ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 924-925
ตอนที่ 924 คางคกกร่อนกระดูก
เสียง “เปรี๊ยะ” ดังลอยมา!
กำแพงศิลาสองฝั่งโคลงเคลงพักหนึ่งก็เกิดรอยร้าวเส้นแล้วเส้นเล่าอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเสียงระเบิดดังสนั่นก็ดังออกมาจากทางเดินด้านหลัง จากนั้นเสียงเศษหินร่วงกระทบพื้นก็ดังระงม
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซากโบราณสถานใต้ดินแห่งนี้จึงคล้ายกับว่ากำลังจะถล่ม
หลิ่วหมิงไม่มีเวลาคิดสิ่งใดมาก เขาไม่พูดพร่ำร่างกายขยับไหววูบพุ่งรวดเร็วไปหาปากทางเดินที่ยังไม่ถล่มเบื้องหน้าทันที
เวลาหนึ่งเค่อหลังจากนั้นเงาคนร่างหนึ่งก็พุ่งเร็วไวออกมาจากรอยแยกของพื้นดินที่ปริแยกออกจากกันเมื่อสักครู่
ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ออกมาจากซากโบราณสถานใต้ดินอันใหญ่โตผิดปกติแห่งนี้กลับมาบนพื้นดินแล้ว เขาวนอยู่บนท้องฟ้ารอบหนึ่งก็แหวกท้องฟ้าจากไปไกลโดยไม่รั้งอยู่ต่อสักนิด
ไม่ถึงชั่วจิบชาครึ่งถ้วยหลังจากหลิ่วหมิงไปจากซากโบราณสถาน เสียงดังสนั่นใต้โบราณสถานก็ดังถี่ขึ้นทุกที แผ่นดินบริเวณใกล้เคียงทยอยปรากฏรอยแยกใหญ่โตเส้นแล้วเส้นเล่าโดยมีบริเวณยอดเขาแห่งนั้นเป็นศูนย์กลาง
หลังจากผ่านไปอีกครู่หนึ่งเสียงทึบหนักเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากใต้ดิน ยอดเขาทั้งลูกฉับพลันโงนเงนถล่มลงไป เสียงดังสนั่นเลือนลั่นดังออกมาจากใต้ดินตรงนั้นตรงนี้
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจแผ่นดินรกร้างทั้งแถบก็ยุบลงไปทั้งผืน หน้าตาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
หลิ่วหมิงที่อยู่ไกลออกไปตรงขอบฟ้าได้ยินเสียงดังเลือนลั่นมาจากด้านหลังก็อดไม่ได้หันศีรษะกลับไปมอง ในดวงตาเขาฉายแววเสียดายจางๆ อย่างอดไม่ได้ ทว่าครู่ต่อมาก็กระตุ้นเคล็ดวิชาที่มือแล้วกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งแหวกท้องฟ้ามุ่งไปไกลด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
เขาหยุดอยู่ที่ซากโบราณสถานแห่งนี้เป็นเวลานานเช่นนี้ คิดว่าพวกจินเทียนชื่อคงจะไม่รออยู่ที่สถานที่รวมตัวเดิมต่อแน่นอน เขาคงได้แต่ออกเดินทางตามลำพังบ้างแล้ว
ยังดีที่ในมือเขามีแผนที่ซึ่งนิกายแจกจ่ายให้ บนนั้นทำเครื่องหมายสถานที่ซ่อนสมบัติและซากโบราณสถานแห่งอื่นซึ่งคนรุ่นก่อนสำรวจพบไว้อยู่ น่าจะยังมีโอกาสรวมตัวกับพวกจินเทียนชื่อได้
หลังจากหลิ่วหมิงแยกแยะทิศชั่วครู่ก็นึกย้อนถึงแผนที่ครู่หนึ่ง แล้วเลี้ยวเปลี่ยนทิศพุ่งเร็วรี่ไปยังทิศทางหนึ่งทันที
ในเวลาเดียวกันนี้เผ่ามนุษย์ เผ่าปีศาจรวมทั้งมนุษย์ปีศาจและพวกต่างเผ่าที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งจากแผ่นดินต่างๆ ซึ่งเข้ามายังเศษซากของโลกบนในที่สุดก็พานพบกันบ่อยครั้งขึ้น พวกเขาต่อสู้กันอย่างโหดเหี้ยมเหนือจินตนาการ
ไม่ต้องมีเหตุผลอื่นใด ไม่ว่าจะเผ่ามนุษย์ เผ่าปีศาจ มนุษย์ปีศาจหรือพวกต่างเผ่า พวกเขาต่างก็สั่งสมความเคียดแค้นที่ไม่อาจดับได้จากอดีตหลายแสนปีก่อนหน้ามา วันนี้ได้พานพบย่อมต่อสู้กันดุเดือดไม่เลิกรา
ณ กองหินระเกะระกะทอดยาวหมื่นลี้ไม่มีหญ้าขึ้นสักต้นแห่งหนึ่งบนเศษซากแห่งโลกบน
ที่แห่งนี้ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินเบาบางอย่างที่สุดจนยากจะหาร่องรอยหญ้าจิตวิญญาณสมบัติล้ำค่าอันใดพบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปีศาจอสูรระดับสูงในซากโบราณสถานอันใด
เวลานี้ตรงจุดหนึ่งที่ห่างจากพื้นดินสูงขึ้นไปห้าถึงหกจั้งบนท้องฟ้าฉับพลันก็เกิดคลื่นสั่นไหวกลางอากาศ แสงจิตวิญญาณส่องสว่างขึ้นวูบหนึ่งเงาร่างของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีปรากฏออกมาอย่างเชื่องช้า
บุรุษผู้นั้นรูปร่างสูงใหญ่กำยำ เส้นผมหยิกสีม่วงแวววาวทั้งศีรษะ จมูกราชสีห์ปากกว้าง สองตามีประกายสีม่วงไหลวนไม่หยุดอยู่เลือนราง
สตรีนางนั้นเรือนผมสั้นสีเงิน ดวงตาสีเขียวทั้งสองข้างเปล่งประกายดั่งหยก มุมปากมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่เสมอ
ทั้งสองคนก็คือหลี่ว์เหมิงกับอิ๋นเซ่อแห่งหอเป๋ยโต่วนั่นเอง
“พวกเราล่อมังกรดำตัวนั้นมาได้รอบใหญ่ เวลานี้ศิษย์น้องเยี่ยนน่าจะเดินทางไปไกลแล้วกระมัง” หลี่ว์เหมิงเหล่ตามองด้านหลังครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
“แม้ศิษย์น้องเยี่ยนจะระดับผลึกขั้นปลายเท่านั้น แต่พลังก็ไม่ด้อยกว่าเจ้าและข้าสักนิด ให้เขานำสมบัติไปหาพวกศิษย์พี่น่าจะไม่มีปัญหา” ในดวงเนตรงามของอิ๋นเซ่อมีประกายเจิดจ้าไหลวนอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเรียบๆ
“เหอะ ก็แค่เผ่าปีศาจระดับแก่นแท้ตนหนึ่งเท่านั้น เจ้ากับข้าแล้วก็ศิษย์น้องเยี่ยนสามคนร่วมมือกันจะจัดการไม่ได้ได้อย่างไร? แก่นปีศาจของมังกรดำระดับแก่นแท้นั่นเป็นสมบัติอันหาค่าไม่ได้ หากเรื่องที่พ่ายแพ้หนีอย่างน่าสมเพชเช่นนี้เล่าลือออกไป หลังจากนี้พวกเราจะมีที่ยืนอะไรในหอเป๋ยโต่วได้อีก” หลี่ว์เหมิงเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าดูแคลน
“ในเมื่อสมบัติมาอยู่ในมือแล้วไยต้องต่อสู้อย่างไร้ความหมายอีกเล่า นอกจากนี้ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าปีศาจที่เดินทางมาจากแผ่นดินหมานฮวงเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็สายเลือดบริสุทธิ์ พลังแข็งแกร่งกว่าศิษย์หุบเขาปีศาจสวรรค์ไม่น้อย แม้พวกเราสามคนร่วมมือกันก็คงเอาชนะไม่ได้ง่ายๆ ไยต้องสิ้นเปลืองเวลากับเรื่องนี้ อย่าลืมว่าเจ้ากับข้ายังมีภารกิจอื่น เจ็ดวันหลังจากนี้พวกเรายังต้องไปรวมตัวกับคนอื่นอีก”
อิ๋นเซ่อเอ่ยเสียงเรียบหลายประโยค จากนั้นเคล็ดวิชาที่มือก็เปลี่ยนไป เมฆสีขาวก้อนหนึ่งยกนางลอยขึ้นกลายเป็นแสงสีขาวเส้นหนึ่งเหาะไปไกล
หลังจากหลี่ว์เหมิงพึมพำหลายประโยคอยู่ที่เดิมก็ลอยขึ้นฟ้ากลายเป็นแสงสีม่วงสายหนึ่งไล่ตามติดไปอย่างไม่ใคร่จะยินยอม
ทั้งสองคนจากไปเพียงครู่เดียว กลางกองหินระเกะระกะใกล้ๆ ก็พลันมีปราณสีดำสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า เศษหินก้อนแล้วก้อนเล่าพากันระเบิดพุ่งกระจัดกระจายไปรอบด้าน
ท่ามกลางหมอกดำพลุ่งพล่านคือบุรุษต่างเผ่าผู้มีเกล็ดสีดำแผ่อยู่เต็มทั่วร่างและบนศีรษะมีเขาประหลาดอยู่คู่หนึ่ง
“ได้ยินมานานแล้วว่าเผ่ามนุษย์มีองค์กรลึกลับแห่งหนึ่งนามว่าหอเป๋ยโต่ว วันนี้ดูแล้วก็แค่เท่านี้! ข้าใช้เล่ห์กลเล็กน้อยก็ทำให้เจ้าหนูเหล่านี้ติดกับได้แล้ว หากไม่ได้ต้องการให้พวกเจ้าตามหาสถานที่แห่งนั้นแทนข้า ข้าคงฉีกพวกเจ้าเป็นชิ้นๆ นานแล้ว” บุรุษเผ่าปีศาจพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่งจากนั้นรอบร่างพลันฉายแสงสีดำกลายเป็นมังกรสีดำยาวยี่สิบกว่าจั้งตัวหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป
ณ ถ้ำภูเขามืดสนิทขนาดสามสี่จั้งใต้หน้าผาสูงชันเรียบลื่นสีเทาแห่งหนึ่ง
ผู้ฝึกฝนที่สวมเครื่องแต่งกายของสำนักเฮ่าหรานเจ็ดแปดคนกำลังนั่งอยู่กับพื้นหลับตาโคจรปราณอยู่ด้านในถ้ำ พวกเขาต่างมีสีหน้าเหนื่อยล้า
“ศิษย์พี่เหยียน พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดี คัมภีร์ทองคำเพลิงโลหะนี่จะตกอยู่ในมือเผ่าปีศาจที่ไม่รู้โผล่มาจากที่ใดเหล่านี้ไม่ได้เด็ดขาด!” ผู้ที่เอ่ยคือสตรีที่แลดูสง่างามอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง
นางก็คือสตรีชุดเขียวผู้นั้นที่เข้าร่วมงานชุมนุมประตูสวรรค์เมื่อตอนนั้นนั่นเอง
“เรื่องนั้นแน่นอน แต่พวกเราก็เห็นจากไกลๆ แล้วว่าพลังของผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจสองตนนั้นไม่อาจดูแคลนได้ แต่เพราะพวกเราฝ่าชั้นจำกัดมาพลังเวทจึงเหลือไม่เท่าไร คงได้แต่นำสมบัติหลบเลี่ยงไปก่อน รอหลังจากพวกเราฟื้นตัว…”
ยังไม่ทันที่ผู้ฝึกฝนผู้สวมชุดบัณฑิตหน้าตาหมดจดผู้นี้จะเอ่ยจบ แสงอสนีบาตก็ส่องสว่างขึ้นที่ปากถ้ำ แสงกรงเล็บสีม่วงยาวหนึ่งจั้งกว่าหลายสายพุ่งเร็วรี่ตรงเข้ามาหาผู้คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่
“ระวัง!”
หญิงสาวชุดเขียวปฏิกิริยาว่องไวอย่างที่สุด เสียงที่เอ่ยยังไม่ทันจางหาย นางก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นอย่างไม่ลังเลสักนิด แท่นฝนหมึกหินสีเขียวหยกชิ้นหนึ่งพุ่งออกจากแขนเสื้อไปทันที หลังจากมันหมุนติ้วรอบหนึ่งก็ขยายพรวดกลางอากาศจนใหญ่สิบกว่าจั้งปิดปากถ้ำไว้ พร้อมกับที่แสงรัศมีสีเขียวหยกสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาจากแท่นฝนหมึกหิน
เสียงเปรี้ยงดังขึ้นหลายครั้ง แท่นฝนหมึกหินสีเขียวหยกสั่นไหวอย่างรุนแรงแล้วแตกกระจายดัง “บึ๊ม”
เวลานี้ตรงปากถ้ำปราณปีศาจสองสายสีน้ำตาลหนึ่งสายกับสีเทาหนึ่งสายก็พุ่งเข้ามา เมื่อปราณปีศาจกระจายออกก็เผยให้เห็นผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจซึ่งหัวเป็นหมีร่างเป็นคนสองตน
ทั้งสองตนรูปร่างใกล้เคียงกันอย่างยิ่งต่างกันที่สีสันเท่านั้น ตัวหนึ่งทั่วร่างมีขนสีเทาหนา อีกตัวหนึ่งมีขนสีน้ำตาลหนา
“ฮ่ะๆ เจ้าไปจัดการพวกเขา ยัยหนูคนนั้นยกให้ข้า ว่ากันว่าผู้ฝึกฝนสตรีเผ่ามนุษย์นี่ผิวเนียนเนื้อนุ่ม รสชาติไม่ธรรมดา ข้ายังไม่เคยลิ้มลองกับตนเองเลย!” ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจผู้มีขนสีน้ำตาลงอกเต็มตัวจับจ้องบนร่างหญิงสาวชุดเขียวแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความละโมบ
“รีบหนีเร็ว ตอนนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการสู้กับปีศาจพวกนี้”
ผู้ฝึกฝนชุดบัณฑิตหน้าตาหมดจดผู้นั้นเห็นสถานการณ์ก็ตะลึง มือข้างหนึ่งพลิกหมุนทันที ทันใดนั้นเบื้องหน้าร่างก็มีธงน้อยสีน้ำเงินขมุกขมัวแถวหนึ่งปรากฏออกมา
ธงน้อยเหล่านี้ขนาดเพียงเจ็ดแปดชุ่น ทว่าแต่ละผืนล้วนสลักภาพลี้ลับจำนวนหนึ่งไว้และแผ่คลื่นพลังเวทบริสุทธิ์อย่างยิ่งออกมา
ผู้ฝึกฝนที่สวมชุดบัณฑิตท่องมนตร์ไปพลางก็กระตุ้นเคล็ดวิชาไปพลาง เกิดเสียงแหวกอากาศดัง “ฟึบ” “ฟึบ” ขณะที่ธงผืนน้อยทยอยพุ่งรวดเร็วออกไปปักลงบนพื้นดินเบื้องหน้า
หลังจากแสงสีน้ำเงินสว่างวูบหนึ่ง กำแพงแสงสีน้ำเงินขนาดสิบกว่าจั้งผืนหนึ่งฉับพลันปรากฏออกมาขวางระหว่างเผ่าปีศาจสองตนกับพวกตนไว้
ศิษย์ทั้งหลายของสำนักเฮ่าหรานทยอยกลายเป็นลำแสงเหาะหนีลึกเข้าไปในถ้ำภูเขาภายใต้การนำของผู้ฝึกฝนที่สวมชุดบัณฑิต
ผู้ฝึกฝนเผ่าหมีสองคนนั้นที่อยู่ตรงปากถ้ำไม่ได้ไล่ตามโจมตี ตรงกันข้ามหลังจากพวกเขาสบตากันครั้งหนึ่ง ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจขนเทาผู้นั้นก็ยกมือข้างหนึ่งโยนลูกบอลแสงสีทองขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งออกมาพร้อมกับเริ่มท่องมนตร์ประหลาดดังงึมงำ
ส่วนผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจขนสีน้ำตาลตนนั้นก็หัวเราะเสียงประหลาดอยู่ที่เดิม
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจ เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นก็ลอยมา!
แสงสีทองสายแล้วสายเล่าแผ่ออกมาจากยอดเขา หลังจากยอดเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเพียงครั้งเดียวก็เอนล้มถล่มลงมา เศษหินกระเด็นไปรอบด้าน ลำแสงสีน้ำเงินหลายสายพุ่งเร็วรี่ออกมาจากด้านในอย่างรีบร้อน ก่อนจะพุ่งจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
เสียง “ฉึบ” “ฉึบ” ดังขึ้นสองครั้ง
ปราณปีศาจสองสายสีเทากับสีน้ำตาลพุ่งรวดเร็วเข้าใส่แสงสีน้ำเงิน เพียงกะพริบวูบวาบไม่กี่ครั้ง มันก็ล้อมแสงสีน้ำเงินซึ่งหนีช้าที่สุดสองสายในนั้นไว้ด้านใน
ลำแสงหลายสายที่เหลือเห็นเช่นนี้ก็แยกย้ายกันอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัด พุ่งหนีต่อไปยังทิศทางที่ต่างกัน
“อ้าก” “อ้าก” เสียงกรีดร้องสองครั้งดังขึ้นกลางท้องฟ้า!
แสงสีน้ำเงินสองสายกลางปราณปีศาจอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เพียงครู่เดียวหลังจากนั้นซากศพแหว่งวิ่นชุ่มเลือดสองร่างก็ถูกโยนออกมาจากด้านในปราณปีศาจสองดวง
“ของไม่ได้อยู่ในมือพวกเขาสองคน พวกเราแยกกันตาม!”
เสียงทุ้มต่ำสองเสียงสนทนากันอย่างเหี้ยมเกรียมสองสามประโยคก็แหวกท้องฟ้าไล่ตามลำแสงสีน้ำเงินที่เหลือหลายสายจากไป
ใจกลางป่าไผ่ที่ต้นหนาเท่าตัวคนแห่งหนึ่ง เมฆมารขนาดหลายหมู่ก้อนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงคำราม ด้านในมีเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมาเป็นระยะ
หลังจากเมฆมารทั้งหมดสลายไป ศพเผ่าปีศาจหน้าตาดุร้ายหลายร่างก็นอนพาดระเกะระกะ แต่ละร่างแห้งผิดธรรมชาติ มีเพียงผู้ฝึกฝนเผ่ามารที่สวมหน้ากากเกราะสีดำตนหนึ่งยืนตัวตรงนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงกลาง
หลายวันหลังจากนั้นหลิ่วหมิงเหาะเอื่อยเฉื่อยอยู่เหนือบึงที่เต็มไปด้วยหมอกพิษแห่งหนึ่ง ขณะที่สายตากวาดมองซ้ายขวาไม่หยุด
ในบึงแห่งนี้นอกจากต้นหญ้าที่ขึ้นสะเปะสะปะกระจัดกระจายอยู่จำนวนหนึ่งแล้ว ทอดสายตามองไปก็มีเพียงโคลนเลนเต็มพื้นที่
ไม่นานก่อนหน้านี้เขาเดินทางผ่านขอบบึงแล้วพบปีศาจอสูรที่ชื่อคางคกกร่อนกระดูกตัวหนึ่งโดยบังเอิญ หลังจากสังหารมันเขาจึงสนใจจะสำรวจลึกเข้ามาในบึงแห่งนี้
ต้องรู้ว่าปีศาจอสูรชนิดนี้แม้ขนาดตัวเพียงกำปั้น หน้าตาก็อัปลักษณ์อย่างยิ่ง ทว่าน้ำพิษที่พุ่งออกมาจากตุ่มพิษบนแผ่นหลังกลับสามารถกัดกร่อนกระดูกได้ ผู้ฝึกฝนทั่วไปที่ระดับต่ำกว่าระดับผลึกหากสัมผัสพิษโดยไม่มีการป้องกัน ภายในเวลาไม่กี่ชั่วยามทั้งร่างก็จะถูกกัดกร่อนจนตาย
คางคกกร่อนกระดูกนี้เป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะในแผ่นดินหมานฮวง แผ่นดินจงเทียนยากจะพบร่องรอยของมัน ทว่าเลือดเนื้อของมันดันราคาสูงอย่างที่สุด น้ำพิษของมันยิ่งเป็นวัตถุดิบหลักของโอสถชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘โอสถร้อยพิษ’ โอสถชนิดนี้มีฤทธิ์พิเศษช่วยแก้พิษบางอย่างที่กระทั่งผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ยังปวดหัวอย่างยิ่งได้ ด้วยเหตุนี้น้ำพิษชนิดนี้หนึ่งขวดเล็กกระจ้อยจึงประมูลได้ราคาหลายล้านอย่างง่ายดาย ไม่ต้องพูดถึงโอสถร้อยพิษที่ปรุงสำเร็จแล้ว
ในเมื่อหลิ่วหมิงพบร่องรอยของอสูรชนิดนี้ที่นี่ เขาย่อมไม่มีทางปล่อยผ่านไปง่ายๆ
ทว่าตลอดทางที่เขาเดินทางมาจนถึงใจกลางบึงกลับไม่พบปีศาจอสูรตัวอื่นอีก ตรงกันข้ามเขาพบศพเผ่ามนุษย์ร่างหนึ่งกับเศษหุ่นหลายตัวที่ร่วงอยู่เกลื่อนพื้น
ตอนที่ 925 ลอบโจมตี
ระหว่างที่ตกตะลึง ร่างกายของเขาก็ขยับวูบเดียวมาปรากฏข้างศพ เขาก้มตัวลงมองสำรวจอย่างละเอียดพักหนึ่ง
ดูจากเครื่องแต่งกายของเศษซากศพร่างนี้ กว่าครึ่งคงจะเป็นศิษย์นิกายเทียนกงอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนบาดแผลบนร่างเห็นชัดว่าถูกบางสิ่งที่มีพละกำลังมหาศาลฉีกทึ้ง เพียงแต่ว่าบาดแผลเป็นระเบียบเช่นนี้ทำให้หลิ่วหมิงประหลาดใจอยู่บ้าง
ในเวลานี้เองบางสิ่งบนข้อมือเขาก็สะดุดตาหลิ่วหมิง เขาเหล่มองก็เห็นว่ามันคือกำไลเก็บของสีม่วงอ่อนวงหนึ่ง
เขาคิ้วขมวดยกมือข้างหนึ่งขึ้นกวัก กำไลเก็บของพลันลอยออกมาจากร่างของศพร่วงลงในมือเขาอย่างมั่นคง
ผลปรากฏว่าเมื่อใช้จิตสัมผัสแทรกเข้าไปกวาดด้านในกำไลเก็บของก็พบว่านอกจากหินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งกับยันต์และอาวุธจิตวิญญาณ ตรงมุมหนึ่งด้านในยังมีลูกแก้วกลมสีสันแตกต่างกันหลายสิบลูกนอนแอ้งแม้งอยู่ด้วย ลูกแก้วส่วนใหญ่ในนั้นขนาดเท่ากำปั้น มีเพียงลูกที่ทอแสงสีทองขมุกขมัว บนผิวมียันต์หน้าตาเหมือนไส้เดือนยั้วเยี้ยไหลวนอยู่ไม่หยุดเท่านั้นที่ดูใหญ่กว่าลูกอื่นอยู่เท่าหนึ่ง
“เอ๋? เหมือนจะเป็นหุ่นระดับแก่นแท้?” หลิ่วหมิงสำรวจลูกบอลกลมสีทองอยู่หลายรอบ แล้วทันใดนั้นเขาก็เผยท่าทางตกตะลึงออกมา จากนั้นเขาก็ยิ้มเจื่อนพลางส่ายศีรษะ
ศิษย์ของนิกายเทียนกงที่เข้ามาในเศษซากของโลกบนได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา จะครอบครองหุ่นระดับเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก
จะว่าไปแล้ว เขาก็เคยสร้างแค่หุ่นนักรบระดับของเหลวจิตวิญญาณสี่ตัวเท่านั้น หุ่นระดับผลึกยังไม่เคยบังคับมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหุ่นระดับแก่นแท้
อีกทั้งหุ่นระดับสูงเฉพาะของนิกายแบบนี้ วิชาหุ่นข้างนอกย่อมไม่อาจควบคุมได้
หากรู้ล่วงหน้าว่าจะมีโชควาสนาเช่นนี้ ตอนนั้นที่ทะเลทรายกุ่ยโม่เขาน่าจะขอคัมภีร์วิชาควบคุมหุ่นจากชิงหลิงมาสักหลายเล่ม
จากนั้นเขาก็สำรวจเศษหุ่นหลายตัวที่เหลือ แล้วก็พบว่าพวกมันล้วนเป็นหุ่นระดับผลึก คล้ายกับว่าศิษย์นิกายเทียนคงผู้นี้ถูกลอบจู่โจมกะทันหัน ยังไม่ทันได้เรียกหุ่นระดับแก่นแท้ออกมาก็ถูกคู่ต่อสู้สังหารเสียแล้ว
หลิ่วหมิงหยิบกำไลเก็บของขึ้นมาแล้วเดินวนบริเวณใกล้ๆ เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งยังไม่พบร่องรอยอื่นใดจึงได้แต่เหาะออกจากบึงไป
หลายวันต่อจากนั้นระหว่างที่หลิ่วหมิงรีบเร่งเดินทางไปยังจุดที่ใกล้ที่สุดซึ่งระบุไว้ในแผนที่ เขาก็ค้นหาตามเส้นทางได้โชคลาภมาไม่น้อย
ในหมู่สิ่งที่ได้มามีหญ้าจิตวิญญาณกับสมุนไพรจิตวิญญาณหลายต้น หากเก็บเข้าไปในฝักกระบี่ย่อมช่วยบำรุงลูกกลอนกระบี่ได้อย่างมาก นอกจากนี้ยังมีหินแร่ยมโลกที่ระดับค่อนข้างสูงอีกหลายก้อนซึ่งเป็นวัตถุดิบหลอมศาสตราระดับสุดยอดธาตุหยิน ราคาไม่ธรรมดาเช่นกัน
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงยินดีที่สุดก็คือ เขาได้หญ้าตามวิญญาณอายุพันปีที่ยากจะหาพบต้นหนึ่งมาด้วย หากผสานกับวัตถุจิตวิญญาณที่ชื่อว่าปะการังเจ็ดสีก็จะปรุงโอสถจิตวิญญาณที่เพิ่มโอกาสผนึกแก่นแท้เล็กน้อยชนิดหนึ่งออกมาได้
ต้องรู้ไว้ว่าพลังมาถึงระดับขั้นนี้ ต่อให้เพิ่มโอกาสผนึกแก่นแท้ได้เพียงหนึ่งหรือสองส่วนในร้อยก็ทำให้ผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนนับไม่ถ้วนแห่ไปหาเหมือนฝูงเป็ด
เจ็ดวันให้หลัง บนท้องฟ้าเหนือยอดเขาซึ่งมีป่าสีเขียวหนาทึบผืนหนึ่งล้อมอยู่ หลิ่วหมิงกำลังเหยียบเมฆสีดำก้อนหนึ่งบินวนกลางท้องฟ้า ใช้จิตสัมผัสกวาดผ่านอาณาเขตบริเวณร้อยลี้อย่างคร่าวๆ เมื่อไม่พบกลิ่นอายความผิดปกติแต่อย่างใดจึงค่อยๆ ร่อนลงมาแล้วเดินอีกไม่กี่ก้าวก็มาถึงตรงหน้าหินภูเขาที่แลดูธรรมดาก้อนหนึ่ง หลังจากมองสำรวจจากด้านบนถึงด้านล่างหลายรอบ ฉับพลันเขาก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งเข้าไปด้านใน
เสียง “ปุ้ง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง ทุกสิ่งรอบข้างหินภูเขาพลันแตกสลายไป หน้าผามหึมาที่เต็มไปด้วยตะไคร่สีเขียวเข้มเผยตัวออกมาจากความว่างเปล่า
ใต้หน้าผา ประตูทองแดงที่แลดูเก่าแก่อย่างยิ่งบานหนึ่งเปิดอ้าอยู่
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาทั้งคู่ก็ทอประกายวูบไหวเล็กน้อย แต่ร่างกายยังคงขยับหายเข้าไปด้านใน
เวลาชั่วหนึ่งมื้ออาหารผ่านไปหลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวในห้องโถงใหญ่ว่างเปล่าแห่งหนึ่งใต้ภูเขา ด้านในมีโต๊ะศิลากับเก้าอี้ศิลาล้มอยู่บนพื้น เห็นชัดว่าถูกคนกวาดเรียบไปแล้ว
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่สายตากวาดมองรอบด้านอย่างเชื่องช้า หลังจากนั้นเขาก็พลิกมือเรียกลูกแก้วกลมสีน้ำเงินขมุกขมัวลูกหนึ่งออกมา แล้วตบลงไปด้านบน
บนผิวของลูกแก้วกลมมีแสงสีน้ำเงินเข้มไหลวนอยู่พักหนึ่งก็ส่งเสียงดังวิ้งเบาๆ
สุดท้ายแสงสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งรวดเร็วออกมาจากในเสาที่หนาเท่าตัวคนต้นหนึ่งใกล้ๆ ดังฟึบ แล้วพุ่งวูบเดียวร่วงลงในมือของเขา มันคือยันต์สีขาวน้ำนมแผ่นหนึ่ง
หลิ่วหมิงขยับนิ้วมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา ยันต์สีขาวหมุนติ้วกลางอากาศแล้วหยุดนิ่งกลายเป็นอักษรตัวน้อยสีขาวแถวหนึ่ง จากนั้นเพียงครู่เดียวก็กลายเป็นแสงจิตวิญญาณจุดแล้วจุดเล่าสลายกลายเป็นความว่างเปล่า
“พวกเขาเคยมาที่นี่แล้ว แต่ยังดีที่ทิ้งเป้าหมายจุดต่อไปเอาไว้ให้ ไล่ตามพวกเขาจึงเป็นเรื่องไม่ยาก” หลิ่วหมิงเอ่ยพึมพำขณะที่เก็บลูกแก้วกลม จากนั้นเขาก็หมุนตัวจากไปทันทีอย่างไม่อาลัยอาวรณ์แต่อย่างใด
……
หลายเดือนหลังจากนั้น บนท้องฟ้าเหนือหุบเขาแคบยาวแห่งหนึ่ง มีเสียงแหวกอากาสดังสนั่นขณะที่เงาดำสี่ร่างแย่งชิงกันพุ่งรวดเร็วนำไปข้างหน้า
ห่างไปร้อยกว่าจั้งด้านหลังเงาดำเหล่านี้มีลำแสงหลากสีสันกลุ่มใหญ่กำลังไล่ตามติดไม่ลดละ
ลำแสงที่อยู่หน้าสุดคือลำแสงสีทองที่พลังโดดเด่นสายหนึ่ง ด้านในลำแสงสีทองคือชายหนุ่มผู้สวมชุดสีทองตัวโคร่งคนหนึ่ง เขาคือจินเทียนชื่อนั่นเอง
ด้านในลำแสงสายอื่นด้านหลังก็คือสองพี่น้องโอวหยาง หลงเหยียนเฟยและศิษย์คนอื่นอีกสองคน
เรื่องมีอยู่ว่าหลายวันก่อนหน้านี้หลังจากจินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อค้นหาซากโบราณสถานซึ่งเป็นจุดที่ระบุไว้บนแผนที่เสร็จสิ้น พวกเขาก็แยกกันนำกลุ่มค้นหาสมบัติในพื้นที่แถบนี้เพื่อเพิ่มโอกาสในการค้นหาสมบัติ
จินเทียนชื่อนำพวกหลงเหยียนเฟยมาพบกับหุบเขามหึมาที่มีสมุนไพรจิตวิญญาณมากมายแห่งหนึ่ง ขณะที่แต่ละคนกระจายกันออกไปค้นหาอยู่นั่นเอง ศิษย์สองคนในนั้นก็ถูกลอบจู่โจมจากศิษย์ของนิกายปีศาจลี้ลับสี่คนอย่างกะทันหัน
ฝ่ายศัตรูมากฝ่ายตนน้อย อีกทั้งยังไม่ทันป้องกันแม้แต่นิด แม้ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์สองคนนั้นจะพลังไม่ต่ำเตี้ยก็ยังมีคนหนึ่งสิ้นชีวิตทันที ส่วนอีกคนอาศัยยันต์ปกป้องชีวิตหนีออกมาได้อย่างหวุดหวิดแล้วมาแจ้งข่าวกับจินเทียนชื่อที่อยู่อีกด้านหนึ่งของหุบเขาอย่างรวดเร็ว
การลอบจู่โจมเช่นนี้ย่อมทำให้จินเทียนชื่อโกรธจัด เขาเรียกรวมพวกหลงเหยียนเฟยแล้วไล่ล่าสังหารในทันที
ผลปรากฏว่าเขาพบศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับหลายคนไม่ไกลจากหุบเขาจริงๆ เขาจึงไล่ตามสังหารทันที จนนำมาสู่ภาพตรงหน้านี้
จินเทียนชื่อมองศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับหลายคนที่หนีอยู่ด้านหน้าแล้วแค่นเสียงหยัน ปากเอ่ยท่องมนตร์ในทันใด เคล็ดวิชาที่มือเปลี่ยนเร็วไวไม่หยุด รอบกายเปล่งแสงดาราระยิบระยับจุดแล้วจุดเล่าออกมาไม่ขาดสาย
ทันใดนั้นสองมือของเขาก็แยกกันยิงแสงสีทองสายหนึ่งออกไปสองฟากฝั่ง
หลังจากแสงสีทองสองสายนั้นหมุนวนกลางอากาศก็หยุดนิ่งกลายเป็นรุ้งยาวสีทองสองสาย พุ่งวูบเดียวจมหายไปในยอดเขาสองฝั่งของหุบเขา หายไปอย่างไร้ร่องรอย
บนผิวยอดเขาของหุบเขาแคบสองฝั่งฉับพลันปรากฏเส้นสีทองเส้นหนึ่งแผ่ขยายไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวก็แซงหน้าเงาดำหลายเส้นเบื้องหน้า
เสียง “บึ๊ม” ดังลอยมา!
ยอดเขาสองฝั่งส่วนที่อยู่เหนือเส้นสีทองถล่มลงมาพร้อมเสียงดังกึกก้อง กลายเป็นเศษหินกลิ้งร่วงลงมาตามหน้าผาชัน หุบเขาที่เดิมทีก็แคบอยู่แล้วถูกปิดกั้นจนน้ำไม่อาจลอดผ่าน
ครู่ต่อมาลำแสงสีทองพลันกลายเป็นดาวหางเจิดจ้าดวงหนึ่งกลางอากาศ เพิ่มความเร็วไล่ตามเงาดำหลายร่างเบื้องหน้านั้น
เงาดำทั้งหลายเห็นสถานการณ์ก็หยุดชะงักหมุนตัวมาทันที เมื่อพวกเขาเก็บไอปีศาจไปก็เผยให้เห็นบุรุษที่สวมเครื่องแต่งกายของนิกายปีศาจลี้ลับหลายคน คนหนึ่งในนั้นก็คือชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีเขียวทั้งศีรษะ เขาก็คือหลงเซวียนนั่นเอง
เสียงตวาดแผ่วเบาของจินเทียนชื่อดังออกมาจากด้านในแสงสีทอง ทันใดนั้นแสงดารานับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากด้านใน พริบตาเดียวก่อตัวเป็นมือยักษ์สีทองขนาดหนึ่งหมู่กว่าข้างหนึ่ง ตบเข้าใส่พวกหลงเซียนอย่างรุนแรง
“สี่ปีศาจประสานหยาง”
สามคนที่เหลือนอกจากหลงเซวียนเห็นเช่นนี้จึงเอ่ยประสานเสียง จากนั้นร่างกายก็เลือนรางหายไปปรากฎตัวหลังร่างหลงเซวียน แล้วแนบฝ่ามือหกข้างบนหัวไหล่สองข้างของหลงเซวียนพร้อมกัน
หลงเซวียนหัวเราะเหี้ยม เปลวเพลิงสีเขียวพวยพุ่งจากแผ่นหลังเกิดเป็นเงายักษ์สีเขียวสูงยี่สิบกว่าจั้งตัวหนึ่งที่มีใบหน้าเลือนรางไม่ชัด แต่ยังมองเห็นว่าร่างกายสวมชุดเกราะ แขนกำยำหกข้างกำอาวุธนานาชนิดเช่นดาบ กระบี่และโล่ไว้
ส่วนตัวหลงเซวียนเอง ร่างกายก็ขยายขึ้นหนึ่งเท่ากลายเป็นคนร่างยักษ์สีเขียวที่สูงสามจั้งกว่าคนหนึ่งเช่นกัน ผิวบนร่างปรากฏลวดลายสีเขียวใหญ่หนาดุจไส้เดือนตัวแล้วตัวเล่า จากนั้นมือข้างหนึ่งของเขาก็จี้ดัชนีเข้าใส่มือยักษ์สีทองที่ขนาดเท่าภูเขาลูกย่อมๆ
เสียง “ฟู่” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง เงายักษ์ด้านหลังร่างเขาสะบัดแขนทั้งหกข้างพร้อมกัน อาวุธต่างๆ นานาในมือพริบตาผสานเป็นร่างเดียวกลายเป็นเงาคมดาบยักษ์สีเขียวยาวสิบกว่าจั้งเล่มหนึ่งฟันเข้าใส่มือยักษ์สีทองอย่างรุนแรง
เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน!
ทันใดนั้นคมดาบสีเขียวซึ่งใหญ่ค้ำฟ้าก็แตกสลายไปทีละนิดท่ามกลางแสงสีทองแสบตา พวกหลงเซวียนหน้าซีด ทั้งหมดเหยียบอากาศถอยหลังดังตึงๆ ไปหลายก้าว
ทว่ามือยักษ์ขนาดค้ำฟ้าที่เดิมทีร่วงลงมาก็พังทลายสลายไปในพริบตาเช่นเดียวกัน
จินเทียนชื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็อุทานออกมาคำหนึ่งคล้ายคิดไม่ถึง ทว่าหลังจากแค่นเสียงหยันเขาก็ลงมืออีกครั้ง
ทว่าในเวลานี้เองด้านหลังของเขาพลันมีกลิ่นอายน่าหวาดกลัวชวนขนลุกขนชันหลายสายพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงแหวกอากาศแสบแก้วหูดังขึ้นตามมาติดๆ
จินเทียนชื่อตกตะลึงรีบหมุนตัวไปมองแล้วหน้าถอดสีในทันที
ลำแสงของพวกหลงเหยียนเฟยที่อยู่ด้านหลังถูกลำแสงสีดำหนาเท่าชามข้าวเจ็ดสายที่พุ่งออกมาจากบนหน้าผาหินสองฝั่งกวาดผ่าน
ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์สองคนในนั้นไม่ทันป้องกันจึงถูกลำแสงสามสายกวาดโดนพร้อมกัน พวกเขากลายเป็นขี้เถ้าปลิวหายไปพร้อมกับอาวุธจิตวิญญาณป้องกันตัวหลายชิ้นที่ทันแค่เปล่งแสงเรืองๆ ทันที
ส่วนหลงเหยียนเฟยกับสองพี่น้องโอวหยาง คนหนึ่งในร่างมีจิตกระบี่ประหลาดสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้ากระแทกลำแสงสีดำสองสายที่กวาดเข้าหาจนสลายไป
ส่วนบนร่างของอีกสองคนมีเสียงดัง “ปัง” “ปัง” ออกมาก ยันต์สีเงินแผ่นหนึ่งของแต่ละคนระเบิดตัวเอง พริบตานั้นเงาจักรพรรดิยักษ์ตนหนึ่งก็ปกป้องอยู่เบื้องหน้าสตรีทั้งสอง แล้วดับสูญไปพร้อมกับลำแสงสีดำอีกสองสาย
ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นหลงเหยียนเฟยหรือสองพี่น้องโอวหยางก็ใบหน้าไร้สีเลือดกันถ้วนหน้าในทันที
“ก๊ากๆ…”
แทบจะในเวลาเดียวกันนี้ บนหน้าผาสองฝั่งที่ลำแสงสีดำพุ่งออกมาเมื่อครู่ก็มีเสียงหัวเราะประหลาดดังขึ้น จากนั้นบนผิวหน้าผาพลันมีแสงสีเทาส่องสว่าง รอยแยกแคบยาวเส้นแล้วเส้นเล่าปรากฏขึ้นพร้อมกับที่บุรุษชุดเทาหน้าตาคล้ายคลึงกันเจ็ดคนก้าวเดินออกมา
ทั้งเจ็ดคนปรากฏตัวออกมาปุ๊บ ในดวงตาก็ทอประกายเย็นเยียบ พวกเขาไม่พูดพร่ำพากันประกบมือสองข้าง เสียงแหวกอากาศดังขึ้นครั้งหนึ่งแล้วมีลำแสงสีดำเจ็ดสายพุ่งออกจากมือไปอีกครั้ง ความเร็วทำให้คนหลบไม่ทันอย่างสิ้นเชิง
หลงเหยียนเฟยเห็นเช่นนี้ทั้งตกตะลึงและโกรธเกรี้ยว ริมฝีปากงามอ้าออก กระบี่น้อยสีขาวเล่มหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา หลังจากพุ่งออกไปมันก็กลายเป็นรุ้งสีขาวยาวสิบกว่าจั้งสายหนึ่งบินฉวัดเฉวียนอย่างบ้าคลั่งอยู่เบื้องหน้า ปกป้องทั้งสามคนเอาไว้ด้านหลัง
โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินก็ตกใจอย่างยิ่งเช่นกัน พวกนางขยับไปยืนชิดอยู่ด้วยกัน สองมือกุมกันไว้ทันที ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ยกขึ้นพร้อมกัน มือของแต่ละคนมีผ้าเช็ดหน้าไหมผืนหนึ่งสีแดงกับสีฟ้าลอยออกมา หลังจากพวกมันหมุนรอบหนึ่งก็กลายเป็นม่านแสงหนาสองชั้นสีแดงกับสีฟ้าอยู่ด้านหลังรุ้งกระบี่สีขาว
เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นขึ้นสี่ครั้ง
ลำแสงสี่สายเบื้องหน้าถูกรุ้งสีขาวและม่านแสงสองชั้นด้านหลังทำลายสลายเป็นชิ้นๆ ไปพร้อมกับตัวพวกมัน ลำแสงสามสายที่เหลือด้านหลังพุ่งวูบเดียวมาถึงโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้นอีกต่อไปและกำลังจะโจมตีลงบนร่างสตรีทั้งสามนางอย่างจัง
หลงเหยียนเฟยกับพี่น้องโอวหยางเห็นเช่นนี้ดวงหน้างามก็ถอดสีแทบจะพร้อมกัน!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น