ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 916-921
บทที่ 916 ปูสูตรลับจานหนึ่ง
Ink Stone_Fantasy
งมหม้อปูขึ้นมาฉินสือโอวก็สั่งการให้เรือฮาวิซทวนรอบหนึ่งเพื่อหาปลาโอแถบต่อ
หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานบนเรือก็มีหิมะหนาปกคลุม พวกชาวประมงเลยได้แต่ผลัดกันกวาดเอาหิมะลงทะเลไป
ตอนบ่าย ฉินสือโอวเรียกเหมาเหว่ยหลงไปที่ห้องอาหารเล็กๆ บนโต๊ะมีปูตัวโตวางเรียงกันอยู่ ปูพวกนี้ตัวใหญ่กว่าปูหิมะหลายเท่า แล้วยังดูพองมากด้วย นั่นคือปูสีน้ำตาลกรีนแลนด์นั่นเอง
“เรียกฉันมาทำไม?” เหมาเหว่ยหลงถาม
ฉินสือโอวตบลงไปที่ปูสีน้ำตาลที่มัดไว้แล้วพูดว่า “อยากกินน้ำชายามบ่ายไหม? ถ้าอยากละก็มาช่วยฉันล้างหน่อย ฉันจะทำกับข้าวเลิศรสให้ชิมเอง”
เหมาเหว่ยหลงไม่ค่อยสนใจเรื่องกินเท่าไร แต่มีให้กินก็ดีเหมือนกัน โดยเฉพาะตอนนี้ที่ข้างนอกมีหิมะตก ทำอะไรก็ไม่ได้
การล้างปูสีน้ำตาลเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก ปูชนิดนี้ขนาดตัวใหญ่และขี้หงุดหงิด ถ้าไม่ระวังอาจจะบาดเจ็บได้ บนตัวพวกมันมีขน ตอนที่ล้างก็ต้องถือโอกาสตัดขนพวกนั้นทิ้ง ไม่อย่างนั้นจะมีพยาธิ
ฉินสือโอวเตรียมแปรง เดิมทีเอาไว้แปรงกุ้งมังกร ถ้าเอามาแปรงปูสีน้ำตาลก็ดีเหมือนกัน
เหมาเหว่ยหลงทำงานละเอียดมาก เขาขัดปูสีน้ำตาลจนสะอาดตั้งแต่หัวจรดหาง จากนั้นก็วางไว้บนโต๊ะเตรียมเปลี่ยนเป็นอีกตัว เห็นฉินสือโอวนั่งเล่นโทรศัพท์ เขาก็เลยพูดแบบไม่พอใจ “แกให้ฉันมาขัดปู แล้วแกทำอะไร?”
ฉินสือโอวพูดแบบสบายอารมณ์ “เดี๋ยวฉันก็ทำ แกล้างฉันทำกับข้าว มีปัญหาอะไรเหรอ?”
เหมาเหว่ยหลงคิดไปคิดมา แล้วพูดแบบหงุดหงิด “ไม่มีอะไร” หลังจากนั้นเขาก็ครุ่นคิดอีกพักหนึ่ง รู้สึกว่ามีบางอย่างตงิดๆ “บ้านแกสิ แกเป็นคนอยากกินปู ฉันน่ะไม่ได้อยากกิน ฉันไม่ได้สนใจอะไรไอ้นี่!”
ไร้กิเลสจึงแข็งแกร่ง พอฉินสือโอวได้ฟังเหตุผลนี้ก็ปวดหัว ได้แต่ลงไพ่ความเป็นเพื่อน ให้เหมาเหว่ยหลงรีบล้างให้เสร็จ เมื่อทำกับข้าวเรียบร้อยทั้งสองคนจะได้คุยกันถึงเรื่องสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
คนก็แบบนี้ มักจะลืมเรื่องที่ผ่านไปได้ยาก พอเหมาเหว่ยหลงได้ยินว่าเดี๋ยวจะคุยกันเรื่องสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเลยกระตือรือร้นเต็มที่
ฉินสือโอวมองดูเหมาเหว่ยหลงที่ทำงานอย่างไฟลุก เขาบ่นเสียงต่ำ “ช่างเป็นเจ้าทึ่มที่น่ารักจริงๆ”
“แกพูดว่าอะไรนะ?”
เหมาเหว่ยหลงเป็นคนหูดีมาก ได้ยินถึงสิ่งที่เขาพูด
ฉินสือโอวเดินเข้ามาหยิบปูที่วางราบอยู่บนโต๊ะพลิกขึ้นมา แล้วพูดว่า “แกนี่มันเก็บปูไม่เป็นจริงๆ ปูที่ล้างเสร็จแล้วจะวางราบได้อย่างไร? แกต้องเอามันพลิกกลับมา แบบนี้ไข่ปูถึงจะอยู่ตัว”
เหมาเหว่ยหลงเบ้ปากแบบไม่สบอารมณ์แล้วกล่าวว่า “ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะว่าเมื่อกี้แกพูดว่าอะไร”
ฉินสือโอวพูดขึ้น “ให้แกจัดการปูหน่อยเดียวเรื่องเยอะจริง ฉันว่าซูซูก็ชอบกินปูออก แกไม่เรียนรู้จากฉันหน่อยเหรอว่าจะทำปูให้เธอกินอย่างไร? แล้วไหนจะตั๋วตั่ว ตั๋วตั่วก็ชอบกิน”
พอได้ยินแบบนั้น เหมาเหว่ยหลงก็เงียบ สำหรับฝีมือทำอาหารของฉินสือโอวเขาก็อิจฉาอยู่
ปูสีน้ำตาลเป็นปูที่ค่อนข้างอ้วน แต่รสชาติไม่ได้อร่อยไปกว่าปูหิมะ ที่ฉินสือโอวเลือกกินปูชนิดนี้ก็เพราะเขาไม่ได้จะนึ่งกิน แต่จะใช้วิธีแบบที่บ้านเกิดทำปูสูตรลับ
เลือกปูสองตัวที่อวบอิ่มมาได้ ฉินสือโอวก็ยัดเข้าหม้อนึ่งจนสุก หลังจากนั้นก็ใช้มีดทำอาหารคมๆ สับเป็นแปดชิ้น เสร็จแล้วก็ตั้งน้ำมัน เอาปูลงไปทอดจนเหลืองแล้วค่อยเอาออกมา
เหมาเหว่ยหลงก็ยืนดูอยู่ข้างๆ จริงๆ ฉินสือโอวแปลกใจนิดหน่อย เขาอุทานออกมา “แกนี่รักหลิวซูเหยียนกับตั๋วตั่วจริงๆ เลย”
เหมาเหว่ยหลงกลอกตาแล้วพูดขึ้น “นี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แน่นอนว่ารักจริง!”
เนื้อปูเป็นอาหารทะเลที่สุกง่ายที่สุด การเอาเนื้อปูนึ่งสุกมาทอดผ่านน้ำมันจะกักน้ำปูข้างในไม่ให้ออกมาได้ แต่การทอดปูก็ต้องระวังความแรงของไฟ นานเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพอเนื้อสุกเกินไปต่อให้มีน้ำปูก็ไม่อร่อย
เอาปูขึ้นมา ฉินสือโอวก็เริ่มผัด ใช้ต้นหอม ขิง กระเทียม พริกมาผัด ใส่ชวงเจียกำโต กลิ่นของน้ำมันเปลี่ยนเป็นเผ็ดชาในพริบตา เหมาเหว่ยหลงโดนรมจนน้ำหูน้ำตาไหล ฉินสือโอวปรายตามองเขาแล้วเอ่ยขึ้น “ทำไมตาแดงแล้วล่ะ? ไม่ใช่ว่าลูกผู้ชายหลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตาหรอกเหรอ?”
เหมาเหว่ยหลงยื่นนิ้วโป้งให้เขาอย่างอับจนคำพูด ปิดจมูกแล้วถอยไป
ฉินสือโอวดึงหน้ากากอนามัยบนหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มภูมิใจ
ทอดเครื่องเทศจวนพอดีแล้ว ฉินสือโอวก็ใส่ซีอิ๊วกับน้ำมันหอย แล้วก็ผัดต่ออีกสักหน่อย เขาใส่ปูสิบหกชิ้นลงไปแล้วเริ่มผัดไปจนเนื้อปูมีสีแดงถึงหยุดมือ
พอตักลงจานโรยด้วยต้นหอมหั่นซอย ฉินสือโอวก็ยกออกมาพลางหยิบเบียร์มาด้วยสองกระป๋อง เขาโยนให้เหมาเหว่ยหลงกระป๋องหนึ่งแล้วพูดขึ้น “มา มาชิมฝีมือเพื่อนแกหน่อย อร่อยแน่นอน!”
เนื้อของปูสีน้ำตาลค่อนข้างร่วน มีรสชาติของเครื่องเทศข้างในเนื้อ แถมกลิ่นเนื้อปูที่มีอยู่เดิมก็ไม่แรงเท่าปูหิมะกับปูจักรพรรดิ เหมาะจะทำกับข้าวแบบนี้ที่สุด
ฉินสือโอวดื่มเบียร์ไปอึกหนึ่ง รู้สึกว่าดื่มไอ้เจ้านี่ตอนฤดูหนาวก็ไม่อร่อยเลยโยนทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็นเหล้าขาวขวดหนึ่งแทน เอ้อกัวโถว หนึ่งในแบรนด์เหล้าขาวจีนชื่อดังที่ตีตลาดนิวฟันด์แลนด์สำเร็จ
แกะเปลือกปูสีน้ำตาลเอาเนื้ออกมา ผิวนอกของเนื้อปูเป็นสีแดงเข้ม ด้านในเป็นสีขาวหิมะ เนื้อเด้งมาก ฉินสือโอวเอาเข้าปาก รสชาติหม่าล่าแผ่ซ่านไปบนต่อมรับรส เนื้อปูของฟาร์มปลาก็อร่อยแบบนี้ล่ะ!
ที่จริงแล้วกับข้าวนี้ไม่เหมาะกับปูที่สดมากๆ เพราะอาหารทะเลก็กินเพื่อเอาความสดของทะเล วิธีทำปูสูตรลับแบบบ้านเกิดฉินสือโอวเอาไว้สำหรับปูที่ไม่สด
แต่ก่อนนี้บ้านเกิดของเขาค่อนข้างยากจน ไม่ว่าปูน้ำจืดหรือปูทะเลทั้งปีก็ได้กินไม่เท่าไร อีกอย่างระหว่างทางที่เอากลับมาก็มักจะทำให้กลิ่นเปลี่ยน ใช้เครื่องเทศเยอะๆ มากลบกลิ่นที่เพี้ยนไปของปู แบบนี้ก็อร่อยได้เหมือนกัน
ฉินสือโอวแกะปูกินอย่างเอร็ดอร่อย เหมาเหว่ยหลงชิมไปชิ้นหนึ่ง รสชาติอร่อยจริงๆ เขาเองก็เริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อยบ้าง
“แต่ก่อนก็เคยกินปูสีน้ำตาล รู้สึกว่าเนื้อก็ธรรมดา นึกไม่ถึงว่าตอนนี้ได้มากินอีกครั้งรสชาติจะอร่อยกว่าเดิมมาก” เหมาเหว่ยหลงอุทานออกมา “พอคนแก่ลงก็ใช้ชีวิตอยู่กับความทรงจำจริงๆ ด้วย”
ฉินสือโอวพูดแบบไม่ใส่ใจ “อย่างแกน่ะพอเถอะ ฉันทำอร่อย ถ้าแกกลับไปซื้อปูมาทำกินเอง หลิวซูเหยียนกับตั๋วตั่วกินแล้วคงท้องเสียแน่! อย่างเมื่อตอนปีหนึ่งที่เราไปปิกนิกกัน แกเกือบจะฆ่าคนทั้งห้องไปแล้ว!”
“ไปไกลๆ เลยไป เดี๋ยวฉันไปทำเอง แกคิดว่าฝีมือทำอาหารของฉันจะหยุดอยู่แค่ทักษะเมื่อตอนมหาวิทยาลัยเหรอ?” เหมาเหว่ยหลงพูดอย่างไม่พอใจ “ตอนนี้…”
“ตอนนี้คงแย่กว่าเดิมสินะ? เรื่องแบบนี้เป็นพรสวรรค์ แกก็อย่าใส่ใจมากเลย ฮะๆ”
รสหม่าล่ากระตุ้นความอยากอาหารได้มากที่สุด ปูสีน้ำตาลสองตัวตามปกติก็พอให้สี่ห้าคนกิน ทั้งสองคนกินเหล้าพลางคุยกันจนกินกับข้าวหมดทั้งจาน
ปกติฉินสือโอวไม่ค่อยดื่มเหล้าขาว พอกินเข้าไปก็หนักไปหน่อย จากนั้นก็เดินโซเซออกไป มองดูท้องฟ้าหิมะก็อดฮึกเหิมไม่ได้ ประคองตัวไปตามราวแล้วตะโกน “ทิวทัศน์เมืองเหนือ น้ำแข็งพันลี้ หิมะหมื่นลี้…”
นีลเซ็นกับชาร์คพาชาวประมงวิ่งมาแล้วตะโกน “เร็วๆๆ หามบอสลงมา เขาเมาแล้วใช่ไหม? ให้ตายอากาศแบบนี้ ตกลงไปไม่จมน้ำก็คงหนาวตายก่อน!”
บทที่ 917 กลิ่นหอมของปลาโอแถบแห้ง
Ink Stone_Fantasy
ความสามารถในการดื่มเบียร์ที่ผ่านการฝึกในหนึ่งปีครึ่งหลังจากที่มาแคนาดา หรืออาจมีส่วนเกี่ยวกับการเสริมความแข็งแกร่งของพลังโพไซดอน ฉินสือโอวคอแข็งขึ้น แถมยังสร่างเมาไวขึ้นอีกด้วย เขาตะโกนบนดาดฟ้าแค่ครู่เดียวหัวเขาก็โล่งแล้ว จากนั้นก็วิ่งกลับเข้าไปนอนในห้องโดยสาร
ออกทะเลจับปลาเป็นงานที่ลำบากมาก โดยเฉพาะในฤดูหนาว เพราะต่อให้ลมกลางคืนหนาวก็ต้องจับต่อไป เจอฝูงปลาก็จำเป็นต้องปล่อยอวน
ตอนเย็นก็เจอฝูงปลาโอแถบอีกฝูงหนึ่งจึงปล่อยอวนจับลงไปอีก ตอนกลางคืนได้ปลาโอแถบมาส่วนหนึ่ง แบบนี้เช้าวันที่สองพอพวกเขาจับปลาโอแถบอีกครั้ง การออกทะเลจับปลาโอแถบบนทะเลก็จบลงแล้ว
ฉินสือโอวลงไปดูครู่หนึ่ง ช่องแช่เย็นสองช่องเต็มไปครึ่งหนึ่งแล้ว เหล่าชาวประมงยุ่งกับงานต่อไป แยกปลาโอแถบตามขนาดเล็กใหญ่แล้วใส่ในกล่องเก็บของสดแต่ล่ะกล่อง
ประเมินดูคร่าวๆ แล้ว ปลาโอแถบที่จับได้ในครั้งนี้มีประมาณสี่ห้าตัน เทียบกับเรือจับปลาทูน่าในมหาสมุทรแปซิฟิกจำนวนเท่านี้ก็ไม่เท่าไร เรือใหญ่พวกนั้นล้วนแล้วแต่เอาปลาโอแถบกลับท่ามาได้อย่างน้อยครั้งล่ะหลายร้อยตัน
เพียงแต่ว่าสำหรับแอตแลนติกเหนือ ออกทะเลวันครึ่งก็จับปลาโอแถบได้สิบสี่สิบห้าตันก็ถือว่าน่ากลัวมากแล้ว
ปลาโอแถบที่ตัวใหญ่หน่อยยาวหนึ่งเมตรกว่า หนักได้ถึงสี่ห้าสิบกิโลกรัม ตัวเล็กหน่อยก็หนักสิบห้าถึงสิบหกกิโลกรัม ที่เล็กกว่านั้นก็จะปล่อยกลับลงทะเลไป อย่างไรก็อยู่ในฟาร์มปลาของเขา คงหนีไปไหนไม่ได้
ตรวจดูแล้วปลาที่ได้ครั้งนี้ก็ไม่เลว ฉินสือโอวพยักหน้าแล้วไปที่ห้องควบคุม ให้ชาร์คแล่นเรือกลับตามคำบัญชาของเขา พวกเขาจะไปวางหม้อปู ที่ก้นทะเลยังมีปูหิมะจอมบ้าบิ่นที่ต้องจัดการ
มาถึงจุดที่ปูหิมะรวมตัวกัน ฉินสือโอวก็สั่งการให้พวกชาวประมงเอาหม้อปูที่ดึงขึ้นมาโยนลงไป ยังมีที่ดักกุ้งส่วนหนึ่งที่โยนลงไปด้วย สิ่งนี้ก็จับปูได้เหมือนกัน เพียงแต่ผลที่ได้ไม่เท่าลอบดักปู
ที่ดักกุ้งกับหม้อปูจะมีช่องทางเข้า ที่ดักกุ้งจะเป็นช่องทางแบน เพราะกุ้งมันทึ่ม พอมุดเข้าไปก็หาทางหนีไม่เจอ ส่วนช่องของหม้อปูจะอยู่ส่วนล่างสุด เพราะสิ่งนี้วางกลับด้าน ช่องของหม้อวางลงส่วนก้นก็วางขึ้น พวกปูจะดึงกันเอง พอเข้าไปก็ออกไม่ได้
ฉินสือโอวกลับฟาร์มปลาพร้อมกับปลาเต็มเรือ ตอนนั้นหิมะยังไม่หยุดตก หิมะกองรวมกันจนมิดน่องคนแล้ว หู่จือเป้าจือไม่ได้เล่นกันต่อ แต่กระโดดไปในจุดที่หิมะกองสุมกันลึกๆ เหมือนกับหลัวปอจนมองไม่เห็นตัว
เพียงแต่ตอนที่เรือประมงกลับมา หู่จือเป้าจือยังคงเดินโซเซ ตะเกียกตะกายกึ่งลุกกึ่งคลานวิ่งไปรับฉินสือโอว ฉงต้าก็อยากไปที่ท่าเรือ แต่ว่าขามันทั้งสั้นทั้งอ้วน เหยียบอยู่ในหิมะเอาไม่ออก เปลืองแรงเกินไป
ที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่มีหิมะที่สุดก็เห็นจะเป็นลิงซ์ บนเท้าของราชาเจ้าป่าซิมบ้ามีขนหนานุ่ม น้ำหนักตัวก็เบา สามารถใช้วิชาฝ่ามือเหล็กพลิ้วบนสายน้ำ วิ่งไปมาบนหิมะได้โดยไม่เป็นอะไรเท่าไร
ฉินสือโอวยืนขึ้นบนท่าเรือ ซิมบ้าวิ่งมาเกาะเสื้อและกางเกงของเขาแล้วปีนขึ้นไหล่ หลังจากนั้นก็สลัดขนนุ่มบนตัว จนหน้าของฉินสือโอวเปียกไปด้วยน้ำหิมะ ทำเอาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
หู่จือกับเป้าจือพุ่งเข้ามาเบียดเข้าอกฉินสือโอว อย่างกับไม่ใช่ว่าพวกมันไม่ได้เจอเขาแค่สองวันแต่เป็นสองปีอย่างไรอย่างนั้น
การใช้ช่องแช่เย็นของเรือประมงไปเรื่อยๆ นั้นเปลืองน้ำมันมาก พอหลังจากเทียบท่าก็เลยเอาปลาลงมาใส่ห้องแช่เย็นหรือส่งเข้าห้องโรงงานทำเป็นปลาโอแถบแห้ง
ท่าเรือห่างจากห้องโรงงานตั้งสี่ห้ากิโลเมตร รถกระบะก็ใช้ไม่ได้ ได้แต่เอารถเลื่อนลากไป
รถเลื่อนที่ฉินสือโอวใช้ไม่ได้ซื้อเอง แต่บัตเลอร์เอามาตอนที่มาเอาอาหารทะเลช่วงปีใหม่ ห้องแช่เย็นก็ห่างจากสนามบินพอควร ใช้รถในการขนส่งในหิมะแบบนี้ไม่ค่อยดี เขาเลยเอาเจ็ทสกีไปด้วยสองคัน
เจ็ทสกีสองคันนี้ยาวสามเมตรครึ่ง มีความสวยแบบไซไฟมากๆ ด้านนอกไม่ใช่ไม้แต่เป็นอะลูมิเนียมอัลลอย ดูราวกับเป็นสโนว์โมบิลที่ถูกทับแบน ทั้งสองข้างติดตั้งเจ็ททรัสเตอร์ไว้ข้างล่ะเครื่อง ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่เชื้อเพลิงคาร์บอนไฟเบอร์ ทุกครั้งที่เดินเต็มแรงจะสามารถสร้างแรงผลักได้ถึง 200 กิโลกรัม
เจ็ทสกีเร่งความเร็วด้วยการใช้นิ้วโป้งกด ความเร็วสามารถควบคุมได้โดยการหมุนรอกบนคันเร่ง และมันสามารถปรับทิศทางได้อย่างแม่นยำและมีช่องลากอยู่ด้านหลังซึ่งสามารถลากสิ่งของได้ครั้งละครึ่งตัน
ตอนนั้นเชอร์ลี่ย์กับคนอื่นๆ อยากเล่น ฉินสือโอวไม่กล้าให้พวกเขาเล่น มันอันตรายมาก เพราะมันไว บรรทุกผู้โดยสารน้ำหนักไม่เกิน 50 กิโลกรัม ความเร็วสูงสุดไวถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าเกิดสูญเสียการควบคุมคนก็บินไปสวรรค์ได้
ฉินสือโอวให้บีบีซวงมาควบคุม บีบีซวงไม่กดดันอะไร เขาเคยศึกษาเจ็ทสกีนี้มาแล้ว ระบบไฟฟ้าเชื่อมต่อโดยตรงกับตัวควบคุมเลื่อนผ่านสายสวิตช์ ในกรณีฉุกเฉินสามารถดึงสายเคเบิลออกได้ตลอดเวลาและระบบไฟฟ้าจะปิดลง
รถพ่วงบรรทุกกล่องเก็บของสดน้ำหนัก 100 กิโลกรัมจำนวนสี่ตู้ บีบีซวงค่อยๆ เร่งความเร็ว เจ็ทสกีก็ค่อยๆ เคลื่อนไปบนหิมะ
พวกเด็กๆ อยากเล่นเจ็ทสกีนี้มานาน แต่ฉินสือโอวยืนยันไม่ยอมให้พวกเขาแตะต้อง คนที่ไม่เคยขี่สิ่งนี้ไม่เข้าใจถึงความเย้ายวนของความเร็ว การขับเจ็ทสกีแบบนี้ไม่ต่างกับการขับมอเตอร์ไซค์ เพิ่มความเร็วแล้วก็เพิ่มอีก การควบคุมตัวเองของพวกเด็กๆ ยังไม่มากพอ เขาไม่อยากเสี่ยง
ฉินสือโอวขับคันที่สอง เขาควบคุมความเร็วที่ประมาณยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ขนาดนี้ยังรู้สึกว่าไวมาก และอันตรายนิดหน่อย เพราะสิ่งนี้ไม่ได้มีการปกป้องผู้ขับขี่
พอเชอร์ลี่ย์กับคนอื่นๆ เห็นว่าไม่มีโอกาสแล้วก็ลากรถเลื่อนของตัวเองออกมา ปอหลัวสนใจที่จะได้แสดงออกเป็นพิเศษ ครั้งนี้ไม่ต้องใช้ผลไม้มาล่อมันก็ยอมให้ผูกเชือก พาวลิสเอากล่องเก็บของสดวางบนรถแล้วช่วยขนส่งปลาโอแถบ
พวกเขาอยากจะพิสูจน์ว่าตัวเองเก่งที่สุดก็เลยขนกล่องเก็บของสดขึ้นวางห้ากล่อง เยอะกว่าเจ็ทสกีกล่องหนึ่ง
ปอหลัวเป็นเหมือนระเบิดแรง เดิมทีกวางมูสก็เป็นกวางที่แข็งแรงที่สุด พอโดนพลังโพไซดอนเสริมความแกร่งเข้าไป แรงและความอึดของมันก็ยิ่งน่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้ลากรถเลื่อนที่มีเด็กสี่คนมันก็วิ่งได้ทั้งบ่าย
ลากของหนักครึ่งตัน ปอหลัวก็ฝืนใช้แรงเยอะหน่อย แต่ก็แค่ฝืน พอวิ่งเหยาะก็ไม่หนักแล้ว
ฉินสือโอวขนปลาโอแถบมาส่วนหนึ่งก็เริ่มทำปลาโอแถบแห้ง
เขาเอาปลาโอแถบสี่ร้อยกิโลกรัมวางลงบนสายพาน สายการผลิตเริ่มทำงาน ปลาโอแถบถูกส่งเข้าที่นึ่งเป็นอันดับแรก
พอนึ่งจนสุก ปลาโอแถบก็ถูกใส่ลงในเครื่องเหวี่ยงเพื่อเอาน้ำออก กระบวนการนี้จะเหวี่ยงเอาน้ำจากในเนื้อปลาออกมาส่วนหนึ่ง แถมส่วนนี้ยังเป็นแก่นของน้ำจากเนื้อปลาโอแถบซึ่งต้องเก็บเอาไว้ คนญี่ปุ่นจะเอามาคลุกข้าวกิน แล้วยังเป็นเครื่องปรุงหมักผักที่ดีที่สุด
พอเครื่องเหวี่ยงทำงาน ในท่อน้ำก็มีน้ำสีเหลืองอ่อนที่เหนียวเล็กน้อยออกมา ฉินสือโอวเอาถังแก้วที่เตรียมไว้ไปวางรอง
การรองน้ำจากเนื้อปลาโอแถบใช้ถังพลาสติกไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะส่งผลต่อรสสัมผัส ถังแก้วจึงจะเหมาะสมที่สุด
ในตอนนั้นในโรงงานอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของปลาโอแถบ เพราะน้ำจากเนื้อปลาในตอนนี้ยังอุ่นร้อนอยู่
จากนั้นก็ผ่านกระบวนการอบแห้งที่ยาวนานที่สุด ปลาโอแถบแห้งแข็งๆ ก็ออกจากเตาอย่างเป็นทางการแล้ว
บทที่ 918 งานประมูลการกุศลสี่เมือง
Ink Stone_Fantasy
ปลาโอแถบแห้งยังไม่ได้กินในวันนั้น กระบวนการอบแห้งต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวัน หรืออาจจะมากกว่านั้น เพียงแต่น้ำจากเนื้อปลาส่วนที่ดีที่สุดออกมาแล้ว ตอนกลางคืนฉินสือโอวจะใช้มันคลุกกับอาหารจานเย็น รสชาติดีกว่าซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ หรือน้ำสลัดเป็นไหนๆ
หิมะยังคงโปรยปรายไม่หยุด ฉินสือโอวมองไปด้านนอกที่กลายเป็นโลกสีขาวแล้วก็ถอนหายใจ ครั้งนี้นี่อย่างกับภัยพิบัติจากหิมะ แม้ว่าบ้านเกิดเขาจะอยู่ภาคเหนือ แต่ก็ค่อนไปทางใต้ ก็เลยไม่เคยเห็นหิมะตกหนักขนาดนี้มาก่อน
ฉินสือโอวไม่มีอะไรทำจึงขับรถกวาดหิมะไปกวาดถนนในฟาร์มปลา บ้านใหญ่ก็มีข้อเสียเหมือนกัน อย่างเช่นการจัดการหิมะที่เป็นปัญหาใหญ่
วันที่สี่นับจากหิมะตก มือถือของฉินสือโอวก็ดังขึ้น พอเขาเห็นว่าเป็นสายจากแฮมเล็ตก็กดรับแล้วถามว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า
แฮมเล็ตถามไถ่ถึงสถานการณ์ช่วงนี้และสุขภาพของวินนี่ จากนั้นก็พูดขึ้น “เซนต์จอห์นมีประเพณีโครงการอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือหลังจากที่เจอภัยธรรมชาติก็จะจัดการประมูลการกุศลสี่เมือง ครั้งนี้เป็นวันเสาร์นี้ นายสนใจไหม?”
ที่จริงฉินสือโอวไม่ค่อยจะสนใจ เขาไม่ค่อยมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับแคนาดา จัดการกับที่ดินหนึ่งหมู่สามเฟินในเมืองแฟร์เวลเสร็จเขาก็รู้สึกว่างานเขาหมดแล้ว
แต่จุดสำคัญของงานประมูลการกุศลไม่ได้อยู่ที่ได้เงินเท่าไร แต่ทุกคนต่างก็แสดงออกถึงความมีน้ำใจ ดังนั้นแม้ว่าจะไม่ได้สนใจ เขาก็ตอบรับจะไปเข้าร่วมงานในวันเสาร์
ส่วนของที่เขาจะประมูล นอกจากไข่มุกดำแล้วยังมีอะไรอีก? เขาเลือกไข่มุกดำขนาดประมาณถั่วเหลืองมาหกเม็ด มูลค่าเยอะพอแล้ว เพราะนี่ล้วนแต่เป็นไข่มุกดำชั้นเยี่ยม ต่อให้ขนาดเล็ก เม็ดหนึ่งก็มีราคาถึงหนึ่งหมื่นดอลลาร์แคนาดา
เออร์บักรู้ว่าเขาจะเข้าร่วมการประมูลการกุศลสี่เมืองก็อธิบายถึงความเป็นมาของงานประมูลให้เขาฟัง บอกว่าการที่เขาไปร่วมช่างเหมาะจริงๆ เพราะงานประมูลการกุศลที่จริงแล้วปู่ฉินหงเต๋อของเขาเป็นคนริเริ่ม
งานประมูลการกุศลเกิดขึ้นในปี 1980 ปีนั้นเซนต์จอห์นประสบพายุไต้ฝุ่นลูกใหญ่ครั้งหนึ่งในรอบหลายสิบปี ผู้ประสบภัยมีนับไม่ถ้วน เทศบาลก็ยังช่วยไม่ทั่วถึง หลังภัยพิบัติการก่อสร้างใหม่นั้นดำเนินไปอย่างล่าช้ามาก
แม้แต่เมืองใหญ่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเสียที เมืองที่อยู่รอบนอกก็ยิ่งไม่ได้รับทรัพยากรช่วยเหลือ บ้านของคนมากมายพังหมด ตอนนั้นหลังจากพายุไต้ฝุ่นผ่านไปฝนก็ตกหนัก หลายๆ คนไม่มีบ้านให้กลับเลยได้แต่หลบฝนในที่สาธารณะอย่างสถานีรถ หรือคาเฟ่
ฉินหงเต๋อจึงเรียกรวมชนชั้นกลางของเมืองแฟร์เวลจัดงานประมูลการกุศลมาช่วยคนที่ไม่มีบ้าน อย่างน้อยก็จัดการปัญหาที่อยู่และอาหารให้พวกเขา
หลังจากที่ฉินหงเต๋อร้องขอออกไปก็ได้รับการตอบรับจากคนมีฐานะบางกลุ่มในเมืองแฟร์เวลทันที และความน่านับถือของเขาก็ขจรไปไกล นอกจากเมืองแฟร์เวลก็ยังมีคนมีฐานะจากแม็คคาร์ธีทาวน์ เท็ดทาวน์และลิตเติ้ลแบร์ทาวน์ที่ตอบรับ
นี่ก็คือที่มาที่ไปของงานประมูลการกุศลสี่เมือง เพราะแรกเริ่มคนที่มาร่วมงานมาจากเมืองสี่เมือง
“ปู่นายประมูลเรือยอชต์ที่เขาเพิ่งซื้อมา ฉันยังจำคำที่เขาพูดในงานประมูลได้อยู่เลย ‘มีบางคนที่แม้แต่ซุปร้อนๆ ก็ไม่ได้กิน แล้วผมจะแล่นเรือยอชต์ออกทะเลหาความสุขได้อย่างไร’ ช่างเป็นคำที่กินใจจริงๆ” เออร์บักพูดด้วยความซาบซึ้ง
ต่อมางานประมูลการกุศลสี่เมืองก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ขอแค่เซนต์จอห์นมีภัยธรรมชาติที่ค่อนข้างรุนแรง ก็จะมีคนจัดงานประมูลขึ้น คนร่วมงานจากสี่เมืองก็กลายเป็นหกเมือง แปดเมือง ก่อนจะกลายเป็นทั้งเมืองใหญ่ ตอนนี้เป็นทั้งรัฐ
หลังจากที่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับงานประมูลนี้ ฉินสือโอวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แบบนี้เขาก็กลายเป็นดาวเด่นแล้วสิ ไข่มุกดำสี่เม็ดคงเอาออกมาไม่ได้ เขาเปลี่ยนเป็นเจ็ดเม็ด แล้วยังตั้งชื่อให้ไข่มุกดำด้วย วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ ส่วนเม็ดวันอาทิตย์นั้นเป็นไข่มุกดำเม็ดใหญ่ขนาดประมาณถั่วลิสง มูลค่ารวมเกินแสนดอลลาร์แคนาดา
เออร์บักบอกว่าที่จริงก็ไม่จำเป็น ขอแค่ออกงานแสดงความเมตตาของตัวเองก็พอ
ฉินสือโอวพูด “ช่างเถอะ ถือเสียว่าฉันสะสมบุญให้ลูก หวังว่าก่อนที่เขาจะเกิด เขาจะปลอดภัย ทั้งเขากับวินนี่แคล้วคลาดปลอดภัย”
หิมะก็ตกนานพอตัว จนถึงวันเสาร์ก็ยังคงมีหิมะตกลงมา ส่วนหิมะที่กองถมกันก็เกินครึ่งเมตรแล้ว สนามบินทั่วทั้งนิวฟันแลนด์ต่างก็ปิด ทางด่วนก็ปิดไปเกินเก้าสิบเปอร์เซ็นต์!
ฉินสือโอวดูข่าวตอนกลางคืนก็เห็นสลัมบางส่วนที่หลังคาพังเพราะหิมะถมสะสม ต้นไวท์เบิร์ชหน้าประตูศาลากลางเซนต์จอห์นก็โดนหิมะทับจนล้ม ฉินสือโอวตะลึง พลังของหิมะช่างร้ายแรงจริงๆ
วันเสาร์ฉินสือโอวและคนอื่นๆ มากมายนั่งเรือไปเซนต์จอห์น งานประมูลการกุศลนี้เปิดให้คนเข้าได้หมด ชาร์คกับคนอื่นๆ ก็ได้รับคำเชิญ แน่นอนว่าคนที่เชิญพวกเขาไม่ใช่แฮมเล็ต ในเมืองมีคนไปทั้งหมดหนึ่งร้อยกว่าคน บางคนไปประมูลของ บางคนก็เอาของไปประมูล
คนแคนาดามีจิตกุศลที่แรงกล้ามาก อย่างเช่นฮิวจ์คนน้องที่เป็นพวกผู้สนับสนุนอนาธิปไตย ปกติจะเฮฮาดูไร้สาระ ครั้งนี้เข้าร่วมงานประมูลการกุศล เขาเอาเข็มขัดหนาของเผ่าซูมาด้วย หัวเข็มขัดเป็นทองเลยนะ
ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวเคยเห็นเข็มขัดนี้ที่ร้านขายของชำ ฮิวจ์คนน้องไม่ได้ติดราคาไว้ เขาแค่เอาออกมาโชว์ เป็นของสะสมของตัวเองไปแล้ว
งานประมูลจัดขึ้นในมหาวิหารเซนต์จอห์นเดอะแบ๊พติสท์ในนครเซนต์จอห์นที่นี่ยังเป็นโบสถ์ที่งดงามและอลังการที่สุดในนิวฟันด์แลนด์ด้วย ตั้งอยู่บนยอดเขา สามารถมองเห็นวิวได้ทั้งเมือง
โบสถ์สร้างขึ้นในปี 1855 ภายนอกดูเหมือนโบสถ์สไตล์โรมันในอิตาลี โดยรวมเป็นหินปูนกับหินแกรนิต มีหอคอยยอดแหลมแฝด การตกแต่งภายในหรูหราและงดงาม กระจก 65 บานล้วนแล้วมีสีสัน แต่ล่ะบานต่างวาดเรื่องราวคลาสสิกจากพระคัมภีร์
บนเพดานมีประติมากรรมลอยตัวประณีต มีสีที่ผสมผสานระหว่างสีทอง สีน้ำตาลแดงและสีเขียวเข้ม ภายในกว้างขวางโอ่โถงเต็มไปด้วยความโอ่อ่า
ฉินสือโอวเพิ่งเคยมาครั้งแรก ข้างในมีคนที่มาร่วมงานรออยู่แล้วมากมาย บาทหลวงบางคนในชุดคลุมสีดำทำหน้าที่เป็นคนให้บริการ ชี้แนะผู้สนใจเที่ยวชมบ้าง บางคนก็กำลังเสนอเครื่องดื่มร้อนและของว่าง
หลังจากที่เออร์บักปรากฏตัว บาทหลวงเฒ่าอายุเจ็ดแปดสิบคนหนึ่งก็เดินเข้ามารับ พอเขากล่าวเปิดด้วยประโยค “ขอพระเจ้าอวยพรคุณ” บาทหลวงเฒ่าก็ยิ้มบางและกล่าวว่า “เพื่อนเก่า ได้เจอคุณที่นี่ช่างน่ายินดีจริงๆ เราไม่ได้เจอกันนานแค่ไหนแล้ว?”
“ห้าปีมั้ง?” เออร์บักยิ้มพลางลากฉินสือโอวออกมาอย่างกระตือรือร้นแล้วพูดว่า “นี่คือหัวหน้าบาทหลวงคาบ็อท ศรัณหะ ผู้รับใช้ที่เคร่งศาสนาและพี่ชายและบิดาของผู้ศรัทธา เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง”
ฉินสือโอวรู้สึกนับถือขึ้นมา เขาโค้งคำนับคาบ็อท
คาบ็อทมองดูฉินสือโอวอย่างละเอียดแล้วเอ่ยขึ้น “คุณคือ โอ้ พระเจ้า ผมไม่ได้เดาผิด คุณคือทายาทของอาเต๋อ ใช่ไหม?”
ฉินสือโอวเดาว่าอาเต๋อก็คือปู่ฉินหงเต๋อของเขา เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ครับ หัวหน้าบาทหลวง ผมคือหลานชายของคุณฉินหงเต๋อ”
คาบ็อทเดินเข้าไปใช้สองมือประคองหน้าเขาไว้แล้วมองดูอย่างละเอียดก่อนจะถอนหายใจ “ที่จริงแล้วคุณทั้งสองเหมือนกันมาก เหมือนมากจริงๆ ไม่อยากเชื่อว่าแวบแรกผมจะดูไม่ออก! ผมแก่แล้ว ความจำก็เลอะเลือน ตอนนั้นที่ผมเจออาเต๋อครั้งแรก เขาก็เป็นหนุ่มอย่างคุณในตอนนี้”
ฉินสือโอวยิ้มกระอักกระอ่วน ตัวเขาจะเข้าวัยกลางคนอยู่แล้วทำไมยังถูกเรียกว่าหนุ่มอีกล่ะ? แต่ว่าคนแก่ตรงหน้าก็เจ็ดแปดสิบเข้าไปแล้ว ถ้าจะบอกว่าตัวเขาเป็นหนุ่มก็ไม่แปลก
บทที่ 919 ของที่ระลึกของคุณปู่
Ink Stone_Fantasy
คาบ็อทถามฉินสือโอวว่ามาถึงแคนาดาตอนไหน เขาตอบว่าสองปีก่อนก็มาถึงแล้ว ได้ยินแบบนี้ คาบ็อทก็ยิ้มออกมาแล้วเอ่ยขึ้น “ดูท่าว่าข้อนี้คุณจะไม่เหมือนปู่คุณ เขาเต็มไปด้วยความกลัวและความจงรักภักดีต่อพระเจ้า…”
พูดไปเขาก็ส่ายหน้าแล้วยิ้มเขินๆ “ขอโทษทีหนุ่มน้อย ผมน่ะชินกับการพร่ำสอน สรุปก็คือ ปู่ของคุณเป็นคนน่านับถือคนหนึ่ง เขาเป็นคนที่มีคุณธรรมที่พระเจ้าส่งมาให้เดินบนโลก ผมภูมิใจที่ได้รู้จักกับเขา ผมเชื่อว่าคุณก็เป็นคนใจดีแบบนั้นเหมือนกัน”
ฉินสือโอวกล่าวขอบคุณ ที่จริงเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ เขาเองก็พูดมากไม่ได้
พอได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับหัวใจโพไซดอน ฉินสือโอวเชื่อว่าพระเจ้า พระพุทธเจ้า พระอัลเลาะห์ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องสมมุติ บางทีในบางช่วงเวลาบนโลก พวกเขาอาจจะเคยมาเกิดเช่นเดียวกับตำนานของโพไซดอน
ตามตำนานโพไซดอนควบคุมคลื่นของทะเลทั้งเจ็ด มีอำนาจสั่งการสรรพสัตว์ในท้องทะเล ถ้าหัวใจโพไซดอนของเขาแข็งแกร่งมากพอก็สามารถทำเรื่องพวกนี้ได้เหมือนโพไซดอนไม่ใช่เหรอ? อย่างการขี่โลมา เขาเองก็ทำได้
ตอนนี้ฉินสือโอวไม่ใช่เด็กหนุ่มวัตถุนิยมเหมือนสมัยมหาวิทยาลัยอีกแล้ว เขามีความเชื่อ เชื่อในหัวใจโพไซดอนว่าคือทุกสิ่งในมหาสมุทร
คาบ็อทเปลี่ยนเรื่องคุย ไม่ได้คุยเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อกับเขาต่อไป พอรู้ว่าฉินสือโอวเข้าโบสถ์เป็นครั้งแรก เขาก็เลยเสนอตัวพาฉินสือโอวเดินชมรอบๆ แล้วบอกกับเขาด้วยว่าปู่ของเขาเคยบวชที่นี่มาระยะหนึ่ง ที่นี่มีห้องของเขา
ฉินสือโอวไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ในมหาวิหารเป็นที่แรก กล่าวได้ว่าเป็นวังบิชอป ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของโบสถ์ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมทุกวันจันทร์และวันศุกร์ ในนั้นมีหนังสือโบราณจำนวนมาก มีเสื้อคลุมโบราณเรลิกและวัตถุทางวัฒนธรรมอื่นๆ
คาบ็อทกำลังเล่าเรื่องเกี่ยวกับของพวกนี้ให้ฉินสือโอวฟัง และอธิบายคัมภีร์หนาเล่มหนึ่งเป็นการพิเศษ “นี่คือพระคัมภีร์ที่มีเพียงเล่มเดียวในโลก ตั้งแต่ ค.ศ. 1861 จนถึงปัจจุบัน ได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีเสมอมาจากดับลินและพูดภาษาเกลิก”
มีรูปปั้นหินอ่อนอยู่ด้านในสุดของวังบิชอป ชื่อว่า ‘พระนางมารีคลุมหน้า’ สร้างขึ้นในปี 1850 โดยประติมากรชาวแคนาดาที่มีชื่อเสียงที่สุดในศตวรรษที่ 19 นามว่าสตราซซา งานแกะสลักมีความวิจิตรงดงาม แผ่นหินอ่อนพับยู่ยี่ปิดหน้าของพระแม่มารีราวกับเป็นผ้าคลุมหน้า ลายเส้นนุ่มนวลและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ
พอเดินชมจนทั่วคาบ็อทก็พาฉินสือโอวไปที่ห้องในสวนด้านหลังที่ทำความสะอาดไว้เรียบร้อยมาก ปกติคงจะเอาไว้ให้เป็นที่พักของลูกศิษย์ที่มาบวช ตอนนี้ข้างในมีเด็กที่แต่งตัวธรรมดาอยู่สองสามคน คาบ็อทบอกว่าในเมืองมีคนไม่น้อยที่โดนหิมะคุกคามจนไม่มีที่ไป โบสถ์ได้รับคนเอาไว้ส่วนหนึ่ง
“แต่ผมพาคุณมาไม่ใช่เพื่อจะโชว์ว่าพวกเราทำอะไร แต่อยากให้คุณได้เห็น ที่นี่เคยเป็นที่ที่ปู่ของคุณเคยอยู่ เขาเคยบวชที่นี่อยู่หนึ่งปี ตอนนั้นเขาเหมือนจะเจอกับปัญหาบางอย่าง หลังจากนั้นพอมาบวชที่นี่ก็หาทางออกเจอ” คาบ็อทเล่า
ฉินสือโอวเดินเข้าไป เป็นห้องกว้างห้องหนึ่งที่ธรรมดามาก มีแค่เตียงหลังใหญ่หลังหนึ่ง โต๊ะหนังสือหนึ่งตัวกับเก้าอี้สองสามตัว แต่ว่าหลังจากที่เขาเข้าไปเขากลับรู้สึกว่าเขาสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง เพราะเขาเห็นรูปปั้นพระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง และรูปปั้นนั้นก็แผ่รังสีน่าดึงดูดที่ยากจะต้านทานมาทางเขา!
“ให้ตาย!” ฉินสือโอวก่นด่าเสียงเบา ในใจเขาเริ่ม** ลูกตาแทบจะแดงไปหมด เขารู้สึกได้ วัสดุของรูปปั้นนี้จะต้องเป็น ‘อำพันทะเล’ แสนลึกลับนั้นแน่!
แต่ว่าฉินสือโอวเข้าไปดูดพลังไม่ได้ เขาได้แต่ควบคุมตัวเองไม่ให้มองรูปปั้นแล้วแสร้งทำท่าสบายๆ ก่อนจะถามว่า “ตอนนั้นปู่ผมอยู่ห้องนี้เหรอครับ? ขอถามหน่อยว่ารูปปั้นนั้นมีมาตั้งแต่ที่เขาเข้ามาอยู่หรือเปล่าครับ?”
คาบ็อทมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ แล้วถามขึ้น “ทำไมคุณต้องถามถึงรูปปั้นพระเยซูด้วยล่ะ?”
ฉินสือโอวฝืนยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “ผมก็ถามไปอย่างนั้นแหละ เพราะในห้องไม่มีของพิเศษอย่างอื่นแล้ว”
แม้แต่เขายังรู้สึกว่าเหตุผลนี้ไร้สาระ สำหรับโบสถ์แล้ว รูปปั้นพระเยซูถือว่าเป็นของพิเศษเหรอ?
คาบ็อทไม่ได้ถามหาความจริง เขาเดินเข้าไปจ้องมองรูปปั้นพระเยซูนั้นแล้วพูดขึ้น “ที่จริงแล้ว นั่นน่ะอาเต๋อเป็นคนแกะสลักออกมากับมือ ผมว่าที่คุณสังเกตเห็นมันคงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางสายเลือด”
พอได้ยินแบบนี้ ฉินสือโอวก็ตกใจเล็กน้อย รูปปั้นนี้ปู่ของฉินโซ่วเป็นคนแกะสลักเหรอ? เขาก็น่าจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหม? ทำไมไม่ดูดพลังโพไซดอนจากในนี้ไปล่ะ? เขารู้สึกว่ารูปปั้นนี้มีพลังโพไซดอนอยู่ เยอะกว่าตอนที่เขาอยู่ศาลเจ้านามิโยเกะจินจะที่ญี่ปุ่นเสียอีก!
คอบ็อทเช็ดรูปปั้นพระเยซูจนสะอาดแล้วกอดขึ้นมายื่นให้ฉินสือโอวแล้วพูดว่า “ผมว่าคุณคงต้องการเขานะ ใช่ไหม?”
สีหน้าของฉินสือโอวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ที่บาทหลวงเฒ่าพูดหมายถึงอะไร? หรือเขารู้เรื่องเกี่ยวกับหัวใจโพไซดอน?
ตอนที่เขากำลังคิดฟุ้งซ่านในใจ คาบ็อทก็พูดขึ้นอีก “ตอนที่ปู่คุณจากไป เขาเคยพูดว่าต่อไปอาจมีคนมาที่นี่เพราะอยากได้รูปปั้นนี้ เขาให้ผมวิเคราะห์เอาเอง ถ้ารู้สึกว่าคนคนนั้นไม่ใช่คนมีคุณธรรมก็อย่าให้เขา ถ้าคนคนนั้นเป็นคนมีคุณธรรม ผมก็จะเอารูปปั้นให้เขาไป”
บาทหลวงเฒ่าไม่ได้พูดอะไรเยิ่นเย้อ เขาเป็นคนรู้จักของฉินหงเต๋อ อายุก็เจ็ดแปดสิบแล้ว ฉินสือโอวคิดว่าเขารู้เห็นอะไรมาเยอะ อาจจะคาดเดาได้ถึงหัวใจโพไซดอนหรืออะไรเทือกนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่ถามเขาตรงๆ ว่าอยากได้ไหม
แต่เขาก็ทนความน่าดึงดูดของพลังโพไซดอนไม่ไหวจึงถามหยั่งเชิงดู “คุณคิดว่าผมเป็นคนมีคุณธรรมเหรอครับ?”
เขารู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผล
บาทหลวงเฒ่ายิ้มออกมาพลางเอ่ยตอบ “คุณเป็นคนดี เป็นเด็กดีคนหนึ่ง แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ใช่เหรอ? มา เอารูปปั้นนี้กลับไปด้วยเถอะ นี่เป็นของที่ปู่คุณเหลือไว้ เขาเป็นของคุณ”
ฉินสือโอวรับรูปปั้นมา บาทหลวงเฒ่าพูดว่า “งั้นเราก็ไปร่วมงานประมูลกันเถอะ อีกเดี๋ยวน่าจะเริ่มแล้ว ถ้ายังมีเวลาผมจะแนะนำคนดีๆ ให้รู้จักสักสองสามคน พวกเขาล้วนแล้วแต่คุ้มค่าที่จะทำความรู้จักด้วย”
แต่ตอนนี้ฉินสือโอวจะไปมีอารมณ์อยากทำความรู้จักกับใครได้? หลังจากที่คาบ็อทพาเขากลับเข้ามาในโบสถ์ก็แนะนำคนกลุ่มหนึ่งให้เขารู้จักจริงๆ ฉินสือโอวทำท่านอบน้อมมาก แต่ความคิดกลับถูกรูปปั้นในอกดึงดูด ไม่ค่อยได้จดจำคนพวกนั้นเท่าไร
ตอนหลังมีคนมาหาคาบ็อท บอกว่างานประมูลเตรียมจะเริ่มแล้ว ฉินสือโอวถึงเพิ่งนึกได้ว่าของที่ตัวเองจะเอามาประมูลยังไม่ได้เอาออกมาเลย เขารีบล้วงเอากล่องเครื่องประดับออกมาเตรียมไว้แล้วพูดกับบาทหลวงเฒ่าว่า “คุณหัวหน้าบาทหลวง นี่คือของประมูลที่ผมเตรียมไว้ เมื่อกี้ลืมเอาขึ้นไป ตอนนี้คงได้แต่รบกวนคุณแล้ว”
พอเห็นไข่มุกดำเปล่งประกายแวววาวเจ็ดเม็ด คาบ็อทก็เผยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นรอยยิ้มบนหน้าก็กว้างกว่าเดิมก่อนจะพยักหน้าอย่างชื่นชม “คุณเหมือนกับอาเต๋อจริงๆ เป็นคนดีที่น่านับถือ พระเจ้าจะคุ้มครองคุณ พ่อหนุ่ม”
ฉินสือโอวพูดขอบคุณ หาที่นั่งสักที่นั่งลงแล้วนั่งรออย่างอยู่ไม่สุข ดูว่าจะดูดพลังโพไซดอนอย่างไรไม่ให้คนรอบข้างสังเกตเห็น
บทที่ 920 เริ่มงานประมูล
Ink Stone_Fantasy
ฉินสือโอวกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ที่นั่ง ทันใดนั้นก็มีคนมาตบบ่าเขาเบาๆ
เขาตกใจจนโอบรูปปั้นแน่นโดยไม่รู้ตัว พอหันหลังไปมองที่แท้ก็เป็นคนรู้จักกัน นายกเทศมนตรีคนใหม่
ข้างๆ แฮมเล็ตเป็นชายวัยกลางคนดูเรียบร้อย เขากำลังแบกเป้เอาไว้อยู่ ฉินสือโอวเพิกเฉยต่อท่านนายกเทศมนตรี แต่กลับบอกกับชายวัยกลางคนคนนั้นก่อนว่า “คุณครับ ไม่ทราบว่าสะดวกให้ผมยืมเป้ของคุณสักครู่ได้ไหมครับ? พรุ่งนี้ผมจะคืนให้ครับ”
มุมปากชายวัยกลางคนกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย มองไปที่ฉินสือโอวด้วยสายตาแปลกๆ แล้วถามอย่างลังเลว่า “ขอโทษนะครับ คุณ ผมคิดว่าคงไม่ค่อยสะดวกครับ”
แฮมเล็ตคิดจะช่วยฉินสือโอว จึงพูดว่า “ไม่นะ สลาวิช พวกเราต่างรู้ดีว่าในกระเป๋ามีเอกสารไม่กี่ฉบับที่ไม่ได้สำคัญอะไร นายเอาออกมาแล้วไปใส่ไว้ในกระเป๋าอีค่าน้อย แล้วเอากระเป๋าใบนี้ให้ฉินยืมเถอะ ฉันรับประกันว่าเขาจะคืนให้อย่างแน่นอน”
ชัดเจนว่าชายวัยกลางคนที่ชื่อสลาวิชเป็นพนักงานข้าราชการคนหนึ่ง ท่านนายกเทศมนตรีออกปากพูดขนาดนี้แล้วเขาจะทำอะไรได้ล่ะ? จึงได้แต่เอาเอกสารออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้กับฉินสือโอว
ฉินสือโอวนำรูปปั้นใส่ไว้ในกระเป๋า การหลอกล่อนับว่าช่วยผ่อนภาระเขาไปได้อยู่ ทำให้เขาสามารถพูดคุยกับคนทั่วไปได้แบบปกติ
แฮมเล็ตนั่งด้วยกันกับเขา พูดอย่างดีใจว่า “พวกเราไม่ได้เจอกันนานแค่ไหนแล้วนี่? พระเจ้า นายนี่ก็ใช้ชีวิตสบายอยู่ในฟาร์มปลาตลอดเลยนะ ทำไมไม่เข้าเมืองมาเข้าร่วมกิจกรรมโน่นนี่หน่อยล่ะ?”
ฉินสือโอวตอบว่า “คุณก็รู้ วินนี่กำลังท้อง ผมเลยคิดว่าต้องอยู่ดูแลเธอตลอด”
แฮมเล็ตพยักหน้าแล้วถามขึ้น “วินนี่ล่ะ? วันนี้เธอมาไหม?”
ฉินสือโอวบอกว่าไม่ได้มา เพราะเดินทางไม่ค่อยสะดวก อากาศก็หนาว จึงให้วินนี่อยู่ที่บ้าน เขาถามแฮมเล็ตว่ามาทำอะไร มาเป็นเจ้าภาพงานประมูลเหรอ?
คำพูดที่เขาพูดไปก็แค่ล้อเล่น เพราะว่านายกเทศมนตรีคงไม่สามารถมาเป็นเจ้าภาพงานประมูลการกุศลสำหรับประชาชนแบบนี้แน่ ไม่ใช่เป็นเพราะตำแหน่งของเขา แต่เป็นเพราะตอนนี้เขาเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ได้รับการต้อนรับมากที่สุดในงานต่างหากล่ะ
เมื่อรัฐบาลแคนาดาทำการโฆษณาชวนเชื่อด้วยตนเอง มักจะมีคำกล่าวหนึ่งปรากฏออกมา ซึ่งมีหมายความว่าหน้าที่หลักของรัฐบาลคือ การรักษาความเป็นธรรมทางสังคม ความยุติธรรมและปกป้องกลุ่มผู้ด้อยโอกาสจากการถูกกำจัดสิทธิ์
อย่างเช่นเป้าหมายของงานกิจกรรมการกุศลพวกนี้คืออะไร? แน่นอนว่าเพื่อช่วยกลุ่มผู้ด้อยโอกาส และหากตามคำพูดของรัฐบาล นี่ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลหรอกเหรอ? นอกจากนี้ผู้เสียภาษีก็ต้องเสียภาษีทุกๆ ปี ถ้าเช่นนั้นสุดท้ายแล้วเงินภาษีไปไหนหมด? เหตุใดรัฐบาลไม่แก้ปัญหาการระดมทุนหลังจากประชาชนในเขตอำนาจได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ และทำไมพวกเขายังต้องการเงินบริจาคอีก?
เป็นดั่งคาด พอได้ยินคำพูดเขา แฮมเล็ตฝืนยิ้มออกมา แล้วพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “รัฐบาลไม่ได้เป็นได้ทุกอย่างนะ ฉิน นายไม่รู้หรอกว่าที่ฉันรับช่วงต่อมานั้นมันเละเทะขนาดไหน ฉันก็ไม่อยากจะบ่นกับนาย ฉันพูดได้แค่ว่า ครั้งนี้ที่ฉันมาร่วมงานประมูลการกุศล ฉันมาเป็นการส่วนตัว”
ขณะที่ทั้งสองคนคุยกันอยู่ ก็มีคนใส่สูท รองเท้าหนัง พร้อมใส่ถุงมือสีขาวขึ้นมาบนเวที เคาะที่โต๊ะเพื่อบอกเป็นนัยว่าให้ทุกคนเงียบ หลังจากนั้นเขาก็โบกไม้โบกมือ มีเด็กกลุ่มหนึ่งเดินออกมาเอาแผ่นพับแจกให้กับทุกคนที่นั่งอยู่
แผ่นพับนี้เขียนให้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นและบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติหิมะในครั้งนี้ แน่นอนว่าเรียกร้องให้ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการประมูลเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พอเห็นแผ่นพับฉินสือโอวถึงเพิ่งรู้ว่า งานประมูลการกุศลสี่เมืองครั้งนี้จัดโดยมหาวิหารเซนต์จอห์นเดอะแบ๊พติสท์ โดยมีคาบ็อทเป็นหนึ่งในคนนำทีม ในแผ่นพับจงใจเขียนถึงคุณปู่ฉินหงเต๋อของเขาเป็นพิเศษ แนะนำความเป็นมาและผลประมูลของงานประมูลการกุศลสี่เมืองหลายครั้งก่อนหน้านี้
หลังจากที่งานประมูลเริ่มต้นขึ้น ชายใส่ถุงมือสีขาวก็ค่อยๆ นำของประมูลออกมาทีละชิ้น ของที่มาร่วมประมูลมีจำนวนเยอะพอสมควร มีแม้กระทั่งรูปวาดเส้นง่ายๆ ที่เด็กๆ วาด
เริ่มไปสักพัก ราคาของที่มาประมูลเริ่มต้นที่ 10 ดอลลาร์แคนาดาขึ้นไป ไม่ได้มีมูลค่าอะไรมาก ส่วนมากจะเป็นคนที่เอาของมาประมูลประมูลของตัวเองกลับไป ถือเป็นโอกาสบริจาคเงินให้เล็กๆ น้อยๆ
ฉินสือโอวชูป้ายหลายครั้ง ประมูลของเล็กๆ มาได้หน่อย เขาไม่ได้ใช้ของพวกนี้หรอก แต่ก็เหมือนที่เขาเคยบอกเมื่อก่อน สะสมคุณความดีไว้ให้กับเด็กๆ เพราะว่าเงินที่ใช้ไปก็ไม่ได้มากมายและเขาตอนนี้ก็ไม่ได้ขาดเงินด้วย
โดยเฉพาะในงานประมูลครั้งนี้ที่เขาได้รูปปั้นอำพันทะเลมาโดยไม่คาดคิด เป็นความบังเอิญที่ช่างน่ายินดี ซึ่งถ้ายึดตามประเพณีดั้งเดิมของบ้านเกิด เขาก็ต้องเสียทรัพย์สินไปบ้าง เพราะใช่ว่าเขาจะได้รับเรื่องดีๆ ทุกเรื่องบนโลกใบนี้
นอกจากนั้นแล้วฉินสือโอวยังรู้สึกว่า ทุกเรื่องราวบนโลกใบนี้อยู่ที่ฟ้ากำหนด อำพันทะเลที่เขาได้มา เกือบทุกครั้งมักจะเกี่ยวข้องกับการทำความดี ครั้งที่แล้วที่เขาได้สร้อยข้อมืออำพันทะเลมา นั่นก็เพราะว่าเขาใจกว้างยอมเลิกราหาความรับผิดชอบจากกัปตันเรือขยะ
ชายที่ใส่ถุงมือสีขาวชูเสือแกะสลักตัวเล็กขึ้นมาหนึ่งตัวอีก ตอนนี้ฉินสือโอวรู้สึกแพ้พวกงานแกะสลักไม้มาก เป็นเพราะว่านั่งห่างไกลออกไปเขาจึงไม่รู้ว่าของชิ้นนี้มันเกี่ยวข้องกับอำพันทะเลไหม แต่ทว่าในความมืดนั้น เขาก็ยกมือขึ้นแบบไม่คิดอะไรมาก ยอมเสียใจดีกว่าปล่อยผ่านไป
แต่ปรากฏว่าตอนที่เขาเพิ่งจะยกมือ แฮมเล็ตที่นั่งข้างเขาก็ยกด้วยเช่นกัน คนทั้งสองคนสบตามองกัน ฉินสือโอวถามเสียงเบาว่า “คุณสนใจของสิ่งนี้เหรอครับ?”
แฮมเล็ตตอบอย่างช่วยไม่ได้ “เพื่อน นี่เป็นของประมูลที่ฉันเอามาเอง เป็นของเล่นที่ฉันกับน้องสาวแกะสลักจากไม้โอ๊คขึ้นมาด้วยกันตอนเด็กๆ”
ฉินสือโอวลูบไปที่จมูกของเขา ในเมื่อแฮมเล็ตบอกว่าของชิ้นนี้แกะสลักมาจากไม้โอ๊ค ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงอาศัยโอกาสและไม่ได้บอกราคาออกไปต่อ
แต่มีคนประมูลสู้กับแฮมเล็ตแทน แล้วคนนั้นยังมีความเกี่ยวข้องกับฉินสือโอวด้วย นีลเซ็น
ชายใส่ถุงมือขาวตะโกนออกมาว่า “เสือแกะสลักราคา 200 ดอลลาร์แคนาดา โอเค คุณผู้ชายคนนั้นให้ราคา 200 ดอลลาร์แคนาดา 300 ดอลลาร์แคนาดา โอว ขอบคุณท่านนายกเทศมนตรีของพวกเรา เขาเสนอมาที่ โอเค คุณผู้ชายท่านนั้นเพิ่มราคาเป็น 500 ดอลลาร์แคนาดา…”
แฮมเล็ตมองไปที่นีลเซ็นอย่างสงสัย แน่นอนว่าทั้งสองรู้จักกันดี เขาจึงถามว่า “นีลเซ็นนายทำอะไรเนี่ย? เขาจะมาสนใจของเล่นแบบนี้ทำไมกัน?”
ฉินสือโอวชำเลืองมองไปที่แฮมเล็ตด้วยความคิดไม่ดี เขาจะไม่บอกไอ้นี่เด็ดขาดว่ามันเกี่ยวข้องกับแพรีส คาดว่านายกเทศมนตรีพอรับตำแหน่งก็ยุ่งมากจนไม่มีเวลาแม้กระทั่งไปสนใจปัญหาความรู้สึกของน้องสาวตัวเอง
นีลเซ็นเป็นคนใจร้อนไม่อยากจะดึงเรื่องไปมากับคุณลุงให้มันเยิ่นเย้อ ครั้งสุดท้ายจึงเพิ่มราคาเป็น 1,000 ดอลลาร์แคนาดา
เสียงร้องอย่างประหลาดใจดังขึ้นเป็นครั้งแรกในงาน เพราะทุกคนไม่เข้าใจ เงินห้าดอลลาร์แคนาดาสามารถซื้อของเล่นห่วยๆ นี้ได้มากมายทำไมถึงมีราคาสูงถึง 1,000 ดอลลาร์แคนาดาได้ แต่นี่ก็เป็นงานประมูลการกุศล ทุกอย่างจึงไม่สามารถใช้หลักเหตุผลทั่วไปมาตัดสินได้
พอได้ยินชายสวมถุงมือขาวประกาศราคา ‘1,000’ ออกมา แฮมเล็ตพูดเสียงเบาว่า “ไอ้เลวนี่ต้องเสียใจทีหลังแน่ เขาคิดว่านี่ทำมาจากทองหรือไงกัน? โอเคโอเค ในเมื่อเขาจะเอาก็เอาไปเลย!”
ฉินสือโอวแอบพึมพำกับคุณลุงผู้โชคร้ายเงียบๆ สิ่งที่นีลเซ็นเอาไปไม่ใช่แค่ของเล่นทั่วไป คาดว่าแม้แต่น้องสาวสุดที่รักของคุณก็อยากจะเอาไปเช่นกัน
ต่อมาภายหลัง ของที่ออกมาประมูลมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ หลังเวทีมีผู้เชี่ยวชาญด้านการประมูลที่ได้รับเชิญจากคริสตจักร พวกเขารีบประเมินราคาของที่เข้าประมูล ของที่ไม่มีมูลค่าของแค่แยกออกไปจัดประเภทเป็นกลุ่มหนึ่ง แต่ของที่สำคัญก็จะมีการประเมินค่าอย่างรอบคอบ
งานประมูลไม่ได้เกิดในชั่วข้ามคืน แต่จะแบ่งเป็นช่วงเวลาต่างๆ ส่วนแรกของการประมูลเข้าสู่ช่วงสุดท้าย ในตอนนี้เองมีภาพวาดจีนถูกยกออกมา เป็นภาพม้วนที่ยาวมากเป็นพิเศษ ชื่อของภาพวาดนี้ช่างน่าประทับใจ ซึ่งก็คือ “พื้นที่บริเวณรอบแม่น้ำในเทศกาลชิงหมิง!”
บทที่ 921 อยากเป็นนายกเทศมนตรีไหม
Ink Stone_Fantasy
“นี่เป็นผลงานศิลปะที่จัดทำโดยจิตรกรชาวจีนนามว่าคุณหลิวเฉิงจง ผลงานมีชื่อว่า ‘พื้นที่บริเวณรอบแม่น้ำในเทศกาลชิงหมิง’ เป็นการเกิดใหม่ของชีวิตในสมัยราชวงศ์ซ่ง ได้รับการขนานนามว่าเป็นสารานุกรมของราชวงศ์ซ่ง ราคาประมูลเริ่มต้นอยู่ที่ 4,500 ดอลลาร์แคนาดา…” ชายสวมถุงมือขาวพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
หลังจากที่เสียงเขาเงียบลง ฉินสือโอวชูแผ่นพับในมือขึ้น “4,600 ดอลลาร์แคนาดา”
แฮมเล็ตพิจารณาอยู่สักพัก แล้วพูดขึ้นว่า “ราชวงศ์ซ่งเป็นราชวงศ์ที่เก่าแก่มากใช่ไหม? ภาพนี้เป็นของปลอมหรือเปล่า?”
ฉินสือโอวยิ้ม “แน่ล่ะว่าเป็นของปลอม ภาพของจริงตอนนี้ไม่สมบูรณ์แบบแล้ว ถ้าหากเป็นภาพวาดของแท้ จะมีราคาแค่ 4,500 ดอลลาร์แคนาดาได้อย่างไรกัน มากกว่า 45 ล้านดอลลาร์แคนาดาด้วยซ้ำ! เพราะเป็นสมบัติประจำชาติของพวกเรา!”
เขาคิดที่จะประมูลของชิ้นนี้เพราะที่วิลล่าขาดของประดับบ้าน มีเพียงซากดึกดำบรรพ์ที่น่ากลัวอยู่จำนวนหนึ่ง ภาพ ‘พื้นที่บริเวณรอบแม่น้ำในเทศกาลชิงหมิง’ ใหญ่พอดีและยังสวยด้วย ดังนั้นถ้าเอาไปแขวนเป็นของตกแต่งบ้านก็ไม่เลวเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นภาพวาดนี้ถูกคัดลอกโดยคนชาติเดียวกันที่มีชื่อว่า หลิวเฉิงจง ถึงแม้ว่าจะเป็นของปลอม แต่ก็ไม่ใช่ของที่ทำออกมาลวกๆ จากโรงงาน ดังนั้นจึงน่าจะมีมูลค่าทางศิลปะอยู่
ผู้คนส่วนมากที่มางานประมูลมาจากครอบครัวที่สุขสบาย พวกเขามาเพื่อแสดงจิตใจที่มีเมตตา พร้อมกับดูไปด้วยว่าจะเจอของถูกใจหรือเปล่า
ซึ่งโบราณวัตถุและงานศิลปะของจีน เป็นตัวชี้วัดของสะสมบนโลกใบนี้เสมอ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลาย ๆ คนให้ความสนใจกับภาพม้วนที่มีขนาดยาวนี้มากทีเดียว
ดังนั้น จึงมีคนยกมือขึ้นเสนอราคาอย่างต่อเนื่อง ราคาสูงขึ้นตลอด จาก 4,500 ขึ้นเป็น 8,000 อย่างรวดเร็ว สร้างสถิติราคาใหม่ ณ ตอนนี้
ฉินสือโอวยังคงยกมืออย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่เขาอยากจะได้ภาพนี้ พอราคาถึง 8,000 ดอลลาร์แคนาดาก็ไม่ค่อยมีใครประมูลแข่งกับเขาแล้ว หลายคนส่ายหน้ายอมแพ้ไม่เอาภาพนี้
ท้ายที่สุด ภาพวาดมีราคาสูงถึง 9,200 ดอลลาร์แคนาดา ฉินสือโอวจึงเพิ่มไปเป็น 10,000 ดอลลาร์แคนาดา คู่แข่งที่เหลืออยู่ท่านหนึ่งยักไหล่แล้วยอมแพ้ ไกอาพยักหน้าให้เขา ยินดีที่เขาประมูลภาพนี้ได้
ชายสวมถุงมือขาวใช้ค้อนในมือเขาตีลงไปที่โต๊ะ โอเค ตกลงที่ราคา 10,000 ดอลลาร์แคนาดา
คนที่อยู่ข้างฉินสือโอวทั้งซ้ายและขวาจับมือกับเขา ซึ่งครั้งนี้ไม่ได้เป็นการแสดงความยินดี แต่เป็นการขอบคุณที่เขาบริจาคเพื่อการกุศล
หลังจากที่งานประมูล ‘พื้นที่บริเวณรอบแม่น้ำในเทศกาลชิงหมิง’ เสร็จสิ้นลง งานประมูลก็หยุดลงชั่วคราว ทุกคนจึงพักผ่อน
แฮมเล็ตตบไปที่ไหล่ฉินสือโอวสื่อให้เขาตามเข้าไปที่ห้องสวดมนต์เล็กๆ ห้องหนึ่งที่สามารถนั่งได้แค่สองคน หลังจากนั้นท่านนายกเทศมนตรีก็ถามตรงๆ เลยว่า “ยังจำคำสัญญาที่ฉันให้นายก่อนจะมีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีได้ไหม?”
แน่นอนว่าฉินสือโอวจำได้ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ให้เกาะแฟร์เวลกลายเป็นเกาะส่วนตัวของผม?”
แฮมเล็ตแก้คำพูด “ไม่ได้กลายเป็น แต่ความหมายคล้ายๆ กัน”
ฉินสือโอวยักไหล่เพื่อบอกว่าเขาเข้าใจ “แน่นอนว่าผมจำได้ แล้วคุณจะมีวิธีอย่างไรเหรอ? ขายสิทธิ์ให้กับผมเหรอ?”
แฮมเล็ตยิ้ม “เวลาที่นายใช้ชีวิตบนเกาะก็ยาวนานพอแล้ว น่าจะรู้จักเกาะเล็กๆ นี้ดีทีเดียว ใช่ไหม?”
“ในความเป็นจริงแล้วเกาะแฟร์เวลเป็นเหมือนโลกใบเล็กๆ ที่แยกออกมาจากผืนแผ่นดินอย่างเป็นเอกเทศ ประชากรที่อยู่อาศัยก็สนใจแต่ชีวิตของตัวเอง พวกเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องการเมือง การทหาร เศรษฐกิจของประเทศหรือแม้แต่ระดับจังหวัดและเทศบาลเลยสักนิดเดียว”
“ฉันเป็นนายกเทศมนตรี แน่นอนว่าฉันรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ดีกว่า ตอนที่ฉันอยู่บนเกาะก็รู้สึกว่าเกาะนั้นก็เหมือนเป็นเกาะของฉัน เพราะเหตุนี้ฉันถึงพยายามที่จะพัฒนามันและสร้างมันให้ดีขึ้น”
“ถ้าอยากจะครอบครองเกาะนี้ ฉิน ฉันจะให้คำแนะนำนายอย่างหนึ่ง นายต้องกลายเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองเล็กนี้ก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ลงทุนธุรกิจทุกอย่างในเกาะ ตามที่ฉันรู้นายก็ทำแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? สุดท้ายเมื่ออำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจของเกาะเป็นของนายอย่างสมบูรณ์แบบ ก็ไม่เท่ากับว่าเกาะนั้นเป็นของนายแล้วหรอกเหรอ?”
“นายอยากเป็นนายกเทศมนตรีไหม? สิ่งนี้ต้องให้ประชาชนเป็นผู้เลือก แต่ฉันมีอำนาจในการเสนอชื่อ ฉันเชื่อว่าถ้าฉันเสนอชื่อนายเป็นนายกเทศมนตรี นายก็ต้องเป็นนายกเทศมนตรีอย่างแน่นอน!”
พอแฮมเล็ตพูดจบยกใหญ่ ฉินสือโอวรวบรวมสมาธิขึ้นมา เขามองไปที่แฮมเล็ตอย่างสงสัย “คุณจริงจังเหรอครับ?”
“แน่นอน ฉันกำลังทำตามสัญญากับผู้สนับสนุนทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดของฉัน แน่นอนว่าต้องพูดอะไรจริงจังสักหน่อย!”
ฉินสือโอวลูบมือของเขา มองตรงไปที่แฮมเล็ต “ทำไมผมถึงมีความรู้สึกว่า พวกเรากำลังร่วมมือกันทำเรื่องเลวร้ายเตรียมการที่จะช่วงชิงอำนาจอะไรสักอย่าง?”
“เมื่อวานนายคงดู เรื่อง ‘มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล’ ‘เกมอำนาจ’ ‘ฝ่าวิกฤติวินาศกรรมทำเนียบขาว’ หนังเรื่องพวกนี้หรือไง? บ้าจริงๆ ฉิน พวกเรากำลังวางแผนเพื่อที่จะพัฒนาหมู่บ้านแฟร์เวลนะ ช่วงชิงอำนาจอะไรกัน!” แฮมเล็ตแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา
ที่จริงแล้ว ความคิดที่แฮมเล็ตเสนอออกมา ถูกใจฉินสือโอวมาก!
เขาไม่ได้สนใจตำแหน่งนายกเทศมนตรีของแฟร์เวลอะไรเลยสักนิด แต่ถ้าเขาสามารถควบคุมอำนาจทางการเมืองได้ จากนั้นก็ทะลุทะลวงเศรษฐกิจ ท้ายสุดเกาะแฟร์เวลก็จะกลายเป็นเกาะส่วนตัวของเขาจริงๆ
แน่นอนว่า คนในเมืองควรใช้ชีวิตอย่างไรก็ใช้แบบนั้น พวกเขาสามารถหาเงินได้มากกว่าเดิม เพราะว่าการทะลุทะลวงเศรษฐกิจของฉินสือโอวไม่ใช่แค่การควบรวบหรือตัดทอนธรรมดา แต่คือการร่วมลงทุน!
ก็เหมือนกับที่เขาและฮิวจ์คนน้องร่วมกันทำร้านขายของชำ เขากับซาโกรร่วมกันเปิดร้านขายปืนแบบนั้น คนในหมู่บ้านส่วนมากไม่ได้มีเงินเยอะแยะอะไร เขาถึงสามารถอัดฉีดเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจได้
ฉินสือโอวกล่าวด้วยความกระวนกระวายใจ “ผมสนใจ วิลเลียม แต่ผมมีคุณสมบัติลงเป็นนายกเทศมนตรีเหรอ?”
แฮมเล็ตชี้นิ้วชี้ขึ้นมา “เพียงแค่หนึ่งปี สภาพแวดล้อมทางการเมืองของนิวฟันด์แลนด์ก็จะผ่อนคลายมากที่สุด ขอแค่ย้ายไปอยู่ที่นั่นครบหนึ่งปี ก็จะสามารถร่วมลงสมัครตำแหน่งนายกเทศมนตรีได้”
“ถ้าอย่างนั้นหลังจากงานประมูล เรามานั่งคุยรายละเอียดกันอีกที” ฉินสือโอวพูดอย่างมีความหวัง
แรงดึงดูดของอำนาจนั้นมีมาก ฉินสือโอวไม่ได้หลงใหลในอำนาจ แต่เขามีจิตสำนึกของชาวนาอย่างแรงกล้า ซึ่งสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับครอบครัวของเขา ชาวจีนส่วนมากที่ครอบครัวเป็นเกษตรกรต่างก็มีความหวังว่าจะมีผืนดินที่เป็นของตัวเอง
จริงๆ แล้วก็คือฉินสือโอวรู้สึกไม่ปลอดภัย เขากังวลว่าหากภายหลังมีนายกเทศมนตรีที่ไม่กินเส้นกับเขามาที่เกาะแฟร์เวล ถ้าอย่างนั้นก็คงปวดหัวน่าดู เงินทุนที่เขาลงไปในฟาร์มปลาเยอะเกินไปแล้ว จึงจำเป็นจะต้องรับประกันว่าจะมีสิทธิ์สมบูรณ์แบบในฟาร์มปลา
เวลาพักสิบห้านาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวกลับไปที่โบสถ์ การประมูลต่อจากนั้นเขายังคงยกป้ายประมูลอย่างต่อเนื่อง เขาให้ราคาที่ไม่เลวและได้ของที่คิดว่าคงไม่ได้ใช้มาเป็นกอง
ของประมูลชิ้นสุดท้าย มีชื่อว่า ‘เจ็ดวันปริศนา’ ชายสวมถุงมือขาวหยิบไข่มุกดำที่งดงามเจ็ดเม็ดที่ฉินสือโอวเอามา ใช้คำพูดสวยหรูบรรยายพร้อมกับชื่นชมมัน หลังจากนั้นก็แนะนำชื่อผู้บริจาค ฉินสือโอว
ไข่มุกดำเจ็ดเม็ดถูกถ่ายจากมุมต่างๆ และตอนนี้กำลังฉายอยู่บนม่านฉากที่โบสถ์ บนรูปมีรายละเอียดชัดเจน ไข่มุกดำเปล่งประกายเห็นให้ถึงความดำสนิทอันบริสุทธิ์ ในเวลานี้มีแสงประกายอ่อนๆ ปรากฏขึ้นในโบสถ์ทำให้รู้สึกถึงความลึกลับของมันขึ้นมาจริงๆ
ฉินสือโอวลุกขึ้นทักทาย เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วงาน ชายสวมถุงมือขาวบอกว่า “เจ้าของฟาร์มปลาที่เก่งกาจคนนี้ เพียงคนเดียวก็สามารถจัดการงานประมูลนี้ได้ไปถึงครึ่งหนึ่ง พระเจ้าได้โปรดอวยพรให้กับเขา พระเจ้าคุ้มครองเขา! คนดีทุกคนจะถือเขาเป็นแบบอย่าง!”
หลังจากเกริ่นมาพอสมควรแล้ว งานประมูลสุดท้ายก็เริ่มขึ้น ไข่มุกดำเจ็ดเม็ดมีมูลค่ามากที่สุดในบรรดาของประมูลทั้งหมด และราคาก็แพงมากที่สุดด้วย ราคาประมูลเริ่มต้นคือ 100,000 ดอลลาร์แคนาดา แล้วการเพิ่มราคาของการประมูลก็ไม่ใช่แค่ร้อยสองร้อย แต่เป็นหลักพัน!
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น