องครักษ์เสื้อแพร 917-919

 ตอนที่ 917 ยอมเป็นเขี้ยวเล็บ ขอเพียงการปกป้อง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ซุนโส่วเหลียนคุกเข่ากล่าวว่า ‘ข้าน้อยไม่ยอม’ จากนั้นก็โขกศีรษะ หวังทงกลับขมวดคิ้ว คนเรามักไม่พอใจในสิ่งที่มี


ล่วงเกินแม่ทัพใหญ่ในพื้นที่ ที่ล่วงเกินยังเป็นผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงผู้ยิ่งใหญ่อีก เดิมคงต้องมีจุดจบที่สิ้นชื่อไร้บ้านไร้สมบัติแล้ว หวังทงให้คำมั่นว่ามาอยู่ในผืนแผ่นดินที่นี่ก็จะให้เขาดำรงตำแหน่งเดิม และยังบอกว่าอำนาจวาสนายังคงอยู่ ด้วยสถานะหวังทงตอนนี้ ซุนโส่วเหลียนเข้ามาอยู่ในด่าน ดีไม่ดีอาจมีอนาคตที่ดีกว่า


ทว่าซุนโส่วเหลียนยังกลับกล่าวเช่นนี้ เห็นชัดว่าไม่พอใจกับการจัดการของหวังทง สีหน้าหวังทงนิ่งเฉยกล่าวว่า


“ใต้เท้าซุนกับข้าก็มีน้ำใจต่อกันมา เหตุใดไม่อาจยอมรับได้ ลองว่ามาหน่อย”


ซุนโส่วเหลียนเป็นขุนพลคุมพื้นที่อยู่เมืองเหลียวโจว ประจำพื้นที่ตนเองก็เรียกได้ว่ามีอำนาจของตนเอง ต่อหน้าหวังทง โขกศีรษะไม่เสียดายศักดิ์ศรี โขกศีรษะต่อกล่าวว่า


“วาจาท่านโหวเมื่อครู่ ข้าน้อยซาบซึ้งมาก แม้ตายหมื่นครั้งก็ไม่อาจตอบแทน แต่ข้าน้อยมีชีวิตนอกด่าน เติบโตนอกด่านมา ครอบครัวมากมายก็อยู่นอกด่าน ก็เพราะใกล้ชิดท่านโหว จึงนำภัยมาสู่อำนาจวาสนา ต้องอพยพครัวเรือน คนมามากมายต้องจากบรรพชนจากบ้านเกิด จะให้ข้าน้อยยินยอมได้อย่างไร?”


เมืองเหลียวโจวส่วนใหญ่เป็นราษฎรจากในด่านไปอยู่กัน ไปถึงที่นั่น อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ก็เห็นสายสัมพันธ์ชนชาติและบ้านเกิดเป็นเรื่องสำคัญ ทุกคนอยู่รวมกัน ไปมาหาสู่กัน นานวันเข้า ก็เริ่มขยายตัวเข้มแข็งขึ้น


ขุนพลเมืองเหลียวโจวส่วนใหญ่ก็เป็นพวกตระกูลใหญ่ในพื้นที่ หลี่เฉิงเหลียงก็เป็นตระกูลยิ่งใหญ่ราวภูผาเหล็ก คนพวกนี้พอมีอำนาจวาสนาปกป้องชนเผ่าตนและครอบครัวตน ตระกูลขยายใหญ่เร็วมาก มักจะเป็นคนพวกเดียวกันอยู่รวมกันในหนึ่งเมืองหรือในหนึ่งพื้นที่  นี่จึงเป็นเหตุหนึ่งที่กองกำลังเมืองเหลียวโจวต่อสู้เข้มแข็ง ทุกคนเป็นคนพื้นที่ มีสายสัมพันธ์สายเลือด ทำสงครามขึ้นมาก็ย่อมช่วยเหลือกัน ย่อมรวมกำลังเป็นหนึ่ง


ตระกูลพวกซุนโส่วเหลียนเองก็เช่นนี้  ไม่กล่าวถึงตระกูลเขาเป็นตระกูลใหญ่ในเมืองเหลียวโจว ตระกูลภรรยาเขาเองก็เช่นกัน ล้วนเป็นสายสัมพันธ์ที่หากรุ่งเรืองก็รุ่งไปด้วยกัน และหากดับสูญก็ดับไปพร้อมกัน หากย้ายเข้ามาอยู่ในด่านจริง คนทั้งกองพันก็ต้องอพยพตามมาด้วย นี่เป็นเรื่องสูญเสียสิ้นเปลืองและยุ่งยากมาก


และอยู่เมืองเหลียวโจวมานาน เห็นเมืองเหลียวโจวเป็นดังบ้านเกิด ชาวฮั่นให้ความสำคัญกับบ้านเกิดเมืองนอนที่สุด หากต้องละทิ้งไป ใจจะยอมได้อย่างไร อยู่ที่นั่นเป็นตระกูลใหญ่ กล่าวอันใดก็มีน้ำหนัก หากเข้ามาอยู่ในด่านที่ไม่คุ้นเคย ต้องตั้งต้นใหม่ ก็ย่อมมีความยากลำบากมากมาย


คิดถึงเหตุต่างๆ นี้แล้ว ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้ซุนโส่วเหลียนยอมไม่ได้ แต่ที่ไม่ยอมก็คือซุนโส่วเหลียน หวังทงกลับไม่พอใจ ใจดีคิดช่วย แต่ซุนโส่วเหลียนกลับเลือกมาก ช่างไม่รู้จักรักดี


คนเมื่ออยู่ตำแหน่งสูง ก็ย่อมต้องเก็บงำความรู้สึกตนให้ดี แต่สีหน้าหวังทงตอนนี้ดำคล้ำไปหมดแล้ว ซุนโส่วเหลียนคลานเข่าเข้ามาด้านหน้าโขกศีรษะกล่าวว่า


“ท่านโหว ท่านโหวตอนนี้สถานะสูงส่ง ยังเป็นคนโปรดฝ่าบาท เรียกได้ว่าเป็นระดับบนสุดของแผ่นดินหมิง แต่แม้ว่าเป็นระดับสูงแล้ว ก็ยังไม่อาจจัดการเองได้ทุกเรื่อง อย่างไรก็ต้องการเขี้ยวเล็บ ข้าน้อยยอมเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ท่าน แล้วแต่ท่านจะใช้งาน เป็นตายไม่รีรอ”


“ข้ามีคนให้ใช้งานไม่น้อยแล้ว ใต้เท้าซุนไม่จำเป็นต้องลดตัวเช่นนี้”


หวังทงกล่าวน้ำเสียงเยียบเย็น  เขาไม่ต้องการซุนโส่วเหลียนมาเป็นพวกจริง ๆ ซุนโส่วเหลียนราวกับฟังน้ำเสียงเสียดสีของหวังทงไม่ออก กล่าวอีกว่า


“หลี่เฉิงเหลียงเมืองเหลียวโจวกับพวกหม่าหลิน คิดเป็นปรปักษ์กับท่านโหว ข้าน้อยไม่พูด ท่านโหวเองก็คงรู้ เมืองเหลียวโจวเป็นเมืองมณฑลทหารอันดับหนึ่งในใต้หล้า ตอนนี้หลี่เฉิงเหลียงก็เป็นขุนพลทหารที่มีประสบการณ์และสถานะสูงสุดในใต้หล้า อำนาจเช่นนี้เห็นท่านโหวเป็นศัตรู หรือว่าท่านโหวไม่กังวลกัน?”


ซุนโส่วเหลียนไม่สนใจอันใด เอาแต่เรียกตนเองว่า ‘ข้าน้อย’ วาจาเขานั้นเป็นความจริง เมืองเหลียวโจวขุนนางบู๊ต่างมองหวังทงเป็นศัตรู หวังทงอย่างไรก็ต้องป้องกัน อย่างไรตระกูลหลี่ก็ตั้งกำลังที่เมืองเหลียวโจวมาหลายปี มีสายสัมพันธ์ในราชสำนักมากมาย ไม่กล่าวเรื่องอื่น แค่หวังทงนำกำลังปราบเมืองกุยฮว่าเฉิง ราชสำนักโจมตีหาเรื่องกันใหญ่ แต่พอหลี่เฉิงเหลียงนำทัพปราบตัวหลุน ก่อนและหลังรบก็ล้วนเป็นเสียงชื่นชม เรื่องนี้ก็บอกอะไรได้กระจ่างหลายอย่างแล้ว


เห็นหวังทงจมอยู่ในภวังค์ความคิด ซุนโส่วเหลียนกล่าวอีกว่า


“ท่านโหว เมืองเหลียวโจวอยู่ข้างเมืองหลวง ก็เท่ากับรังพยัคฆ์ร้ายหมอบอยู่ข้างกาย หรือว่าท่านโหวนอนหลับสนิทลงได้ หากยังให้ข้าน้อยได้อยู่เมืองเหลียวโจวต่อ ไม่กล้ากล่าวว่าทำอันได้ แต่อย่างน้อยก็จะคอยส่งข่าวบอกท่านโหวได้ เรื่องพวกนี้ท่านโหววางใจได้!”


หวังทงได้ยินถึงตรงนี้ ก็ไม่ส่งเสียงตอบ เพียงยกจอกชาบนโต๊ะขึ้นมา ไม่สนใจชาที่เย็นหมดแล้ว หากจิบแล้วก็เงียบไปนานก่อนจะกล่าวว่า


“ใต้เท้าซุน ท่านเป็นขุนพลราชสำนักจะรบกวนท่านทำงานให้ข้าได้อย่างไร!”


กล่าวออกไป สีหน้าซุนโส่วเหลียนก็เผยแววลิงโลด ลุกขึ้นโขกศีรษะอย่างแรง ดังโป๊กๆ กล่าวน้ำเสียงหนักแน่นว่า


“ท่านโหวอยู่เบื้องบน วันหน้าซุนโส่วเหลียนจะเป็นบ่าวรับใช้ท่านโหว ท่านโหวชี้ไปขวา ซุนโส่วเหลียนไม่กล้าไปซ้ายเด็ดขาด จะเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านโหว แม้นตายก็ไม่ลังเล”


หวังทงเองก็ไม่เกรงใจ มองเขาโขกศีรษะไม่หยุด รอซุนโส่วเหลียนคำนับจบ หวังทงจึงได้ยิ้มกล่าวว่า


“ลูกชายทั้งสามใต้เท้าซุนอายุไม่มาก อยู่เมืองเหลียวโจวก็ไม่มีอะไรดี ไม่สู้ส่งมาเทียนจิน มาฝึกทหารสักสองปีให้เรียนรู้ฝึกความสามารถ”


นี่กำลังเรียกตัวประกันแล้ว ซุนโส่วเหลียนใช่ว่าไม่ยินยอม ทว่าจำนวนที่หวังทงว่ามาทำเอาเขาอึ้งไป เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า


“ท่านโหวจำผิดหรือเปล่า ข้าน้อยมีลูกชายแค่สองคน?”


“เทียนจินถนนที่ 6 จวนหลังนั้น ใต้เท้าซุนทุกปีมาใช่ว่าไปพักหลายวันหรอกหรือ?”


กล่าวออกมา ทำเอาซุนโส่วเหลียนหนาวไปทั้งตัว ไม่กล้ากล่าวอันใดอีก รีบโขกศีรษะ เทียนจินกลับมีจวนแอบซ่อนของซุนโส่วเหลียน ทุกปีมาเทียนจินหลายเดือน ย่อมต้องมีคนปรนนิบัติ ว่ากันว่าเป็นสาวงามมีชื่อที่ไถ่ตัวมาจากเมืองหลวง  นับเป็นวาสนา ถึงกับมีลูกชายให้ซุนโส่วเหลียนได้ วันหน้าไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นอยู่แล้ว ทว่าเด็กน้อยอายุไม่ถึง 3 ขวบดี จะเรียนอะไรได้


หวังทงแสดงความหมายออกมากระจ่าง ซุนโส่วเหลียนเริ่มรับรู้ด้วยตนเองแล้ว หวังทงวางจอกชาในมือลง เงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า


“ใกล้ปีใหม่แล้ว ตอนนี้เมืองเหลียวโจวทุกอย่างยังปกติ ควรเดินทางกลับก็เดินทางกลับ ข้าไม่รั้งท่านไว้แล้ว ทว่าปีใหม่เดินทางลำบาก ทางข้าจะส่งคนให้เจ้าสองสามคน ล้วนฝีมือดี ใช้งานสะดวก”


เส้นทางเดินทางยากสำหรับราษฎรปกติ แต่สำหรับซุนโส่วเหลียนจะเดินทางยากลำบากได้อย่างไร หวังทงจัดการส่งคนมานั้นก็เพื่อมาคอยจับตาดูซุนโส่วเหลียน และยังเป็นการวางกำลังไว้ที่เมืองเหลียวโจว ซุนโส่วเหลียนย่อมไม่ปฏิเสธ และเขาก็ไม่อาจปฏิเสธด้วยเช่นกัน


“ท่านโหว…….”


“ไม่ต้องกังวลสิ่งใด เจ้าอยู่ในตำแหน่งต่อไปนิ่งๆ คนอื่นทำอะไรเจ้าไม่ได้”


หวังทงกล่าวสบายๆ ความกลัวอยู่ในใจซุนโส่วเหลียนมานาน ยามนี้กลับสงบลงด้วยวาจาไม่กี่คำ โขกศีรษะ กล่าวว่า


“ไม่ทราบว่าท่านโหวมีอันใดสั่งการอีกหรือไม่?”


วาจานี้เห็นได้ว่ามองหวังทงเป็นนายแท้จริงตนไปแล้ว หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า


“ข่าวเมืองเหลียวโจว ข้าต้องการรู้ให้มากอีกหน่อย เจ้ารู้อะไรก็รายงานมาให้หมด เจ้าไม่รู้ก็ต้องทำให้รู้ และก็รายงานมา จดจำวาจาเจ้าเมื่อครู่ไว้ให้ดี วันหน้าหากคิดเป็นอื่น ก็ย่อมต้องหายนะถึงชีวิต”


แม้ว่าคนสถานะสูงส่งมักจะกล่าววาจาอ้อมค้อม แต่หวังทงกลับกล่าวตรงไปตรงมา กับขุนนางบู๊ย่อมไม่จำเป็นต้องกล่าวอ้อมค้อม ซุนโส่วเหลียนได้ยินก็โขกศีรษะ


**************


ซุนโส่วเหลียนพอได้เรื่องจากหวังทงแล้วก็อยู่ต่ออีกวันหนึ่ง ก่อนจะเดินทางกลับเมืองเหลียวโจว สำหรับแต่ละฝ่ายในเมืองหลวง การอยู่หรือไปของขุนพลคุมพื้นที่นอกด่านคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่กระไรนัก


ใกล้ปีใหม่ พวกที่มีสายสัมพันธ์กับหวังทงล้วนมาสานสัมพันธ์ เป็นเรื่องปกติ ตอนนี้สถานะใต้เท้าหวังก็ควรมีคนมาประจบได้แล้ว พอซุนโส่วเหลียนจากไป  ข้างกายยังมีคนหน้าตาไม่คุ้นเคยตามอยู่สองสามคน ไม่มีผู้ใดคิดสนใจเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด


ซุนโส่วเหลียนจากไป หลังการประชุมขุนนาง หวังทงไปที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร ไปจัดการการงานยังห้องทำงานเสร็จ ก็ไปยังห้องทำงานหยางซือเฉิน กล่าวว่า


“สั่งการให้กองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพร ส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเมืองเหลียวโจวมาให้หมด”


หยางซือเฉินในสายตาคนข้างนอกเหมือนเป็นทำงานให้หวังทง ที่จริงแล้วมีสถานะเป็นซือเย๋ที่ปรึกษา หวังทงกล่าวอันใดในที่ประชุมบ้างเขาเองก็รู้ ได้ยินหวังทงสั่งการก็รีบประสานมือคำนับกล่าวว่า


“ใต้เท้า หากคิดจะจัดการชายแดน ลงมือเมืองเหลียวโจวก่อน น่าจะไม่ค่อยเหมาะ เมืองเหลียวโจวยังคงมีศัตรูนอกด่านอยู่!”


หวังทงยิ้มส่ายหน้ากล่าวว่า


“ยังไม่ได้ไปไกลขนาดนั้น เพียงแค่เอามาดูๆ เท่านั้น”


เรื่องซุนโส่วเหลียน หวังทงไม่ได้บอกหยางซือเฉิน หยางซือเฉินพอได้ยินเช่นนี้รีบคำนับไปจัดการ


ตอนนี้หวังทงทำอันใดในสำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่มีผู้ใดคอยขวาง แต่ละหน่วยงานล้วนประสานเสียงจัดการให้เรียบร้อย ไม่กล้าชักช้าแม้เพียงนิด นับประสาอันใดกับการต้องการเอกสารจากกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพร กองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรมีนายกองร้อยโหวเจินที่หวังทงนำมาใช้งาน ปีก่อนเดือนหนึ่งก็ได้เลื่อนเป็นนายกองพัน คุมกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพร การทำงานก็เรียกได้ว่าสะดวกไปอีกขั้น


ตอนกลางวันมีคำสั่งไป เพิ่งจะเลยเวลาอาหารมา ก็มีเจ้าหน้าที่หอบเอกสารเมืองเหลียวโจวมา เอกสารไม่น้อย สิบห้าลังวางอยู่ข้างนอก ว่ากันว่ายังมีเอกสารในโกดังเก็บอีก


มากมายเช่นนี้ จะอ่านหมดได้อย่างไร หวังทงขมวดคิ้วกล่าวว่า


“เอกสารปกติประจำไม่ต้อง มีอันใดไม่เหมือนเดิม ระยะนี้ เอามาดูให้หมด”


โหวเจินรับคำสั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินหวังทงถาม ก็รีบยิ้มร่าเข้ามาค้นหาด้วยตนเอง เขารู้ว่าเมืองเหลียวโจวกับหวังทงมีสายสัมพันธ์ไม่ดีเท่าไร ดังนั้นพวกที่ชื่นชมเมืองเหลียวโจว ว่าเมืองเหลียวโจวดี โหวเจินจึงไม่สนใจเอกสารพวกนั้น


“ผู้บัญชาการ อยู่นี่แล้ว เป็นเอกสารที่ส่งมาเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง”


โหวเจินหาเอกสารออกมาได้อย่างรวดเร็ว ยิ้มส่งให้


………………………………………………….


ตอนที่ 918 ขุนนางทรงอำนาจและมีความสามารถ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“หักเบี้ยหวัดทหาร ทำร้ายทหาร เอามาทำไมกัน ข้าเอาไปเข้าประชุม ใช่ว่าทำให้ฝ่าบาทกับใต้เท้าทุกท่านหัวเราะเยาะเอาหรือ?”


โหวเจินหยิบเอกสารมาฉบับหนึ่ง เป็นราชสำนักส่งเบี้ยหวัดให้เมืองเหลียวโจวก้อนหนึ่ง ไปถูกหักที่เหลียวหยางสองในสามส่วน ครึ่งหนึ่งไว้ใช้เอง อีกครึ่งหนึ่งส่งไปทำการค้าที่เทียนจิน เรื่องเช่นนี้ชายแดนก็ทำกันทั้งนั้น ทว่าเมืองเหลียวโจว ตระกูลหลี่ทำกันไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย


แต่ก็ไม่อะไรนัก สำหรับราชสำนักแล้ว เมืองชายแดนที่จงรักภักดีและรบเก่งเป็นเมืองชายแดนที่ดี เรื่องเงินๆ ทองๆ พวกนี้เรียกได้ว่าเรืองเล็ก


ในเอกสารพวกนี้ ยังมีเอกสารรายงานจากสายสืบองครักษ์เสื้อแพรแนบมาอีกฉบับว่าในจวนตระกูลหลี่ นายทหารผู้หนึ่งลักลอบมีอะไรกับสาวใช้หลี่หรูป๋อ ถูกจับได้ สองคนถูกตีตายทั้งเป็น


นี่เป็นเรื่องปกติ สาวใช้ในจวนกับคนนอกจวนลักลอบมีอะไรกัน ถูกนายจับก็จะถูกตีตายทั้งเป็น คดีเช่นนี้ในแผ่นดินหมิงใต้หล้าเรียกได้ว่ามีไม่น้อย หรือยังอาจถูกพวกบัณฑิตเรียกกันว่าเป็นการเก็บกวาดสะสางเรื่องราวในจวนให้สะอาด ผู้ใดจะไปสนใจ นำเรื่องเช่นนั้นไปกล่าวหาขุนนางแม่ทัพมีบรรดาศักดิ์ คงได้ถูกหัวเราะเยาะใส่


เอกสารที่นำออกมาถูกหวังทงตีกลับ โหวเจินสีหน้าพยายามยิ้มเอาใจ นอบน้อมถามขึ้น


“ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการต้องการข่าวแบบใด ข้าน้อยขอบังอาจถาม ตอนนี้ผู้บัญชาการสถานะเช่นนี้ คิดทำอันใด ไม่ได้ขึ้นกันเรื่องเล็กใหญ่ แต่ขึ้นกับผู้บัญชาการคิดทำหรือไม่……”


โหวเจินกล่าวอยู่นั้น ถูกหวังทงกวาดตามองก็รีบหุบปากทันที ก้มกายคำนับ หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า


“หากทำตามที่เจ้าว่า คนใต้หล้าย่อมหาว่าข้าใส่ความผู้บัญชาการ คิดการไม่ซื่อ เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ ต้องดูว่าเป็นเรื่องเล็กแบบใด หักเบี้ยหวัดทหาร มีเรื่องกับทหาร สองเรื่องนี้หากทำให้ใหญ่ล่ะก็ได้ แต่ใช่ว่าจะทำให้ขุนพลใต้หล้าต้องระแวงระวังตนเองหรือ?”


พอถามกลับก็ทำเอาโหวเจินลนลานคุกเข่าลง รีบแก้ตัวว่า


“ผู้บัญชาการสั่งสอนได้ถูกต้อง ข้าน้อยคิดผิดไปชั่วขณะ ไม่ได้คิดเป็นอื่น ขอผู้บัญชาการพิจารณาด้วย!”


เห็นสีหน้าโหวเจินซีดเผือด หวังทงเองก็อึ้งไป คิดไม่ถึงว่าโหวเจินจะมีปฏิกิริยามาเช่นนี้ ลองหวนกลับไปคิดดูจึงคิดได้ โหวเจินเกรงว่าตนจะเข้าใจผิดว่าเขาคิดขุดกับดักล่อ


หวังทงอดไม่ได้ยิ้มเฝื่อนส่ายหน้า ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี แสดงให้ว่าตนได้สร้างบารมีในสำนักองครักษ์เสื้อแพรขึ้นมาได้แล้ว


“อย่าได้คิดมาก รีบลุกขึ้น!”


หวังทงพูดไปอย่างนั้น องครักษ์เสื้อแพรหากต้องการใส่ความผู้ใดจริง จับเรื่องเรื่องเล็กมาเป็นประเด็นก็ย่อมได้ ที่โหวเจินว่ามาก็เป็นวิธีการทำที่เห็นได้บ่อย หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนค่อยๆ กล่าวว่า


“เรื่องพวกนั้นล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยทำอะไรไม่ได้ หากมีเรื่องคิดไม่ซื่อ แอบสมคบพวกนอกเผ่า จึงจะเป็นเรื่องที่ตีวงให้ใหญ่ได้”


โหวเจินได้ยินก็อดหนาวไม่ได้ ในใจคิดว่าข่าวลือที่ว่าท่านโหวเป็นขุนนางชั่ว แต่ในหมู่องครักษ์เสื้อแพรล้วนรู้สึกว่าหวังทงเป็นขุนนางมีความสามารถแท้จริง วันนี้ได้ยินเช่นนี้ จึงได้รู้สึกถึงว่าคำว่า ‘ชั่ว’ หวังทงไม่ธรรมดาเลย ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่ทำเช่นนั้นเป็นความอิจฉาปกติ ถึงกับคิดว่าหาความผิดใหญ่มาจัดการพวกเขา


แต่คิดถึงตรงนี้ ก็รู้สึกยินดี หวังทงสั่งให้เขจัดการเรื่องพวกนี้ก็เท่ากับเห็นเขาเป็นคนสนิท จึงรีบคำนับกล่าวว่า


“ท่านโหวในเมื่อชี้ทางเช่นนี้ ข้าน้อยรู้แล้วว่าควรทำเช่นไร ทว่าเรื่องเช่นนี้เกรงว่าต้องใช้เวลาสักหน่อย หนึ่ง เอกสารมาก เฟ้นหาไม่ง่าย สอง เรื่องเช่นนี้ต้องอาศัยคนไว้ใจได้มาช่วย พวกเจ้าหน้าที่สังกัดข้าน้อยเกรงว่าไม่สามารถไว้ใจได้”


หวังทงพยักหน้าถามขึ้น


“เรื่องนี้ก่อนเดือนหนึ่งจัดการทันไหม?”


“ไหนเลยต้องใช้เวลาเดือนหนึ่ง ช้าสุดก็กลางเดือนสิบสอง ก็จะหาออกมาให้ท่านโหวได้ครบ ขอท่านโหววางใจได้”


**************


สำนักองครักษ์เสื้อแพรทำอะไร คนข้างนอกยากจะรู้ โดยเฉพาะคนเช่นโหวเจินหากคิดทำเป็นความลับ คนนอกต้องการรู้ก็ยาก


หวังทงพอจะรู้แล้วว่าโหวเจินจะทำอะไร กองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรมีหน้าที่ดูแลเอกสารทั้งหมด เขาคิดอาศัยข้ออ้างว่ามีแมลงกัดกินเอกสาร ต้องจัดการทำความสะอาด ให้ส่งคนมาจำนวนหนึ่ง อย่างไรก็ต้องขนออกมา แล้วค่อยเปลี่ยนปกหนังอะไรพวกนี้เป็นข้ออ้างง่ายๆ


ก็เป็นวิธีการหนึ่ง มีแต่คนที่รู้จึงจะรู้ว่าให้ทำอะไร คนอื่นช่วยเหลือก็แค่ช่วยเหลือ ไม่รู้จุดประสงค์แท้จริง


เวลาไม่นานไม่อาจได้ข่าวอันใด หวังทงเองไม่ใจร้อน ซุนโส่วเหลียนบอกกระจ่างแล้ว ข่าวจากทางหลี่เฉิงเหลียงว่าต้องปีหน้าต้นฤดูใบไม้ผลิจึงจะหาเรื่องใส่ความเขา เวลานี้ก็ไม่ทำอะไร มีเวลาพอ


อย่างไรก็วาจาเดิมที่ว่า ผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหากต้องการปลดขุนพลคุมพื้นที่ ความเห็นเขาแม้สำคัญ แต่ก็ต้องผ่านไปทางผู้บัญชาการมณฑลทหาร กรมทหารกับราชสำนักก็ต้องมีขั้นตอนสั่งการลงมา ระบบระเบียบใหญ่น้อย  ไม่ใช่จัดการได้ง่ายๆ  หากผู้บัญชาการทหารสามารถปลดขุนพลคุมพื้นที่ง่ายๆ ก็มิใช่แผ่นดินหมิง แต่เป็นแผ่นดินเขาแล้ว


พอเข้าสู่เดือนสิบสอง กรมทหารก็มีข่าวมาว่าคนตระกูลหลี่จะเข้าเมืองหลวง จุดหมายเพื่อยื่นฎีกาขุนพลคุมพื้นที่ผิดวินัย ตอนรบกับตัวหลุนเกือบทำทัพใหญ่เสียเปรียบ แต่แม่ทัพใหญ่เห็นใจลูกน้อง จึงได้ให้เขาได้ดำรงตำแหน่งต่อ มาตอนนี้คนผู้นี้กลับไม่รู้จักดี กลับใช้สถานะขุนพลของตนทำการไม่เกรงกลัวกฎหมาย เพื่อความสงบสุขของเมืองเหลียวโจว จำต้องจับเขามาลงโทษ


นี่ล้วนเป็นวาจาในเอกสาร ทุกคนรู้ดีแก่ใจว่าเรื่องอันใด ทว่าทุกคนในกรมทหารได้รับผลประโยชน์จากเมืองเหลียวโจวไปมาก และเปิดทางไว้หมดแล้ว พอลงมือก็สะดวกยิ่ง


สำหรับผู้บัญชาการมณฑลทหารจี้โจวและเหลียวโจว  ขุนนางบุ๋นผู้นี้แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงเรื่องขำขัน ผู้บัญชาการเมืองจี้โจวลี่อวิ๋นไหลและผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงล้วนเป็นแม่ทัพใหญ่เกรียงไกร ผู้ใดจะสนใจขุนนางบุ๋นระดับนี้กัน


ข่าวจากกรมทหารก็พิสูจน์สิ่งที่ซุนโส่วเหลียนกล่าว ซุนโส่วเหลียนมีสายสัมพันธ์กับหวังทงต่าง ๆ นานา ไม่มีทางจะช่วยเมืองเหลียวโจวเล่นงานหวังทงเด็ดขาด


ซุนโส่วเหลียนอย่างไรก็เป็นคนในพื้นที่ มีพื้นที่ดูแล กรมทหารได้ข่าวไม่กี่วัน องครักษ์เสื้อแพรกับร้านสามธาราที่เหลียวตงก็ได้ข่าวกลับมา พวกเขาได้ข่าวมาไม่ชัดเจนนัก มีข่าวไม่มากจากเหลียวหยาง บอกแค่ซุนโส่วเหลียนใกล้ชิดกับเทียนจินมาก แม่ทัพใหญ่ไม่พอใจมาก


**************


วันที่ 9 เดือนสิบสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 13   โหวเจินยังไม่ได้หาเอกสารมาเพิ่ม เมืองเหลียวโจวไม่ได้มีข่าวอันใดใหม่เพิ่มเติม แต่เมืองกุยฮว่าเฉิงมีข่าวใหม่


สองกองกำลังเผ่าฉาฮาเอ่อสลัดความสัมพันธ์กับเผ่าฉาฮาเอ่อเดิม มาสวามิภักดิ์เมืองกุยฮว่าเฉิง ส่งทหารม้าห้าร้อยนายกับชนชั้นสูงในเผ่ามาสองตระกูลเป็นตัวประกัน ให้พำนักในเมืองกุยฮว่าเฉิง นับว่าเป็นการขอเจรจาสงบศึกกับเมืองกุยฮว่าเฉิง ความขัดแย้งตรงหน้าจะไม่ยืดเยื้อต่อไป


ฎีกาเมิ่งตั๋วเขียนย่อมวาจาสวยหรู เช่นว่าฮ่องเต้ว่านลี่บารมีสูงส่ง พวกนอกเผ่าสี่ทิศล้วนยำเกรงพระบารมี อะไรพวกนี้ แต่เนื้อหาละเอียดก็กล่าวชัดเจนว่า กองกำลังติดอาวุธกุยฮว่าเฉิงรบกับเผ่าฉาฮาเอ่อได้เปรียบมาก การต่อสู้ไม่มีอันใดต้องกังวลก็แค่ระดมปืนยิงระลอก แล้วก็ส่งทหารม้าเข้าสังหาร


พวกทุ่งหญ้านอกด่านรบกับทหารแผ่นดินหมิง แต่ไรไม่เคยกลัวปืน ปืนเจ้ายังไม่ทันรอให้พวกข้ามาถึงด้านหน้าก็ยิงหมดแล้ว ข้ากลัวเจ้าทำไมกัน แต่ทางเมืองกุยฮว่าเฉิงกลับรอให้ใกล้แล้วยิง ถึงกับมีมีธนูออกมายิงซ้ำ  หากมีเรื่องย่อมตายสถานเดียว และยังชอบไปแอบหลังรถใหญ่ให้เจ้าทำอันใดไม่ได้ กอปรกับยังมีทหารม้าอีก เห็นชัดว่าเป็นทหารม้าเก่งกล้าจากหลายเผ่า สามารถบุก สามารถสู้ รู้ยุทธวิธีรบแบบทุ่งหญ้านอกด่าน


รบกันบาดเจ็บล้มตายไม่น้อย จากนั้นเผ่าฉาฮาเอ่อก็เสียกำลังไปมากกว่า มีพ่อค้าทำการค้าระหว่างสองฝ่ายส่งข่าวมาว่า บรรดาพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงคิดจะรบใหญ่กำจัดเผ่าฉาฮาเอ่อทิ้ง จะได้มีชีวิตปีนี้สบายยิ่งขึ้น คิดถึงกำลังของเมืองกุยฮว่าเฉิง เผ่าฉาฮาเอ่อก็กลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว


ทุ่งหญ้านอกด่านไม่เหมือนแผ่นดินหมิง ผู้เข้มแข็งได้ครอบครอง แข็งแกร่งก็ย่อมมีคนมาพึ่งพา อ่อนแอก็ย่อมถูกกลืนกิน  พอรบแพ้ ก็มีคนพากันไปสวามิภักดิ์เผ่าอื่น หากต้องรบอีกครั้ง คงได้สูญสิ้นทั้งเผ่า ชนะก็ย่อมทำลายกำลังหลักตนเอง ช่างไม่อาจทานรับได้ ได้แต่มาสงบศึก


เมิ่งตั๋วได้รับคำสั่งจากในวังให้สยบสถานการณ์ไว้ จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามบุก และพวกพ่อค้าเองก็ได้ประโยชน์ไปมากแล้ว ครั้งนี้จึงสามารถสยบสถานการณ์ไว้ได้


ไม่ต้องกล่าวถึงบรรดาพ่อค้าวุ่นวาย ที่จริงแล้วเป็นเรื่องศักดิ์ศรี พวกเผ่ามองโกลทุ่งหญ้านอกด่านแม้ยอมให้กับผู้แข็งแรงกว่า แต่ในความเป็นจริงก็ย่อมเห็นว่าผู้ปกครองเลือดแท้ย่อมเป็นผู้ปกครองแท้จริง เผ่าฉาฮาเอ่อก็คือผู้สืบทอดเลือดแท้ของผู้ปกครอง เรียกได้ว่าเป็นผู้สืบทอดเผ่าอันต๋าที่ยิ่งใหญ่เป็นเจ้าแห่งทุ่งหญ้า เผ่าฉาฮาเอ่อก่อตั้งมาจากสามหมื่นครัวเรือน


เผ่าเช่นนี้ขอเจรจาสงบศึก แสดงให้เห็นถึงบารมีแผ่นดินหมิงเกรียงไกรสี่ทิศ ความสำเร็จของฮ่องเต้ว่านลี่ ทว่าหลังถวายฎีกา ฮ่องเต้ว่านลี่กับขุนนางใหญ่ดีใจก็ส่วนดีใจ แต่ก็รู้ได้เรื่องหนึ่ง เมืองกุยฮว่าเฉิงวางรากฐานแน่นบนทุ่งหญ้านอกด่านแล้ว เมืองกุยฮว่าเฉิงตอนนี้ไม่ต้องกลัวสงครามชายแดนแล้ว พวกเขาจากนี้มีแต่ร่ำรวย…….


ข่าวแพร่ไปทั่วเมืองหลวง ขุนนางและราษฎรพากันยืดอกภาคภูมิใจ แม้การออกไปปล้นฆ่าไร้คุณธรรม แต่อย่างไรแผ่นดินหมิงไปสังหารคนอื่น อย่างไรก็รู้สึกฮึกเหิมหลายส่วน พากันดีใจไปด้วย


ราชสำนักหลังจากดีใจกันแล้วก็คิดโยงไปถึงการประชุมครั้งก่อนที่หวังทงกล่าวนำไว้ ที่หวังทงว่ามาทุกเรื่องเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้ว ในราชสำนักการจะเรืองอำนาจนับเป็นความสามารถของแต่ละคน แต่หลังได้อำนาจมาก ยังสามารถกล่าวว่าเป็นเรื่องที่ทำถูกต้อง พูดถูกหลักการได้นั้น นับว่าเป็นเรื่องน่านับถือ


มีคนแอบทอดถอนใจ หากแต่ละเรื่องเป็นเช่นนี้ เกรงว่าจากนี้ไปพวกเราก็คงต้องฟังหวังทงสั่งการในราชสำนักแล้ว


**************


โหวเจินยังส่งเอกสารมา แต่ไม่ได้มีค่าควรสนใจอันใด เรื่องสาวใช้มีอะไรกับคนงานในจวน เรื่องพวกนี้พูดขึ้นแล้วไม่น่าฟัง แต่หากจะใช้เป็นหลักฐานทางการเมืองโจมตีกันแล้ว ก็เรียกได้ว่าไม่เพียงไร้ประโยชน์ แต่ดีไม่ดีอาจทำให้ตนเองตกเป็นที่หัวเราะเยาะไปด้วย เอกสารถูกหวังทงตีกลับ ให้โหวเจินไปหาต่อ


ตอนที่ 919 ใกล้สิ้นปี ข่าวมงคลมาถึง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังเข้าเดือนสิบสอง หวังทงก็ว่างจริงๆ แล้ว ที่ทำการในเมืองหลวงก็เช่นกัน ใกล้ปีใหม่ ก็ย่อมต้องมอบของขวัญให้กัน ผู้ใดจะสนใจเรื่องการงานกัน


หวังทงตอนนี้สถานะไม่เหมือนเดิม เขาตอนนี้เป็นเป้าหมายแห่งการมอบของขวัญ ไม่เพียงแต่ธรณีประตูถูกเหยียบพัง แม้แต่หน้าประตูกับบันไดหินด้านหน้าก็ขึ้นเงาเช่นกัน


ยามนี้หวังทงรู้แล้วว่าเหตุใดคนเฝ้าประตูจวนขุนนางใหญ่จึงไม่ธรรมดา รับมือยาก คงเพราะว่าต้องเป็นปราการด่านแรกให้นายตน พวกหวังทงล้วนเป็นพวกที่มาจากทหารคุ้มกันกับเจ้าหน้าที่ คำสั่งที่ได้มาก็คือ อย่าได้ขวางแขกมาเยือนไร้สาเหตุ จะได้ไม่ทำให้เสียการเสียงาน


ไม่คิดเลยว่าพอหลังวันที่ 10 เดือนสิบสอง หน้าประตูจวนหวังทงก็ราวกับตลาดนัด มีมาจากเทียนจิน มาจากเขตปกครองเหนือและที่อื่นๆ ทั้งซานตงและซานซี ถึงกับยังมีมาจากแดนใต้ เมืองกุยฮว่าเฉิงเองก็มีมา ทุกคนล้วนเป็นพวกมีสายสัมพันธ์กับหวังทงต่างๆ นานา


มากที่สุดก็คือนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรแต่ละพื้นที่ นี่เป็นเวลานำส่งของขวัญให้แก่นายตน หากอยากดำรงตำแหน่งให้นาน ตำแหน่งที่ขาดคนก็อยากจะย้ายไปตำแหน่งดีกว่าเดิม แม้ไม่ได้ต้องการสิ่งใด ตอนนี้ใต้เท้าหวังสถานะเช่นนี้ และยังเป็นนายโดยตรงของตน เทศกาลมอบของขวัญหรือว่าไม่ควรหรือ?


ที่เหลือก็เป็นพ่อค้าใหญ่ที่มาตามสายสัมพันธ์กับร้านสามธาราและชนชั้นสูงที่ไปมาหาสู่กับหวังทง ชนชั้นสูงสถานะสูงส่ง มีบางคนมองเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนี้พบว่าพวกมามอบของขวัญที่จวนใต้เท้าหวังเป็นองครักษ์เสื้อแพรเสียมาก ขุนนางบู๊ไม่น้อย ยังมีชนชั้นสูง และพ่อค้าก็มาก ส่วนขุนนางบุ๋น……ก็มีใต้เท้าหลี่ว์ศาลซุ่นเทียนที่มาบ่อย แต่ไม่ได้เอาของขวัญมา อีกคนก็ขุนนางที่ไปดำรงตำแหน่งใหม่ที่เหอหนาน…….


พวกไม่มีสถานะมอบของขวัญไม่อาจเข้าพบหวังทง ก็ไม่เท่าไร สามารถให้ใต้เท้าหวังได้รู้ชื่อก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว แต่พวกมีสถานะพอส่งของขวัญมา หากไม่ได้เข้าพบ ก็คงรู้สึกไม่ดีนัก


แต่หวังทงเบื่อหน่ายเรื่องพวกนี้ เอาแต่ไปหลบที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร ไม่เช่นนั้นก็ไปหน่วยฝึกทหารกับโรงช่างของสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ฆ่าเวลา ใต้เท้าหวังชอบงานใช้ความคิด เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ


หวังทงหลบคนมอบของขวัญ กลับทำให้ทุกคนคิดได้วิธีหนึ่ง เจ้าไม่ได้พบหวังทง เช่นนั้นก็ให้ภรรยาตนไปเยี่ยมภรรยาหวังทง ภรรยาต่อภรรยา ก็ได้อยู่ อย่างไรก็คงได้เข้าหูหวังทง


ปรากฏว่าเดือนสิบสองประตูจวนหวังทงก็มีปรากฏการณ์ใหม่ ภรรยาตระกูลต่างๆ พากันมาเยี่ยมเยือน  ภรรยาหลายตระกูลชั้นสูงในเมืองหลวงไปมาหาสู่กันเป็นเรื่องปกติ แต่ครึกครื้นเหมือนจวนหวังทงนั้นหาได้น้อยมาก


 ฮูหยินชนชั้นสูงอยู่จวนกันมานาน ยากที่มีโอกาสได้ออกมาข้างนอก คนมาจวนหวังทงกันมาก และยังเป็นคนในแวดวงองครักษ์เสื้อแพร ขุนนางบู๊กับชนชั้นสูง ทุกคนล้วนคุ้นเคยกัน พอดีจะได้ไปมาหาสู่กัน


ปรากฏหลังวันที่ 12 เดือนสิบสอง จวนหวังทงวันทั้งวันจัดแต่งานเลี้ยง และยังจ้างงิ้วมีชื่อมาเล่น ครึกครื้นมาก


เหตุนี้ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่สัพยอกหวังทงกลางที่ประชุมขุนนาง ทำเอาทุกคนได้แต่หัวเราะไปด้วย นับว่าเป็นข่าวไปทั่วเมืองหลวง


แต่ในสายตาชาวเมืองหลวงกลับสังเกตเห็นเรื่องหนึ่ง น้าชายรัชทายาท หรือก็คือเจิ้งกั๋วไท่ น้องชายแท้ๆ พระสนมเอกเจิ้ง ก็ส่งฮูหยินไปจวนหวังทงเช่นกัน และยังนำของขวัญไปไม่น้อย ว่ากันว่าตอนนั้นบรรดาฮูหยินที่อยู่ในจวนหวังทงเล่าว่า ฮูหยินเจิ้งท่าทีเกรงใจฮูหยินหวังมาก


เรื่องนี้ย่อมทำให้พวกระดับผู้น้อยเคลื่อนไหวไม่น้อย ตระกูลเจิ้งตอนนี้สถานะอันใด ดูหลายปีที่ผ่านมา สถานะอู่ชิงโหวเช่นไรก็ย่อมรู้ได้ เป็นตระกูลชั้นสูงอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ตำแหน่งนี้ได้ถูกจัดให้ตั้งแต่ตอนนี้ ดูพระชันษาพระสนมเอกเจิ้งที่เพิ่งจะ 20 ต้นๆ พระชนมายุฮ่องเต้ว่านลี่ก็เช่นกัน เทียบกับอู่ชิงโหวเหมือนดีกว่าหลายส่วน ตอนไทเฮาฉือเซิ่งเป็นฮองเฮาก็พระชนมายุ 30 กว่าแล้ว  อำนาจวาสนามาเร็ว เจิ้งกั๋วไท่ก็ยังอายุน้อย วันหน้าไม่รู้จะเป็นเช่นไร?


เมืองหลวงกำลังส่งมอบของขวัญ น้องชายพระสนมเอกเจิ้งเป็นหนึ่งในตระกูลที่เป็นเป้าหมาย น้องชายพระสนมเอกเจิ้งเองก็เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ออกพบคนมอบของขวัญ


ทุกคนคิดไม่ถึงว่า น้องชายพระสนมเอกเจิ้งถึงกับส่งภรรยาไปมาหาสู่กับจวนหวังทง  ชนชั้นสูงที่ยิ่งใหญ่ตอนนี้ยังต้องก้มหัวให้ติ้งเป่ยโหว ทิศทางลมนี้ ทุกคนจะไม่รู้ว่าควรทำตัวเช่นไรได้อย่างไรกัน


มีข่าวแพร่ออกมาอีกว่า หลายวันมานี้ เจิ้งกั๋วไท่น้องชายพระสนมเอกเจิ้ง ก็ควรไปเยือนถึงจวนเช่นกัน นี่เป็นมารยาทที่ควรมี อย่างไรสถานะตอนนี้ หากไปเยี่ยมเยือนปีใหม่จะทำให้เสียเกียรติ


เทศกาลมอบของขวัญนี้ หวังทงรู้สึกไม่ชินก็ส่วนไม่ชิน แต่เขาก็รู้ดีว่า หากยังอยู่เมืองหลวงอีกนาน ธรรมเนียมพวกนี้ย่อมเลี่ยงไม่ได้ ได้แต่ปรับตัวให้ชิน


ในบรรดาภรรยาหวังทง หานเสีย จางหงอิง ข่งรั่วเหมย สามคมไม่ค่อยได้เห็นโลกอะไรมากมายนัก คนที่จัดการจริงๆ ก็คือซ่งฉานฉานกับไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ พวกนางเป็นคนเข้าใจเรื่องราวได้เร็ว และรู้ว่าควรทำเช่นไร


แม้ว่าเป็นเช่นนี้ แต่ไม่ว่าใครก็ย่อมไม่ให้ภรรยาน้อยออกหน้า จะอย่างไรก็ต้องให้ภรรยาที่ได้รับแต่งตั้งออกหน้า จวนหวังทงที่ออกหน้ารับแขกได้ก็มีแต่หานเสีย รับแขกสนทนา จัดการงานเลี้ยง ไม่ใช่งานสบายอันใด


ปรากฏวันที่ 17 เดือนสิบสอง หานเสียกลับเหนื่อยมากไปจนเกิดเรื่อง พอส่งฮูหยินเซียงเฉิงป๋อกลับไปแล้ว ก็รู้สึกไม่สบายทันที อาเจียนแห้งๆ ออกมา


ฮูหยินติ้งเป่ยโหวล้มป่วย ไม่ใช่เรื่องเล็ก ทางนี้รีบไปเชิญหมอมาดูอาการ กองแพทย์หลวงก็มีคนคุ้นกัน ก็มาดูอาการด้วย


หลังการตรวจ พบว่าเป็นเรื่องน่ายินดีในจวนหวังทง ฮูหยินติ้งเป่ยโหวหานเสียท้องแล้ว เป็นเรื่องมงคลใหญ่ รีบส่งคนไปแจ้งข่าวที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร


หวังทงพอได้ข่าวก็รีบกลับมาทันที ตามที่องครักษคุ้มกันหวังทงเล่ามา แต่ไรไม่เคยเห็นใต้เท้าขี่ม้าเร็วเพียงนี้ พอเข้ามาในจวน ก็เกือบสะดุดธรณีประตูล้ม เห็นได้ว่าตื่นเต้นมาก


ในโลกก่อนหวังทงตัวคนเดียว ในโลกนี้ได้มีครอบครัวแต่งภรรยาหลายคน  เรื่องมีลูกกลับไม่เคยได้เตรียมใจมาก่อน พอได้ยิน ในใจก็ย่อมวุ่นวายยากอธิบาย แต่ย่อมเป็นความยินดีแทบคลั่งเสียมากกว่า


ฮูหยินติ้งเป่ยโหวผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงตั้งครรภ์แล้ว นี่เป็นเรื่องมงคลใหญ่ ชาวเมืองหลวงกล่าวกันว่า วาสนาติ้งเป่ยโหวไม่เบา ทำไมน่ะหรือ ติ้งเป่ยโหวมีภรรยามาก หากภรรยาน้อยมีลูกก่อน วันหน้าสถานะภรรยาหลวงก็ย่อมยุ่งยาก ลำดับลูก ลำดับภรรยา ล้วนต้องเกิดเหตุพิพาท หานเสียมีลูกก่อน วันหน้าก็เป็นครอบครัวสงบสุขต่อไป!


แน่นอนทุกคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนั้นย่อมมีแต่การร่วมอวยพรยินดีไปด้วย ติ้งเป่ยโหวเป็นผู้มีวาสนามาก ย่อมได้ลูกชายมาเป็นคนแรก


เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ปิดไม่มิด แพร่ไปทั่วเมืองหลวงทันที ยามนี้มีแต่คนสนิทมาร่วมยินดี หลี่เหวินหย่วน หลี่ว์วั่นไฉ นางหม่า ยังมีพวกที่เทียนจิน นางหม่ายินดีจนน้ำตาร่วง กล่าวกับป้ายวิญญาณบิดาหวังทงว่านอนตาหลับแล้ว


พวกสายสัมพันธ์ใกล้ชิดก็ส่งภรรยาตนไปเยี่ยมหานเสีย แสดงความยินดีกับหวังทง พอข่าวแพรไปทั่วหล้า ในวังก็มีคนมายินดี เจ้าจินเลี่ยงมาคนแรกพร้อมรับสั่งจากฮ่องเต้ว่านลี่ ยังมีหมอหลวงในวังกับของบำรุงจากห้องเครื่อง หลังขอบพระทัยแล้ว เจ้าจินเลี่ยงก็ยิ้มร่าบอกว่าจางเฉิงกับโจวอี้และขันทีหลายคนฝากอวยพรมาด้วย คนที่มาคนที่สองกลับเป็นขันทีในพระสนมเอกเจิ้ง ท่าทีนอบน้อมมาก


นี่ล้วนเป็นคนสนิทอันดับหนึ่งของฝ่าบาท คนที่ไวในข่าวเมืองหลวงรู้กันหมด นอกจากอิจฉาแล้วก็ไม่รู้จะกล่าวอันใด


วันต่อมาในการประชุมขุนนาง ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถึงเรื่องนี้ ยินดีปรีดาตรัสว่า


“เรามีลูกชายสอง ลูกสาวสี่ หวังทงเพิ่งมีข่าว ตามเราไม่ทันแล้วล่ะสิ?”


“ฝ่าบาทพระพลานามัยราวมังกรพยัคฆ์ กระหม่อมไหนเลยกล้าเทียบกับฝ่าบาท”


เรื่องลูก ฮ่องเต้ว่านลี่อย่างไรก็เก่งกว่าหวังทง แน่นอน แค่ตัวเลข อย่างไรก็ต้องเอามาคุยทับเสียหน่อย คำตอบหวังทงก็สัพยอกพอกัน สองคนคุยกัน ขันทีกับขุนนางใหญ่มีสีหน้าไม่พอใจ เซินสือหังที่แต่ไรมาไม่แสดงท่าทียังต้องกระแอมไอ


ทว่าหวังทงตอนประชุมจนเลิกประชุมก็ยังมีท่าทางไม่ดีนัก คุยเล่นกับฮ่องเต้ว่านลี่ แต่ก็เหมือนหวาดระแวงว่าจะกล่าวผิด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด ขี้เกียจจะสนใจ


หานไท่ผิงสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์มาจวนหวังทง น้ำตานองด้วยความยินดี บ่นกับนางหม่าสองสามคำ คนแก่อยากเลี้ยงหลาน ตอนนี้หลานแต่งงานมีลูกแล้ว สมดังใจแล้ว จะไม่ดีใจได้อย่างไร พี่ชายหานเสียหานกังก็ถูกเพื่อนทหารตามตัวไปเลี้ยง


อย่างไรก็ต้องจ่ายเงินก้อนหนึ่ง นำทุกคนไปเลี้ยงที่หอรุ่งเรืองกินกันให้หนำใจ หอรุ่งเรืองเองก็ใช่ย่อย นายตนมีข่าวดี หานกังเป็นใคร อย่างไรก็ต้องเว้นค่าใช้จ่าย ล้วนยินดีปรีดายิ่ง


เพราะเรื่องนี้ทำให้จวนหวังทงมีแต่กระแสแห่งความสุข ราวกับบรรยากาศงานเทศกาล ทำให้คนรู้สึกว่ากำลังจะปีใหม่จริง และปีใหม่ปีนี้เป็นปีที่ทุกคนรอคอย


ในเมื่อมีลูกแล้ว อย่างไรก็ทำงานหนักไม่ได้  พวกจางหงอิงจึงเอางานทั้งหมดมาทำเอง แขกก็ย่อมรู้งานไปไม่รบกวน แต่ก็ยังมีพวกชนชั้นสูงมาเยี่ยมเยือน มาถามไถ่หานเสีย


**************


วันที่ 22 เดือนสิบสอง องครักษ์เสื้อแพรทำการวันสุดท้ายก่อนปิดยาว หลังวันนี้ สำนักองครักษ์เสื้อแพรก็จะมีแค่คนเข้าเวร ส่วนใหญ่ก็จะกลับบ้านไปรอฉลองปีใหม่กัน


ตามธรรมเนียม เอกสารต้องส่งกลับในหนึ่งวัน ก็หมายความว่างานของโหวเจินตอนนี้หากสะสางไม่เสร็จ ก็ต้องรอหลังวันที่ 15 เดือนหนึ่งจึงค่อยมาเริ่มงานอีกครั้งแล้ว


ทว่าบ่ายวันที่ 22 เดือนสิบสอง โหวเจินก็หยิบเอกสารสองฉบับมาที่ห้องทำงานหวังทง หวังทงพลิกอ่านไปสองสามหน้า ก็โยนเอกสารลงพื้น โหวเจินตกใจตัวหด คำนับถามขึ้น


“หากเอกสารไม่ถูกต้อง พรุ่งนี้ข้าน้อยจะไปคัดเลือกมาให้ดีกว่านี้……”


หวังทงถอนหายใจยาว เหมือนว่าจิตใจนิ่งสงบ โบกมือกล่าวว่า


“ไม่ต้องหาแล้ว เอกสารครั้งนี้น้ำหนักพอแล้ว!”


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)