หมอดูยอดอัจฉริยะ 920-923

 ตอนที่ 920 ต้องสังหาร

 

พลังแท้จริงของโอคาดะ มาซากะเมื่อครู่แม้ไม่อ่อนด้อย แต่เขาก็ได้ร่ำเรียนวิชาฉีเหมินจากจีน แถมยังเชี่ยวชาญด้านการลอบสังหาร ด้านพลังการโจมตีนั้น ยังต่ำกว่าโจวเซี่ยวเทียนอยู่เล็กน้อย ขอเพียงทะลวงวิชาซ่อนตัวของเขาได้ ก็จะสามารถเป็นฝ่ายนำ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เยี่ยเทียนกล้าให้โจวเซี่ยวเทียนลงสนามรับการประลองจากศัตรู


ความจริงก็เป็นเช่นนี้ ภายใต้การเผลอเรอของโอคาดะ มาซากะ การลอบทำร้ายโจวเซี่ยวเทียนจึงพลั้งพลาดกลับกลายเป็นหมัดเดียวสู่สุคติ หากว่ากันตามตรง พลังที่แท้ของโจวเซี่ยวเทียนเองก็พอๆ กันกับโอคาดะ มาซากะ ไม่ได้ต่ำสูงไปกว่ากันสักเท่าไหร่


แต่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้นแตกต่างกัน ราชครูผู้เป็นทั้งพระสังฆราชผู้ศึกษาวิชาไสยศาสตร์จากประเทศไทยคนนี้ มีแนวทางอันพิสดารมากมายที่แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ถึงแม้เขาจะไม่เคยเข้าสู่ระดับเซียนเทียน แต่หากต่อสู้กันตัวต่อตัว โจวเซี่ยวเทียนก็ยังไม่ใช่คู่มือของเขา


อีกทั้งศพมีชีวิตที่นั่งอยู่ข้างกายนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้น ต่อให้เยี่ยเทียนระมัดระวังเพิ่มขึ้นอีกสามส่วน สัตว์ประหลาดในร่างคนที่ชาญ ทองทวนเคยพาเข้าไปในฮ่องกงเมื่อในอดีตล้วนฟันแทงไม่เข้า และพวกผีดิบที่ชาญ ทองทวนสร้างขึ้นจากเนื้อหนัง เกรงว่าพลังที่แท้จริงนั้นอาจเทียบเท่ายอดฝีมือระดับเซียนเทียนเลยทีเดียว


แน่นอนว่า เยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้เกรงกลัวนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ เขาเพิ่งจะได้วิธีควบคุมคัมภีร์เป็นตาย กำลังกังวลว่าจะไม่มีคนให้ทดลองใช้อยู่พอดี เมื่อราชครูจากแดนไทยกล่าวท้าประลองจึงตรงกับเจตนาของเยี่ยเทียน เขาลุกขึ้นยืน มองไปยังแฟรงก์ เจ้าภาพงานคนนั้นแล้วกล่าวว่า


“ลูกศิษย์ของผมเพิ่งจะผ่านการประลองมาหนึ่งรอบ ตามกฎของงานประชุม เขาปฎิเสธได้ใช่ไหม?”


“แน่นอนครับ สามารถปฎิเสธได้แน่นอน”


แฟรงก์ผู้กำลังมองศพที่ถูกยกลงจากลานประลองไปอย่างงงงัน ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ทั่วทั้งร่างก็สั่นสะท้าน กล่าวยืนยัน


“คุณครับ อีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง คุณถึงจะท้าประลองกับคุณโจวผู้มาจากจีนได้นะครับ!”


ในฐานะผู้จัดตั้งสมาคมผู้มีพลังพิเศษระดับโลก ความจริงแล้วแฟรงก์ก็คือผู้ชื่นชอบพลังวิเศษคนหนึ่ง ทุกวันเฝ้าฝันว่าจะไปสื่อสารกับภูติผีวิญญาณ แต่ตัวเขาเองไม่มีพลังวิเศษใดๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่เคยเห็นภาพเลือดสาดแบบนี้


เดิมทีแฟรงก์เพียงนึกว่า งานประชุมที่จัดขึ้นโดยมีคนใหญ่คนโตบางส่วนอยู่เบื้องหลังคราวนี้ จะมีเพียงพวกนักต้มตุ๋นที่มาเข้าร่วม แต่ความจริงอันโหดร้ายทำให้เขารู้ว่า ตนเองได้เข้ามาพัวพันในวังวนอันลึกล้ำไร้ก้นบึ้งยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งเสียแล้ว


หลังจากได้ยินคำพูดของแฟรงก์ นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็ลังเลเล็กน้อย มองไปยังเยี่ยเทียนแวบหนึ่ง ทันใดนั้นร่างที่ยืนอยู่จึงค่อยๆ นั่งลงอีกครั้ง แต่ว่าเยี่ยเทียนกลับมีเจตนาไม่ละเว้นเขา เอ่ยปากว่า


“ปรมาจารย์สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ทำไมถึงนั่งลงไปล่ะ? ไม่สนใจคำเชื้อเชิญของผมหรือไง?”


“เจ้าหนุ่ม อย่าคิดว่าตัวเองเก่งกาจ จนใต้ฟ้านี้ไร้คู่ต่อสู้ บนโลกนี้คนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้ายังมีอีกมาก!”


ใบหน้าของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แสดงอารมณ์โกรธขึ้ง ในประเทศไทยเขามีสถานะที่ต้องเคารพ คนธรรมดาเมื่อเห็นเข้าจะต้องก้มหัวกราบไหว้ กระทั่งพระมหากษัตริย์ยังต้องพินอบพิเทา คำพูดเย้ยหยันออกหน้าออกตาของเยี่ยเทียนนั้น นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จึงไม่คุ้นเคยเท่าไหร่นัก


แต่ว่าสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์กลับไม่ยอมยืนขึ้น เมื่อหลายปีก่อน เขาเคยได้รับข้อมูลข่าวสารของเยี่ยเทียนต่างๆ นานา รู้ว่าเยี่ยเทียนเชี่ยวชาญในศาสตร์ลี้ลับของจีน ทั้งพละกำลังต่อสู้ยังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง


หลังจากได้พบเยี่ยเทียนคราวนี้ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แม้สัมผัสคลื่นพลังจากตัวเยี่ยเทียนไม่ได้เลย แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าเยี่ยเทียนเป็นเพียงบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง อวัยวะภายในของลูกศิษย์ข้างกายที่ถูกทะลวงเมื่อในอดีต ก็ล้วนถูกเยี่ยเทียนใช้ฝ่ามือกระแทกจนแหลกเหลว


ดังนั้นพอเยี่ยเทียนไม่ออกปากท้าประลองอย่างเป็นทางการ เพียงใช้คำพูดกดดันตน นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จึงเพียงทำเป็นเต่าหดหัว เสมือนว่าไม่ได้ยินคำพูดของเขา นับว่ายิ่งคร่ำหวอดในวงการ ยิ่งขี้ขลาดขึ้นทุกที


“อุตส่าห์มาแล้ว ก็มาแลกเปลี่ยนกันสักหน่อยสิ!”


ใบหน้าของเยี่ยเทียนเปื้อนรอยยิ้ม เดินตรงลงไปที่ลานประลอง เมื่อมาถึงข้างตัวโจวเซี่ยวเทียน ก็ตบบ่าลูกศิษย์ กล่าวว่า


“ทำได้ไม่เลว แต่ว่ากำลังหมัดนั้นของแกออกจะเบาไปสักหน่อย ถ้าหากแรงขึ้นกว่านี้อีกนิด สมองของไอ้เฒ่ายุ่นนั่นคงจะระเบิดออกเหมือนแตงโมอย่างแน่นอน!”


“ท่านอาจารย์? อุ๊บ…”


หลังจากกำจัดโอคาดะ มาซากะในหมัดเดียวไปแล้ว โจวเซี่ยวเทียนที่เดิมทีกำลังภูมิอกภูมิใจ ทันใดได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ก็รู้สึกปั่นป่วนในทรวงอก น้ำรสเปรี้ยวระลอกหนึ่งทะลักขึ้นจากช่วงท้อง คันในช่วงลำคอ แต่ที่สำรอกออกมากลับเป็นเลือดผสมผสานกับน้ำย่อย


“อาจารย์ ไม่เอาได้ไหมครับ เลิกพูดให้ผมสะอิดสะเอียนทีได้ไหม?”


เช็ดรอยเปรอะเปื้อนที่มุมปากแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็มองเยี่ยเทียนอย่างเคืองๆ โอกาสแสดงฝีมือของเขาเดิมทีก็มีน้อย การรบราถึงตายอย่างนี้ยิ่งเป็นประสบการณ์ครั้งแรก บรรยากาศที่เยี่ยเทียนบรรยายออกมา ทำให้โจวเซี่ยวเทียนกลั้นอาการบาดเจ็บที่ได้รับเมื่อครู่ไว้ไม่อยู่ จนระเบิดออกมาพร้อมกัน


เยี่ยเทียนจ้องลูกศิษย์อย่างหงุดหงิด ยิ้มตำหนิว่า


“ไอ้เด็กบ้า ไม่รู้จักสำนึกในโชคเสียเลย กระอักเลือดออกมาอย่างนี้ กลับไปต้องรักษาตัวอย่างน้อยหนึ่งเดือน!”


“หา แย่จริง แหะๆ ขอบคุณครับอาจารย์!”


ได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนี้ ช่องท้องของโจวเซี่ยวเทียนก็รู้สึกดีขึ้นมาก มองลงไปยังพื้นแล้วก็พบว่า ในกองเลือดสดที่สำรอกออกมานั้น ยังมีก้อนเลือดคั่งสีดำอยู่หนึ่งกอง


เยี่ยเทียนโบกมือ กล่าวว่า


“กลับไปแล้วแกออกกำลังกายสักสองสามอาทิตย์ ละลายเลือดคั่งภายในร่างกายเสียหน่อยเถอะ”


“อาจารย์ อาจารย์ต้องระวังตัวด้วยนะครับ ไอ้เฒ่านั่นมันเจ้าเล่ห์เหลือเกิน ไม่แน่อาจมีลูกไม้อะไรก็ได้!”


โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้า กระซิบบอกเสียงเบา เมื่อครู่ตอนที่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นยืน โจวเซี่ยวเทียนได้มองไปทางนั้นแวบหนึ่ง หลังจากเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของชาญ ทองทวนเข้า ก็อดหนาวยะเยือกในใจขึ้นมาไม่ได้


“เอาเถอะ ฉันรู้แล้ว แกพักรักษาตัวให้สบายใจเถอะ”


เยี่ยเทียนยิ้มส่ายหน้า ด้วยวรยุทธ์ระดับเจี่ยตันของเขา บวกกับมีดบินคุ้มกายในตัว ต่อให้เป็นจรวดมิสไซล์ธรรมดาก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ จึงไม่ต้องพูดถึงผีดิบที่สร้างขึ้นจากศาสตร์อธรรมชั่วร้าย และเยี่ยเทียนเองก็ไม่คิดจะปะทะด้วยหมัดมวยกับสัตว์ประหลาดเช่นกัน


ขณะพูดจากับโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนก็ใช้มือขวาวาดกลางอากาศลงบนพื้น ผู้คนมากมายต่างมองไม่เห็นว่ากองเลือดที่สำรอกออกมาของโจวเซี่ยวเทียนก็ระเหยไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับเกล็ดหิมะเจอแสงอาทิตย์


“คุณผู้ชายท่านนี้ ถ้า… ถ้าคุณไม่อยากลงลานประลอง ก็เชิญกลับไปที่นั่งเถอะครับ อย่าให้เสียเวลาสนทนาของท่านอื่นเลย”


ขณะที่เยี่ยเทียนเตรียมตัวกำลังจะลงมาอยู่นั้น เสียงของแฟรงก์ก็ดังขึ้น ในฐานะเจ้าภาพงานประชุมครั้งนี้ เขาจึงจำเป็นต้องควบคุมความเป็นระเบียบของงาน


 แน่นอนว่า สาเหตุหลักที่แฟรงก์เอ่ยปาก นั่นเป็นเพราะบนร่างของเยี่ยเทียนแผ่บรรยากาศอันอ่อนโยนออกมา ในสายตาของแฟรงค์นั่นจึงเป็นคนที่เขาควบคุมได้ ถ้าหากไม่เห็นเยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนยืนอยู่ด้วยกัน คำพูดของแฟรงค์อาจจะหยาบคายยิ่งขึ้นอีกหน่อย


“องค์กรนี้ไปหาไอ้โง่จากไหนมากันน่ะ? วิสัยทัศน์สักนิดหนึ่งก็ยังไม่มี!”


เยี่ยเทียน ถูกแฟรงก์พูดใส่จนจะร้องไห้หรือหัวเราะก็ไม่ออก เขาเองก็ไม่ลดตัวไปเทียบกับคนเส็งเคร็งพรรค์นี้ เดินตรงไปยังลานประลอง เงยหน้ามองนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แล้วพูดว่า


“ท่านราชครู เราสองคนนับว่าคบหาทางวิญญาณกันมานานแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะได้มาพบกันที่นี่ หากไม่ขอคำชี้แนะจากท่านราชครูสักหน ผู้แซ่เยี่ยนี้คงจะต้องเสียดายไปจนชั่วชีวิต!”


เหตุจากอาจารย์หลี่ซั่นหยวนมีความแค้นเคืองกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เขาไม่กล้าเหยียบย่างเข้ามาในประเทศจีนตลอดทั้งชีวิต และนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่มีภาพลักษณ์อันน่าเคารพบูชาเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เขาลอบทำร้ายจั่วเจียจวิ้น ความแค้นเคืองนี้ก็ยิ่งฝังลึกหนักขึ้น


จวบจนหลังจากเยี่ยเทียนโจมตีสังหารชาญ ทองทวน ความแค้นเคืองจึงแปรเปลี่ยนกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาต ภายหลังนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สนใจสถานภาพของตนเองอีกต่อไป ลงมือทำร้ายจู้เหวยเฟิงและต่งเซิ่งไห่ จนเยี่ยเทียนนำชื่อเขาใส่ในบัญชีต้องสังหารไว้นานแล้ว เพียงแต่ตลอดมายังหาโอกาสไปหาเรื่องเขาไม่ได้เท่านั้นเอง


“วันนี้นับว่ามาไม่เสียเที่ยว พละกำลังของคนเมื่อครู่นั่นแข็งแกร่งจริงๆ!”


“คนเมื่อครู่นั้นเรียกเด็กหนุ่มคนนี้ว่าท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์หมายความว่ายังไงกัน?”


“เจ้าโง่ ในประเทศจีนน่ะ ท่านอาจารย์เปรียบได้ดังพ่อคนหนึ่ง เรื่องแค่นี้ก็ยังไม่รู้…”


“บนร่างกายของคนผู้นี้ไม่มีคลื่นพลังเลยแม้แต่น้อย เขาจะรับมือผู้เฒ่าคนนั้นได้หรือ?”


ขณะที่เยี่ยเทียนทำการท้าประลองนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการ ก็ได้กระตุ้นให้เกิดความโกลาหลภายในงาน นั่นเพราะเยี่ยเทียนในสายตาคนหมู่มากดูแล้วไม่ต่างจากแฟรงก์ ให้ความรู้สึกไร้อันตรายโดยสิ้นเชิง บางคนถึงกับคิดว่าเยี่ยเทียนเป็นแค่ผู้ติดตามของโจวเซี่ยวเทียนเท่านั้น


ดังนั้นหลังจากเยี่ยเทียนส่งเสียง ผู้คนมากมายจึงไม่อาจเข้าใจได้ ว่าคนธรรมดาคนหนึ่งท้าดวลกับผู้มีพลังวิเศษ จะมีอาการผิดปกติทางสมองหรือเปล่า?


แน่นอนว่ายังมีผู้คนส่วนหนึ่งไม่ได้คิดเช่นนั้น ตอนที่เยี่ยเทียนออกไปลานประลอง พวกเขาเพ่งความสนใจจดจ้องไปยังร่างกายของเยี่ยเทียน คนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้มีพลังวิเศษ แต่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับหัวกะทิจากระบบข่าวกรองของแต่ละประเทศ


คนกลุ่มนี้รู้ลึกเรื่องของเยี่ยเทียน ไม่เพียงแค่การปรากฎตัวในเหตุการณ์ “911” แต่ยังมีข้อมูลสมัยเกิดการต่อสู้บนเรือสำราญควีนอลิซาเบธและกับแอนโทนี มาร์คัส กระทั่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไซบีเรีย ล้วนอยู่ในกำมือของคนเหล่านี้ทั้งหมด


หนึ่งในภารกิจสำคัญที่สุดในการมาที่นี่ของพวกเขา ก็คือสังเกตการณ์ตัวเยี่ยเทียนทุกฝีก้าว และถ้าหากเป็นไปได้ ก็ให้หาหลักฐานทางพันธุกรรมบางส่วนของเยี่ยเทียนจำพวกเส้นผมหรือเลือดมาด้วย


โจวเซี่ยวเทียนเองก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของพวกเขาด้วยเช่นกัน แต่ว่าในขณะที่พวกเขาเตรียมการไปเก็บเลือดที่โจวเซี่ยวเทียนสำลักออกมานั้น กลับพบว่าที่พื้นไม่มีร่องรอยเหลือแม้แต่น้อย จึงยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเยี่ยเทียนในความคิดพวกเขาเป็นปริศนายิ่งขึ้น


“คุณเยี่ยครับ ผมเข้าใจวัฒนธรรมของประเทศคุณอย่างลึกซึ้ง เรื่องแลกเปลี่ยนความรู้ผมเห็นว่าไม่จำเป็น!”


ขณะที่ภายในงานกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็เอ่ยปากขึ้นในที่สุด แต่ว่าคำพูดของเขากลับทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง ในฐานะตัวแทนเชื้อพระวงศ์ชาวไทย เมื่อไม่กล้ารับท้าประลอง ย่อมทำให้สถานะของประเทศไทยในระดับนานาชาติดิ่งลงฮวบฮาบ


“ปรมาจารย์สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างนี้ ไม่มั่นใจตัวเองหรือ?”


เยี่ยเทียนไม่มีเจตนาจะละเว้นนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่น้อย จึงยิ้มเยือกเย็นตอบ


“ถ้าหากปรมาจารย์ไม่กล้ารับคำท้าล่ะก็ สามารถให้ชาญ ทองทวนลงสนาม ในอดีตผมสามารถสังหารเขาหนึ่งครั้ง ตอนนี้ก็ยังคงทำได้เช่นกัน!”

 

 

 


ตอนที่ 921 ไสยศาสตร์

 

“สังหารไปแล้วครั้งหนึ่ง งั้นก็ต้องเป็นศพไปแล้วน่ะสิ?”


“ไม่จริงน่า คนนั้นเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ดี ไม่เห็นเหมือนคนตายเลย!”


“มันก็พูดยาก ผีดูดเลือดพวกนั้นก็ไม่มีชีพจรเหมือนกัน นายพูดได้หรือเปล่าว่าพวกเขาเป็นมนุษย์น่ะ?”


คำพูดของเยี่ยเทียนกระตุ้นความสงสัยของผู้คนภายในลานประชุมระลอกหนึ่ง ชาญ ทองทวนที่นั่งอยู่ด้านข้างราชครูจากเมืองไทยผู้นี้แม้มีสีหน้าไร้ชีวิตชีวา แต่ก็เดินเข้ามาในงานด้วยตนเอง จนกระทั่งภายหลังเยี่ยเทียนพูดออกมาอย่างนี้ ผู้คนจึงได้รู้สึกถึงความผิดปกติ ว่าคนที่ชื่อชาญ ทองทวนคนนั้นกลับไม่มีลมปราณและสัญญาณของคนมีชีวิตอยู่เลยแม้แต่น้อย


“แก…ไอ้คนโอหัง!” ดวงตาของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์หรี่ลงอย่างดุดัน อดรนทนไม่ไหวลุกขึ้นยืนในท้ายที่สุด


คำพูดนี้ของเยี่ยเทียน เสียดแทงส่วนลึกสุดในใจนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ชาญ ทองทวนตามติดเขามาสามสิบกว่าปี ทุ่มเททั้งกายใจดูแลกิจวัตรประจำวันของเขา ทั้งสองแม้จะเป็นอาจารย์ลูกศิษย์กัน แต่ความสัมพันธ์เหนือยิ่งไปกว่าพ่อลูก เพียงแต่ถ้านายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์รู้ชัดว่าในประเทศจีนมีเสือซ่อนเล็บ ก็คงจะไม่กล้าเหยียบย่างเข้ามาในเขตแดนจีนเพื่อเสาะหาเยี่ยเทียนแม้แต่ก้าวเดียว


ไม่อาจช่วยลูกศิษย์สะสางความแค้น ทั้งยังนำศพของชาญ ทองทวนมาทำเป็นผีดิบ ภายในใจของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เดิมทีก็รู้สึกละอายใจอยู่แล้ว ตอนนี้เยี่ยเทียนขุดเรื่องชาญ ทองทวนขึ้นมาพูดอีก เขาจึงอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป


“ปรมาจารย์สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ จะกล้าประลองหรือไม่?!”


ดวงตาสองข้างของเยี่ยเทียนจดจ้องนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ โดยไม่เก็บงำจิตสังหารของตนแม้สักนิด สำนักพยากรณ์เสื้อป่านกับราชครูแห่งเมืองไทยผู้นี้พัวพันกันมากว่าครึ่งศตวรรษ เยี่ยเทียนจึงไม่คิดปล่อยความแค้นนี้ให้คนรุ่นหลังสะสางอีกต่อไป


“เจ้าหนุ่ม จะข่มเหงกันมากไปแล้ว!”


ถูกบีบคั้นต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ถึงแม้ตำแหน่งของเขาในประเทศไทยจะสูงส่ง พระมหากษัตริย์ยังต้องเรียกเขาว่าพระสังฆราชด้วยความเคารพ แต่ถ้าหากเหตุการณ์วันนี้เผยแพร่กลับไป ต่อให้สถานะของเขาในประเทศไทยไม่ทรุดลง เกรงว่าพระมหากษัตริย์เองก็คงเกิดความไม่พอใจในตัวเขา


ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เองก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารของเยี่ยเทียน เขารู้ว่า แม้จะหลบหลีกจากวันนี้ไปได้ เขากับเยี่ยเทียนก็จะต้องพบจุดจบชนิดไม่ตายไม่เลิกรา สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เองก็เป็นคนทำอะไรเด็ดขาด พอขจัดความหวาดกลัวตรงหน้าแล้ว ก็ค่อยๆ เดินออกจากที่นั่งอย่างเชื่องช้า


ในเวลาเดียวกันกับที่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ออกห่างจากที่นั่ง ชาญทองทวนที่อยู่ข้างกายเขาก็ลุกตามขึ้นมาด้วย ติดตามหลังร่างนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทุกฝีก้าว แต่ที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงก็คือ ร่างกายสูงเกือบสองเมตรของชาญ ทองทวน กลับเดินไปตามเส้นทางอย่างเบาหวิว ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมาเลย


“ขอโทษครับ การ…การแข่งขันนี้ สามารถทำได้ตัวต่อตัวเท่านั้น จะใช้จำนวนเอาชนะไม่ได้!”


ขณะที่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เดินลงมาจากอัฒจันทร์นั้นเอง แฟรงก์ก็ยืนกรานขวางหน้าร่างเขา พอลอบมองร่างสูงของชาญ ทองทวนแวบหนึ่ง คำพูดของแฟรงก์ก็แปรเปลี่ยนเป็นตะกุกตะกักขึ้นมา


“พลังวิเศษของผมคือการควบคุมผีดิบ”


แววตาของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ไม่หันไปมองแฟรงก์เลยแม้แต่น้อย หันร่างของเขามาพูดกับเยี่ยเทียนว่า


“ถ้าแกต้องการแลกเปลี่ยนกับฉัน ก็ต้องประจันหน้ากับทั้งคู่ แกยินยอมหรือเปล่า?”


“ใช้ศพคนมาทำเป็นผีดิบเดินได้ แถมยังเป็นลูกศิษย์ของตนเองอีก จุ๊ๆ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ แกนี่ใจแข็งอย่างกับเหล็ก!”


เยี่ยเทียนถอนหายใจแล้วส่ายหน้า ตอบว่า


“ไสยศาสตร์นั้นกำเนิดมาจากวิชาแมลงพิษทางมณฑลชายแดนของเมืองจีน เป็นศาสตร์วิชาที่สืบทอดต่อมาจากพ่อมดโบราณ ลี้ลับไม่อาจคาดเดา แปรเปลี่ยนได้หลากหลายสภาพ พวกแกแค่เรียนรู้เพียงกระผีก กลับไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ต่อให้แกมาเป็นคู่แล้ว ผู้แซ่เยี่ยมีหรือจะกลัว?”


ด้วยวิทยายุทธ์ระดับเยี่ยเทียน สามารถฝึกฝนให้อวัยวะภายในแข็งแกร่งราวเหล็กกล้าได้นานแล้ว ต่อให้กลืนกินแมลงพิษตัวเป็นๆ ลงไปก็สามารถย่อยสลายมันกลายเป็นน้ำหนองภายในกระเพาะ สำหรับเขาแล้ววิชาไสยศาสตร์ จึงไม่น่าหวั่นเกรงใดๆ


เวลานี้ถึงแม้ในมือจะไม่ได้ถือง้าวจันทร์เสี้ยวมังกรเขียว แต่มีดบินคู่กายภายในจุดตันเถียนของเยี่ยเทียน ก็มีคุณสมบัติแข็งแกร่งกว่าง้าวจันทร์เสี้ยวมังกรเขียวเป็นร้อยเท่า? เพียงเยี่ยเทียนปล่อยออกมา เกรงว่าจะสามารถสับบดชาญ ทองทวนจนฉีกขาดเป็นพันหมื่นชิ้น


“คุณผู้ชายครับ ในเมื่อคุณตกลงแล้ว ก็ลงนามในสัญญาฉบับนี้เลยครับ!”


แฟรงก์ที่ถูกหนีบอยู่ตรงกลางระหว่างนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เพียงรู้สึกใจไม่อยู่กับเนื้อตัว หลังจากหยิบสัญญาสองฉบับวางลงบนโต๊ะแล้ว ตัวเขาก็หลบลี้ไปอยู่ที่ไกล


“แกวอนตายเอง จะมาแค้นเคืองฉันไม่ได้ล่ะ!”


ใบหน้าของสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แสดงอารมณ์โมโห และไม่ใช้ปากกาบนโต๊ะ ทว่าคัดเลือดหยดหนึ่งออกมาจากนิ้วโดยตรง แล้วกดลงนามตรงตำแหน่งชื่อของตนเอง


“หึ ใจกว้างจริงๆ สละเลือดได้ตามใจทุกเมื่อ!”


หลังจากเห็นการกระทำของสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว เยี่ยเทียนก็จุ๊ปากด้วยความประหลาดใจ เดินไปข้างโต๊ะ ลงชื่อของตนเองตามระเบียบ หลังจากนั้นก็ถอยหลังมาสิบกว่าเมตร หยิบสมุดสีขาวดำออกมาจากหน้าอก เปิดพลิกดูอย่างสงบเสงี่ยม


“คนนั้นเสียสติหรือเปล่า? มาถึงนี่เพื่ออ่านหนังสือเนี่ยนะ?”


“นั่นน่ะสิ ดูท่าทางเขาแบบนั้น มือเปล่าไร้อาวุธแล้วจะสู้ศึกใหญ่ได้ยังไง?”


“หุบปากกันให้หมด ระวังอย่าพูดพล่อยๆ เจ้าหนุ่มนั่นไม่ธรรมดานะ!”


หลังจากเยี่ยเทียนหยิบคัมภีร์เป็นตายออกมา ภายในงานประชุมทั่วทั้งสี่ทิศพลันมีเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้น คนส่วนใหญ่ล้วนไม่อาจเข้าใจการกระทำของเยี่ยเทียน กำลังจะสู้กันเอาเป็นเอาตายอยู่แล้ว ยังจะต้องดึงพลังจากในหนังสืออีกทำไม?


แต่ก็ยังมีคนสายตาเฉียบคม ภายหลังจากเยี่ยเทียนชูคัมภีร์เป็นตายในมือ พระสงฆ์สามรูปจากอินเดียต่างเบิ่งตาโตสีหน้าแปรเปลี่ยนไปพร้อมๆ กัน ในดวงตาเปี่ยมด้วยความหนักแน่นของพวกเขา ดูราวแอบแฝงความหวาดกลัวอยู่เป็นนัย


และแดร็กคูล่ากับเหล่าอัศวินโต๊ะกลม ต่างก็จับจ้องสายตาลงบนมือของเยี่ยเทียน พวกเขาสัมผัสได้ว่าหลังจากหนังสือเล่มนี้ถูกหยิบออกมา แรงกดดันอันน่าหวาดผวาก็แผ่ซ่านไปทั่ว


“แปลกจริง เรายังไม่ทันได้ใส่ปราณแท้ แล้วทำไมถึงส่งแรงกดดันออกมาได้ล่ะ?”


เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่กลางลานประลองนึกสงสัยอยู่ในใจ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสมุดเล่มนี้มากนัก นอกจากใช้อักษร “เป็น” เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บให้ลูกศิษย์แล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าเร่งใช้อักษร “ตาย” เพราะเขาไม่อาจคาดเดาผลลัพธ์ที่ตามมา


“นั่นมันอะไรกัน?”


นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใกล้ตัวเยี่ยเทียนที่สุด ย่อมสามารถสัมผัสลมปราณที่แผ่ออกมาจากคัมภีร์เป็นตายเช่นเดียวกัน สีหน้ายังอดเปลียนไม่ได้ เขาสามารถสัมผัสถึงพลังงานขนาดทลายฟ้าทลายดินจากภายในคัมภีร์เป็นตาย  จึงไม่กล้าลังเลอีกต่อไป


ฝ่ามือขวาประทับลงด้านหลังศรีษะของชาญ ทองทวนที่อยู่ข้างกายอย่างรุนแรง หลังจากร่ายคาถาลึกลับอันยากจะเข้าใจออกมาสองสามประโยคแล้ว สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็คำรามเสียงดังกึกก้อง


“ชาญ ทองทวน นี่คือคนร้ายที่ทำให้ร่างเจ้าต้องตาย วันนี้อาจารย์พาเจ้ามาสะสางหนี้แค้น ไป สังหารมันเสีย!”


“โอ…โอ…!”


พอถูกสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ตบเข้าเช่นนี้ ปากของชาญ ทองทวนก็ส่งเสียงร้องที่ไม่ใช่ของมนุษย์ออกมา ขาขวากระทืบลงพื้นอย่างแรง จนพื้นดินทั่วลานประชุมล้วนสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น โดยอาศัยจากแรงนั้น ร่างสูงใหญ่ของชาญ ทองทวนก็พุ่งถลาเข้าไปหาเยี่ยเทียน


ความเชี่ยวชาญของสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์คือการควบคุมผีดิบ และลักษณะสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของผีดิบก็คือฟันแทงไม่เข้า จะฆ่าอย่างไรมันก็ไม่ตาย นอกเสียจากจะสับแขนขาทั้งสี่และหัวของมันออกมา เยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้าไม่มีแม้กระทั่งอาวุธในมือ ในใจสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จึงคาดว่าจะสามารถโจมตีสังหารเขาได้ถึงแปดในสิบส่วน


แต่ทุกสิ่งล้วนมีข้อดีและข้อเสีย ความด้อยของผีดิบที่ฟันแทงไม่เข้ามีเพียงอย่างเดียวคือเคลื่อนไหวได้ไม่คล่องแคล่วนัก การโจมตีเองก็เพียงทำได้แต่ตรงไปตรงมาทื่อๆ ไม่มีเปลี่ยนแปลง


สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เพียงกังวลว่าตอนที่เยี่ยเทียนหลบหลีกการโจมตีของชาญทองทวนจะเข้าโจมตีตนเอง ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่ด้านหลังชาญ ทองทวนตลอดเวลา โดยใช้ร่างสูงใหญ่ของเขาเป็นเกราะกำบังให้ตน


แต่กลับเห็นได้ชัดว่านายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้นกังวลเกินกว่าเหตุ นั่นเพราะเขาพบว่าเยี่ยเทียนกลับไม่หลบไม่หลีกการพุ่งเข้าโจมตีจากชาญ ทองทวนเลย ยังคงจ้องมองหนังสือในมืออย่างไม่สะทกสะท้าน ทั้งที่หมัดทั้งสองของชาญ ทองทวนกำลังจะถึงตัว


สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าของสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มีสีแดงซ่าน เรื่องพลังโจมตีของผีดิบ ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขา ในป่าลึกที่ประเทศไทย ชาญ ทองทวนผู้ถูกทำให้กลายเป็นผีดิบเคยใช้หมัดเดียวสังหารสัตว์ร้ายตัวเต็มวัย การโจมตีเช่นนี้พลังของมนุษย์จึงไม่อาจต้านทานได้


เสียง “เปรี้ยง!” ดังราวกับรถพุ่งชนเข้ากับกำแพง สนั่นหวั่นไหวจนผู้คนล้วนหูชากันไปหมด อดสั่นสะท้านไปตามๆ กันไม่ได้ บังเกิดเสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นขนาดนี้ เด็กหนุ่มคนนั้นคงจะถูกอัดจนกลายเป็นเนื้อแผ่นไปแล้ว


ทว่าเมื่อพวกเขามองไปยังภายในลานประลองแล้ว ต่างต้องอ้าปากค้างไปตามๆ กัน ในดวงตามีแววตกตะลึง เพราะเยี่ยเทียนยังคงยืนมั่นคงอยู่ตรงนั้น กระทั่งเท้าสักก้าวก็ยังไม่เคลื่อนที่ ดวงตากลับเลื่อนออกจากหนังสือแล้ว สายตามองมายังชาญทองทวนตรงหน้าอย่างไม่ยี่หระ


“เป็นไปได้ยังไง?”


“ไม่น่าเชื่อเลย!”


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ถูกโจมตีเข้าที่กลางหัว แล้วเขายังปลอดภัยไร้บาดแผลได้ยังไง?”


หลังจากความเงียบงันชั่วขณะภายในลานประชุม พลันเกิดเสียงดังอื้ออึงกึกก้อง ต่อให้ปีศาจเหล่านั้นมีชีวิตอยู่มาเป็นพันปี ก็ไม่อาจเข้าใจในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า นั่นเพราะต่อให้เป็นพวกเขา ก็คงไม่กล้ารับการโจมตีอันดุดันเช่นนั้นโดยตรง


“นับว่าพอมีแนวทางอยู่บ้าง แรงโจมตีของหมัดนี้ สามารถเทียบได้กับปลายเซียนเทียนขั้นต้น ทว่ายังไม่เพียงพอ ถ้าหากยังไม่ถึงขั้นปลายเซียนเทียน ก็อย่าหวังจะโจมตีปราณคุ้มกันของฉันให้แตกสลายเลย!”


ไม่มีใครดูออกว่า เวลานี้ภายนอกร่างเยี่ยเทียน มีปราณแท้ชั้นหนึ่งไหลเวียนเป็นเกราะคุ้มกัน หลังหมัดอันหนักหน่วงนั้นของชาญ ทองทวนโจมตีลงบนเกราะนี้ ปราณแท้ทั่วร่างของเยี่ยเทียนก็พลันกระเพื่อมไหว สลายละลายจากพลังหมัดนั่นไปจนหมด


“ไม่ เป็นไปไม่ได้!”


ตาโตปากค้างจ้องมองภาพที่อยู่ตรงหน้า นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์พลันร้องออกมา หลังจากยื่่นมือไปแก้มัดน้ำเต้าที่ช่วงเอวแล้ว สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็เทตะขาบพันขาลำตัวยาวหนึ่งฉือออกมาตัวหนึ่ง ยัดเข้าปากไปในทันที


พอนำตะขาบตัวนั้นกัดและกลืนลงไป นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ทันได้เช็ดของเหลวที่ริมฝีปาก ก็เริ่มบริกรรมคาถาออกมา หลังจากเสียงสวดลึกลับพิสดารนั้น พลังที่อยู่บนร่างของชาญ ทองทวนก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างฉับพลันอีกหลายเท่า


แค่นั้นยังไม่พอ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ยังเอานิ้วโป้งใส่ปากตัวเอง หลังจากกัดมันจนขาดในหนึ่งคำ ก็นำเลือดสดๆ ที่ไหลทะลักออกมาป้ายไปยังหัวคิ้วของชาญทองทวน!

 

 

 


ตอนที่ 922 ตายซะ!

 

“ฆ่ามัน ฆ่ามันซะ!”


หลังจากปากร่ายคาถาลึกลับอันยากจะเข้าใจ นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็ชักนิ้วโป้งที่กดไปยังหัวคิ้วของชาญ ทองทวนกลับ คนสายตาดีจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า นิ้วโป้งที่เดิมอยู่ในสภาพครบถ้วนนั้นขาดจนเหลือแต่ตอ


“โอ…โอว!”


หลังจากถูกมนต์คาถาและโลหิตเพิ่มเติมจากสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ชาญ ทองทวนผู้เดิมทีมีร่างสูงเกือบสองเมตร ราวกับสูบลมเข้าไปข้างในจนร่างสูงใหญ่ขึ้นอีกกว่าครึ่งเมตร เสื้อผ้าบนเนื้อตัวล้วนฉีกขาดออกหมด


ร่างของชาญ ทองทวนเองก็ดูเหมือนจะทนพลังอันเพิ่มพูนอย่างปัจจุบันทันด่วนไม่ได้ ผิวหนังเปลือยเปล่าด้านนอกเต็มไปด้วยรอยแตกคล้ายกับเกล็ดปลา มีสีดำคล้ำอีกทั้งยังส่งกลิ่นเน่าเหม็นจากร่างแผ่ไปภายในลานประชุม


ดวงตาของชาญ ทองทวนเดิมทีเต็มไปด้วยลมหายใจแห่งความตาย บัดนี้กลับกลายเป็นสีแดงสด ภายในสมองของเขา มีเพียงเสียงเดียวเท่านั้น นั่นก็คือสังหารเยี่ยเทียน สังหารเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนั้นทิ้งเสีย


คำรามเสียงกึกก้องออกมา แล้วชาญ ทองทวนก็กระโจนเข้าบดเยี่ยเทียนราวกับรถถัง ฝ่ามือขนาดเท่าใบพายรวมกับพละกำลังมหาศาล ตรงเข้าตบไปที่ศีรษะของเยี่ยเทียน


“ศาสตร์หมอผีนี่นับว่ามีฤทธิ์พอสมควร ระหว่างที่ปลุกเร้ากำลังของตนเอง ยังสามารถถ่ายทอดพลังงานนี้เข้าไปยังตัวผีดิบได้ด้วยหรือ? แต่ว่าก็ยังอ่อนหัด!”


ขณะที่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์กระโดดขึ้นกระโดดลง  เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ลงมือต่อต้าน ทั้งยังยืนนิ่งมองอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ


การกระทำของสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ในสายตาของเยี่ยเทียนนั้น ราวกับเด็กสามขวบที่ถูกกลั่นแกล้งรังแก แล้วจึงไปตามพี่ชายอายุห้าขวบ เพื่อมาหาเรื่องกับชายฉกรรจ์เต็มวัยร่างแข็งแกร่ง ความห่างชั้นนี้จึงไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทนได้ เมื่อต้องเผชิญกับพลังที่แท้จริงตรงหน้า ความพยายามทั้งหมดทั้งมวลล้วนเสียไปอย่างเปล่าเปลือง


เยี่ยเทียนส่ายหน้าเบาๆ แม้นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จะยกระดับพลังกายให้ผีดิบผู้ไม่ใช่ทั้งมนุษย์และปีศาจ แต่ก็ยังเพิ่มได้เพียงภายในระดับเซียนเทียนเท่านั้น ไม่สามารถพังทลายการป้องกันของเขา


“วืด…”


ขณะที่ฝ่ามือของชาญ ทองทวนตบลงมา เยี่ยเทียนก็เอียงหัวเล็กน้อย ไหล่ขวายักขึ้นนิดหน่อยแล้วจึงปล่อยลง ด้วยการขยับขึ้นลงแรงมหาศาลนั่นก็กระจายหายไปทันใด


หลังจากสลายพลังระลอกนั่นแล้ว ไหล่ของเยี่ยเทียนก็ยกขึ้นอีกครั้ง เพียงได้ยินเสียง “วืด” เบาๆ ร่างมหึมาของชาญทองทวนก็พลันลอยขึ้นจากพื้น ถลาไปด้านหลังสี่ห้าเมตร ขาทั้งสองข้างสะดุดล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ? เจ้าหนุ่มนั่นเหมือนไม่ได้ขยับตัวเลยนี่นา?”


“นั่นมันพลังวิเศษอะไรกัน? หรือว่ามีผลต่อความคิด?”


“ชาวเอเชียช่างน่าสะพรึงกลัว ชาวจีนที่น่าหวาดหวั่น เด็กหนุ่มผู้น่าเกรงขาม!”


มีเพียงคนที่นั่งห่างจากลานประลองไม่ไกลเท่านั้นถึงจะได้ยินเสียงเหล่านี้ คนที่อยู่บนแสตนด์ไม่รู้เลยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เพียงเห็นว่าหลังจากชาญทองทวนพุ่งโจมตีใส่เยี่ยเทียน แล้วตนเองก็พลันถลาลื่นไปด้านหลัง


คนเหล่านั้นที่อยู่บนอัฒจันทร์ต่อให้ซื่อเซ่อแค่ไหน เวลานี้ก็ยังเข้าใจขึ้นมา ว่าพลังอันแข็งแกร่งของเยี่ยเทียน เหนือกว่าที่พวกเขาคาดเดาไว้ในจินตนาการมากนัก ราวกับเด็กน้อยที่ยังไม่อาจเข้าใจโลกของผู้ใหญ่ ความลึกซึ้งในปัญญาของพวกเขาที่มีต่อโลกนี้ยังมีไม่พอ


“ชาญ ทองทวน ลุกขึ้น ฆ่ามัน ไปฆ่ามันซะ!”


เมื่อเห็นภาพนั้น นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็บ้าคลั่งเต็มพิกัด เขาพุ่งไปข้างหน้าชาญ ทองทวนที่นั่งอยู่กับพื้นในก้าวเดียว กัดนิ้วชี้ของตนเองอย่างดุเดือด แล้วขณะที่เลือดสดไหลรินออกมา บนใบหนัาของชาญทองทวนก็เกิดลวดลายอันยากจะอธิบาย


ดูเหมือนเมื่อได้รับการกระตุ้นจากโลหิตของสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ชาญ ทองทวนก็ลุกขึ้นยืนพุ่งเข้าใส่เยี่ยเทียนอีกครั้ง เขาไม่มีสติปัญญาใดๆ และไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด แม้ว่ากระดูกข้อมือขวาจะแหลกป่นละเอียดไปแล้ว แต่ก็ยังพุ่งไปเหนือร่างเยี่ยเทียนอยู่ดี


“มดปลวกสั่นต้นไม้ ไม่ประเมินกำลังตน!”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า ร่างกายยังคงไม่ไหวติง ปล่อยให้ชาญ ทองทวนต่อยเตะตามใจ แต่สายตากลับจ้องมองคัมภีร์เป็นตายในมือตัวเอง


สาเหตุที่เยี่ยเทียนยังไม่โจมตีกลับเลยนั้น เป็นเพราะในใจยังคงทบทวนน้ำหนักข้อดีข้อเสียในการใช้ “คัมภีร์เป็นตาย” อยู่ ตอนที่รักษาบาดแผลให้โจวเซี่ยวเทียน “คัมภีร์เป็นตาย” เล่มนี้สูบปราณแท้ภายในร่างของเขาไปเกือบครึ่ง


หากใช้คัมภีร์เป็นตายสังหารคน เยี่ยเทียนยังไม่รู้ว่าจะเกิดผลลัพธ์ตามมาอย่างไรบ้าง ถ้าหากมันสูบปราณแท้ภายในร่างเขาจนหมดสิ้นล่ะก็ วันนี้เยี่ยเทียนคงจะพบกับความบันเทิงอย่างมหาศาลทีเดียว กลัวว่าทั้งอัศวินโต๊ะกลมกับแดร็กคูล่าจะร่วมมือกันเผชิญหน้ากับเขา


“จะรุ่งหรือจะร่วง ร่วงแล้วอาจไม่รอด แต่อย่างไรถือในมือแล้วไม่ใช้ก็ไม่ได้อยู่ดี? ต่อให้ผลาญปราณแท้จนหมดสิ้น ก็ยังมีพลังจิตที่ใช้ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องกลัวพวกมัน!”


เยี่ยเทียนขบฟันไปมา รินปราณแท้บริสุทธิ์สายหนึ่งเข้าไปยังภายใน “คัมภีร์เป็นตาย” ทันใดนั้น “คัมภีร์เป็นตาย” ก็ส่องประกายแสงสีขาวและดำออกมาภายนอก แสงสีขาวให้ความรู้สึกอบอุ่นชุ่มฉ่ำ จนไม่อาจห้ามใจให้เหลือบมองหลายต่อหลายครั้ง


ทว่าลำแสงสีดำ กลับเป็นราวเช่นหลุมดำ หลังจากดวงตาได้สัมผัส ก็รู้สึกเพียงพลังดึงดูดฉุดรั้งวิญญาณ น่าหวั่นเกรงจนผู้คนภายในลานประชุมล้วนต้องชักสายตากลับ ไม่กล้ามองหนังสือเล่มนั้นอีกแม้เพียงแวบเดียว


“ไม่รู้ว่าของชิ้นนี้จะมีผลต่อคนต่างชาติหรือเปล่า?”


เยี่ยเทียนพลิกเปิดหน้าหนังสือ ใช้นิ้วชี้มือขวาจิ้มเขียนลงบนหน้านั้น อีกทั้งยังเขียนตัวอักษรภาษาไทยและภาษาจีนลงไป เยี่ยเทียนเพียงมีความคิดอยากทดสอบอยู่ในใจเท่านั้น


“เอ๋ ทำไมถึงไม่สูบปราณวิเศษของเราล่ะ?”


สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนตกใจก็คือ หลังจากที่เขาเขียนเสร็จแล้ว ภายใน “คัมภีร์เป็นตาย” กลับไม่ส่งแรงดึงดูดออกมา นอกจากใช้พลังคุ้มกันต้านทานการโจมตีของชาญ ทองทวนกับปราณวิเศษที่รินไหลจากมือซ้ายลงไปภายใน “คัมภีร์เป็นตาย” แล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่รู้สึกไม่สบายที่ตรงไหนเลย


“หืม? นี่มันเกิดอะไรขึ้น เส้นใยสีดำพวกนี้คืออะไร?”


ขณะที่เยี่ยเทียนงุนงงไม่เข้าใจอยู่นั้น เขาพบว่า จากในหน้าหนังสือสีดำของ “คัมภีร์เป็นตาย” นั้น ปรากฎพลังงานเป็นเส้นสายที่มีเพียงต้องใช้จิตดั้งเดิมเท่านั้นจึงจะสัมผัสได้ พลังงานเหล่านั้นราวกับตาข่ายชิ้นใหญ่ ครอบฟ้าคลุมดินไปยังทิศทางที่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ห่างออกไปสิบกว่าเมตร


 อย่าว่าแต่เวลานี้สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์กำลังตีโพยตีพายชี้นิ้วสั่งให้ผีดิบโจมตีเยี่ยเทียนอยู่ ต่อให้เขากำลังมีสติรู้ตัวใจจดจ่อ ก็ไม่อาจมองเส้นใยสีดำนั่นออก เพียงช่วงไม่กี่อึดใจสั้นๆ เส้นใยเหล่านั้นก็ห่อหุ้มทั้งเนื้อตัวของสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เอาไว้แล้ว


“อะ…อะไรกัน ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าชะตาชีวิตกำลังไหลริน?”


ความอ่อนล้าภายในใจประเภทหนึ่ง ทำให้นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์คืนสติจากความบ้าคลั่ง เขาพลันรู้สึกว่าพลังชีวิตภายในร่างกายของตนกำลังไหลเชี่ยวออกไปราวโผบิน ร่างกายทั้งบนล่างราวกับถูกตาข่ายยักษ์ชิ้นหนึ่งพันธนาการเอาไว้ ไม่ว่าสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จะดิ้นรนเท่าไหร่ ก็ทำได้แต่เพียงแค่ส่งเสียงโหยหวนออกมาจากปากอย่างสิ้นหวัง


ร่างกายผ่ายผอมของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ กลับกลายเหี่ยวแห้งลงต่อหน้าสายตาสาธารณะชน ดูราวเลือดเนื้อทั้งตัวหายไปจนหมด เหลือเพียงผิวหนังหุ้มติดอยู่บนกระดูก ภายใต้ผิวหนังเบาบางนั้น ยังสามารถเห็นได้ถึงขั้นกระดูกขาวโพลนของเขา


“ทำ…ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?”


เหล่าคนที่ค่อนข้างใจเสาะภายในลานประชุม ต่างกัดฟันกระทบกันกึกๆ คนที่ยังเป็นๆ คนหนึ่งแปรเปลี่ยนเป็นโครงกระดูกต่อหน้าต่อตา สถานการณ์เช่นนี้ช่างวิปริตพิสดารเหลือเกิน


“ท่านบรรพบุรษคาอิน หรือว่าท่านได้คืนชีพแล้ว?”


กระทั่งแดร็กคูล่าที่มีชีวิตอยู่มาเป็นพันปี เวลานี้ยังอดขนลุกอยู่ในใจไม่ได้ เขาเคยมีประสบการณ์ดูดเลือดจากร่างคนจนหมดเกลี้ยง แต่ถึงเลือดแห้งก็ยังคงมีเนื้อหนัง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้กลายเป็นถึงขนาดนี้


“คัมภีร์เป็นตาย สามารถกำหนดให้คนเป็นหรือตายได้จริงๆ หรือนี่?!”


บางทีคงมีแต่เยี่ยเทียนที่สามารถให้คำตอบข้อสงสัยแก่คนทั้งหลาย แต่ว่าเวลานี้เยี่ยเทียนเพียงอยากตะโกนก้องออกมาดังๆ อย่างตื่นเต้น ในที่สุดเขาก็สามารถสรุปได้ ว่านี่คือ “คัมภีร์เป็นตาย” ในตำนานจริงๆ!


บางทีตอนที่เยี่ยเทียนกระอักเลือดออกจากปากตอนรวมร่างกับ “คัมภีร์เป็นตาย” ครั้งนั้น ระหว่างเยี่ยเทียนกับ “คัมภีร์เป็นตาย” จึงดูราวจะมีความสัมพันธ์บางอย่าง เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าหลังจากตาข่ายสีดำนั้นห่อหุ้มตัวนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ ก็เริ่มดูดกลืนพลังชีวิตจากในกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง


ร่างของมนุษย์นอกจากพลังงานจากการฝึกวิชาแล้ว ลมปราณซึ่งมีค่าที่สุดซุกซ่อนอยู่ภายในเลือดเนื้อนั่นเอง หลังจากที่เส้นใยสีดำดูดกลืนพลังงานของสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จนหมดสิ้น ก็กลืนกินลมปราณที่อยู่ในเลือดเนื้อของเขาอีก


ที่ใช้คำว่ากลืนกินมาเปรียบเทียบ นับว่าเหมาะสมที่สุดไม่เกินเลย


นั่นเป็นเพราะหลังจากเส้นใยสีดำสอดแทรกเข้าไปภายในร่างของสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ เลือดเนื้อของเขาล้วนละลายสูญสลาย เหลือเพียงลมปราณอันบริสุทธิ์ล้ำลึกที่ถูกเส้นใยสีดำส่งกลับไปภายใน “คัมภีร์เป็นตาย” ดูดกลืนจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือเศษตกค้างไว้แม้แต่นิดเดียว


หลังเส้นใยสีดำเหล่านั้นดูดซับลมปราณภายในร่างกายนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์สองสามรอบจนกระทั่งภายในกระดูกก็ไม่เหลือหลอ ประกายแสงสีดำขาวสองสีก็ค่อยๆ จืดจางลงไป


เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสได้ว่าหลังจากดูดซับลมปราณทั่วร่างสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ภายใน “คัมภีร์เป็นตาย” แผ่อารมณ์ยินดีออกมาบางอย่าง ไม่ผิดแน่ มันคือความรู้สึกยินดีปรีดา ราวกับคนได้กินอิ่มท้องแล้วเรอออกมา


“ให้ตายสิ ดีนะไม่ทดลองกับคนมั่วซั่ว ขืนเมื่อวานเขียนชื่อของเซี่ยวเทียน สงสัยจุดจบของเขาคงจะไม่ต่างกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์หรอกกระมัง?”


ขนาดตัวเองควบคุม “คัมภีร์เป็นตาย” อยู่ แต่เมื่อมองไปทางโครงกระดูกห่างไปสิบกว่าเมตรนั่น เยี่ยเทียนยังอดหนาวยะเยือกขึ้นมาในใจไม่ได้ “คัมภีร์เป็นตาย” ในตำนานสามารถทำให้คนตายคืนชีพ และทำให้คนมีชีวิตชะตาขาด ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ได้รับการยืนยันแล้ว


“พระเจ้า เกิดอะไรขึ้นกันน่ะ?”


“สวรรค์ ทำไมจู่ๆ คนนั้นถึงสลายร่างไป?”


ขณะที่เยี่ยเทียนยังนึกหวาดหวั่นใน “คัมภีร์เป็นตาย” อยู่นั้น ภายในลานประชุมพลันเกิดความโกลาหลขึ้นมา คนที่นั่งอยู่ขอบลานประลองต่างวิ่งขึ้นไปยังด้านบนอัฒจันทร์ ปากก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง ราวกับกำลังหนีสัตว์ประหลาด


“หือ? เจ้าสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นี่เป็นพิษร้ายอย่างที่คาดไว้จริงๆ !”


ความสนใจของเยี่ยเทียนเองก็ถูกเสียงร้องของคนหมู่มากดึงดูด เมื่อเพ่งมองดู กลับพบว่าความวุ่นวายก่อเกิดโดยชาญ ทองทวนนั่นเอง

 

 

 


ตอนที่ 923 ความโลภ

 

ที่แท้ ขณะที่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ถูก ‘คัมภีร์เป็นตาย’ นั่นสูบพลังชีวิตไป ชาญ ทองทวนซึ่งกำลังต่อยตีกับเยี่ยเทียนไม่ได้รับคำสั่งจากนายสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ จึงหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดลงในฉับพลัน ร่างที่ไร้วิญญาณยืนอยู่ตรงนั้นอย่างว้าเหว่ ดวงตาทั้งคู่อันแดงก่ำค่อยๆ จางลง


และเมื่อนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ถูก ‘คัมภีร์เป็นตาย’ สูบพลังและโลหิตไปจนหมดร่างแล้ว ชั่วขณะที่ชีวิตเดินมาถึงจุดสิ้นสุด ร่างกายอันใหญ่โตของชาญ ทองทวนก็ละลายไปทันที


ถูกแล้ว ละลายไปจริงๆ ผิวหนังของเขาที่เดิมทีก็เหมือนแหจับปลาอยู่แล้วนั้นส่งกลิ่นเหม็นโชยออกมา และละลายกลายเป็นน้ำหนองไหลหยดลง ผ่านไปครู่เดียว ศีรษะและช่วงอกของชาญ ทองทวนก็ละลายหายไปหมดแล้ว ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว


ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังจะให้คนเข้าไปเก็บกวาดร่างอันน่าขยะแขยงนั้น ก็พลันเกิดเหตุการณ์พลิกผันขึ้น


แมลงพิษสิบกว่าตัวไต่ออกมาจากช่องท้องของชาญ ทองทวนที่เปลือยอยู่ บ้างก็เป็นแมงมุมสีสันฉูดฉาด บ้างก็เป็นตะขาบหน้าตาอัปลักษณ์ ยังมีแมงป่องที่ปลายหางเปล่งประกายเย็นเยียบอีกด้วย ทันทีที่แมลงพิษเหล่านี้ปรากฏขึ้น ก็ขบกัดเจ้าหน้าที่จนบาดเจ็บไปหลายคน และคลานไต่ไปทั่วสถานที่แห่งนั้น


ในสมัยยุคกลางของยุโรป พ่อมดบางกลุ่มก็เลี้ยงสัตว์มีพิษต่างๆ ไว้เพื่อการศึกษาเช่นกัน แต่เมื่อถึงสมัยปัจจุบัน เวทมนตร์คุณไสยจากยุคโบราณเหล่านี้ได้สูญหายไปจากทวีปยุโรปนานแล้ว ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์เหล่านี้ย่อมไม่เคยพบเห็นแมลงพิษที่น่ากลัวถึงเพียงนี้มาก่อน ยามนั้นจึงพากันกรีดร้องและปีนป่ายขึ้นสู่ที่สูง สถานการณ์วุ่นวายโกลาหลสุดขีด


“ทุกท่านอยู่ในความสงบก่อน กรุณาอยู่ในความสงบด้วย!”


แม้จะไม่ได้รู้ล่วงหน้าว่า ในท้องคนจะสามารถเก็บงำแมลงพิษไว้ได้มากมายถึงปานนั้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่า ฝ่ายผู้จัดงานประชุมได้เตรียมการไว้อย่างเพียบพร้อมยิ่ง ขณะที่ความวุ่นวายเพิ่งจะเริ่มปะทุขึ้นมา ทหารในชุดป้องกันซึ่งผ่านการฝึกมาแล้วหมู่หนึ่งก็วิ่งเข้ามา


หลังจากโกลาหลกันไปพักหนึ่ง แมลงพิษเหล่านั้นจึงถูกกำจัดไปจนหมด แต่ร่างของเจ้าหน้าที่หลายคนที่ถูกกัดไปเมื่อตอนแรกนั้นกลับกลายเป็นสีดำคล้ำ ทรวงอกปราศจากการเคลื่อนไหว ไม่หลงเหลือร่องรอยของการมีชีวิตอยู่อีกเลย


“พระเจ้าช่วย ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้?”


“เจ้าคนเอเชียนั่นต้องเป็นพ่อมดชั่วร้ายแน่ๆ เลย!”


“ทำไมในท้องคนถึงมีแมลงมากมายขนาดนั้นได้ล่ะ? ประหลาดเกินไปแล้ว!”


เมื่อเหตุการณ์วุ่นวายสงบลงแล้ว คนทั้งหลายก็อดวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาไม่ได้ ผู้ที่สามารถมาเข้าร่วมงานประชุมในวันนี้ได้ จะมากจะน้อยต่างก็เป็นผู้ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ธรรมดากันทั้งนั้น แต่กลวิธีของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นี้ กลับไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อนเลย


หลังจากตกตะลึงกันไปได้เพียงครู่เดียว สายตาของทุกคนก็มองไปยังตำแหน่งที่นั่งของเยี่ยเทียนโดยอัตโนมัติ ในดวงตาของหลายๆ คนยังฉายแววละโมบออกมาอีกด้วย


เห็นได้ชัดว่า พวกเขาตระหนักได้แล้วว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับนายสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้น จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับหนังสือที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียนแน่ ของวิเศษที่สามารถคร่าชีวิตผู้อื่นได้อย่างเงียบเชียบเช่นนี้ย่อมกลายเป็นที่หมายปองเป็นธรรมดา


กระทั่งยังมีหลายคนเข้าใจว่า สาเหตุที่เยี่ยเทียนสามารถต้านทานการโจมตีของชาญทองทวนได้นั้น เป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของหนังสือเล่มนั้นล้วนๆ สายตาอันไม่ประสงค์ดีต่างๆ คอยเหลือบแลมาทางที่นั่งของเยี่ยเทียนไม่หยุด ราวกับจะมองทะลุหลังพนักโซฟาไปเห็นความลับของหนังสือเล่มนั้นได้


“นายท่าน หนังสือที่เยี่ยเทียนถืออยู่เล่มนั้น เป็นของวิเศษอะไรกันแน่ครับ?”


ข้างๆ แดร็กคูล่า รูดอล์ฟซึ่งกลายเป็นแวมไพร์ไปแล้วก็มีสีหน้าโลภมากเช่นกัน หลังจากที่ถูกแดร็กคูล่ากัดให้กลายเป็นแวมไพร์ เขาก็นับว่าเป็นสมาชิกที่สืบเชื้อสายโดยตรงคนหนึ่งของแดร็กคูล่าแล้ว ดังนั้นเวลาสนทนาด้วยจึงไม่มีท่าทางหวาดกลัวและยำเกรงอย่างแต่ก่อน


“ไม่รู้สิ ว่ากันว่าเคียวยมทูตสามารถดูดวิญญาณของคนได้ แต่หนังสือเล่มนี้ยังร้ายกาจยิ่งกว่า ไม่ใช่แค่ดูดวิญญาณได้เท่านั้น ยังสามารถสูบเลือดเนื้อของคนได้อีกด้วย รูดอล์ฟ เดี๋ยวแกต้องไปขอโทษเยี่ยเทียน สลายความโกรธแค้นระหว่างแกกับเขาไปเสีย!”


แม้ว่าสีหน้าของแดร็กคูล่าจะยังคงเดิม แต่ลึกๆ ในดวงตาคู่นั้นกลับฉายความหวาดหวั่นออกมา ตอนที่เห็นประกายสีดำเมื่อครู่นั้น แม้แต่เขาเองยังรู้สึกได้ว่าวิญญาณกำลังสั่นไหว นั่นเป็นความน่าเกรงขามชนิดหนึ่งที่มักจะแผ่ออกมาจากสิ่งมีชีวิตระดับสูง


“นายท่าน เจ้าเยี่ยเทียนนั่นก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง หรือพวกเราจะ…”


หลังจากได้ยินเจ้านายพูดดังนั้น รูดอล์ฟก็มีสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที ตอนนี้เขาก็เป็นแวมไพร์ที่แข็งแกร่งตนหนึ่งแล้ว จะไปก้มศีรษะให้มนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งได้อย่างไรกัน?


หลังจากที่กลายเป็นแวมไพร์ รูดอล์ฟรู้สึกได้ว่าพลังของตนกำลังเพิ่มขึ้นทุกวันๆ เดิมทีเขาก็เป็นคนใจกล้าบ้าบิ่นและทะเยอทะยานอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อได้ครอบครองพลังอันแข็งแกร่ง นอกจากแดร็กคูล่าที่อยู่ข้างๆ แล้ว รูดอล์ฟก็ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาทั้งนั้น


แม้ว่าในอดีตเขาจะเคยเห็นเยี่ยเทียนเอาชนะแอนโทนี มาร์คัสได้กับตาตัวเองมาแล้ว แต่รูดอล์ฟเชื่อว่า ด้วยพลังของตนในตอนนี้ ก็คงจะสามารถฉีกแอนโทนี มาร์คัสเป็นชิ้นๆ ได้เช่นกัน ดังนั้นหลังจากที่เห็นคัมภีร์เป็นตายเล่มนั้น จึงเกิดความคิดอื่นขึ้นมาทันที


“บังอาจ แกจะทำอะไร?”


แดร็กคูล่าถลึงตาใส่ แล้วพูดเสียงเย็นเยียบ


“รูดอล์ฟที่รัก หรือว่าแกจะแข็งแกร่งเสียจนแม้แต่คำพูดของฉันก็ไม่เชื่อฟังแล้วงั้นหรือ?”


“ไม่กล้าครับนายท่าน ได้โปรดให้อภัยต่อความสามหาวของบุตรแห่งท่านด้วยเถิด!”


เมื่อเห็นสีหน้าแบบนั้นของแดร็กคูล่า รูดอล์ฟก็รู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นราดรดศีรษะ ตกใจจนรีบคุกเข่าลงไปกับพื้น แนบศีรษะของตัวเองลงไปแทบหลังเท้าของแดร็กคูล่า ร่างก็สั่นระริกไปทั้งร่าง


“ลุกขึ้นเถอะ มีแต่คนที่รู้จักความกลัวเท่านั้นแหละที่จะอยู่นาน!”


แดร็กคูล่ามองรูดอล์ฟอย่างรังเกียจแวบหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่พรสวรรค์ในด้านการบริหารของเขา ไม่ว่าอย่างไรแดร็กคูล่าก็คงจะไม่มีทางทำให้เจ้าทึ่มนี่กลายมาเป็นพวกเดียวกันหรอก เพราะแบบนั้นก็เท่ากับสิ้นเปลืองโลหิตอันเลอค่าของตนไปเปล่าๆ หยดหนึ่ง


“ช่างร้ายกาจ หนังสือเล่มนั้นน่าจะเทียบกับคัมภีร์ไบเบิลของพระสันตะปาปาได้เลยนะเนี่ย”


ระหว่างที่แดร็กคูล่าและรูดอล์ฟสนทนากัน คู่อริของเขา…อัศวินโต๊ะกลมเหล่านั้นก็กำลังกระซิบแสดงความคิดเห็นด้วยสีหน้าที่เปี่ยมด้วยความตกตะลึงอยู่เช่นกัน


อัศวินโต๊ะกลมที่ชื่อเรธเวทซึ่งเป็นหัวหน้าคนกลุ่มนั้นส่ายหน้า แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งเครียด


“ฉันรู้สึกว่าหนังสือนั่นยังร้ายกาจยิ่งกว่าคัมภีร์ไบเบิลของพระสันตะปาปาเสียอีก พวกนายก็คงจะจำได้ ตอนนั้นหลังจากที่พระสันตะปาปาใช้คัมภีร์ไบเบิลชำระล้างสิ่งมีชีวิตจากโลกมืดไปครั้งหนึ่งก็สิ้นพระชนม์เลย เนื่องจากพลังชีวิตถูกดึงออกมาใช้มากเกินไป แต่เจ้าหนุ่มคนนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิด”


“หัวหน้าหน่วยเรธเวท แล้วพวกเราควรทำอย่างไรดีล่ะครับ?”


อัศวินโต๊ะกลมนายหนึ่งถามขึ้น ดวงตาฉายแววฮึกเหิมออกมาเล็กน้อย สำหรับผู้ที่มีชีวิตอยู่มานานจนอายุเท่าพวกเขานี้ ลาภยศชื่อเสียงใดๆ ในโลกล้วนไม่อาจทำให้พวกเขาหวั่นไหวได้อีกแล้ว มีเพียงของล้ำค่าบางอย่างที่ไม่ได้อยู่ในครอบครองเท่านั้น ที่จะสามารถทำให้พวกเขาเกิดความปรารถนาขึ้นมาได้


“ตามระเบียบของที่ประชุม ผู้ชนะจะสามารถริบสมบัติของผู้ที่เป็นฝ่ายแพ้ได้ ไม่ต้องกังวลหรอก ดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้านั่นเป็นของที่ฝ่ายความมืดหลงเหลือไว้ พวกเราก็ต้องนำมันมาชำระล้างอยู่แล้วละ!”


ไม่ว่าเวลาไหน หัวหน้าหน่วยอัศวินเรธเวทก็จะมีสีหน้าท่าทางที่ดูองอาจน่าเกรงขามอยู่เสมอ แม้กระทั่งยามที่กำลังหมายจะชิงทรัพย์ของผู้อื่น ก็ยังสามารถจัดให้ตนกลายเป็นฝ่ายผดุงคุณธรรมได้ ที่แดร็กคูล่ากล่าวว่าพวกเขาเป็นพวกวิญญูชนจอมปลอมนั้น นับว่าไม่ใช่ข้อกล่าวหาที่มากเกินไปเลยจริงๆ


“บัดซบ พวกไม่รู้จักกลัวตายนี่นะ เป็นคนของศาสนจักรแล้วแน่มากรึไง?”


เยี่ยเทียนซึ่งนั่งกลับลงไปยังตำแหน่งของตนแล้วนั้น แม้จะดูเหมือนกำลังหลับตาฟื้นพลัง แต่ความเคลื่อนไหวทั้งหมดในที่นั้นล้วนไม่อาจรอดพ้นจากจิตสัมผัสของเขาไปได้ อัศวินโต๊ะกลมเหล่านั้นมีพลังแข็งแกร่งไม่เบา ตั้งแต่ตอนแรกที่มองมาทางเยี่ยเทียน เขาก็จับความประสงค์ร้ายที่แฝงอยู่ในแววตาของพวกนั้นได้แล้ว


“ดูท่าชัยชนะที่ได้มาโดยอาศัยคัมภีร์เป็นตายนี่ คงยังไม่พอที่จะทำให้พวกนั้นหวาดกลัวกันละสินะ?”


บทสนทนาของคนเหล่านั้นทำให้เยี่ยเทียนเกิดจิตสังหารขึ้นในใจ เปรียบเทียบกับวิญญูชนจอมปลอมพวกนี้แล้ว เยี่ยเทียนยังจะชอบพวกคนเลวบริสุทธิ์มากกว่าเสียอีก ทางฝ่ายแดร็กคูล่านั้นแม้จะส่งสายตาละโมบมาเช่นเดียวกัน แต่ในแววตากลับไม่ได้มีจิตสังหารแฝงอยู่เลย


“อาจารย์ พวกนั้นกำลังพูดอะไรกันอยู่น่ะครับ?”


บรรดาคนที่ประจำอยู่บนตำแหน่งที่นั่งรอบๆ เหล่านั้นไม่ได้พยายามที่จะลดเสียงของตัวเองให้เบาลงเลย เมื่อฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังระเบ็งเซ็งแซ่เหล่านั้นแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็ชักจะสับสนมึนงง เพราะเครื่องแปลภาษาแบบแปลทันที ที่อยู่บนโต๊ะนั้นจะไม่แปลถ้อยคำที่ผู้อื่นสนทนากันเป็นการส่วนตัวให้


“พวกมันคิดจะกำจัดพวกเรา จากนั้นก็ชิงคัมภีร์เป็นตายไป เซี่ยวเทียน แกว่าเราควรจะทำยังไงกันดีล่ะ?”


บนใบหน้าของเยี่ยเทียนแม้จะมีรอยยิ้มน้อยๆ แต่ในดวงตากลับเย็นเยียบผิดธรรมดา ตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มหัดขโมยยางลบของเพื่อนนักเรียนสมัยอายุหกขวบ ไปจนถึงปล้นขุมทองของคนญี่ปุ่น แต่ไหนแต่ไรก็มีแต่ผู้แซ่เยี่ยที่เป็นฝ่ายไปชิงทรัพย์ของคนอื่น ยังไม่เคยถูกใครเห็นตนเป็นเนื้อบนเขียงเช่นนี้มาก่อน


“ฆ่า กำจัดพวกมันให้หมด!”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนก็เกิดโทสะขึ้นมาทันที สมัยเป็นหนุ่มน้อยที่บ้านเขายากจน แม้ว่าหลังจากที่เริ่มติดตามเยี่ยเทียนแล้ว เขาจะไม่ต้องเค้นสมองคิดอุบายเพื่อหาเงินอีก แต่ในกมลสันดานของเขาก็ยังคงเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวมาก ถ้าคิดจะมาปล้นของจากกระเป๋าของเขาละก็ โจวเซี่ยวเทียนจะต้องสู้กับอีกฝ่ายอย่างสุดชีวิตแน่นอน


“ถูกต้องแล้ว มีแต่เลือดเท่านั้นที่จะทำให้พวกมันได้สติขึ้นมาได้”


เยี่ยเทียนหุบยิ้มลง แล้วพลันเลิกคิ้วขึ้น


“จะมีคนมาท้าสู้กับพวกเรางั้นรึ? เฮ้ มีตั้งหลายคนเลยนี่? เซี่ยวเทียน เดี๋ยวแกฆ่าไปเลยนะ อาจารย์จะช่วยขจัดปราณพวกนั้นให้เอง!”


แม้ว่าเขาจะกำลังพูดอยู่กับโจวเซี่ยวเทียน แต่เสียงวิจารณ์จากผู้คนโดยรอบก็ไม่อาจพ้นหูเยี่ยเทียนไปได้เลยแม้แต่ประโยคเดียว เขาพบว่า กลุ่มคนจากอเมริกาใต้ที่กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่นั้น กำลังปรึกษากันอยู่พอดีเลยว่า จะมาท้าสู้กับเยี่ยเทียนเพื่อชิงคัมภีร์เป็นตายไป


“อาจารย์ วางใจเถอะครับ!”


โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้าด้วยสีหน้าฮึกเหิม ได้ยินมานานแล้วว่า เมื่อก่อนอาจารย์เคยแสดงฝีมือบนเรือสำราญ   ควีนอลิซาเบธจนไม่เหลือคู่ต่อสู้เลย ตอนนี้เมื่อตัวเองได้มีโอกาสแบบเดียวกันบ้างแล้ว โจวเซี่ยวเทียนจึงรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านไปทั่วร่างอย่างไม่อาจข่มกลั้น นึกแต่อยากจะโดดลงเวทีไปท้าสู้กับเหล่ายอดฝีมือที่มาจากที่ต่างๆ ทั่วโลก


แต่ขณะที่โจวเซี่ยวเทียนกำลังลับมีดเตรียมออกศึกอยู่นั้น เสียงหนึ่งก็พลันประกาศขึ้นอย่างกระท่อนกระแท่น


 “ท…ท่านทั้งหลาย เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นอย่างกระทันหัน ผมจึงขอประกาศให้การประชุมหยุดพักเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ทุกท่านสามารถเพลิดเพลินกับอาหารเลิศรสที่ทางเราได้จัดไว้ให้ และก็สามารถไปเดินเล่นในสวนด้านนอกได้เช่นกันครับ!”


แมลงพิษทั้งหลายที่ปรากฏขึ้นเมื่อครู่นั้น ทำให้มิสเตอร์แฟรงก์ตกใจเสียแทบแย่ ไม่รู้เมื่อไรเจ้าคนพวกนี้จะจัดให้ตำแหน่งของเขาอยู่บนอัฒจันทร์ชั้นบนสุดเสียที ถึงตีให้ตายเขาก็ไม่กล้าไปยืนเป็นพิธีกรบนเวทีหรอก


“น่าเบื่อจริงๆ เซี่ยวเทียน เหล่ากู้ ไป ออกไปเดินเล่นกันเถอะ!”


เยี่ยเทียนยืดกายลุกขึ้น ทำให้สายตานับไม่ถ้วนเพ่งมองมาจากรอบด้านทันที หลังจากที่เห็นพวกเยี่ยเทียนทั้งสามคนเดินออกไปจากที่ประชุมแล้ว ก็มีคนกลุ่มหนึ่งตามออกไปทันที ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้คิดจะลงมือที่ข้างนอกนั้น แต่เพราะกลัวว่าพวกเยี่ยเทียนจะหนีออกไปจากที่นี่ แบบนั้นของล้ำค่าของพวกเขามีหวังได้หลุดลอยไปจากมือกันพอดี

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)