ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 922-923
ตอนที่ 922 ล่องลมวสันต์
เห็นได้ชัดว่าเสี้ยววิญญาณของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางคิดไม่ถึงว่าเชอฮ่วนจะเก่งกาจเช่นนี้ มันเหาะถอยพรวดออกไปห่างสิบกว่าจั้ง เมื่อเอี้ยวตัวตั้งหลักได้ใหม่อีกครั้ง เสียงร้องคำรามที่ทั้งตกตะลึงและโกรธเกรี้ยวก็ดังออกมาจากปาก
เสี้ยววิญญาณเก้าหางตัวนี้คล้ายกับจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตราย มันจึงไม่มีเวลาว่างควบคุมหญิงสาวเผ่าปีศาจผู้นั้นอีกต่อไป หลังจากประกายแสงสีเลือดในดวงตาทั้งสองข้างกะพริบวูบหนึ่ง หางเก้าเส้นก็ขยายใหญ่ขึ้นอีกหนึ่งเท่ากว่าก่อนจะกวาดครั้งเดียวโจมตีพายุหมุนที่ตามมาติดๆ ให้ทยอยถอยไป ทันใดนั้นรอบร่างของมันก็ทอแสงสีขาวเจิดจ้า ร่างกายขยับวูบเดียวโถมเข้าขย้ำเงาเชอฮ่วนอุตลุด
เมื่อหญิงสาวเผ่าปีศาจที่ไล่ตามหลิ่วหมิงมาติดๆ อย่างไม่ลดละไม่ถูกควบคุม ประกายแสงสีเลือดในดวงตาทั้งสองข้างก็เลือนหายไปในพริบตา นางฟื้นกลับมามีสีหน้าเช่นปกติ จากนั้นก็โซเซร่วงหล่นจากกลางท้องฟ้า
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ร่างกายก็ขยับไปปรากฏตัวข้างกายสตรีนางนี้แล้วอุ้มนางไว้ ร่อนลงบนพื้นอย่างมั่นคง
หญิงสาวเก้าหางครางแผ่วเบาออกมาคำหนึ่งราวกับว่ากำลังตื่นได้สติ ดวงตาปรือเล็กน้อย และเมื่อมองเห็นหลิ่วหมิง นางก็พลันแย้มยิ้มดังเช่นคนเมา ทั้งร่างแผ่เสน่ห์ที่บอกไม่ถูกบางอย่างออกมา
หลิ่วหมิงตกตะลึง ขณะที่ยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับสตรีนางนี้ แขนทั้งสองข้างของหญิงสาวในอ้อมแขนก็กอดเขาไว้แน่น
หลิ่วหมิงตกใจ ตอนนี้เขาถึงเพิ่งค้นพบว่าแม้สตรีนางนี้หลุดพ้นจากการถูกวิญญาณปีศาจควบคุมแล้ว แต่สติสัมปชัญญะยังไม่กลับคืนมา นางเหมือนจะตกอยู่ในสภาวะไร้สติอันแปลกพิกลอีกประเภทหนึ่ง
สายตาเขากวาดมองภูเขาสองลูกที่ตั้งเด่นและนุ่มลื่นดุจงาช้างบนเรือนร่างโค้งเว้าเปลือยเปล่าของหญิงสาวโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นใบหน้าก็ร้อนผ่าว สองมือสั่นเทาหมายจะโยนหญิงสาวออกไปก่อน
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นหลายหน!
หางจิ้งจอกทั้งเก้าเส้นด้านหลังหญิงสาวกลับชิงก่อนก้าวหนึ่งสะบัดยืดยาวมารัดตัวนางกับหลิ่วหมิงจนติดกันเป็นก้อนเดียว
หางจิ้งจอกทั้งเก้าเส้นทนทานยิ่งนักอย่างที่บรรยายไม่ถูก ชั่วขณะหนึ่งหลิ่วหมิงไม่อาจดิ้นหลุดออกไปได้ เขาได้แต่แนบติดอยู่กับร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวเป็นร่างเดียว ในอ้อมแขนเต็มไปด้วยกลิ่นหอมละมุน นิ้วมือสัมผัสที่ใดล้วนเป็นผิวเนียนนุ่มดุจแพรไหม
ในเวลานี้เองสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าก็มีเสียงดังสนั่นลอยมา คลื่นปราณวงแล้ววงเล่าซัดออกมาอย่างรุนแรง เงาสองร่างตรงใจกลางที่โรมรันกันอุตลุดต่อสู้กันจนมาถึงช่วงเวลาตัดสินแล้ว
แม้เชอฮ่วนเป็นเพียงร่างจำแลงของวิชาลับภาพสัญลักษณ์ที่หลิ่วหมิงใช้ แต่หลังจากกลืนกินดวงวิญญาณไปมากมายเช่นนี้ ความสามารถในด้านการต่อสู้ระยะประชิดก็เริ่มไม่อ่อนแอ สี่กีบเท้าที่เดิมทีไร้อันตรายกลับกลายเป็นกรงเล็บยักษ์คมกริบสี่ข้าง
มิเช่นนั้นหลิ่วหมิงสั่งง่ายๆ ก่อนหน้านี้คำเดียว มันก็คงยืดหยัดต้านการโจมตีบ้าคลั่งของเสี้ยววิญญาณเก้าหางไม่ได้นานเช่นนี้
ทว่าเงานี้อย่างไรก็เป็นเพียงสิ่งไร้ชีวิต ไม่ว่าปฏิกิริยาตอบสนองหรือวิธีการโจมตีก็เรียบง่ายทึมทื่อทั้งสิ้น เมื่อวิญญาณปีศาจเก้าหางฉีกทึ้งไม่หยุด มันก็ตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายหดเล็กลงไปไม่น้อย อีกทั้งยังเลือนรางมองไม่ชัดขึ้นอยู่บ้าง
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันหวั่นใจจนไม่มีเวลาสนใจสถานการณ์กระอักกระอ่วนของตนเอง ปากเอ่ยท่องมนตร์เพ่งสมาธิกระตุ้นวิชาลับภาพสัญลักษณ์ทันที
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง
ลำแสงสีน้ำเงินเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมาจากตรงหัวไหล่ของหลิ่วหมิง จากนั้นพุ่งจมหายลงไปในเงาร่างของเชอฮ่วนที่อยู่กลางอากาศ
ร่างกายของเงาเช่อฮ่วนสั่นเทิ้มในทันใด ผิวบนร่างมีลวดลายจิตวิญญาณแวววาวนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา พริบตาเดียวมันก็ดีดเสี้ยววิญญาณเก้าหางที่ประชิดอยู่ออกไป จากนั้นอ้าปากคำรามเสียงดังทันที
เสียงคำรามเพิ่งออกจากปากก็กลายเป็นคลื่นเสียงสีน้ำเงินแถบใหญ่ซัดสาด พริบตาเดียวกลบทับเสี้ยววิญญาณเก้าหาง
พลังนี้เป็นวิชาลับระดับสูงชนิดหนึ่งที่บันทึกอยู่ในวิชาลับภาพสัญลักษณ์ หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้เงาเชอฮ่วนดูดกลืนพลังของวิญญาณปีศาจไปจำนวนมาก หลิ่วหมิงก็คงใช้ออกมาไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
เสี้ยววิญญาณเก้าหางกรีดร้องครั้งหนึ่งแล้วพลันโซเซดุจลูกบอลหนังอยู่กลางคลื่นเสียงสีน้ำเงิน ผิวรอบร่างกลายเป็นปราณสีขาวสายแล้วสายเล่าพังทลายไปทีละชั้น ร่างกายหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว
เงาเชอฉ่วนฉวยโอกาสนี้สูดมันเข้าไปในปาก
ทันใดนั้นปราณสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่ากลางคลื่นเสียงสีน้ำเงินก็ถูกสูดเข้าไปจนหมดสิ้น แล้วถูกกลืนลงท้องไปอย่างเร็วไว ร่างกายที่เลือนรางก่อตัวชัดขึ้นใหม่อีกครั้งด้วยความเร็วที่ตาเปล่ามองเห็นได้
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจ เสี้ยววิญญาณของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางก็เหลือขนาดราวสองจั้งกว่าเท่านั้น มันกำลังจะดับสูญกลางคลื่นเสียงสีน้ำเงินจริงๆ แล้ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็โล่งอก
ในเวลานี้เองวิญญาณปีศาจเก้าหางก็ร้องครวญคราง มันแน่นิ่งไม่ขยับราวกับว่าเลิกคิดดิ้นรน ทว่าทันใดนั้นดวงตาปีศาจดุจทับทิมสองข้างก็เปล่งแสงสีเลือดเจิดจ้า ยันต์ที่ทอประกายสีเลือดมากมายลอยออกมาจากด้านใน
ยันต์เหล่านี้แต่ละตัวล้วนคล้ายกับยันต์เผ่าปีศาจที่เคยอยู่ในทะเลจิตวิญญาณของหลิ่วหมิงก่อนหน้านี้ พริบตาที่บินออกมาพวกมันก็พากันบิดเปลี่ยนรูปกลายเป็นจิ้งจอกขาวขนาดเล็กจิ๋วตัวแล้วตัวเล่าพุ่งออกจากคลื่นเสียงสีน้ำเงิน วิ่งเร็วรี่เต็มท้องฟ้าตรงมายังจุดที่หลิ่วหมิงอยู่
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว จิตกระตุ้นพลังเวท พริบตาเดียวรอบร่างพลันมีปราณดำพลุ่งพล่านทะลักออกมากลายเป็นหนวดสีดำหลายเส้นสะบัดไปมาอย่างบ้าคลั่ง
เสียง “ปัง” “ปัง” ดังสนั่น!
ปีศาจจิ้งจอกจิ๋วทั้งหมดถูกหนวดโจมตีจนทยอยระเบิดสลายกลายเป็นไอหมอกสีชมพูดุจก้อนเมฆก้อนแล้วก้อนเล่าลอยเคลื่อนไปมารอบด้าน ด้านในมีเส้นไหมสีเลือดนับไม่ถ้วนผลุบๆ โผล่ๆ อีกทั้งแต่ละเส้นยังจับตัวกันแน่น
“แย่แล้ว”
พริบตานั้นหลิ่วหมิงก็รู้สึกท่าไม่ดี ร่างกายขยับวูบเดียวก็พาหญิงสาวในอ้อมแขนฝ่าออกมาจากไอหมอกที่ล้อมอยู่
ทว่าในเวลานี้เองหญิงสาวเปลือยเปล่าในอ้อมแขนกลับหัวเราะคิกคัก หางจิ้งจอกเก้าเส้นที่เดิมทีรัดหลิ่วหมิงไว้จนเป็นก้อนเดียวกันฉับพลันระเบิดกำลังมหาศาลสายหนึ่งออกมา
หลิ่วหมิงไม่ทันระวัง เขารู้สึกว่าร่างกายถูกรัดแน่นกะทันหัน จากนั้นร่างของเขากับหญิงสาวเก้าหางก็หัวทิ่มลงล้มไปกับพื้นดังปึกทันที
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นไอหมอกสีชมพูรอบด้านก็โถมเข้ามาตรงใจกลางประหนึ่งมีจิตวิญญาณ พริบตาเดียวกลืนทั้งสองคนเข้าไป เส้นไหมสีเลือดในไอหมอกส่ายอ้อยอิ่งไม่หยุดทำให้คนมองแล้วตาลายยิ่ง
แม้หลิ่วหมิงมีวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกับปราณแกร่งคุ้มร่าง แต่ไอหมอกสีชมพูกับทะลุผ่านจมเข้ามาทันทีเสมือนหนึ่งมองไม่เห็นอย่างสิ้นเชิง
พริบตานั้นหลิ่วหมิงก็ได้กลิ่นหอมหวานจางๆ จิตใจพลันเคลิบเคลิ้ม สองตาเลื่อนลอยทอแสงสีแดงนิดๆ ในเวลาเดียวกันกระแสความร้อนที่ยากจะหักห้ามยิ่งกว่าเดิมก็โถมเข้ามาในหัวใจ ทำให้เขาโอบกอดร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกหน่อยอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้ นิ้วลูบคลำผิวเนียนนุ่มดุจเส้นไหมอย่างไม่รู้ตัว
สัมผัสอบอุ่นนุ่มลื่นบนปลายนิ้วราวกับกระแสไฟฟ้าที่ทำให้ทั้งร่างชาหนึบแล่นพล่านไปทั่วสี่แขนขาร้อยกระดูกของหลิ่วหมิง ทำให้เขาเมามายจนดึงตนเองออกมาไม่ได้แม้แต่น้อย การเคลื่อนไหวยิ่งเหิมเหริมขึ้นเรื่อยๆ สองมือถึงขั้นเคลื่อนไประหว่างทรวงอกอวบอิ่มชูชันของหญิงสาวอย่างไม่รู้ตัว
หญิงสาวถูกหลิ่วหมิงลูบไล้ก็ครวญครางเสียงหวานดังอืออาออกมา ดวงเนตรงามยิ่งเลื่อนลอย ร่างกายอ้อนแอ้นดุจหยกมันแพะหยัดกายขึ้นมาเล็กน้อยจนแนบชิดกับแผ่นอกของหลิ่วหมิงขึ้นอีกนิด แขนกลมกลึงข้างหนึ่งโอบแผ่นหลังของเขาไว้ ส่วนนิ้วมือทั้งห้าบนมืออีกข้างลูบไล้มุดเข้าไปในอกเสื้อของเขาดุจอสรพิษสีขาว
ดวงหน้างามล้ำเลิศดุจหยกขาวแกะสลักของหญิงสาวเผ่าปีศาจเมื่อได้แสงสีแดงและสีขาวรอบด้านขับเน้น ดวงหน้าก็เป็นสีแดงก่ำแลดูเย้ายวนชวนให้ลุ่มหลงยิ่งขึ้นอีก
ทันใดนั้นศีรษะงามของนางก็เงยขึ้นมาประทับจุมพิตลงบนแก้มของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว ในรูจมูกล้วนมีแต่กลิ่นกายหอมกรุ่นของสาวบริสุทธิ์ หัวใจเต้นระรัวเร็วขึ้นในทันใด ลมหายใจก็ปั่นป่วนอย่างไม่อาจห้ามตนเองได้
มีเรือนร่างอวบอิ่มเลอเลิศเช่นนี้ส่งมาให้ถึงในอ้อมแขน บุรุษสักกี่คนจะไม่หวั่นไหว?
นับประสาอะไรกับหลิ่วหมิงที่ยังเป็นหนุ่มพรหมจรรย์ ไม่เคยข้องเกี่ยวกับเรื่องชายหญิง
ทว่าในเวลานี้เองเสียงใสกระจ่างแผ่วเบาก็ดังออกมาจากฝักกระบี่ข้างเอวหลิ่วหมิง
หลังจากหลิ่วหมิงได้ยินฉับพลันก็ตื่นได้สติเต็มที่ ดวงตาทั้งสองข้างฟื้นกลับมากระจ่างใสในพริบตา เขาไม่แม้แต่จะคิด พลิกมือดิ้นหลุดจากพันธนาการของหางจิ้งจอกแล้วกำโซ่ตรวจสะกดวิญญาณไว้ในมือ
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้กระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ เสียง “ปัง” ก็ดังขึ้นครั้งหนึ่ง หางจิ้งจอกเส้นหนึ่งกวาดเข้ามาดุจสายฟ้าแลบ โจมตีโซ่ตรวจสะกดวิญญาณในมือเขาปลิวไปทั้งอย่างนั้น พร้อมกันนั้นแขนเรียวร้อนผ่าวข้างหนึ่งก็โอบแขนข้างนี้ของหลิ่วหมิงไว้แน่นแล้วดึงกลับไปในพริบตา
หลิ่วหมิงตกตะลึง ขณะที่เขาขยับแขนหมายจะดิ้นรนให้หลุด เสียงหอบแว่วหวานแผ่วเบาก็ดังลอยมา ต่อจากนั้นเสียง “แควก” ก็ดังขึ้นครั้งหนึ่ง เสื้อผ้าท่อนบนของเขาถูกสตรีนางนี้กระชากออกในเวลาเดียวกันนั้นเรือนร่างร้อนผ่าวนุ่มลื่นก็แนบชิดกับหน้าอกของเขาโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้นอีกต่อไป ความลุ่มหลงอย่างที่สุดทำให้สติปัญญาที่เพิ่งคืนกลับมาของหลิ่วหมิงพังทลายหมดสิ้นในพริบตา เขากลับไปนิ่งงันหน้าแดงเรื่ออีกครั้ง
หลังจากเขาแค่นเสียงแผ่วเบาออกมาคำหนึ่ง ร่างกายก็สั่นเทิ้ม หางจิ้งจอกที่เดิมทีรัดแน่นอยู่บนร่างสลายกลายเป็นละอองแสงปล่อยให้เขาอุ้มสตรีนางนี้มาคร่อมด้านหน้า สองมือทำงานอย่างพร้อมเพรียง ข้างหนึ่งลูบไล้สะโพกงามงอนของสตรีผู้นี้ อีกข้างหนึ่งลากไล้ผ่านท้องน้อยของนาง ส่วนริมฝีปากก็กลืนกินริมฝีปากหอมสีสดจนแทบจะกลั่นออกมาเป็นหยดได้นั่นของนางแล้วดูดดึงอย่างเงอะงะยิ่งนัก
พริบตาที่ประทับจุมพิตและแลกเปลี่ยนน้ำหวานระหว่างกัน ความรู้สึกละมุนละไมอันอ้อยอิ่งก็ทำให้สัญชาตญาณดิบของหลิ่วหมิงปะทุขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ เขาคำรามแผ่วเบาอีกครั้งแล้วร่างกายก็ขยับทาบทับสตรีผู้นี้ไว้ข้างใต้
อาจเพราะภาพสัญลักษณ์เชอฉ่วนไม่ได้ถูกหลิ่วหมิงเรียกกลับมา บริเวณใกล้เคียงจึงว่างเปล่าไม่มีวิญญาณปีศาจตัวอื่นเข้าใกล้ มีเพียงเสียงกระแทกกระทั้นที่สอดแทรกด้วยเสียงคำรามทุ้มต่ำของบุรุษกับเสียงครางแว่วหวานอันยั่วยวนของสตรีดังออกมาจากกลางไอหมอกสีชมพูเป็นระยะ
ต่อให้เวลานี้มีวิญญาณปีศาจเข้ามารบกวน คนทั้งสองที่อยู่กลางไอหมอกสีชมพูก็คงไม่สนใจแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงในยามนี้กำลังเมามายจมดิ่งลึกลงไปในห้วงฝันแห่งวสันต์
เวลานี้วังหมื่นปีศาจสีขาวขมุกขมัวราวกับไม่แบ่งแยกคืนวัน
ทั้งสองคนกกกอดกันในมิติแห่งนี้ไม่รู้นานเท่าไร หลิ่วหมิงผู้ลิ้มรสชาติสตรีเป็นครั้งแรกราวกับมีเรี่ยวแรงไม่หมดไม่สิ้น ไม่อาจถอนตนเองออกมาได้อย่างสิ้นเชิง กำลังวังชาประหนึ่งใช้ชั่วนิรันดร์ก็ไม่มีวันหมด
หญิงสาวก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นคืนสติแม้แต่น้อย ตั้งแต่ต้นจนจบเรือนร่างอ้อนแอ้นแนบติดอยู่กับคนด้านบน สองแขนยึดแผ่นหลังของหลิ่วหมิงไว้แน่น ร้องขอหลิ่วหมิงไม่หยุดราวกับความปรารถนายังไม่ได้รับการเติมเต็มดุจเดียวกัน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรไอหมอกสีชมพูจึงค่อยๆ กระจายออกทีละน้อย เส้นไหมสีเลือดที่วนเวียนอยู่ด้านในก็ทยอยสลายหายไปจนเผยชายหญิงสองคนที่ทั้งร่างเปลือยเปล่ากอดรัดกันแน่นหลับสนิทอยู่ด้วยกันออกมา
พริบตาที่ไอหมอกสลายหายไปอย่างสิ้นเชิง เงาเชอฮ่วนที่อยู่ใกล้ๆ ก็กลายเป็นแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่จมลงไปในหัวไหล่ของหลิ่วหมิงดัง “ฟึบ”
หลิ่วหมิงที่กำลังหลับสนิทอยู่ตื่นได้สติขึ้นมาทันที เขาเบิกตาโพลงในทันใด แล้วพบว่ามีดวงหน้าอันงดงามชวนตะลึงของหญิงสาวอยู่ตรงหน้า ลมหายใจของนางเหมือนกลิ่นกล้วยไม้ ดวงตาทั้งคู่ที่มองเขาเต็มไปด้วยความตะลึงงันเช่นเดียวกัน สองมือของเขากำลังจับอยู่บนเอวเปล่าเปลือยที่อ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกของอีกฝ่าย
ตอนที่ 923 เหยาจี
ขณะที่หลิ่วหมิงยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ใบหน้างามล้ำของหญิงสาวที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือก็เปลี่ยนจากตกตะลึงกลายเป็นเขียวคล้ำในพริบตา นางขยับแขนฉับพลัน ทันใดนั้นลมพายุลูกหนึ่งก็พัดขึ้นมาตรงกลางระหว่างทั้งสองคน
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าร่างกายเย็นวูบ จากนั้นทั้งร่างก็ปลิวตะแคงออกไปห่างสิบกว่าจั้งแล้วร่วงกระแทกบนพื้นน้ำแข็งอย่างหนักหน่วง
ความรู้สึกเจ็บแปลบเล็กน้อยทำให้หลิ่วหมิงเพิ่งเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าเขาเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดงแล้วรีบร้อนเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่อย่างรวดเร็ว
ยังไม่ทันที่เขาจะสวมเสื้อชั้นนอกตัวสุดท้าย สายลมแรงก็โถมมาถึงตรงหน้า หญิงสาวเก้าหางผู้สวมชุดนางในสีขาวเรียบร้อยปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้ง ทว่าดวงหน้างามถมึงทึงยิ่งนัก เปี่ยมไปด้วยไอสังหาร
“ดียิ่ง เจ้าฉวยโอกาสยามข้าขาดสติทำเรื่องพรรค์นี้ ข้าไม่หักกระดูกเจ้าป่นเป็นผงคงไม่ได้!”
นางปีศาจตนนี้กัดฟันกรอดเอ่ยประโยคหนึ่งแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้น เงากรงเล็บสีแดงใหญ่หนึ่งจั้งกว่าข้างหนึ่งก่อตัวออกมาในพริบตา จากนั้นตะปบเข้าใส่หลิ่วหมิงอย่างรุนแรง
หลิ่วหมิงทำได้เพียงหัวเราะฝืดเฝื่อน พร้อมกันนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อ โล่น้อยสีเหลืองชิ้นหนึ่งลอยออกมากลายเป็นโล่ยักษ์สีเหลืองขมุกขมัวขวางอยู่หน้าร่าง
หลังจากโล่ชิ้นนี้หมุนติ้วรอบหนึ่ง บนผิวก็มีเงาภูเขาลูกน้อยลอยออกมา
เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นขึ้นครั้งหนึ่ง!
หลังจากเงากรงเล็บยักษ์สีแดงอ่อนกับภูเขาลูกน้อยสีเหลืองปะทะกัน ภูเขาน้อยก็มลายหายไปในพริบตา โล่ดินหนาทั้งชิ้นระเบิดกลายเป็นไอหมอกสีเหลืองแถบหนึ่งราวกับเป็นแค่หน้าต่างกระดาษ
หลิ่วหมิงตกตะลึง หลังจากการต่อสู้ดุเดือดของหลิ่วหมิงก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าอสูรสมุทรแปดขาบนร่างหายไปอยู่ที่ไหน ช่วงเวลาฉุกละหุกเขาจึงได้แต่ฝืนกระตุ้นเกล็ดมังกรที่เหลือไม่มากในร่างสิบกว่าเกล็ดให้ปกคลุมจุดสำคัญหลายจุดไว้
ฉับพลันเขาก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าเต็มไปด้วยสีแดงแสบตา ความเจ็บปวดทิ่มแทงส่งผ่านจากหน้าอกไปทั่วร่าง เกล็ดมังกรสีชาดบนร่างแตกกระจุยไปหลายเกล็ดเผยให้เห็นเลือดเนื้อสีแดงสด ทั้งร่างกลายเป็นเงาสีดำสายหนึ่งถอยพรวดออกไป
เสียง “ปัง” ดังขึ้น ร่างกายของหลิ่วหมิงโซเซไปหลายก้าวจนในที่สุดก็หยุดเท้าได้ ทว่าดวงตาก็มองเห็นดาวอยู่พักหนึ่ง
“เหอะ ผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนกระจอกๆ คนหนึ่ง กายเนื้อกลับแข็งแกร่งน่าตะลึงเช่นนี้! ข้ารู้สึกได้ว่าในร่างของเจ้ามีปราณปีศาจบริสุทธิ์จำนวนหนึ่งไหลเวียนอยู่ หรือว่าเจ้าจะเคยฝึกฝนวิชาลับเผ่าปีศาจของพวกเราด้วย?”
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นางยกมือข้างหนึ่งสะบัดอีกครั้ง กรงเล็บยักษ์ที่ทอแสงขมุกขมัวข้างหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นเหนือร่างหลิ่วหมิงอีกหน ดูราวกับภูเขาลูกย่อมร่วงหล่นลงมา
เวลานี้หลิ่วหมิงเลือดโชกทั่วร่าง บนหน้าอกเห็นรูมหึมาอยู่ห้ารูชัดเจน เขาแค่นเสียงหยันคำหนึ่ง แล้วโจมตีสองหมัดขึ้นไปบนท้องฟ้าในทันใด เสียงฟู่ดังขึ้นพร้อมกับที่ปราณดำบนท่อนแขนม้วนตัวกลายเป็นมังกรหมอกสีดำห้าตัวแยกเขี้ยวสะบัดกรงเล็บพุ่งออกไป
เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน แสงสีแดงกับปราณสีดำโรมรันกันเป็นก้อนสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วกลายเป็นคลื่นสาดออกมา
หลิ่วหมิงสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เลือดสายน้อยนับไม่ถ้วนพุ่งปรี๊ด สะบักสะบอมดูไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม
เมื่อนางปีศาจเห็นว่าการโจมตีครั้งที่สองยังคงไม่ได้ผล สีหน้าก็ประหลาดใจเล็กน้อย แต่หลังจากลังเลครู่หนึ่งนางก็ยังเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา
“ดีมาก พลังระดับเจ้ากลับรับการโจมตีจากกรงเล็บเทพทะลวงฟ้าที่ข้าเพิ่งสืบทอดมาได้ ก็นับว่ามีความสามารถอยู่บ้าง หากเจ้ายังรับการโจมตีครั้งต่อไปได้ ข้าปล่อยเจ้าไปก่อนสักครั้งก็ย่อมได้ แต่เจ้าอย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไปนัก สองครั้งเมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งใช้พลังเวทไปห้าส่วนเท่านั้น”
สิ้นเสียง หญิงสาวเก้าหางพลันกู่ร้องเสียงยาว ด้านหลังมีเสียงดัง “ฟึบ” “ฟึบ” ขึ้นหลายครั้ง หางจิ้งจอกขาวโพลนเก้าเส้นปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าอีกหน พวกมันสะบัดโต้ลมอย่างบ้าคลั่ง หลังจากนั้นสองมือของนางก็ตั้งท่าเคล็ดวิชาพร้อมกันแล้วจี้ดัชนีมายังท้องฟ้าเหนือร่างหลิ่วหมิง
เสียง “ครืน” ดังสนั่น ท้องนภาทั้งผืนมืดหม่น เงากรงเล็บใหญ่ค้ำฟ้าขนาดหนึ่งหมู่กว่าข้างหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าเหนือร่างหลิ่วหมิง ทั้งกรงเล็บเป็นสีชาด เมฆอัคคีนับไม่ถ้วนวนเวียนราวกับเป็นร่างจริง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้พลันหน้าถอดสี มือข้างหนึ่งกวักไปทางบริเวณใกล้ๆ ในทันใด
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง แสงสีเงินสายหนึ่งก็พุ่งจากพื้นดินด้านข้างจมลงไปในร่างท่อนบนของเขาแล้วกลายเป็นชุดเกราะสีเงินตัวหนึ่งในพริบตา มันก็คืออสูรสมุทรแปดขานั่นเอง!
ในเวลาเดียวกันสองมือของหลิ่วหมิงก็ตั้งท่าเคล็ดวิชาอย่างเร็วไว หลังจากตรงซี่โครงทอแสงสีเงินออกมาครั้งหนึ่ง แต่ละฝั่งก็มีแขนสีเงินข้างหนึ่งงอกออกมา พร้อมกันนั้นกลางฝ่ามือสีเงินระยิบระยับแต่ละข้างต่างก็กำมุกพลังวารีที่มีปราณวารีเวียนวนอยู่ลูกหนึ่ง
ในเวลานี้เองกรงเล็บสีชาดค้ำฟ้ากลางอากาศก็ร่วงลงมา ระหว่างนิ้วทั้งห้ามีอสนีบาตนับไม่ถ้วนเวียนวนประหนึ่งกรงเล็บเทพมาร
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้รูม่านตาพลันหดเล็กลง เสียงคำรามบ้าคลั่งดังขึ้นครั้งหนึ่ง ปราณดำเบื้องหลังก็ถาโถมก่อตัวเป็นมังกรหมอกยาวสิบกว่าจั้งห้าตัวกับพยัคฆ์หมอกสีดำขนาดเท่าบ้านห้าตัว ในเวลาเดียวกันภายในร่างเขาก็ดังระรัวดั่งจุดประทัด ร่างกายขยายพรวดขึ้นช่วงใหญ่พร้อมกับที่บนผิวมีเส้นเลือดยึกยือเส้นแล้วเส้นเล่าปรากฏออกมา ฝ่ามือทั้งสองข้างก็ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดหนาสีม่วงเข้มหลายชั้น
เสียง “ฟู่” “ฟู่” ดังขึ้นหลายครั้ง แขนทั้งสี่ข้างของหลิ่วหมิงต่อยอย่างบ้าคลั่งเข้าใส่กรงเล็บยักษ์ที่ร่วงลงมาพร้อมกัน
พริบตานั้นอากาศด้านบนพลันสั่นสะเทือนไปทั้งแถบ มังกรหมอกห้าตัวกับพยัคฆ์หมอกห้าตัวคำรามพุ่งขึ้นฟ้านำไปก่อน จากนั้นเงาหมัดสีดำมากมายถี่ยิบก็ตามไปติดๆ ประหนึ่งน้ำหลาก
เสียงครืดคราดดังสนั่น ทั้งมิติเกิดเสียงดังสนั่นประหนึ่งอสนีบาตกลางฟ้าแจ้ง
พริบตานั้นเสาสายลมสีเทาขมุกขมัวต้นแล้วต้นเล่าพุ่งขึ้นฟ้าแล้วซัดสาดไปสี่ด้านแปดทิศอย่างรุนแรงท่ามกลางคลื่นหมอกสีดำวงแล้ววงเล่า…
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าหน้าอกร้อนวูบจนอดกลั้นไม่ไหวอ้าปากพ่นโลหิตออกไปสองคำ ทันใดนั้นสองขาก็หนักอึ้งจมลงไปในพื้นวังครึ่งท่อนพร้อมกับเสียงดัง “ปัง” “ปัง” แผ่นหินใกล้ๆ แตกกระจุยเป็นแถบ
แขนสีเงินสองข้างตรงซี่โครงของเขาส่งเสียงดังแล้วกลายเป็นละอองแสงสีเงินพังทลายไป แขนดั้งเดิมอีกสองข้างก็สูญเสียสัมผัสร่วงตกนิ่งสนิทในพริบตา กำปั้นที่มีเกล็ดสีดำแผ่อยู่ทั่วทั้งสองข้างเนื้อหนังฉีกขาดเลือดชุ่มโชก
ทว่าหลิ่วหมิงกลับไม่สนใจทุกสิ่งนี้ เขาเพียงจ้องมองก้อนแสงสีแดงดำมหึมาที่ค่อยๆ สลายไปกลางท้องฟ้า
หลังจากแสงรัศมีทั้งหมดดับลง กลางท้องฟ้าก็ว่างเปล่า ไม่ว่าเงาหมัดหรือกรงเล็บยักษ์ล้วนไม่เหลืออยู่อีกต่อไป
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงโล่งอก สายตากวาดพรึ่บมองไปยังหญิงสาวเก้าหางฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง จากนั้นจึงกวาดสายตามองไปยังฝักกระบี่ล่องหนข้างเอวอย่างไม่รู้ตัว
หากอีกฝ่ายยังไม่เลิกรา เขาก็คงได้แต่คลายผนึกของฝักกระบี่ เรียกลูกกลอนกระบี่ว่างเปล่าที่บำรุงอยู่ออกมา
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเห็นสถานการณ์เช่นนี้ บนใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าประหลาดเล็กน้อย คล้ายกับว่าทั้งโล่งอกครั้งใหญ่แล้วก็ทั้งไม่ยินยอมอยู่บ้าง
“เหอะ นับว่าเจ้าโชคดีรับการโจมตีครั้งที่สามได้ นี่บ่งบอกว่าข้าไม่มีวิธีอื่นที่จะเอาชีวิตเจ้ามาได้ง่ายๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะเห็นแก่ที่เจ้าช่วยให้ข้าทำพิธีกรรมสืบทอดครั้งนี้สำเร็จ จะปล่อยเจ้าไปก่อนสักครั้ง แต่เรื่องในวันนี้อย่าให้บุคคลที่สามรู้เด็ดขาด มิเช่นนั้นต่อให้ต้องข้ามแผ่นดินทั้งหลายไป ข้าก็จะหาวิธีสังหารเจ้าให้จงได้!” หลังจากสีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง ในที่สุดนางก็พ่นคำพูดยาวเหยียดออกมาในเฮือกเดียว
“แม่นางโปรดวางใจ ข้าจะไม่ให้เรื่องในนี้เล็ดลอดไปถึงผู้ใด มิเช่นนั้นข้ายินดีถูกลงทัณฑ์ให้หมื่นภูตผีกัดกินวิญญาณ!” หลิ่วหมิงสีหน้าผ่อนคลายลงแล้วรีบเอ่ยสาบานทันที
“เจ้าจงจำคำพูดเมื่อครู่ไว้เป็นดีที่สุด โอสถคืนกำเนิดเม็ดนี้ถือว่าเป็นค่าตอบแทนของเจ้าในครั้งนี้ ส่วนสิ่งนี้เป็นของที่ใช้ออกไปจากที่นี่” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเรียบๆ หลังจากมองหลิ่วหมิงอีกครั้ง ทันใดนั้นนางก็โยนโอสถสีเขียวเม็ดหนึ่งกับยันต์สีขาวแผ่นหนึ่งมาให้ จากนั้นนางก็ขยี้ยันต์ที่เหมือนกันอีกแผ่นในมืออีกข้างอย่างไม่ลังเลสักนิด แสงสีขาวสาดไปรอบด้านทันที หลังจากนั้นร่างกายของนางก็เลือนรางลงในทันใด
“ข้าคือหลิ่วหมิงแห่งแผ่นดินจงเทียน ไม่ทราบแม่นางมีชื่อเสียงเรียงนางว่าอันใด!” หลิ่วหมิงรับโอสถกับยันต์ไปแล้ว ในใจก็เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมา จึงเอ่ยถามขึ้นมาประโยคหนึ่งราวกับถูกเทพดลใจ
“ข้านามว่าเหยาจี วันหน้าหากเจ้าคิดว่าพลังของตนแข็งแกร่งพอจะไปตามหาข้าที่แผ่นดินหมานฮวงก็ได้…แต่หากพลังของเจ้าไม่มากพอแล้วมาปรากฏกายต่อหน้าข้า ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นชิ้นแน่นอน” เสียงรื่นหูของหญิงสาวสะท้อนก้องแผ่วเบาในวัง ครู่ต่อมาหลังจากแสงสีขาวส่องสว่างวูบหนึ่ง เงาของสตรีนางนี้ก็หายไปจากที่เดิมอย่างสิ้นเชิง
หลิ่วหมิงเห็นเงาของสตรีนางนี้หายไปต่อหน้าเช่นนี้ เขาก็นิ่งอยู่ที่เดิมพักหนึ่ง ในสมองนึกถึงช่วงเวลาไม่กี่วันสั้นๆ นี้ที่ได้รู้จักกับสตรีนางนี้ รวมถึงวาสนารักอันคิดไม่ถึงซึ่งไม่รู้ว่าสมควรนับหรือไม่ครั้งนี้ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดในใจจึงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
ด้วยสายเลือดปีศาจจิ้งจอกเก้าหางของสตรีนางนี้ คิดว่าฐานะบนแผ่นดินหมานฮวงคงจะไม่ธรรมดา ยิ่งตอนนี้นางรับสืบทอดมรดกวิชาของวิญญาณปีศาจจิ้งจอกเก้าหางไปอย่างสมบูรณ์แล้ว พลังคงจะห่างจากระดับดาราพยากรณ์อีกเพียงก้าวเดียว เมื่อรวมกับที่นางอาศัยอยู่บนแผ่นดินหมานฮวง การที่เขาจะได้พานพบนางอีกครั้งเกรงว่าคงเป็นความหวังที่ริบหรี่ยิ่งนัก
เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็อดไม่ได้นึกย้อนไปถึงเย่เทียนเหมยที่เคยแนบชิดกับตน วันนี้พวกเขาก็อยู่ห่างจากกันคนละแผ่นดินไม่ได้พบพานกันมาหลายสิบปี แล้วยังมีสัญญาหมั้นหมายที่ยุ่งเหยิงตัดไม่ขาดนั่นระหว่างตนกับเจียหลานอีก ในใจได้แต่ยิ้มฝืดเฝื่อน
เรื่องชายหญิงเหล่านี้แล่นผ่านในสมองหลิ่วหมิงไป หลังจากเหม่อลอยไปชั่วครู่ เขาก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เขาสำรวจโอสถกับยันต์ในมือเล็กน้อย เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาแล้วจึงกลืนโอสถคืนกำเนิดลงไป ฤทธิ์ยาอ่อนโยนสายหนึ่งไหลตามลำคอตรงเข้าไปยังท้องน้อยจากนั้นกระจายไปยังเส้นปราณทั้งแปดของเขาอย่างรวดเร็ว
รูทั้งห้าบนเลือดเนื้อเละเทะตรงหน้าอกของเขากับรอยฉีกขาดจุดอื่นบนร่างเริ่มสมานเข้าหากันอย่างเชื่องช้าในทันที
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็ยินดี
ทว่าในเวลานี้เองไกลออกไปก็มีเสียงร้องคำรามที่ฟังดูใกล้ไกลไม่เท่ากันดังขึ้นอีกครั้ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้พลันฮึกเหิม ตบหัวไหล่ในทันใด แสงสีน้ำเงินม้วนตัวออกมา เงาเชอฮ่วนลอยออกมาอีกหน
หลังจากหลิ่วหมิงหัวเราะลั่นครั้งหนึ่งก็พาเงาเชอฮ่วนก้าวยาวพุ่งเข้าใส่เสียงคำรามที่อยู่ตรงข้าม
ยามนี้เหยาจีไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว วิญญาณปีศาจเหล่านี้ทั้งหมดย่อมเป็นของในกระเป๋าเขา ให้เชอฮ่วนค่อยๆ กลืนกิน
อย่างไรโอกาสที่จะได้พบวิญญาณปีศาจมากมายเช่นนี้ ในโลกด้านนอกแม้แต่จินตนาการก็จินตนาการไม่ออก
ครึ่งเดือนหลังจากนั้นในสถานที่เดิม หลิ่วหมิงมองรอบด้านอย่างอาลัย หลังจากจดจำสถานที่ซึ่งเคยมอบประสบการณ์อันไม่มีวันลืมครั้งหนึ่งให้แก่เขาสลักเอาไว้ในหัวใจ เขาก็ขยี้ยันต์สีขาวแผ่นหนึ่งแล้วหลับตาทั้งสองข้างลงในเวลาเดียวกัน
เมื่อเขาลืมตาทั้งสองข้างขึ้นอีกครั้ง เขาก็อยู่ในทางเดินมืดสนิทแห่งหนึ่งแล้ว
หลิ่วหมิงคิ้วขมวดล้วงหินจันทราขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งออกมาจากในแหวนย่อส่วนอย่างเร็วไว มันแผ่แสงระยิบระยับออกมาส่องทางเดินใต้ดินทั้งเส้นให้สว่างไสวอย่างยิ่งทันที
เมื่อเขากวาดสายตามอบรอบด้านก็พบว่าสองฟากฝั่งทางเดินค่อนไปทางด้านบน มีหัวปีศาจแปดหัวเรียงอยู่แทบจะเหมือนกันทุกประการกับที่เห็นอยู่ในห้องโถงข้างก่อนหน้านี้
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะครุ่นคิดอะไร พื้นดินรอบด้านก็พลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงกระหึ่มดังขึ้นในหู
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น