ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 918-919
ตอนที่ 918 วังหมื่นปีศาจ
เมื่อหญิงสาวสงบจิตใจได้แล้วก็กวาดสายตามองไปด้านหลัง คิ้วดกดำอดไม่ได้ขมวดเล็กน้อย
สถานการณ์ตรงหน้าคงจะมองในแง่ดีไม่ได้จริงๆ
แม้หลิ่วหมิงจะมีเคล็ดวิชาเกราะอสูรช่วยเสริม แต่เมื่อไม่ได้ประสานกับการขี่กระบี่ ลำแสงก็ยังด้อยกว่ามนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์อยู่มาก!
ใช้เวลาเพียงไม่ถึงแปดหรือเก้าลมหายใจ มนุษย์ปีศาจที่เกิดใหม่ผู้นั้นก็อยู่ห่างจากเขาไม่เกินสามสิบจั้งแล้ว
เมื่อแสงสีเงินกะพริบวูบหนึ่ง หลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวตรงทางออกของทางเดินเบื้องหน้าค่ายกลอสนีบาตที่พังไปก่อนหน้านี้
หลังเขากวาดสายตามองแวบหนึ่งเขาก็ตกตะลึงเล็กน้อย
ค่ายกลรูปหกเหลี่ยมเวลานี้มีเสียงอสนีบาตคำรามดังออกมาแล้วรวมตัวกันกลายเป็นอสรพิษสายฟ้าสีทองจำนวนไม่น้อย ก่อกำแพงอสนีบาตแต่ละด้านขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่ว่าสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าข้างในนั้นย่อมไม่มีอยู่อีกแล้ว
“ตอนพวกเราพุ่งผ่านชั้นจำกัดไป สหายลงมือช่วยข้ายื้อเวลาสักหน่อยได้หรือไม่ ขอเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น!” หลิ่วหมิงส่งกระแสจิตหาหญิงสาวผู้สวมชุดนางในที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างเร็วไว
แม้หญิงสาวผู้สวมชุดนางในจะไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงต้องการทำสิ่งใด ทว่านางก็พยักหน้าอย่างไม่ลังเลสักนิด
ครู่ต่อมาแสงสีเงินก็ส่องสว่างขึ้นวูบหนึ่ง หลิ่วหมิงพาหญิงสาวผู้สวมชุดนางในพุ่งเข้ามาในค่ายกลอสนีบาตสีทองอ่อนที่ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันนั้นแสงเรืองรองสีแดงผืนหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นในอ้อมแขนเขาแล้วโถมออกไปด้านหลัง มันหมุนเร็วรี่ครั้งหนึ่งก่อนจะกลายเป็นม่านยักษ์สีแดงขนาดสิบกว่าจั้งผืนหนึ่ง ครอบด้านหลังของค่ายกลอสนีบาตไว้ทันที
“ลูกไม้กระจอก!”
มนุษย์ปีศาจผู้เกิดใหม่ที่อยู่ด้านหลังรู้สึกเหมือนกับว่ามีแสงสีแดงผืนใหญ่บดบังสายตาของเขาไว้ เขาหัวเราะอย่างดูแคลนแล้วยกแขนขึ้นข้างหนึ่ง ปราณดำพวยพุ่ง เงาฝ่ามือมารข้างหนึ่งก่อตัวออกมาอีกครั้งจากนั้นพุ่งรวดเร็วเข้าใส่ม่านยักษ์สีแดงเบื้องหน้า
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นตั้งท่าเคล็ดวิชาท่าหนึ่งตรงหน้าอก จากนั้นชี้ไปด้านหลังพร้อมกับที่ปากท่องมนตร์อย่างรวดเร็ว
เสียงแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยินดังขึ้น สายฟ้าเทพห้าสีขนาดเรียวเล็กดุจเส้นผมสายนั้นที่ถูกเขาดูดซับไปเมื่อครู่ฉับพลันพุ่งออกมาจากแก่นเสมือน แล่นผ่านปลายนิ้วของเขาดังฟิ้ว แล้วจมลงไปในม่านยักษ์สีแดงท่ามกลางเสียงอสนีบาตเส้นอื่นในค่ายกลที่ดังกลบ
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นเงาฝ่ามือมารก็มาถึง มันชนม่านยักษ์สีแดงจนเกิดเสียงกัมปนาท ม่านยักษ์ทั้งผืนเหมือนผ้าขาดผืนหนึ่งที่ถูกฉีกทึ้งทันที
หลังจากนั้นเงาสีเทาเขียวร่างหนึ่งก็หมายจะพุ่งทะลุม่านยักษ์สีแดงที่ถูกทึ้งขาด กระโดดเข้ามาในค่ายกล
“เปรี๊ยะๆ” เสียงอสนีบาตดังขึ้น!
ทันทีที่เงาร่างสีเทาเขียวเหยียบเข้ามาในค่ายกลอสนีบาต ประกายแสงห้าสีเส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในค่ายกลแล้วพุ่งเร็วรี่เข้าใส่กลางหว่างคิ้วของเขา
มนุษย์ปีศาจที่มีเพลิงมารล้อมรอบอยู่เห็นเช่นนี้พลันหน้าถอดสี เขาคิดจะหลบแต่ไม่ทันกาล จึงได้แต่ยกมือข้างหนึ่งขวางเบื้องหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว
ได้ยินเพียงเสียงเปรี้ยงดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
ร่างกายใหญ่โตสูงสองจั้งของมนุษย์ปีศาจที่เกิดใหม่ถูกดีดกลับไปกระแทกผนังหินด้านหนึ่งประหนึ่งกระสอบป่านขาดๆ ในทันใด
เพลิงมารสีเทาเขียวที่ลุกโชติช่วงบนร่างเขาส่งเสียงดังฟู่แล้วสลายไป เผยให้เห็นร่างกายที่ไหม้เกรียมประหนึ่งถ่านเป็นแถบ แขนข้างหนึ่งในนั้นถูกสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าย่างจนกลายเป็นถ่านดำเกรียมแตกร่อน!
ใบหน้าที่เดิมทีบูดเบี้ยวอยู่แล้วของมนุษย์ปีศาจที่เกิดใหม่แลดูเหี้ยมเกรียมยิ่งกว่าเดิม กล้ามเนื้อสองฝั่งกระตุกไม่หยุด ท่าทางทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง
“สายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้า! เป็นไปไม่ได้ ชั้นจำกัดตรงนี้ถูกทำลายไปแล้วชัดๆ เหตุใดจึงยังมีสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าอยู่อีก!” มนุษย์ปีศาจที่เกิดใหม่กุมหัวไหล่ตรงที่แขนขาดไปไว้แล้วคำรามแผ่วเบาอย่างตะลึงระคนเกรี้ยวกราด
หลิ่วหมิงมองไปยังมนุษย์ปีศาจที่บาดเจ็บแต่ยังไม่ตายฝั่งตรงข้าม เมื่อเห็นเขาคำรามอย่างเต็มเปี่ยมด้วยพละกำลัง ในใจก็หวาดหวั่นอยู่บ้าง
สายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้านี้แข็งแกร่งปานใด ตัวเขาเองรู้ชัดที่สุด
ในฐานะมนุษย์ปีศาจซึ่งถูกอสนีบาตข่มตามธรรมชาติ หลังจากถูกสายฟ้าเทพโจมตีแต่กลับยังกระโดดโลดเต้นได้ สิ่งนี้เหนือกว่าที่เขาคาดคิดไว้อย่างแท้จริง
เขารู้ชัดยิ่งว่า แม้มนุษย์ปีศาจถูกกั้นขวางจากพวกเขาสองคนด้วยค่ายกลอสนีบาตที่แลดูจะสมบูรณ์ค่ายกลหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงชั้นจำกัดที่สูญเสียสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าไปแล้วแห่งนี้สำหรับมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์ตรงหน้าก็เหมือนหน้าต่างกระดาษ
หลังจากหลิ่วหมิงขบคิดรอบหนึ่งก็เอ่ยกับมนุษย์ปีศาจฝั่งตรงข้ามจากด้านในค่ายกลด้วยท่าทีนิ่งสงบในทันใด
“ลืมบอกเจ้าไป สายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าในค่ายกลแห่งนี้ยังอยู่ หากเจ้าไม่กลัวตายหรือคิดว่าพลังระดับดาราพยากรณ์สามารถมองข้ามสายฟ้านี้ได้ก็เข้ามาเลย”
หลิ่วหมิงเอ่ยจบก็หมุนตัว อุ้มหญิงสาวผู้สวมชุดนางในผู้นั้นแหวกกำแพงอสนีบาตอีกด้านหนึ่งพุ่งออกจากค่ายกลไปดื้อๆ
“เอาล่ะ วางข้าลงเถิด ข้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว อีกอย่างคำพูดนั้นของเจ้าเมื่อครู่คงทำให้มารตัวนั้นไม่กล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหวอีก” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในฉับพลันส่งกระแสจิตเอ่ยบอก
ไม่รู้ว่าฤทธิ์ของโอสถหยกโลหิตที่กลืนลงไปก่อนหน้านี้เริ่มปรากฏให้เห็นหรืออย่างไร ปราณดำที่เดิมทีล้อมใบหน้าของสตรีนางนี้อยู่จึงจางลงไปไม่น้อย
หลิ่วหมิงลังเลอยู่ชั่วครู่จึงปล่อยหญิงสาวลงเบาๆ
หลังจากสองเท้าของสตรีนางนี้เหยียบลงพื้น นางเพียงมองหลิ่วหมิงนิ่งอยู่นานครั้งหนึ่งแต่ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
เวลานี้ตรงแขนที่ขาดของมนุษย์ปีศาจซึ่งถูกกั้นไว้ด้วยค่ายกลผู้นั้นมีติ่งเนื้อสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนงอกออกมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางปราณมารสีเทาเขียวที่ลุกโชนไหลเคลื่อนอยู่ พริบตาเดียวแขนที่สมบูรณ์ดีข้างหนึ่งก็เริ่มปรากฏโครงร่าง
ทว่าสีหน้าของเขาซีดเผือดอยู่บ้าง เห็นชัดว่าแม้เขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ แต่การป้องกันสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าที่โจมตีมาเมื่อครู่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ลมปราณจะเสียหายอย่างหนัก
เขามองค่ายกลรูปหกเหลี่ยมที่ยังคงมีสายฟ้าสีทองแล่นพล่านไปมาอยู่ตรงหน้า จากนั้นเหล่มองแขนที่งอกขึ้นมาใหม่ของตนเองอีกหน ความหวาดหวั่นในดวงตาเข้มขึ้น ท้ายที่สุดก็เหมือนเช่นที่หญิงสาวคาดคิด เขาไม่ได้พุ่งเข้าไปในค่ายกลทั้งอย่างนี้ แต่นั่งขัดสมาธิลงที่เดิมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ไอปีศาจสีเทาเขียวรอบร่างลุกโหมออกมาหุ้มร่างกายเป็นรูปลูกบอล คล้ายกับว่ากำลังเริ่มรักษาอาการบาดเจ็บ
“ตามข้ามาเถอะ” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย หลังส่งกระแสจิตบอกหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้างประโยคหนึ่ง นางก็หมุนตัวเดินไปด้านนอกอย่างไม่รีบร้อนแต่ไม่ชักช้า
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ครุ่นคิดครู่หนึ่งจากนั้นเดินตามสตรีนางนี้ไป
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในท่าทางเหมือนจะคุ้นเคยกับพื้นที่นี้อย่างยิ่ง หลังออกจากหุบเขาก็เดินผ่านตำหนักใหญ่หลายแห่งแล้วเลี้ยวครั้งหนึ่งเข้าไปในทางเดินคดเคี้ยวลับตาแห่งหนึ่ง
“สหายผู้นี้ ข้าถ่วงเวลามนุษย์ปีศาจคนนี้ไว้ชั่วคราวแทนท่านแล้ว แม่นางได้โปรดคลายชั้นจำกัดของยันต์จิตวิญญาณปีศาจที่ฝังไว้บนร่างข้าได้หรือไม่” ในใจหลิ่วหมิงประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ในที่สุดก็อดไม่ได้เอ่ยปากบอก
“ในเมื่อเมื่อครู่เจ้าลงมือช่วยข้าไว้ ข้าย่อมพูดจริงทำจริง!” หญิงสาวได้ยินก็หยุดก้าวเท้าทันที แล้วหมุนตัวมาเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
สิ้นเสียง สตรีนางนี้ก็ทำท่าเคล็ดวิชาด้วยมือหนึ่งทันที ส่วนอีกมือหนึ่งกวักไปทางส่วนท้องของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรู้สึกว่ายันต์ปีศาจสีเงินในทะเลจิตวิญญาณราวกับถูกเรียก แสงสีเงินสว่างจ้ารอบร่างครั้งหนึ่งแล้วมันก็หายไปจากที่เดิม
เสียงฟึบดังขึ้นครั้งหนึ่ง ยันต์ก็พุ่งออกมาจากส่วนท้องของหลิ่วหมิง ลอยไปหาฝ่ามือของหญิงสาวผู้สวมชุดนางใน หลังจากหมุนวนอยู่ตรงกลางฝ่ามือรอบหนึ่งมันก็เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทะเลจิตวิญญาณโล่งสบาย ความรู้สึกไม่สบายตัวทั่วร่างสลายหายไปประหนึ่งหมอกควัน พลังเวททั้งหมดโคจรได้ดั่งใจ เขาประสานมือเอ่ยกับหญิงสาวอย่างยินดีทันที
“ในเมื่อสหายรักษาสัญญา ผู้แซ่หลิ่วก็ขอลาตรงนี้!”
“ประเดี๋ยวก่อน! ในเมื่อเจ้าเข้ามาในที่แห่งนี้แล้วจะกลับไปมือเปล่าจริงหรือ ตอนนี้ข้ากำลังจะไปแดนลับอีกแห่งหนึ่งของสถานที่แห่งนี้ ท่านยินดีร่วมเดินทางและคุ้มกันข้าหรือไม่? สถานที่แห่งนั้นสำหรับเจ้าแล้วไม่แน่อาจเป็นโชควาสนาครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งเช่นกัน” ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังอยากจะหมุนตัวจากไป หญิงสาวผู้สวมชุดนางในกลับเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“สหายจะไปที่ใด แล้วโชควาสนานั่นคืออะไร?” หลิ่วหมิงฟังแล้วหวั่นไหวจึงเอ่ยปากถาม
“สถานที่แห่งนั้นควรเรียกว่าอะไรข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่แผ่นดินหมานฮวงเรียกขานมันมาตลอดว่า ‘วังหมื่นปีศาจ’” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“วังหมื่นปีศาจหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินสายตาพลันทอประกาย
ทำความเข้าใจจากความหมายของตัวอักษร เห็นชัดว่ามีความเกี่ยวพันอย่างมากกับเผ่าปีศาจ หรือว่าด้านในจะมีมรดกวิชาของเผ่าปีศาจ
“นายท่านของสถานที่นั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมคนหนึ่งของสมัยโบราณ แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดเขาจึงกลายเป็นศัตรูเก่าแก่คนหนึ่งของเผ่าปีศาจเรา เมื่อหนึ่งล้านปีก่อนคนผู้นี้กับลูกน้องทำสงครามครั้งใหญ่กับเผ่าปีศาจของข้า เขาสังหารผู้ฝึกฝนเผ่าข้าไปไม่น้อยกว่าพันตน ปีศาจอสูรอีกนับไม่ถ้วนแล้วดึงวิญญาณออกจากร่างกักไว้ในวังแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในมิติลึกลับ ต่อมาเมื่อเวลานานเข้า เผ่าปีศาจที่ตกตายในมือเขาก็ยิ่งมีนับไม่ถ้วน ดังนั้นคนรุ่นหลังของเผ่าปีศาจเราจึงเรียกวังแห่งนี้ว่า ‘วังหมื่นปีศาจ’ จากบันทึกในตระกูล หลังจากคนผู้นี้ละสังขาร ไม่รู้ว่าเขาใช้วิชามหัศจรรย์อันใดพาวังหมื่นปีศาจทั้งหลังเข้ามาอยู่ในเศษซากของโลกบนแล้วอยู่ที่นี่อย่างเงียบงัน ไม่เคยมีใครย่างเท้าเข้าไป ที่นี่น่าจะเป็นทางเข้าของวังหมื่นปีศาจ!” หญิงสาวอธิบายอย่างเชื่องช้า
หลิ่วหมิงฟังจบก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมาเล็กน้อย ทว่าในใจเขารู้ว่าการที่สตรีนางนี้เล่าเสียละเอียดเช่นนี้ย่อมไม่ได้ไร้เหตุผล ต่อจากนี้ถึงน่าจะเป็นส่วนที่สำคัญ
“เป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ของข้าก็คือการตามหามรดกวิชาจากดวงวิญญาณของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางสมัยโบราณตนหนึ่งในนั้น เงาที่วิชาลับภาพสัญลักษณ์บนร่างเจ้าเรียกออกมานั่นมีประโยชน์ในการข่มวิญญาณปีศาจ น่าจะดูดกลืนวิญญาณปีศาจเพื่อเสริมให้ตนเองแข็งแกร่งสินะ ระหว่างที่ข้ารับสืบทอดมรดกเกรงว่าคงเรียกวิญญาณปีศาจตัวอื่นมาอีกมากมาย เจ้าต้องรับประกันว่าจะไม่ปล่อยให้พิธีสืบทอดมรดกวิชาของข้าครั้งนี้ถูกรบกวนตลอดพิธี ส่วนผลประโยชน์ของเจ้าก็คือการได้วิญญาณปีศาจตัวอื่นมายกระดับวิชาลับของตนเอง”
คำพูดต่อมาของหญิงสาวผู้สวมชุดนางในทำให้หลิ่วหมิงหวั่นไหวหัวใจเต้นแรงอย่างที่คาด
วิญญาณปีศาจสมัยโบราณจำนวนนับไม่ถ้วน ในนั้นน่าจะมีระดับผลึกไม่น้อยหรืออาจมีกระทั่งปีศาจอสูรที่สูงกว่าระดับแก่นแท้ สำหรับวิชาลับภาพสัญลักษณ์เห็นชัดว่าเป็นโชควาสนาครั้งใหญ่หลวงที่หาได้ยากครั้งหนึ่ง
หลิ่วหมิงนึกย้อนไปถึงตอนนั้นที่เขาสูญเสียเรี่ยวแรงและเวลาไปมหาศาลกว่าจะดูดกลืนปีศาจอสูรระดับผลึกและระดับแก่นแท้ในหนานฮวงได้สิบกว่าตัว ข้อเสนอของอีกฝ่ายเย้ายวนเพียงใดคิดดูก็รู้
“แม้ข้อเสนอของสหายจะดี ทว่าฟังจากถ้อยคำของสหายแล้ว ท่านก็ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของวังหมื่นปีศาจเหมือนกันสินะ? มนุษย์ปีศาจคนนั้นตามหาที่แห่งนี้ก็คงเพื่อวังแห่งนี้เหมือนกันล่ะสิ?” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยปากถามอีกครั้ง
“จากบันทึกของบรรพบุรุษเผ่าข้า วังหมื่นปีศาจอยู่ในซากโบราณสถานแห่งนี้จริง ทว่าตัววังแห่งนี้ถูกแยกออกไปอยู่ในมิติซึ่งแยกตัวเป็นเอกเทศแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังเปลี่ยนตำแหน่งทางเข้าเองตามรูปแบบที่กำหนดไว้ คนนอกจึงตามหายากยิ่งนัก ทว่าในมือข้ามียันต์ตอบสนองชนิดพิเศษอยู่ในมือแผ่นหนึ่ง ใช้ค้นหาตำแหน่งทางเข้าในขอบเขตระยะหนึ่งได้ เป้าหมายที่มนุษย์ปีศาจผู้นั้นเดินทางมาน่าจะแตกต่างจากข้า บางทีผู้ฝึกฝนสมัยโบราณผู้นั้นอาจจะยังเก็บสมบัติชิ้นอื่นที่มนุษย์ปีศาจต้องการไว้ที่นี่อีกก็ได้กระมัง” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเอ่ยจบก็บิดข้อมือขาวผ่อง กลางฝ่ามือเรียวขาวมียันต์ที่ทอแสงสีเงินขมุกขมัวแผ่นหนึ่งปรากฏออกมา
ตอนที่ 919 วิญญาณปีศาจ
บนยันต์สลักลวดลายจิตวิญญาณที่บูดเบี้ยวไว้ หลิ่วหมิงไม่รู้จักสักตัว คิดว่าคงเป็นยันต์ของเผ่าปีศาจบางเผ่า ทว่าจากระดับความประณีตของมันกับปราณปีศาจที่แผ่ออกมาเลือนรางบนนั้นเห็นชัดว่าเป็นยันต์ที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษชนิดหนึ่ง
หลิ่วหมิงจ้องยันต์สีเงินอยู่พักหนึ่งก็พยักหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาไม่หยุด
“ได้ ในเมื่อสหายมีวิธีตามหาที่ตั้งวังหมื่นปีศาจ ถ้าเช่นนั้นผู้แซ่หลิ่วก็จะเดินทางไปกับท่านสักครั้ง ทว่าคำพูดไม่น่าฟังต้องพูดเอาไว้ก่อน หากไปถึงสถานที่แห่งนั้นแล้วพบกับอันตรายที่ไม่อาจล่วงรู้อย่างอื่นขึ้น ข้าไม่รับประกันว่าจะร่วมเดินทางกับท่านจนถึงที่สุดได้”
“วางใจเถอะ! เพื่อการเดินทางครั้งนี้ข้าค้นหาข้อมูลก่อนเดินทางมายังเศษซากของโลกบนตั้งไม่รู้เท่าไร ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน จะว่าไปแล้วพื้นที่ซึ่งพวกเราฝ่าเข้าไปเมื่อครู่ ยันต์นี่ไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย แสดงว่าก่อนหน้านี้แม้พวกเราเสี่ยงอันตรายมากเช่นนี้ก็ยังตามหาผิดที่” หญิงสาวฟังแล้วไม่ใส่ใจสักนิด ตรงกันข้ามกลับหัวเราะเสียงหวานเอ่ยขึ้นมา
เมื่อหญิงสาวหมุนตัวอีกครั้ง นางก็เดินหน้าต่อ
หลิ่วหมิงย่อมตามหลังสตรีนางนี้ไป เขาเดินไปพลางก็สำรวจรอบด้านอย่างละเอียดและลอบจดจำเส้นทางเอาไว้
……
สองวันให้หลังหลิ่วหมิงกับหญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็ทำลายชั้นจำกัดไปตลอดทางจนตระเวนทั่วเกือบครึ่งของซากโบราณสถานแล้ว แม้ระหว่างนี้จะได้โชคลาภมาบ้าง หาโอสถและวัตถุดิบล้ำค่าพบจำนวนหนึ่ง แต่ก็เป็นจำนวนไม่มากนัก พวกเขาสองคนแบ่งไปเท่าๆ กัน
ทว่านานเช่นนี้ยังหาวังหมื่นปีศาจไม่พบ ในใจของหลิ่วหมิงก็อดไม่ได้ลังเลขึ้นมาบ้าง ในใจตัดสินใจทันทีว่าหากผ่านไปอีกหนึ่งวันยังคงไร้เงื่อนงำ เขาจะขบคิดเรื่องแยกทาง
อย่างไรในเศษซากของโลกบนแห่งนี้ แต่ละวันล้วนสำคัญยิ่งยวด ไม่อาจเสียเวลาที่นี่นานเกินไปได้
เที่ยงวันที่สาม ขณะที่ทั้งสองคนทำลายชั้นจำกัดอันร้ายกาจขนาดหนึ่งหมู่กว่าแล้วเดินเข้าไปในห้องโถงข้างที่ค่อนข้างกว้างขวางแห่งหนึ่ง ยันต์ที่สตรีผู้นี้ถือไว้ในมือก็พลันเปล่งแสงสีเงินหลายวงออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ใบหน้าก็ปรากฏสีหน้ายินดี หญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วหยุดเท้าลงด้วย นางเริ่มสำรวจรอบด้านของโถงข้าง
ห้องโถงข้างแห่งนี้มีพื้นที่ราวสิบหกถึงสิบเจ็ดจั้ง ในห้องโถงนอกจากโต๊ะศิลารูปวงกลมที่เก่าคร่ำตัวหนึ่งกับม้านั่งศิลาสามตัวรอบๆ ก็มีแต่รูปสลักหินหัวปีศาจที่หน้าตาแตกต่างกันแปดตัวซึ่งวางอยู่เป็นระยะบนกำแพงรอบด้าน
รูปสลักหินเหล่านี้หากมองเพียงปราดเดียวก็ไม่แตกต่างจากรูปสลักหินธรรมดาแต่อย่างใด เพียงแต่ใบหน้าดุร้ายของหัวปีศาจแปดตัวล้วนมองมายังโต๊ะศิลากลางห้องโถง
เวลานี้เองหญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็สะบัดแขนกลมกลึง ชี้ไปยังหัวหมาป่าที่อ้าปากสีแดงสดตัวหนึ่งในนั้น
แสงสีขาวเส้นหนึ่งส่งเสียงดังฟึ้บก่อนจะจมหายไปด้านใน ดวงตาบนหัวหมาป่าฉับพลันเปล่งแสงสว่าง เงาหมาในสีเทาขนาดสองถึงสามจั้งตัวหนึ่งกระโจนออกมาแล้วแหงนหน้าหอนไร้เสียงใส่เพดานของห้องโถงด้านข้าง
“น่าจะเป็นที่นี่ไม่ผิด” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่งแล้วหมุนตัวส่งแสงสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าไปยังหัวของปีศาจที่เหลือ
หัวปีศาจที่เหลือเหล่านั้นกลายเป็นเงาร่างแล้วร่างเล่าหลุดออกมาจากรูปสลักหินเช่นเดียวกัน
ชั่วขณะหนึ่งในห้องโถงข้างก็มีเงาปีศาจอสูรที่แลดูประหนึ่งมีชีวิตแปดตัว พวกมันเริ่มไล่จับกัน เล่นกันอย่างสนุกสนาน
“หรือที่แห่งนี้จะเป็นทางเข้าวังหมื่นปีศาจ?” ในที่สุดหลิ่วหมิงที่มองอยู่ด้านข้างอย่างนิ่งเฉยมาตลอดก็เอ่ยปากถามขึ้นมา
“ในเมื่อยันต์มีปฏิกิริยา มากกว่าครึ่งก็คงไม่ผิดแล้ว”
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในตอบกลับมาอย่างราบเรียบแล้วโยนยันต์สีเงินในมือไปกลางอากาศ นิ้วเรียวงามนิ้วหนึ่งจี้ดัชนีออกไป
เสียงฟู่ดังขึ้นครั้งหนึ่ง
ยันต์สีเงินระเบิดกลายเป็นแสงสีเงินจุดแล้วจุดเล่ากระจายไปทั่วทั้งห้องโถงข้างในพริบตา
เงาปีศาจอสูรแปดตัวนั่นสัมผัสถูกแสงสีเงินก็กลายเป็นปราณปีศาจสายแล้วสายเล่าจมเข้าไปในโต๊ะศิลาตรงกลางในทันใด
โต๊ะศิลารูปวงกลมฉับพลันเริ่มสั่นไหว บนผิวปรากฏลวดลายค่ายกลสีเงินที่ชัดเจนอย่างยิ่งอันหนึ่งออกมา หลังจากส่งเสียงครืดคราดหลายครั้งมันก็จมลึกเข้าไปใต้พื้นดิน
ชั่วครู่หลังจากนั้นบนพื้นดินพลันปรากฏค่ายกลที่ทอแสงสีเทาอ่อนขนาดหลายจั้งค่ายกลหนึ่ง
“พวกเราไป!” หลังจากหญิงสาวผู้สวมชุดนางในมองหลิ่วหมิงครั้งหนึ่ง ร่างกายก็พุ่งเข้าไปด้านในค่ายกล
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็พลิกมือฉีกยันต์หลายแผ่นเสริมเกราะป้องกันหลายชั้นให้ตนเองแล้วจึงเดินตามหลังนางเข้าไปติดๆ
ครู่ต่อมาปราณปีศาจสายหนึ่งก็พัดขึ้นมาจากรอบค่ายกล หลิ่วหมิงได้ยินเสียงร้องคำรามเลือนรางครั้งหนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกว่าสรรพสิ่งรอบด้านเลือนหายไป ฟ้าดินพลิกหมุน
เมื่อเขาตั้งสมาธิได้ เห็นทุกสิ่งรอบด้านชัดอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในวังลึกลับสีดำสนิททั้งหลังแห่งหนึ่ง
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในด้านข้างมองสำรวจรอบด้านไม่หยุดเช่นเดียวกัน
ยามทอดสายตามองรอบด้าน วังทั้งหลังดูเหมือนมองไปไร้ที่สิ้นสุด แม้เงยศีรษะขึ้นมองก็ยังรู้สึกว่ามีแต่ความว่างเปล่าอันมืดมิด
หลิ่วหมิงใช้จิตสัมผัสกวาดรอบบริเวณหลายลี้ก็ไม่พบว่ามีสิ่งผิดปกติใด แต่เมื่อจะลองสำรวจไกลออกไปอีกกลับพบว่ากำลังไม่พอ
สถานที่แห่งนี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะสะกดจิตสัมผัสเอาไว้!
“มิติแห่งนี้ใหญ่กว่าที่ข้าจินตนาการไว้มากมายนัก ปราณปีศาจเปี่ยมล้นอย่างยิ่ง เพียงแต่วิญญาณปีศาจในที่แห่งนี้หลับใหลมาไม่รู้นานกี่หมื่นปีแล้ว จึงก่อเกิดเป็นความสมดุลอันละเอียดอ่อนบางอย่างระหว่างกัน หากไม่เข้าใกล้มากพอ เผ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าก็คงยากจะสัมผัสได้ เจ้าลองกระตุ้นวิชาลับภาพสัญลักษณ์ของเจ้าดู น่าจะรับรู้ได้เช่นเดียวกับข้า” ทันใดนั้นหญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็ขยับริมฝีปากเล็กน้อยส่งกระแสจิตบอกหลิ่วหมิง
“ขอบคุณสหายยิ่งที่เตือน” หลิ่วหมิงใจสะท้านแล้วประสานกำปั้นเอ่ยตอบนาง
ต่อจากนั้นเขาจึงหลับตาทั้งสองข้างลง กรอกพลังเวทเข้าไปในภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนบนหัวไหล่ช้าๆ หลังจากนั้นมือข้างหนึ่งก็ตบแผ่วเบา ในเสื้อพลันมีแสงสีน้ำเงินส่องสว่างออกมา เงาวัวสีน้ำเงินตัวหนึ่งปรากฏออกมาในทันใด
พริบตาที่เงานี้ปรากฏกาย ความว่างเปล่าไม่กี่สิบจั้งรอบตัวก็พลันเกิดคลื่นไหวกระเพื่อมระลอกแล้วระลอกเล่า ไอหมอกสีขาวผลุบๆ โผล่ๆ หลายสายพากันรวมตัวกันเป็นก้อนอยู่ตรงที่เดิม ครู่หนึ่งหลังจากนั้นก็กลายเป็นเงาเต่ายักษ์สีเหลืองตัวหนึ่งกับเงาพญาวิหคสามขาที่สยายปีกโผบินอีกตัวหนึ่ง
ร่างกายของทั้งสองตัวมีขนาดถึงสิบกว่าจั้ง แม้เลือนรางอยู่บ้างแต่ตัดสินจากปราณก็ยังพอมองออกว่าทั้งสองตัวล้วนเป็นวิญญาณปีศาจระดับผลึก
ที่เหนือความคาดหมายของหลิ่วหมิงก็คือหลังจากทั้งสองตัวมองเงาเชอฮ่วนเหนือร่างหลิ่วหมิงเพียงครั้งเดียวแล้ว พวกมันทั้งสองก็มีสีหน้าหวาดผวา หมุนตัวแหวกท้องฟ้าพุ่งหนีไปไกลทันที
เวลานี้เองหลิ่วหมิงยังไม่ทันได้ใช้วิชา เงาเชอฮ่วนก็ลืมตาสองข้างขึ้น มันกู่ร้องใส่ท้องฟ้าอย่างไร้เสียงจากนั้นแสงสีน้ำเงินรอบร่างก็เจิดจ้ากลายเป็นแสงสีน้ำเงินแถบหนึ่งไล่ตามปราณปีศาจสองสายที่เลือนรางไม่ชัดไกลๆ นั่นไปติดๆ ความเร็วน่าตะลึงอย่างที่สุด
หลังจากผ่านไปเพียงสิบกว่าลมหายใจ แสงสีน้ำเงินที่อยู่ไกลออกไปก็กะพริบวูบหนึ่ง แล้วกลับมาพร้อมกับเสียงสายลมแรงพัดหวีดหวิว เงาเชอฮ่วนตัวนั้นนั่นเอง!
ดูจากท่าทางสมใจของเงาตัวนี้เห็นชัดว่าคงกลืนวิญญาณปีศาจสองตัวนั้นไปแล้ว ปราณที่แผ่ออกมาเพิ่มขึ้นกว่าตอนที่ผละไปอยู่บ้าง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ในใจย่อมยินดีอย่างยิ่ง
“อีกเดี๋ยวข้าจะใช้วิชาค้นหาวิญญาณปีศาจที่ข้าต้องการมรดก ส่วนที่เหลือยกให้เจ้า” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเห็นสถานการณ์ก็เผยสีหน้าพึงพอใจแวบหนึ่ง หลังจากสั่งคำหนึ่งนางก็นั่งขัดสมาธิลงไป
นางสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่งในมือพลันมีธงผืนน้อยห้าสีซึ่งสีสันสดใสเพิ่มขึ้นมาเก้าผืน จากนั้นจึงอ้าปากพ่นปราณปีศาจสีเงินอ่อนใส่ธงค่ายกลในมือ
แสงรัศมีส่องสว่าง ธงน้อยเก้าผืนแต่ละผืนบินพุ่งออกจากในมือแล้วลอยเคลื่อนไปกลางอากาศในระยะหนึ่งจั้งกว่ารอบด้านอย่างต่อเนื่องตามที่สิบนิ้วบนสองมือของหญิงสาวจี้ดัชนีออกไป
หลังจากผ่านไปสองสามลมหายใจ ธงน้อยเหล่านี้ก็เรียงตัวเป็นแนวค่ายกลประหลาดค่ายกลหนึ่งแล้วพากันปักลงบนพื้น มันแลดูไม่มีรูปแบบสักนิด แต่ก็คล้ายจะแฝงความลี้ลับบางประการไว้
ต่อจากนั้นหญิงสาวผู้สวมชุดนางในจึงท่องมนตร์งึมงำทุ้มต่ำออกมาแผ่วเบา มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชาจากนั้นยิงเคล็ดวิชาเก้าสายออกมา แต่ละสายโจมตีลงบนธงน้อยเหล่านี้อย่างแม่นยำ
ทันใดนั้นธงค่ายกลเหล่านี้ก็สั่นเล็กน้อย แสงรัศมีหลากสีส่องสว่าง พร้อมกันนั้นเส้นแสงเรียวเล็กสายแล้วสายเล่าก็โถมออกมาจากด้านในโดยมีหญิงสาวเป็นศูนย์กลาง พวกมันเชื่อมต่อกันเป็นม่านแสงรูปครึ่งวงกลมที่มีสีสันละลานตาอันหนึ่งกลางท้องฟ้าครอบนางไว้ข้างใต้
หลังจากทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้น ดวงเนตรงามของสตรีนางนี้ก็ปิดสนิท พร้อมกันนั้นปากก็เริ่มเอ่ยท่องมนตร์อีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันนี้ผิวบนร่างหญิงสาวก็ตอบสนองต่อค่ายกลรอบด้าน มันเริ่มเปล่งแสงเรืองรองหลากหลายสีออกมา
แสงนี้เจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นค่อยๆ เติมเต็มค่ายกลรูปครึ่งวงกลมทั้งหมด แลดูงดงามอย่างประหลาด
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเดิมก็หน้าตางามเลิศอยู่แล้วเมื่อได้แสงเรืองรองหลากลายสีนี้ขับเน้นจึงยิ่งแลดูงามจนน่าตะลึง ทำให้หลิ่วหมิงมองจนเหม่อลอยไปพักหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้
ทันใดนั้นหญิงสาวก็หยุดท่องมนตร์ นางอ้าปากคายลูกแก้วกลมสีขาวใสแวววาวลูกหนึ่งออกมา มันลอยอยู่เบื้องหน้านิ่งไม่ขยับ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็ฉุกคิดขึ้นมา
ลูกแก้วลูกนี้เคยถูกคายออกมาแล้วตอนสู้ศึกกับมนุษย์ปีศาจคนนั้น คิดว่ามันคงเป็นแก่นปีศาจของสตรีนางนี้
เมื่อคายแก่นปีศาจออกมาแล้ว สิบนิ้วขาวผ่องบนสองมือของนางก็ดีดนิ้วไม่หยุด เคล็ดวิชาสีเงินอ่อนสายแล้วสายเล่ายิงลงบนนั้นต่อเนื่องไม่ขาดสายอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นแสงเรืองรองสีเงินอ่อนสายแล้วสายเล่าก็เปล่งออกมาจากในลูกแก้วกลม ปราณปีศาจสีเงินอ่อนสายหนึ่งแผ่ไปทั่วสี่ด้านแปดทิศโดยมีสตรีนางนี้เป็นศูนย์กลาง
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าอากาศที่เดิมทีนิ่งสงบรอบด้านเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากปราณปีศาจสีเงินเหล่านี้ผสานเข้าไป จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังอึกทึกเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนหายจากไกลและใกล้
มีเสียงราชสีห์คำราม มีเสียงพยัคฆ์ขู่ มีเสียงอินทรีกรีดร้อง มีเสียงหมาป่าเห่าหอน…มากมาย ไม่รู้จำนวนทั้งหมดเท่าไร
เสียงอึกทึกที่ผุดขึ้นตรงนั้นตรงนี้ทำให้หลิ่วหมิงลอบตกตะลึงอยู่ในใจ
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในด้านในค่ายกลรูปครึ่งวงกลมทำราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงเหล่านี้ นางยังคงกระตุ้นเคล็ดวิชาในมือ
ในเวลานี้เองปราณปีศาจสีเงินสายหนึ่งพลันพุ่งขึ้นฟ้าไปอยู่เหนือศีรษะของสตรีนางนี้ หลังจากมันหมุนติ้วอยู่กลางอากาศก็ก่อตัวเป็นเงาปีศาจจิ้งจอกเก้าหางสีขาวโพลนทั้งร่างที่ดูราวกับมีชีวิตตัวหนึ่งในทันใด
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองเงาจิ้งจอกเก้าหางโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแล้วปล่อยจิตสัมผัสออกไป ในเวลาเดียวกันมือข้างหนึ่งก็ตั้งท่าเคล็ดวิชา เตรียมพร้อมกระตุ้นเงาเชอฮ่วนออกมาตลอดเวลา
พร้อมกับที่เวลาเคลื่อนคล้อยเสียงเอะอะไกลออกไปก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหมือนกับว่ามีบางสิ่งที่จำนวนน่าตะลึงกำลังบีบเข้ามาใกล้จากสถานที่ไกลออกไป
ทันใดนั้นเสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว!
หลิ่วหมิงเหล่มองเล็กน้อยก็เห็นแสงสีแดงมืดฟ้ามัวดินดุจเมฆแดงผืนหนึ่งกำลังลอยเร็วรี่มุ่งหน้ามายังจุดที่ทั้งสองคนอยู่ มองเห็นเลือนรางว่าด้านในแสงสีแดงหุ้มปีศาจอสูรขนาดไม่เท่ากันอยู่หลายสิบตัว
รูม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็กลงทันที เขาพบว่าปีศาจอสูรตัวหนึ่งที่นำหน้ามาด้านในแสงสีแดงเหล่านี้ก็คือปีศาจจิ้งจอกยักษ์ที่ร่างกายมีขนาดถึงสามสิบกว่าจั้งตัวหนึ่ง
เส้นขนทั้งร่างของจิ้งจอกตัวนี้เป็นสีขาวโพลนเช่นเดียวกัน ร่างกายของมันว่องไวอย่างยิ่ง ผิวทอแสงสีแดงระยิบระยับ บนแผ่นหลังมีหางขาวฟูฟ่องเก้าเส้นโบกสะบัดไม่หยุดท่ามกลางสายลมจนเหมือนบุปผาดอกหนึ่งแย้มกลีบบาน คล้ายคลึงกับร่างเดิมที่หญิงสาวผู้สวมชุดนางในตรงหน้าเคยแปลงกายจนแทบจะเหมือนกันทุกประการยกเว้นก็แต่ขนาดตัว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น