องครักษ์เสื้อแพร 920-923
ตอนที่ 920 ชื่อที่เหมือนรู้จัก
โดย
Ink Stone_Fantasy
คนเรายามสุขก็ย่อมอารมณ์ปลอดโปร่ง ฮูหยินหวังทงตั้งครรภ์ อารมณ์กำลังดีอยู่ แต่พออ่านเอกสารก็มีปฏิกิริยาอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาโหวเจินตกใจ
เรื่องที่เอกสารกล่าวถึงก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่าเคร่งเครียดแต่อย่างใด โหวเจินเองไม่เห็นรู้สึก ตอนอ่านครั้งแรกก็คิดแค่ว่าอาจมีปัญหาอะไร จึงได้นำมา
“เรียนผู้บัญชาการ เอกสารนี้สามวันก่อนส่งมา ตามหลักแล้วต้องส่งเข้ากองเอกสาร แต่เพราะบอกกล่าวไว้ ดังนั้นข้าน้อยจึงได้นำมา”
เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศในห้อง โหวเจินคำนับกล่าวสองสามคำก็ก้มลงเก็บเอกสารขึ้นมา นอบน้อมต่อหวังทงอย่างที่สุด ต่อหน้าหวังทง หวังทงจ้องมองโหวเจิน กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“เจ้าทำได้ไม่เลว แม้ว่าอีกสองสามวันจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายกองพันกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพร แต่ยังไม่ถึงที่สุด ตั้งใจทำงาน รองผู้บัญชาการและผู้ช่วยผู้บัญชาการก็ใช่ว่าจะไม่ได้ หากไม่อาจได้มาก็คงได้ตำแหน่งนายกองพันประจำนอกเมืองสักตำแหน่ง”
ได้ยินเช่นนี้ โหวเจินรีบคุกเข่าโขกศีรษะกล่าวว่า
“ข้าน้อยทำตามหน้าที่เท่านั้น ผู้บัญชาการมีบุญคุณใหญ่หลวง ข้าน้อยขอจงรักภักดีถึงที่สุด!!”
กองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรเดิมมีนายกองร้อยหลายคนอยู่ โหวเจินมาใกล้ชิดหวังทง ยืนถูกข้างก่อน หวังทงจึงส่งเสริมให้เขาได้เป็นนายกองพัน เท่ากับได้มอบกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรให้เขาดูแล วาจาเมื่อครู่ เป็นการรับปากถึงอนาคตวันหน้าที่ยาวไกล ตอนนี้ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรกับรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรสี่ตำแหน่งยังคงว่าง บอกแล้วว่าหากโหวเจินตั้งใจทำงาน ก็สามารถได้ก้าวไปอีกขั้นได้
โหวเจินเข้าใจในที่สุด ครั้งนี้เรื่องที่ตนทำนั้น ทำให้หวังทงถูกใจได้ วันหน้าก็ย่อมได้ประโยชน์ประมาณมิได้ ใกล้ปีใหม่แล้ว ได้รับคำชื่นชมเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นมงคลคู่มาเยือนตนแล้ว สีหน้ามีรอยยิ้มอยู่หลายส่วน วางเอกสารลงบนโต๊ะ หวังทงพลิกอ่านไปสองหน้าก็ปิดลง เงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า
“เอกสารที่เกี่ยวข้องเตรียมให้พร้อม พรุ่งนี้ก่อนฟ้ามืดนำมาส่งที่นี่ ในกององครักษ์เสื้อแพรหากมีผู้ใดคุ้นเคยเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเมืองเหลียวโจว ตามที่รู้มากหน่อยมาถามด้วย เรื่องนี้ต้องเป็นความลับ เจ้าเข้าใจไหม!”
“ผู้บัญชาการวางใจ ข้าน้อยเข้าใจ!”
โหวเจินโขกศีรษะ หวังทงโบกมือบอกให้โหวเจินออกไปได้ หยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาพลิกอ่านต่อ
*************
เอกสารเล่าถึงเรื่องที่ไม่ใหญ่เท่าไรนัก กล่าวถึงหัวหน้าเผ่าหนี่ว์เจินมีศัตรูใหญ่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของเมืองเหลียวโจว หัวหน้าเผ่าหนี่ว์เจินสองปีนี้ขยายอำนาจออกไปมาก เริ่มแรกก็ไปขอให้เมืองเหลียวโจวส่งมอบศัตรูตน ขุนพลเมืองเหลียวโจวถูกบีบจากหัวหน้าเผ่าผู้นี้ จึงมอบศัตรูให้แก่หัวหน้าเผ่าหนี่ว์เจินไป
เรื่องนี้ไม่ได้มีฎีกาหรือไม่มีเอกสารรายงานทางการ มีแต่รายงานลับจากองครักษ์เสื้อแพร จากนั้นก็ส่งไปยังสำนักองครักษ์เสื้อแพรเมืองหลวง
แม้แต่องครักษ์เสื้อแพรที่บันทึกเรื่องนี้ก็ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญใด เพราะเนื้อหาสำคัญเอกสารกล่าวถึงหัวหน้าเผ่าหนี่ว์เจินส่งของขวัญอันเป็นของดีนอกด่านมามอบให้ตระกูลหลี่อยู่ตลอดเวลา หนังสัตว์ต่างๆ และโสมคนพวกนั้น ของพวกนี้หากเอามาขายในด่านแล้วล่ะก็ย่อมกำลังมหาศาล นี่เท่ากับเป็นการรับสินบนชายแดนอย่างหนึ่ง
เดาว่าที่โหวเจินเลือกเอกสารนี้ออกมา ก็เพราะในนั้นกล่าวถึงหลี่เฉิงเหลียงพ่อลูกเคยมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหัวหน้าเผ่าหนี่ว์เจิน ได้รับของมากมาย และยังมีข่าวว่าเมืองเหลียวโจวแอบมาผ่านคนผู้นี้มาซื้อเกราะที่เทียนจิน แต่ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานชัด
ทว่าชื่อหัวหน้าเผ่าผู้นี้หวังทงกลับเคยได้ยิน ประวัติศาสตร์ที่หวังทงรู้นั้นก็เลือนลางเสียจริง ในยุคนี้ เขารู้จักชื่อฮ่องเต้ว่านลี่ ชื่อจางจวีเจิ้ง แต่ก็ไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก เฝิงเป่ายิ่งเลือนลาง คนอื่นๆ ไม่ต้องพูดถึง แต่ชื่อบนเอกสารนี้เขากลับเคยได้ยิน
……
ชื่อของหัวหน้าเผ่าหนี่ว์เจินก็คือนู่เอ่อร์ฮาชื่อ……
***************
หลังแผ่นดินหมิงตั้งราชวงศ์ ตอนนั้นจูตี้ยังเป็นอ๋องเยี้ยนก็จัดตั้งหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ดูแลพื้นที่ฉางไป๋ซานและเฮยหลงเจียงกว้างใหญ่ที่เรียกว่ามณฑลทหารนูเอ่อกาน[1]
หน่วยองครักษ์เสื้อแพรดูแลพื้นที่นอกกำแพงเมืองเหลียวโจวออกไปทางตะวันออกและทางเหนือไปจรดทะเล พื้นที่กว้างใหญ่ พื้นที่นี้ในยุคนี้ยังคงเป็นพื้นที่ห่างไกลรกร้าง แต่ละแห่งล้วนเป็นภูเขาลึกไม่ก็ลำธารน้ำที่ลุ่มน้ำขัง ทหารแผ่นดินหมิงไม่เหมาะตั้งฐานทัพ จึงมอบให้เผ่าต่างๆ ในพื้นที่กับตั้งมณฑลทหารดูแล
ส่วนใหญ่เผ่าใหญ่ได้พื้นที่นี้ไป เผ่าเล็กก็ตั้งมณฑลทหาร แน่นอนว่าพื้นที่นี้ มณฑลทหารย่อมมีทหารไม่ถึงห้าพัน ราวสองพันกว่าคนก็เรียกได้ว่ามณฑลทหารแล้ว
ในกองกำลังพวกนี้ มีชาวเผ่าหนี่ว์เจิน มีชาวเผ่ามองโกล พื้นที่ดีหรือไม่ก็ให้ดูว่าห่างไกลจากเมืองเหลียวโจวมากเท่าไร หากใกล้ โอกาสปล้นและทำการค้าก็มากหน่อย ก็ย่อมมีเงินทองมากหน่อย ห่างไกลหน่อย ก็ย่อมยากจนสักหน่อย
เมื่อก่อนที่นี่มีเผ่าไท่หนิงที่อยู่ใต้เผ่าตั่วเหยียนเป็นใหญ่ครอบครอง แต่เพราะเผ่าไท่หนิงถูกเมืองเหลียวโจวยกกำลังปราบบ่อยจึงอ่อนแอลง ไม่อาจเข้มแข็งขึ้นได้
ภาพรวมแล้ว เผ่าหนี่ว์เจินกับเผ่ามองโกลแต่ละเผ่าล้วนยกแผ่นดินหมิงเป็นนาย ยอมสวามิภักดิ์เป็นขุนนาง แต่ที่จริงแล้วแต่ละเผ่าล้วนภักดีต่อมองโกลเผ่าใหญ่ทุ่งหญ้านอกด่านที่เหลียวเป่ยและเหลียวซี ตอนนี้คำสั่งข่านเผ่าเคอเอ่อชิ่นเป็นที่ยอมรับในพื้นที่ฉางไป๋ซานและเฮยหลงเจียง
ในเผ่าเหล่านี้ มีมณฑลทหารที่ค่อนข้างเข้มแข็งมากกว่าที่อื่นก็คือมณฑลทหารที่เรียกว่าเมืองเจี้ยนโจว
พูดถึงชื่อเผ่าพวกนี้แล้ว บัณฑิตหลายคนบนแผ่นดินหมิงก็จะคิดถึงทุ่งหญ้าหมื่นลี้ ทิวทัศน์ที่มองไปก็เห็นการเลี้ยงวัวแพะทั่วพื้นที่ ที่จริงแล้วเผ่าใหญ่เผ่าหนี่ว์เจินนอกด่านล้วนเพาะปลูกและล่าสัตว์ พวกเขาเลี้ยงสุกรเพาะปลูก จับปลาล่าสัตว์ เทียบกับชาวนาในด่านแล้ว การจับปลาล่าสัตว์ถือเป็นฝึกทหารอย่างหนึ่ง
เมืองเจี้ยนโจวกำลังทำสิ่งเหล่านี้ ทำให้ต่างจากมณฑลทหารอื่น พ่อค้าเมืองเจี้ยนโจวรุ่งเรืองมาก เพราะตำแหน่งที่ตั้งพวกเขาได้เปรียบ
เมืองเจี้ยนโจวกับแผ่นดินหมิงและเกาหลีที่ใกล้กัน เกาหลีมีการค้ากับแผ่นดินหมิงส่วนหนึ่งเป็นการค้าทางการระหว่างราชสำนัก แต่คณะทูตที่นำการค้ามาอยู่ในการควบคุมของพวกชนชั้นสูงเกาหลี ในเมืองหลวงก็มีการค้าระหว่างพ่อค้าใหญ่และชนชั้นสูง ชาวบ้านได้แบ่งประโยชน์น้อยมาก
แต่เกาหลียากจน การค้านอกด่านได้ประโยชน์มากนั้นสำคัญสำหรับชาวบ้านมาก มีพ่อค้าชาวบ้านเกาหลีมากมายคิดหาวิธีไปทำการค้ากับเมืองเจี้ยนโจว นำสินค้ามาขายแผ่นดินหมิงผ่านทางเมืองเจี้ยนโจว
นานวันเข้า เมืองเจี้ยนโจวก็กลายเป็นเมืองการค้า เผ่าหนี่ว์เจิน ณ เมืองเจี้ยนโจวมีคนทำการค้ามากขึ้นเรื่อยๆ มีคนจากทางเหนือและทางตะวันออกรับซื้อสินค้าของป่าและของมีค่าจากพื้นที่ เมืองเจี้ยนโจวนำมาขายให้พ่อค้าแผ่นดินหมิง ได้รับประโยชน์ ร่ำรวยอย่างมาก
เพราะความร่ำรวย ดังนั้นเมืองเจี้ยนโจวจึงเข้มแข็งกว่าเผ่าอื่นๆ และยังแบ่งออกเป็นสามมณฑลทหาร นู่เอ่อร์ฮาชื่อก็คือผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายซ้ายแห่งเจี้ยนโจว
****************
องครักษ์เสื้อแพรรวบรวมการข่าวเมืองหลวงได้ดีไม่น้อย เรื่องการข่าวจากชายแดนแต่ละแห่งก็มิได้ใส่ใจนัก แต่เก่งเรื่องสะสมการข่าว คิดหาเอกสารที่เกี่ยวข้องก็ย่อมหาได้ไม่น้อย องครักษ์เสื้อแพรสามารถรวบรวมข่าวจากที่ต่างๆ นี่เป็นข้อได้เปรียบ
กองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรโหวเจินวันรุ่งขึ้นก็รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องมาครบถ้วน ตอนเขาไปขอเอกสารจากหน่วยงานอื่นมาก็ไม่เพียงแค่เอาแต่เอกสารที่เกี่ยวข้องกับเมืองเหลียวโจวและเมืองเจี้ยนโจว คนนอกยากจะรู้เขาต้องการทำอะไร องครักษ์เสื้อแพรประจำชายแดนเมืองเหลียวโจวหาไม่พบ ทางร้านสามธาราก็สามารถหาพ่อค้าที่เคยไปที่นั่นบ่อยๆ มาแนะนำได้
พอหวังทงได้เอกสารในมือ วันแรกก็ยังอยู่จวน วันที่สอง ก็ไปยังห้องทำงานหลี่เหวินหย่วนนักรักษาความสงบ ตั้งอยู่ที่ถนนทักษิณ มีหลี่เหวินหย่วนดูแลโดยตรง ล้วนเป็นคนที่สนิทที่สุดของหวังทง วางใจได้ที่สุด
เรื่องเมืองเจี้ยนโจวซับซ้อนมาก เรื่องราวมากมาย ที่จริงแล้ว ชื่อนี้ปรากฏต่อหน้าหวังทงตอนนี้ ทำให้หวังทงแปลกใจมาก หวังทงคิดจะทำความเข้าใจให้มากอีกหน่อย
เมืองเจี้ยนโจวร่ำรวย เผ่าหนี่ว์เจินที่เจี้ยนโจวพลอยภูมิใจไปด้วย เผ่ามองโกลมักไปปล้นชิงแผ่นดินหมิง พวกเขาก็ตามไป หรือไม่ก็ดำเนินการส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ
แต่ทหารเมืองเหลียวโจวก็เก่งกล้า ตอนหลี่เฉิงเหลียงเป็นผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจว ทหารชายแดนเมืองเหลียวโจวก็เป็นทหารกล้าแห่งยุค จากนั้นก็เริ่มปล้นชิง ชายแดนเมืองเหลียวโจวมักไปปล้นชิงเมืองเจี้ยนโจว บางครั้งยังตัดหัวมารับรางวัลราชสำนักอีกด้วย
ชนเผ่าอื่นนอกแผ่นดินหมิงตอนแผ่นดินหมิงอ่อนแอก็ดุร้ายราวกับพยัคฆ์ ตอนแผ่นดินหมิงเข้มแข็งก็ทำตัวราวกับแพะที่เชื่อฟัง หน่วยทหารในเจี้ยนโจวในยุคนี้ล้วนนอบน้อมต่อเมืองเหลียวโจวมาก
ชนชั้นสูงเผ่าหนี่ว์เจินประจำกองกำลังฝ่ายขวาแห่งเจี้ยนโจวกบฏ ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายขวาแห่งเจี้ยนโจวก็คือตาของนู่เอ่อร์ฮาชื่อ ในเมื่อกบฏ ผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงย่อมส่งทหารไปปราบ ระดับมณฑลทหารเช่นนี้มีทหารอย่างมากก็พันห้าร้อยนาย จะไปรับมือทหารกล้าเมืองเหลียวโจวได้อย่างไร ป้อมฐานทัพกองกำลังฝ่ายขวาแห่งเจี้ยนโจวถูกถล่ม พวกขุนพลกบฏหลายคนถูกตัดหัว
ลูกชายผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายขวาแห่งเจี้ยนโจวหนีมายังกองกำลังฝ่ายซ้ายแห่งเจี้ยนโจว กองกำลังฝ่ายซ้ายแห่งเจี้ยนโจวก็คือนู่เอ่อร์ฮาชื่อ น้ามาขอพึ่งพิง ปู่และบิดานู่เอ่อร์ฮาชื่อย่อมรับไว้ ที่จริงแล้วเผ่าหนี่ว์เจินกบฏนี้ ย่อมรู้กัน หนึ่งล้มไป อีกหนึ่งนิ่ง ใช่ว่าไม่คิดช่วย
ป้อมฐานทัพเช่นนี้ในสายตาหลี่เฉิงเหลียงก็แค่เมล็ดงาเล็กๆ กล้ารับขุนพลกบฏไว้ ย่อมถูกปราบ ปรากฏกองกำลังฝ่ายซายแห่งเจี้ยนโจวก็ถูกถล่มราบไปด้วย บิดาและปู่นู่เอ่อร์ฮาชื่อต่อสู้จนตัวตาย หากนู่เอ่อร์ฮาชื่อกับน้องชายซูเอ่อร์ฮาฉีถูกจับเป็นเชลย
ชนชั้นสูงเผ่าหนี่ว์เจินแต่ละเผ่ามีความเคยชินที่จะไปเป็นทหารให้ตระกูลหลี่เมืองเหลียวโจว เหมือนเป็นตัวประกัน นู่เอ่อร์ฮาชื่อตอนนั้นก็เป็นคนในตระกูลหลี่เฉิงเหลียง และยังรู้จักคนเก่าคนแก่ในเมืองเหลียวโจวบ้าง เขาถูกจับเป็นเชลยส่งกลับไปยังเมืองเหลียวโจว ระหว่างทางก็ถูกปล่อยตัว
หลังหนีกลับเผ่าหนี่ว์เจิน นู่เอ่อร์ฮาชื่อสองพี่น้องไร้หนทางไปจึงได้รวบรวมลูกน้องเมื่อเก่าก่อน เริ่มก่อร่างสร้างตัว เป็นโอกาสสร้างวีรบุรุษ อำนาจนู่เอ่อร์ฮาชื่อค่อยๆ ขยายอิทธิพล มาถึงตอนนี้ หลายเผ่าเมืองเจี้ยนโจวอยู่ในอำนาจควบคุมของเขาหมดแล้ว นู่เอ่อร์ฮาชื่อมีอิทธิพลเต็มที่ในพื้นที่แล้ว สามารถเจรจาเงื่อนไขกับเมืองเหลียวโจวได้แล้ว
[1] ใกล้กับปากแม่น้ำอามูร์ในปัจจุบันทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน หลังหมดรัชสมัยของหย่งเล่อก็ไม่ได้ขยายดินแดนไปถึงจึงถูกทิ้งร้างไป
ตอนที่ 921 จากจุดน้อยเห็นภาพใหญ่ อำนาจวาสนาทำร้ายคน
โดย
Ink Stone_Fantasy
รบกับคนจำนวนน้อยเช่นนี้ จัดการเผ่าพวกนี้ก็เหมือนกับหั่นแตงหั่นผัก ขุนพลชายแดนเมืองเหลียวโจวแต่ไรไม่ยอมลงให้ แต่ตอนนี้นู่เอ่อร์ฮาชื่อรวมเผ่าหนี่ว์เจินเจี้ยนโจวแล้ว ย่อมไม่เหมือนเดิม
ตอนนั้นหลี่เฉิงเหลียงโจมตีกองกำลังฝ่ายซ้ายและกองกำลังฝ่ายขวาแห่งเจี้ยนโจว แม้ว่ารบชนะ แต่ไม่ยอมมีชัยชนะเด็ดขาด เพราะไม่อยากจะสูญเสียกำลังมากไปกับเผ่าเล็กไร้ค่าพวกนี้ ตอนนั้นเจ้าเมืองถูหลุนแห่งเมืองเจี้ยนโจวหนีคานไว่หลันเรียกได้ว่าจงรักภักดีต่อแผ่นดินหมิง คนผู้นี้เป็นคนเกลี้ยกล่อมให้กองกำลังฝ่ายซ้ายแห่งเจี้ยนโจวเปิดประตูป้อม ผลก็ง่ายมาก ทหารหมิงเข้ามาสังหารหมดสิ้น
นู่เอ่อร์ฮาชื่อสองพี่น้องหนีกลับไปเมืองเจี้ยนโจว เคยไปถามเอาความกับชายแดนเมืองเหลียวโจวว่าเหตุใดจึงให้หนีคานไว่หลันมาดูแล เขาขี้ขลาดตาขาว แต่ผู้ใดจะสนใจ ขุนพลชายแดนยามนั้นยังกล่าวโอ้อวดว่า ในเมื่อพวกเจ้ากล่าวมาเช่นนี้เราชาวเหลียวโจวก็จะให้เขาได้เป็นหัวหน้าใหญ่แห่งเผ่าหนี่ว์เจิน
หัวหน้าเผ่าหนี่ว์เจินคำนี้ฟังแล้วน่าตกใจ และในความจริงก็เป็นเช่นนั้น เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวกับที่อื่นเห็นเช่นนั้น ไม่นานหนีคานไว่หลันก็มีหน้ามีตายิ่ง
ทว่านู่เอ่อร์ฮาชื่อสองพี่น้องเคยพำนักจวนผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียง มีคนว่าพวกเขาอยู่ในฐานะคนรับใช้ มีคนบอกว่าพวกเขาเป็นทหาร ไปๆ มาๆ สะสมความรู้มากมาย กอปรกับตนเองก็มีความสามารถ แม้ว่าตอนก่อร่างสร้างตัว คนในมือส่วนใหญ่ล้วนสวมชุดหนังธรรมดาสามัญ มีเกราะทหารเพียง 13 ชุด แต่ยิ่งนานวันก็ยิ่งเข้มแข็ง กำลังค่อยๆ แผ่ขยายขึ้น
และยังคงเป็นคำเดิมที่ว่า นู่เอ่อร์ฮาชื่อเป็นชนชั้นสูงในเผ่าหนี่ว์เจิน แต่ในสายตาขุนพลชายแดนแผ่นดินหมิงก็แค่หนูตัวหนึ่ง หนีคานไว่หลันแม้ว่าเป็นขุนนางมีความชอบแห่งแผ่นดินหมิง ที่เคยให้การรับรองความปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้จำเป็นต้องไปสู้รบเพื่อเขา นู่เอ่อร์ฮาชื่อกำลังมากขึ้น เมืองเจี้ยนโจวค่อยๆ ไม่มีที่ให้แก่หนีคานไว่หลันได้ยืน
เมืองถูหลุนของเขาเองก็ถูกถล่ม มาแอบอยู่ที่เมืองเจี้ยนโจว ทว่านู่เอ่อร์ฮาชื่อกลับอาศัยการหลบซ่อนของเขาในเมืองเมืองเจี้ยนโจวเป็นเครื่องมือจัดการ ผู้ใดให้การพักพิง ก็จะยกกำลังไปจัดการ สุดท้ายเผ่าหนี่ว์เจินแต่ละเผ่าก็ไม่มีผู้ใดกล้าให้ที่พักพิงหนีคานไว่หลัน
หนีคานไว่หลันทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่มาหลบซ่อนที่เมืองเหลียวโจว ในการรบหลายปีมานี้ นู่เอ่อร์ฮาชื่อส่งกำลังรบ5,000 นายได้แล้ว และยังมีเผ่าใหญ่มองโกลมีทหารม้าอีก 3,000 กว่านาย หากจะจัดการกองกำลังใหญ่โตเช่นนี้ อาศัยแค่กองกำลังเมืองเหลียวโจวย่อมไม่พอ ต้องคิดรับมือให้รอบคอบ
นู่เอ่อร์ฮาชื่อขอเพียงแค่ให้ส่งมอบหนีคานไว่หลันออกมา และส่งมอบศพบิดาและปู่ตน ไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นใด
เรื่องมากเรื่องหนึ่ง ไม่สู้น้อยลงเรื่องหนึ่ง หนีคานไว่หลันก็ไม่ใช่คนสำคัญอันใด ส่งตัวเขาไป แล้วไม่ต้องรบเสี่ยงตาย ชายแดนเมืองเหลียวโจวคิดผลดีผลเสียในเรื่องนี้ได้
หนีคานไว่หลันถูกส่งตัวไป ณ กำแพงเมืองเหลียวโจว ทหารนู่เอ่อร์ฮาชื่อรุมสังหารจนตาย จากนั้นศพของบิดาและปู่นู่เอ่อร์ฮาชื่อก็ถูกทหารหมิงส่งกลับมา
นู่เอ่อร์ฮาชื่อรักษาสัญญา ส่งมอบของขวัญแสดงการเคารพ และรับปากข้อเรียกร้องมากมายของเมืองเหลียวโจว เช่นไม่ก่อสงครามไร้เหตุ หากจำเป็น ก็จะช่วยเมืองเหลียวโจวรบ เป็นต้น
****************
สำนักองครักษ์เสื้อแพรนอกจากเวรประจำแล้วก็ล้วนกลับไปจัดการเรื่องฉลองปีใหม่ หยางซือเฉินเองก็ว่างมาก แต่งานส่งมอบแล้ว กลับถูกหวังทงตามตัวไปยังห้องทำงานสำนักรักษาความสงบบนถนนทักษิณเพื่อดูเอกสารด้วยกัน
เรื่องนี้ก็ไม่ยากอันใด ทว่าก็แค่เรื่องเล็กน้อยชายแดนเท่านั้น ไม่ได้มีเรื่องทหารแผ่นดินหมิงบาดเจ็บล้มตาย เรื่องพวกนี้ไม่ควรเป็นที่สนใจเสียด้วยซ้ำไป
หากไม่ใช่นู่เอ่อร์ฮาชื่อตอนนี้นับว่าเป็นวีรบุรุษนอกด่าน องครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่สนใจรวบรวมข่าวเขา
อ่านเอกสารพวกนี้แล้วก็เข้าใจถึงเรื่องราวมากมาย และยังได้ยินเรื่องราวจากพ่อค้าที่ไปมาระหว่างเมืองหลวงกับนอกด่าน ก็ยิ่งไม่ธรรมดา
เช่นว่า เกี่ยวกับนู่เอ่อร์ฮาชื่อกับซูเอ่อร์ฮาฉีสองพี่น้องถูกปล่อยตัวตอนเป็นเชลยได้อย่างไร หลายคนล้วนว่าฮูหยินหลี่เฉิงเหลียงเห็นสองคนหน้าตาไม่เลว ดังนั้นจึงปล่อยพวกเขาไป
เรื่องนี้ฟังแล้วก็เหมือนเป็นเรื่องเสียดายความสามารถและหน้าตา แต่คิดให้ดีกลับรู้สึกไม่ถูกต้อง หลี่เฉิงเหลียงตอนนี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นกั๋วกงแล้ว ก่อนหน้าก็เป็นระดับป๋อแล้ว ระดับเขาย่อมมีสถานะดังเจ้าในแดนนอกด่าน ที่อยู่ก็ราวกับวัง คนระดับนี้ ในจวนรักษาการณ์แน่นหนา ชายหญิงยิ่งต้องห่างกัน
ฮูหยินหลี่เฉิงเหลียงสถานะสูงส่ง จะไปเห็นหน้าตาเชลยหนุ่มได้อย่างไร เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องนินทาเท่านั้น
นู่เอ่อร์ฮาชื่อกับซูเอ่อร์ฮาฉีว่ากันว่าเป็นชายฉกรรจ์ร่างสูงสง่า และหน้าตาหล่อเหลา ไม่ใช่แบบพวกเผ่าหนี่ว์เจินในช่วงแรก หากรู้จักแต่งกายและรู้ภาษาจีน
หลี่เฉิงเหลียงภรรยามาก หรืออาจจะไม่สนใจภรรยาหลวง อาจเป็นไปได้ว่า นู่เอ่อร์ฮาชื่อตอนอยู่ในจวนหลี่เฉิงเหลียง อาจมีเรื่องเช่นนี้ ที่เมืองเหลียวโจวมีแต่ขุนพล เรื่องปิดๆ บังๆ มารยาทใดก็ล้วนไม่ค่อยสนใจนัก เรื่องพวกนี้จึงคุยกันอย่างออกรสออกชาติไปทั่ว
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องในครอบครัวผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียง หลี่เฉิงเหลียงมีสถานะเช่นไรในเมืองเหลียวโจว บารมีราวกับฮ่องเต้ เรื่องส่วนตัวเขานั้น ทุกคนก็อยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง
อีกเรื่อง ทุกคนบอกไม่กระจ่าง ลูกชายรองหลี่เฉิงเหลียงหลี่หรูป๋อ ตอนนี้เป็นรองแม่ทัพเมืองเหลียวโจว หลายปีก่อนเขาเพิ่งรับภรรยาน้อยคนใหม่ ว่ากันว่าเป็นชาวเผ่าหนี่ว์เจิน มีข่าวระแคะระคายมาว่า ภรรยาน้อยนี้เป็นน้องสาวนู่เอ่อร์ฮาชื่อแท้ๆ น้องสาวแท้ๆ หรือน้องสาวธรรมดาก็ไม่แน่ชัดนัก
ข่าวเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ คิดว่าเป็นเรื่องเล่าบนโต๊ะอาหารของชาวเหลียวโจว ทุกคนแอบนินทา คุยเรื่องนี้กันน้ำลายแทบรดกัน ทว่าตอนนี้ได้ยินกลับรู้สึกแปลกอยู่
****************
“ก่อนหน้าเคยมีข่าวลือว่า ขุนพลเมืองเหลียวโจวแอบขายอาวุธให้นู่เอ่อร์ฮาชื่อ หากเขาเคยทำงานในจวนหลี่เฉิงเหลียง น้องสาวแต่งให้หลี่หรูป๋อ ได้รับอาวุธก็คงง่ายกว่าเผ่าอื่น แม้เผ่าหนี่ว์เจินเองทำอาวุธได้ แต่ย่อมไม่สู้อาวุธชั้นดีในเมืองเหลียวโจว”
หวังทงกล่าว หยางซือเฉินจดบันทึก เงยหน้าสำทับว่า
“ท่านโหวกล่าวได้ไม่ผิด สายสัมพันธ์นี้ อาวุธเรื่องเล็ก หัวหน้าเผ่าหนี่ว์เจินเกรงว่าได้กำไรจากการค้าไม่น้อย จึงได้รุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้”
หวังทงพยักหน้า หากเป็นคนอื่นอาจไม่รู้สึกอันใด แต่สายการค้าหวังทง ให้ความสำคัญกับการค้ามาก อย่างไรวิธีการนี้ก็เป็นการสั่งสมเงินทองได้อย่างรวดเร็ว มีเงินทองแล้ว ก็สามารถซื้อหาอาวุธและทหารได้ หากนู่เอ่อร์ฮาชื่อมีความสามารถ และยังมีทางสะดวกพวกนั้น ก็ย่อมยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้
พูดก็ส่วนพูด หากหยางซือเฉินไม่ได้เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ ทว่าก็แค่หัวหน้าเผ่าที่เรืองอำนาจขึ้นใหม่เท่านั้น คนเช่นนี้รอบแผ่นดินหมิงมีให้เห็นทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ เขาพลิกเอกสารอ่าน ก็เพื่อดูว่าจัดระเบียบให้เข้าพวกอย่างไร จะเป็นเอกสารจัดการหลี่เฉิงเหลียงอย่างไรเท่านั้น
หวังทงคิดอะไรในใจย่อมไม่อาจรู้ได้ เขานั่งเคาะโต๊ะเบาๆ เงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ปล่อยหนีคานไว่หลันไปให้นู่เอ่อร์ฮาชื่อสังหาร เหมือนว่าเป็นการขจัดภัย แผ่นดินหมิงไม่ได้สูญเสียทหารและชาวบ้านแม้แต่คนเดียว เป็นเรื่องความชอบ แต่ที่จริงแล้ว นี่กลับเป็นการตบหน้าแผ่นดินหมิงอย่างแรงของนู่เอ่อร์ฮาชื่อ ทำให้เผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลได้เห็นว่า หัวหน้าเผ่าเล็กๆ ถึงกับกล้าขอคนจากชายแดนแผ่นดินหมิงได้ และชายแดนแผ่นดินหมิงยังไม่อาจไม่ให้ ใช่ว่าเป็นการสร้างชื่อเสียงให้หัวหน้าเผ่าผู้นี้หรือ……”
กล่าวไม่ทันจบ หยางซือเฉินจึงคิดได้ กางม้วนฎีกาออก หยิบพู่กันมาจรด ที่หวังทงกล่าวมานั้นไม่แน่ว่าถูกต้องตามธรรมเนียม เขาต้องเปลี่ยนคำพูดให้เหมาะสมใหม่ จึงจะสามารถเป็นฎีกาที่เหมาะสมได้
“เมืองเหลียวโจวทำเช่นนี้ ยิ่งทำให้ผู้จงรักภักดีแผ่นดินหมิงได้คิด ทำงานเพื่อแผ่นดินหมิง คิดเพื่อราษฎรเผ่าต่างๆ พอจบเรื่องกลับไมได้รับการปกป้องจากแผ่นดินหมิง หนีคานไว่หลันสำนึกในพระเมตตาฝ่าบาท จงรักภักดีเพื่อฝ่าบาท คิดไม่ถึงว่ากลับไม่ได้การปกป้อง ถูกส่งออกนอกเมือง และถูกรุมสังหารทิ้งต่อหน้าต่อตาทุกคน เรื่องเช่นนี้ย่อมแพร่ไปทั่ว วันหน้าผู้ใดจะกล้ามาสวามิภักดิ์แผ่นดินหมิง ผู้ใดจะกล้าทำงานให้แผ่นดินหมิง หรือว่าจุดจบคนผู้นี้ไม่ทำให้ผู้คนระแวงหรือ?”
หวังทงกล่าวจบ หยางซือเฉินคิดครู่หนึ่งก่อนจะบันทึกเสร็จ แก้ไขคำพูดไป ก็กล่าวเบาๆ ว่า
“ท่านโหวรอสักครู่ อีกสักครู่จะได้ร่างรายงาน ให้ท่านโหวได้พิจารณา”
“ฎีกานี้ให้คนที่สนิทกับเราเป็นคนยื่น เราไม่ต้องออกหน้าเอง แต่ให้คนทางนั้นได้รู้ว่าเริ่มมาจากเรา”
“ท่านโหววางใจ ตอนนี้ขุนนางบัณฑิตมีหลายคนมาขอสวามิภักดิ์แล้ว”
หยางซือเฉินตอบ หวังทงกองเอกสารไว้ จากนั้นล้มพิงพนักเก้าอี้ แปลกมา ในใจรู้สึกหนักอึ้ง กล่าวอีกว่า
“หนีคานไว่หลันเรื่องนี้เหมือนเรื่องเล็ก ที่จริงแล้วกลับเป็นการสร้างชื่อให้นู่เอ่อร์ฮาชื่อในเจี้ยนโจว เผ่าอื่นเห็นแล้วว่าเขาสามารถทำให้แผ่นดินหมิงก้มหัวให้ได้ ย่อมรู้สึกว่าเขาผู้นี้แข็งแกร่ง นู่เอ่อร์ฮาชื่อเรืองอำนาจขึ้นมา ตามวิสัยเมืองเหลียวโจววันหน้าย่อมหาทางคบค้า นี่ย่อมเป็นการส่งเสริมให้เขาเติบโตใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ก็เท่ากับว่าเป็นแผ่นดินหมิงประคองเขาขึ้นมา”
“ท่านโหวไม่ต้องกังวล คนเช่นนี้ก็แค่ตัวตลกเท่านั้น บี้ก็ตาย”
หยางซือเฉินยิ้มกล่าว หวังทงนั่งส่ายหน้ากล่าวว่า
“ข้าปราบเผ่าอันต๋า ตอนนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงออกกวาดล้างทั่วทุ่งหญ้านอกด่าน แต่ละเผ่าบนทุ่งหญ้านอกด่าน อ่อนกำลัง กำลังชายแดนมีไว้ก็ไม่จำเป็นแล้ว ไม่มีศัตรูนอกด่าน เช่นนั้นโรงอาวุธที่สร้างมา อำนาจวาสนาที่สร้างมาจะรักษาไว้ได้อย่างไร ย่อมต้องหาวิธี ตอนนี้มองโกลอ่อนกำลัง หากเผ่าหนี่ว์เจินนอกด่านเป็นศัตรู ก็ย่อมเป็นแผนดี”
“ท่านโหว พวกเขากล้าหรือ?”
“ข้าแค่คาดเดา ทว่าเพื่ออำนาจวาสนา พวกเขามีอันใดไม่กล้า!?”
หวังทงกล่าวอย่างเสียไม่ได้
ตอนที่ 922 บัณฑิตจวี่เหรินจากเทียนจิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังทงกำลังอธิบายข้อดีข้อเสีย หยางซือเฉินเขียนบันทึกอย่างรวดเร็ว พอเขียนจบ ก็ยกขึ้นกวาดตามองรอบหนึ่งก่อนจะเป่าให้แห้ง แล้วส่งให้หวังทง
หยางซือเฉินวันๆ มีเอกสารผ่านมือจำนวนมาก หวังทงกล่าวได้ธรรมดา แต่เขากลับเขียนเป็นบทความสวยหรู ขณะหวังทงอ่านอยู่ หยางซือเฉินคิดแล้วก็กล่าวว่า
“ท่านโหว เรื่องชายแดน ท่านต้องเริ่มจัดการจากเมืองเหลียวโจวหรือ?”
หวังทงเมื่อครู่กล่าวไปมาก หยางซือเฉินกลับเอาแต่คิดโยงไปถึงเรื่องที่หวังทงเอ่ยไว้ในที่ประชุมขุนนางครั้งก่อน ตอนนี้ชายแดนใช้รูปแบบการป้องกันเป็นหลัก ไม่ค่อยเหมาะสม ชายแดนเริ่มแรกมาถึงตอนนี้ก็สองร้อยกว่าปีแล้ว สายสัมพันธ์ชายแดนกับราชสำนักก็ไม่เลว ไม่รู้มีคนเท่าไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คิดจะลงมือก็ย่อมไม่ง่าย
เมืองเหลียวโจวมอบหนีคานไว่หลันให้นู่เอ่อร์ฮาชื่อเรื่องนี้ ในสายตาหยางซือเฉิน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด หวังทงกลับตั้งใจจัดการ เห็นได้ชัดว่าเตรียมการทำให้เป็นเรื่องใหญ่
นู่เอ่อร์ฮาชื่อตอนนี้ ก็แค่ตัวละครไร้ราคาชายแดน หัวหน้าเผ่าที่มีความสำเร็จเล็กๆ ก็เท่านั้น ไม่ว่าคนมีสติปัญญามองการณ์ไกลเพียงใดก็คงไม่รู้สึกสนใจให้ความสำคัญกับคนเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดคิดว่าวันหน้าจะเป็นเช่นใด
หวังทงเข้าใจการวิเคราะห์หยางซือเฉิน เขาได้แต่ยิ้มเฝื่อนกล่าวว่า
“จากจุดน้อยลงลึก จากง่ายไปยาก เมืองเหลียวโจวนั้นอย่างไรก็เป็นกองกำลังอันดับหนึ่งนอกจากกองกำลังหู่เวย หากเผ่าเคอเอ่อชิ่นยังอยู่ พวกเขาก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น ตอนนี้ข้าเริ่มอ่อนไหวกับเรื่องนี้ หากลงมือกับเมืองเหลียวโจวก่อน เกรงว่าแม้แต่ฝ่าบาทก็คงไม่อนุญาต”
หยางซือเฉินยิ้มแห้งๆ หวังทงวางเอกสารลงบนโต๊ะ เคาะโต๊ะสองสามที เงียบไปก่อนจะกล่าวว่า
“พวกเขาต้องการจัดการซุนโส่วเหลียน ข้าต้องการปกป้อง อาศัยโอกาสนี้กำราบตระกูลหลี่ ตอกตะปูใส่สักตัว เมืองเหลียวโจวของหลี่เฉิงเหลียงราวแผ่นเหล็กแน่นหนา ไม่เป็นมิตรกับเรา อย่างไรก็ต้องป้องกันไว้ก่อน”
“ท่านโหวมองการณ์ไกล!”
หยางซือเฉินรับคำ หวังทงส่ายหน้า ตอนนี้ที่ทำได้ก็มีเพียงเท่านี้
************
ภรรยาหวังทง ก็คือหานเสีย พอพบว่าตั้งครรภ์ ก็ถูกยกไว้ราวกับเทพเซียน เดิมภรรยาหลวงดูแลงานในจวน เรื่องใหญ่น้อยในบ้านก็ต้องให้นางจัดการ แต่ตอนนี้ทุกอย่างถูกจางหงอิงกับข่งรั่วเหมยแบ่งเบาไปหมด
ซ่งฉานฉานทำงานหลวงมาก นางเป็นภรรยาที่มาสามารถที่สุดในบรรดาภรรยาหวังทง เป็นคนที่คุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ที่สุด แต่งานสายลับที่นางรับผิดชอบนั้นหนักหนาพอแล้ว ไม่อาจปล่อยปละได้
จางหงอิงเมื่อก่อนติดตามนางหม่าดูแลงานในจวน ก็คุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้มาก ดูท่าแล้วนางหม่าตอนนั้นสอนจางหงอิงมาก็เพื่อวันนี้ ข่งรั่วเหมยเป็นเด็กจากครอบครัวลำบาก ยอมเรียนรู้และยอมลำบาก ส่วนไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ แม้ว่ามีชีวิตที่สุขสบาย เป็นคุณหนูที่ได้รับการปรนนิบัติมา งานดูแลจวนพวกนี้ทำไม่ได้จริงๆ ทว่าไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เองก็รู้ว่าแม้หวังทงอายุยังน้อย แต่ไม่หลงใหลนารี คิดจะอยู่ในจวนให้มั่นคง อาศัยแค่หน้าตานั้นไม่ได้ อย่างไรก็ต้องมีความสามารถ
จะว่าไป ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เป็นคนคบหาคนมาก พบปะกับพวกชั้นสูงที่มีอำนาจวาสนามาไม่น้อย จึงมีความสามารถในการวิเคราะห์ ดังนั้นจึงขยันช่วยงานซ่งฉานฉาน
ผู้หญิงพอรู้ว่าตนท้อง ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะคิดมาก จิตใจไม่สงบ หานเสียอายุมากกว่าข่งรั่วเหมย แต่จิตใจนั้นเด็กกว่าข่งรั่วเหมยอยู่สักหน่อย เห็นพี่น้องนางทำงานกัน ตนเองกลับว่าง ก็รู้สึกตัวเองทำประโยชน์ใดไม่ได้
หวังทงทุกวันจะมาอยู่เป็นเพื่อนนางครู่หนึ่ง ปรากฏว่าตอนมาอยู่เป็นเพื่อน นางเอาแต่ร้องไห้และบ่นไม่หยุด เรื่องบ่นไม่หยุดนี้ หวังทงไม่รู้จะกล่าวอันใดดี ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ ปลอบใจไป ดีที่ไม่นานก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
**************
วันที่ 20 เดือนสิบสอง คนที่มีสถานะพอก็มาคารวะถึงจวน ก่อนปีใหม่ส่งมอบของขวัญกันนั้นได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว หวังทงวันนี้กลับได้ต้อนรับแขกพิเศษผู้หนึ่ง
บัณฑิต ชาวนา พ่อค้า ระบบชั้นปกครองแผ่นดินหมิงก็คือบัณฑิต ก็คือผู้เรียนหนังสือ ทว่าผู้เรียนหนังสือสอบตำแหน่งไม่ผ่านก็ไร้ค่า สอบได้ตำแหน่งบัณฑิตซิ่วไฉก็ยังไม่เท่าไร คหบดีใหญ่ในพื้นที่ย่อมไม่สนใจแลมอง แต่ซิ่วไฉนี้หากก้าวไปอีกขั้น สอบได้ตำแหน่งบัณฑิตจวี่เหรินล่ะก็ ก็ย่อมไม่เหมือนกัน
หากไร้สายสัมพันธ์หนุนหลัง บัณฑิตจวี่เหรินยากที่จะได้เป็นขุนนางระดับเจ็ดขึ้นไป เรื่องที่จะได้เข้าสู่ราชสำนักส่วนกลางอย่าได้คิด มีแบบไห่รุ่ยมือสะอาดไม่มาก หลี่ว์วั่นไฉและสวีกว่างกั๋วเพราะสายสัมพันธ์หวังทงจึงได้ผงาดขึ้นมาได้ แต่เส้นทางขุนนางก็ไม่ได้มีอนาคตอันใด ทว่าขุนนางท้องที่กลับแตกต่างกัน ทางการต้องให้เกียรติ การค้าที่บ้านไม่ต้องจ่ายภาษี แม้เป็นราษฎร แต่หากสอบได้ตำแหน่งจวี่เหริน ก็จะได้กลายเป็นคนดังในพื้นที่
จะว่าไป พื้นที่อุดมแดนใต้ เด็กจากชาวนาระดับกลางถึงระดับร่ำรวยก็สามารถเรียนหนังสือได้ พื้นที่ที่เหลือส่วนใหญ่ พวกที่สามารถเรียนจนสอบตำแหน่งจวี่เหรินได้นั้นต้องเป็นตระกูลใหญ่ในพื้นที่ ในตระกูลหากมีลูกหลานสอบตำแหน่งจวี่เหรินได้ ก็ย่อมทำให้อำนาจอิทธิพลขยายตัว จากนั้นก็จะเล่นเส้นเล่นสายทำให้สอบได้ตำแหน่งอีกหลายคน…
ดังนั้นจึงกล่าวว่า บัณฑิตจวี่เหรินก็เหมือนเป็นตัวแทนของตระกูลใหญ่ในพื้นที่ เป็นระดับชนชั้นแนวหน้าในพื้นที่
วันนี้พวกที่มาเยี่ยมคารวะก็เป็นพวกบัณฑิตจวี่เหรินจากเทียนจิน บัณฑิตจวี่เหรินหกคน นอกจากคนหนึ่งเป็นคนในพื้นที่แล้ว ที่เหลืออีกห้าคนล้วนเป็นพ่อค้าที่ย้ายมาอยู่เทียนจิน
ทุกคนทนลำบากหาเลี้ยงชีพ ลูกหลานต้องเป็นแรงงาน การที่จะสามารถให้พวกเขาได้เรียนหนังสือได้อย่างน้อยที่สุดก็ต้อง ‘พอมี’ คำนี้ บัณฑิตจวี่เหรินหกคนที่มาเยี่ยมคารวะหวังทง ครอบครัวเรียกได้ว่าใช้คำว่าร่ำรวยมาบรรยายได้
เทียนจินไม่ขาดคหบดีร่ำรวย หลังเทียนจินเปิดท่า มีคนร่ำรวยใหญ่ขึ้นมามาก แต่ลูกหลานจะยอมทนลำบากตั้งใจเรียนจนสอบตำแหน่งจวี่เหรินได้นั้นค่อนข้างน้อย
เทียนจินหลายปีมานี้ เทียนจินเริ่มมีบัณฑิตจวี่เหรินตั้งแต่สมัยหงจื้อ ก็ไม่ได้น้อย แต่หกคนนี้เติบโตมาในช่วงที่หวังทงดูแลเทียนจิน สอบได้บัณฑิตจวี่เหริน น่าจะสอบเมื่อปีก่อน แม้ตอนนั้นหวังทงจากเทียนจินแล้ว แต่ใต้หล้ายังคงเห็นเทียนจินเป็นพื้นที่หวังทง
จะว่าไป หวังทงในรัชสมัยว่านลี่ที่ 6 มา ก็เริ่มบริหารจัดการเทียนจิน ตั้งแต่นั้นมาถึงตอนนี้ก็ 7 ปีแล้ว สอบสามครั้งในเทียนจิน มีเพียงการสอบปีก่อนที่ทำให้ได้บัณฑิตจวี่เหรินมา
หลายปีก่อน เทียนจินยังมืดมน ชาวประชายังไม่ได้ร่ำรวย ผู้ใดจะมีใจคิดร่ำเรียนหนังสือ แต่ต่อมาเพื่อเริ่มมีเงินทอง ราวกับภูเขาทอง ทุกคนก็เริ่มครุ่นคิดถึงร่ำรวยและผลกำไร ไม่มีใจคิดร่ำเรียนหนังสือ มาหลายปีนี้ จิตใจคนกลุ่มหนึ่งเริ่มสงบนิ่ง จึงได้มีคนสอบได้ตำแหน่งจวี่เหริน
หลังสอบได้แล้ว มีหลายเรื่องต้องกระทำ พวกที่สอบได้ด้วยกัน เรียกว่า ร่วมรุ่น ย่อมต้องติดต่อสานสัมพันธ์กัน วันหน้าไม่ว่าอยู่ในพื้นที่เดิมหรือไปเป็นขุนนาง ก็จะได้ช่วยเหลือกันได้ ขุนนางที่สอบพวกเขาเรียกว่า อาจารย์ อย่างไรก็ต้องไปคารวะ เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ ทุกคนจะได้ดูแลกันและกัน
มีอีกเรื่อง ก็คือต้องไปคารวะขุนนางท้องที่ที่มีชื่อเสียง บัณฑิตสอบตำแหน่งจวี่เหรินได้ ก็เท่ากับก้าวเท้าเข้าสู่วงการขุนนางก้าวหนึ่งแล้ว นับเป็นคนมีหน้ามีตาในพื้นที่ การไปเยี่ยมคารวะสานสัมพันธ์ ก็นับว่าเป็นการเข้าสู่วังวนแห่งอำนาจวาสนา
แน่นอนว่า หากอยู่เมืองหลวง หนานจิงหรือแดนใต้ที่ร่ำรวย ก็ไม่มีอันใดน่าคารวะ ที่ใดก็ล้วนเป็นขุนนางทั้งนั้น ที่อื่นก็จะไปคารวะขุนนางใหญ่ในศาลท้องที่ แต่ที่เทียนจินกลับไม่เหมือนกับที่อื่น
ขุนนางเทียนจินตามหลักแล้วก็ควรเป็นผู้ว่ากาวแห่งศาลชิงจวิน แต่ที่เทียนจิน ผู้ใดจะสนใจว่าผู้ว่ากาวคือใคร บัณฑิตจวี่เหรินใหม่ไปคารวะ ผู้ว่ากาวก็ได้แต่เกรงใจยิ้มกล่าวว่า
“คารวะข้าเป็นมารยาท แต่ไปคารวะหวังทงจึงเป็นเรื่องหลัก!”
นอกจากผู้ว่ากาวแล้ว กองตรวจการก็ไม่มีอันใดให้ต้องสนใจ ขุนนางบู๊ที่เหลือก็เป็นฝ่ายใน ย่อมไม่ต้องไปคารวะ หวังทงเป็นขุนนางบู๊ฝ่ายใน แต่ยังมีสถานะชนชั้นสูง แต่สายสัมพันธ์กับขุนนางบุ๋นแย่มาก หากมีใครพูดไป เกรงว่าคนยุ่งยาก
ทว่าหลังจากคิดเช่นนี้แล้วไปหารือกัน คหบดีร่ำรวยหลายตระกูลล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า มีโอกาสสานสัมพันธ์กับใต้เท้าหวังไม่ไปได้อย่างไร ยังกังวลชื่อเสียงใดอีก หรือว่าสมองพังไปหมดแล้วกัน
เจ้าเป็นแค่บัณฑิตจวี่เหริน วันหน้าจะได้เป็นขุนนางหรือไม่ยังไม่แน่ แต่วันเวลาแสนสบายของพวกเจ้า ครอบครัวได้มีอำนาจวาสนามานี้พึ่งพาผู้ใด หากมิใช่ใต้เท้าหวัง ได้สานสายสัมพันธ์กับใต้เท้าหวัง แม้ไม่ได้ดูแล แต่ให้เจ้าได้ทำการค้าเทียนจินราบรื่น ก็นับว่าเป็นผลประโยชน์เทียมฟ้าแล้ว แม้เป็นขุนนาง ทุ่มเทกำลังไปหาเงิน หรือว่าจะหาได้เท่านี้หรือ สามารถสานสายสัมพันธ์กับใต้เท้าหวัง เรียกได้ว่าเป็นอำนาจวาสนาเทียมฟ้า
คิดอย่างละเอียดแล้ว ก็เห็นว่ามีเหตุผล หากใต้เท้าหวังดูแลจนบัณฑิตจวี่เหรินสามารถเป็นรองเจ้ากรมศาลซุ่นเทียน หากบัณฑิตจวี่เหรินสอบจิ้นซื่อได้ ก็เรียกว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย ราวกับม้าหมื่นตัววิ่งข้ามสะพานไม้เดี่ยว ผู้ใดจะรู้ว่าโชคชะตาจะเป็นเช่นไร แม้ไม่ได้เป็นขุนนาง ชื่อเสียงไม่ดีแล้ว แต่ครอบครัวยังมีเงินทองอำนาจวาสนา ก็ย่อมดียิ่งกว่าใดๆ ทั้งสิ้น
คิดกระจ่างแล้ว พวกบัณฑิตจวี่เหรินก็กระตือรือร้นมาคารวะ รีบมาคารวะหวังทงตอนใกล้ปีใหม่ อาศัยโอกาสนี้แสดงความใกล้ชิด
หวังทงไม่รู้สึกอันใดในเรื่องนี้ เป็นแค่คนบ้านเดียวกันมาคารวะเท่านั้น แต่หยางซือเฉินกลับให้ความสำคัญมาก ตามที่เขาบอกมานั้น บัณฑิตจวี่เหรินพวกนี้มาคารวะ ก็เพื่อให้ใต้เท้าหวังเปิดเส้นทางขุนนางให้ เรื่องนี้เป็นผลดีต่อหวังทงในวงราชสำนัก
หวังทงแต่ไรไม่ถูกกับขุนนางบุ๋น การพบกันครั้งนี้เป็นการให้ความสำคัญกับบุคคลผู้มีความสามารถ นับว่าเป็นผลดีมากมาย
หวังทงพบบัณฑิต ที่จริงแล้วอายุบัณฑิตจวี่เหรินพวกนี้มากกว่าหวังทง แต่ทว่าบรรยากาศดีมาก ทุกคนยิ้มแย้มสนทนา
ขณะที่พูดอยู่นั้นหวังทงก็พบเรื่องหนึ่ง บัณฑิตจวี่เหรินไม่ได้รู้สึกดีกับพวกขุนนางในท้องที่ รู้สึกว่าสมองไม่ทำงาน เอาแต่ใช้แรงงานผู้อื่น แต่สถานะกลับสูงกว่าพ่อค้า เรื่องนี้ทำให้หวังทงรู้สึกน่าสนใจ
หากกล่าวว่าให้ความสำคัญกับบุคคลผู้มีความสามารถ ก็เรียกได้ว่าเล็งเห็นผลแต่ต้นแล้ว วันที่ 22 เดือนสิบสองมีนายกองจากสำนักตรวจสอบมาขอพบ เป็นขุนนางพื้นเพจากเทียนจิน ระดับจิ้นซื่อ
ตอนที่ 923 พบขุนนางบัณฑิตชิงหลิว
โดย
Ink Stone_Fantasy
นายกองสำนักตรวจสอบเป็นขุนนางบัณฑิตชิงหลิวของจริง เป็นพวกมีเกียรติใต้หล้า สอบตำแหน่งจวี่เหรินได้มา เป็นจิ้นซื่อที่ราวกับปลาโดดข้ามประตูมังกรที่ท่ามกลางปลานับฝูง ต้องได้เป็นขุนนางบัณฑิตชิงหลิวอยู่เมืองหลวง
หากได้เข้าสู่สำนักปราชญ์ฮั่นหลินย่วนย่อมดีที่สุด แต่น้อยคนนักจะมีวาสนานี้ คนอื่นๆ ล้วนไปตามเส้นทางหกกรมกองกับสำนักตรวจสอบ พอเข้าไปแล้วก็ทำงานเป็นนายกองตำแหน่งต่างๆ ระดับรองลงไปอีกขั้นก็ไปทำงานตำแหน่งต่างๆ ในหกกรม
ตามความคิดราษฎร ดิ้นรนสอบเป็นขุนนางก็เพื่อเงินทอง กว่าจะมีโอกาสได้เป็นขุนนาง และไม่ต้องออกไปเป็นผู้ว่าตามเมืองต่างๆ อย่างไรก็ต้องร่ำรวยสักหน่อย
สิ่งที่ราษฎรเดากันนั้นไม่ผิด แต่ตำแหน่งขุนนางเช่นนายกอง เจ้ากรมประจำกรมต่างๆ พวกนี้ก็แค่ขุนนางมือสะอาด หากกล่าวถึงผลประโยชน์ กล่าวได้ว่าในหกกรมมีตำแหน่งทำเงินไม่กี่ตำแหน่งเท่านั้น ที่เหลือเรียกได้ว่ายากลำบาก ไม่มีผลประโยชน์ใด ทางเมืองหลวงมีคนปล่อยกู้ขุนนางเมืองหลวงมากมาย ไม่ใช่เพราะเหตุนี้หรือ
ลำบากส่วนลำบาก หากทุกคนไม่ได้โง่ เหตุใดการได้อยู่เมืองหลวงของขุนนางบัณฑิตชิงหลิวเป็นตัวเลือกแรก ก็เพราะได้เลื่อนตำแหน่งไว มีโอกาสบินไกลมากกว่า ใช้โอกาสในการกล่าววาจาเหลวไหลสร้างชื่อให้ตนเอง จากนั้นก็ได้ผลประโยชน์มากมาย
อำมาตย์ราชวงศ์ซ่งเน้นเรื่องการไปเป็นผู้ว่าตามเมืองมณฑลต่างๆ ให้มีประสบการณ์มาก่อนเข้าสู่ขุนนางส่วนกลาง แต่แผ่นดินหมิงเน้นเรื่องการไม่ออกจากเมืองหลวง จิ้นซื่อคนหนึ่งดวงดี 25 ปีก็จะก้าวไปสู่ตำแหน่งมหาอำมาตย์ได้ นั่นเป็นระดับหนึ่ง 20 กว่าปีผ่านไปก็ได้เป็นเจ้ากรมใหญ่ ระดับรองลงมาก็ราวสิบได้รับหน้าที่ผู้ว่าการมณฑล ผู้ตรวจการเขต นายกองตรวจการมณฑลทหารออกนอกเมืองหลวงไปปฏิบัติหน้าที่บ้าง
นี่เป็นเส้นทางมาตรฐาน หากไปประจำการที่หนึ่ง ขุนนางระดับเจ็ดต้องทนลำบาก 20 ปี หากได้เป็นผู้ว่าการมณฑล ก็เรียกได้ว่าไหว้พระมาดีมากแล้ว ไม่ต้องคิดถึงเข้าสู่ศูนย์กลางการปกครอง ถานกวนเป็นเสนาบดีกรมทหารได้ก็เพราะขับไล่ภัยโจรสลัด ขุนนางท้องถิ่นเช่นเขาจึงได้สร้างความชอบยิ่งใหญ่จากการออกรบ จึงได้ก้าวขึ้นมาผงาดได้
ตอนนี้ใต้หล้าสงบสุขย่อมไม่อาจมีเรื่องผิดระเบียบกฎเกณฑ์พวกนี้ ทุกคนได้แต่เป็นขุนนางบัณฑิตชิงหลิวในเมืองหลวงอดทนสะสมประสบการณ์ค่อยๆ ก้าวขึ้นไป คิดจะสร้างผลงานก้าวขึ้นไปตำแหน่งสูง ฝันไปเถอะ!
แต่หากได้เข้าสู่คณะเสนาบดี เป็นเสนาบดีหรือเจ้ากรม ได้ออกไปเป็นผู้ว่าการมณฑล ผู้ตรวจการเขต นายกองตรวจการมณฑลทหาร และตำแหน่งอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าโชคดี ทีเหลืออยู่เมืองหลวงทำงานเรียกได้ว่ายากลำบาก สุดท้ายคงได้แต่ไปเป็นขุนนางท้องถิ่นที่ใดที่หนึ่งอยู่เช่นนั้นไปทั้งชีวิต
ผู้ใดก็คิดอยากก้าวหน้า ขุนนางเมืองหลวงก้าวหน้าได้นั้นอาศัยสิ่งใด ยื่นฎีกาน่าตกใจเป็นทางหนึ่ง หากทำให้โอรสสวรรค์กริ้วหนักถูกลงโทษมา ก็ย่อมมีชื่อเสียงใหญ่ วันหน้ามีกินมีใช้ไม่หมด แต่วิธีนี้ไม่ค่อยได้ผล เพราะหวังทงอยู่เมืองหลวง มีเทพแห่งภัยพิบัติอยู่ ถึงตอนนั้นใช่ว่าแค่โดนโบย ไม่แน่ก็อาจถูกตัดหัวทิ้ง เสียชีวิตไปก็ไม่คุ้มค่าแล้ว
พวกมีคนหนุนหลังย่อมไม่จำเป็นต้องกังวล แต่ใช่ว่าทุกคนจะมีคนหนุนหลัง จะว่าไป ขุนนางเมืองหลวงไม่มีค่าอันใด หากคนหนุนหลังไม่ใหญ่พอ ก็ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย วิธีที่สามก็คือหาที่พึ่ง เมืองหลวงมีผู้ยิ่งใหญ่ดังภูผาหลายคน ลูกศิษย์ของพวกเขายังดูแลไม่ทั่วถึง เจ้าคิดไปสวามิภักดิ์ ปัญหาก็คืออีกฝ่ายใช่ว่าจะสนใจเจ้า
ดังนั้นขุนนางบัณฑิตชิงหลิวส่วนใหญ่จึงอดทนรอคอยโอกาส แต่ใช่ว่าโอกาสจะมาถึงง่ายๆ หากขุนนางบัณฑิตชิงหลิวเมืองหลวงขอเพียงสมองไม่ได้อ่านตำราจนพังไป ทุกคนล้วนสอดส่องสายตาเป็นประกายหูตั้งรอโอกาสปรากฏ
ติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชากรองครักษ์เสื้อแพร สองตำแหน่งมารวมกัน ย่อมเป็นภูผาในเมืองหลวง หวังทงมีความดีความชอบใหญ่ ฮ่องเต้ว่านลี่ไว้วางพระทัยมากเช่นนี้ ตอนนี้สถานะในเมืองหลวงก็มั่นคง ไม่ใช่เป็นแค่ภูผาธรรมดา หากเรียกได้ว่าภูผาใหญ่มั่นคง
เขาย่อมมีคนคิดสวามิภักดิ์มาก แต่หวังทงกับบรรดาขุนนางบุ๋นมีสายสัมพันธ์ไม่ดี ใครๆ ก็รู้ บุ๋นบู๊เดิมก็เป็นสองกลุ่มที่เป็นปรปักษ์กันอยู่แล้ว หวังทงกับขุนนางบัณฑิตเป็นสองฝ่ายที่ไม่อาจเข้ากันได้ ผู้ใดยังกล้าไปคารวะทำร้ายตนเองกัน
หากว่าเกิดมาคารวะแล้วหวังทงไม่ให้พบ สวามิภักดิ์ไม่ได้ยังไม่เท่าไร ทว่าสวามิภักดิ์หวังทงไม่ได้หันหลังกลับไปก็ไร้หนทางเดินต่อ ก็ย่อมยุ่งยากใหญ่ กลายเป็นเป้าโจมตีในเมืองหลวงของบรรดาบัณฑิต แม้แต่ทางถอยก็ไม่มี
ทว่าบัณฑิตจวี่เหรินที่มาเยี่ยมคารวะถึงจวนพวกนี้กลับทำให้หลายคนเห็นโอกาส ใต้เท้าหวังก็ให้เข้าพบ มีคนคิดไปถึงว่า ข้างกายใต้เท้าหวังมีแต่ขุนนางบู๊กับคนทำการค้ามาก บัณฑิตกลับไม่มากนัก และล้วนเป็นบัณฑิตจวี่เหริน
บัณฑิตจวี่เหรินพวกนี้กลับไปๆ มาๆ ได้รวยใหญ่ มีบางคนได้เป็นประจำตำแหน่งใหญ่ที่เหอหนาน มีบางคนได้เป็นรองเจ้ากรมศาลซุ่นเทียน หยางซือเฉินไม่ได้มีตำแหน่ง แต่บัณฑิตจวี่เหรินไร้สถานะในเมืองหลวงผู้นี้กลับมีอำนาจไม่ด้อยไปกว่าเจ้ากรมใหญ่ หากหาโอกาสไปหาที่พึ่งได้ ไม่แน่ก็อาจได้ผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ขึ้น!
แม้คิดเช่นนี้ แต่ทุกคนก็ไม่กล้าลงมือ ยังคงวาจาเดิมที่ว่า เกิดหวังทงไม่ให้พบ ก็ไม่มีทางให้หันหลังกลับอีกแล้ว
บนโลกนี้คนฉลาดมาก มีคนสังเกตว่าคนที่มาเยือนเป็นบัณฑิตจวี่เหรินหกคนจากเทียนจินเป็นคนบ้านเดียวกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อาศัยข้ออ้างนี้
นายกองสำนักตรวจสอบที่มาคารวะถึงจวนผู้นี้ปีนี้อายุ 31 ชื่อว่าอวี๋เจียนหรู่ เป็นคนเทียนจิน สี่ปีก่อนสอบตำแหน่งจิ้นซื่อได้ เขามาด้วยอาศัยอ้างเหตุว่าเป็นคนบ้านเดียวกันมาคารวะ ในเมืองหลวงมีขุนนางมากมายคิดมาคารวะถึงจวนก็ไม่ได้ คนผู้นี้อาศัยเหตุผลนี้ก็เพราะไม่มีทางเลือกอื่น เทียนจินเดิมก็ไม่ได้กว้างใหญ่ บัณฑิตจวี่เหรินมีกันไม่กี่คน พริบตามีถึงหกคน ร้านค้าร่วมกันออกเงินสร้างศาลเจ้า บอกว่าเป็นหน้าเป็นตาเทียนจิน ต้องเป็นเพราะเทพยาดาคุ้มครอง
บัณฑิตจวี่เหรินน้อย จิ้นซื่อยิ่งน้อย คนเทียนจินจึงเป็นขุนนางน้อยมาก แม้ว่าสอบตำแหน่งจิ้นซื่อได้แต่ก็ใช่ว่าจะได้อยู่เมืองหลวงต่อ ปรากฏว่าอวี๋เจียนหรู่กลับเป็นต้นอ่อนที่แหวกกอ
ปกติต้นอ่อนที่แหวกกอนั้นไร้คนดูแล จึงได้แต่ทนอยู่เมืองหลวงมา ชีวิตนี้อาจจะอยู่ในตำแหน่งนี้ไปจนตาย ตอนนี้เรื่องที่ว่าเป็นคนเทียนจินนั้นกลับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
อวี๋เจียนหรู่แม้ว่าหาเหตุผลเข้าหาได้ไม่เลว แต่ตอนมาถึงจวนจิตใจกลับเต้นโครมคราม เพื่อการนี้ เขาได้เตรียมเงินมาสิบตำลึงเงินมอบให้คนเฝ้าประตู ผู้ใดจะรู้ว่าคนเฝ้าประตูจะขับไล่หรือไม่?
ทว่าคนเฝ้าประตูจวนหวังทงกลับไม่เหมือนที่อื่น เหมือนว่าเป็นทหารอารักขา ได้ยินอวี๋เจียนหรู่ ก็ไม่ได้วางท่าใส่ และไม่ได้ต้องการค่าผ่านประตู หากวิ่งเข้าไปรายงานทันที เวลาไม่นาน ก็ออกมากล่าวว่า
“นายท่านเชิญใต้เท้าอวี๋เข้าไปด้านใน!”
ยามนี้จึงได้โล่งใจ เดินเข้าไปได้ ทุกเรื่องก็คุยกันได้
อย่าเห็นว่าอวี๋เจียนหรู่ปีนี้ 31 หน้าตาแก่กว่าหวังทงมาก แต่พอพบหน้าก็รับคุกเข่าลงโขกศีรษะสามที
“นายกองอวี๋อยู่เมืองหลวงได้กี่ปีแล้ว?”
พอลุกขึ้นมานั่ง หวังทงกับสีหน้ายิ้มแย้มถามขึ้น หวังทงท่าทีเช่นนี้ อวี๋เจียนหรู่รู้สึกวางใจ รีบก้มกายลงกล่าวว่า
“ข้าน้อยหลังได้ตำแหน่งจวี่เหรินในเมืองหลวง ก็อยู่เมืองหลวงมาตลอด นับได้ก็ราว 11 ปีแล้ว…..”
กล่าวจบก็รีบเสริมความต่อว่า
“ข้าน้อยอยู่เมืองหลวงมานาน กลับเพิ่งรู้ครั้งแรกว่าท่านโหวเห็นเทียนจินราวบ้านเกิด จึงได้บังอาจมาขอพบ ขอท่านโหวอย่าได้ตำหนิ!”
หากตอนเข้ามา หวังทงแสดงสีหน้าไม่ดี อวี๋เจียนหรู่ก็ย่อมหมดวาจาจะเอ่ย แต่สีหน้าหวังทงกลับมีแต่รอยยิ้ม อวี๋เจียนหรู่ก็ต้องทำให้ดีที่สุด ในเมื่อมาในฐานะคนบ้านเดียวกัน เมื่อไม่เคยไปมาหาสู่ก็ไม่ว่า หวังทงไม่สนใจ ยิ้มกล่าวว่า
“ข้าอยู่เมืองหลวงมาระยะหนึ่ง มีคนบ้านเดียวกันมาเยี่ยมเยือน ก็ดีใจ ได้ยินสำเนียงพูดนายกองอวี๋ ก็เหมือนไม่ติดสำเนียงเดิมแล้ว หากนายกองอวี๋ไม่บอกว่าเป็นคนเทียนจิน เช่นนั้นข้าก็ย่อมฟังไม่ออกจริงๆ ”
นี่คือการเปลี่ยนประเด็นสนทนา ทุกคนหัวเราะ กล่าวกันสองสามวาจา อวี๋เจียนหรู่ก็ลุกขึ้นลงโขกศีรษะกล่าวว่า
“มีเรื่องหนึ่งข้าน้อยเดิมไม่ควรกล่าว แต่ก็เหมือนติดอยู่ที่ลำคอ ยากทนรับไหว ในราชสำนักเป็นปรปักษ์กับท่านโหวข้าน้อยเองก็ยื่นฎีกาตามไปด้วย แต่พวกนั้นล้วนไม่ใช่เจตนาเดิมของข้าน้อย ช่างเป็นเรื่องที่ไม่อาจไม่ทำ ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจมีเพื่อนร่วมวงการขุนนาง แต่พอยื่นฎีกาไป ข้าน้อยรู้สึกละอายใจมาก ตกกลางคืนก็นอนไม่หลับ ดีที่ฝ่าบาทคืนความยุติธรรมให้ท่านโหว ข้าน้อยมีความผิด……”
กล่าวจบ ถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่น้ำตาไหล ละครเล่นได้เต็มที่ หวังทงยิ้มยกมือขึ้นโบกกล่าวว่า
“นายกองอวี๋ลุกขึ้นก่อน เรื่องก็ผ่านไปแล้ว ยังจะเอ่ยถึงทำไมกัน ข้ากับเทียนจินมีวาสนา กับนายกองอวี๋ก็นับว่ามีวาสนาเช่นกัน วันหน้ายังต้องดูแลกันและกันถึงจะถูกต้อง!”
ได้ยินเช่นนี้ อวี๋เจียนหรู่ก็แกล้งทำเป็นละอายใจเกือบจะทนไม่ไหว ก่อนจะยิ้มออกมา วันนี้คิดมาสานสายสัมพันธ์ คิดไม่ถึงว่าหวังทงถึงกับต้อนรับอบอุ่นเช่นนี้ คิดถูกแล้วที่มาสวามิภักดิ์เร็ว นำของขวัญมาไม่กี่อย่าง ก็แค่แสดงน้ำใจเท่านั้น หวังทงถึงกับต้อนรับใจกว้างเช่นนี้
เขาลุกขึ้นนั่งลง ก็เห็นหวังทงโบกมือไปด้านนอก พ่อบ้านรีบวิ่งเข้ามา หวังทงสั่งการพ่อบ้านไปสองสามคำ พ่อบ้านรีบก้าวออกไป
“นายกองอวี๋มาได้จังหวะพอดี ข้ากำลังมีวาจาต้องการไหว้วานคนไปยื่นฎีกา ขอนายกองอวี๋ช่วยหน่อย!”
อวี๋เจียนหรู่อึ้งไป สองฝ่ายพบหน้ากันครั้งแรก ก่อนหน้าไม่เคยไปมาหาสู่กัน ติ้งเป่ยโหวต้องการยื่นฎีกา คิดแล้วน่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่จะมาฝากฝังคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรกง่ายๆ เช่นนี้หรือ?
กำลังลังเลก็เห็นพ่อบ้านหยิบเอกสารเข้ามา หวังทงยิ้มส่งให้อวี๋เจียนหรู่
อ่านไปไม่นาน อวี๋เจียนหรู่มือสั่น เอกสารเกือบร่วง ผุดลุกจากเก้าอี้ เสียงสั่นกล่าวว่า
“เรื่องนี้ทำได้อย่างไร?”
“นายกองอวี๋ไม่อยากคว้าโอกาสนี้ไว้หรือ?”
หวังทงถามขึ้นท่าทางสบายๆ อวี๋เจียนหรู่อึ้งไปครู่หนึ่ง ก็ลังเลกล่าวว่า
“ท่านโหว ข้าน้อยมาวันนี้มีคนเห็นมากมาย หากยังยื่นฎีกานี้ เกรงว่าเมืองหลวงทุกแห่ง ยังมีนอกด่าน ล้วนรู้ว่าเป็นความตั้งใจของท่านโหว เกรงว่าจะทำให้ท่านโหว……”
ขุนนางยื่นฎีกากล่าวหาขุนนางย่อมไม่เปิดเผยตัว แต่หากทำตามหวังทงว่ามา คนนอกก็ย่อมรู้ที่มาที่ไป
“ไม่เป็นไร ก็เพราะต้องการให้คนอื่นรู้เป็นข้าสั่งการ”
หวังทงยิ้มตอบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น