ลำนำบุปผาพิษ 915-922
บทที่ 915 ลางสังหรณ์นี้ช่างแม่นยำโดยแท้!
ตี้ฝูอีก็ไม่รบกวนเธอ เขาก็มองดวงดาวบนฟากฟ้าเช่นกัน สายตาของเขาหยุดตรงหมู่ดาวตัวแทนทางฝั่งตะวันออก ที่นั่นมีดวงดาวที่ไม่โดดเด่นเลยดวงหนึ่ง ท่ามกลางหมู่ดาวตรงนั้นมันถึงขั้นมิใช่ดวงดาวที่สว่างไสวสักเท่าใด ให้ความรู้สึกกลืนหายไปในหมู่ดาว แต่ความสว่างของตัวมันค่อนข้างประหลาด สมควรเป็นดวงดาวที่สว่างไสวที่สุดชัดๆ แต่มันกลับถูกฝุ่นละอองปกคลุมไว้ทั้งดวง เห็นได้ชัดเจนนักว่าซ่อนเร้นความสามารถของคนที่มันเป็นตัวแทนเอาไว้ และฟากฟ้าส่วนที่มันอยู่นั้นมืดมิดเป็นพิเศษ…
หากเขาไม่ผิด คนที่มันเป็นตัวแทนก็คือมือมืดที่วางแผนเล่นงานเขามาโดยตลอด ดาวดวงนั้นยังไม่ร่วงหล่นไป เป็นหลักฐานว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เก็บซ่อนแผนใหญ่บางอย่างไว้ดำนเนินการต่อ
ขั้นต่อไปคนผู้นั้นจะทำอะไร?
ครานี้คนผู้นั้นเสียเปรียบเขาครั้งใหญ่ น่าจะไม่พุ่งเป้ามาที่เขาสักพัก หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย เป้าหมายของเขาน่าจะเป็นสานุศิษย์สวรรค์คนอื่น ผู้ใดเล่าที่เป็นเป้าหมายรายต่อไปของเขา?
สายตาของตี้ฝูอีหันเหไปทางกลุ่มดาวที่แทนตัวสานุศิษย์สวรรค์ ทุกดวงล้วนเป็นปกติยิ่ง
โหราศาสตร์ไม่อาจสะท้อนเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ได้ มีเพียงยามที่เกิดภัยคุกคามชีวิตของผู้นั้น ดวงดาวที่แทนตัวเขาถึงจะหม่นแสงลง หรือจวนเจียนจะร่วงหล่น ถึงจะเกิดความผิดปกติต่างๆ ขึ้น และเขาไม่จำเป็นต้องไปสอดส่องสานุศิษย์สวรรค์เหล่านี้โดยเฉพาะ นั่งมองดวงดาวอยู่ที่นี่ก็สามารถสอดส่องได้เช่นกัน และสามารถส่งคนไปช่วยเหลือได้ทันกาลด้วย…
สานุศิษย์สวรรค์ต้องได้รับการหล่อหลอมฝึกฝน และเป็นธรรมดาที่ต้องประสบพบเจอเรื่องยากลำบากต่างๆ หากไม่มีอันตรายถึงชีวิตจริงๆ เขาไม่อาจสอดมือไปยุ่งเกี่ยวได้
สายตาของเขาเลื่อนไปที่ดาวราชาดวงใหม่ดวงนั้นอีกครั้ง ดาวดวงนั้นเติบโตเป็นอย่างดี และรอบกายมันเริ่มปรากฏดาวผู้พิทักษ์ขึ้นมาแล้ว ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเพียงดวงเดียวอีกต่อไป…
ดาวราชาดวงใหม่นั้นเดิมทีอยู่ในซอกมุมหนึ่งซึ่งไม่สะดุดตานัก แต่ตอนนี้มันค่อยๆ เคลื่อนตัวมาอยู่กลางนภาแล้ว แน่นอนว่าประกายแสงของมันยังคงมืดสลัวยิ่งนัก ถึงขั้นที่สว่างสู้ดาวผู้พิทักษ์เหล่านั้นของมันไม่ได้ด้วยซ้ำ แสงดั้งเดิมของมันก็เป้นสีรุ้งเช่นกัน แต่เนื่องจากประกายแสงสีรุ้งของดาวใหญ่ดวงนั้นเจิดจรัสเกินไป จึงกลบแสงสีรุ้งของดาวราชาดวงใหม่ไปเสีย ทำให้มันดูธรรมดายิ่งกว่าเดิม…
ลมหายใจของเด็กสาวข้างกายกระจ่างบางเบา บนร่างนางมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์จางๆ ทำให้คนที่ได้กลิ่นดื่มด่ำมัวเมา แต่กลิ่นอายเช่นนี้ของนางก็มีเพียงเขาที่ได้กลิ่น
ดังนั้นไม่ว่านางจะแปลงโฉมเป็นผู้ใดเขาล้วนหาตัวนางพบอย่างแม่นยำ…
นึกถึงยามนั้นที่สาวน้อยใช้สารพัดวิธีเพื่อหลบหนีเขา ใช้กลอุบายต่างๆ นานา อยู่ตลอด แต่ก็สลัดเขาไม่พ้น ยามนั้นสาวน้อยแทบจะคลั่งแล้ว แต่ยิ่งคลั่งเขากลับยิ่งสนุก ตอนนั้นเขาแค่เห็นนางเป็นสิ่งสร้างความบันเทิงให้ตนเท่านั้น ถึงขั้นเห็นเป็นหมากตัวหนึ่ง ไม่ทราบว่านำหัวใจทั้งดวงไปผูกไว้ที่นางตั้งแต่ยามไหน พอเขารู้สึกตัวอีกทีก็สายเกินกว่าจะถอนตัวแล้ว…
หรือนี่จะเป็นพรหมลิขิตระหว่างเขาและนาง?
บางทีนี่อาจเป็นสวรรค์จัดสรรให้โดยเฉพาะ? ทำให้เขาชอบนางให้ปกป้องคุ้มครองนาง…
ขณะที่เขาอยู่ในภวังค์ความคิด ทันใดนั้นกู้ซีจิ่วที่อยู่ข้างกายก็ชี้ไปที่ดาวดวงหนึ่งบนฟ้า “ดาวดวงนั้นใช่ข้าหรือเปล่า?”
ตี้ฝูอีมองตามนิ้วมือนาง หัวใจพลันเต้นแรง ดาวที่นางชี้คือดาวราชาดวงใหม่! นางหาพบจริงๆ…
กล่าวกันตามเหตุผลแล้ว ด้วยพลังยุทธ์ของนางในยามนี้ ไม่น่าจะหาดาวดวงนี้พบ สาวน้อยผู้นี้ทำให้เขาประหลาดใจได้เสมอ!
“เพราะอะไรถึงคิดว่าดาวดวงนั้นคือเจ้าล่ะ?” ตี้ฝูอีถามเรียบๆ
“ลางสังหรณ์” กู้ซีจิ่วตอบสั้นๆ
ลางสังหรณ์นี้ช่างแม่นยำโดยแท้!
ตี้ฝูอียิ้มแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก นี่เกี่ยวข้องกับลิขิตฟ้า ลิขิตฟ้าไม่อาจเปิดเผยลมิอาจกล่าวลอยๆ ได้ ถ้าเผยออกมาเกรงว่าจะชักนำเภทภัยมาสู่ตัวนางได้…
อันที่จริงกู้ซีจิ่วก็บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร เธอแค่รู้สึกสนิทสนมกับดาวดวงนั้นเป็นพิเศษ
————————————————————————————-
บทที่ 916 คู่สวรรค์สรรสร้าง 1
อันที่จริงกู้ซีจิ่วก็บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร เธอแค่รู้สึกสนิทสนมกับดาวดวงนั้นเป็นพิเศษ เธอถึงขั้นรับรู้ถึงพลังงานที่ดาวดวงนั้นส่งเข้ามาได้ ยามที่จับจ้องดาวดงนั้น เธอมีความรู้สึกอบอุ่นประการหนึ่ง
“ดาวดวงนั้นช่างเล็กและมืดมนจริงๆ” กู้ซีจิ่วเอ่ยอย่างเศร้าใจ “มันสว่างสู้ดาวที่อยู่รอบข้างพวกนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
ตี้ฝูอีเอียงศีรษะชิดศีรษะนาง มองดาวดวงนั้นด้วยกัน จากนั้นก็เอ่ยคำพูดประโยคหนึ่งที่มีคติธรรมเตือนใจอย่างยิ่ง “ดวงดาวก็มีช่วงเวลาสำหรับฉายแสง”
“ปกติแล้วความสว่างของดวงดาวจะเหมือนเดิมอยู่ตลอดไม่ใช่หรือ? มีช่วงเวลาที่ฉายแสงบ้างเป็นครั้งคราว แต่ดาวดวงเล็กไม่มีทางกลายเป็นดาวดวงใหญ่ได้” กู้ซีจิ่วกล่าวความรู้ทางดาราศาสตร์ที่ตนทราบออกมาอย่างมั่นใจ
สายตาของเธอหยุดที่ดาวใหญ่ดวงนั้นอีกครั้ง “ดาวดวงนั้นสว่างไสวจริงๆ! หากดาวน้อยดวงนั้นสามารถสว่างได้สักครึ่งของมันก็คงดี”
หากว่าดาวน้อยที่ไม่สะดุดตาดวงนั้นเป็นตัวแทนของเธอจริงๆ เธอก็หวังว่าจะสามารถอยู่เคียงข้างดาวใหญ่ดวงนี้ได้ ร่วมชมใต้หล้าด้วยกัน ปกป้องปวงประชา มิใช่ทำตัวเป็นฉากประดับเล็กๆ อยู่ด้านหลังมัน…
“ทุกเรื่องล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น ไม่แน่ดาวน้อยดวงนั้นอาจะสว่างไสวกว่าดาวใหญ่ดวงนี้ก็ได้” ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างทีเล่นทีจริง ริมฝีปากจุมพิตปรางแก้มนาง “เจ้าต้องพยายามเข้า!”
ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาเป่ารดริมหูเธอ พวงแก้มกู้ซีจิ่วพลันแดงเรื่อนิดๆ ค่อยๆ เขยิบหนีไปด้านข้าง
ตี้ฝูอีกลับเบียดร่างกึ่งหนึ่งเข้าไปในเก้าอี้เอนหลังตัวนี้ของเธอ “หนีอะไร? กลัวข้าหรือ? หรือว่าขวยอาย?”
กลัวเขา? ขวยอาย?
กู้ซีจิ่วยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง ขยับเข้าใกล้เขาทันที ดวงหน้าพริ้มเพราะอยู่ห่างจากใบหน้าหล่อเหลาของเขาไม่ถึงครึ่งฉื่อ เธอหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง “ท่านคิดว่าข้ากลัวท่านไหมล่ะ?”
ตี้ฝูอีมองใบหน้าของนางที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด อยู่ใกล้ขนาดนี้เขาสามารถมองเห็นไรขนบางๆ บนหน้านางได้ชัดเจน ดวงตาโตที่อ่อนเยาว์มีชีวิตชีวา รูปโฉมของนางดูเย็นชา แต่ยามที่หรี่ตามองคนเนนี้กลับคล้ายจิ้งจอกน้อยที่กระฉับกระเฉงปราดเปรียวตัวหนึ่ง ทำให้เขาต้องการสยบจิ้งจอกน้อยยิ่งนัก
เลือดลมในทรวงเขาปะทุขึ้นมา ทว่าใบหน้ากลับราบเรียบ ส่ายศีรษะนิดๆ ตอบอย่างซื่อตรงนัก “ไม่กลัว ท่าทางเจ้าคล้ายว่าไม่เคยเกรงกลัวข้าเลย”
กู้ซีจิ่วยิ้มอย่างลำพองแวบหนึ่ง นี่ก็ใกล้เคียง!
เธอเตรียมจะเอนหลังกลับไปจุดเดิม ไม่นึกว่าเบื้องหน้าพลันมืดมัวลง ร่างกายเขาแนบชิดลงมา ริมฝีปากจุมพิตลงบนกลีบปากสีชมพูของเธอ “เพียงแต่ข้าอยากเห็นท่าทางตอนเจ้าหน้าร้อนผ่าวใจเต้นแรงมากกว่า…”
หัวใจกู้ซีจิ่วเพิ่งฝืนข่มให้สงบลงกระโดดโลดเต้นขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่หนนี้เธอไม่หลบหนี และไม่ได้หลับตาลงตามสัญชาตญาณ
เขาอยากเห็นท่าทางเขินอายของเธอเธอจะไม่ยอมให้เขาได้เห็น…
เธอเบิกตาสองข้างมองใบหน้าของเขา
คิ้วของเขาเหยียดตรงทว่างดงาม ขนตายาวเป็นแพ งามงอนได้รูปไร้ใดเทียม จมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตาดั่งลงเงา ดำสนิทราวกับสามารถดูดกลืนคนเข้าไปได้
ดวงตาสองคู่สบกันระหว่างจุมพิต
ดวงตาตี้ฝูอีหยีโค้งนิดๆ สาวน้อยช่างแกร้งกล้าเหรือธรรมดาจริงๆ…
เพียงแต่ เขาชมชอบนัก!
ขนตาของเขาสั่นไหวสองครา ราวกับจะปราชัยต่อการจับจ้องของเธอ แล้วหลับตาลงนิดๆ
ความมั่นใจของกู้ซีจิ่วทซีขึ้นมหาศาล ฉวยไหล่เขาไว้แล้วพลิกตัวทันที สลับให้เขาถูกกดอยู่ใต้ร่างแทน หัวใจที่เต้นระรัวอย่างชัดเจนราวกับมิใช่หัวใจของตน ทว่ามุมปากเธอกลับโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มหยอกเย้า “ท่าทางท่านตอนหน้าร้อนผ่าวใจเต้นแรงก็มีเสน่ห์น่ามองมากเช่นกัน”
ใช้นิ้วปัดป่ายริมฝีปากเขาบาๆ ราวกับคุณชายเสเพลก็มิปาน “ริมฝีปากนี้อิ่มเอิบนัก น่ามองอย่างยิ่ง…”
ตี้ฝูอีกึ่งเอนหลังอยู่ตรงนั้น เรือนผมดำขลับแผ่สยายอยู่ใต้ร่างเขาดั่งสายธาร ดวงหน้าเขาสง่างาม มุมปากหักยิ้มมองดูเธอ ยอมให้เธอแทะโลมอย่างว่าง่าย ท่าทางไร้อันตรายอย่างสิ้นเชิง ดุจกระต่ายขาวตัวน้อย
บทที่ 917 คู่สวรรค์สรรสร้าง 2
กู้ซีจิ่วรู้สึกประสบความสำเร็จยิ่งนักในการแทะโลมเขา คนผู้นี้สูงส่งเหนือปวงชนมาโดยตลอด เกรงว่าคงไม่เคยถูกผู้อื่นกดไว้ด้านล่างเช่นนี้กระมัง?
ฮ่าๆ เธอได้กดเขาแล้ว!
หากเธอเป็นผู้ชาย เช่นนั้นยามนี้เธอก็คือเมะบ้าพลัง ส่วนเขาก็คือเคะราชินี…
เสียอย่างเดียวคือเขาสูงเกินไป เทียบกันแล้วเธอกระจ้อยร่อยกว่าเขามาก ต่อให้อยู่ด้านบนเขาก็ไม่มีกำลังยับยั้งมากขนาดนั้น
เธอกึ่งๆ คว่ำอยู่บนร่างเขา แขนข้างหนึ่งค้ำร่างท่อนบนของตนไว้ ส่วนอีกข้างลูบไล้ใบหน้าของเขา ใช้ปลายนิ้ววาดไปตามแนวคิ้วเขา หัวแม่มือแตะเบาๆ ที่สันจมูกเขา ฝ่ามือสัมผัสถึงแพขนตายาวของเขา เครื่องหน้าของคนผู้นี้งดงามเหลือเกิน เมื่อก่อนเธอทำได้เพียงมองอยู่ใกล้ๆ มากสุดก็ได้พิศดูใกล้ๆ แต่ตอนนี้เธอสามารถลูบคลำได้ตามอำเภอใจ…
ความรู้สึกประสบความสำเร็จของกู้ซีจิ่วแทบจะเอ่อล้นออกมา กดเสียงต่ำเอ่ยถามเขา “ที่รัก ความรู้สึกเช่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
ตี้ฝูอีกะพริบตาปริบๆ แสดงท่าทางน่าเอ็นดูยิ่งนัก “เขินอายนัก…”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
เขาเขินบ้าเขินบออะไร? หน้าไม่แดงลมหายใจไม่หอบถี่ ในดวงตาคล้ายมีสายน้ำไหวกระเพื่อมเท่านั้น เหมือนหมาป่าในฤดูผสมพันธุ์ที่แสร้งปลอมเป็นกระต่ายขาวตัวน้อย
มือกู้ซีจิ่วแตะแก้มเขาเบาๆ เลิกคิ้วขึ้นแล้วถามเขา “เขินอาย? ไฉนหน้าไม่เห่อร้อนเล่า?”
ตี้ฝูอีถามเธออย่างใฝ่รู้ยิ่ง “เขินอายต้องหน้าร้อนด้วยหรือ?”
นี่ไร้สาระไปหน่อยไหม? เขินอายต้องหน้าร้อนใครหน้าไหนก็รู้ไม่ใช่หรือ? เธอแทะโลมเขาอยู่นานสองนานเจ้าคนผุ้นี้กลับไม่เขินอายเลย!
ตี้ฝูอีมองเธอ แนะนำด้วยท่าทีจริงใจยิ่ง “หน้าข้าไม่ร้อนเลย ดูเหมือนการแทะโลมของเจ้ายังไม่เพียงพอนะ เห็นทีว่าการแทะโลมระดับนี้จะอ่อนเกินไป มิสู้รุนแรงขึ้นอีกหน่อย?”
รุนแรงขึ้น?
กู้ซีจิ่วเม้มปาก นัยน์ตาสาดแสงแวบหนึ่ง
ดีร้ายอย่างไรชาติก่อนเธอก็เป็นนักฆ่า เพื่อปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงก็ต้องรับมือกับพวกผู้ชายอยู่บ่อยๆ เสน่ห์ล่อลวงยั่วเย้าฝ่ายตรงข้ามคือหลักสูตรบังคับผู้เป็นนักฆ่า
แน่นอนว่าเธอที่เป็นนักฆ่ามาหลายปีสิ่งที่พึ่งพาก็คือทักษะการฆ่าที่โหดเหี้ยมและการซุ่มโจมตีที่เฉียบขาด อย่างมากใช้มารยาหญิงเต้นรำอะไรสักอย่าง ก็สามารถดึงดูดเหล่าเสี่ยพุงพลุ้ยมาวนเวียนอยู่รอบตัวเธอได้แล้ว ไม่เคยต้องใช้แผนยั่วยวนล่อลวงอย่างอื่นเลย แต่ไม่เคยใช้ไม่ได้หมายความว่าเธอทำไม่เป็น
ยามนี้แทะโลมตี้ฝูอีอยู่นานสองนาน ผลคือเจ้าคนผู้นี้หน้าไม่แดงเลยสักนิด กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าความสามารถของตนถูกผู้อื่นหยามหมิ่น ดังนั้นเธอตัดสินใจงัดไม้ตายออกมา…
เธอโน้มร่างลงไป ลมหายใจอุ่นร้อยอ้อยอิ่งอยู่ที่โพรงหูเขา “อยากให้รุนแรงขึ้นหรือ? หืม?” น้ำเสียงเจือความแหบพร่ารางๆ หางเสียวดั่งติดตะขอแล้วเกี่ยวเบาๆ แฝงเสน่ห์ยั่วยวนตามธรรมชาติ
ดวงตาตี้ฝูอีฉ่ำรื้นน้ำ ลมหายใจถี่กระชั้นเล็กน้อย สองแขนเขารองศีรษะอยู่เช่นเดิม พยักหน้านิดๆ “เจ้ามาได้เลย!”
กู้ซีจิ่วยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง รอยยิ้มนั้นเย้ายวนยิ่ง ทำให้ลมหายใจตี้ฝูอีชะงักเล็กน้อย
กู้ซีจิ่วจุมพิตลงบนติ่งหูเขา สัมผัสถึงร่างกายที่หดเกร็งของเขาได้ชัดเจน!
มีทางแล้ว! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะสยบเจ้าไม่ได้! ข้าไม่เชื่อว่าจะทำให้เจ้าหน้าร้อนผ่าวใจเต้นแรงอย่างแท้จริงไม่ได้เลยสักครั้ง!
กู้ซีจิ่วรุกคืบเข้าไปอีก ลมหายใจหอมสดชื่นปานดอกกล้วยไม้เป่ารดริมหูเขา “ข้าจะทำให้เจ้ารู้ถึงความร้ายกาจ!” จุมพิตที่แผ่เบาราวกับผีเสื้อสยายปีกไล่จากติ่งหู หลังหู ไปถึงปลายคางเขา จนถึงลูกกระเดือกเขา ประทับตรงนั้นซ้ำๆ หลายครา เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่าลูกกระเดือกเขาเคลื่อนไหวขึ้นๆ ลงๆ หลายครั้ง ร่างกายเขาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา…
เธอกึ่งๆ นอนคร่อมอยู่บนตัวเขา จึงรับรู้ได้ว่าจังหวะหัวใจที่อยู่ภายในทรวงอกเขาดวงนั้นทรงพลังยิ่ง ถี่รัวขึ้นเรื่อยๆ เยี่ยมมาก เขาใจเต้นแรงแล้ว งั้นก็เหลือแค่หน้าเห่อร้อน…
เธอผละจากลูกกระเดือกเขาเคลื่อนต่ำลงด้านข้าง จุมพิตกระดูกไหปลาร้าเขา…
————————————————————————————-
บทที่ 918 คู่สวรรค์สรรสร้าง 3
เธอรับรู้ว่าร่างกายเขาที่ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ ผ่านเสื้อคลุมตัวหลวมของเขา…
เนื่องจากจิตใจกู้ซีจิ่วมุ่งหมายแต่จะทำให้เขาหน้าร้อนผ่าวใจเต้นแรงขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่ได้ใคร่ครวญถึงเรื่องอื่นชั่วคราว เอาจริงเอาจังเสมือนที่กระทำเองราวต่างๆ เมื่อเธอรู้สึกพอสมควรแล้ว จึงเงยห้าขึ้นมานิดๆ ใช้พวงแก้มของตนถูไถใบหน้าเขา รู้สึกปรีดาเมื่อพบว่าใบหน้าเขาร้อนกว่าตน…
เธอเชิดหน้าขึ้นดั่งผู้มีชัย “ท่านหน้าร้อนผ่านใจเต้นแรงแล้ว…” ทว่าวินาทีที่มองเห็นแววตาเขาก็หยุดชะงักลง!
แววตาเขาราบเรียบดั่งมหาสมุทรยามราตรี ทว่าด้านในกลับมีคลื่นใต้น้ำที่โหมเชี่ยว “เด็กน้อย ตาข้าแล้ว!”
สองแขนพลันออกแรง กดร่างเธอลงให้แนบชิดสนิทแน่นกับเขา…
ด้วยเหตุนี้ ทั้งร่างกู้ซีจิ่วจึงถูกยึดไว้ในอ้อมอกเขา อุณหภูมิในร่างเขาสูงมาก โอบล้อมเธออย่างสมบูรณ์ จากนั้นเขาก็พลิกตัวอีกครั้ง กู้ซีจิ่วพลิกหมุนรอบหนึ่ง ตัวคนถูกเขากดไว้ใต้ร่าง…
เลยเถิดไปใหญ่แล้ว!
หน้ากู้ซีจิ่วร้อนวาบ คิดดิ้นรนตามสัญชาตญาณ ทว่าริมฝีปากเขากลับทาบทับลงมาแล้ว
ริมฝีปากเขาไม่ได้ทาบลงบนปากเธอ แต่ทาบลงบนติ่งหูเธอก่อน เหมือนตอนที่เธอจุมพิตเขาก่อนหน้านี้ อมติ่งหูเธอไว้แล้วแทะเล็มเบาๆ…
นั่นคือจุดอ่อนไหวของเธอ สมองกู้ซีจิ่วเกิดเสียงดังตูม ขาวโพลนไปครู่หนึ่ง จุดที่แนบชิดกับริมฝีปากเขาไวต่อสัมผัสอย่างน่าประหลาด รู้สึกร้อนวูบวาบราวกับมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านร่าง…
“ไม่…” เธอคิดจะผลักเขาออก แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับคล้ายเสียงคราง เธอกัดริมฝีปากไว้ทันที หน้าร้อนลวกเหมือนไข่ต้มสุก
ริมฝีปากยังคงไล่ต่ำลงไปอีก จุมพิตปรางแก้มเธอ ปลายคาง ลำคอ กระดูกไหปลาร้า…
จุมพิตนั้นแผ่วเบาดุจผีเสื้อแบบเดียวกับเธอเมื่อครู่นี้ ราวกับห่อหุ้มพายุไว้ แต่ก็ดูอ่อนโยนสง่างามดั่งตัวเขา ทว่าเนื้อในกลับแข็งกร้าวหญิงผยอง ไล่ต้อนเธอให้ปราชัยไปทีละขั้นๆ ไม่อาจครุ่นคิดหาหนทางต่อไปได้…
อุณหภูมิรอบข้างพุ่งสูงขึ้นอ่างรวดเร็ว ในสมองกู้ซีจิ่วสับสนวุ่นวาย ทว่าสัมผัสถึงลมหายใจของเขาได้ชัดเจน ตัวเขาร้อนระอุ ลมหายใจเขาสับสนวุ่นวายเหมือเธอ
สถานที่แห่งนี้คือวังบาดาลที่เขาสร้าง ไม่มีคนอื่นอยู่ มีเพียงเขาและเธอ
จันทราบนฟากฟ้าทั้งใหญ่ทั้งกลม ดวงดาราส่องสกาว เมฆขาวพลิ้วลอยบนนภา ดั่งม่านไหมที่เริงรำบนฟากฟ้า
บุปผาผลิบานรอบกายคนทั้งสอง กลิ่นหอมรวยรินล่องลอยไปตามสายลม…
คืนเดือนเพ็ญเช่นนี้ ในวังบาดาลแห่งนี้ เขาและเธอสามารถทำตามความปรารถนาที่แท้จริงได้ ไม่ต้องเกรงว่าจะถูกผู้ใดพบเห็นและซุบซิบนินทา…
เธอชอบเขา ไม่ทราบว่านำหัวใจไปผูกไว้บนร่างเขาตั้งแต่ตอนไหน ไม่เข้าใจตัวเองมาโดยตลอด และอาจเป็นเพราะเนื้อในไม่อาจแบกรับความเสี่ยงได้จึงไม่กล้าให้ตัวเองเข้าใจ เมื่อเธอรู้ตัวอีกทีเธอก็ไม่อาจหักใจจากเขาได้แล้ว เริ่มถลำลึกลงไปแล้ว ไม่อาจถอนเท้าออกได้อีก…
แนบชิดกับเขาหนึ่งวันก็ยิ่งถลำลึกลงไปอีกหนึ่งก้าว เธอเคยเกลียดความรู้สึกถลำลึกเช่นนี้ยิ่งนัก เนื่องจากความรู้สึกนี้ควบคุมไม่ได้ ทำให้เธอค่อนข้างกลัว ดังนั้นเธอจึงเคยหลีกหนี เคยทำให้ตัวเองปล่อยมือ
แต่เธอปล่อยไม่ได้ ยิ่งหลีกลี้ก็ยิ่งถลำลึก ยิ่งหลีกลี้ก็ยิ่งคะนึงหาเขา…
จวบจนวันนี้ จวบจนยามนี้
เธอย่อมทราบดีว่าถ้าปล่อยตัวปล่อยไปในยามนี้จะเกิดอะไรขึ้น เธอถึงขั้นสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของร่างกายเขาได้ สัมผัสถึงความแข็งขืนและร้อนผ่าวอย่างแท้จริงของเขา จิตใจเธอก็รุ่มร้อนยิ่งนัก ว่างเปล่ายิ่งนักเช่นกัน เลือดลมในร่างพลุ่งพล่าน คลุ่มคลั่งด้วยความปรารถนา ปรารถนาจะเป็นหนึ่งเดียวกับเขา…
ในสมองเธอว่างเปล่า สติปัญญาที่เคยคิดคำนวณอย่างปราดเปรื่องหยุดทานอย่างสิ้นเชิง เหลือเพียงสัญชาตญาณที่แผดเผากาย…
บทที่ 919 คู่สวรรค์สรรสร้าง 4
สาบเสื้อของเธอไม่รู้ว่าถูกปลดออกตั้งแต่ยามใด ผิวที่ต้องโลมนิดๆ เพิ่งได้สัมผัสถึงความเย็น ก็ถูกเขาเขาพรมจูบ เมื่อเขาจุมพิตลงบนจุดหนึ่งด้านล่างไหปลาร้า ทั้งร่างเธอพลันแข็งทื่อ สมองแจ่มใสขึ้นมาครู่หนึ่ง เริ่มผลักเขาออกอย่างทนไม่ได้ “…อย่านะ…ข…ข้ายังเล็กเกินไป…”
น้ำเสียงสั่นเครือแหบพร่า ถึงขั้นแฝงความอ่อนระทวยไว้ ไม่เหมือนการปฏิเสธ แต่เหมือนขัดขืนพอเป็นพิธี
บางทีในใจเธอ แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนอยากให้เขาหยุด หรืออยากให้เขาไปต่อ…
ทันใดนั้นท้องน้อยลพันปวดแปลบ สัมผัสได้เพียงว่ามีของเหลวอุ่นร้อนสายหนึ่งทะลักออกมาจากจุดสงวน…
และเขาก็ดูเหมือจะสัมผัสได้เช่นกัน นิ้วแตะลงบนกางเกงเธอ ยามที่ยกขึ้นมาอีกครั้ง บนนิ้วก็เปื้อนสีแดงฉาน การเคลื่อนไหวของเขาหยดชะงัก “ระดูครั้งแรกหรือ?”
ใบหน้ากู้ซีจิ่วแดงเถือก ความคิดหวามไหวทั้งหมดอันตรธานหายไปในวินาทีนี้ รีบผลักเขาลไปจากร่างตนทันที
กระโดดผลุงขึ้นมา แต่เนื่องจากแข้งขาอ่อนแรงอยู่บ้าง พอแตะพื้นก็ส่ายโงนเงน ตี้ฝูอียื่นแขนมาประคองเธอ “อย่ากังวลไป”
จะไม่กังวลได้อย่างไร?
เวรเอ้ยเธอไม่ได้พกสิ่งของจำพวกผ้าซับระดูมาเลย!
แถมประจำเดือนครั้งแรกของเธอก็ไหลบ่ารุนแรง พอมาก็ทำให้กางเกงเธอชุ่มโชกทันที แม้แต่กระโปรงชั้นนอกสีขาวที่พลิ้วไหวยิ่งนักก็เปื้อนไปไม่น้อย!
ตี้ฝูอีมองดวงหน้าน้อยๆ ที่แดงก่ำของนาง ท่าทางราวกับปรารถนาจะหาบางสิ่งมาอุดไว้ยิ่งนัก อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “อย่ากลัวเลย ต้องการสิ่งใด? ข้ามี”
….
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้เอนหลังอุ่นๆ ตัวนั้น เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งนอกและในแล้ว หนนี้สวมชุดกระโปรงสีม่วง อาภรณ์พลิ้วไหว เข้าคู่กับชุดนั้นของตี้ฝูอียิ่ง เหมือนชุดคู่รักมาก
กระโปรงชุดนี้ตี้ฝูอีเป็นผู้อนุเคราะห์ให้ สวมได้พอดีตัวเธอเหมือนเคย ราวกับตัดขึ้นโดยเฉพาะ
เธอนั่งอยู่ตรงนั้น มองตี้ฝูอีอย่างคลางแคลง “นึกไม่ถึงว่าแม้แต่สิ่งนั้นท่านก็พกไว้ด้วย…”
ในมิติเก็บของของคนผู้นี้มีสิ่งที่คล้ายกับผ้าอนามัยอยู่ด้วย! จึงคลี่คลายสถานการณ์ฉุกเฉินของเธอได้
คงเป็นระยะนี้ยามที่ฝึกวรยุทธ์ได้รับความเย็นอยู่บ้าง ประจำเดือนครั้งแรกขอเธอนอกจากจะไหลบ่างอย่างรุนแรง ยังทำให้ท้องของเธอปวดไปหมดด้วย
“ดูเจ้าสิสายตาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? สิ่งนี้ข้าก็เตรียมไว้ให้เจ้านั่นแหละ”
ตี้ฝูอีนั่งข้างกายเธอ อธิบายไปพลาง ใช้มือกดบนท้องเธอไปพลาง ฝ่ามือมีกระแสความอบอุ่นถ่ายทอดเข้าสู่ท้องน้อยเธอ ทำให้ความเจ็บปวดของเธอบรรเทาลงไม่น้อย
“ต…เตรียมไว้ให้ข้า…” กู้ซีจิ่วแทบจะกัดโดนลิ้นตัวเอง “มิใช่กระมัง? ท่านรู้ได้ยังไงว่าสิ่งนี้ของข้าจะมายามไหน?”
ประจำเดือนครั้งแรกเป็นสิ่งที่มาอย่างกะทันหันนัก แม้แต่ตัวเธอก็ไม่ได้เตรียมการไว้
ปกติแล้วกู้ซีจิ่วเป็นคนที่รอบคอบมากคนหนึ่ง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ชอบตระเตรียมไว้ล่วงหน้า ชาติก่อนเวลาที่ประจำเดือนมาล้วนรู้สึกตัวล่วงหน้าหนึ่งวัน ดังนั้นเธอจึงสามารถตระเตรียมข้าวของเหล่านั้นอย่างสะดวก
นึกไม่ถึงว่าประจำเดือนครั้งแรกของร่างในชาตินี้จะมาตอนกลางคืน แถมมาอย่างปุบปับ สัญญาณเตือนล่วงหน้าอันใดก็ไม่มีเลย!
ทำให้เธอต้องขายหน้า…
แม้แต่ตัวเธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมาตอนไหน แล้วเขารู้ได้ยังไง?
ตี้ฝูอีจุมพิตดวงตาที่เบิกกว้างของเธอคราหนึ่ง เอ่ยยิ้มๆ “เจ้าอย่าลืมสิ ข้าเคยอยู่ในร่างเจ้ากว่าครึ่งเดือนเชียวนะ ย่อมเข้าใจร่างนี้ของเจ้าดี”
ถือครองร่างของเธอแค่กว่าครึ่งเดือนก็สามารถคำนวณวันที่ประจำเธอจะมาได้เลยหรือ?!
“ท่านคำนวณไว้หรือว่าประจำเดือนข้าจะมาวันนี้?” กู้ซิ่วใคร่รู้
“ไม่ได้แม่นยำถึงเพียงนั้น แค่สัมผัสได้ว่าสมควรเป็นภายในสองเดือนนี้”
————————————————————————————-
บทที่ 920 คู่สวรรค์สรรสร้าง 5
“ไม่ได้แม่นยำถึงเพียงนั้น แค่สัมผัสได้ว่าสมควรเป็นภายในสองเดือนนี้” ตี้ฝูอีตอบ “ข้าเกรงว่าจะมาตอนที่ข้ายังอยู่ในร่าง ดังนั้นจึงเตรียมสิ่งนี้ไว้โดยเฉพาะ…”
คนผู้นี้ช่างรอบคอบจนน่ากลัวจริงๆ!
กู้ซีจิ่วนับถือเขาเลย!
จากนั้นก็จินตนาการถึงท่าทางของตี้ฝูอีตอนที่ประจำเดือนมา รู้สึกสลดใจทันที!
“มันมาไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย อันที่จริงข้าอยากเห็นท่าทางท่านตอนที่สิ่งนี้มามาก ฮ่าๆๆ”
มุมปากตี้ฝูอีหยักเป็นรอยยิ้ม ขยับเข้าใกล้เธอ “เจ้าอยากให้สิ่งนี้มาในช่วงนั้นที่ข้าอยู่จริงๆ น่ะหรือ? ไม่เกรงว่าข้าจะสัมผัสเจ้าอย่างสมบูรณ์หรือ?”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก…
เธอผลักใบหน้าหล่อเหลาของเขาไปข้างๆ ไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้ขนาดนั้นอีก
เมื่อเทียบกันแล้วเจ้าคนผู้นี้หน้าหนาเหลือเกิน ดูเหมือนเธอจะสู้เขาไม่ได้!
ในใจเธอค่อนข้างสำนึกบุญคุณประจำเดือนนี้ของตนที่มาได้ถูกเวลาอยู่บ้าง มิเช่นนั้นเกรงว่าวันนี้คงถูกเจ้าคนผู้นี้กินจนไม่เหลือซากแล้ว!
เพลิงสวาทเร่าร้อนก่อนหน้านี้ไหวกระเพื่อมอยู่ในทรวงอกเธอ ใบหน้าเธอเห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้ง ค่อยๆ เอนตัวไปด้านหลัง เธอรู้สึกว่ายิ่งใกล้ชิดกับเจ้าคนผู้นี้เท่าไหร่ สมองเธอก็ขัดข้องได้ง่ายขึ้นเท่านั้น สติสัมปชัญญะขาดผึงลงอย่างง่ายดายยิ่งขึ้น…
ตี้ฝูอีผู้นี้ไม่ว่ากระทำการใดล้วนปรารถนาความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นผ้าอนามัยที่เขาเตรียมไว้จึงอ่อนนุ่มพอเหมาะเป็นพิเศษ ราวกับแปะก้อนเมฆไว้ตรงนั้น ไม่เลื่อนไม่หลุดเลยสักนิด ยอดเยี่ยมกว่าสิ่งที่เธอเตรียมไว้ล่วงหน้าก่อนหน้านี้หลายเท่า ทำให้เธอวางใจได้ในที่สุด
ตี้ฝูอีไม่มีจิตสำนึกยิ่งนัก ยิ่งกู้ซีจิ่วออกห่างเขา เขายิ่งเขยิบเข้าใกล้เธอ ถามหัวข้อที่ทำให้พวงแก้มของกู้ซีจิ่วแดงก่ำ “เมื่อกี้เจ้าบอกว่าตอนยังเล็กอยู่…สิ่งใดเล็กหรือ?”
คนผู้นี้ไร้ขีดจำกัดล่างเกินไปแล้ว!
คำถามที่ถามออกมานี้ไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว!
กู้ซีจิ่วที่แก้มแดงก่ำเหลือบมองเขาอย่างเหยียดหยามแวบหนึ่ง จากนั้นก็เขยิบไปด้านข้างเงียบๆ อีกครั้ง
“ท่านคิดไปถึงไหนกัน?” กู้ซีจิ่วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าจะบอกว่าอายุข้ายังน้อยเกินไป เพิ่งสิบห้าปี ในยุคสมัยของพวกข้าถือว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะ…”
ตี้ฝูอียกมือข้างหนึ่งค้ำศีรษะไว้ มองเธอจากมุมสูง นิ้วมืออีกข้างหมุนเส้นผมเธอเล่นเบาๆ “ยุคนนั้นของเจ้าอายุเท่าไหร่จถึงนับว่าเป็นผู้ใหญ่”
“สิบแปดปี”
“อ่อ เช่นนั้นความหมายของเจ้าคืออายุสิบแปดถึงจะแต่งงานกับข้าได้สินะ?”
“ใช่แล้ว…” กู้ซีจิ่วหลุดปากตอบไปตามสัญชาตญาณ ถึงได้ทราบว่าตนติดกับเขาแล้ว “เรื่องนั้น…ข้า…”
“อืม เจ้าไม่จำเป็นต้องอิบาย ข้าเข้าใจ” สีหน้าตี้ฝูอีแสดงออกว่า ‘ข้าเข้าใจดียิ่ง’ “เอาเถอะ เอาตามที่เจ้าว่า สามปี
เท่านั้น ข้ารอได้ รอเจ้าอายุสิบแปดข้าค่อยแต่งเจ้าเป็นภรรยา ไม่อนุญาตให้เสียใจภายหลังแล้ว!”
กู้ซีจิ่วพูดอะไรไม่ออก
เรื่องนั้น…นี่ถือว่าเธอทำให้คำขอแต่งงานของเขาประสบความสำเร็จไปแล้วสินะ?
กู้ซีจิ่วรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง กระแอมคราหนึ่ง “ข้าพูดว่า ถ้าข้าอายุสิบแปดปีถึงจะนับว่าเป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้บอกว่าจะออกเรือนยามนั้น…”
นิ้วหนึ่งของตี้ฝูอีแตะริมฝีปากเธอ ยิ้มละไมแล้วเอ่ยว่า “ความหมายของเจ้าคือยามนี้ก็ออกเรือนได้ช่ไหม? ข้าไม่ต้องรอแล้วสินะ?”
กู้ซีจิ่วตาโต คิดจะโต้แย้งเขาต่อ พออ้าปากออกนิ้วเขาก็แทรกเข้ามาในปากเธอ เธอกัดนิ้วนั้นของเขาเบาๆ อย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้
นัยน์ตาเขาฉายแววลุ่มลึกแวบหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาเข้าใกล้เธอยิ่งขึ้น ดวงตาเขาหยีโค้งนิดๆ กลายเป็นองศาที่อันตราย เสียงพร่าเล็กน้อย “นี่เจ้าเชิญชวนข้าอยู่หรือ?”
เชิญชวนกับหัวเจ้าสิ!
กู้ซีจิ่วรีบใช้ปลายลิ้นดันมือเขาออก คิดเปิดปากเอ่ย ทว่านิ้วมือเขากลับกดลงบนริมฝีปากเธออีกครั้ง เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “ซีจิ่ว ข้ารู้ว่าจ้าก็ร้อนใจ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ ในหลายวันนี้สตรีไม่อาจมีสัมพันธ์ชิดเชื้อได้…”
บทที่ 921 คู่สวรรค์สรรสร้าง 6
กู้ซีจิ่วอยากซัดเขาจริงๆ!
เธอยกมือขึ้นแล้วดันมือเขา “ข้าไม่ได้…”
“ซีจิ่ว จะรออีกสองสามวัน ใหข้าดำเนินการไปสู่ขอเจ้า หรือจะรออีกสามปี เจ้าจะเลือกอีกสองสามวันหรือว่าอีกสามปีล่ะ?” เขามองเธอด้วยสายตาแวววาว
กู้ซีจิวถูกเขาเล่นงานเข้าแล้ว!
สุดท้ายจึงเอ่ยออกมาประโยคเดียว “อีกสามปีเถอะ”
ถึงแม้วิธีขอแต่งงานของเขาจะค่อนข้างประหลาด แต่อย่างไรเสียทั้งสองก็รักกันอยู่แล้ว นับตั้งแต่กู้ซีจิ่วเข้าใจความรู้สึกของตนและยืนยันความรู้สึกของเขาได้ ก็ตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะออกเรือนกับเขา และเป็นครั้งแรกที่เธอมีความคิดว่าอยากแต่งงานอยู่ร่วมกับคนผู้หนึ่งตลอดไปไม่พรากจาก
ยุคนี้การหาคนที่รักกันด้วยใจจริงไม่ใช่เรื่องง่าย ยากนักที่จะหาพบสักคนย่อมสมควรผูกสัมพันธ์กลายเป็นคู่ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร
กู้ซีจิ่วไม่ใช่คนเขินอายกระบิดกระบวน และปฏิบัติต่อความรู้สึกของตนอย่างตรงไปตรงมายิ่งนัก ไม่คิดจะทำให้ผู้อื่นและตนเองต้องคับข้องหมองใจ ดังนั้นท้ายที่สุดจึงยังคงตอบตกลง
เอ่ยคำมั่น สัตย์สาบาน
ตี้ฝูอีทาบนิ้วทั้งสิบกับนิ้วเธอ หัวแม่มือเขาทาบกับหัวแม่มือเธอ มองเธอด้วยรอยยิ้ม “เมื่อตอบตกลงแล้วไม่อนุญาตให้เสียใจภายหลัง! การสมรสครั้งนี้ถือว่าตกลงแล้ว!”
พอเขาเอ่ยจบ ข้อมือเขาพลันมีแสงสีทองวาบขึ้นมา เคลื่อนไปที่ข้อมือเธอผ่านมือของทั้งสองที่ประสานกันอยู่ เกิดเสียงดัง เกิดเสียงดังปัง กำไลข้อมือสีทองวงหนึ่งปรากฏขึ้นบนข้อมือกู้ซีจิ่ว คล้ายทองทว่ามิใช่ทอง คล้ายหยกทว่ามิเชิงหยก
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน ก้มหน้ามองกำไลบนข้อมือ “นี่คืออะไร?”
“กำไลคู่บุพเพ” ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ “และเป็นหลักฐานการหมั้นหมายของเจ้ากับข้าด้วย งดงามใช่ไหม?”
เป็นครั้งแรกที่กู้ซีจิ่วได้ยินเรื่องราวของกำไลชนิดนี้ กำไลนี้ประหลาดนัก สวมไว้บนข้อมือให้ความรู้สึกเหมือนหยดน้ำ ทว่ารูปร่างกลับเหมือนพญาหงส์ขดเป็นวง พญาหงส์ตัวนั้นดูสมจริงยิ่งนัก หงอนหงส์และปีกหงส์ล้วนโดดเด่นราวมีชีวิต ดวงตาของพญาหงส์ปิดอยู่ เสมือนว่าขอเพียงมันลืมตาขึ้นมาก็สามารถกลายเป็นพญาหงส์ที่แท้จริงแล้วโผบินไปจากข้อมือเธอ
วินาทีที่กำไลหงส์ตัวนั้นปรากฏขึ้นบนข้อมือเธอ บนข้อมือเขาก็ปรากฏกำไลมังกรสีเดียวกันขึ้นมา กำไลทั้งสองวงมองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นกำไลคู่รักที่ทำจากวัสดุชนิดเดียวกัน
ตอนนี้เธอกับเข้าไม่เพียงแต่สวมชุดคู่รักเท่านั้น แม้แต่เครื่องประดับก็ไม่ต่างกัน
กู้ซีจิ่วค่อนข้างสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับกำไลวงนี้ คิดจะถอดมันออกมาดูอย่างละเอียด นึกไม่ถึงว่ากำไลที่เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าหลวมคลายใส่สบายยิ่งนักวงนี้กลับถอดไม่ออก
เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้น?
กู้ซีจิ่วยกมือขึ้นหมายจะดูอีกครั้ง ทว่าถูกตี้ฝูอีจับไว้ “นี่คือกำไลคู่บุพเพ เป็นกำไลที่ถอดไม่ได้ เจ้าถูกกำหนดให้เป็นภรรยาของข้าแล้ว”
มุมปากกู้ซีจิ่วกระตุกแวบหนึ่ง เจ้าคนผู้นี้ตีงูที่พันกิ่งเก่งเหลือเกิน! พูดจาแค่ไม่กี่ประโยคก็ทำให้เธอติดกับโดยสมบูรณ์แล้ว!
เธอมองกำไลวงนั้น
ดูเหมือนเธอจะมีวาสนาด้านกำไลยิ่งนัก ตอนนี้บนข้อมือซ้ายสวมหยกนภาไวเ เจ้านั่นยังคงหลับใหลอยู่ ยังอยู่ในรูปลักษณ์ที่ปลอมแปลงไว้จะถอดก็ถอดไม่ออก
บัดนี้บนข้อมือขวาก็สวมกำไลคู่บุพเพไว้อีก…
บนข้อมือทั้งสองข้างหนึ่งสวมกำไลดำข้างหนึ่งสวมกำไลทองดูไม่สมมาตรเท่าไหร่
หรือเธอควรรอให้หยกนภาตื่นแล้วให้มันเปลี่ยนสีสันซะ ดีที่สุดคือเป็นแบบเดียวกับกำไลบุพเพ ล้วนเป็นสีทองอ่อนจาง…
แบบนั้นคงดูเหมือนกุญแจมือทองคำกระมัง?!
คล้ายว่าจะไม่น่ามองเลย ช่างเถอะ! ไม่สมมาตรก็ไม่สมมาตรสิ ดีกว่าทำให้ผู้อื่นคิดว่าสวมกุญแจมือทองคำ
กู้ซีจิ่วปลอบใจตัวเอง ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามประโยคหนึ่ง “กำไลนี้จะอยู่กับข้าไปชั่วชีวิตหรือ?”
นัยน์ตาตี้ฝูอีมีประกายมืดสลัวพาดผ่านแวบหนึ่ง ทว่าตอบยิ้มว่า “จะติดตามไปจนกว่าวาสนาของข้ากับเจ้าจะสิ้นสุดลง”
กู้ซีจิ่วใจหายนิดๆ เลิกคิ้วมองเขา “วาสนาสิ้นสุดลง? พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าหากข้าถอนหมั้นกับท่านกำไลนี้จะหลุดออกไปเองใช่ไหม?”
เธอรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง เป็นเขาที่คิดสารพัดวิธีเพื่อหมั้นหมายกับเธอ หรือการถอนหมั้นก็เป็นหน้าที่ตัดสินใจของเขาโดยสมบูรณ์?
————————————————————————————-
บทที่ 922 อาณาเขตของข้าเจ้าตัดสินใจเองได้เลย
เธอไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจสักนิดเลยหรือ?
“ข้าไม่มีทางถอนหมั้นกับเจ้า” ตี้ฝูอีตบมือเธอเบาๆ “ไม่ง่ายกว่าข้าจะหลงรักใครสักคน…กำไลนี้จะอยู่หรือไปข้าไม่ใช่ผู้ตัดสินใจ เว้นแต่สวรรค์จะเห็นว่าวาสนาของพวกเราถึงจุดสิ้นสุดแล้วกำไลนี้ถึงจะหายไปเอง…”
เขาแย้มยิ้มอีกครา “เด็กน้อย พวกเราเพิ่งหมั้นหมายกันสำเร็จ จะคุยเรื่องถอนหมั้นคงไม่ดีกระมัง?”
กู้ซีจิ่วไม่เก็บคำว่า ‘วาสนาสิ้นสุด’ ของเขามาใส่ใจ บนโลกนี้ไม่ว่าจะวาสนาใดล้วนต้องมีสักวันที่สิ้นสุดลง จะเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กันปานใดก็ฝืนการกลั่นเกลาของกาลเวลาไม่พ้น ความรู้สึกจะล้ำลึกเพียงใดก็ต้องจืดจางลงสักวัน วาสนาจะเกิดจะสิ้นเดิมทีก็ถูกกำหนดไว้แล้ว สามีภรรยาทั่วไปยังมีช่วงอาถรรพ์เจ็ดปีเลย ใครเล่าจะรับประกันได้ว่าคนผู้หนึ่งจะรักใครอีกคนไปชั่วชีวิตได้จริงๆ?
ขอเพียงในวันที่วาสนาที่มาเยือนจงคว้าเอาไว้ให้มั่นก็พอแล้ว
ขอเพียงเธอได้รู้ว่าทั้งสองฝ่าต่างมีความสุขในช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันก็พอแล้ว เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องคิดให้มากความเกินไป
กู้ซีจิ่วก็พบเห็นเรื่องรักๆ เลิกๆ มาจนชินแล้ว ดังนั้นสายตาเธอจึงเปิดกว้างยิ่งนัก
เธอมองกำไลบนข้อมือครู่หนึ่ง ถามออกมาว่า “กำไลนี้ยังมีความสามารถอื่นอีกหรือไม่?”
“มี” ตี้ฝูอีตอบ “คนทั้งสองที่สวมสิ่งนี้ไว้ สามารถรับรู้อันตรายและตำแหน่งของกันและกันได้ หากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง อีกฝ่ายก็สามารถรับรู้ได้ทันที ไปช่วยเหลือได้ทันกาล”
มีข้อดีเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?! มีประโยชน์จริงๆ!
ดวงตากู้ซีจิ่วหยีโค้ง ตี้ฝูอีผู้นี้แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น เขาไม่มีทางประสบภยันอันตรายอยู่แล้ว ภายหน้าผู้ที่เป็นไปได้ว่าจะเผชิญอันตรายย่อมเป็นตน นี่เขาเสริมเกราะคุ้มภัยให้เธออีกชั้นกระมัง?
ทั้งสองพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง ในที่สุดอาการปวดท้องของกู้ซีจิ่วก็สลายไป เธอลุกขึ้นยืนแล้วขยับมือเท้าดูเล็กน้อย “ข้าอยากชมวังบาดาลแห่งนี้ให้ทั่วๆ หน่อย”
ตี้ฝูอีโบกมือคราหนึ่ง “เชิญตามสบาย จะเยี่ยมชมอย่างไรก็ได้”
“ไม่มีเขตหวงห้ามหรือ?”
“อาณาเขตของข้าเจ้าตัดสินใจเองได้เลย เดินได้ตามสบาย”
วังบาดาลใต้มหาสมุทรลึกเช่นนี้มิใช่สถานที่ที่สามารถชมดูได้ตลอด กู้ซีจิ่วจึงหวงแหนโอกาสครั้งนี้ยิ่งนัก ไปชมดูด้วยตัวเองจริงๆ
ตี้ฝูอีเห็นแผ่นหลังนางเลือนหายในที่ไกลๆ จึงหลับตาลงแล้วเริ่มทำสมาธิ
ช่วงนี้เขาสิ้นเปลืองพลังวิญญาณยิ่งนัก จำเป็นต้องกักตนฟื้นฟูเป็นการด่วน แต่เขาอยากข้ามเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้เป็นเพื่อนนาง ดังนั้นจึงไม่ปิดด่านกักตนมาโดยตลอด เพียงใช้ช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้นั่งสมาธิฟื้นฟู
วังบาดาลแห่งนี้ใหญ่โตอย่างยิ่ง ตี้ฝูอีคาดว่านางคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วยาวถึงจะวนทั่ว
ดังนั้นเขาจะนั่งสมาธิตลอดสามชั่วยามนี้
พลังวิญญาณของที่นี่เข้มข้นนัก เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับทำสมาธิฟื้นฟู และเป็นสถานที่ที่เขาเคยใช้กักตนฝึกฝน
ในอดีตที่นี่มีเขาอยู่โดดเดี่ยวลำพัง ยามนี้กลับมีนางเพิ่มเข้ามาอีกคน
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเพิ่มขึ้นแค่คนเดียว ทว่าวังบาดาลที่หนาวเหน็บหาใดเทียมหลังนี้กลับเสมือนมีผู้คนเพิ่มขึ้นมากมาย ความมีชีวิตชีวาอบอวลไปทั่วตำหนัก
สถานที่แห่งนี้ต่อให้งดงามสักแค่ไหนหากไม่มีกลิ่นอายมนุษย์ก็เป็นเพียงสุสานไร้ชีวิตชีวา ดังนั้นหลายปีมานี้หากไม่มีเหตุสุดวิสัยก็จะไม่มากักตนที่นี่ ต่อให้กักตนอยู่ที่นี่ก็จะจากไปทันทีที่ออกจาการกักตน ไม่รั้งอยู่ต่อแม้แต่วันเดียว
แต่ตอนนี้เขากลับไม่อยากที่นี่ไปอยู่บ้าง จู่ๆ ก็ค้นพบว่าทิวทัศน์ของที่นี่งดงามยิ่งนัก
ถึงเขาจะเข้าสมาธิอยู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรในใจก็ยังคงห่วงหานาง ต่อให้หลับตาอยู่ก็ให้ความสนใจต่อการกลับมาของนาง เตรียมเสร็จสิ้นทันทีที่นางกลับมา
เป็นอย่างที่เขาคาดเดาไว้ จวบจนเขาโคจรลมปราณทั้งหมดครบหนึ่งรอบเมื่อลืมตาขึ้นมาก็ยังไม่เห็นนางกลับมา ในสวนดอกไม้ที่กว้างใหญ่มีเพียงตัวเขาผู้เดียว
เขาคำนวณเวลาดู ผ่านไปประมาณสามชั่วยามแล้ว เหตุใดนางยังไม่กลับมาอีก? ไปเพลิดเพลินจนลืมกลับอยู่ที่ใดกัน?
————————————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น