องครักษ์เสื้อแพร 924-925
ตอนที่ 924 ให้ผลตอบแทนหนักซื้อใจ ขุนนางยื่นฎีกาเมืองชายแดน
โดย
Ink Stone_Fantasy
กล่าวกระจ่างเพียงนี้ แม้สีหน้าหวังทงยังคงมีรอยยิ้ม แต่อวี๋เจียนหรู่กลับไม่กล้าปฏิเสธ ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ใต้เท้าหวังให้เจ้าทำงาน เจ้าบ่ายเบี่ยง คิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกัน
อวี๋เจียนหรู่รู้สึกเสียใจที่ได้ทำลงไป ตอนนี้ไม่พูดถึงฮ่องเต้ ไม่พูดถึงขันที ไม่พูดถึงหวังทง พูดถึงคนอื่นล้วนเข้ากฎคนพูดไร้ความผิด กล่าวกันถึงขั้นนี้ แต่ผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงก็ไม่ใช่ว่าจะมาหาเรื่องกันได้ ทุกปีหว่านเงินเข้าเมืองหลวงมามากมายไม่ว่า กรมทหาร กรมอากรไม่รู้ว่ามีขุนนางรู้จักกันมากมายเท่าไร ตนเองบุ่มบ่ามยื่นฎีกา เกรงก็แต่ว่าจากนี้จะเป็นเป้าของทุกคน ไม่มีที่ยืนในหมู่ขุนนาง
ผลเช่นนี้ กับการที่หวังทงไม่พบนั้นไม่แตกต่างกันเลย เดิมคิดว่ามายังแดนสุขาวดี คิดไม่ถึงว่ามายังถ้ำเสือ มองอย่างไรก็ไม่มีทางลงที่ดีเลย
ฤดูอากาศหนาว แม้ว่าในห้องมีความอบอุ่นพอเหมาะ แต่ชุดขุนนางอวี๋เจียนหรู่ที่แลดูเก่านั้นยามนี้เปียกไปหมด เหลือบตามองเห็ฯหวังทงยิ้ม อวี๋เจียนหรู่รู้แล้วว่าตนไม่มีทางปฏิเสธอีกแล้ว เมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงอย่างไรก็ไกล องค์เทพตรงหน้าองค์นี้กินคนได้ตลอดเวลา
“ข้าน้อยลำบากใจ แต่ในเมื่อท่านโหวให้ความสำคัญกับข้าน้อย ข้าน้อยก็ขอรับงานนี้ไปจัดการ ท่านโหวเพื่อชาติเพื่อประชา ทำให้พวกข้าน้อยละอายใจยิ่ง ละอายที่อ่านตำราปราชญ์บัณฑิตมาเสียจริง!”
ในเมื่อรับปากแล้วก็ย่อมต้องกล่าววาจาสวยหรูสักสองสามคำ หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“นายกองอวี๋ ตรงไปตรงมา เห็นได้ว่าจงรักภักดี ขุนนางเช่นนายกองอวี๋ย่อมมีอนาคตไกล!”
กล่าวจบ อวี๋เจียนหรู่ก็สะดุ้ง ก่อนจะคุกเข่าลงโขกศีรษะกล่าวว่า
“ข้าน้อย ขอบคุณท่านโหวที่เมตตา”
มาถึงขั้นนี้แล้วจะมาเกรงใจอันใดกัน อย่างไรก็ได้แต่ไล่งูขึ้นท่อนไม้ตามไปแล้ว วาจาหวังทงแสดงให้เห็นว่าหวังทงรับปากอนาคตวันหน้าของเขาแล้ว
พูดถึงตรงนี้ ก็ไม่มีอันใดกล่าวต่อแล้ว ที่หยางซือเฉินเขียนปรับเปลี่ยนมานั้นก็เขียนออกมาหมดแล้ว อวี๋เจียนหรู่ไม่จำเป็นต้องเสริมแต่งอันใด แค่แปะชื่อส่งไปกรมฎีกา ที่อวี๋เจียนหรู่ต้องทำก็คือแปะชื่อเท่านั้น
คุยกันสองสามคำตามมารยาทจบ อวี๋เจียนหรู่ก็ขอตัว ในใจกำลังพร่ำบ่นไม่หยุด หวังทงอายุน้อยจริงๆ เรื่องเช่นนี้ต้องให้มาเยี่ยมเยือนสักสามครา สองฝ่ายคุ้นเคยกันจึงจะเอ่ยปากได้ เหตุใดพอพบหน้าก็โยนงานนี้ให้ เกรงว่าเป็นการไม่รอบคอบอยู่สักหน่อย คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ หรือว่าหวังทงรู้ว่าตนจะมาคารวะ จึงได้เตรียมการไว้ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่น่าใช่ หากเป็นเช่นนี้จริง หวังทงใช่ว่าเป็นองค์เทพไปแล้วหรือ
อวี๋เจียนหรู่เดาไม่ผิด หวังทงคิดเรื่องนี้ได้กระทันหัน อวี๋เจียนหรู่จะขอตัว กลับมีคนเดินมากระซิบข้างหูหวังทง หวังทงยกมือส่งสัญญาณให้อวี๋เจียนหรู่รอก่อน หวังทงยิ้ม กล่าวว่า
“นายกองอวี๋เป็นขุนนางมือสะอาด วันเวลาผ่านมาไม่ง่ายนัก ครั้งนี้นำของขวัญมีราคามา ข้าก็เตรียมของเล็กน้อยตอบแทน นายกองอวี๋โปรดนำกลับไปให้ภรรยาและลูกท่านได้ฉลองปีใหม่ที่ดี มือสะอาดอย่างไรก็ไม่ควรให้ภรรยและลูกต้องลำบาก!”
“ลำบากใจ ลำบากใจ ข้าน้อยละอายจะรับไว้!”
กล่าววาจาถ่อมตนสองสามคำ แล้วอวี๋เจียนหรู่ก็ไม่เหตุผลที่จะปฏิเสธอีก อวี๋เจียนหรู่เป็นขุนนางมือสะอาดจริงแท้ เพียงแต่ไม่ได้คิดจะเป็น หากทำอะไรไม่ได้เท่านั้น ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวที่ไร้ผู้หนุนหลัง จะมีงานทำเงินอันใดได้ อาศัยแค่เบี้ยหวัดที่ได้ไม่ครบ จะกินเนื้อสักมื้อยังต้องคิดหนัก
เรื่อง ‘ของขวัญหนัก’ นี้ก็แค่ปลาสองตัว ผลไม้แห้งสี่สีเท่านั้น อวี๋เจียนหรู่นำมาเป็นของแค่นี้เท่านั้น ในใจอวี๋เจียนหรู่มีความรู้สึกสับสน พ่อบ้านจวนหวังทงพาออกไป พอถึงหน้าประตู ก็เห็นรถม้าสองคันรออยู่ อดตกตะลึงไม่ได้ ตอนเขามา ให้น้องชายภรรยาแบกของขวัญเดินมาด้วยกัน
“ใต้เท้าอวี๋เชิญขึ้นรถ!”
พ่อบ้านหวังทงยิ้มร่ากล่าวเชิญ อวี๋เจียนหรู่งงเล็กน้อยก้าวขึ้นรถม้า พ่อบ้านตามขึ้นไป คนรถด้านนอกตะโกนดัง เคลื่อนรถม้า พ่อบ้านกล่าวกับอวี๋เจียนหรู่ที่ยังอึ้งอยู่ว่า
“ใต้เท้าอวี๋ 1,000 ตำลึงเงิน เครื่องประดับทองหนึ่งชุด ผ้าต่วนแดนใต้ 10 พับ นี่เป็นของแสดงน้ำใจ ใต้เท้าอวี๋อย่าได้ปฏิเสธ”
อวี๋เจียนหรู่พูดไม่ออกไปแต่หยุดโขกศีรษะ กล่าวอันใดไม่ออก เครื่องประดับศีรษะทองคำหนึ่งชุด อย่างไรก็ต้องเป็นทองคำหลายสิบตำลึง ผ้าต่วนก็ไม่ใช่ของถูก ของพวกนี้อย่างไรก็ต้องพันห้าร้อยตำลึงเงิน ก็เท่ากับ 50 ปีของเบี้ยหวัดในตอนนี้ ลองคำนวณดู ตำแหน่งขุนนางนี้อย่างไรก็อยู่ไม่ถึงอีก 50 ปี
“วันหน้ายาวไกล นายท่านเราไม่เคยเอาเปรียบผู้ทำงานให้นายท่าน”
พ่อบ้านยิ้มกล่าวขึ้น เลิกม่านลงจากรถไป ทิ้งอวี๋เจียนหรู่ให้อึ้งอยู่ตรงนั้น แค่มาคารวะครั้งแรก ก็ได้ผลประโยชน์เพียงนี้ ตามที่เคยเป็นมาในเมืองหลวง การกระทำเช่นนี้ไม่นับว่าเป็นฎีกาที่ทำให้ถึงชีวิต อย่างมากก็ได้แค่ 300 ตำลึงเท่านั้น หวังทงถึงกับให้มากเพียงนี้
จำนวนนี้สำหรับอวี๋เจียนหรู่แล้ว แม้ยื่นฎีกาถูกปลดตำแหน่งก็คุ้ม เขาคิดไปมากมาย รถก็เคลื่อนไปช้าๆ มาถึงหน้าประตูบ้านเขาในเวลาไม่นาน
พอลงจากรถม้า อวี๋เจียนหรู่ยังไม่อยากจะเชื่อ พอเห็นท่าทางน้องภรรยาที่ยืนอึ้งตกใจพอกัน สีหน้าไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน
คนรถยกของลงมาอย่างนอบน้อม เตรียมนำเข้าไปในบ้านอวี๋เจียนหรู่ กำลังสาละวนขนของอยู่นั้น อวี๋เจียนหรู่ก็เห็นประตูบ้านเปิดออก เด็กน้อยอายุหกขวบวิ่งออกมา เป็นเด็กชายอ้วนจ้ำม่ำในชุดผ้าฝ้ายเก่าๆ มองของอย่างตื่นเต้น
ปีใหม่แล้ว ลูกชายตนแม้แต่ชุดใหม่ก็ไม่มี ตอนนี้มีเงินใช้แล้ว ต้องตัดชุดใหม่ให้ลูกชายเสียหน่อย อวี๋เจียนหรู่กำลังคิดอยู่นั้น เด็กชายตัวน้อยก็มาคว้ามือไปกล่าวว่า
“ท่านพ่อ ท่านน้า ท่านแม่ตามพวกท่านรีบกลับไป ที่บ้านมีคนส่งของมาให้มากมาย ยังมีผลไม้เชื่อมมากมาย….”
อวี๋เจียนหรู่เพิ่งสังเกตเห็นว่าลูกชายตนที่มุมปากมีรอยเปื้อนผลไม้เชื่อม เขากับภรรยาสบตากัน พากันรีบเดินเข้าด้านใน ภรรยาอวี๋เจียนหรู่กำลังยืนอยู่กลางลานหน้าบ้าน สีหน้าตื่นเต้นและงง พอเห็นอวี๋เจียนหรู่กลับมาก็กล่าวว่า
“ท่านพี่ เมื่อครู่อยู่ๆ มีคนมามอบของปีใหม่ให้พวกเราจำนวนมาก มีสุกรเชือดแล้วหนึ่ง แพะสอง เป็ดไก่ห่านมีครบหมด แม้แต่ผลไม้เชื่อมก็มีครบ ยังมีสุราดี ท่านพี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน ครอบครัวเราซื้อหาไม่ไหวนะ!”
ภรรยาตนคิดเช่นนี้ทำเอาอวี๋เจียนหรู่อดเจ็บปวดใจไม่ได้ ยิ้มกล่าวว่า
“เราซื้อหาไหวได้อย่างไร ล้วนเป็นผู้อื่นมอบให้ เจ้ารับไว้ก็พอ ฉลองปีใหม่กันให้ดีๆ สักปี!”
พอเขากล่าวเช่นนี้ ภรรยาอวี๋เจียนหรู่ก็อึ้งไป ก่อนจะรับคำท่าทางดีใจ รีบตะโกนเรียกคนมาจัดการขนย้ายเข้างบ้าน มีเถ้าแก่ผู้หนึ่งเดินเข้ามาในลานบ้าน อวี๋เจียนหรู่ไม่รู้จักคนผู้นี้ กำลังจะถามขึ้น เถ้าแก่ผู้นี้ก็ก้มคำนับยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าอวี๋ หลายปีก่อนได้ซื้อที่ดินรกร้างอำเภอหวงมอบให้ข้าน้อย ข้าน้อยไม่ทำให้ท่านผิดหวัง เริ่มเพาะปลูกเลี้ยงวัว มาปีนี้นับว่ามีกำไร ปีหน้าก็มีเงินเข้าบัญชี ก็ไม่มากเท่าไร ทุกเดือนก็ 50 ตำลึงเงินได้ หากเพาะปลูกไม่เลว บางทีอาจได้มากกว่านี้อีก กำไรเดือนสิบสอง ใต้เท้าโปรดตรวจนับ”
ขณะพูดอยู่นั้น เถ้าแก่ก็ส่งถุงเงินให้ ไม่รอให้อวี๋เจียนหรู่รับคำ ก็พยักหน้าก้มกายยิ้มจากไป พอคนผู้นี้จากไป ภรรยาอวี๋เจียนหรู่ที่เดินเข้าไปด้านในก็เดินออกมา แปลกใจกล่าวว่า
“ท่านพี่ไปซื้อโรงบ้านที่อำเภอหวงเมื่อใดกัน ถุงเงินนี่……น้ำหนักไม่น้อยนะ!”
“อย่างน้อยคง 50 ตำลึงได้ เจ้าเอาไปเก็บให้ดี อำเภอหวง อำเภอหวงทางนั้นยังมีที่ทางรกร้างอีกหรือ?”
อวี๋เจียนหรู่ทอดถอนใจ อำเภอหวงอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปทางใต้ไม่กี่สิบลี้ ที่นั้นมีแต่จวนใหญ่ตระกูลชั้นสูงในเมืองหลวง จะมีที่ดินรกร้างได้อย่างไร และแต่ละเดือนยังมีโรงบ้านที่ทำเงินถึง 50 ตำลึงได้อย่างไร เดิมก่อนปีใหม่กำลังกลุ้มอยู่จะทำเช่นไร วันนี้แต่ละเรื่องล้วนเป็นเรื่องดี ภรรยาอวี๋เจียนหรู่ยิ้มกว้างรับถุงเงินไปกล่าวว่า
“พวกเขายังมอบสุราดีมาหลายไหด้วย คืนนี้ตุ๋นเนื้อ พวกเราครอบครัวฉลองปีใหม่กันล่วงหน้าไปเลย”
อวี๋เจียนหรู่กำลังจะยิ้มรับคำก็ฉุกคิดอะไรได้ กล่าวว่า
“บอกให้น้องเจ้าไม่หยุดงานก่อน ข้าจะให้เขาไปจองหอสุราอาหารในเขตปัจจิม คืนนี้จะเลี้ยงเพื่อนขุนนาง”
พอได้ยิน ภรรยาอวี๋เจียนหรู่ก็หน้าตึง บ่นไม่พอใจว่า
“ท่านพี่ วันหน้าอีกยาวไกล เรามีเงินทองแค่นี้ไม่อาจใช้ฟุ่มเฟือย หอสุราอาหารในเขตปัจจิมนั่นอย่างน้อยก็ต้องห้าตำลึง……..”
“เจ้าจะไปรู้อันใด เจ้าคิดว่าเราได้อะไรมากมายเช่นนี้ตกมาจากฟ้าหรือไร”
อวี๋เจียนหรู่ตำหนิไปคำหนึ่ง
เงินและของทั้งหมด รวมกันแล้วอย่างน้อยก็สองพันตำลึง ยังมีรายเดือนอีกเดือนละ 50 ตำลึง ของขวัญหนักเช่นนี้ต้องทำงานพลีชีพจึงจะพอ ที่ทำให้อวี๋เจียนหรู่ตกใจมากยิ่งขึ้นก็คือ หวังทงกับเขาพบกันครั้งแรก คุยกันไม่นาน ก็รู้เรื่องครอบครัวเขาหมด และยังนำของขวัญมาส่งมอบถึงที่ได้
ก็คงต้องได้ทำตามแล้ว หากไม่ทำตาม เช่นนั้นก็ไม่ต้องกล่าวเรื่องอื่นแล้ว ตอนนี้วันที่ 20 เดือนสิบสองเท่านั้น ที่ทำการแต่ละแห่งกำลังจะหยุดทำการ แต่กรมฎีกายังต้องรับฎีกา
ในเมื่ออีกฝ่ายกำชับมา ยังให้ของขวัญมามากมาย เช่นนี้ก็ต้องตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด ตนเองยื่นฎีกาอาจถูกละเลย ไม่สู้ให้เพื่อนขุนนางด้วยกันมาร่วมยื่นฎีกา ขอเพียงมีคนร่วมประสานเสียง คนมาร่วมไม่โดนด้วยเท่าไร นับว่าเป็นการให้น้ำใจกันและกันเท่านั้น ทุกคนร่วมยื่นฎีกา ก็จะสร้างกระแสได้ ได้ผลดียิ่งขึ้น
***********
วันที่ 22 เดือนสิบสอง เจ้ากรมสำนักตรวจสอบซานตงอวี๋เจียนหรู่ยื่นฎีกาผู้บัญชาการทหารเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียง กล่าวหาหลี่เฉิงเหลียงใช้อำนาจมิชอบ ในสายตาไร้ราชสำนัก แอบสมคบหัวหน้าเผ่านอกด่าน คิดสวามิภักดิ์ ทำลายการทหารเมืองชายแดน
ในช่วงเวลาใกล้เทศกาลนี้ เมืองหลวงเดิมก็เงียบลงแล้ว อยู่ๆ มีฎีกาที่มีน้ำหนักเกิดขึ้น สั่นสะเทือนวงการ ทุกคนพากันแปลกใจ เริ่มแรกยังคิดว่าอวี๋เจียนหรู่คิดกล่าววาจาน่าตกใจ แต่พวกที่ร่วมยื่นฎีกาสิบกว่าคน ทุกคนกลับรู้สึกว่าเบื้องหลังมีคนบงการ
ตั้งใจสืบความ ความจริงนั้นไม่ต้องตั้งใจมากเท่าไร อวี๋เจียนหรู่ก่อนยื่นฎีกาได้ไปคารวะหวังทง ใช่เลย ทุกคนไม่อาจไม่สนใจ นี่เป็นเรื่องใต้เท้าหวังต้องการจัดการเมืองเหลียวโจว!
ตอนที่ 925 แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์เท่านั้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหวังทงต้องการมีเรื่องกับผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียง นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก คิดให้ดี น่าจะเป็นสองขุนพลสองยุคในแผ่นดินหมิงปะทะกัน
แต่ทว่าในการปะทะครานี้ สร้างผลกระทบในวงการขุนนางการเมืองน้อยมาก เพราะหวังทงครั้งนี้เดินมาตามเส้นทางปกติของวงการขุนนาง อะไรเรียกว่า เส้นทางปกติ ก็คือไม่ออกหน้าเอง ให้ขุนนางบัณฑิตยื่นฎีกานำเรื่องก่อน จากนั้นทุกคนค่อยหารือ
ขุนนางใหญ่หากออกหน้าก่อน จะเป็นเรื่องใหญ่ หากตำแหน่งใหญ่ ก็มักจะจบเรื่องได้ไม่สวย ให้ขุนนางเล็กๆ ออกหน้า เรื่องราวพัฒนาไปเช่นไรก็ยังควบคุมได้
หวังทงไม่ค่อยใช้เส้นทางนี้ หวังทงในวงการขุนนางเมืองหลวงแล้วมีภาพลักษณ์ไม่ดีนัก พอเขาขยับตัว ก็มักจะเล่นอาวุธจริง ต้องปะทะหลั่งเลือดหรือไม่ก็เกือบจะหลั่งเลือด มักจะไม่มีหนทางให้ถอย ครั้งนี้กลับมาตามธรรมเนียม แสดงให้เห็นอะไรมากมาย
ฮ่องเต้ว่านลี่พอพระทัยกับท่าทีหวังทงมาก หากหวังทงออกโรงเองเอ่ยถึงเมืองเหลียวโจวล่ะก็ ไม่ว่าหวังทงคิดทำสิ่งใด เขาย่อมต้องคิดให้รอบคอบ สุดท้ายคงได้แต่โดนปฏิเสธ แต่ทำเช่นนี้ ก็ปล่อยหวังทงไป ดูว่าเขาจะพูดว่าอย่างไร
วันที่ 24 เดือนสิบสอง ทุกคนล้วนเริ่มขี้เกียจมาร่วมประชุมราชสำนัก หากไม่ใช่พระสนมเอกเจิ้งที่ปีหน้าจะได้เป็นฮองเฮาเจิ้งแล้วกล่าวเตือน ฮ่องเต้ว่านลี่ก็คงคิดจะอยู่ในตำหนักเล่นกับพระโอรส ระยะนี้ฮองเฮาเจิ้งสนิทกับพระสนมกงมาก จูฉางลั่วกับจูฉางสวินก็มักมาเล่นด้วยกัน ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่พอพระทัยมาก
“ฝ่าบาท นายกองยื่นฎีกาเมืองเหลียวโจว กระหม่อมได้ยินมาว่า บัณฑิตผู้นี้อยู่เมืองหลวง ไม่รู้เรื่องชายแดน กล่าววาจาเหลวไหลทั้งเพ ขอฝ่าบาทพิจารณาด้วยพะยะค่ะ!”
การประชุมราชสำนักดำเนินมาได้ไม่นาน ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเสนาบดีกรมทหารปี้เชียงออกหน้าโพล่งออกมาคนแรก ทุกคนได้แต่สบตากัน มีแต่แววตาดูแคลน
ผู้ใดก็รู้ว่ากรมทหารถูกเมืองเหลียวโจวเลี้ยงดูจนอิ่มหนำ แต่กรมทหารดูแลเรื่องเมืองชายแดน เจ้าเป็นเสนาบดีกรมทหารถึงกับออกหน้าเช่นนี้ได้ ช่างไม่รู้จักสถานะตน และยังกล่าวเช่นนี้ แปดเก้าส่วนย่อมถูกกดดันจากผู้ใต้บังคับบัญชา เสนาบดีปี้ผู้นี้ตอนนี้ไม่อาจกุมอำนาจกรมทหารทั้งหมดได้……
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ ตรัสถามนิ่งเรียบว่า
“หวังทง เจ้าเคยอยู่นอกด่านมา คิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”
ใกล้ปีใหม่แล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ขี้เกียจตรัสมาก ถามเจ้าตัวตรงๆ หวังทงรับพระบัญชาก้าวออกมาถวายบังคมทูลตอบว่า
“ฝ่าบาท เมืองเหลียวโจวทำเช่นนี้ ทำให้ผู้จงรักภักดีแผ่นดินหมิงต้องเจ็บปวดใจ นอกเมืองหมื่นลี้ ทหารแผ่นดินหมิงออกรบนอกพื้นที่ไกลออกไป ย่อมต้องการคนช่วย หากคนเหล่านี้ช่วยเราแล้วกลับถูกพวกนอกด่านด้วยกันสังหารทิ้ง เช่นนี้วันหน้าจะมีผู้ใดกล้าภักดีแผ่นดินหมิง……”
หวังทงกล่าวเป็นฉากๆ ที่กล่าวมานั้นกับที่กล่าวส่วนตัววันนั้นกับหยางซือเฉินไม่ได้แตกต่าง ฮ่องเต้ว่านลี่ตั้งใจฟัง หวังทงกล่าวถึงสุดท้าย นอกจากเน้นย้ำถึงนอกด่านแล้ว ยังกล่าวว่า
“…….ทัพใหญ่เมืองเหลียวโจว ทหารกล้าไม่น้อยกว่าสองหมื่น ทหารสั่งการได้ก็ไม่ต่ำกว่าแสนห้า กลับปล่อยให้หัวหน้าชนเผ่าหนี่ว์เจินเป็นใหญ่ ปล่อยปละละเลย การทำเช่นนี้ เรียกว่าเลี้ยงโจรเพื่อตน……”
กล่าวจบ ทุกคนก็จ้องมองมา ในใจคิดว่าใต้เท้าหวังไม่ธรรมดา ใช้คำว่า เลี้ยงโจรเพื่อตน คำนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับขุนพลเมืองชายแดน
ในการประชุมขุนนางไม่ได้เสนอวิธีการจัดการอย่างเป็นรูปธรรม แต่พอจบการประชุมขุนนาง หวังทงก็ถูกฮ่องเต้ว่านลี่เรียกตัวไว้ ฮ่องเต้ว่านลี่รู้ว่าหวังทงไม่เคยปล่อยธนูออกไปโดยไร้เป้า ดังนั้นที่พูดในที่ประชุมขุนนางก็ย่อมมีเหตุผลของเขา และยังใช้เส้นทางยื่นฎีกาแบบนี้อีก น่าสนใจ
“หลี่เฉิงเหลียงมีใจคิดไม่ซื่ออย่างไร?”
“ทูลฝ่าบาท หลี่เฉิงเหลียงทั้งตระกูลนับว่าจงรักภักดีแผ่นดินหมิง”
ถามขึ้นตอบไป ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนงตรัสถามขึ้น
“ในเมื่อเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงทำเรื่องเช่นนี้?”
“ฝ่าบาท ตระกูลหลี่แม้จงรักภักดี แต่ตอนนี้จิตใจเพื่อราชสำนักกลับไม่สู้ใจที่คิดเพื่ออำนาจวาสนาตนเอง สนใจแต่ตนเองมากกว่า ราชสำนักหากยังปล่อยปละ เช่นเรื่องหัวหน้าเผ่าหนี่ว์เจินที่เจี้ยนโจว มีข่าวลือว่าตระกูลหลี่ให้ท้าย เป็นศัตรูที่จงใจปล่อยไว้ เรื่องเช่นนี้เป็นผลร้ายต่อแผ่นดินหมิง แต่สามารถรับประกันอำนาจวาสนาตระกูลหลี่ หากไม่กำราบเสียบ้าง ตระกูลหลี่ลืมตน ช้าเร็วก็ย่อมต้องเป็นภัยใหญ่”
หวังทงตอบแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่กลับเงียบไปครู่หนึ่ง หวังทงอาศัยตีเหล็กเมื่อร้อนสำทับต่อทันทีว่า
“ฝ่าบาทคงได้ทรงได้อ่านรายงานองครักษ์เสื้อแพรกับสำนักบูรพาแล้ว ตอนนี้ทางเมืองเหลียวโจว หรือแม้แต่ชนเผ่าอื่นนอกกำแพงเมือง มีผู้ใดรู้จักฝ่าบาท ใช่ว่ารู้จักแต่แม่ทัพหรือหรอกหรือ เมืองเหลียวโจวเป็นชายแดนแผ่นดินฝ่าบาท เป็นพื้นที่แผ่นดินหมิง ไม่ใช่พื้นที่ขอตระกูลหลี่ครอบครองส่วนตัวนะพะยะค่ะ!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ถือเรื่องพวกนี้มาก สีพระพักตร์แปรเปลี่ยน เงยพระพักตร์ตรัสว่า
“ควรต้องกำราบเสียบ้าง……”
ตรัสจบ นายบ่าวก็สนทนากันต่ออีกสองสามคำ หวังทงขอตัวทูลลา หวังทงออกจากห้องทรงอักษรไป ฮ่องเต้ว่านลี่นิ่งไปพักหนึ่งก็ทรงตรัสถามขึ้น
“หวังทงทำเรื่องเช่นนี้ เพื่อซุนโส่วเหลียนอะไรนั่นที่เมืองเหลียวโจวกระมัง?”
จางเฉิงด้านหลังฮ่องเต้ว่านลี่ทูลตอบว่า
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา น่าเป็นเช่นนั้น ก่อนเกิดเรื่อง ซุนโส่วเหลียนไปเยี่ยมคารวะหวังทง จากนั้นก็กลับไป เรื่องนี้เพิ่งเกิด น่าจะเป็นเช่นนี้”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มส่ายพระพักตร์ สุดท้ายทอดหายใจยาว ตรัสนิ่งเรียบว่า
“ซุนโส่วเหลียนผู้นี้ หลายปีก่อนเราเคยได้ยินชื่อ สินค้านอกด่าน ยังมีไม้ใหญ่นอกด่าน ล้วนเป็นคนผู้นี้จัดหามา ถึงกับเริ่มการค้าเมืองเหลียวโจวกับเทียนจิน ก็เป็นคนผู้นี้เริ่มคนแรก แม้ว่าเป็นขุนพลเมืองเหลียวโจว แต่ก็นับว่าเป็นเทพแห่งเงินทองเทียนจิน มิน่าหวังทงต้องลงแรงจัดการเมืองเหลียวโจว ก็ไม่รู้ว่าต้องการส่งเสริมซุนโส่วเหลียนอย่างไร?”
จางเฉิงครุ่นคิดก่อนจะทูลเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาท เมืองเหลียวโจวตระกูลหลี่อย่างไรก็ควรกำราบบ้าง ในมือเขาอย่างไรก็มีกำลังสองเมืองชายแดนเช่นเมืองเหลียวโจวกับเมืองเซวียนฝู่ หลี่เฉิงเหลียงผู้นี้ยังเก่งกล้า แม้ว่าไม่ได้คิดการไม่ซื่อ แต่สำหรับฝ่าบาทแล้วก็นับว่าเป็นภัยที่ซ่อนอยู่ไม่น้อยดังหางใหญ่ที่หนักแต่ไม่อาจสลัดทิ้งพะยะค่ะ!”
“ควรต้องกำราบ หวังทงกล่าวไม่ผิด หลี่เฉิงเหลียงทำตัวเป็นดังฮ่องเต้นอกด่าน บุตรชายคนโตได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่เมืองเซวียนฝู่ ยังคิดให้บุตรชายคนอื่นๆ ไปเป็นขุนนางตามเมืองต่างๆ อีกหรือ คิดว่าแผ่นดินหมิงควรมีตระกูลเขาเป็นขุนพลใหญ่คุมทั่วหรืออย่างไร ให้ในวังกับกรมทหารส่งคนไปตรวจสอบ”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสไม่พอพระทัย เดิมในพระทัยก็เริ่มวิเคราะห์เมืองชายแดนไว้คร่าวๆ แล้ว หวังทงครั้งนั้นหลังกล่าวถึงในที่ประชุมขุนนาง ในพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ก็กระจ่างยิ่ง หลายปีนี้ชายแดนใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินหมิงไปมากเพียงนั้น กลับเอาแต่หดหัวอยู่ในกำแพงเมือง ในสายพระเนตรฮ่องเต้ว่านลี่กลับเป็นพวกอ่อนแอในทันที หลี่เฉิงเหลียงหากยังคิดเล่นลูกไม้ในเรื่องนี้อีก พระองค์ย่อมไม่ทรงยินยอม
ฮ่องเต้ว่านลี่มีรับสั่งแล้ว จางเฉิงด้านหลังพยักหน้ารับพระบัญชาคว้าฎีกาเล่มหนึ่งขึ้นจดบันทึก จางเฉิงอายุนับวันยิ่งมาก หลายเรื่องต้องจดบันทึกสักหน่อย จะได้ไม่ลืม เป็นสัญญาณแสดงความชรา แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่ทันได้สนพระทัย ใกล้ปีใหม่แล้ว อย่างไรแต่ละหน่วยก็ต้องคิดเรื่องงบประมาณ ฎีกาน้อยลงไปมาก อ่านไปสองสามหน้า ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ๆ ตรัสว่า
“เมื่อก่อนหวังทงทำงาน เรามักจะคิดนั่นนี่ เป็นห่วงเป็นกังวล แต่ตอนนี้เขาคิดเพื่ออำนาจวาสนาตนเองแล้ว เราควรวางใจ แต่เราก็รู้สึกไม่สบายใจ!”
ตรัสได้สองสามประโยคก็ทรงยิ้มเยาะพระองค์เอง พลิกอ่านฎีกาไปมา จางเฉิงด้านหลังได้แต่ส่ายหน้า คิดอยากถอนหายใจแต่ไม่ได้ส่งเสียงออกมา
*************
เส้นทางการข่าวของตระกูลหลี่แห่งเมืองเหลียวโจวมากยิ่งกว่าที่หวังทงรู้ ราชสำนักวิพากษ์วิจารณ์กันวันเดียวก็ถูกคนเรียบเรียงเป็นเอกสารม้าเร็วส่งออกจากเมืองหลวงแล้ว
เมืองหลวงไปเมืองเหลียวโจว ผ่านเมืองซุ่นเทียน หย่งผิงและด่านซานไห่กวน เส้นทางปลอดโปร่ง หลังออกจากด่านซานไห่กวน ไม่สนใจกำลังม้าจะเหนื่อยตายก็เร่งความเร็วได้เร็วขึ้นอีก
ราววันที่ 29 เดือนสิบสอง หลี่เฉิงเหลียงก็ได้รับเอกสาร หลี่เฉิงเหลียงเคยเรียนหนังสือมา ตนเองย่อมอ่านหนังสือออก ใกล้ปีใหม่ หลี่หรูป๋อ หลี่หรูเหมยและบุตรชายคนอื่นๆ ล้วนอยู่เหลียวหยาง อย่างไรก็ต้องตามตัวมาหารือ
หลี่เฉิงเหลียงประจำที่เมืองเหลียวโจวมาเกือบ 30 ปี บุตรชายหลายคนล้วนเป็นขุนพลประจำแต่ละเขต อยู่ในสถานะสูงส่งมานาน ล้วนเข้าใจกระจ่างในหลายเรื่อง
“ซุนโส่วเหลียน เจ้าคนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ถึงกับไร้ยางอาย ท่านพ่อหรือว่าจับตัวมันว่าสมคบคิดกับพวกนอกด่าน ส่งคนไปตัดหัวทิ้งเลย!”
หลี่หรูป๋อด่าขึ้น แต่น้ำเสียงก็ปกติมาก คนที่เหลือไม่รับคำ พากันมองไปยังหลี่เฉิงเหลียง หลี่เฉิงเหลียงหมุนลูกเหล็กในมือไปมา ส่ายหน้ากล่าวว่า
“ซุนโส่วเหลียนมีสายสัมพันธ์หวังทงแล้ว ตอนนี้หากลงมือกับเขา หวังทงต้องไม่ยอมแน่ คนผู้นี้มีวิธีจัดการเช่นไรพวกเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ!”
“ราชสำนักก็เหลวไหล ตระกูลหลี่เราเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เขามันแค่ขุนนางคนสนิท ถึงกับก้าวมายืดได้ถึงขั้นนี้ ใช่ว่าทำให้ขุนนางทั้งหลายต้องเหน็บหนาวใจหรือ หากปล่อยเช่นนี้ไป ผู้ใดจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อตระกูลจู (ฮ่องเต้ว่านลี่แซ่จู) อีกเล่า!”
ไม่รู้เป็นผู้ใดกล่าวเช่นนี้ออกมา หลี่เฉิงเหลียงวางลูกเหล็กในมือลงบนโต๊ะ เริ่มมีแววกรุ่นโกรธ ตำหนิว่า
“คับแค้นก็คับแค้นไป สมองอย่าได้ทื่อ หวังทงรบทัพจับศึกมาเท่าไร หรือว่าพวกเจ้าไม่รู้ พวกนอกด่านบนทุ่งหญ้ากล่าวกันอย่างไร วาจาเหล่านั้น ห้าปีก่อนพูดได้ แต่ตอนนี้พูดออกมา หรือแม้แต่คิด ช้าเร็วย่อมทำให้ตระกูลหลี่ถึงคราวพินาศ!!”
ถูกตำหนิไปสองสามคำ ในห้องเงียบไปมาก ทุกคนเป็นทหาร ย่อมรู่วาความชอบหวังทงจริงหรือเท็จ และหลี่เฉิงเหลียงวาจานี้ก็ไม่ได้รอบคอบอันใด โดยเฉพาะที่ว่า ‘ห้าปีก่อน’ …
“เมืองหลวงจะส่งคนมาตรวจสอบแล้ว พวกเจ้ารีบกลับไปเตรียมการให้รอบคอบ อีกเรื่อง เจี้ยนโจวทางนั้นตัดสัมพันธ์ไปก่อน นี่เป็นเรื่องเล็ก แต่ก็อาจเป็นเหตุให้คนกุเป็นเรื่องใหญ่ได้”
ได้ยินเช่นนี้ หลี่หรูป๋อเงยหน้าขึ้น ลังเลถามขึ้นว่า
“ท่านพ่อ เจี้ยนโจวทางนั้นมอบของให้มากมาย หากลงมือกับพวกเขา เผ่าหนี่ว์เจินอื่นๆ เกรงว่าจะ……”
“พวกนั้นสักเท่าไรกัน เงินทองขี้ประติ๋วกับนางหญิงหยาบช้าคนหนึ่ง เจ้าก็สนใจด้วยหรือ หากราชสำนักบีบหนัก ต้องการปราบเจี้ยนโจวจริงๆ พวกเราก็ต้องจัดการ!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น