ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 922-924
บทที่ 922 พลังมหาศาล
Ink Stone_Fantasy
เจ็ดวันปริศนาทำให้การประมูลราคาเป็นการประมูลที่ดุเดือดมากที่สุด เพราะคนที่มาเข้าร่วมงานประมูลส่วนมากมาจากครอบครัวที่มีอันจะกิน มีแม้กระทั่งครอบครัวเศรษฐี ไม่ว่าจะมาเพราะเป็นการแสดงหรือว่ามาเพราะอยากช่วยผู้ด้อยโอกาสจริงๆ แต่พอพวกเขามาแล้วก็จะไม่ตระหนี่เรื่องเงิน
พวกเศรษฐีต่างก็ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะประมูลได้ของรักอะไรในงานประมูลแบบนี้ แต่ตอนนี้พวกเขาต้องประหลาดใจกับความเป็นจริงตรงหน้า ไข่มุกดำเจ็ดเม็ดนามว่าเจ็ดวันปริศนานี้ ไข่มุกกลมเนื้อราวกับหยก สีหมดจดงดงาม ทั้งหกเม็ดมีขนาดเฉลี่ยที่พอๆ กัน นับว่าหาได้ยากยิ่งในอุตสาหกรรมสินค้าฟุ่มเฟือยที่นิวฟันด์แลนด์
ดังนั้น พวกเศรษฐีต่างก็ยกมือเสนอราคากันอย่างต่อเนื่อง ราคาของเจ็ดวันปริศนาเพิ่มขึ้นจาก 100,000 เป็น 150,000 สุดท้ายราคาที่ประมูลได้คือ 185,000 ดอลลาร์แคนาดา!
หลังจากที่ประมูลราคากันเป็นที่เรียบร้อย ฉินสือโอวได้รับเชิญให้ขึ้นเวทีกล่าวอะไรสักเล็กน้อย ซึ่งทำเอาฉินสือโอวไปไม่ถูก คนเราไม่ควรอวดดีมากเกินไปจริงๆ เขาก็แค่แสร้งอวดเก่ง เขาคงอวดมากไปหน่อย
เขาไม่ได้กลัวที่จะพูด แต่ตอนนี้เขาไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิด พอขึ้นเวทีสายตานับร้อยก็จับจ้องมาที่เขา ซึ่งทำให้เขาวางตัวไม่ถูก
เมื่อก่อนถ้าเขาต้องขึ้นกล่าวอะไรก็จะมีวินนี่คอยช่วยร่างบทให้ เขาแค่ท่องเอาก็ได้แล้ว แต่ครั้งนี้เขาคงต้องพึ่งไหวพริบตัวเองเสียแล้ว
ยังดีว่าการกล่าวอะไรแบบนี้ของคนแคนาดาเรียบง่ายและกระชับ ฉินสือโอวจึงเริ่มจากแนะนำตัวเอง บอกว่าฉินหงเต๋อเป็นคุณปู่ของเขา เขามีส่วนร่วมในงานประมูลครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงต้องการแสดงแค่จิตใจที่มีเมตตา แต่ยังเป็นการสืบทอดงานการกุศลแบบนี้ต่อไปอีกด้วย
พูดไปได้สิบกว่าประโยค ฉินสือโอวก็เอาคำพูดที่ว่า ‘เมื่อแห่งหนใดเกิดภัย ที่ต่างๆ จะร่วมใจช่วยเหลือกันไม่จากหาย ธรรมชาติแม้แสนจะโหดร้าย แต่มนุษย์เราไซร้มีน้ำใจต่อกัน’ มาปิดท้าย คำพูดนี้เป็นเอกลักษณ์ของประเทศจีน ทุกครั้งที่เกิดภัยธรรมชาติก็จะมีประโยคนี้ทุกครั้ง ฉินสือโอวแปลออกมา ก็นับว่าได้ผลไม่เลว
หลังจากจบงานประมูล ฉินสือโอวสะพายเป้แล้วออกจากโบสถ์ไปกับชาร์คและคนอื่นๆ ข้างนอกมีคนตะโกนอย่างประหลาดใจว่า “ดูสิ หิมะหยุดตกแล้ว ฟ้าสว่างแล้ว!”
ฉินสือโอวรีบเดินออกไปดู เป็นเช่นนั้นจริงๆ หิมะที่ตกหนักต่อเนื่องมาหลายวันในที่สุดก็หยุดตกแล้ว เมฆดำมลายหายไป แสงอาทิตย์ที่ประกายระยิบระยับส่องสว่างลงมา พระอาทิตย์ที่หายไปนานนับก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ผู้มีความศรัทธาหลายคนวาดเครื่องหมายกางเขนลงตรงหน้าอก พวกนักบวชนำผู้ศรัทธาบางคนสวดบทคลาสสิกของคัมภีร์ไบเบิล ที่หน้าประตูโบสถ์ บรรยากาศของความศักดิ์สิทธิ์เหลือล้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ฉินสือโอวก็อดไม่ได้ที่จะวาดไม้กางเขนบนหน้าอกของตัวเองเช่นกัน และขอให้หิมะตกน้อยลงสักหน่อย
นั่งเรือข้ามฟากกลับไปที่เมืองเล็ก ฉินสือโอวเดินอย่างว่องไวบนหิมะ จึงเกิดเป็นเสียง ‘ซวบซาบ’ ขึ้นมา คนอื่นๆ ที่เดินตามหลังเขาต่างพากันงงงวยว่าเขาจะรีบไปไหน
หลังจากที่จะแยกย้ายกัน ฉินสือโอวจึงอธิบายว่าอยู่ดีๆ ก็รู้สึกคิดถึงวินนี่มาก พวกชาวประมงต่างผิวปากแซวกันใหญ่ บอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดีจริงๆ
ฉินสือโอวยกนิ้วกลางให้พวกเขา แน่นอนว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดี แต่ครั้งนี้ที่รีบกลับบ้านก็เพราะอยากจะดูดซึมพลังงานที่อยู่ในรูปปั้น
หลังจากที่ผ่านพ้นช่วงที่หิมะตกหนักไปแล้ว เมืองแฟร์เวลก็ราวกับเป็นโลกในเทพนิยายที่เต็มไปด้วยหิมะ อาคารสไตล์ยุคกลางเหล่านั้นถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ และทั้งเมืองก็กลายเป็นโลกสีขาวโพลน
แต่ทว่า สีขาวแบบนี้ถ้าดูผิวเผินก็สวยสดงดงามอยู่ และถ้ามองเพ่งตลอดเป็นระยะเวลานานก็ทรมานสายตาไม่น้อย
ตอนนี้ทุกที่บนเกาะเต็มไปด้วยกองหิมะ ถนนทุกสายถูกปิดกั้น รถขับไปต่อไม่ได้ คนกลุ่มหนึ่งจึงทำได้เพียงต้องเดินกลับบ้าน
หลังจากหิมะหยุดตก ไม่เพียงแต่ทำให้การจราจรไม่สะดวก แต่คลื่นสัญญาณมือถือก็ไม่ดี ยังดีว่าในเมืองนี้ตอนนี้มีวิทยุส่งสารที่ใช้งานได้ ต่อให้จะมีผลต่อคลื่นบ้าง แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรในการสื่อสารโดยรวม
ฉินสือโอวให้ทริกเกอร์ที่อยู่ที่ฟาร์มปลาขับรถลากเลื่อนหิมะมารับเขา รถลากเลื่อนหิมะแบบพ่นไอสามารถนั่งได้สองคน
แต่ปรากฏว่ารถที่มาไม่ใช่รถลากเลื่อนหิมะแบบพ่นไอ แต่กลับเป็นเชอร์ลี่ย์ขี่ปอหลัว ลากรถลากเลื่อนหิมะวิ่งมาทางนี้แทน
เชอร์ลี่ย์สวมชุดยีนทั้งชุด ผมสีบลอนด์ถูกมัดเป็นเปียเล็กๆ สวมหมวกผ้ายีนอยู่บนหัว ใบหน้าจิ้มลิ้มเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใส ราวกับเห็นกวางที่วิ่งออกมาจากทุ่งดอกไม้ เปล่งประกายพลังอ่อนเยาว์ไปทั่วร่าง
หิมะที่กองอยู่สูงไม่น้อย พอปอหลัวก้าวออกไปหิมะก็คลุมถึงเข่า ดังนั้นจึงได้แต่วิ่งก้าวสั้นๆ แต่ว่ามันแข็งแรงมาก ดังนั้นหิมะที่กองอยู่จึงทำได้แค่ทำให้มันช้าลงแต่ไม่สามารถทำให้มันหยุดวิ่งได้
รถลากเลื่อนหิมะมาพร้อมเสียงลูกกระดิ่งดัง ‘กริ๊งๆ’ เลื่อนมาหยุดอยู่หน้าฉินสือโอว เชอร์ลี่ย์ที่ยืนอยู่บนรถลากเลื่อนหิมะใช้มือถอดหมวดออกมา ยิ้มแล้วมองไปที่ฉินสือโอว “คุณผู้ชาย อยากนั่งรถไหมคะ?”
ในเวลานี้ดวงอาทิตย์หลุดพ้นจากเงามืดของเมฆเผยให้เห็นแสงเจิดจ้า เส้นผมของเชอร์ลีย์เปล่งประกายยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ ส่วนรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอยังสดใสยิ่งกว่าผมสีบลอนด์และแสงอาทิตย์มาอยู่รวมกันเสียอีก
ฉินสือโอวยิ้มแล้วขึ้นไปนั่งบนรถ เหมาเหว่ยหลงก็อยากจะขึ้นไปนั่งด้วยเช่นกัน ปรากฏว่าพอปอหลัวถีบเท้าตัวเองออกไป หิมะที่กองอยู่ก็แตกกระจายไปทั่ว
เหมาเหว่ยหลงรีบก้าวไปข้างหลังเพื่อหลบหิมะ หลังจากนั้นเสียงกระดิ่งกริ๊งๆ ก็ดังขึ้นมา ปอหลัวเริ่มลากรถลากเลื่อนหิมะวิ่งไปข้างหน้า
พอเป็นเช่นนี้ เหมาเหว่ยหลงที่อยู่ด้านหลังก็ตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ “ปอหลัว นี่มันทำเกินไปแล้ว!”
ปอหลัวขยับขายาวใหญ่ของมันไปอย่างว่องไว วิ่งไปบนหิมะอย่างมีความสุข
สัตว์ป่าตัวอื่นค่อนข้างจะทนทุกข์ทรมานในสภาพอากาศแบบนี้ พวกมันลงเขามาหาอาหาร แต่พอหิมะกองสูงมากไป พวกมันก็ขยับไปไหนไม่ได้
ระหว่างทางที่กลับไปฟาร์มปลา ฉินสือโอวมักจะเห็นสัตว์จำนวนหนึ่งขยับตัวอย่างช้าๆ อยู่ในกองหิมะ
บางครั้งปอหลัวไปผิดทาง จึงทำให้พวกนกป่าที่อยู่ใต้หิมะกระพือปีกบินออกมาด้วยความตกใจ ตอนที่หิมะตก อุณหภูมิในกองหิมะจะสูงกว่าด้านนอก ดังนั้นพวกกระต่าย ไก่ป่า และสัตว์ปีกจะหลบอยู่ในนั้น เพราะไม่เพียงแต่ซ่อนตัวจากความหนาวเหน็บแต่ยังสามารถหลบจากศัตรูที่จะมาจับพวกมันกินได้ด้วย
เมื่ออยู่ไม่ไกลจากฟาร์มปลา เงาของบุชและนิมิตส์ก็ปรากฏให้เห็นอยู่บนท้องฟ้า พวกมันเห็นรถลากเลื่อนหิมะตั้งนานแล้ว พวกมันกระพือปีกโบยบินอยู่บนท้องฟ้า ฉินสือโอวผิวปากไปหนึ่งที เจ้าสองตัวก็แผ่ปีกสยายกว้างบินลงมา เก็บปีกแล้วเกาะอยู่บนไหล่เขาข้างละตัว
พอกลับไปถึงวิลล่า ฉินสือโอวไม่ได้เข้าไปในบ้าน แต่เดินตรงไปที่ริมทะเลทันที
คลื่นลมทะเลพัดอย่างช้าๆ อากาศหลังจากหิมะตกจะสดชื่นเป็นพิเศษ ฉินสือโอวยืนอยู่ริมชายหาดสูดลมหายใจเข้าลึก ลมหายใจเย็นยะเยือกผ่านเข้าไปทางจมูกของเขาลงไปสู่ปอด ให้ความรู้สึกหอมหวานอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อไม่เห็นใครอยู่รอบๆ ฉินสือโอวก็เปิดกระเป๋าออก หยิบเอารูปปั้นออกมา คุกเข่าอยู่ริมชายหาดแล้วปล่อยรูปปั้นให้สัมผัสกับน้ำทะเล
น้ำทะเลเย็นยะเยือก แต่ฉินสือโอวกลับไม่ได้รู้สึกทรมาน ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้มันเป็นของจริง เขารับรู้ถึงอุณหภูมิของความเย็น แต่ปฏิกิริยาโต้ตอบของร่างกายเขากลับรู้สึกเหมือนแช่ในน้ำอุ่นอย่างไรอย่างนั้น
ตอนนี้ระดับที่เขาสามารถทนต่อน้ำทะเลได้มันสูงขึ้นมากๆ
รูปปั้นอยู่ในน้ำ พลังโพไซดอนที่เต็มเปี่ยมแทรกซึมสู่ร่างกายเขาราวกับสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ฉินสือโอวผ่อนลมหายใจ เส้นประสาทในร่างกายของเขาก็ผ่อนคลายตาม ทำให้กล้ามเนื้อของเขาทุกส่วนรู้สึกได้ถึงความสบาย จิตใจปลอดโปร่ง
ตอนที่เขาลืมตาขึ้นมา รูปปั้นที่อยู่ในน้ำก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทขึ้นมา เขาปล่อยมือสองมือของเขา ทันใดนั้นรูปปั้นก็แตกกระจายเปลี่ยนเป็นผงไม้อยู่กองหนึ่ง พอคลื่นซัดเข้ามาผงไม้ที่อยู่ตรงนั้นก็มลายหายไปกับน้ำทะเล
ไร้ร่องรอยใดๆ!
ฉินสือโอวโบกมือปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนของตัวเองออกมา ครั้งนี้พลังโพไซดอนที่เขาซึมซับมีมากกว่าเมื่อก่อน แต่ผลกระทบที่มีต่อจิตสำนึกแห่งโพไซดอนมันยังไม่แน่ชัดนัก แต่ตอนนี้ที่เขารับรู้ได้ก่อนเลยคือ เดิมที่เขามีจิตสำนึกแห่งโพไซดอนอยู่สอง แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสี่แล้ว!
ตอนนี้เขาสามารถแบ่งจิตสำนึกออกเป็นสี่ดวงในเวลาเดียวกัน ติดตามอยู่บนปลาสี่ตัว ราวกับว่ามีร่างสี่ร่างที่สามารถแยกออกจากกันได้ ช่างน่าลึกลับจริงๆ
ที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าคือ ตอนที่จิตสำนึกเขาอยากก่อคลื่นขึ้นมา เขาไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์โกรธ เพียงแค่มีความคิด คลื่นลูกยักษ์ก็ปรากฏขึ้นมาในทันที
คลื่นที่ไม่เคยสูงขนาดนี้มาก่อน จิตสำนึกแห่งโพไซดอนวิ่งไปถึงใต้ท้องทะเล ก่อตัวเป็นคลื่นที่สูงกว่า10 เมตรเต็ม คลื่นลูกยักษ์คำรามซัดโครมลงบนผิวน้ำทะเล พลังมหาศาล!
บทที่ 923 คราเคนได้รับบาดเจ็บแล้ว
Ink Stone_Fantasy
เมื่อก่อนเวลาฉินสือโอวคิดจะก่อคลื่นในทะเลนั้นยากเย็นแสนเข็ญ คลื่นใหญ่แค่ไหนก็สูงได้เพียงแค่ 4-5 เมตรเท่านั้น แต่ทว่าตอนนี้ เขาสามารถเสกคลื่นมหึมาที่น่ากลัวที่มีความสูงถึง 14-15 เมตรได้อย่างสบาย!
คลื่นระดับแบบนี้ เมื่อรวมตัวกันเป็นคลื่นใหญ่ถาโถม สามารถทำลายเรือรบอเนกประสงค์หนึ่งลำให้แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรือชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ได้แข็งแรงอะไร สามารถถูกทำลายหรือจมดิ่งได้อย่างง่ายดาย
การพัฒนาของหัวใจโพไซดอนมีความสมเหตุสมผล เมื่อก่อนหากจะก่อคลื่น ฉินสือโอวต้องรู้สึกโมโห ยิ่งโมโหมากคลื่นก็ยิ่งลูกใหญ่ตาม ซึ่งนี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าของใช้ความสามารถอย่างผิดๆ ในครั้งแรก
ต้องมีความโกรธเท่านั้นถึงจะก่อให้เกิดคลื่นได้ เป็นการจำกัดความสามารถในการใช้
แต่ตอนนี้ฉินสือโอวสามารถก่อคลื่นได้โดยไม่ต้องมีอารมณ์โกรธอีกต่อไป มันเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึกมากกว่า เขาตอนนี้สามารถควบคุมการไหลเวียนของน้ำทะเลได้ในขอบเขตเล็กๆ บางทีหัวใจโพไซดอนอาจจะคิดว่า หลังจากผ่านการทดสอบที่ผ่านมา เจ้าของไม่ต้องจัดการกับน้ำทะเลด้วยอารมณ์สุดโต่งแล้ว
ควบคุมคลื่นบนผิวน้ำทะเลได้สักพัก พอฉินสือโอวรู้สึกว่าเขาเข้าใจความสามารถนี้แล้วเขาก็หยุด แล้วกลับไปที่วิลล่าพูดเล่นกับทุกคนอย่างมีความสุข
เขากลับมาได้ไม่นาน คุณลุงฮิคสันก็ใช้วิทยุสื่อสารส่งข้อความถึงเขา บอกว่าอากาศปลอดโปร่งแล้วหลังจากที่หิมะหยุดตก เขาจึงวางแผนจะมาสวนองุ่นเพื่อเก็บองุ่นไปหมักเหล้าจำนวนหนึ่ง
ฉินสือโอวบอกว่าไม่ต้องรีบหรอก เพราะตอนนี้ถนนหนทางยังเต็มไปด้วยกองหิมะ ต่อให้ล้อรถยนต์จะใส่ตัวโซ่กันลื่นก็ยังขับแบบปกติไม่ได้
คุณลุงฮิคสันพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “การทำไอซ์ไวน์ ไม่กลัวว่าอุณหภูมิจะต่ำ แต่กลัวว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้นมา นายดูตอนนี้สิ ตอนที่น้ำแข็งละลายจะทำให้อุณหภูมิต่ำลง แต่พอละลายหมด พระอาทิตย์ส่องแสงมา อุณหภูมิก็จะเปลี่ยนเป็นสูงขึ้น ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จะทำลายน้ำตาลกลูโคส จึงต้องเด็ดองุ่นไปเก็บไว้ก่อนที่หิมะจะละลายหมดก่อนเท่านั้น”
ฉินสือโอวพอจะเข้าใจ จึงบอกให้เขามาวันพรุ่งนี้ เขาจะหาคนช่วยเตรียมไว้
ที่บ้านเมื่อมีโรงเก็บน้ำแข็งก็จะสะดวกสบายหน่อย ตอนกินข้าวเย็นฉินสือโอวจึงบอกกับทุกคนว่า พรุ่งนี้จะเก็บองุ่นที่ยังห้อยอยู่บนกิ่งมาเก็บไว้ในโรงเก็บน้ำแข็ง เพราะถ้ายังทิ้งไว้แบบนั้นอาจจะเสียได้
หลังจากทานข้าวเย็น จังหวะเดียวกับที่ฉินสือโอวคิดจะมาดูโทรทัศน์ ก็มีโทรศัพท์เข้ามาพอดี พอเขาเห็นเบอร์ก็รู้สึกแปลกใจ เป็นเบอร์บริการจากอเมริกัน เอ็กซ์เพรส
พอรับโทรศัพท์ เสียงของเจนนิเฟอร์ที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น “คุณฉินคะ สวัสดีตอนเย็นค่ะ หวังว่าจะไม่ได้รบกวนคุณนะคะ คุณสะดวกที่จะคุยไหมคะ?”
ฉินสือโอวตอบว่า “ผมสะดวกมากครับ สวัสดี เจนนี่ ดึกขนาดนี้แล้วคุณยังทำงานอยู่อีกเหรอ?”
เจนนิเฟอร์ยิ้มแล้วตอบว่า “นี่เป็นงานของพวกเราค่ะ ทีมของเราจะต้องมีคนคอยเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง คืออย่างนี้นะคะคุณฉิน จะมีการจัดการประชุมประจำปีของบริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ในอีก 15 วันข้างหน้า เลยไม่ทราบว่าคุณพอจะมีเวลามาร่วมประชุมไหมคะ?”
ฉินสือโอวเพิ่งเข้าร่วมงานประมูล เขาไม่ได้สนใจที่จะออกไปที่โน่นที่นี่เพื่อออกสังคมสักเท่าไร เจนนิเฟอร์ย้ำเตือนด้วยความหวังดีว่า “ครั้งนี้คุณจะมีเพื่อนสนิทหลายท่านที่เข้าร่วมประชุมประจำปีของพวกเรา รวมไปถึงคุณเบลค คุณแบรนดอน คุณพ่อของคุณสเตราส์ และผู้กำกับคาเมรอน นอกจากนี้แล้ว ครั้งนี้คุณก็จะได้รู้จักเพื่อนใหม่อีกหลายท่านด้วยนะคะ”
“รวมถึงคุณด้วยไหมครับ?” ฉินสือโอวถามพร้อมเสียงหัวเราะ
เจนนิเฟอร์ก็หัวเราะขึ้นมา แล้วพูดอย่างร่าเริงว่า “ถ้าฉันโชคดี ฉันก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เจอคุณค่ะ”
ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉินสือโอวจึงตัดสินใจไปงานประชุมประจำปีครั้งนี้ เพราะสามารถขยายวงสังคมได้และก็ไปทำความรู้จักกับเจนนิเฟอร์สักหน่อย ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นแค่พนักงานบริการลูกค้า แต่ปีครึ่งมานี้การบริการของเธอก็ดูแลเขาได้ดีเป็นพิเศษ
ท้ายสุด ประโยคสุดท้ายของเจนนิเฟอร์ทำให้เขาร้อนใจ “จุดสำคัญของงานประชุมประจำปีจะอยู่ที่งานเลี้ยงในยามค่ำคืน ซึ่งคุณต้องพาสาวมาเป็นคู่ควงในงานด้วยหนึ่งท่านค่ะ”
ฉินสือโอวรีบพูดตอบว่า “ไปคนเดียวไม่ได้เหรอ? ภรรยาของผมกำลังท้อง เธอคงไม่สะดวกที่จะไปเข้าร่วมงานประชุมนี้”
เจนนิเฟอร์หัวเราะ “ไม่เป็นไรค่ะ คุณฉิน ถ้าคุณไม่มีคู่ควงที่เหมาะสม ถ้าเช่นนั้นสามารถบอกทางเราได้ว่าคุณชอบดาราสาวหรือนางแบบท่านไหน พวกเราสามารถเชิญให้คุณได้ ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
ฉินสือโอวถือบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสระดับ LV2 มาโดยตลอด เป็นลูกค้าวีไอพีของบริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ผู้คนที่ไปเข้าร่วมจึงเป็นระดับที่ค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นพวกดาราสาวจึงชอบงานสังคมแบบนี้มาก
เมื่อตอนที่เขามาถึงแคนาดาแรกๆ ถ้าเขาสามารถรู้จักดาราสาวได้สักหน่อย โดยเฉพาะดาราฮอลลีวูดแล้วล่ะก็ ถ้าแบบนั้นเขาคงตื่นเต้นน่าดู
แต่ตอนนี้ไม่มีประโยชน์ เขาเคยแม้กระทั่งกินข้าวกับเจ้าชายเฮนรีมาแล้ว เจอกับดาราตอนนี้ก็ไม่มีความหมายอะไร
ฉินสือโอวจึงบอกว่าเดี๋ยวเขาคิดหาวิธีเอง บริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรสไม่ต้องกังวลไป หลังจากนั้นเจนนิเฟอร์ก็ทิ้งที่อยู่ที่จัดงานประชุมประจำปีให้กับเขา รีสอร์ทควอเลีย ที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟในออสเตรเลีย!
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ฉินสือโอวคิดว่าวินนี่ไม่สะดวกที่จะไป ไกลเกินไปที่จะบินจากทางเหนือสุดของซีกโลกเหนือไปยังซีกโลกใต้ สภาพอากาศก็แตกต่างกันมาก ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับสตรีมีครรภ์
ยามค่ำคืน ฉินสือโอวพาจิตสำนึกแห่งโพไซดอนดำดิ่งลงไปในทะเล ตอนนี้เขาสามารถสัมผัสกับความรู้สึกของการมองดูฉากทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลายในมหาสมุทรในเวลาเดียวกันได้แล้ว
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสี่แบ่งออกเป็นสี่เส้นทาง เส้นทางที่หนึ่งไปหาหอยเป๋าฮื้อบริติชลายสลับสี แล้วนำพลังโพไซดอนจำนวนมากถ่ายทอดเข้าไปให้กับพวกมัน
หอยเป๋าฮื้อบริติชลายสลับสีกำลัง เผชิญกับวิกฤตการอยู่รอด เหตุผลหลักๆ คือ พวกมันมีความต้องการต่อสภาพแวดล้อมเพื่อการอยู่รอดสูง ต่อให้ฟาร์มปลาของฉินสือโอวแทบจะไม่มีมลพิษใดๆ แต่ด้วยค่า PH และอุณหภูมิก็ส่งผลทำให้ความสามารถในการอยู่รอดของมันไม่สูงมากนัก
แต่ครั้งนี้ฉินสือโอวถ่ายพลังโพไซดอนให้ สภาพของพวกหอยเป๋าฮื้อจึงดีขึ้นอย่างทันตาเห็น พลังนี้ยอดเยี่ยมกว่ากัญชาเสียอีก หลังจากที่พวกหอยเป๋าฮื้อดูดซึมเข้าไปก็เข้าสู่สภาวะเลือดสูบฉีดเต็มเปี่ยม ขยับออกจากก้อนหินที่ติดอยู่ ค่อยๆ คืบคลานไปหาของกิน
จำนวนของหอยเป๋าฮื้อบริติชลายสลับสีมีน้อยไปหน่อย มีแค่สิบกว่าตัวเท่านั้น ทุกตัวล้วนเป็นทรัพยากรอันล้ำค่ามาก ฉินสือโอวถ่ายพลังโพไซดอนให้มันทีละตัว แถมยังหางูทะเลมาหนึ่งตัวเพื่อที่จะไว้ปกป้องบริเวณรอบข้าง
พวกงูทะเลก็อยู่กันอย่างทรมานในหน้าหนาวเช่นกัน อุณหภูมิในน้ำทะเลต่ำเกินไป พวกมันจึงมีพลังงานที่ต่ำเหมือนกัน
ฉินสือโอวถ่ายพลังโพไซดอนให้กับพวกงูทะเล ตอนนี้แม้แต่คุณภาพของพลังโพไซดอนของเขาก็ดูเหมือนว่าจะพัฒนาขึ้น เพราะหลังจากที่ดูดซึมไปความเร็วในการแหวกว่ายของงูทะเลก็ดูเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย แววตาก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนอีกเส้นทางหนึ่งก็ไปหาคราเคน ช่วงนี้คราเคนไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ละวันก็หาของกินในทะเลไป
ฉินสือโอวโยนมันออกนอกอาณาเขตของฟาร์มปลาไป ไอ้นี่มันกินเก่งเกินไป แล้วยังกินอาหารประเภทที่ใกล้สูญพันธุ์แล้วด้วย ฉินสือโอวไม่อยากเห็นภาพที่วันไหนปลาทูน่าครีบน้ำเงินต้องไปตกอยู่ในท้องมัน
คราเคนค่อยๆ คืบคลานอยู่ใต้ท้องทะเล หนวดใหญ่ทั้งสิบของมัน โอ้ ไม่ถูกสิ ทำไมถึงมีแค่เก้าหนวด? หมึกยักษ์ปกติต้องมีสิบหนวดสิ!
ฉินสือโอวตกใจมาก เขาตรวจดูอย่างละเอียด ไม่ผิดจริงๆ มันมีแค่เก้าหนวด หนวดของหมึกยักษ์ที่อยู่ด้านหน้าสุด หนึ่งในสองหนวดที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุด ตอนนี้หายไปแล้ว!
อะไรที่มาทำร้ายหมึกยักษ์จอมพลังนี้ได้กันนะ? ความสงสัยนี้เกิดขึ้นในใจของฉินสือโอว
หมึกยักษ์ไม่มีศัตรูบนบก จริงๆ แล้วศัตรูก็มีน้อยมาก วาฬหัวทุยหนึ่งล่ะ วาฬเพชฌฆาตอีกหนึ่ง แต่ในฟาร์มปลาไม่มีวาฬพวกนี้นี่ ถ้าอย่างนั้นจะมีอะไรได้อีก?
ฉินสือโอวนึกถึงสัตว์ที่มีขนาดพอๆ กับหมึกยักษ์ หมึกมหึมาซึ่งเป็นจอมพลังอีกตัวใต้ทะเล
แต่เขาคิดไม่ออกว่าอะไรที่สามารถทำร้ายคราเคนที่มีความแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ ปกติกำลังในการต่อสู้ของหมึกยักษ์นับว่าสุดยอดไร้เทียมทาน แล้วยิ่งได้พลังโพไซดอนเข้าไปอีก แต่ตอนนี้อาจจะพูดได้ว่าสถานการณ์เจ้านี่มันเปลี่ยนไปแล้ว ฉินสือโอวนึกว่ามันอยู่ใต้ท้องทะเลแบบนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วนี่
บทที่ 924 ติดอาวุธให้กับคราเคน
Ink Stone_Fantasy
ฉินสือโอวรู้สึกกังวลเมื่อเห็นว่าหนวดข้างหนึ่งของคราเคนถูกใครเอาไป
ถึงแม้ว่าหมึกยักษ์จะสามารถสร้างหนวดใหม่มาทดแทนได้ แต่นักรบหมายเลขหนึ่งภายใต้คำสั่งของเขาถูกตัดหนวดออกไปโดยไม่คาดคิดมาก่อนเช่นนี้ สิ่งนี้ทำให้เขาเจ็บปวดใจเหลือเกิน!
ช่วงระหว่างการงอกใหม่ของหนวดที่ถูกตัดขาดของหมึกยักษ์ พลังงานในร่างกายของพวกมันจะถูกป้อนไปยังเซลล์ของหนวดเพื่อแบ่งตัวและเติบโต ซึ่งช่วงนี้พวกมันจะไม่เติบโต พลังของพวกมันก็จะอ่อนแอมาก
ฉินสือโอวรีบถ่ายพลังโพไซดอนให้กับคราเคน ถ่ายพลังไปก็ตำหนิตัวเองไปที่ช่วงนี้ละเลยในการดูแลจัดการฟาร์มปลา ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ดีแน่ ภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่มากเกินไป คราเคนหนวดยังหายไปแค่หนึ่งหนวด แต่ถ้าเป็นฝูงปลามาเจอเข้าจะต้องตายหมดแน่ๆ
ขณะที่คราเคนดูดซึมพลังงานโพไซดอนอยู่ หนวดทั้งเก้าของมันก็ขยับขึ้นมาพร้อมกัน ตอนนี้ฉินสือโอวสัมผัสได้ถึงจิตใต้สำนึกของมัน แต่ว่าระดับปัญญาของเจ้านี่ไม่สูงมาก จึงรู้แค่ว่าตอนนี้มันมีรูสึกสบายและรู้สึกดี
เมื่อเข้าไปใกล้ ฉินสือโอวยิ่งปวดใจมากกว่าเดิม คราเคนไม่ได้เสียแค่หนวดไป มันยังมีแผลบนร่างกายอยู่เยอะมาก ราวกับว่าถูกโยนเข้าไปในเครื่องบดเนื้อ ร่างกายขนาดยักษ์มีบาดแผลเต็มไปหมด แผลเหวอะที่ใหญ่ที่สุดคือตรงส่วนคอของมันที่ถูกกัดจนเนื้อหายไปก้อนหนึ่ง!
พลังงานโพไซดอนมีผลอย่างมากต่อการส่งเสริมการเติบโตของคราเคน กล้ามเนื้อรอบๆ บาดแผลบิดตัวขึ้นมา เซลล์แบ่งตัวและเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาป้อนพลังเสร็จเมื่อไร พวกบาดแผลเล็กๆ ก็จะฟื้นตัวดีขึ้น
แต่ส่วนของหนวดที่หายไปยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่าบาดแผลสาหัสฟื้นตัวไม่ง่าย
ฉินสือโอวปลอบเจ้าคราเคน ไม่ต้องร้อนใจที่จะแก้แค้น แม่งเอ๊ย ตีหมายังต้องดูเจ้าของ นี่ใครช่างกล้านัก กล้าลงมือกับคราเคนของเขา? ดี เขาจะติดอาวุธให้กับคราเคน!
ใช่ จริงๆ แล้วเขามีความคิดนี้มานานแล้ว
เดิมทีก่อนที่คิดจะทำเรือผี เขาก็วางแผนไว้ว่าจะทำให้คราเคนดูน่าเกรงขามด้วยการติดอาวุธให้กับคราเคน เพราะภายหลังถ้ามีใครกล้ามาขโมยปลาของเขา ก็จะได้ทำให้เรือของพวกมันแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปเลย!
ต่อมาเขาคิดว่าความคิดนี้อาจจะมากเกินไปหน่อย เพราะขโมยที่มาขโมยปลาเขาก็อาจจะประสบปัญหาชีวิตที่ยากลำบากอยู่ คราเคนเวลาลงมือจะไม่มีการยั้งมือ ตอนที่ทำลายเรือประมงอาจจะทำร้ายคนด้วย ซึ่งมันไม่ใช่จุดประสงค์ที่เขาต้องการเลย
หลังจากที่กุเรื่องเรือผีฟลาวเวอร์ฟอกซ์ได้สำเร็จ เขาก็หยุดแผนที่จะติดอาวุธให้กับคราเคนไว้ก่อน เพราะไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น ยังไงคราเคนก็เป็นนักหาอาหารตัวยงใต้ท้องทะเล ไม่จำเป็นต้องติดอาวุธก็สามารถกวาดของที่อยู่ในท้องทะเลของมหาสมุทรแอตแลนติกได้เรียบเช่นกัน
แต่ตอนนี้ดูๆ แล้ว เขาคงประเมินวีรบุรุษในปฐพีนี้ต่ำเกินไป
พอปลอบคราเคนเสร็จ ฉินสือโอวก็ลองสำรวจน่านน้ำบริเวณนั้นดูอีกรอบ หลังจากที่ซึมซับพลังจากรูปปั้น หัวใจโพไซดอนก็ได้รับการวิวัฒนาการเชิงคุณภาพ จิตสำนึกแห่งโพไซดอนไม่เพียงแต่เพิ่มจำนวนขึ้น พลังก็แข็งแกร่งมากขึ้นด้วย
ตอนนี้ความเร็วของในการเคลื่อนไหวของจิตสำนึกแห่งโพไซดอน ยังเร็วกว่ารถแข่งเบนซ์ F1 เสียอีก ซึ่งสิ่งนี้มีประโยชน์อย่างมากต่อฉินสือโอว เพราะความรวดเร็วในการสำรวจของที่อยู่ในน่านน้ำทะเลทั้งหมดจะเพิ่มขึ้น
เนื่องด้วยการมองสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในน้ำทะเลต้องอาศัยจิตสำนึกไม่ใช่ดวงตา ดังนั้นต่อให้การเคลื่อนไหวจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่สมองของฉินสือโอวก็ยังจัดการสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
ฉินสือโอวค้นหาเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรในน่านน้ำทะเลเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง แต่ไม่พบสิ่งใดที่สามารถคุกคามการดำรงอยู่ของเจ้าคราเคนได้ แต่เขากลับเห็นเรือจมอยู่ลำหนึ่งในที่ไม่ห่างไกลไปมากนัก
เขาเอาคราเคนกลับมาที่ฟาร์มปลาก่อน ให้มันกับเฮยป้าหวังที่นำฝูงฉลามขาวช่วยกันรับมือ หากภายหลังเกิดอะไรขึ้นก็จะร่วมมือกันต่อสู้ได้ แล้วหลังจากนั้นก็ไปตรงตำแหน่งของเรือที่จมอยู่ทันที
นี่คือเรือติดอาวุธเก่า ด้านข้างเรือมีช่องสำหรับใส่ปืนใหญ่อยู่ เมื่อฉินสือโอวเข้าไปก็เห็นท่อขึ้นสนิมขนาดใหญ่หลายสิบอัน แน่นอนว่านี่คงเป็นท่อสำหรับใส่ดินระเบิดในสมัยก่อน
เรือจมลำนี้มีของอยู่เยอะมาก แค่ลังที่แตกหักก็มีมากกว่าร้อยอัน แต่เนื่องด้วยเวลาล่วงเลยไปนานแล้ว ความสามารถในการกัดกร่อนของน้ำทะเลจึงทำลายของที่อยู่ข้างในจนหมด ทำให้มองไม่ออกแล้วว่าเมื่อก่อนในลังนี้เคยบรรจุอะไรไว้
ฉินสือโอวว่ายรอบเรือจมลำนี้รอบหนึ่ง พบพวกโครงกระดูกจำนวนหนึ่ง และเจอพวกเหรียญเงินเหรียญทองในห้องกัปตันด้วย
เงินทองพวกนี้ก็โดนสนิมกินกัดกร่อนไปมาก ระดับการถลุงทองคำในสมัยยุคกลางเป็นแบบทั่วไป พวกเงินทองไม่ได้ทำจากเงินหรือทองเพียวๆ ข้างในมีพวกทองแดง เหล็กและดีบุกมากกว่า
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนขยับเหรียญเงินเหรียญทองพวกนี้ ฉินสือโอวมองดูแล้ว ส่วนมากไม่ได้มีมูลค่าอะไร เพราะโดนกัดกร่อนจนไม่เห็นร่องรอยหลงเหลือ
แต่ในห้องกัปตันยังมีมีดอยู่เล่มหนึ่ง ฉินสือโอวหยิบมันขึ้นมา มีดนี้ถูกปิดผนึกด้วยฝักที่ทำจากวัสดุพิเศษ มีความยาวประมาณ 1.2 เมตร รูปแบบเรียบง่ายและด้ามจับก็เป็นสนิมหมด โชคดีที่ฝักถูกปิดผนึกไว้จึงยังคงรูปลักษณะเดิมไว้ได้
ดังนั้น เขาจึงเอาดาบนี้ออกจากเรือจมลำนั้น เขาเจอเข้ากับปลากระโทงร่มตัวหนึ่ง เขาเอามีดเสียบเข้าไปในปากปลา ให้มันทำหน้าที่ขนส่งไปส่งให้ถึงฟาร์มปลา
พอทำเรื่องนี้เสร็จ ฉินสือโอวก็เก็บจิตสำนึกแห่งโพไซดอนแล้วหลับไป
ในช่วงฤดูหนาวเป็นช่วงที่มีงานให้ทำมากมาย พอกินข้าวเช้าเสร็จฉินสือโอวก็เริ่มคิดว่าจะติดอาวุธให้กับคราเคนอย่างไร
แผนของเขาก็คือคิดจะทำของที่คล้ายกับกระบองหนามหรืออาวุธอย่างเช่นคทาสักสิบอัน เพราะอย่างไรก็ตามพละกำลังของสัตว์ประหลาดในทะเลมีมาก ปกติเวลาไม่มีอะไรก็จะยกเรือเล่น คาดว่าคงเล่นจนเกิดเป็นกล้ามเนื้อขึ้นมาแล้ว
ฉินสือโอวร่างในกระดาษคร่าวๆ กระบองหนามนี้จะมีแค่ส่วนที่ไว้ต่อสู้ น้ำหนักแต่ละอันก็ร้อยกว่ากิโล ทำจากโลหะผสม เพียงแค่ฟาดไปหนึ่งทีก็สามารถทำให้ฉลามแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้
คิดจะจัดการกับพวกปลาเหล่านี้ ก็มีแต่ต้องใช้กำลังรุนแรงแบบนี้ เพราะถ้าจะให้ใช้มีดที่พวกทหารใช้ มีดใบตาย หรือพวกไม้สามง่ามก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะพอแทงเข้าไปในตัวปลา พวกมันก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ ต่อให้แทงเข้าไปที่สมองมัน ปลาส่วนมากก็ยังคงมีชีวิตอยู่ได้อีกยาวนาน
อย่างไรก็ตามกระบองหนามแบบนี้ได้ผลดีที่สุด ถ้าพอร่างแหลกเป็นชิ้นๆ แล้ว เขาไม่เชื่อหรอกว่ายังจะมีแรงสู้อะไรอีก
กระบองหนามมีโครงสร้างพิเศษ ส่วนปลายสุดมีห่วงกลมอยู่ พอเป็นแบบนี้เมื่อหนวดของคราเคนยื่นเข้าไปก็จะเท่ากับมันจับกระบองหนามไว้แน่น พอใช้ต่อสู้จะต้องวิเศษมากแน่ๆ
เมื่อออกแบบเสร็จ ฉินสือโอวก็โทรหาเรค บิ๊กฟุต ถามว่า “เพื่อน นายรู้ไหมว่าที่ไหนมีช่างตีเหล็กฝีมือดี?”
เรค หัวเราะแล้วพูดขึ้น “ที่เมืองเซนต์จอห์นก็พอมีอยู่ บ้างก็เป็นอู่ต่อเรือ บ้างก็เป็นช่างตีเหล็ก นายจะสร้างอะไรล่ะ? นอกจากขีปนาวุธแล้ว ไม่ว่าอะไรก็สามารถทำให้นายได้ทั้งนั้น”
ฉินสือโอวบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ดี เขาถ่ายรูปภาพที่เขาวาดส่งไปให้เรค ให้เขาช่วยหาคนทำมันออกมา
พอเรคเปิดดูอีเมลก็ประหลาดใจ แล้วถามขึ้นว่า “นี่นายทำอะไรของนาย? นายจะสร้างกันดั้ม หรือว่าซูเปอร์หุ่นรบเหรอไง?”
แน่นอนว่าอาวุธพวกนี้ไม่ได้ให้มนุษย์ใช้ กระบองหนามมีความยาวเกินเมตรครึ่ง เส้นผ่าศูนย์กลางครึ่งเมตร ถึงแม้ว่าส่วนตรงกลางจะไม่มีอะไร แล้วยังใช้อะลูมิเนียมแบบเบา แต่น้ำหนักอย่างน้อยๆ ก็ต้องมี 400-500 กิโลกรัม
ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดังบอกว่าช่วงนี้เขาค่อนข้างหมกมุ่นกับพวกวัฒนธรรมของมนุษย์ยักษ์ จึงวางแผนว่าจะทำโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวดำน้ำ เขาอยากทำสิ่งนี้เพื่อเอาไปตั้งอยู่ใต้ทะเลตรงแถวน่านน้ำทะเลที่ไม่ไกลออกไป หลังจากนั้นก็สร้างความประหลาดใจให้กับนักประดาน้ำสักหน่อย
เรคบ่นว่าคนรวยที่ว่างจัดจนไม่มีอะไรทำ พอชื่นชอบวัฒนธรรมของมนุษย์ยักษ์ ก็ใช้เงินสร้างสิ่งไร้ประโยชน์พวกนี้เนี่ยนะ
ผ่านไปสักพัก เรคก็โทรมาหา บอกว่าเขาถามให้แล้ว สิ่งนี้สามารถสร้างขึ้นมาได้ ไม่ติดปัญหาอะไร แต่แบบจำลองที่ทำอาจจะใช้เวลาหน่อย ประมาณหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้นถึงจะส่งมาให้เขาดูได้
วัสดุที่ใช้ทำกระบองหนามสิบอันทำจากอะลูมิเนียมหล่อ พยายามลดน้ำหนักให้ได้มากที่สุด และทนต่อการกัดกร่อนของสนิม แต่ละอันอย่างน้อยก็สามารถทิ้งไว้ในน้ำทะเลห้าหกปีก็ยังสามารถรักษารูปเดิมที่ออกมาจากโรงงานได้
กระบองหนามสิบอันนี้ ฉินสือโอวต้องใช้เงินถึง 1 แสนดอลลาร์แคนาดา อะลูมิเนียมหล่อหนึ่งกิโลกรัมราคาเท่ากับ 20 ดอลลาร์แคนาดา ซึ่งเป็นราคาที่สูงมาก
พอเขาทำของพวกนี้เสร็จหมด ลุงฮิคสันก็ขับรถเสียงดัง แก็กๆ มาถึงฟาร์มปลา เพื่อมาเก็บองุ่นโดยเฉพาะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น