ลำนำบุปผาพิษ 923-930
บทที่ 923 ซ้ำนางยังเป็นระดูอยู่…
ความจริงแล้วสถานที่แห่งนี้ปิดผนึกไว้แล้วหนาแน่นยิ่ง คนนอกไม่อาจเข้ามาได้ คนที่ไม่มีเขานำทางก็ไม่อาจออกไปได้
ดังนั้นตี้ฝูอีจึงไม่หวั่นเกรงว่ายามนี้นางจะพบพานอัตรายใดๆ ยืดกายลุกขึ้นมา จับสัมผัสตำแหน่งที่ตั้งของนางเล็กน้อย จากนั้นก็เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
นางอยู่นอกสวน!
เขาจึงเดินออกไปดู พบว่านางนั่งอยู่บนม้านั่งหินตัวหนึ่งตรงปากทางเข้าสวน พิงผนังหลับอยู่ แพขนตายาวหลุบลง เกิดเงาโค้งมนรูปทรงดั่งใบพัดตรงด้านล่างดวงตานาง
ถึงอย่างไรนางก็เลยังเป็นเด็กน้อยอายุสิบห้าปีคนหนึ่ง งผล็อยหลับไปได้ง่ายนัก และช่วงเวลานี้ก็เป็นยามราตรีสมควรแก่เวลาพักผ่อนแล้ว ดังนั้นการที่นางง่วงจึงไม่อยู่เหนือความคาดหมายของเขา
ทำไมนางไม่ไปนอนที่เก้าอี้เอนหลังหยกอุ่นในสวนตัวนั้น?
ม้านั่งหินตัวนี้เย็นมาก
ซ้ำนางยังเป็นระดูอยู่…
เขาเข้าไปอุ้มนางขึ้นมา ประสาทสัมผัสนางยังคงตื่นตัวยิ่งนัก ลืมตาขึ้นมาทันที พอมองเห็นเขา สองแขนก็โอบขึ้นมา กอดคอเขาไว้แล้วเอ่ยพึมพำ “ท่านนั่งสมาธิเสร็จแล้วหรือ?”
ที่แท้นางกลับมาตั้งนานแล้ว ด้วยเกรงว่าจะรบกวนเขาที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ดังนั้นจึงไม่เข้าไป คอยอยู่ที่ปากทางเข้าสวนดอกไม้
ตี้ฝูอีใคร่ครวญแวบเดียวก็เดาความกังวลของนางได้ หัวใจพลันอุ่นวาบ อุ้มนางไปนอนบนเก้าอี้เอนหลังหยกอุ่น “นอนตรงนี้เถอะ”
ความง่วงของกู้ซีจิ่วหายไปแล้ว ลุกขึ้นนั่งแล้วมองเขา “สีหน้าของท่านดูดีขึ้นมากเลย” อันที่จริงก่อนหน้านี้สีหน้าของเขาค่อนข้างซีดเซียว
“ใช่แล้ว วังบาดาลหลังนี้ของท่านสร้างขึ้นหลายปีแล้วกระมัง? เหตุใดจึงไม่มีจารึกอักษรก่อนหน้านี้เลยล่ะ?” กู้ซีจิ่วฉงน จากที่เธอวนจนรอบเมื่อกี้ก็พอมองออกว่าที่นี่สร้างขึ้นนานหลายปีแล้ว
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว สถานที่ทุกแห่งที่ตี้ฝูอีอาศัยมิใช่แสดงถึงความสง่างามด้านลิปิศิลป์ของเขาหรอกหรือ?
“รอเจ้ามาจารึก” ตี้ฝูอียิ้มบางๆ
ที่นี่คือสถานที่ปลีกวิเวกเข้าฌานของเขา ไม่เคยมีคนนอกได้มาเยือน แม้แต่สี่ทูตสาวกของเขาก็ไม่รู้จักที่นี่ เขาย่อมไม่มีแก่ใจจะจารึกอักษรอันใดไว้ที่นี่
ชาวเงือกที่สร้างตำหนักแห่งนี้ขึ้นในปีนั้นล้วนขี้เถ้าปลิวหายควันมลายสิ้น[1]ไปหมดแล้ว กี้จิ่วเป็นคนที่สองในโลกนี้ที่ได้มาที่นี่ และจะไม่มีคนที่สามที่ได้ทราบถึงสถานที่แห่งนี้…
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสักพัก กู้ซีจิ่วมองนาฬิกาทรายตรงมุมห้องแบหนึ่ง ดูเหมือนจะเข้ายามเช้ามืดของวันที่สิบหกเดือนแปดแล้ว เธอมีคาบเรียนตอนเช้าอยู่…
เพียงแต่เธอไม่คิดจะเร่งรัดตี้ฝูอี จะออกจากที่นี่ก็ต้องใช้เขตแดนฟองอากาศเหมือนเดิม ซ้ำยังต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณของตี้ฝูอีด้วย ดังนั้นจะต้องให้เขาพักผ่อนดีๆ ถึงจะเดินทางได้
“ท่านอยากนั่งสมาธิพักผ่อนต่อไหม?” กู้ซีจิ่วแสดงความเห็น
ตี้ฝูอีส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าจะไปส่งเจ้ากลับก่อน”
เขาลุกขึ้น จูงเธอเดินออกประตู “ไปกันเถอะ”
จังหวะที่ก้าวพ้นประตูเขาเหลือบมองหมู่ดาวบนฟากฟ้าแวบหนึ่ง ณ ขอบฟ้าด้านทิศตะวันตกดาวน้อยดวงหนึ่งส่งแสงวิบวับราวกับถือกำเนิดใหม่ มีแสงทองจางๆ แวบอกมาบ้างเป็นครั้งคราว…
นัยน์ตาตี้ฝูอีส่องประกายแวบหนึ่ง พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
ดีมาก สิ่งที่ควรปรากฏในที่สุดก็ปรากฏออกมาแล้ว
….
วันเวลาล่วงเลยไป ว่องไวดั่งกระสวยทอผ้า
วันเวลาที่ต้องเล่าเรียนฝึกฝนอย่างคร่ำเคร่งผ่านไปรวดเร็วยิ่ง พริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไปปีครึ่งแล้ว
กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมามีเรื่องราวเกิดขึ้นไม้อย เรื่องใหญ่ที่สุดก็คืออาณาจักรเฟยซิงเปิดศึกกับอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยแล้ว
ในทวีปนี้สามอาณาจักรคานอำนาจกัน สถานการณ์ค่อนข้างคล้ายคลึงสามก๊กยิ่งนัก อาณาจักรเจาหยางแข็งแกร่งที่สุด อาณาจักรเฟยซิงและอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยรองลงมา อาณาจักรเฟยซิงและอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยต้องการต่อกรกับอาณาจักรเจาหยาง จึงจัดการอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ขึ้น ทั้งสามอาณาจักรถ่วงสมดุลกัน ผู้ใดก็โค่นผู้ใดไม่ได้ ผู้ใดก็ไม่กล้าโจมตีผู้ใด
แต่ในช่วงหนึ่งปีมานี้ทรัพยากรด้านการทหารของอาณาจักรเฟยซิงคงจะครบครัน ขุมกำลังของอาณาจักรแข็งแกร่งแล้ว ท่าทางเหมือนจะทัดเทียมกับอาณาจักรเจาหยางได้รางๆ แล้ว จึงไม่เห็นอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยอยู่ในสายตาอีกต่อไป
————————————————————————————-
บทที่ 924 กินยาผิดขนาน
สิบเดือนก่อนจักรพรรดิของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยยินยอมประทานธิดาให้แก่โอรสของจักรพรรดิซวนแห่งอาณาจักรเฟยซิง หมายจะการอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นอีกครั้ง ส่งคนมาทาบทาม
คนที่องค์หญิงจากอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยผู้นั้นพึงใจคือองค์รัชทายาทหรงเจียหลัว
คาดไม่ถึงว่าจักรพรรดิซวนจะปฏิเสธโดยตรงราวกับไปกินยาผิดขนานมา เอ่ยอะไรทำนองว่าสุนัขตัวเมียจะคู่ควรกับพยัคฆ์ได้อย่างไร สั่งการให้คนไล่ทูตส่งสารของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยกลับไป!
ในบรรดาสนมชายาของจักรพรรดิซวนเองก็มีพระสนมกุ้ยเฟยนางหนึ่งที่มาจากอาณาจักรเฮ่าเยวี่ย เป็นพระขนิษฐาจักรพรรดิองค์ปัจจุบันของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ย นิสัยเงียบขรึม เดิมทีไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวขัดแย้งภายนอก ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิซวนยิ่งนัก ทว่าไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ กุ้ยเฟยนางนี้ก็กลายเป็นดอกซิ่งแดงยื่นพ้นกำแพง[2] ลอบมีสัมพันธ์กับองครักษ์คนหนึ่งในวัง ถูกคนจับได้ นำไปกราบทูลต่อจักรพรรดิซวน
จักรพรรดิซวนกริ้วนัก!
นำตัวกุ้ยเฟยที่สวมหมวกเขียว[3]ให้เขานางนี้ไปประหารโดยแพรขาว[4]ทันที องครักษ์ผู้นั้นก็ถูกประหารด้วยการแล่เนื้อเถือหนัง เมื่อกุ้นเฟยนางนี้สิ้นชีพศพของนางก็ถูกใส่ไว้ในโลงบางๆ ใบหนึ่งแล้วส่งกลับอาณาจักรเฮ่าเยวี่ย ซ้ำยังส่งโลงศพสีโลหิตใบใหญ่กลับไปด้วย
โลงศพโลหิตใบใหญ่นี้คือโลงสาปแช่ง สาปแช่งให้บ้านของฝ่ายหญิงสิ้นลูกสิ้นหลานไร้ทายาทสืบสกุล
ได้รับความอัปยศอดสูจากอาณาจักรเฟยซิงติดต่อกันถึงสองครั้ง จักรพรรดิของอาณาจักรเฮาเยวี่ยสะกดกลั้นธารพิโรธไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ไม่สนใจคำทัดทานของขุนนางอำมาตย์ ฉีกสัญญาพันธมิตรระหว่างสองอาณาจักร ประกาศสงครามกับอาณาจักรเฟยซิง
เมื่อสงครามบังเกิด ทุกหนทุกแห่งย่อมเต็มไปด้วยซากศพ ไฟสงครามระหว่างสองอาณาจักรลุกโหม ประชาชนไม่อาจอยู่อย่างเป็นสุขได้
ส่วนอาณาจักรเจาหยาง ครานี้ได้นั่งบนภูดูเสือกัดกัน เป็นชาวประมงที่นั่งรอรับผลประโยชน์
อันที่จริงปกติแล้วสามอาณาจักรก็มีข้อพิพาทเล็กๆ น้อยๆ อยู่เป็นประจำ มีไฟสงครามคุโชนขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่เคยรบรากันหนักหนาถึงเพียงนี้มาก่อนเลย
สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ปลีกตัวจากโลกภายนอก แต่ไหนแต่ไรมาเคยเข้าร่วมสงครามระหว่างอาณาจักรเลย อย่าว่าแต่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ไม่เข้าร่วมเลย แม้แต่สามสำนักหลักก็ไม่เข้าร่วมเช่นกัน
ส่วนทูตสวรรค์ซ้ายขวาของอาณาจักรเฟยซิง รายนั้นยิ่งไม่ออกหน้า ทูตสวรรค์ฝ่ายขวายังดีหน่อย เขาเพียงทำพิธีทำนายให้แก่แม่ทัพนายกองที่จะออกศึกขงอาณาจักรตน ผลลัพธ์ก็มีดีมีร้ายปนๆ กันไป
ด้านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีเขาไม่โผล่หน้าออกมาเลย ร่ำลือกันว่ากักตนฝึกฝนอยู่ แม้แต่จักรพรรดิซวนก้หาตัวเขาไม่พบ
ฝ่ายอาณาจักรเฟยซิงผู้ที่นำทัพมิใช่ใครอื่น เป็นองค์รัชทายาทหรงเจียหลัวผู้หล่อเหลา องค์ชายแปดหรงเช่อและแม่ทัพใหญ่กู้เซี่ยเทียนผู้ทรงพลังเป็นทัพหน้าซ้ายขวา
ยามที่กู้ซีจิ่วได้ยินข่าวนี้ สามคนนี้ก็ยาตราสู่สนามรบแล้ว เป็นแนวหน้ากรำศึกที่ปะทุดุเดือด
ศิษย์ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มาจากทั่วสารทิศ ในนั้นก็มีคนของอาณาจักรเฟยซิงและอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยด้วย
ถึงแม้สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จะลอยตัวอยู่เหนือสถานการณ์ ระหว่างที่เข้าศึกษาไม่อนุญาตให้เข้าร่วมสงครามอาณาจักรใดๆ ทั้งสิ้น และไม่อนุญาตให้สอดมือเข้าแทรกแซงบุญคุณความแค้นระหว่างอาณาจักรต่างๆ ด้วย แต่ก็ยังเกิดการมองหน้ากินไม่ติดระหว่างศิษย์จากอาณาจักรทั้งสอง สหายที่เดิมทีสนิทชิดเชื้อกันก็เริ่มห่างเหิน…
อันที่จริงเชียนหลิงอวี่ปวดประสาทยิ่งนัก เขามาจากอาณาจักรเฮ่าเยวี่ย เชียนเยวี่ยหร่านท่านปู่น้อยของเขาคือเจ้าสำนักเก้าดารา และเป็นราชครูของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยด้วย ส่วนตระกูลเชียนคือตระกูลใหญ่ของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ย ในสงครามกับอาณาจักรเฟยซิงครั้งนี้ ก็มีคนของวงศ์ตระกูลเชียนเป็นนายพลอยู่ในทัพใหญ่ที่ออกศึกด้วย ซ้ำยังมียศไม่ต่ำเลย
ส่วนกู้ซีจิ่วมาจากอาณาจักรเฟยซิง กู้เซี่ยเทียนบิดาของนางยังเป็นหัวหอกทัพหน้าของอาณาจักรเฟยซิงด้วย…
กล่าวได้ว่า ยามนี้ไม่เพียงแต่อาณาจักรทั้งสองของพวกเขาที่เป็นศัตรูกัน แม้แต่ตระกูลทั้งสองก็เป็นศัตรูกันด้วย!
ยามที่เขาต้องฝึกฝนร่วมกับกู้ซีจิ่วอีกครั้ง ก็มีสหายร่วมชั้นบางคนมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ สหายร่วมสำนักหลายคนที่มาจากอาณาจักรเดียวกับเขาถึงขั้นใช้คำพูดมีนอกมีในเชือดเฉือนเขา
เมื่อเผชิญหน้ากับบุญคุณความแค้นของบ้านเมืองไม่ว่ามิตรภาพของคนผู้หนึ่งจะมั่นคงสักแค่ไหนก็ตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมอยู่บ้าง
นานวันเข้า เชียนหลิงอวี่ก็ไม่ค่อยมาฝึกยุทธ์ร่วมกับกู้ซีจิ่วแล้ว เขาไปเข้าร่วมกลุ่มของศิษย์คนอื่น
กลุ่มสามสหายที่เคยเหนียวแน่นในที่สุดก็แตกหัก ถูกบังคับให้จบลง
————————————————————————————-
[1] ขี้เถ้าปลิวหายควันมลายสิ้น หมายถึง หายไปหมดสิ้นไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่
[2] ดอกซิ่งแดงยื่นพ้นกำแพง สื่อความหมายได้สองแบบ ความหมายแรกคือหญิงสาวที่พยายามเสนอตัว ทอดสะพานให้เพศตรงข้ามสนใจตน ความหมายที่สองคือสตรีออกเรือนแล้วแต่ลอบคบชู้สู่ชาย
[3] สวมหมวกเขียว หมายถึง แอบเล่นชู้ เหมือนคำว่า ‘สวมเขา’ ของคนไทย
[4] แพรขาว ย่อมาจากคำว่า แพรขาวสามฉื่อ เป็นหนึ่งในโทษประหารของเหล่าสนมนางใน นับเป็นการประหารอย่างให้เกียรติ โดยมอบแพรขาวให้ผูกคอตาย
บทที่ 925 มันไม่ใช่กำไลที่เจ้านายรักที่สุดแล้ว…
กู้ซีจิ่วก็จนปัญญาเหมือนกัน เธอก็ไม่รู้ว่าจักรพรรดิซวนเป็นบ้าอะไรถึงจุดชนวนสงครามครั้งนี้ขึ้น เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าสงครามที่เกิดนี้ล้วนไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองอาณาจักร แต่จักรพรรดิซวนดั่งถูกภูตผีสิงร่างจู่ๆ ก็ก่อสงครามแสดงแสนยานุภาพขึ้นตามอำเภอใจ!
นี่ค่อนข้างคล้ายกับเล่าปี่ในยุคสามก๊กยิ่งนัก เพื่อล้างแค้นแทนพี่น้องตน ระดมพลทั้งแคว้นไปโจมตีแคว้นตงอู๋ ผลคือบอบช้ำทั้งสองฝ่าย เกือบทำให้โจโฉกลายเป็นชาวประมงที่ได้รับผลประโยชน์
เล่าปี่ดีร้ายอย่างไรก็ทำเพื่อล้างแค้นให้พี่น้อง แต่จักรพรรดิซวนทำเพื่ออะไรกัน?
ร่ำลือกันว่าพระธิดาของจักรพรรดิอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยผู้นั้นรูปโฉมค่อนข้างสู้หน้าผู้อื่นไม่ได้ ไม่คู่ควรกับหรงเจียหลัวจริงๆ แต่ดีชั่วอย่างไรเจ้าก็ปฏิเสธผู้อื่นให้นิ่มนวลหน่อยไม่ได้หรือ?!
ปฏิเสธการสมรสยังพอว่า แต่เจ้าทำลายชื่อเสียงของน้องสาวจักรพรรดิดินแดนอื่นยัดข้อหาว่าลอบมีสัมพันธ์กับองครักษ์ลงโทษประหารจากนั้นก็ทำโลงแดงส่งกลับไปจะเหยียดหยามผู้อื่นเกินไปหน่อยหรือเปล่า?!
ต่อให้เป็นตุ๊กตาดินปั้นก็ต้องร้องคำรามด้วยความพิโรธ ถึงแม้จักรพรรดิอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยจะเป็นฝ่ายเปิดศึกก่อน แต่ชนวนที่ก่อให้เกิดสงครามครั้งนี้กลับเป็นจักรพรรดิซวน…
ความจริงกู้ซีจิ่วเข้าใจเหตุผลของเชียนหลิงอวี่ดี ดังนั้นเธอจึงไม่ว่าอะไรที่เชียนหลิงอวี่แยกตัวไป
กลับเป็นหลานไว่หู สาวน้อยโกรธเคืองยิ่งนัก ประณามหยามเหยียดเชียนหลิงอวี่แยกตัวไปยิ่งนัก ทุกครั้งที่พบเห็นเชียนหลิงอวี่ล้วนร้องเหอะออกมาเพื่อหยามหยัน
กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาวรยุทธ์ของกู้ซีจิ่วยกระดับขึ้นอย่างว่องไวยิ่ง ตามถ้อยคำที่กู่ฉานโม่กล่าวไว้คือ ราวกับเธอกินผลท้อของเจ้าแม่หวังหมู่เข้าไป พลังยุทธ์เพิ่มพูนดั่งดอกงาแทงยอดสูง
ยามนี้บรรลุขั้นเจ็ดตอนกลางแล้ว!
ชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่งไม่จำต้องจับกลุ่มประลองยุทธ์ ตัวเธอเองก็เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ถึงแม้พลังยุทธ์จะด้วยกว่าเชียนหลิงอวี่เล็กน้อย แต่ด้านประสบการณ์ต่อสู้และทักษะการต่อสู้ในสถานการณ์จริง เชียนหลิงอวี่ห้าคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ…
เธอกลายเป็นตัวเด่นของชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่ง กู่ฉานโม่เริ่มใคร่ครวญเรื่องที่จะละเว้นกฎให้กู้ซีจิ่วข้ามระดับแล้ว
ถึงแม้นิสัยของกู้ซีจิ่วจะเย็นชาไปบ้าง แต่เธอก็มีสัจจะคุณธรรมต่อผู้อื่น กระทำการเฉียบขาดว่องไว อุปนิสัยซื่อตรง ในช่วงหนึ่งปีครึ่งมานี้ เธอได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเหล่าศิษย์ของที่นี่แล้ว มีสหายอยู่ทุกหนทุกแห่ง
เธอในตอนนี้เป็นหัวหน้าของชั้นเมฆาม่วงระดับต้นไปรางๆ แล้ว ร้องหนึ่งคำตอบกลับนับร้อย สถานการณ์ไม่ทุลักทุเลปานหนูเฒ่าข้ามถนนเหมือนตอนที่เธอเพิ่งเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แล้ว
ส่วนตี้ฝูอี หลังจากเขามาส่งเธอกลับสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ในวันนั้น ก็จากไปเลย
เหตุผลที่เขามอบให้กู้ซีจิ่วคือเขาจำเป็นต้องกักตน ระยะเวลาที่กำหนดไว้คือหนึ่งปี
และเขาก็ไม่เคยโผล่หน้าไปที่ไหนเลยตลอดหนึ่งปีจริงๆ กู้ซีจิ่วก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของเขาเลยเช่นกัน แม้แต่สงครามที่โลหิตหลั่งรินเป็นสายธารระหว่างอาณาจักรเฟยซิงและอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยก็ไม่อาจกระตุ้นเขาได้
กู้ซีจิ่วทราบว่าการกักตนของผู้ยิ่งใหญ่เช่นเขาเป็นการกักตนอย่างจริงจัง ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ ในโลก
แต่การที่ไม่ได้พบเห็นเขาไม่ได้ยินข่าวคราวของเขาเลยตลอดหนึ่งปีครึ่ง ทำให้เธอต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะฝันร้าย บางครั้งก็มองกำไลบนข้อมือตนหลับไม่ลง…
หากมิใช่เพราะกำไลวงนี้ไม่มีเคยมีปฏิกิริยาด้านลบอันใด เธอแทบจะนึกว่าตี้ฝูอีประสบอุบัติเหตุอะไรเข้าแล้ว…
ตี้ฝูอีเคยบอกเธอไว้ มีเพียงเจ้าของกำไลวงนี้ต้องบรรลุขั้นแปดขึ้นไปถึงจะสามารถรับรู้ตำแหน่งเจ้าของกำไลอีกวงได้ ก่อนถึงขั้นนั้นเธอจะสัมผัสได้เพียงว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หากว่าอีกฝ่ายเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ตกตายไป กำไลบนข้อมือเธอวงนี้ก็จะแตกสลายและหลุดร่วงทันที…
ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงใส่ใจกำไลวงนี้ที่อยู่บนข้อมือตนยิ่งนัก ยามฝึกฝนวรยุทธ์ก็เกรงว่าจะกระทบมันเสียหาย ยามต่อสู้กับผู้อื่นก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ใดฟันถูกกำไลของเธอเข้า
นี่ทำให้หยกนภาที่ฟื้นคืนสติแล้วรันทดหดหู่นัก มันรู้สึกว่ามันสูญเสียความโปรดปรานยามอยู่เบื้องหน้าเจ้านายไปแล้ว มันไม่ใช่กำไลที่เจ้านายรักที่สุดแล้ว…
————————————————————————————-
บทที่ 926 ต่างฝ่ายต่างมีความสุข ต่างฝ่ายต่างสงบสุข
ด้านหลงซือเย่ ตั้งแต่เขาทิ้งจดหมายไว้ให้กู้ฉานโม่ว่าจะจากไปก็ไม่กลับมาอีกเลย เล่ากันว่าเขารับศิษย์ใหม่มาคนหนึ่งนามว่าเย่หงเฟิง จึงรั้งอยู่บนเขาทุ่มเทจิตใจอบรมสั่งสอน ไม่ว่างไปสอนที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อีกต่อไป
ช่วงแรกที่กู้ซีจิ่วได้ยินข่าวนี้ ยังงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง
เธอไม่ได้ผิดหวัง เธอแค่ถึงไม่ถึงว่าจะเป็นเย่หงเฟิง…
เธอไม่รู้ว่าเย่หงเฟิงคนนี้ใช่เย่หงเฟิงคนนั้นไหม ดังนั้นจึงพยายามสอบถามข่าวอย่างสุดความสามารถ
เธอมีลู่ทางข่าวสารของธอเอง ต่อมาในที่สุดก็ได้ข่าวคราวที่ชัดเจน ว่ารูปโฉมของเย่หงเฟิงคนนั้นคล้ายคลึงกับกู้ซีจิ่วในยามนี้ถึงแปดส่วน ซ้ำยังบอกว่าคืนชีพมาจากโลงน้ำแข็ง…
ด้วยเหตุนี้ท้ายที่สุดกู้ซีจิ่วจึงกระจ่างแจ้ง
สุดท้ายหลงซือเย่ก็คืนชีพให้โฉมงานในโลงน้ำแข็ง ไม่จำเป็นต้องมีข้อกังขาเลย คนที่เขาคืนชีพให้คือเย่หงเฟิง วิญญาณที่เรียกกลับมาก็คือเย่หงเฟิง…
เธอรู้สึกว่าการเดินทางทะลุมิติของเธอค่อนข้างแปลกนัก มีคนทะลุมิติมามากถึงขนาดนี้!
ตัวเธอ หลงซี นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง ตอนนี้เพิ่มเย่หงเฟิงมาอีกคน นี่เป็นทางเชื่อมมิติที่ท่านพญายมเปิดขึ้นหรือไง?
เธอหยิบกระจกขึ้นมาส่องดูเงาตัวเองอย่างอดไม่ได้
รูปโฉมในยามนี้มีความคล้ายคลึงกับตัวเธอในชาติก่อนแปดส่วนจริงๆ โดยเฉพาะความเยือกเย็นเฉียบคมที่แฝงอยู่ในกระดูกภายในยิ่งเหมือนเต็มสิบส่วน
ไม่ว่าจะเป็นตัวเธอในชาติก่อนหรือตัวเธอในชาตินี้ล้วนเป็นสาวงามทั้งนั้น ผิวพรรณของตัวเธอในชาตินี้ขาวเนียนยิ่งนัก ดวงตากลมโตขนตายาวเป็นแพ ริมฝีปากก็เนียนนุ่มกว่าเมื่อก่อนมาก
สุภาษิตว่าไว้ จิตก่อนรลักษณ์ อันที่จริงต่อให้เป็นฝาแฝดกัน ทว่านิสัยไม่ได้คล้ายกันไปเสียทั้งหมด รูปโฉมก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน และคนที่คุ้นเคยกับพวกเธอจะสามารถแยกออกอย่างง่ายดาย
ยกตัวอย่างเช่นกี้จิ่วในชาติก่อนถึงแม้จะเป็นร่างโคลนนิ่งของเย่หงเฟิง รูปลักษณ์คล้ายกันเป็นที่สุด แต่นิสัยใจคอกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
เย่หงเฟิงเป็นคุณหนูไฮโซที่ถูกประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก นิสัยจองหองเอาแต่ใจใสซื่อ ทุกอากัปกริยาล้วนเป็นสาวน้อยไร้เดียงสา
ส่วนกู้ซีจิ่วเป็นนักฆ่าที่บุกน้ำลุยฟ้า เยือกเย็นเฉียบคม เด็ดเดี่ยวเฉียบขาด ซื่อตรงเปิดเผย ทุกอากัปกริยาเต็มไปด้วยเสน่ห์ลึกลับ กวาดสายตาเพียงแวบเดียว ก็สามารถทำให้ลูกน้อยตั้งแถวยืนตรงแน่วแบบทหารในกองทัพได้…
ดังนั้นยามที่เปลี่ยนถ่ายหัวใจ ต่อใหทั้งสองคนยืนด้วยกันก็จะถูกคนแยกออกได้ง่ายดายนัก
กู้ซีจิ่วเคยพบเย่หงเฟิงแล้ว แน่นอน ช่วงเวลาที่พบพานคุณหนูคนนี้ไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ ได้ยินหลงซีบอกว่าเป็นคู่หมั้นอะไรสักอย่าง ความจริงเรื่องร่างโคลนนิ่ง จากนั้นเธอก็สลบไป พอฟื้นขึ้นมาอีกีก็อยู่บนเตียงผ่าตัดแล้ว…
ดังนั้นความเข้าใจที่เธอมีต่อเย่หงเฟิงจึงไม่ล้ำลึกนัก ไม่รู้ว่านิสัยใจคอของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร
หลังจากเกิดใหม่ในชาตินี้ สิ่งที่เธอเกลียดก็คือความหลอกลวงของหลงซี สำหรับเย่หงเฟิงเธอไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่
ชาตินี้หลงซือเย่เพียงเอ่ยถึงเย่หงเฟิงบ้างเป็นบางครั้ง ไม่ได้พูดถึงมากมายอะไร ดังนั้นเธอจึงไม่รู้จักเย่หงเฟิงสักไหร่ และเธอก็ไม่คิดจะไปรู้จักให้มากมายนักด้วย…
ตอนนี้ได้ยินว่าหลงซือเย่ที่อยู่บนเขารับเย่หงเฟิงเป็นศิษย์ ทุ่มเทจิตใจอบรมสั่งสอน จิตใจเธอถึงขั้นเป็นสุขอยู่บ้างรางๆ ชาตนี้เธอไม่อาจมอบสิ่งใดให้หลงซือเย่ได้ หากว่าหลงซือเย่สามารถตาหานางในดวงใจคนอื่นได้ สามารถครองคู่โบยบินกับหญิงสาวคนอื่นได้ เธอจะมีความสุขมาก อย่างน้อยๆ ความรู้สึกผิดในใจก็ลดลงไปบ้าง
บางทีเป็นแบบนี้อาจดีที่สุดแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีความสุข ต่างฝ่ายต่างสงบสุข
แม้เธอจะไม่รักหลงซือเย่ แต่ยังเห็นเขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด สามารถพลีชีพเพื่อเขาได้ ดังนั้นเธอจึงหวังว่าหลงซือเย่จะสามารถก้ามข้ามอุปสรรคในใจไปได้ สักวันจะสามารถพบหน้าเธอแล้วยิ้มให้กันอย่างไร้ซึ่งบุญคุณความแค้นได้…
ในระยะหนึ่งปีครึ่งนี้ชั้นเมฆาม่วงระดับต้นของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มีศิษย์ใหม่เพิ่มขึ้นสามคน
ศิษย์สามคนนี้ทยอยเข้ามาไล่ๆ กัน ศิษย์คนแรกสุดนั้นเข้ามาเมื่อหนึ่งปีก่อน
————————————————————————————-
บทที่ 927 หล่นลงมาเจ็บหรือไม่
ศิษย์สามคนนี้ทยอยเข้ามาไล่ๆ กัน ศิษย์คนแรกสุดนั้นเข้ามาเมื่อหนึ่งปีก่อน เป็นเด็กหนุ่มแข็งแรงกำยำอายุสิบห้าปี นามว่าจินอวิ๋นเฮ่า พลังวิญญาณแรกเริ่มคือขั้นหกกับอีกหกส่วน ยามที่เข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์พลังวิญญาณธาตุทองของเขาบรรลุขั้นเจ็ดกับอีกสองส่วนแล้ว เป็นตัวตนที่ยอดเยี่ยมนัก
สองคนที่เหลือเป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง ล้วนอยู่ในช่วงอายุสิบห้าปีเช่นกัน
สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ชายมากหญิงน้อย ดังนั้นเด็กสาวทุกนางล้วนเป็นเป้าหมายที่ทุกคนต้องปกป้องตามสัญชาตญาณ แต่เด็กสาวที่เพิ่งมาถึงนางนี้กลับทำให้ผู้อื่นหมดความปรารถนาที่จะปกป้อง เนื่องจากนางมุทะลุนัก โผงผางยิ่ง หัวเราะฮ่าๆ หนึ่งครั้งสั่นสะเทือนไปไกลสิบลี้ ฝ่ามือเดียวก็ซัดให้คนล้มคว่ำได้อยู่บ่อยครั้ง เหมือนชายชาตรียิ่งกว่าชายชาตรีเสียอีก!
เด็กสาวนางนี้ฝึกฝนพังวิญญาณธาตุไฟ ยามที่เข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ระดับพลังคือขั้นหกกับแปดส่วน ชื่อของเด็กสาวนางนี้มีแตกต่างจากบุคลิกของนางอย่างยิ่ง…จางฉูฉู่ (ผู้อ่อนโยนแซ่จาง)
ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนที่เข้ามาเมื่อครึ่งปีก่อนนั้นโดดเด่นดึงดูดความสนใจของผู้คนที่สุด
เด็กหนุ่มคนนี้รูปลักษณ์หล่อเหลางดงามยิ่งนัก เครื่องหน้าสง่างามดั่งวาดแต้ม มีรูปลักษณ์งดงามชวนตะลึงที่สุดในบรรดาสามคนที่เข้ามาทีหลังนี้ ทุกอากัปกริยาสง่างามดั่งลำไผ่ ราวกับมีกลิ่นอายผู้สูงศักดิ์จางๆ แผ่ซ่านออกมาจากภายในกระดูก ยามที่ยิ้มน้อยๆ แวบหนึ่งสามารถทำให้ผู้อื่นสดชื่นรื่นรมย์ได้
ยามที่ผู้คนบรรยายถึงโฉมงามมักจะกล่าวอะไรทำนองว่าแย้มหนึ่งยิ้มล่มเมือง ยิ้มอีกคราล่มชาติ
และเด็กหนุ่มผู้นี้ก็เป็นประเภทนั้น ยามที่เขาผลิยิ้มน้อยๆ สามารถทำให้ชายชาตรีสูงเจ็ดฉื่อใจเต้นรัวอยู่ครึ่งค่อนวันได้!
รอบกายเขาเสมือนมีรัศมีอะไรอยู่ ต่อให้เป็นคนที่หยาบกระด้างสักเพียงใดเมื่อได้พบเขา ก็อยากเปลี่ยนเป็นสุภาพชนขึ้นมาบ้าง เลี่ยงไม่ให้ถูกบุคลิกอ่อนโยนสง่างามขับเน้นให้ดูเหมือนอาจมกองหนึ่ง…
เพียงแต่เด็กหนุ่มคนนี้ ยามที่เขาถูกอาจารย์พาเข้ามาในชั้นเรียน เหล่าศิษย์ล้วนผ่อนลมหายใจให้เบาลงตามสัญชาตญาณ ด้วยเกรงว่าถ้าหายใจแรงไปจะพัดเขาปลิวได้
คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ควรฝึกฝนวรยุทธ์ แต่ควรไปสอบเป็นจอหงวน เกรงว่าเขาจะรับการฝึกฝนนรกแตกอันใดของที่นี่ไม่ไหว ทำให้มือที่งดงามปานหยกมันแพะของเขาเสียดสีจนหยาบกร้านแข็งเป็นไต ทำให้ดวงหน้างามพิสุทธิ์ของเขาไม่หยาดเยิ้มดึงดูดใจถึงเพียงนั้นอีกต่อไป…
จางฉูฉู่เป็นตัวมุทะลุผู้หนึ่ง นางอาศัยว่าเข้ามาก่อนผู้อื่นครึ่งปี ถือว่าเป็นเจ้าถิ่นแล้ว ซ้ำยังเชี่ยวชาญการต่อยตีวิวาทเป็นพิเศษ ดังนั้นพอเด็กหนุ่มผู้นั้นเดินลงมาจากแท่นบรรยายก็ถูกนางขวางไว้ นางเข้าไปตบไหล่ผู้อื่นอย่างวางมาด “หนุ่มน้อย ร่างกายที่เล็กจ้อยเหมือนไก่อ่อนของเจ้า…”
นางไม่ได้กล่าวประโยคนี้จนจบ เนื่องจากเด็กหนุ่มผู้นั้นหมุนตัวออกด้านข้างทันที ข้อมือหมุนตวัด ไม่เพียงแต่หลบหลีกฝ่ามือของนางได้เท่านั้น ยังถือโอกาสยื่นมือผลักด้วย ด้วยเหตุนี้สหายร่วมชั้นจางฉูฉู่จึงกระเด็นออกไปแตะขอบฟ้าทันที…
จางฉูฉู่หล่นกระแทกโต๊ะสองตัวแล้วแล้วกระเด้งตัวขึ้นมา มองเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างประหลาดใจ ในที่สุดก็ทราบแล้วว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มิใช่ไก่อ่อน…
เด็กหนุ่มคนนั้นยิ้มบางๆ เอ่ยถามนางอย่างอ่อนโยน “เป็นเด็กสาวอย่าได้ขยับมือไม้วุ่นวาย หล่นลงมาเจ็บหรือไม่?”
จางฉูฉู่พูดไม่ออก
นางไม่ยอม! นางส่งสารท้าประลองกับเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างเป็นทางการ คิดจะต่อสู้อย่างสะท้านสะเทือนกับเด็กหนุ่มผู้นี้สักครา
เด็กหนุ่มกลับรับคำท้าอย่างชื่นมื่นยิ่ง ด้วยเหตุนี้เหล่าศิษย์ที่อยู่ในสนามฝึกยุทธ์จึงได้ชมลีลาการโยนฉากหนึ่ง…
จางฉูฉู่ถูกโยนออกไปด้วยท่าทางสารพัด เมื่อจางฉูฉู่ถูกโยนจนล้มลงเป็นรอบที่แปดสิบแปด ถูกโยนใบหน้าปูดช้ำแม้กระทั่งมารดาของนางมาก็คงจำไม่ได้ว่านางเป็นใคร ในที่สุดนางก็ยอมรับนับถืออย่างสมบูรณ์แล้ว!
เหล่าสหายร่วมชั้นที่อยู่ห้องเดียวกับเขาล้วนมองด้วยลูกตาที่หดเกร็ง!
เด็กหนุ่มคนนี้ดูเหมือนอ่อนแอจนผลักให้ล้มได้ง่ายๆ พลังวิญญาณของเขาก็ไม่สูง เพียงขั้นหกกับสองส่วนเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะเป็นม้ามืดที่มีความสามารถด้านการต่อสู้ พอฟัดพอเหวี่ยงกับกู้ซีจิ่วเลย!
เด็กหนุ่มผู้นี้มีนามที่งามสง่ายิ่งนัก…อิงเหยียนนั่ว (รักษาคำสัตย์)
เหล่าศิษย์ของชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่งล้วนเป็นวัยรุ่นเลือดร้อน เอะอะก็ชอบ…
————————————————————————————-
บทที่ 928 ยอมรับกู้ซีจิ่วเป็นลูกพี่
เอะอะก็ชอบใช้เรื่องการประลองเข้าว่า ใช้กำปั้นวัดลำดับ ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นอิงเหยียนนั่วสามารถต่อสู้ได้ขนาดนี้ ศิษย์ที่ชำนาญการต่อสู้เหล่านั้นรู้สึกว่าตนก็มีความสามารถหลายด้านจึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปท้าประลอง…
แน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่ละอายที่จะใช้การเวียนกันไปท้าสู้กับผู้อื่น ดังนั้นทุกวันจึงมีคนไปท้าประลองสองคน
ด้วยเหตุนี้บนสนามฝึกยุทธ์จึงมีการแสดงมวยปล้ำอยู่เสมอ…
หนึ่งเดือนผ่านไป ทุกคนล้วนถูกเขาจับทุ่มจนพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง!
ตอนนั้นกู้ซีจิ่วกลายเป็นลูกพี่ของชั้นเมฆาม่วงระดับต้นอย่างเป็นนัยๆ แล้ว หลังจากจากทั้งระดับชั้นไร้ผู้ที่ต่อกรได้แล้ว เหล่าสหายร่วมชั้นจึงคิดจะยุยงให้กู้ซีจิ่วสู้กับอิงเหยียนนั่วสักตั้งด้วย อยากเห็นว่าพยัคฆ์สองตัวประจันหน้ากันแล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไร
แรกเริ่มกู้ซีจิ่วไม่เห็นด้วย เธอไม่อยากรังแกเด็ก
ยามที่อิงเหยียนนั่วเข้าชั้นเรียนอายุได้สิบห้าปีพอดี บางทีร่างกายอาจพัฒนาช้า รูปร่างของเขาจึงไม่สูง ประมาณหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตรเท่านั้น
แต่ตอนนั้นกู้ซีจิ่วอายุสิบหกแล้ว สูงเกือบหนึ่งหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร เธอรู้สึกว่าต่อให้สู้กับเด็กน้อยคนนี้แล้วชนะก็เป็นชับชนะที่ไม่น่าภาคภูมิ แต่อิงเหยียนนั่วกลับส่งสารท้าประลองถึงเธอโดยตรง…
ซ้ำยังบอกทำนองว่าถ้าเขาแพ้จะยอมเป็นน้องชายของเธอ ถ้าหากเธอแพ้ก็ต้องนับถือเขาเป็นพี่ชาย…
สารท้ารบฉบับนั้นจองหองกวนประสาทยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วไม่อยากสู้ไม่ได้แปลว่าเธอกลัวที่จะสู้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงตอบรับคำท้า
การประลองกันต่อหน้าสารธารณชนของเธอกับอิงเยียนนั่วในวันทำให้ผู้คนใหญ่น้อยทั้งสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ตกตะลึง คนที่มาล้อมชมการประลองมุงกันแน่นขนัด
การต่อสู้รอบนั้นของกู้ซีจิ่วกับอิงเหยียนนั่วโดดเด่นตระการตา ทำให้ทุกคนที่ชมการประลองติดอกติดใจนัก และผลการแข่งขันก็เป็นไปตามที่ทุกคนคาดการณ์ไว้ อิงเหยียนนั่วพ่ายแพ้ภายในกระบวนท่าเดียว จึงยอมรับกู้ซีจิ่วเป็นลูกพี่
ยามนั้นกลุ่มสามสหายของกู้ซีจิ่วกับหลานไว่หูและเชียนหลิงอวี่แตกแล้ว เชียนหลิงอวี่เข้าร่วมกลุ่มของเล่อจื่อซิ่งฝาแฝดคู่นั้น ส่วนกู้ซีจิวจับกลุ่มใหม่กับหลานไว่หูและจางฉูฉู่
อิงเหยีนนั่วผู้นี้หลังจากยอมรับก้ซีจิ่วเป็นลูกพี่ ก็ขับจางฉูฉู่ออกไปทันที แล้วเข้าร่วมกลุ่มของกู้ซีจิ่วอย่างผ่าเผยเกรียงไกร
กับจับกลุ่มต่อสู้มุ่งเน้นไปที่การสอดประสานของสมาชิกสามคน ทุกครั้งที่เปลี่ยนสมาชิกคนหนึ่งล้วนต้องศึกษาค้นคว้ากำหนดกลยุทธ์ใหม่
ตอนที่จางฉูฉู่เพิ่งเข้าร่วมกลุ่ม แม่นางน้อยผู้นี้ไม่เข้าใจวิธีประสานกันเท่าไหร่ มักจะพลั้งมือทำร้ายจิ้งจอกน้อยระหว่างที่ร่วมกันต่อสู้อยู่บ่อยครั้ง ทำให้กู้ซีจิ่วค่อนข้างปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก ฝึกฝนร่วมกันกว่าสองเดือนถึงทำให้จางฉูฉู่เข้าที่เข้าทางได้ แต่ก็ยังพ่ายแพ้ในรอบที่ประลองกับกลุ่มของเล่อจื่อซิ่งอยู่ดี
เนื่องจากในกลุ่มของเล่อจื่อซิ่งมีเชียนหลิงอวี่ จิ้งจอกน้อยถูกสหายที่เคยร่วมมือกันมานับไม่ถ้วนซัดกระบวนท่าชุดใหญ่ใส่จนล้มคว่ำ นางเป็นทุกข์และขุ่นเคืองยิ่งนัก หลังจบเรื่องเชียนหลิงอวี่ส่งยารักษาอาการบาดเจ็บมาให้ แต่จิ้งจอกน้อยไม่รับน้ำใจไว้ แม้แต่คนของเขาก็โยนออกไปพร้อมกับยา
ด้วยเหตุนี้จิ้งจอกน้อยจึงเซื่องซึมไปพักหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมความชิงังเคืองแค้นของบ้านเมืองถึงส่งผลกระทบต่อมิตรภาพของพวกเขา…
จางฉูฉู่อ่อนด้านการร่วมมือต่อสู้มาตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นถึงแม้ภายหนังนางจะปรับตัได้แล้ว แต่พอต่อสู้อย่างจริงจังขึ้นมานางก็จะลืมตัว ลืมสอดประสานกับสหายร่วมกลุ่ม
ดังนั้นยามที่กู้ซีจิ่วจับกลุ่มประลองกับนาง ก็เริ่มแพ้บ้างชนะบ้าง ไม่ใช่ทีมสามสหายที่ได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่องอีก…
จางฉูฉู่ยินดียิ่งนักที่ได้จับกลุ่มกับกู้ซีจิ่ว ไม่อยากจากไป แต่อิงเหยียนนั่วผู้นั้นน่าชังนัก หลังจากเขายอมรับกู้ซีจิ่วเป็นลูกพี่ ก็ก่อกวนยั่วยุจางฉูฉู่ต่อหน้าสาธารณชน ขอเพียงจางฉูฉู่ไม่จากไปเขาก็จะมาท้านางประลองทุกวัน…
จางฉูฉู่กลัวเขาจับทุ่มจริงๆ จึงทำได้เพียงออกไป หลีกทางให้แก่เขา
ธาตุหลักของอิงเหยียนนั่วเป็นเช่นเดียวกับเชียนหลิงอวี่ ธาตุหลักคือพลังวิญญาณธาตุไฟ ถึงแม้พลังวิญญาณธาตุไฟของเขาจะไม่สูงเท่าเชียนหลิงอวี่ แต่เขาชำนาญการต่อสู้และชำนาญการประสานงานต่อสู้ยิ่งนัก พลังยุทธ์ห้าส่วนสามารถสำแดงอานุภาพออกมาสิบส่วนได้
————————————————————————————-
บทที่ 929 หิมะซานภาใส จันทร์ลอยเด่น
จิ้งจอกน้อยต้องการสหายร่วมกลุ่มที่สอดประสานกับนางได้เป็นอย่างยิ่ง และอิงเหยียนนั่วผู้นี้สำหรับนางแล้วถือเป็นสายฝนที่ตกลงมาทันท่วงที หลังจากเข้าร่วมกลุ่มของตนประสานงานกันเพียงเล็กน้อย ก็สามารถก้าวตามพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองทัน เมื่อทั้งสามคนสอดประสานกันแทบจะไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เลย สามารถต่อยตีจนกลุ่มอื่นหวาดหวั่นพรั่นพรึงได้…
กู้ซีจิ่วยินดีนัก ในที่สุดก็ไม่ต้องมองจิ้งจอกน้อยเป็นทุกข์เซื่องซึมอีกต่อไปแล้ว
….
หิมะเพิ่งตกอย่างหนัก
หิมะซานภาใส จันทร์ลอยเด่น
กู้ซีจิ่วผลักเบาๆ ให้ประตูบานใหญ่เปิดออก แล้วก้าวเท้าเข้าไปเรือน
ที่นี่คือสถานที่ที่ตี้ฝูอีเคยพักอาศัย หลังเขาจากไปที่นี่ก็ถูกปิดไว้ นอกจากกู้ซีจิ่วแล้วไม่มีบุคคลอื่นได้เข้ามา
ตี้ฝูอีนิสัยประหลาด สถานที่ของเขาไม่อนุญาตให้ผู้อื่นเข้าออกตามอำเภอใจ ดังนั้นหลังจากเขาจากไป กู่ฉานโม่จึงไม่ได้ส่งศิษย์มาปัดกวาดตามกิจวัตรประจำวัน
กลับเป็นกู้ซีจิ่วที่ส่วนใหญ่จะมาเดินเอ้อระเหยอยู่ที่นี่ทุกสองสามวัน
มาปัดกวาดเช็ดถูที่นี่ เก็บกวาดบ้านเรือน
สถานที่แห่งนี้เธอเคยใช้ร่างของตี้ฝูอีพักอยู่กว่าครึ่งเดือน และเป็นที่พักพิงทางความรู้สึกด้วย โดยเฉพาะเมื่อตี้ฝูอีจากไป เธอจะมาที่นี่ทุกครั้งที่คิดถึงเขา…
คืนนี้เธอนอนไม่ค่อยหลับอีกแล้ว จึงตรงมาที่นี่
จันทรานวลกระจ่างดั่งแผ่นจานแขวนลอยอยู่ตรงนั้น เป็นคืนจันทร์เพ็ญอีกคืนหนึ่ง แต่ที่นี่ยังคงว่างเปล่าเช่นที่ผ่านมา
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนคาคบไม้ใหญ่ต้นหนึ่งในลานเรือน มองกำไลบนข้อมือ จากนั้นก็มองจันทราบนฟากฟ้า “ตี้ฝูอี เจ้าบอกว่าเจ้าขอเวลาหนึ่งปี อีกหนึ่งปีให้หลังจะมาพบข้า แต่ตอนนี้ผ่านมาหนึ่งปีห้าเดือนแล้ว เจ้ายังคงไร้ซึ่งข่าวคราว เจ้าผิดผิดนัดแล้ว!”
ไม่มีใครเอ่ยตอบเธอ กำไลสีทองบนข้อมือวงนั้นส่องประกายล้อแสง ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เช่นกัน
เธอหัวเราะเบาๆ หยิบน้ำสุราขึ้นดื่มอึกหนึ่ง
สุราที่ดื่มอยู่ในปากนั้น ค่อนข้างขมเฝื่อนนิดๆ
หนึ่งปีกว่านี้เธอยุ่งยิ่งนัก ยุ่งกับการฝึกฝนยุ่งกับการเล่าเรียนยุ่งกับการฝึกฝนวิชาหลอมโอสถ ยุ่งกับการประดิษฐ์คิดค้น วุ่นวายหัวหมุนเหมือนลูกข่างทุกวัน
เธอเคยชินกับการเก็บความรู้สึกไว้ ดังนั้นคนนอกจึงมองไม่ออกว่าเธอมีอะไร และสิ่งที่ควรทำเธอก็ยังทำไปตามปกติ ทำตัวสดชื่นกระฉับกระเฉงทุกวัน ไม่มีใครรู้ว่าในใจเธอมีความคิดที่หนักหนาขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ เอ่อล้นกัดเซาะ…
มีเพียงยามราตรีที่ผู้คนหลับใหล เธอถึงอนุญาตให้ตัวเองปลดปล่อยออกมาเล็กน้อย มาคิดถึงเขาอยู่ที่นี่
เธอนั่งกอดเข่าครุ่นคิด ที่แท้รสชาติของความคิดถึงเป็นนี้นี่เอง เสมือนมีบางอย่างกัดแทะหัวใจ ฟุ้งซ่านเล็กน้อยในสมองก็เต็มไปด้วยเขา…
กู้ซีจิ่วเคาะกำไลบนข้อมือ “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ที่แท้เจ้าไปมุดอยู่ซอกหลืบรูไหนกัน? ดีชั่วอย่างไรก็ส่งข่าวมาบอกข้าบ้างสิว่ายังปลอดภัยดี! เจ้าเคยบอกว่ารอจนถึงตอนที่ข้าอายุสิบแปดจะมาสู่ขอข้า เจ้าคงไม่รอจนข้าอายุสิบแปดถึงค่อยมาพบข้ากระมัง?!”
กำไลย่อมไม่สามารถเอ่ยตอบเธอได้ เธอถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง ดื่มสุราเข้าไปอีกอึก
เป็นเพราเขาผิดนัด ครึ่งปีมานี้เธอจึงใช้สารพัดวิธีสืบถามข่าวคราวของเขา จนปัญญาที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้เป็นเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหางเหลือเกิน ไม่มีผู้ใดทราบร่องรอยของเขาเลย แม้แต่สี่ผู้คุ้มกันของเขาก็เหมือนจะหายตัวไปด้วย สาบสูญไร้ร่องรอย
อย่าว่าแต่หนึ่งปีครึ่งเลย สถิติที่ยาวนานที่สุดของเขาคือหายตัวไปห้าปี! ยามนั้นทุกคนล้วนนึกว่าทูตสวรรค์ฝฝ่ายซ้ายผู้นี้ประสบเคราะห์กรรมบางอย่างที่ไม่อาจเดาได้ไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าหี้ให้หลังเขาจะปรากฏตัวขึ้นอย่างลอยชาย…
ดังนั้นการหายตัวไปครั้งนี้ของเขา ไม่มีผู้ใดเก็บมาใส่ใจเลย หมดโลกนี้คงมีเพียงกู้ซีจิ่วที่ร้อนรนกับการหายไปครั้งนี้ของเขา…
————————————————————————————-
บทที่ 930 เจ้าได้ยินเรื่องราวมาไม่น้อยเลยจริงๆ
“ตี้ฝูอี พอเจ้าได้ใจสตรีก็หนีหน้า! หรือเจ้าจะเป็นอย่างที่อาจารย์ใหญ่กู่ว่าไว้ ชอบฉกชิงคนรักของผู้อื่น พอฉกชิงมาได้ไม่สดใหม่อีกแล้ว ก็ปล่อยมือ…ทำให้ข้าผู้เฒ่าต้องชอกช้ำระกำใจอยู่ที่นี่…”
สุราเข้าย้อมใจ เธอดื่มเข้าไปมากมายโดยไม่ทันรู้ตัว อดไม่ได้จึงเตะลำต้นไปทีหนึ่ง แรงเตะทำให้หิมะบนต้นไม้ร่วงกราวลงมา
ใต้ต้นไม้มีคนผู้หนึ่งจามขึ้นมา กู้ซีจิ่วมองลงไปแวบหนึ่ง เห็นว่าใต้ต้นไม้มีเด็กหนุ่มในชุดสีม่วงอ่อนผู้หนึ่งยืนอยู่ เด็กหนุ่มสง่างามดั่งต้นหยก กำลังเงยหน้ามองเธอ “มิน่าเล่าไปจนทั่วก็ยังหาเจ้าไม่พบ ที่แท้วิ่งมาดื่มสุราย้อมใจอยู่ที่นี่”
เป็นอิงเหยียนนั่ว สหายร่วมกลุ่มของเธอในระยะนี้
เขาเหินกายขึ้นมา มองไม่เห็นว่าท่าทางเป็นอย่างไร ก็ร่อนลงบนคาคบไม้ใกล้ตัวกู้ซีจิ่วแล้ว นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ
บนร่างของอิงเหยียนนั่วก็มีกลิ่นหอมติดกายเช่นกัน เป็นกลิ่นหอมเย็นๆ ที่อ่อนจาง สงบบริสุทธิ์ คล้ายกลิ่นหอมบนร่างตี้ฝูอียิ่งนัก แต่มีส่วนแตกต่างกันมาก ราวกับขาดเครื่องหอมชนิดหนึ่งไป กลิ่นหอมจึงเจือจางไปหน่อย ซ้ำยังมีกลิ่นไผ่สายหนึ่งเพิ่มเข้ามาด้วย
ทกครั้งที่กู้ซีจิ่วเข้าใกล้เขาจะรู้สึกสนิทสนมกับธรรมชาติมากเป็นพิเศษ อากาศสดชื่อกว่ายามปกติหลายเท่า
“ดึกดื่นค่อนคืนแล้วเจ้าตามหาข้าทำไม?” กู้ซีจิ่วอารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่อยากพูดกับเขาให้มากความ
อิงเหยียนนั่วใช้แขนข้างหนึ่งยันไว้บนขา ตอบอย่างตรงไปตรงมายิ่ง “อยากมาดื่มสุรากับเจ้า”
กู้ซีจิ่วในยามนี้ย่อมไม่ปฏิเสธการดื่มสุรา เธอโยนน้ำเต้าสุราให้เขาอย่างใจก้างยิ่ง “มา ดื่มนี่สิ ดีกรีแรงพอ!”
อิงเหยียนนั่วเปิดจุกน้ำเต้าออก เงยหน้าดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง ยกนิ้วชื่นชม “สุราดี!” จากนั้นก็เพ่งพิศเธอแวบหนึ่ง “เจ้าพกสุราติดตัวมากน้อยเพียงใด?”
“มากมาย เพียงพอจะกรอกเจ้าให้เมาหัวทิ่มได้สิบแปดรอบ!” กู้ซีจิ่วตบถุงเก็บของตนเล็กน้อย
เธอชอบสุรา ในถุงเก็บของใบนี้บรรจุสุราเลิศรสไว้ไม่น้อย ล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่เธอซื้อหามายามออกไปปฏิบัติภารกิจด้านนอก และส่วนมากเป็นสุราดีกรีสูง
คนทั้งสองนั่งอยู่บนคาคบไม้ดื่มสุราแบบเจ้าคำข้าคำ
“ลูกพี่กู้ เจ้ามีเรื่องในใจใช่ไหม?” ดวงเนตรของอิงเหยียนนั่วดังระลอกคลื่น มองดูเธอ
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วพลางเอ่ยตอบ “ข้าจะมีเรื่องในใจอันใดได้?”
อิงเหยียนนั่วยิ้มแวบหนึ่ง “เห็นข้าวของแล้วคะนึงถึงตัวคนหรือ?” เขากวาดตามองรอบเรือนนี้แวบหนึ่ง “ได้ยินว่าเจ้าสนิทสนมกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอย่างยิ่ง…นี่เป็นเรือนของเขากระมัง? ท่านมาดื่มสุราที่นี่น่าจะเป็นเพราะคิดถึงเขา…”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน ดื่มสุราเข้าไปอึกหนึ่ง ค่อยเอ่ยว่า “เจ้าได้ยินเรื่องราวมาไม่น้อยเลยจริงๆ!”
จากนั้นก็ดื่มสุราอีกอึก “เจ้าช่างชอบเรื่องซุบซิบเหลือเกิน เพียงแต่ตรรกะของเจ้าไม่ถูกต้อง หากยึดตามตรรกะของเจ้า ข้ามาดื่มสุราที่เรือนนี้คือคิดถึงเขา เช่นนั้นหากข้าไปดื่มสุราริมทะเลมิใช่คิดถึงกุ้งหอยปูปลานในทะเลหรอกหรือ?”
อิงเหยียนนั่วนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ถามยิ้มๆ “แล้วคิดถึงเขาจริงไหมล่ะ?”
ในใจกู้ซีจิ่วเกิดโทสะ “เหลวไหล! ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว ข้ามาดื่มสุราที่นี่เพราะว่าที่นี่เงียบสงบ ไม่มีคนมารบกวน นึกไม่ถึงว่าเด็กน้อยอย่างเจ้าจะตามมาถึงที่นี่ได้ สถานที่แห่งนี้ไม่อนุญาตให้คนนอกล่วงล้ำเข้ามา หากอาจารย์ใหญ่กู่ทราบว่าเจ้าเข้ามา เขาต้องลงโทษให้เจ้าคุกเข่าบนกระดานตะปูเป็นแน่!”
“ไม่กลัวหรอก หัวเข่าข้าด้านพอ ไม่กลัวการคุกเข่าเช่นนั้น” อิงเหยียนนั่วไม่แยแส ตบน้ำเต้าสุรานิดๆ “หนนี้ข้ามาเพื่อสละชีพร่วมกับสุภาพชน พรุ่งนี้ไม่มีเรียน วันนี้พวกเราก็ร่ำสุรากันอย่างไม่เมาไม่หยุดเถิด”
“ได้ ไม่เมาไม่หยุด!” กู้ซีจิ่วโยนน้ำเต้าสุราที่กลวงเปล่าลงพื้นเสียงดังตุบ คราวนี้เธอสิ่งที่เธอหยิบออกมาคือไหใหญ่ใบหนึ่ง…
วันมะรืนพวกเขาต้องออกไปทำภารกิจ ดังนั้นกู่ฉานโม่จึงให้พวกเขาหยุดเรียนหนึ่งวัน ต่อให้คืนนี้กู้ซีจิ่วดื่มจนกลายเป็นผีเมามาย ก็ไม่ทำให้เรื่องราวอันใดในวันพรุ่งล่าช้า
————————————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น