะหรือ?”


ดวงตาของแดร็กคูล่าฉายแววหวาดหวั่นเล็กน้อย และตอบว่า


“ผมเคยเห็นการต่อสู้ระหว่างคนจีนผู้หนึ่งกับแวมไพร์ชั้นดยุกมาแล้ว เพียงโจมตีครั้งเดียว ก็ผ่าภูเขาลูกหนึ่งออกเป็นสองซีกได้ เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ผมเคยเจอมาเลย…”


สมัยที่เดินทางไปจีนนั้นแดร็กคูล่ายังไม่ได้เป็นดยุก ในช่วงสำคัญของการทำศึกนั้น เขาจึงได้แต่หลบอยู่ด้านข้างพลางโห่ร้องให้กำลังใจ ผู้นำของฝ่ายแวมไพร์ในเวลานั้นก็คือดยุกคนนั้นนั่นเอง และเขาก็เป็นรองแต่เพียงราชาแวมไพร์เท่านั้น


สิ่งที่แดร็กคูล่าไม่ได้พูดออกมาก็คือ หลังจากที่แวมไพร์ชั้นดยุกผู้แข็งแกร่งผู้นี้แปลงกายเป็นค้างคาวดูดเลือดบินขึ้นฟ้าไปแล้ว กลับถูกคนจีนผู้นั้นฉีกร่างทั้งเป็น แก่นหัวใจก็ถูกกำจนแหลก ตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรได้อีกแล้ว


สาเหตุที่ตอนนั้นกองทัพพันธมิตรแปดชาติบุกยึดเมืองหลวงได้แล้ว แต่กลับถอนกำลังออกไปอีกนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับศึกนั้น แม้ว่าแดร็กคูล่าจะได้ประโยชน์มากมายจากสงครามบุกรุกจีนครั้งนั้น แต่ในเวลาหนึ่งร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ เขาก็ไม่กล้าเหยียบย่างเข้าสู่ประเทศจีนอีกแม้แต่ก้าวเดียว


“ผ่าภูเขาได้ในการโจมตีครั้งเดียว? สงสัยแม้แต่ผู้บำเพ็ญระดับจินตันยังทำไม่ได้เลยมั้งเนี่ย?”


เยี่ยเทียนถอนหายใจ ที่แท้เมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน ในมิติที่เขาอยู่นี้ก็ยังมีกลุ่มบุคคลผู้แข็งแกร่งหลงเหลืออยู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในปัจจุบันจึงสูญหายไปจนหมด


“ดยุก คุณรู้ไหมว่า ทำไมปัจจุบันปราณวิเศษในธรรมชาติถึงได้เหลืออยู่น้อยนิดแบบนี้?”


“ปราณวิเศษ?”


แดร็กคูล่าฟังคำถามนั้นแล้วอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถามกลับอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า


“คุณเยี่ยหมายถึงพลังงานในอากาศที่มนุษย์สามารถดูดรับไปใช้ได้พวกนั้นน่ะหรือ?”


“ใช่แล้ว!” เยี่ยเทียนพยักหน้า


“ดูเหมือนว่าเมื่อสมัยหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน พลังงานชนิดนี้จะลดลงไปอย่างกะทันหัน สาเหตุนั้นผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”


แดร็กคูล่าแบมือทั้งสองข้าง แวมไพร์ฝึกพลังโดยอาศัยการดูดเลือดเป็นอาหาร ไม่สามารถรับพลังงานในอากาศมาหลอมแปลงสภาพได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย


“เอาเถอะ ใกล้จะได้เวลาแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถอะนะ”


เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เยี่ยเทียนจึงค่อนข้างจะรู้สึกผิดหวัง และไม่มีอารมณ์จะสนทนากับแดร็กคูล่าต่อไปอีก โบกมือลาแล้วพาโจวเซี่ยวเทียนเดินกลับไปทางที่ประชุม


แต่ที่เยี่ยเทียนคาดไม่ถึงคือ เขาเพิ่งจะเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงรูดอล์ฟก็พูดขึ้นมาจากข้างหลังว่า


“คนแซ่เยี่ย แกจะไร้มารยาทมากเกินไปแล้วมั้ง?”


“อ้อ? แกอยากจะสอนฉันไหมล่ะว่าอะไรคือที่เรียกว่ามีมารยาท?”


เยี่ยเทียนหยุดฝีเท้าลง ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าแดร็กคูล่า รูดอล์ฟยังจะมีโอกาสได้มายืนพูดกับเขาอยู่ตรงนี้อีกหรือ?


“เยี่ยเทียน ขอโทษนะ เป็นเพราะผมสั่งสอนไม่ดีเอง!”


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหยุดยืนนิ่ง แดร็กคูล่าก็อดโอดครวญขึ้นมาไม่ได้ และฉุดลากรูดอล์ฟมาด่าว่า


“เจ้างั่งนี่ ฉันจะสอนแกเองว่ามารยาทน่ะเป็นแบบไหน!”


ขณะเดียวกับที่กำลังพูด ใบหน้าของแดร็กคูล่าก็ซีดขาวยิ่งขึ้น ริมฝีปากแดงฉานราวกับจะหลั่งโลหิตออกมา ฟันเขี้ยวอันแหลมคมสองซี่โผล่ออกมานอกปาก รูดอล์ฟยังไม่ทันได้โต้ตอบอะไร ฟันคู่นั้นก็ฝังลึกลงไปในลำคอของเขาแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 925 ประกาศศักดา (1)

 

“ฮือ…ฮือๆ…”


สายตาอันหวาดกลัวสุดขีดฉายออกมาจากดวงตาของรูดอล์ฟ เขาไม่นึกเลยว่า เพียงเพราะคำตำหนิธรรมดาๆ ประโยคเดียว จะถึงกับนำภัยมาสู่ชีวิตของตนเช่นนี้ และผู้ลงมือยังไม่ใช่เยี่ยเทียนอีกด้วย แต่กลับเป็นเจ้านายของเขาเอง


ในฐานะทายาทสายตรงของแดร็กคูล่า ยามนี้รูดอล์ฟนอกจากความสำนึกเสียใจแล้ว ในใจกลับไม่มีความคิดที่จะต่อต้านเลยแม้แต่น้อยนิด เมื่อโลหิตหลั่งไหลออกมาไม่หยุด ดวงตาของเขาจึงค่อยๆ เสียประกายของความมีชีวิตไป


เสียง “ตุบ” ดังขึ้นเบาๆ ร่างของรูดอล์ฟอ่อนระทวยล้มลงกับพื้น ตลอดร่างไม่มีไอปราณของความมีชีวิตหลงเหลืออยู่อีกเลย มีเพียงดวงตาที่ไร้ความรู้สึกคู่นั้น ที่ดูคล้ายจะกำลังถ่ายทอดความไม่ยินยอมออกมาจากลึกๆ ในใจ จนกระทั่งตายไปแล้ว รูดอล์ฟก็ยังไม่เข้าใจเลยว่า เหตุใดเจ้านายจึงต้องหวาดกลัวเยี่ยเทียนถึงเพียงนี้?


“คุณเยี่ย ต้องขออภัยอย่างมาก ผมว่า…แบบนี้คงพอจะชดเชยความผิดพลาดของผมได้แล้วกระมัง?”


แดร็กคูล่าเงยหน้าขึ้นมา ที่มุมปากยังคงมีฟันเขี้ยวโผล่ออกมาสองซี่ เขาแลบลิ้นสีแดงฉานออกมาเลียโลหิตที่มุมปาก เป็นภาพที่ดูพิสดารน่าขนลุกอย่างอธิบายไม่ถูก จนกลุ่มคนโดยรอบที่ตามออกมาเฝ้าสังเกตเยี่ยเทียนนั้น เห็นแล้วต่างรู้สึกใจหายวาบ ราวกับว่าอุณหภูมิโดยรอบพลันลดฮวบลงไปหลายองศา


“ผ…ผีดูดเลือด?”


คนเหล่านั้นต่างขากรรไกรสั่นระริก ใบหน้าซีดเผือด อยากจะหันหลังเผ่นกลับเข้าไปในที่ประชุมเหลือเกิน แต่ขาทั้งสองข้างกลับอ่อนปวกเปียก มองไปที่แดร็กคูล่าด้วยสีหน้าหวาดกลัว


“ม…ไม่ พวกแกจะมาเรียกแวมไพร์ผู้สูงศักดิ์แบบนี้ไม่ได้ ฉันคือดยุกแดร็กคูล่านะ!”


แดร็กคูล่าเลียริมฝีปากอันแดงฉาน เขานึกคร้านที่จะไปตอแยกับพวกคนที่คิดจะมาฉกฉวยผลประโยชน์เหล่านั้น แต่หันไปยิ้มแย้มให้เยี่ยเทียนแล้วถามว่า


“คุณเยี่ย คุณคงจะไม่ว่าอะไรใช่ไหม ถ้าผมจะช่วยคุณปัดแมลงวันพวกนี้ให้?”


“มีแต่พวกกระจอกอ่อนแอทั้งนั้น ทำไมจะต้องเห็นคนพวกนี้อยู่ในสายตาด้วยละครับ?”


เยี่ยเทียนยิ้มพลางส่ายหน้า แล้วหันกายเดินกลับเข้าไปในที่ประชุม เขาก็ไม่ได้เป็นสหายกับแดร็กคูล่าเสียหน่อย จึงไม่อยากที่จะต้องมาติดค้างน้ำใจของอีกฝ่ายเปล่าๆ นอกจากนี้แดร็กคูล่ายังเป็นคนอำมหิตโหดเหี้ยม ทำให้เยี่ยเทียนไม่ค่อยอยากจะคบค้าสมาคมด้วยนัก


“ไปซะ!”


รอจนเงาร่างของเยี่ยเทียนหายลับไปหลังประตูแล้ว แดร็กคูล่าก็พ่นสองคำนี้ออกมาเบาๆ กลุ่มคนห้าหกคนที่ตามเยี่ยเทียนออกมานั้นรู้สึกร่างเบาโหวงขึ้นมาทันที ล้มลุกคลุกคลานโถมกลับเข้าไปในที่ประชุม ราวกับว่าหากอยู่ในสถานที่ที่มีคนมากๆ แล้วจะทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยได้


หลังจากเข้าสู่ที่ประชุมแล้ว คนเหล่านี้กลับดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อยขึ้นมาก ดูจากการกระทำของแดร็กคูล่า และท่าทีที่เขามีต่อเยี่ยเทียนแล้ว ทำให้พวกเขาเข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง เช่นว่าบางครั้งความโลภก็เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความตาย


“ท่านทั้งหลาย งานประชุมแลกเปลี่ยนจะเริ่มดำเนินต่อแล้ว เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบางอย่าง ที่ประชุมจึงบัญญัติกฎขึ้นใหม่ว่า หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตะโกนออกมาว่ายอมแพ้แล้ว การประลองของทั้งสองฝ่ายจะต้องยุติลงทันที ไม่เช่นนั้นทางเราจะใช้มาตรการบางอย่างในการจัดการ!”


ผู้ที่ยืนอยู่บนเวทียังคงเป็นมิสเตอร์แฟรงก์คนเดิม เพียงแต่คราวนี้ข้างหลังเขามีทหารติดอาวุธปืนในชุดลายพรางยืนอยู่แปดนาย มิสเตอร์แฟรงก์จึงกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ คนที่มีชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบันนี้ ก็มักจะมีความเชื่อมั่นต่ออาวุธจำพวกปืนและระเบิดอย่างหนักแน่นเช่นนี้เสมอ


“เอาละครับ ตอนนี้ทุกท่านดำเนินต่อได้เลยครับ!”


แฟรงก์ประกาศให้งานชุมนุมเริ่มขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็ลุกลี้ลุกลนกลับไปหลบอยู่ที่ตำแหน่งของเขาซึ่งอยู่บนอัฒจันทร์ชั้นสูงสุด เพราะหากมีแมลงพิษปรากฏขึ้นเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้อีก ต่อให้มีทหารคุ้มกันก็คงยากที่จะอยู่รอดปลอดภัยได้


แต่ทหารแปดนายนั้นกลับยังคงประจำอยู่ข้างเวที พลางจ้องมองฝูงชนทั้งหลายในที่ประชุมนั้นอย่างถมึงทึง พวกเขาเป็นเพียงทหารจากกองกำลังพิเศษเท่านั้น จึงไม่รู้สึกถึงไอปราณอันแข็งแกร่งในที่ประชุมนั้นเลยแม้แต่น้อย ดั่งภาษิตว่า ผู้ไม่รู้ย่อมไม่หวาดกลัวนั่นเอง


“คุณเยี่ย เราไม่ได้อยากจะประมือกับคุณ เพียงแต่อยากจะขอยืมดูหนังสือเล่มนั้นสักหน่อย ไม่ทราบว่าได้หรือไม่?”


หลังจากแฟรงก์ออกจากเวทีไปได้สองนาทีกว่าๆ ในที่สุดก็มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นมาในที่ประชุม โดยใช้ภาษาที่พบเห็นได้น้อยอย่างยิ่งภาษาหนึ่ง จากนั้นหลายนาทีให้หลัง เครื่องแปลภาษาแบบแปลทันทีที่ตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ ในที่ประชุมจึงจะแปลความหมายของคำพูดเหล่านี้ออกมา


“ภาษาทมิฬจากอินเดียงั้นรึ? ภาษาแบบนี้น่าจะใกล้สูญพันธุ์เต็มทีแล้วนี่นา?”


เยี่ยเทียนมองไปตามเสียง แล้วใบหน้าก็แสดงความตกตะลึงออกมา เอ่ยขึ้นว่า


“ไต้ซือทั้งหลายเป็นผู้สละแล้วซึ่งโลกีย์ แล้วเหตุใดจึงต้องเข้ามาพัวพันกับความขัดแย้งเหล่านี้ด้วยเล่า? หรือว่าในใจพวกท่านก็เกิดกิเลสขึ้นมาแล้วเช่นกัน?”


สมัยที่เยี่ยเทียนกำลังบ้าสะสมตำราคัมภีร์ต่างๆ ทั้งของพุทธและเต๋าอยู่นั้น เคยได้หนังสือภาษาอินเดียโบราณมาเล่มหนึ่ง จึงนำไปให้นักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่งถอดความในนั้นออกมา ดังนั้นเขาจึงพอจะรู้จักการออกเสียงในภาษาประเภทนี้อยู่บ้าง


“คุณเยี่ยช่างเป็นผู้รอบรู้โดยแท้ นี่คือภาษาทมิฬจริงๆ!”


พราหมณ์เฒ่าชาวอินเดียร่างผอมแห้ง ใบหน้าดำคล้ำผู้หนึ่งค่อยๆ ลุกขึ้นมา


“พระพรหมได้สร้างโลกนี้ขึ้น แต่ในโลกนี้ก็ยังมีปีศาจ มาร และผีร้ายทั้งปวงออกอาละวาดอยู่ หนังสือที่คุณเยี่ยถือครองอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายยิ่งนัก คล้ายจะเป็นเศษส่วนที่นาคอสูรได้หลงเหลือไว้ สมควรที่จะถูกฝังผนึกไว้ใต้เจดีย์!”


กล่าวตามตรง ผู้ที่จะมาเข้าร่วมงานประชุมแบบนี้ได้นั้น ย่อมเป็นผู้ที่ยังไม่อาจละจากเรื่องทางโลกได้ และจิตใจก็ยังไม่ได้ปล่อยวางอย่างแท้จริง พราหมณ์เฒ่าชาวอินเดียเหล่านี้ก็นับรวมอยู่ในกรณีนี้เช่นกัน


แม้จะกล่าวได้ว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้าประสูติที่อินเดียสมัยโบราณ แต่ที่อินเดียนั้น ศาสนาพุทธกลับไม่ได้เป็นที่แพร่หลาย จวบจนปัจจุบันก็ยังมีผู้ศรัทธาอยู่เพียงยี่สิบล้านคน ส่วนศาสนาที่รุ่งเรืองที่สุดในอินเดียนั้น กลับเป็นศาสนาฮินดู


ศาสนาฮินดูก่อร่างขึ้นอย่างสมบูรณ์ในสมัยศตวรรษที่ 8 โดยเป็นศาสนาใหม่ที่ผสมผสานความเชื่อในศาสนาต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยมีศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธเป็นหลัก และได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นสูงของอินเดียในสมัยนั้น ในช่วงทศวรรษที่ 90 ของศตวรรษก่อนก็มีผู้ศรัทธาถึงหนึ่งพันล้านคนแล้ว เป็นรองเพียงศาสนาคริสต์ซึ่งมีผู้ศรัทธาจำนวนหนึ่งพันห้าร้อยล้านคน และศาสนาอิสลามที่มีผู้ศรัทธาจำนวนหนึ่งพันหนึ่งร้อยล้านคนเท่านั้น


ศาสนาฮินดูมีการจัดตั้งคณะนักบวชและศาสนสถานอย่างแพร่หลาย และมีสถานะที่สูงส่งอย่างยิ่งในหมู่ประชาชนชาวอินเดีย เพียงแต่ในศาสนาฮินดูนั้น ก็ยังมีการแบ่งเป็นพวกที่สละทางโลกและพวกที่ปะปนกับทางโลก


พวกที่สละทางโลก ก็คือเหล่าฤๅษีผู้บำเพ็ญตบะ ข่มกิเลสตัณหา ปฏิบัติตามหลักคำสอนที่มาจากศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัด และส่วนมากมักจะเร้นกายอยู่ตามเทวสถานที่ค่อนข้างทรุดโทรม มีการติดต่อกับโลกภายนอกน้อยอย่างยิ่ง


ส่วนพวกที่ปะปนกับทางโลกนั้น ก็คือเหล่านักบวชที่มีการข้องเกี่ยวกับผู้คนนั่นเอง ลำดับชนชั้นที่สูงที่สุดในศาสนาฮินดูเรียกว่าวรรณะพราหมณ์ ซึ่งก็คือนักบวชในศาสนานี้นั่นเอง รองลงมาก็คือวรรณะกษัตริย์ อันได้แก่นักรบและผู้ปกครองแว่นแคว้น ถัดลงมาอีกก็คือวรรณะแพศย์ (พ่อค้า) และวรรณะศูทร (ช่างฝีมือและแรงงาน)


นอกจากนี้ยังมีชนชั้นที่เรียกว่า ‘วรรณะจัณฑาล’ อีกด้วย แต่ชนชั้นนี้ไม่ได้ถูกนับรวมอยู่ร่วมกับชนชั้นอื่นๆ และมีสถานะที่ต่ำต้อย แน่นอนว่า วรรณะจัณฑาลยังเป็นชนชั้นที่มีจำนวนมากที่สุดในอินเดียด้วยเช่นกัน


ในฐานะที่วรรณะพราหมณ์อยู่เหนือกฎหมายของรัฐ เพียงนึกดูก็รู้แล้วว่าชนกลุ่มนี้จะมีอำนาจมากขนาดไหน และพราหมณ์ทั้งสามที่มาร่วมงานประชุมครั้งนี้ ก็คือพราหมณ์ปุโรหิตผู้มีอำนาจมากที่สุดในอินเดีย ณ ปัจจุบัน


ที่อินเดียนั้นเรียกได้ว่า พวกเขาสามารถกระทำสิ่งใดก็ได้ตามที่ใจปรารถนา สามารถเสพสุขกับสตรีคนใดก็ได้ที่ตนรู้สึกต้องตา และสามารถตัดสินความเป็นความตายของคนวรรณะจัณฑาลและเหล่าทาสทั้งหลายได้ ดังนั้นว่ากันตามตรงแล้ว ผู้เฒ่าเหล่านี้แม้ภายนอกจะดูเหมือนพราหมณ์ปุโรหิตผู้ทรงธรรม แต่เนื้อแท้ในกระดูกนั้นกลับไม่มีดีเลยสักคน


เยี่ยเทียนมองไปที่พราหมณ์เฒ่าผู้นั้นอย่างเย้ยหยัน ยิ้มพลางถามว่า


“ท่านหมายความว่า ผมควรจะยกหนังสือเล่มนี้ให้ท่านอย่างนั้นน่ะหรือ?”


เยี่ยเทียนมีความรู้เกี่ยวกับศาสนาฮินดูอย่างค่อนข้างลึกซึ้ง ยากระตุ้นสมรรถภาพทางเพศที่เรียกว่า ‘น้ำมันอินเดียวิเศษ’ ซึ่งเคยเป็นที่นิยมในจีนสมัยก่อนนั้น ที่จริงแล้วก็เป็นสิ่งที่แพร่หลายมาจากศาสนาฮินดูนั่นเอง นิกายที่วันๆ มัวแต่หมกมุ่นกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แบบนี้ ก็ไม่แปลกที่สาวกจะไม่มีดีเลยสักคน


“ประเสริฐแท้ คุณเยี่ยกล่าวถูกต้องแล้ว!”


พราหมณ์เฒ่าคนที่เป็นหัวหน้านั้นพยักหน้าอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา สีหน้าไม่ได้กระดากขัดเขินเลยสักนิด


“ฮ่ะๆ ช่างไม่รู้จักกลัวตายกันเลยนะ ตอนอยู่ในประเทศตัวเองพวกคุณคงจะกร่างเสียจนชินแล้วละสิท่า?”


เยี่ยเทียนมองดูพราหมณ์ผู้มีการบำเพ็ญเทียบได้กับเพียงระดับโฮ่วเทียน (หลังกำเนิด) ขั้นสูงสุดเหล่านี้ แล้วอดส่ายหน้าไม่ได้


เขาดูออกว่า วิชาที่พราหมณ์เฒ่าเหล่านี้ฝึกมาน่าจะเป็นวิชาโยคะโบราณ มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งยิ่งนัก พอจะสูสีกับผู้ที่อยู่ในระดับเซียนเทียนช่วงต้นได้อยู่ แต่ถ้าคิดจะมาแผลงฤทธิ์เดชต่อหน้าเขา ก็นับว่าไม่เจียมตัวเกินไปแล้ว


“คุณเยี่ย จะต้องทำลายน้ำใจกันให้ได้เลยหรือ?”


พราหมณ์เฒ่าผู้นั้นมีสีหน้าประหลาดใจ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะได้เห็นการต่อสู้ระหว่างเยี่ยเทียนและชาญ ทองทวนกับตาตนเองมาแล้ว แต่ประการแรกนั้นเขาเข้าใจว่า เยี่ยเทียนหยิบยืมพลังของหนังสือเล่มนั้นมา ประการที่สองคือ อาศัยวิชาโยคะของเขาแล้ว ก็พอจะต่อสู้กับกับชาญ ทองทวนได้อย่างสูสีเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ได้หวาดกลัวเยี่ยเทียนเลย


“ทำลายน้ำใจ แม่แกสิ!!!”


ขณะที่พราหมณ์เฒ่ากล่าวยังไม่ทันสิ้นเสียง เสียงตวาดเสียงหนึ่งก็ดังมาจากทางตำแหน่งของเยี่ยเทียน เสียงนั้นแม้จะไม่ได้ดังมาก แต่เมื่อเข้าสู่โสตประสาทของพราหมณ์เฒ่าผู้นั้นแล้ว ร่างของพราหมณ์เฒ่าก็กลับนิ่งค้างไปทันที


เจ้าหน้าที่ล่ามแบบทันควันที่มาในวันนี้ จะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถสูงในระดับโลกอย่างแน่นอน เพราะแม้แต่คำสบถที่เยี่ยเทียนพ่นออกมาอย่างกะทันหันนั้นก็ยังถูกแปลออกมาอย่างสมบูรณ์ ทำให้คนทั้งหลายต่างตะลึงไป พวกเขาต่างก็เป็นบุคคลที่มีตำแหน่งฐานะ แม้ว่าปกติจะใช้ถ้อยคำหยาบคายสารพัดก่นด่าสาปแช่งศัตรูของตัวเองอยู่ในใจบ่อยๆ แต่ก็คงไม่มีทางเปล่งออกมาจากปากแน่นอน


“คนอินเดียนี่ไร้น้ำยาจริง ความกล้าสักนิดก็ไม่มี!”


“คนที่บำเพ็ญตบะก็เป็นแบบนี้แหละนะ ความอดทนสูงดีจริงๆ ขนาดโดนด่ายังไม่โมโหเลย!”


“นั่นสิ นี่ถ้าเปลี่ยนเป็นฉันนะ ถึงจะรู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าหนุ่มนั่น ก็ต้องลงไปฉะกันสักตั้งแล้วละ”


หลังจากที่คำสบถด่าของเยี่ยเทียนหลุดจากปากไป พราหมณ์เฒ่าผู้นั้นกลับนิ่งเฉยไม่ตอบโต้ ทำให้เสียงวิจารณ์ต่างๆ นานาในที่ประชุมนั้นค่อยๆ ดังขึ้นมา สายตาของทุกคนมองไปยังตำแหน่งของกลุ่มคนอินเดียเป็นจุดเดียว เพราะพวกเขาก็กำลังอยากให้มีคนไปยั่วยุเยี่ยเทียนอยู่พอดี


“พระอาจารย์ใหญ่ น…นี่ท่านเป็นอะไรไปครับ?”


เยี่ยเทียนพูดจาหยาบคาย แต่พระอาจารย์ใหญ่ซึ่งค่อนข้างจะเป็นคนอารมณ์ร้ายมาตลอดกลับไม่โต้ตอบอะไรเลย ทำให้พราหมณ์ชาวอินเดียอีกสองคนชักจะเริ่มแปลกใจ คนหนึ่งจึงลุกขึ้นมา แต่ขณะที่กำลังจะลองสะกิดพราหมณ์เฒ่าดูนั้น ดวงตากลับพลันฉายแววตื่นตระหนกออกมา


เนื่องจากพระอาจารย์ใหญ่ซึ่งกำลังยืนอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีโลหิตไหลซึมออกมาจากทั้งดวงตา หู ปากและจมูก โดยเฉพาะโลหิตจากในหูและจมูกนั้น ได้พ่นกระเซ็นออกมาเป็นฝอยนับไม่ถ้วน เสียงดัง “ซู่ๆ” ทำให้พราหมณ์ซึ่งไม่ทันได้ปัดป้องผู้นั้นมีคราบโลหิตแปดเปื้อนเต็มใบหน้า


หลังจากที่โลหิตหลั่งไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้า ร่างของพระอาจารย์ใหญ่ก็อ่อนยวบลงไปกับกองกับพื้นราวกับไร้โครงกระดูกทันที เลือดลมในกายที่ตอนแรกยังเปลี่ยมพลังอยู่นั้น กลับเหือดหายไปอย่างไร้ร่องรอยภายในพริบตา ไม่หลงเหลือร่องรอยของการมีชีวิตอยู่อีกเลย


“พระอาจารย์ใหญ่ไปเฝ้าพระพรหมแล้ว!”


เหตุพลิกผันที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้พราหมณ์ทั้งสองต่างแตกตื่นเสียขวัญ หลังจากตรวจลมหายใจที่จมูกของพระอาจารย์ใหญ่แล้ว ใบหน้าก็เปี่ยมด้วยความโศกเศร้าทันที

 

 

 


ตอนที่ 926 ประกาศศักดา (2)

 

“พระอาจารย์ใหญ่ พระอาจารย์ใหญ่ ท…ท่านอย่าทำให้พวกเราตกใจแบบนี้สิ!”


หลังจากตรวจดูลมหายใจของพราหมณ์เฒ่า พราหมณ์ฮินดูทั้งสองต่างก็มีสีหน้าตื่นตระหนก ริ้วรอยบนใบหน้าย่นยู่ยี่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทุบทรวงอกของพราหมณ์เฒ่าที่นอนราบอยู่บนพื้นไม่หยุด ราวกับฟ้าดินจะถล่มทลายก็ไม่ปาน


พราหมณ์เฒ่าผู้นี้ฝึกโยคะตั้งแต่อายุสี่ขวบ ปีนี้มีอายุถึงหนึ่งร้อยหกปีแล้ว เคยถูกฝังไว้ใต้ดินเป็นเวลาหนึ่งเดือนแต่กลับรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ในแวดวงศาสนาฮินดูนั้น พราหมณ์เฒ่าผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นตำนานที่ไม่มีวันตาย และมีสถานะที่สูงส่งอย่างยิ่ง บรรดาผู้มีอำนาจระดับสูงในศาสนจักรฮินดูสมัยปัจจุบันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นศิษยานุศิษย์ของพราหมณ์เฒ่าทั้งนั้น


หากพราหมณ์เฒ่าตายไปแล้วจริงๆ อย่างนั้นโครงสร้างในศาสนจักรฮินดูก็จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง บางทีอาจส่งผลกระทบถึงอินเดียทั้งประเทศ และนักบวชฮินดูทั้งสองที่ติดตามพราหมณ์เฒ่ามานี้ ก็จะต้องมีจุดจบที่อนาถอย่างยิ่งเป็นแน่


ที่จริงแล้วการที่โจวเซี่ยวเทียนจู่โจมโอคาดะ มาซากะจนเสียชีวิตไปเมื่อครู่นั้น ก็คงจะส่งผลกระทบต่อราชสำนักญี่ปุ่นมากพอๆ กับกรณีของพราหมณ์เฒ่าผู้นี้เช่นกัน ตลอดหนึ่งร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ ราชสำนักญี่ปุ่นไม่ได้มีสถานะในประเทศที่มั่นคงเท่าไรนัก ฝ่ายผู้ต่อต้านจักรพรรดิญี่ปุ่นก็มีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยเลย


แต่คนเหล่านี้สุดท้ายกลับสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย เรื่องนี้ย่อมเป็นฝีมือของโอคาดะ มาซากะอย่างไม่ต้องสงสัย ในฐานะมือสังหารเงาที่ราชสำนักญี่ปุ่นใช้ส่งไปกำจัดฝ่ายปฏิปักษ์ การเสียชีวิตของเขาจึงเท่ากับเป็นการจี้จุดอ่อนของราชสำนักญี่ปุ่น


“แก แกนั่นแหละเป็นคนฆ่าพระอาจารย์ใหญ่!”


พราหมณ์ผู้หนึ่งเงยหน้าขึ้นมา สายตาที่มองไปทางเยี่ยเทียนนั้นเปี่ยมด้วยความเคียดแค้น ไม่หลงเหลือลักษณะของพราหมณ์ชั้นสูงผู้ทรงธรรมอย่างเมื่อก่อนหน้านี้อีกเลย


ตามความคิดของเขา สิ่งที่จะสามารถสังหารพระอาจารย์ใหญ่อย่างเงียบเชียบเช่นนี้ได้ ก็คงจะมีแต่หนังสือเล่มที่เยี่ยเทียนหยิบออกมาเมื่อครู่เท่านั้น ส่วนคำถามที่ว่า เหตุใดลักษณะการตายของพระอาจารย์ใหญ่จึงแตกต่างจากคนไทยผู้นั้น พราหมณ์ฮินดูชั้นสูงผู้นี้กลับไม่ได้ไปขบคิดเลย ด้วยความที่กำลังร้อนรนอยู่


ไม่ใช่เฉพาะเขาเท่านั้น แต่คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็เพ่งสายตาไปทางเยี่ยเทียนเช่นเดียวกัน ทุกคนต่างมีความคิดคล้ายๆ กับคนอินเดียผู้นั้น ลักษณะการตายของพราหมณ์เฒ่าทั้งพิสดารทั้งอนาถเช่นนี้ สาเหตุคงหนีไม่พ้นหนังสือที่เยี่ยเทียนครอบครองอยู่เล่มนั้นเป็นแน่


ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกเขามาร่วมงานประชุมครั้งนี้โดยเป็นตัวแทนของประเทศตน แต่ละคนก็คงจะข่มกลั้นความโลภในใจไม่ไหวและออกไปแย่งชิงแล้ว สายตาอันร้อนแรงเหล่านั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าขณะนี้พวกเขากำลังมีความรู้สึกอย่างไร


“อยู่อย่างไร้ความหมายมาตั้งร้อยกว่าปีแล้ว ตายไวๆ จะได้ไปเกิดใหม่ไวๆ ไงล่ะ!”


เยี่ยเทียนไม่ได้ตอบกลับคนอินเดียผู้นั้น เพียงมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วก็นั่งกลับลงไป แต่เพียงแค่การมองแวบเดียวนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกหนาวสะท้านไปถึงกระดูก ราวกับถูกคนราดน้ำเย็นลงบนศีรษะกลางฤดูหนาวแล้ว ขณะที่กำลังคิดจะพูดอะไรอีก กลับพบว่าฟันของตัวเองกำลังสั่นระริก


ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้คิดว่านี่เป็นความผิดของเยี่ยเทียนเลย การตายของพราหมณ์เฒ่านั้นเกิดจากการกระทำของตนเองทั้งนั้น


เสียงตะโกนของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ที่คนอื่นๆ ฟังแล้วไม่ได้รู้สึกว่าดังเท่าไรนั้น แท้จริงแล้วกลับเป็นวิธีโจมตีแบบหนึ่งของเยี่ยเทียน ซึ่งคล้ายคลึงกับสิงห์คำรณของทางพุทธอยู่เล็กน้อย


เมื่อเสียงตะโกนนั้นดังเข้าไปถึงในหูของพราหมณ์เฒ่า นอกจากปราณแท้ระดับเจี่ยตันที่แฝงอยู่จะจู่โจมเส้นชีพจรจนแหลกแล้ว พลังจากจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนยังทำลายจิตของอีกฝ่ายจนพังทลายสิ้น การโจมตีทั้งสองชนิดนี้ส่งผลให้พราหมณ์เฒ่าผู้ซึ่งแม้จะถูกฟันร่างเป็นสองท่อนก็อาจยังไม่ตายในทันทีนั้น กลับเสียชีวิตไปในชั่วอึดใจ


“คุณเยี่ย ผมโจโควิชจากรัสเซีย อยากจะขอประลองกับคุณ!”


ขณะที่คนทั้งหลายในที่ประชุมกำลังซุบซิบวิจารณ์กันเกี่ยวกับการเสียชีวิตอย่างพิสดารของพราหมณ์เฒ่า เสียงที่ดังกังวานปานเสียงระฆังใหญ่เสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้น จากนั้นชายร่างบึกบึนสูงเกือบสองเมตรคนหนึ่งก็โดดเข้าสู่สนามประลอง ขณะที่เท้าทั้งสองข้างของเขาเหยียบถึงพื้นนั้น ราวกับจะเกิดการสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งที่ประชุม


“หืม? ในที่สุดประเทศมหาอำนาจก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ?”


เมื่อได้ยินคำท้าของชายผู้นั้น เยี่ยเทียนก็คิ้วกระตุกเล็กน้อย ตั้งแต่เข้ามาในที่ประชุมนี้ เขาก็สัมผัสถึงพลังปราณที่ค่อนข้างแข็งแกร่งได้หลายกลุ่มแล้ว นอกจากแดร็กคูล่า โอคาดะ มาซากะ และอัศวินโต๊ะกลมเหล่านั้น ก็ยังมีคนอื่นๆ อีกประมาณเจ็ดแปดคนที่มีพลังฝีมือเทียบได้กับระดับเซียนเทียนช่วงต้น


และคนเหล่านี้ยังเป็นตัวแทนจากกลุ่มประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ณ ปัจจุบันนี้อีกด้วย แต่พวกเขานั้นมีระเบียบวินัยอย่างยิ่ง แตกต่างจากผู้ร่วมงานประชุมกลุ่มอื่นๆ ดังนั้นแม้พวกเขาจะรู้สึกตกตะลึงต่อการต่อสู้ที่เกิดขึ้นบนสนามประลองด้านล่างเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยจุดประสงค์ที่จะท้าชิงใครบางคนออกมาเลย


อย่างผู้ท้าประลองจากรัสเซียคนนี้ เยี่ยเทียนก็รู้สึกได้ว่า มีพลังงานอันแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งถูกกดดันอยู่ภายในร่างกาย ซึ่งหากพลังทั้งหมดนั้นปะทุออกมาแล้วละก็ ความแข็งแกร่งอาจจะไม่ได้ด้อยไปกว่าชาญ ทองทวนที่ถูกปลุกเสกให้กลายเป็นผีลูกผสมเลย


แต่เยี่ยเทียนยังพบอีกว่า พันธุกรรมของคนผู้นี้ดูเหมือนจะแตกต่างจากคนปกติอยู่เล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะว่าเขาเข้าสู่ระดับเจี่ยตันแล้ว จึงสามารถมองเห็นโครงสร้างร่างกายมนุษย์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขาก็คงไม่มีทางสังเกตพบจุดนี้แน่


“เยี่ยเทียน ผมหวังว่าจะได้ต่อสู้กับคุณเยี่ยงนักรบผู้กล้า เพราะฉะนั้นขอคุณอย่าใช้ของสิ่งนั้นระหว่างการต่อสู้นะ!”


โจโควิชซึ่งยืนอยู่บนสนามประลองนั้นมีร่างกายกำยำราวกับหมีขั้วโลกตัวหนึ่ง เสียงพูดก็ดังกังวานไปทั่วทั้งที่ประชุม โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ไมโครโฟนเลย ดวงตาที่ดูราวกับกระพรวนทองแดงนั้นจ้องเขม็งมาที่เยี่ยเทียน


เยี่ยเทียนคาดเดาไว้ไม่ผิดเลย โจโควิชเป็นคนของกองทัพรัสเซียจริงๆ และเพิ่งจะได้รับคำสั่งจากกองทัพเมื่อครู่นี้เองว่า ให้เขาไปหยั่งเชิงเยี่ยเทียนดูเพื่อสืบข้อมูล และหากเป็นไปได้ ก็ให้ชิงหนังสือประหลาดเล่มนั้นมาไว้ในครอบครองด้วย


แท้จริงแล้วไม่ได้มีโจโควิชเพียงคนเดียวที่ได้รับคำสั่งเช่นนี้ ผู้มีพลังพิเศษจากเกือบทุกประเทศต่างก็ได้รับคำสั่งในทำนองเดียวกัน เพียงแต่ว่าพวกเขาเคลื่อนไหวช้าไปหน่อย จึงถูกโจโควิชคว้าโอกาสไปก่อน


“ได้เลย ผมชอบวัดพลังกับคนแกร่งๆ อยู่พอดี!”


เยี่ยเทียนซึ่งกำลังนั่งอยู่ลุกกลับขึ้นมาใหม่ ถึงจะเคยบอกลูกศิษย์ว่าให้สงบเสงี่ยมเจียมตัวเข้าไว้ แต่เมื่อถูกคนอื่นท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า เยี่ยเทียนจึงเริ่มจะรู้สึกโมโหขึ้นมานิดๆ พยัคฆ์ไม่แสดงพลังออกมา คนอื่นก็เลยเห็นเป็นแมวป่วย


เยี่ยเทียนยื่นมือเข้าไปหยิบบันทึกเกิดตายเล่มนั้นออกมาจากอกเสื้อ สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องมาทันที โจโควิชที่ยืนอยู่บนสนามประลองด้านล่างก็หรี่ตามองมาเช่นกัน เขาเองก็รู้สึกหวาดหวั่นต่อหนังสือเล่มนี้อยู่ไม่น้อย เพราะการตายของคนทั้งสองเมื่อก่อนหน้านี้ช่างแปลกพิสดารเหลือเกิน


“อาจารย์ ให้ผมไปสู้เถอะครับ” อาการบาดเจ็บที่โจวเซี่ยวเทียนได้รับไปเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้สาหัสมากนัก ตอนนี้เมื่อเห็นโจโควิช จึงอดรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาไม่ได้


เยี่ยเทียนโบกมือ ส่งคัมภีร์เป็นตายให้โจวเซี่ยวเทียนรับไว้ แล้วตอบว่า


“บอกแล้วไงว่าวันนี้ห้ามแกลงมืออีก มีจิตสังหารมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ!”


ยิ่งมีการบำเพ็ญสูงส่งขึ้นเท่าไร เยี่ยเทียนก็ยิ่งรู้สึกเคารพยำเกรงต่อฟ้าดินมากขึ้นเท่านั้น เขารู้สึกได้ว่า ภายในร่างกายของเขานั้นคล้ายจะมีพลังงานสีดำอยู่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าเขาจะหลอมละลายอย่างไร ก็ไม่อาจจะขจัดมันออกไปได้เมื่อลองกระตุ้นมันเพื่อที่จะนำมาใช้ประโยชน์ ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน


แต่ทุกครั้งที่เยี่ยเทียนรู้สึกได้ถึงการมาของภัยสวรรค์ พลังงานสีดำเหล่านั้นก็จะดูร่าเริงขึ้นมามากกว่าปกติ เรื่องนี้ทำให้เยี่ยเทียนเกิดความรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาสงสัยอยู่ว่า นี่อาจเป็นภัยแฝงที่ก่อตัวขึ้นในสมัยที่ตัวเองเข่นฆ่าผู้คนไปทั่ว


ดังนั้นหนึ่งกว่าปีที่ผ่านมานี้ เยี่ยเทียนจึงทำสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในบ้านตลอดมา เพื่อที่จะสลายพลังงานเหล่านี้ไปบ้าง สาเหตุที่เยี่ยเทียนไม่อยากไปทำงานให้รัฐนั้นก็เป็นเพราะว่า เขาไม่อยากจะก่อกรรมทำเข็ญอีก หากไม่ใช่เพราะว่าไม่มีทางเลือกจริงๆ ที่จริงแล้วเยี่ยเทียนก็ไม่อยากจะเข้ามาพัวพันกับวงการนี้เลย


เยี่ยเทียนเดินลงไปบนสนามประลอง แล้วยืนประจันหน้าห่างจากโจโควิชไปสิบกว่าเมตร ลักษณะรูปร่างของทั้งสองดูแตกต่างกันอย่างยิ่ง เยี่ยเทียนผู้มีส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ซึ่งปกติก็ไม่ได้ถือว่าเตี้ยเลยนั้น พอมายืนตรงหน้าโจโควิชแล้ว กลับทำให้ดูเหมือนเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง


ในที่ประชุมนั้นไม่มีใครกล้าดูถูกเยี่ยเทียนเลยแม้แต่คนเดียว ในระหว่างการต่อสู้กับราชครูจากไทย นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ เขาอาจมีหนังสือเล่มนั้นเป็นตัวช่วยก็จริงอยู่ แต่เยี่ยเทียนเองก็ต้องมีความสามารถประจำตัวอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยตอนที่เผชิญกับการโจมตีของชาญ ทองทวน เขาก็มีท่าทางสุขุมเยือกเย็นชนิดที่คนส่วนใหญ่ในที่ประชุมนี้ไม่อาจจะเทียบชั้นได้


“เยี่ยเทียน ผมต้องขอบอกอะไรคุณไว้อย่างหนึ่ง ตอนที่คุณอยู่ที่รัสเซียน่ะ เผอิญว่าผมไม่ได้อยู่ในประเทศพอดี!”


โจโควิชมองดูเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้า แล้วยกมุมปากขึ้น หลายปีมานี้เขาได้ดูวิดีโอบางส่วนที่ถ่ายจากดาวเทียมในประเทศมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จึงมั่นใจว่าตนนั้นมีความรู้เกี่ยวกับเยี่ยเทียนอย่างลึกซึ้ง และความหมายในวาจาของเขาก็คือ ถ้าตอนนั้นเขาอยู่ที่รัสเซีย เยี่ยเทียนก็อาจจะไม่ได้กลับไปอย่างสมประกอบ


“ผมเคยไปรัสเซียด้วยรึ? อาจจะเคยมั้ง?”


เยี่ยเทียนมองไปที่โจโควิช แล้วพูดขึ้นอย่างเฉยเมย


“คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผมหรอก ถ้าคุณไม่ปลุกพลังที่อยู่ในร่างกายนั่นออกมาละก็ การประลองครั้งนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องดำเนินต่อไปแล้วละ!”


แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีทัศนคติที่ดีต่อพวกฝรั่งมากนัก แต่เนื่องจากได้รู้จักกับอันเดรวิช และเปรียบเทียบกับประเทศอื่นอย่างอเมริกาและอังกฤษแล้ว เยี่ยเทียนจึงพอจะวิสาสะกับโจโควิชผู้นี้ได้โดยที่ไม่รู้สึกเหม็นหน้ามากนัก นอกจากนี้ สมัยนั้นเพียงเพื่อที่จะระบายโทสะให้กับจู้เหวยเฟิง เขาถึงได้ไปป่วนรัสเซียชนิดฟ้าถล่มดินทลาย จะว่าไปแล้วเขาเองก็รู้สึกผิดอยู่บ้างเหมือนกัน


“ให้ผมปลุกพลังในร่างกายออกมา? คุณดูออกได้ยังไงกัน?”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โจโควิชก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที เขาเป็นทหารนายหนึ่งของกองทัพรัสเซียที่รับการดัดแปลงพันธุกรรมมาโดยสมัครใจ เมื่อห้าปีก่อนจึงได้เข้าไปอยู่ในฐานทัพลับแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก นั่นเป็นสถานที่ลับสุดยอดที่นอกจากนักวิทยาศาสตร์ในฐานทัพนั้นแล้ว ก็มีเพียงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและประธานาธิบดีของรัสเซียเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้


ในช่วงห้าปีนั้น โจโควิชต้องผ่านการทดลองนับครั้งไม่ถ้วน อาจเป็นเพราะว่า เขามีพื้นฐานเดิมที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งหลังจากผ่านไปห้าปี คนอื่นๆ ที่เข้าสู่ฐานทัพรุ่นเดียวกับเขาต่างตายกันหมดแล้ว มีเขาเพียงผู้เดียวที่ประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายพันธุกรรมของสัตว์บางชนิด ทำให้มีพลังที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า


แต่ทั่วทั้งรัสเซียไม่มีใครอื่นที่รู้เรื่องตัวตนของโจโควิชอีกแล้ว ดังนั้นเมื่อได้ยินเยี่ยเทียนเอ่ยถึงความลับในร่างกายของเขาขึ้นมา โจโควิชจึงหน้าถอดสีไปทันที


“ไม่ต้องสนใจหรอกว่าผมรู้ได้ยังไง”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า


“อย่ามัวพูดเรื่องไร้สาระกันอยู่เลย ผมจะให้โอกาสคุณหนึ่งครั้ง หลังจากแปลงร่างแล้ว ถ้ารับหมัดผมได้หนึ่งครั้ง ผมจะก็ละเว้นชีวิตคุณ!”


“ได้! ตกลงตามนั้น!”


แม้ว่าโจโควิชจะมองระดับพลังฝีมือของเยี่ยเทียนไม่ออก แต่ด้วยสัญชาตญาณจากพันธุกรรมนั้น จึงทำให้ในใจเขาเกิดความรู้สึกถึงอันตรายอย่างหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ เปรียบเสมือนอสรพิษที่อยู่ในป่าดงดิบ ก่อนที่มันจะเผยเขี้ยวพิษออกมานั้น ย่อมไม่มีผู้ใดรู้สึกถึงตัวตนของมัน


โจโควิชหายใจเข้าลึกๆ โครงกระดูกส่งเสียงลั่นกรอบแกรบออกมาพักหนึ่ง แล้วร่างที่ตอนแรกสูงเกือบสองเมตรนั้นก็พลันขยายใหญ่ขึ้นมาอีก

 

 

 


ตอนที่ 927 ประกาศศักดา (3)

 

เดิมทีโจโควิชนุ่งเสื้อผ้าหลวมโคร่ง แต่เมื่อร่างกายขยายส่วนขึ้นกะทันหัน เสื้อผ้าชุดนั้นก็ตึงออกจนปริขาดไป กล้ามเนื้อสีทองแดงของโจโควิชจึงเผยออกมาจนหมด


“พระเจ้า นี่ยังใช่คนอยู่ไหมเนี่ย?”


“ก…เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ทำไมบนตัวเขาถึงได้มีขนยาวแบบนั้น?”


“หรือ…หรือว่าเขาจะแปลงร่างเป็นหมีขั้วโลกได้? เอ่อ ไม่สิ น่าจะเป็นหมีควายมากกว่า!”


ขณะเดียวกันกับที่ร่างของโจโควิชขยายใหญ่ขึ้น ร่างกายของเขายังเกิดความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ขึ้นอีกด้วย บนผิวหนังเปลือยเปล่าที่เผยออกมานั้น มีขนสีดำยาวสองนิ้วเศษงอกออกมาหนึ่งชั้นอย่างรวดเร็ว ปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขา


นอกจากนี้ ศีรษะของโจโควิชยังขยายกว้างออกด้านข้างอีกด้วย รูจมูกที่งุ้มลงกลับหงายเปิดขึ้นมาด้านหน้า แลดูคล้ายกับหมีควายในป่าทึบอยู่มาก แม้แต่แววตาก็ยังมีความดุดันเจืออยู่ ไม่หลงเหลือความสุขุมเยือกเย็นอย่างเมื่อครู่อีกเลย


เหตุการณ์นี้ทำให้คนทั้งหลายในที่ประชุมนั้นต่างตกตะลึงเหลือหลาย และวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงดังอย่างอดไม่ได้ และส่วนมากก็เป็นเพียงคนที่บรรดาประเทศเล็กๆ ส่งมาเพื่อให้ไม่ขาดองค์ประชุมเท่านั้น ไหนเลยจะเคยพบเห็นเรื่องอัศจรรย์เช่นนี้ จึงต่างสูดลมหายใจเย็นเยือกอย่างใจหายกันคนละเฮือก สีหน้าก็ดูตื่นตระหนกยิ่ง


แน่นอนว่า ผู้มีพลังพิเศษบางกลุ่มที่มาจากกองทัพของบางประเทศอย่างเช่นแดร็กคูล่านั้น กลับมีสีหน้าปกติดังเดิม ก่อนหน้านี้นามของโจโควิชยังไม่เป็นที่รู้จัก เขาเพิ่งจะปรากฏตัวในวงการหลังจากที่ได้รับพันธุกรรมของบุคคลลึกลับผู้นั้นมาแล้ว และอันที่จริงประเทศอื่นๆ ก็มีการวิจัยในด้านนี้ไม่น้อยไปกว่ารัสเซียเลย


“เวรกรรม นี่ยังใช่คนอยู่รึเปล่าเนี่ย? อย่าบอกนะว่า คนรัสเซียจะมีรสนิยมหนักหน่วงถึงขั้นให้คนไปมีลูกกับหมีควายเลย?”


เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ สีหน้าของเยี่ยเทียนก็เริ่มจะดูแปลกๆ ขึ้นมา ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินแต่ว่า ในเสินหนงเจี้ยมีมนุษย์วานรอยู่ ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะได้เปิดหูเปิดตา เจอกับมนุษย์หมีตัวเป็นๆ แบบนี้ เยี่ยเทียนคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า พลังภายในร่างกายของโจโควิชนั้น จะทำให้เขาแปลงสภาพเป็นแบบนี้ได้


สมัยก่อนเยี่ยเทียนเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่า แต่นั่นก็เป็นเพียงเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูจากสุนัขป่าตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่เท่านั้น อย่างโจโควิชที่สามารถแปลงร่างเป็นตัวประหลาดหน้าตาคล้ายหมีควายได้นี้ เยี่ยเทียนเองก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ไม่ต่างกับผู้มีพลังพิเศษจากประเทศเล็กๆ เหล่านั้นเลย


แต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า สาเหตุที่โจโควิชสามารถแปลงกายได้นั้น แท้จริงแล้วมีความเกี่ยวข้องกับตัวเขาอย่างมาก


เมื่อครั้งที่ไปรัสเซียนั้น เยี่ยเทียนก่อเรื่องจนติงหงโมโหคลุ้มคลั่ง ปลดปล่อยพลังฝีมือของตนออกมาจนหมด ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นการชักนำภัยสวรรค์มา ตอนนั้นติงหงยังมีพลังฝีมืออยู่เพียงระดับเซียนเทียนช่วงปลายเท่านั้น สุดท้ายก็ต้องจบชีวิตลงภายใต้อัสนีสวรรค์


หลังจากติงหงตายไป ร่างที่ถูกอัสนีผ่าจนไหม้เกรียมราวกับถ่านนั้นก็กลายเป็นสมบัติล้ำค่าของรัสเซียไป แม้ว่าภายหลังจะถูกแยกชิ้นส่วนไปไม่น้อย แต่รัสเซียก็ยังคงเป็นประเทศที่ได้รับผลประโยชน์ไปมากที่สุด และสกัดเซลล์พันธุกรรมที่มีชีวิตมาได้ชนิดหนึ่งจากร่างของติงหง


การวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า พันธุกรรมที่มีชีวิตชนิดนี้สามารถทำหน้าที่เป็นสารเชื่อมประสาน ซึ่งจะทำให้ความเสี่ยงในการตัดต่อผสมพันธุกรรมของมนุษย์และของสัตว์ลดลงอย่างมาก และหากประสบความสำเร็จ มนุษยชาติก็จะได้ลักษณะจำเพาะหรือไม่ก็พลังอันแข็งแกร่งของสัตว์บางชนิดมาไว้ในครอบครอง


หลังจากผ่านการพิสูจน์อย่างละเอียดและได้ทดลองกับสัตว์แล้ว พันธุกรรมชนิดนี้ก็ถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายของกลุ่มตัวอย่างซึ่งมาจากกองทัพ โจโควิชก็คือผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาตัวอย่างวิจัยนับร้อยนั่นเอง และพลังที่เขามีอยู่นั้น ก็เหนือชั้นยิ่งกว่าสัตว์ที่ถูกฉีดพันธุกรรมนี้เข้าไปเสียอีก


“โฮก!”


ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังยืนครุ่นคิดอยู่ตรงนั้น โจโควิชพลันระเบิดเสียงคำรามดังสะท้านฟ้าออกมาจากปาก สองมือกำหมัดแล้วทุบอกตัวเองหลายที ร่างย่อต่ำลง ขาหลังอันหนาบึกบึนที่ปกคลุมไปด้วยขนสีดำทั้งสองข้างกระทืบลงพื้นอย่างแรง แล้วโถมเข้ามาหาเยี่ยเทียนราวกับเป็นหมีควายตัวหนึ่ง


ยามนี้ในใจของโจโควิชมีแต่เรื่องความตายและการฆ่าฟันเท่านั้น หลังจากปลดปล่อยพลังของพันธุกรรมหมีควายที่อยู่ในร่างกายออกมาแล้ว ความเป็นมนุษย์ของเขาก็ลดลงไปมากกว่าครึ่ง อาศัยเพียงสัญชาตญาณในยามเผชิญอันตราย จึงเห็นเยี่ยเทียนเป็นศัตรู


“มาเลย!”


เมื่อเห็นว่าโจโควิชโถมเข้ามาพร้อมกับเสียงลมที่ดังไปทั่วบริเวณนั้น เยี่ยเทียนก็ตาลุกวาวขึ้นมาวาบหนึ่ง ร่างไม่ถอยแต่กลับตรงเข้าไปรับหน้า ฝ่ามือขวาปัดเบาๆ ไปทางโจโควิชที่กำลังโถมเข้ามา


“ปัง!” เกิดเสียงดังสนั่น ฝ่ามือของเยี่ยเทียนที่ดูไม่มีพิษสงเลยสักนิดนั้น โจโควิชกลับไม่อาจหลบหลีกได้ หลังจากที่ฝ่ามือของทั้งสองฝ่ายซึ่งมีขนาดต่างกันลิบลับนั้นปะทะกัน แรงที่ระเบิดออกมาก็ถึงกับทำให้อากาศในบริเวณนั้นเกิดคลื่นเป็นริ้วๆ


แต่ผลจากการประฝ่ามือนั้น กลับทำให้คนทั้งหลายต่างตาเบิกโพลง เพราะเยี่ยเทียนผู้มีร่าง ‘ผอมลีบ’ นั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่โจโควิชผู้มีร่างใหญ่ยักษ์นั้น กลับปลิวกระเด็นขึ้นไปสูงลิ่ว แล้วตกลงมาอย่างหนักหน่วงห่างออกไปราวเจ็ดแปดเมตร


“แม่เจ้าโวย นี่มันแกร่งยิ่งกว่าหมีควายอีกนะเนี่ย!”


“มิน่าล่ะถึงได้อวดเบ่งขนาดนั้น ที่แท้ก็มีฝีมืออยู่นี่เอง!”


ในชั่วขณะนั้น ที่ประชุมเงียบสงัดลงผิดปกติ แต่ในใจของทุกคนนั้นกลับกำลังขบคิดไม่หยุด พวกเขาต่างเริ่มประเมินพลังต่อสู้ของเยี่ยเทียนใหม่อีกครั้ง บ้างก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจ บ้างก็ไม่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น


หลังจากที่โจมตีออกไปหมัดหนึ่ง เยี่ยเทียนก็ไม่ได้โจมตีต่อ แต่ยืนอยู่ที่เดิมและพูดขึ้นอย่างเฉยเมยว่า


“โดนฉีดสารพันธุกรรมแล้วยังรอดมาได้ ก็นับว่าดวงแข็งอยู่ ผมจะไม่ฆ่าคุณ!”


พอเยี่ยเทียนพูดจบ ร่างอันใหญ่มโหฬารของโจโควิชที่ล้มอยู่บนพื้นก็กลับย่อส่วนลงอย่างรวดเร็วราวกับลูกโป่งที่ลมรั่วออกมา ภายในเวลาเพียงชั่วหนึ่งลมหายใจ เขาก็ฟื้นคืนสู่สภาพเดิมแล้ว เพียงแต่ว่า ร่างทั้งร่างนั้นโล้นเตียนเกลี้ยงเกลา ไม่มีขนสีดำปกคลุมอีกแล้ว เจ้ายักษ์ใหญ่ที่อยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างนั้นจึงเผยออกมาด้วย


หลังจากร่างกายแปลงกลับสู่สภาพเดิมอย่างกะทันหัน โจโควิชจ้องมองเยี่ยเทียนอยู่นานหลายนาทีอย่างกับเห็นผี แล้วจึงอ้าปากพูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งว่า


“คุณเยี่ย ข…ขอบคุณนะ!”


ในสนามประลองขนาดใหญ่เช่นนี้ ไม่มีใครตกตะลึงยิ่งกว่าโจโควิชอีกแล้ว เนื่องจากมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่า หลังจากแปลงกายแล้ว จะต้องใช้พลังงานในร่างกายให้หมดเสียก่อน จึงจะสามารถฟื้นคืนสู่สภาพเดิมได้


แต่ขณะที่ประฝ่ามือกันเมื่อครู่นั้น โจโควิชถึงกับถูกฟาดจนกลับคืนสู่ร่างเดิมทันที พันธุกรรมหมีควายในร่างกายก็สลายตัวกลับไปเอง ราวกับพบสิ่งมีชีวิตที่มีระดับสูงกว่าตัวเอง ไม่ยอมรับการควบคุมของโจโควิชอีก


นี่ทำให้โจโควิชเกิดความรู้สึกหมดเรี่ยวแรงไปทันที และเขาก็รู้แล้วว่า หากไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนยั้งมือไว้ไมตรี ตนก็คงจะมีจุดจบไม่ต่างจากชาวญี่ปุ่นคนนั้นเท่าไรนัก เขาได้รับการฉีดสารพันธุกรรมของสัตว์จำพวกหมี กะโหลกศีรษะก็อาจจะถูกระเบิดกระจุยได้ไม่ต่างกับคนปกติ


เมื่อหันหลังกลับไปทางอัฒจันทร์ แขนขวาของโจโควิชยังคงห้อยตกอยู่ข้างลำตัว ไม่มีใครรู้ว่า ในระหว่างการปะทะกัน เมื่อครู่นี้ กระดูกแขนขวาของเขาได้หักไปทั้งแขนแล้ว ไม่อย่างนั้นโจโควิชก็คงจะไม่ใช้มือซ้ายปิดป้องเจ้าน้องชายที่อยู่ข้างล่างนั่นหรอก


“ก็พอจะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกที่ควรอยู่ดี แบบนี้อายุขัยของเขาคงจะไม่ยืนยาวเท่าไรนักหรอก”


เมื่อครู่เยี่ยเทียนใช้แรงไปเจ็ดส่วน ที่โจโควิชแค่แขนเจ็บไปข้างเดียวนั้นก็ถือว่าเก่งกาจมากแล้ว แต่เยี่ยเทียนมองออกว่า การดัดแปลงพันธุกรรมนี้มีข้อเสียอยู่ นั่นก็คือหลังจากที่ได้ครอบครองพลังของหมีควายแล้ว ระบบบางอย่างที่มีอยู่เดิมในร่างกายของเขาจะเสื่อมสภาพลง สุดท้ายแล้วอาจจะกลายเป็นได้ไม่คุ้มเสีย


“คุณเยี่ย ไม่ทราบว่าพวกเราจะขอรับการชี้แนะจากคุณสักหน่อยได้หรือไม่?”


ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะหันหลังกลับไปยังอัฒจันทร์ เสียงหนึ่งก็พูดขึ้นมาในที่ประชุม คำพูดเหล่านี้ไม่ต้องใช้ล่ามแปลภาษา เยี่ยเทียนก็ฟังรู้เรื่อง เพราะเสียงนี้พูดโดยใช้ภาษาอังกฤษแท้ๆ เจือสำเนียงลอนดอน


“อัศวินโต๊ะกลม?”


เมื่อได้ยินเสียงนี้ ดวงตาของเยี่ยเทียนก็หรี่เล็กลง เพลิงโทสะลุกโชนขึ้นมาในใจ นี่ถ้าไม่ได้เห็นการหลั่งเลือด การประกาศศักดานี้ยังไม่สะเทือนขวัญพอใช่ไหม?


“ที่ประชุมมีกฎว่า ห้ามรับการท้าสู้ติดต่อกัน!”


เยี่ยเทียนยังไม่ทันตอบอะไร เสียงของโจวเซี่ยวเทียนก็พูดขึ้นมาก่อน ตอนที่เรธเวทท้าสู้กับแดร็กคูล่าเมื่อก่อนหน้านี้ เขารู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของคนอังกฤษกลุ่มนี้ จึงกลัวว่าอาจารย์จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น


“แน่นอน ถ้าคุณเยี่ยต้องการจะพักก่อน เราก็ไม่ถือสาหากจะต้องรออีกสักพัก!”


เรธเวทซึ่งยืนอยู่ที่ตำแหน่งของประเทศอังกฤษมีอากัปกิริยาสูงสง่าอย่างยิ่ง แม้ว่าความแข็งแกร่งที่เยี่ยเทียนแสดงออกมานั้นจะทำให้เขารู้สึกตกตะลึง แต่ก็ยังไม่พอที่จะทำให้เขาหวาดกลัวได้ ด้วยความโลภในหนังสือวิเศษเล่มนั้น สุดท้ายเรธเวทจึงลุกขึ้นมา


เยี่ยเทียนส่ายหน้า


“ผมไม่จำเป็นต้องพักหรอก แต่คุณน่ะยังแกร่งไม่พอ ถ้าอยากจะประลองกับผม พวกคุณสามคนก็มาสู้พร้อมกันเลย ไม่อย่างนั้น…ผมก็ไม่รับคำท้า!”


“อะไรนะ? หนึ่งต่อสาม?”


“เจ้าหนุ่มนี่นึกว่าตัวเองเป็นพระเจ้ารึไง อัศวินโต๊ะกลมน่ะรับมือได้ง่ายๆ ที่ไหนกัน?”


ทันทีที่เยี่ยเทียนพูดออกไป ในที่ประชุมก็เริ่มเอะอะวุ่นวายขึ้นมา วันนี้เยี่ยเทียนมีเรื่องมาทำให้พวกเขาประหลาดใจมากมายเกินไปจริงๆ จากเดิมทีที่ควรจะเป็นงานประชุมแลกเปลี่ยนระหว่างผู้มีพลังพิเศษจากทั่วโลก กลับกลายเป็นงานโชว์เดี่ยวของเยี่ยเทียนไปเสียแล้ว


แม้แต่แดร็กคูล่าก็มีสีหน้าตะลึงไปเช่นกัน เขารู้ดีว่าเรธเวทร้ายกาจขนาดไหน อัศวินเรธเวทซึ่งเป็นทั้งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลของสำนักวาติกัน และยังเป็นหัวหน้าของอัศวินโต๊ะกลมด้วย เขาผู้นี้มีของศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่งอยู่ในครอบครอง และก็เป็นเพราะของชิ้นนั้นนั่นเองที่ทำให้แดร็กคูล่ายอมถอยเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับอีกฝ่าย


“คุณพูดจริงหรือ?”


หลังจากอยู่มานานเกือบพันปี เฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างเรธเวทจึงเลิกที่จะพยายามรักษาหน้าตาเหมือนพวกคนหนุ่มไปนานแล้ว ยามนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า


“คุณเยี่ย ความต้องการของคุณข้อนี้เราจัดให้ได้แน่นอน แต่ว่า ถ้าเราเป็นฝ่ายชนะละก็ หวังว่าคุณจะยอมส่งมอบหนังสืออาคมชั่วร้ายที่ตกทอดมาจากซาตานเล่มนั้นให้ทางสำนักวาติกันเราเป็นผู้ดูแล เพื่อไม่ให้มันไปทำร้ายชาวโลกอีก!”


เมื่อได้ยินคำพูดของเรธเวท คนทั้งหลายในที่ประชุมต่างเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาพร้อมกัน ‘ไร้ยางอาย ไร้ยางอายสิ้นดีเลย!’ ผู้ร่วมประชุมแต่ละคนต่างก็คาดไม่ถึงเลยว่า อัศวินโต๊ะกลมผู้ยิ่งใหญ่แห่งอังกฤษ บุคคลสำคัญอันดับที่สองของสำนักวาติกัน จะถึงกับกล้าเปล่งวาจาที่ไร้ยางอายเช่นนี้ออกมาได้


“ทำไมโลกนี้ถึงได้มีพวกที่ภายนอกดูสง่ามีศีลธรรม แต่ข้างในกลับต่ำช้าไร้ยางอายเยอะขนาดนี้นะ?”


เยี่ยเทียนส่ายหน้าเบาๆ แม้ว่าใบหน้าจะยังคงเจือรอยยิ้มจางๆ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร ถึงเยี่ยเทียนจะฝึกบำเพ็ญถึงระดับเจี่ยตันแล้ว แต่ก็ยังถูกคำพูดเหล่านี้ยั่วโทสะจนเกือบจะด่าพ่อล่อแม่ออกไปแล้ว


“ได้อยู่แล้ว ถ้าพวกคุณเอาชนะหรือฆ่าผมได้ หนังสือเล่มนี้ก็จะกลายเป็นของพวกคุณทันทีเลย!”


เยี่ยเทียนกวักมือ แล้วคัมภีร์เป็นตายที่ตอนแรกอยู่ในมือของโจวเซี่ยวเทียนก็ลอยมาถึงมือเขา สายตาของฝูงชนทั้งหลายมองตามไป และเพ่งไปที่คัมภีร์เป็นตายเล่มนั้นเป็นจุดเดียว!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)