หมอดูยอดอัจฉริยะ 914-919
ตอนที่ 914 แอบแฝงเจตนาร้าย
“คัมภีร์เป็นตายเหรอ? ชื่อดีนี่!”
หลังจากได้ยินชื่อจากปากโจวเซี่ยวเทียนแล้ว เยี่ยเทียนก็ตะลึงไปก่อนชั่วครู่ แล้วจึงว่าต่ออย่างครุ่นคิด
“ถ้าหากอักษรตายสามารถข่มขู่ให้หวาดกลัวได้จริง งั้นก็คงจะเหมือนกับคัมภีร์เป็นตายในมือของยมบาลในรูปภาพ ที่สามารถกำหนดการเกิดการตายของคนได้สินะ?”
“ท่านอาจารย์ ยังไง…เราลองกันดูหน่อยไหมครับ?”
โจวเซี่ยวเทียนคันยุบยิบในใจจนยากจะทน เขียนลงไปชื่อหนึ่งทำให้คนเป็น หากเขียนลงไปอีกชื่อจะทำให้คนตาย คนที่ครอบครองบันทึกเล่มนี้ จะไม่กลายเป็นราชายมโลกในพริบตาหรือ?
“ลองยังไงล่ะ? ให้ฉันเขียนชื่อแกไว้บนด้านหลังเหรอ?”
เยี่ยเทียนจ้องโจวเซี่ยวเทียนอย่างไม่สบอารมณ์ อักษรเป็นนั้นใช้ปราณแท้จากภายในร่างเขาไปเกือบครึ่ง อักษรตายยิ่งไม่รู้ว่าจะสูบปราณแท้ของเขาไปอีกสักเท่าไหร่ แถมเรื่องความเป็นความตาย เยี่ยเทียนยิ่งก็ไม่กล้าลองสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นกัน
“งั้นก็ช่างมันเถอะครับ อักษรตายนี่ราวกับสามารถสูบวิญญาณคนได้ แค่ดูผมก็กลัวแล้วล่ะ”
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าอาจารย์พูดเล่น แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ยังตกใจถอยหลังไปหลายก้าว ขณะที่ “คัมภีร์เป็นตาย” เล่มนี้ยังไม่ผสานร่างกัน เขาก็รับเคราะห์จากอักษรตายไปแล้วไม่น้อย จึงรู้สึกหวาดกลัวมันอย่างแท้จริง
“โอกาสมีอยู่ พรุ่งนี้เป็นวันพบปะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ แล้วยังกลัวว่าจะหาคนมาทดลองไม่ได้เชียวหรือ?”
บนใบหน้าเยี่ยเทียนเผยรอยยิ้มเย็น การสืบทอดมรรควิธีที่ส่งต่อกันมาในประเทศจีน นับเป็นหนึ่งสำนัก แตกต่างจากศาสนาพุทธและคริสต์ที่นำแรงศรัทธาผ่านการบูชาด้วยธูปเพลิงจากสาวกมาฝึกวิชาโดยสิ้นเชิง นับแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ผู้ฝึกวิชาเต๋าในประเทศจีนกับผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติจากต่างแดนหรือบุคคลในตำนานตะวันตกล้วนไม่เคยไปมาหาสู่กันมาก่อน
อีกทั้งหลังการรุกรานจากฝ่ายสัมพันธมิตรแปดประเทศเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว วงการวิชาเต๋าในเมืองจีนเองก็เกิดปะทะกับเหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจากต่างแดน ผลลัพธ์เป็นอย่างไรเยี่ยเทียนเองไม่อาจทราบได้ แต่เขารู้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายต้องไม่ดีอย่างแน่นอน
ยิ่งเมื่อบวกกับราชครูจากประเทศไทยผู้เป็นศัตรูอันร้ายกาจคนนั้นกับดยุคแดรกคูล่าซึ่งเคยเกิดการปะทะกับลูกน้องของเขา ศัตรูในงานประชุมผู้มีพลังเหนือธรรมชาติในครั้งนี้ของเยี่ยเทียนต้องมีไม่น้อยอย่างแน่นอน แล้วไยจึงต้องกลัวว่าพอถึงเวลาจะไม่มีคนให้เขาทดสอบการทำงานของคัมภีร์เป็นตายเล่มนี้?
สำหรับเยี่ยเทียน ประโยชน์ของ คัมภีร์เป็นตายนั้นไม่ได้มีเพียงแค่นี้ ด้วยระดับวิทยายุทธ์ของเยี่ยเทียน หากเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูเข้าตอนนี้ ก็คงไม่กล้าใช้กำลังที่มีทั้งหมด เพราะหากทำอย่างนั้น อาจกระตุ้นให้เกิดภัยสวรรค์ จนทำให้ข้ามไปสู่อัสนีสวรรค์จินตันก่อนเวลาอันควร
แต่เมื่อมีคัมภีร์เป็นตายเล่มนี้ เวลาเยี่ยเทียนเผชิญหน้ากับศัตรูย่อมสะดวกสบายขึ้นมาก ถึงแม้จะยังไม่ได้ลองทดสอบ แต่เยี่ยเทียนก็เชื่อว่าแม้เป็นคนที่มีวิทยายุทธ์ระดับเดียวกันกับตนเอง คงไม่สามารถต่อต้านพลังอำนาจของอักษรตายนั้นได้แน่นอน
“ขึ้นไปกันเถอะ เมื่อครู่ทำเสียงเอะอะออกไปไม่น้อย อย่าเผลอสร้างปัญหาขึ้นมาจริงๆ เลย”
เห็นว่าบาดแผลลูกศิษย์หายดีแล้ว เยี่ยเทียนจึงไม่อยากรั้งอยู่ใต้ดินอีกต่อไป หลังจากเก็บคัมภีร์เป็นตายเรียบร้อย ทั้งสองคนก็กลับขึ้นมาภายในห้องบนผิวดิน
“คุณเยี่ย คุณโจวไม่เป็นอะไรแล้วเหรอครับ?”
โจวจี้หวาที่กำลังพูดคุยอยู่กับกู้ต้าจวินเห็นพวกเยี่ยเทียนออกมาแล้ว ก็มองไปยังร่างของโจวเซี่ยวเทียนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เมื่อครู่ตอนเข้าไปโจวเซี่ยวเทียนเหลือเพียงลมหายใจรวยริน แต่เวลานี้นอกจากรอยเลือดเปรอะเปื้อนทั้งตัวภายนอก ก็มองไม่เห็นว่าได้รับบาดเจ็บที่ไหนอีกเลย?
เยี่ยเทียนพยักหน้าตอบว่า
“ไม่เป็นไรแล้วครับ คุณโจว ผมขอไปพักผ่อนสักหน่อย ก่อนออกเดินทางวันพรุ่งนี้อย่าให้ใครมารบกวนนะครับ”
พอใช้งานคัมภีร์เป็นตาย เยี่ยเทียนก็สูญเสียปราณแท้ไปไม่น้อย ดีที่เขานำพลอยวิเศษจำนวนหนึ่งติดตัวมา ปราณวิเศษถูกสูบออกมาจากพลอยวิเศษเป็นสาย เพียงชั่วไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ร่างของเยี่ยเทียนก็ถูกห่อหุ้มเอาไว้ท่ามกลางปราณวิเศษสีขาว
“เมื่อก่อนพลอยวิเศษหนึ่งชิ้นก็สามารถเลื่อนเข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้แล้ว วันนี้ปราณวิเศษสองชิ้น คุณประโยชน์กลับทำได้เพียงแค่ทะนุบำรุงปราณ พอถึงขั้นบรรลุมรรคผลจินตัน จะไม่ยิ่งต้องอาศัยทั้งคุณภาพและปริมาณหรือ?”
หลังจากยี่สิบกว่าชั่วโมงเต็ม ปราณวิเศษที่ล้อมรอบร่างเยี่ยเทียนก็ซึมซับเข้าสู่ภายในร่างกายเยี่ยเทียนจนหมด เยี่ยเทียนที่ดูราวกับมีรากต้นไม้เกี่ยวพันค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองไปยังพลอยวิเศษที่กลายเป็นฝุ่นผงบนฝ่ามือสองข้าง แล้วส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจเล็กน้อย
ร่างกายของมนุษย์เปรียบได้กับภาชนะหนึ่ง ก่อนที่เยี่ยเทียนจะเลื่อนระดับไปสู่บรรลุมรรคผลจินตัน ปราณวิเศษที่ร่างกายของเขาสามารถรับได้มาถึงจุดเต็มที่แล้ว ปราณวิเศษจากภายในพลอยวิเศษสองชิ้นนี้ส่วนใหญ่จึงถูกใช้ไปอย่างเสียเปล่า ทำให้เยี่ยเทียนปวดใจอย่างที่สุด
“ช่วงเวลาร้อยปี สูญสลายในพริบตา รู้แจ้งวิถีแห่งสวรรค์มากหน่อย หนทางภายภาคหน้าย่อมยิ่งราบรื่น!”
สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเยี่ยเทียนก็ข่มแรงปรารถนาต่อมรรคผลจินตันในใจลง ถ้าหากเขาต้องการผ่านภัยสวรรค์ มีเพียงต้องปลดปล่อยพลังชีวิตภายในร่างกายด้วยกำลังทั้งหมดจึงจะกระตุ้นอัสนีสวรรค์ได้ แต่เวลานี้ใจของเยี่ยเทียนยังคงมีห่วง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจจากโลกใบนี้ไป จึงได้แต่ใช้คำพูดเหล่านี้ปลอบโยนตัวเอง
“ท่านอาจารย์ คุณกู้มาแล้ว ได้เวลาแล้วครับ!”
เสียงโจวเซี่ยวเทียนดังมาจากประตู เยี่ยเทียนได้ยินก็เงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง พบว่าเป็นเวลาพลบค่ำวันต่อมาแล้ว พระอาทิตย์อัสดง ส่องแสงเหลืองทองทั่วทั้งฟ้าดิน
พอเห็นเยี่ยเทียนเดินออกมาจากห้อง กู้ต้าจวินก็รีบลุกไปต้อนรับ ตอบว่า
“คุณเยี่ย สถานที่ประชุมคือคฤหาสน์แห่งหนึ่งในชานเมืองซูริกครับ ระยะทางจากที่นี่ใช้เวลาขับรถครึ่งชั่วโมง!”
“ไปกันเถอะครับ หลังจากออกมาครั้งนี้ ผมเกรงว่าน้อยครั้งจึงจะได้ออกนอกประเทศอีก!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า มีราชครูทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ ต่อให้เยี่ยเทียนคิดปิดบังตัวตนก็คงทำไม่ได้ เมื่อพวกเขาทั้งสองเผชิญหน้ากัน จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดิ่งสู่สระโลหิต ความแค้นที่สืบต่อมานานร่วมครึ่งศตวรรษ ก็ได้มาถึงเวลาสะสางแล้วเช่นกัน
หลังผ่านศึกนี้ ต่อให้เยี่ยเทียนคิดอยากเก็บงำวิชาก็คงทำไม่ได้ เพราะเกรงว่าแต่ละประเทศคงใส่ชื่อเขาให้เป็นเป้าหมายที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ นอกจากลอบข้ามเขตแดนแล้ว ทันทีที่เยี่ยเทียนออกจากพรมแดนจีน คงจะได้รับความสนใจจากทุกฝ่ายในทุกการกระทำ
“เมื่อไหร่คุณภาพอากาศเมืองจีนจะเป็นอย่างที่นี่ได้สักทีนะ?”
นั่งลงบนรถของกู้ต้าจวินแล้ว มองไปยังทุ่งข้าวบาร์เลย์สีเหลืองทองไร้ขอบเขตนอกชานเมืองซูริกในฤดูใบไม้ผลิ เยี่ยเทียนยังอดส่ายหน้าไม่ได้ เขาไม่ใช่คนประเภทรู้สึกว่าพระจันทร์ ประเทศอื่นสวยงามกว่าบ้านตัวเอง แต่ในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ ประเทศจีนยังทำได้ห่างไกลจากประเทศฝั่งตะวันตกมาก
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนก็เอ่ยปาก ว่า
“อาจารย์ครับ อากาศในฮ่องกงดีกว่าปักกิ่งตั้งเยอะ ผมว่าอาจารย์กับอาจารย์หญิงก็แค่ย้ายไปอยู่ฮ่องกงก็พอ!”
“บ้านเกิดยากจากลา เซี่ยวเทียน แม่ของแกก็ไม่อยากไปฮ่องกงไม่ใช่เหรอ?”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ หลังจากลงหลักปักฐานแล้วคนก็ยิ่งมีบ่วงเพิ่มขึ้น พ่อแม่ญาติโยมรวมไปถึงภรรยาล้วนอยู่ในแผ่นดินใหญ่ แล้วเขาจะจากมาได้อย่างไร? เช่นเดียวกับแม่ของโจวเซียวเทียน ที่ไม่ว่าพูดอย่างไรก็ไม่ยอมตามลูกไปอยู่อาศัยในฮ่องกง อยู่ได้อย่างมากสิบวันถึงครึ่งเดือน ก็อยากกลับเรือนสี่ประสานในปักกิ่งแล้ว
รถของกู้ต้าจวินขับอย่างมั่นคง และยังควบคุมเวลาได้อย่างแม่นยำ หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง รถเยอรมันติดทะเบียนสถานทูตก็ขับเข้ามาภายในคฤหาสน์อย่างช้าๆ
ในที่จอดรถรอบนอก มีรถยนต์ติดทะเบียนการทูตนานาประเทศหลายสิบคันจอดไว้อยู่แล้ว สถานการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้เฉพาะที่ทำการสหประชาชาติเท่านั้น คนที่ไม่รู้คงจะนึกว่าเอคอัครราชทูตนานาชาติมารวมกันที่นี่เพื่อเปิดประชุม
“คุณผู้ชายทุกท่านมาจากประเทศจีนหรือเปล่าครับ?”
ทันทีที่จอดรถ ชายผิวขาวแต่งกายแบบทูตก็เดินเข้ามาหา เอ่ยปากว่า
“ตัวแทนของแต่ละประเทศส่วนใหญ่มาถึงแล้วครับ เชิญทุกท่านตามผมมา!”
“ช่างราวกับซ่อนเสือเร้นมังกรจริงๆ ดูท่าโลกกว้างใหญ่ คงไม่ได้มีเพียงระบบฝึกวิชาปรากฎในประเทศจีนเพียงที่เดียว”
เยี่ยเทียนปลดปล่อยจิตสัมผัสออกมาสายหนึ่งโดยไร้สุ้มเสียง ทันใดก็สัมผัสถึงคลื่นพลังจิตอันแข็งแกร่งหลายสายที่แผ่ออกมาจากอาคารค่อนข้างหรูหราตรงหน้าแห่งนั้น พลังจิตของคนกลุ่มนี้ถึงแม้ไม่เข้มข้นเท่าจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียน แต่นอกจากพวกโก่วซินเจียแล้ว เยี่ยเทียนก็เป็นยอดฝีมือซึ่งหาได้ยากในโลกฆราวาสแห่งนี้
หลังตามผู้รับรองผิวขาวไปแล้ว พวกเยี่ยเทียนก็เข้าไปยังภายในอาคารเสริมเหล็กกล้าที่อยู่ข้างหน้านั่น
อาคารแห่งนี้ราวกับเพิ่งก่อสร้างขึ้น พื้นที่ภายในกว้างขวางใหญ่โต ภายในเกรงว่าต่อให้หลายร้อยคนนั่งก็ยังไม่หนาแน่น ตรงกลางห้องประชุม ยังมีพื้นที่โอ่โถงอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง พื้นผิวล้วนปูด้วยหินสีเทา อีกทั้งบนพื้นยังมีร่องรอยตะไคร่น้ำบางส่วนที่ยังขัดไม่ออก
“ผู้จัดงานประชุมนี้แอบแฝงเจตนาไม่ดีหรือเปล่านะ?”
เห็นการตกแต่งภายในสถานที่แล้ว มุมปากของเยี่ยเทียนก็ยกขึ้นเล็กน้อย ที่นั่งทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ตรงกลางเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ราวกับลานโคลอสเซียมในยุคโรมันโบราณ ที่เฝ้ารอให้ผู้เข้าร่วมลงสนามห้ำหั่นกัน
การเข้าไปด้านในของกลุ่มเยี่ยเทียนทั้งสามคน ดึงดูดให้คนจำนวนมากภายในห้องต่างมองมา แต่ว่าสายตาของคนส่วนใหญ่ล้วนมุ่งมาที่ร่างโจวเซี่ยวเทียนด้านข้างเยี่ยเทียน พลังชีวิตที่ไหลเวียนพุ่งพล่านภายในร่างกายเขานั้น ราวกับเสือร้ายที่ถูกกักขังอยู่ในกรง แต่ทันใดดวงตาของคนเหล่านั้นก็เลื่อนกลับอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเพราะสัมผัสถึงอันตรายได้จากร่างของโจวเซี่ยวเทียน
ในทางกลับกันเยี่ยเทียนผู้เดินมายังตรงกลาง ไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครต่อใครเลย นั่นเพราะทุกผู้คนที่อยู่ในที่นั้น ล้วนไม่มีใครสามารถสัมผัสถึงคลื่นพลังงานจากร่างกายของเขา ในสายตาของคนจำนวนมากจึงเหมือนเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง
แน่นอน ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครสังเกตเห็นเยี่ยเทียน อย่างน้อยที่สุดในสถานที่นี้ ก็ยังมีสองคนที่จับจ้องสายตามาทางเยี่ยเทียน
ที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ฝั่งทิศใต้ของห้องประชุม คือชายผู้สวมชุดสูทภูมิฐาน เพียงแต่ใบหน้าของเขาขาวซีด รีมฝีปากแดงก่ำ มองแล้วให้ความรู้สึกอันตรายอย่างพิสดาร และข้างกายของเขายังมี “สหายเก่า” ของเยี่ยเทียนอยู่หนึ่งคน เจ้าพ่อบ่อนคาสิโนจากลาสเวกัส รูดอล์ฟนั่นเอง
ส่วนอีกคนที่จับตามองเยี่ยเทียนนั้น เป็นคนที่นั่งอยู่ริมทิศตะวันออกของห้อง รูปร่างผอมแห้ง ริ้วรอยบนใบหน้าทำให้คนไม่อาจตัดสินอายุของเขาได้ ทว่าดวงตาขุ่นมัวคู่นั้น ฉายแววอันตรายออกมาเป็นระยะ ราวกับงูพิษที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในความมืด
สัมผัสถึงสายตาที่มองมาจากทางทิศใต้และตะวันออกทั้งสองทิศได้ เยี่ยเทียนที่ก้มหน้าอยู่ก็เลยเงยหน้าขึ้นมา เผยยิ้มอย่างสดใสให้กับรูดอล์ฟที่นั่งทางทิศใต้ แต่เมื่อเห็นคนข้างรูดอล์ฟ รอยยิ้มก็สว่างไสวยิ่งขึ้น
ตอนที่ 915 ผู้แข็งแกร่งรวมตัว
“ดยุกแดร็กคูล่า?”
เยี่ยเทียนมองชายชาวตะวันตกสีหน้าซีดขาวคนนั้นด้วยความสนอกสนใจ จากบนร่างเขา เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสลมปราณประเภทเดียวกับเคิร์ทได้ นั่นคือกลิ่นคาวเลือดเหม็นเน่าชนิดหนึ่ง ชายผู้นี้ดูแล้วราวอายุเพียงสี่สิบกว่าปี แต่ความจริงอาจไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มากี่ปีแล้ว
“มีกลิ่นอายอย่างคนฝึกวิชาเต๋า หรือคนผู้นี้ในอดีตจะเคยมายังประเทศจีน?”
ดวงตาของเยี่ยเทียนหรี่ลงเล็กน้อย ในแก่นโลหิตของแดร็กคูล่า เขาได้กลิ่นอายบางอย่างคล้ายร่างของตนเอง ซึ่งมีเฉพาะในผู้ฝึกเคล็ดวิชาตะวันออกเท่านั้น เยี่ยเทียนจึงกล้าตัดสินว่า แดร็กคูล่าต้องเคยดูดเลือดผู้ฝีกวิชาเต๋าอย่างแน่นอน
“เขาคือเยี่ยเทียนที่แกพูดถึงคนนั้นหรือ?”
หัวคิ้วของแดร็กคิวล่าที่ประสานตากับเยี่ยเทียนขมวดมุ่น เอียงศรีษะอย่างไม่ค่อยแน่ใจ พูดว่า
“รูดอล์ฟ เขาดูไม่แข็งแกร่งอย่างที่แกพูดสักหน่อย? คนแบบนี้ไม่น่าเอาชนะอันเดรวิชกับแอนโทนี มาร์คัสได้เลย!”
ขณะที่พิจารณาเยี่ยเทียน แดร็กคูล่าก็มองเยี่ยเทียนไปด้วย ทว่าแตกต่างจากเยี่ยเทียนที่สามารถตรวจสอบเขาจนถึงแก่น แดร็กคูล่ากลับไม่สามารถสัมผัสถึงคลื่นพลังงานจากภายในร่างเยี่ยเทียนได้เลยแม้แต่น้อย ในสายตาของแดร็กคูล่า เยี่ยเทียนก็เป็นเช่นเดียวกับผู้รับรองธรรมดาภายในห้องประชุมเหล่านั้น เป็นแค่คนปกติ
นี่ยิ่งทำให้แดร็กคูล่ารู้สึกสับสนอย่างยิ่ง ต้องเข้าใจก่อนว่า ต่อให้เยี่ยเทียนไม่ได้ก่อกำเนิดพลังวิเศษ แต่ผลลัพธ์จากการสังหารแอนโทนี มาร์คัส ภายในร่างของเขาควรจะมีเลือดลมพุ่งพล่าน ทว่าเวลานี้สิ่งที่สำแดงออกมาจากภายในร่างเยี่ยเทียน ราวกับเป็นน้ำนิ่งในสระ สัมผัสถึงระลอกคลื่นไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
หลังจากได้ยินข้อสงสัยของแดร็กคูล่าแล้ว ร่างสูงกำยำของรูดอล์ฟยังอดสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ รีบพูดว่า
“นายท่าน ผมยังไม่กล้าแหย่เขาเลยครับ คุณก็เคยเห็นวิดีโอบันทึกการแข่งมวยใต้ดินนั่นของเยี่ยเทียนแล้วนี่!”
หากคำพูดตอนนี้ของรูดอล์ฟถูกคนนอกได้ยินเข้า จะต้องตกตะลึงกันยกใหญ่เป็นแน่ รูดอล์ฟผู้มีอำนาจขนาดเรียกฟ้าเรียกฝนในวงการมวยใต้ดินลาสเวกัสและอเมริกาเหนือ กลับเป็นข้ารับใช้ให้บุคคลคนเดียวเท่านั้น เวลารูดอล์ฟยืนอยู่ต่อหน้าแดร็กคูล่า เพื่อแสดงถึงการเทิดทูนบูชา ยังแทบจะหมอบราบพื้นเลียแข้งเลียขาอีกฝ่าย
“คนคนนี้ ขนาดฉันยังดูไม่ออก แต่ก็ไม่ควรยั่วยุ ภายหลังแกอย่าไปยั่วเขาดีกว่า!”
หลังจากมองเยี่ยเทียนอยู่เนิ่นนาน แดร็กคูล่าหลุบตาลง ไม่สบตากับเยี่ยเทียนอีก ในฐานะเคานท์แวมไพร์ ที่สามารถใช้ชีวิตอยู่มานานถึงขนาดนี้ ไม่ได้อาศัยเพียงพละกำลังอันแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องอาศัยความสามารถในการดูสถานการณ์ด้วย ไม่อย่างนั้นแดร็กคูล่าคงจะถึงแก่ความตายตั้งแต่สงครามครูเสดเมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว
ถึงแม้จะสัมผัสถึงคลื่นพลังจากเยี่ยเทียนไม่ได้ แต่สัญชาติญาณที่อยู่มาเกือบพันปีบอกแดร็กคูล่าว่า เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ต้องเป็นบุคคลอันตรายแน่ บางครั้งสิ่งที่เห็นด้วยตาก็ไม่จำเป็นต้องจริงแท้เสมอไป
ส่วนเคิร์ทที่ตายไป ก็เป็นเพียงแค่คนรับใช้ของแดร็กคูล่าเท่านั้น ด้วยนิสัยเย็นชาของแวมไพร์ มีหรือจะคิดแค้นผู้แข็งแกร่งเพียงเพื่อคนรับใช้หนึ่งคน? การแลกเปลี่ยนขาดทุนอย่างนั้นแดร็กคูล่าคงไม่ยอมทำ
“ในอดีตเรานี่ช่างกบในกะลาจริงๆ หากเป็นเมื่อสองปีก่อน เราคงไม่อาจเป็นคู่มือของแดร็กคูล่า”
หลังจากหลบสายตาจากแดร็กคูล่า เยี่ยเทียนเองก็ลอบถอนหายใจ หากใช้ระดับของผู้ฝึกวิชาเต๋ากำหนดพลังที่แท้จริงของแดร็กคูล่า เขาควรจะมีวรยุทธ์อยู่ในระดับยอดเซียนเทียน บวกกับพลังฟื้นฟูอันแข็งแกร่งของเหล่าแวมไพร์ เกรงว่าคนที่อยู่ระดับเซียนเทียนขั้นปลายยังไม่อาจเป็นคู่มือของเขาได้
“ตำแหน่งสูงกว่าดยุกก็คือเจ้าชาย ไม่รู้ว่าปัจจุบันในสังคมแวมไพร์ยังมียศเจ้าชายหลงเหลืออยู่หรือเปล่า?”
จากร่างกายของแดร็กคูล่า เยี่ยเทียนรู้ว่าวิทยายุทธ์ระดับใดที่ดยุกอยากประมือด้วย ดังนั้นถ้าหากยังคงมียศเจ้าชายอยู่ น่ากลัวว่าพลังอำนาจของเขาคงจะไม่อ่อนด้อยไปกว่าตน ไม่แน่อาจจะเป็นสัตว์ประหลาดระดับจินตัน ใครเล่าจะรู้ว่าสิ่งมีชีวิตพิสดารจากตะวันตกเหล่านี้ อาจสามารถข้ามขั้นระดับจินตัน แล้วจากนั้นก็ยึดมิตินี้เป็นที่อยู่อาศัย?
หลังจากระแวดระวังพวกแวมไพร์ขึ้นส่วนหนึ่งแล้ว เยี่ยเทียนก็เบือนหน้าหนี แต่ว่ากลับมองไปยังอีกทิศหนึ่ง เขารู้สึกถึงสายตาแหลมคมราวทิ่มแทงผิวหนังด้านหลังศรีษะมานานแล้ว สายตาที่มองมายังตนเองนั้น จะต้องไม่มีเจตนาดีอย่างแน่นอน
“หือ ปะ…เป็นไปได้ยังไง?”
เวลาเดียวกันกับที่เยี่ยเทียนหันหน้าไป รอยยิ้มของเขาก็พลันแข็งทื่อขึ้นมา ดวงตาฉายแววไม่เชื่อสายตานัก ยามก้าวเท้าไปข้างหน้า ยังเผลอหยุดฝีเท้าลง
“ท่านอาจารย์ เป็นอะไรไปครับ?”
โจวเซี่ยวเทียนที่เดินอยู่ข้างกายเยี่ยเทียน มองไปตามสายตาของเยี่ยเทียนแล้วขมวดคิ้วพลางพูดว่า
“ท่านอาจารย์ คนผู้นั้นคงจะเป็นนายทักษิณ สวรรค์ ศักดิ์ สิทธ์ ราชครูแห่งประเทศไทยหรือเปล่าครับ?” ลมปราณจากร่างของคนผู้นี้ก็แค่แข็งแกร่งกว่าผมนิดหน่อยเท่านั้น เกรงว่าคงไม่ต้องถึงท่านตาหรอก เดี๋ยวลูกศิษย์คนนี้จะท้าทายมันเอง!”
ท่านตาที่โจวเซี่ยวเทียนพูดถึงก็คือจั่วเจียจวิ้นนั่นเอง เขาแต่งงานกับหลานสาวอาจารย์ลุงสอง ความอาวุโสจึงลดลงเพียงรุ่นหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้นับอาวุโสในสำนักจริงจังเท่าเมื่อก่อนอีกแล้ว หากเป็นในยุคปลดแอก โจวเซี่ยวเทียนแต่งงานกับหลิวติงติง ต้องนับเป็นเรื่องผิดประเพณีร้ายแรงอย่างแน่นอน
ในอดีตจั่วเจียจวิ้นถูกนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ลอบทำร้ายปางตาย ความแค้นนี้สั่งสมมาหลายสิบปี เมื่อพบกันตอนนี้ ในฐานะหลานเขยและหลานศิษย์ของจั่วเจียจวิ้น โจวเซี่ยวเทียนย่อมคิดหาทางแก้แค้นให้ท่านตา
“นายไม่ใช่คู่มือของเขา”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า พูดเน้นย้ำทีละคำ ทว่าสายตากลับไม่หันไปมองทางนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับจ้องเขม็งไปยังคนร่างสูงที่นั่งข้างกายเขา
“เซี่ยวเทียน นายรู้ไหมว่าคนที่นั่งข้างสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์คือใคร?”
“ใครเหรอครับ? เอ๋ อาจารย์ คนนั้นดูประหลาดพิลึก ดูยังกับคนตายเลย”
พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ความสนใจของโจวเซี่ยวเทียนก็จรดลงยังร่างคนนั้น ฉับพลันนึกเฉลียวใจบางอย่าง
“ไม่ผิดแน่ เขาคือคนตาย!”
เยี่ยเทียนที่จิตใจสงบราวสายน้ำตั้งแต่เข้ามาภายในห้อง เวลานี้ภายในยังเผลอสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย นั่นเพราะคนไร้พลังชีวิตที่นั่งด้านข้างนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ก็คือชาญ ทองทวนผู้ถูกเยี่ยเทียนใช้ฝ่ามือสลายอวัยวะภายในเมื่อในอดีตนั่นเอง
ตนเองลงมือหนักแค่ไหน เยี่ยเทียนย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ เขารู้ว่าภายใต้บาดแผลระดับนั้น ต่อให้ชาญทองทวนเป็นยอดฝีมือโยคีระดับร้ายกาจที่สุดของอินเดีย ก็ยังยากจะเอาชีวิตรอด
ดังนั้นชาญ ทองทวนที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าจึงมีคำอธิบายเพียงแค่อย่างเดียว ว่าเขาคือคนที่ตายไปแล้ว แต่กลับถูกนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ใช้วิธีการคุณไสยแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ไม่อาจอธิบาย เช่นเดียวกับสัตว์ประหลาดร่างคนที่ติดตามนายชาญ ทองทวนเข้าไปยังฮ่องกงเมื่อในอดีต
“คนตาย? ท่านอาจารย์ หรือว่าจะเป็นผีดิบ? ผมดูแล้วไม่เห็นเหมือนเลย!”
โจวเซี่ยวเทียนถูกคำพูดของอาจารย์หลอกให้ตกใจกลัว จนเผลอกระชับกระเป๋าในมือเอาไว้แน่นขึ้น ภายในนั้นใส่กระดิ่งซานชิงเอาไว้ ซึ่งก่อนมาโก่วซินเจียมอบไว้ให้เขาใช้
“จากนี้แกห้ามวู่วาม ถ้าไม่มีคำสั่งจากฉันห้ามลงมือ!”
สีหน้าของเยี่ยเทียนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมยิ่งขึ้น นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์รู้พลังที่แท้จริงของตนเองแล้ว แต่เขายังกล้ามายังที่นี่ คิดว่าคงมีวิธีรับมือ จากร่างไร้ซึ่งพลังชีวิตของชาญ ทองทวน กระทั่งเยี่ยเทียนยังสัมผัสได้ถึงแรงข่มขวัญ
เคลื่อนย้ายสายตามองไปยังคู่ดวงตาราวอสรพิษของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ แล้วเยี่ยเทียนก็ยิ้มเย็นขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นค่อยสาวเท้ายาวเดินไปข้างหน้า เขาเชื่อมั่นว่าต่อให้นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์หมอผียุคใหม่จะเก่งกาจสักเท่าไหร่ ก็ไม่อาจต้านทานมีดบินคู่กายไร้พ่ายของเขา
“คืนนี้คงเป็นคืนที่หลับไม่ลงคืนหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะมีคนสักเท่าไหร่ที่ต้องสละชีวิต!”
จากทางเข้าถึงที่นั่งของพวกเยี่ยเทียน ระยะทางสั้นๆ เพียงแค่สามสิบเมตรเท่านั้น แต่ระหว่างทางสามสิบเมตรนี้ นอกจากแดร็กคูล่าและนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ เยี่ยเทียนยังสัมผัสถึงลมปราณอันแข็งแกร่งอีกหลายระลอก
ตรงตำแหน่งห่างจากนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ไกล มีพระสงฆ์ร่างผอมแห้งสามรูปนั่งอยู่ ผิวหนังของพวกเขาแนบสนิทติดกับร่าง มองดูแวบแรกราวกับโครงกระดูก คล้ายว่าเมื่อลมโชยมาจะพัดพวกเขาปลิวไป แต่ลมปราณภายในร่างพระสงฆ์สามรูปนั้นกลับมีพลังอย่างยิ่ง แตกต่างจากคนที่ใกล้จะลงโลงโดยสิ้นเชิง
“น่าจะเป็นพระสงฆ์อินเดีย พวกเขาสามารถกักพลังปราณไว้ภายในร่างกายได้ทั้งหมด โดยไม่ให้เล็ดรอดออกมาแม้เพียงเศษเสี้ยว ดูแล้วประมาทไม่ได้เลย!”
มองยังเบ้าตาลึกโหลของพระสงฆ์ชราทั้งสามรูปแล้ว ภายในใจของเยี่ยเทียนก็ได้คำตอบ ในฐานะแหล่งกำเนิดศาสนาพุทธ อินเดียจึงยังมีรายละเอียดเชิงลึกอยู่บ้าง หากเทียบกับประเทศจีน นอกจากศาสนาพุทธแบบทิเบต ลัทธิและวัดวาอารามที่เหลืออยู่คู่กับสังคมมาจนปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ลัทธิซึ่งเผยแพร่จากพระศากยมุนีในอดีตอีกต่อไป
นอกจากนั้นยังมีอีกบางกลุ่มที่ดึงดูดความสนใจเยี่ยเทียน คนเหล่านี้สวมใส่เสื้อผ้าราวกับอัศวินโบราณ ภายในร่างมีพลังศรัทธากลุ่มหนึ่งไหลเวียน ซึ่งนับว่าค่อนข้างแข็งแกร่งเช่นกัน
แต่ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้ใส่ใจในตัวเยี่ยเทียน แต่กลับจดจ้องแดร็กคูล่าที่นั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขาอย่างไม่วางตา โดยไม่ปิดบังความเป็นปฏิปักษ์เลยแม้แต่น้อย เยี่ยเทียนเองก็รู้สถานะของคนเหล่านี้ นอกจากคนของวาติกันแล้ว ใครจะจ้องมองคนจากโลกแห่งความมืดอย่างแค้นเคืองเช่นนี้อีก?
“คุณเยี่ยครับ ตรงนี้แหละครับคือที่นั่งของพวกเรา!”
มาถึงยังด้านหน้าของที่นั่ง กู้ต้าจวินก็หยุดฝีเท้า ตำแหน่งที่นั่งของประเทศจีนนี้นับว่าไม่เลว ยกสูงกว่าพื้นที่ตรงกลางขึ้นกว่าหนึ่งเมตร ล้อมรอบด้วยโซฟารูปวงกลม ราวกับห้องส่วนตัวที่แยกออกมา หลังจากนั่งลง นอกจากแสตนด์ที่นั่งตรงข้าม สายตาที่ล้อมรอบก็ถูกกันออกไปทันใด
“เหล่ากู้ งานประชุมวันนี้ มีกฎอะไรบ้างหรือครับ?”
เยี่ยเทียนมองไปยังกู้ต้าจวิน เมื่อมาถึงที่นี่เขาจึงพบว่า ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจากต่างแดนเหล่านี้ไม่ได้อ่อนแอขนาดที่เขาจินตนาการเอาไว้ ซึ่งกลับยิ่งทำให้เยี่ยเทียนออกจะใจจดใจจ่อ อยากเห็นว่ายอดฝีมือจากต่างแดนเหล่านี้ จะแสดงวิชาแบบไหนกันบ้าง
“คุณเยี่ยครับ กฎข้อแรกของงานประชุม แต่ละประเทศต้องแสดงความสามารถของตัวเอง”
กู้ต้าจวินยกกระดาษถ่ายเอกสารในมือขึ้น กล่าวว่า
“หลังจากแนะนำตัวเสร็จแล้ว จะเป็นเวลาพูดคุยกันอย่างอิสระ ทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนมุมมองสู่กันและกัน และสามารถลงแข่งขันในลานประลองหลังลงชื่อในข้อตกลงเสร็จสิ้น เป็นตายไม่เกี่ยง!”
พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของกู้ต้าจวิ้นก็ฉายแววผิดปกติ หลังจากเข้ามาในงานแล้ว สายตาจากที่นั่งบนอัฒจันทร์ซึ่งพุ่งตรงมายังพวกเขา ราวกับสัตว์ป่ากระหายเลือด ทิ่มแทงผิวหนังกู้ต้าจวินจนเจ็บแผ่วๆ
ตอนที่ 916 ข้อบังคับ
“แค่นี้เหรอ? ไม่มีอย่างอื่นแล้วเหรอ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นี่มันงานประชุมอะไรกัน? อย่างกับปล่อยให้คนเหล่านี้สู้กันเอง แต่คนที่พอมีความสามารถคงไม่มีใครที่ไม่ดุดันดื้อด้าน หากไม่คุมไว้สักหน่อย เกรงว่างานประชุมใหญ่ครั้งนี้จะกลับกลายเป็นสมรภูมิเลือดแห่งหนึ่ง
อีกทั้งเจตนาเดิมของแต่ละประเทศ คือต้องการใช้การประชุมใหญ่ครั้งนี้ มาสำแดงแสนยานุภาพของประเทศตนเอง เกรงว่าพวกเขาก็คงไม่อยากให้การประชุมครั้งนี้สับสนวุ่นวายหรอกกระมัง? หากเป็นอย่างนั้นการพบปะหารือคงหมดความหมายโดยสิ้นเชิง
“มีอีกครับ คุณเยี่ย ตอนท้ายสุดของงานประชุมจะมีการโหวตจากผู้เข้าร่วม คัดเลือกผู้แข็งแกร่งที่สุดสามคนออกมา”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนยังคงจ้องมองตัวเอง กู้ต้าจวินก็แบมือ กล่าวว่า
“เท่านี้แหละครับ ไม่มีอย่างอื่นแล้ว อีกทั้งในระหว่างการประชุม ตัวแทนของแต่ละประเทศสามารถแลกเปลี่ยนท้าดวลกันได้อย่างอิสระ หากฝ่ายตรงข้ามปฏิเสธล่ะก็ เขาจะไม่ได้รับผลโหวตในตอนท้ายสุด
แน่นอนว่า หลังจากรับคำท้าแล้ว ผู้เข้าร่วมจะสามารถปฏิเสธการท้าดวลครั้งต่อไปและพักผ่อนได้เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง!”
“ฐ็ษเอ๊ย นี่มันบังคับให้คนมาสังหารโหดกันนี่หว่า?”
หลังจากได้ยินคำพูดของกู้ต้าจวินแล้ว เยี่ยเทียนก็อดเหลือกตามองบนไม่ได้ ดูท่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจากแต่ละประเทศแม้จะได้รับความสำคัญ แต่เกรงว่าก็คงถูกผู้มีอำนาจในแต่ละประเทศหวาดระแวงไม่แพ้กัน การจัดงานประชุมเหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติครั้งนี้ อาจมีเจตนากำจัดคนเหล่านี้ซ่อนอยู่ภายใน ไม่อย่างนั้นในกฎข้อบังคับของงานประชุมก็คงจะมีการจัดมาตรการป้องกันเกี่ยวพันอยู่ด้วย
แต่คนพวกนั้นคงไม่กล้าทำอย่างโจ่งแจ้งเกินไป งานประชุมผู้มีพลังเหนือธรรมชาติครั้งนี้ในสวิสเซอร์แลนด์ จึงสามารถอธิบายในจุดนี้
ในฐานะรัฐที่เป็นกลางอย่างถาวร สวิสเซอร์แลนด์จึงไม่อาจไปรับมือกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเหล่านี้ การจัดงานประชุมนี้ จึงรับประกันได้ว่าไม่มีปัจจัยด้านประเทศชาติแอบซ่อนอยู่ จึงตัดความเป็นไปได้ที่จะถูกคนกวาดล้างระหว่างจัดงาน
“ท่านอาจารย์ ถ้าหากมีคนท้าดวลกับผม ผมควรจะลงสนามไหมครับ?”
โจวเซี่ยวเทียนที่ตามติดข้างกายเยี่ยเทียนกลับไม่คิดอะไรมากขนาดนั้น ในทางกลับกันเวลานี้ออกจะคันไม้คันมือด้วยซ้ำ หลายปีที่ผ่านมาถึงแม้จะเน้นฝึกวิชาในสำหนัก แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่ได้ทิ้งวิชานอกตำราสักทีเดียว ซ้ำยังฝึกฝนอย่างหนักหน่วง กระทั่งเฝิงเหิงอวี่ หลานอาจารย์ของเยี่ยเทียนจากสำนักปาจี๋ชื่อดังคนนั้น เมื่อประมือกับโจวเซี่ยวเซียนยังต้านทานได้ไม่ถึงสามยก
เพียงทว่าตอนนี้เป็นยุคแห่งความสุขสงบร่มเย็น วิชาที่โจวเซี่ยวเทียนฝึกมาทั้งหมดจึงไม่มีโอกาสนำมาใช้ ในหูเพียงได้ยินแต่ผลลัพธ์อันเยี่ยมยอดจากอาจารย์ จึงทำให้เขาร้อนรนอยู่ไม่สุข เมื่อได้ยินตรงหน้าว่าการประชุมครั้งนี้คืองานประลองอันไร้ข้อจำกัด เลยอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
“ถึงเวลาต้องดูสถานการณ์ ภายในนี้มีคนมากมายที่แกไม่ควรเข้าไปหาเรื่อง”
เยี่ยเทียนยิ้มเจื่อนพลางส่ายหน้า ดูท่าหลายปีที่ผ่านมานี้ จะทำลูกศิษย์เก็บกดเสียจนย่ำแย่ แต่เขาพาโจวเซี่ยวเทียนมาก็เพื่อให้ได้ประสบการณ์เฉียดตายในสนามรบ คงจะไม่ห้ามเขาลงสนามต่อสู้เช่นกัน
แน่นอนว่า เยี่ยเทียนคงจะไม่ให้โจวเซี่ยวเทียนรับคำท้าจากฝ่ายตรงข้ามที่มีพลังห่างชั้นเกินไป อย่างเช่นพวกแดร็กคูล่าและนายทักษิน สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ใช่การหาประสบการณ์ แต่เป็นการส่งไปตาย
“คุณเยี่ย แล้ว…แล้วผมล่ะครับ?”
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนกับลูกศิษย์คุยกันแล้ว กู้ต้าจวินก็แทรกถามขึ้น นั่นเพราะครั้งนี้เขาเองก็เป็นผู้เข้าร่วมอย่างเป็นทางการ เป็นตัวแทนของประเทศจีน ถ้าหากไม่รับคำท้าล่ะก็ จะต้องเสียชื่อเสียงประเทศอย่างแน่นอน
แต่กู้ต้าจวินก็รู้ขีดจำกัดของตัวเอง เขารู้ว่าวันนี้ตัวเองเป็นเพียงตัวละครผ่านมาเท่านั้น ด้วยทักษะของเขาที่ทำได้อย่างมากแค่ “ควบคุมวัตถุ” ในถ้วยแก้ว หากลงไปสู้เอาเป็นเอาตายในสนามกับคนอื่น จะต้องพบจุดจบร่อแร่เจียนตายอย่างแน่นอน
“คุณเหรอ?”
เยี่ยเทียนเหลือบมองกู้ต้าจวินแล้วยิ้มตอบ
“เหล่ากู้ ถ้าหากมีคนเชิญคุณไปแสดงความสามารถพิเศษสักอย่าง คุณจะไปก็ได้ แต่ถ้าห้ำหั่นกันถึงตาย ก็ผ่านมันไปเถอะ ไม่ต้องกลัวเสียหน้า ถึงเวลาผมจะช่วยคุณพูดเอง
เยี่ยเทียนตรวจตราผู้มีพลังภายในห้องประชุมเหล่านี้คร่าวๆ แล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนมีพรสวรรค์ด้านการโจมตี คนอย่างกู้ต้าจวินก็มีเช่นกัน แต่ข้างหน้าตัวคนเหล่านั้นล้วนติดป้ายธงประเทศเล็กๆ ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักนัก เชื่อว่าคนที่มีพลังแข็งแกร่งเหล่านั้น คงไม่ได้ตั้งใจทำให้ประเทศเสียชื่อเสียงเช่นกัน
แต่ว่าในฐานะหนึ่งในห้ารัฐสมาชิกถาวรอย่างประเทศจีน จึงถูกนานาประเทศจับตามองอย่างเห็นได้ชัด เมื่อถึงเวลาพวกเยี่ยเทียนสามคนจะต้องเผชิญกับการท้าดวลในนามเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้จากคนไม่น้อย ตัวเยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้นึกใส่ใจ เขาไม่กลัวใครทั้งนั้สิ้น แต่กู้ต้าจวินกับโจวเซี่ยวเทียนยังเป็นกังวลต่อสถานการณ์ จึงพูดคำพูดก่อนหน้านี้ออกมา
“ขอบคุณครับคุณเยี่ย!”
พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ใจของกู้ต้าจวินที่เอ่อขึ้นมาถึงคอหอยค่อยคลายลงไป เขากลัวว่าพอถึงเวลาเยี่ยเทียนจะใช้ศักดิ์ศรีแห่งประเทศชาติมากดดันตน บังคับให้เขารับคำท้า หากถึงขั้นนั้นจริง ต่อให้รู้แน่ชัดว่าจะตาย กู้ต้าจวินก็ต้องสู้
“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ยินดีต้อนรับสู่เมืองซูริกอันงดงาม ผมคือแฟรงก์ แห่งสมาคมวิจัยพลังเหนือธรรมชาติระดับนานาชาติ…”
ขณะที่พวกเยี่ยเทียนกำลังคุยกันอยู่นั้นเอง ทันใดแสงไฟภายในห้องโถงก็ดับลง ลำแสงลำหนึ่งส่องลงยังกลางลาน ชายวัยกลางคนผิวขาวผู้หนึ่งถือไมโครโฟนกล่าวว่า
“เพื่อเป็นการสนับสนุนการวิจัยพลังเหนือธรรมชาติ จึงได้มีการจัดงานประชุมนี้ขึ้นมา พลังเหนือธรรมชาติของผมคือรับรู้การมีอยู่ของภูติผี และหวังว่าทุกท่านที่กำลังนั่งอยู่จะสามารถเปิดอกพูด นำเรื่องความสามารถของตนเองมาเล่าสู่กันฟัง!”
“ให้ตายสิ ไอ้งั่งนั่นมาจากไหนกัน?”
พอได้ยินคำพูดของแฟรงก์ผู้เป็นเจ้าภาพแล้ว คนส่วนใหญ่ภายในงานล้วนเหลือกตา รับรู้การมีอยู่ของภูติผี? นั่นนับเป็นพลังเหนือธรรมชาติตรงไหน ในสายตาของคนภายในงานเหล่านี้ สิ่งที่เรียกว่าภูติผี เป็นเพียงคลื่นพลังจิตเท่านั้น ไม่คู่ควรจะกลัวแม้สักนิด
ความจริงแล้วคนที่เข้าร่วมงานส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า สิ่งที่เรียกว่าสมาคมวิจัยพลังเหนือธรรมชาติ แรกเริ่มคือกลุ่มคนมีเงินและว่างงานเสียเต็มประดาจัดตั้งขึ้น ไม่มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติตัวจริงเข้าร่วมเลย
และอาชีพที่แท้จริงของแฟรงก์ก็คือคนไล่ผี ในยุโรป อาชีพนี้คล้ายคลึงกับปรมาจารย์ถือเข็มทิศแสร้งเป็นเจ้าเข้าทรงในประเทศจีน โดยทั่วไปแล้วในสิบคนอย่างน้อยมีเก้าคนที่เป็นนักต้มตุ๋น
ส่วนคำพูดที่สองที่เจ้าภาพเสนอออกมานั้น ยิ่งทำให้คนขำพรืดออกมาทางจมูก พลังเหนือธรรมชาติของตนคืออะไรนับเป็นไม้ตายของแต่ละคน ที่ทำให้เอาตัวรอดได้ในช่วงเวลาวิกฤติ จึงไม่มีใครยอมพูดความสามารถของตนเองออกมา
“พลังของผมคือการมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของดวงดาว!”
“พลังของผมคือสัมผัสการสั่นไหวของแผ่นดิน พระเจ้า ทำไมเวลาผมพูดว่าแอฟริกาใต้จะมีแผ่นดินไหว
ถึงไม่มีใครเชื่อเลยนะ?”
“ความสามารถของผมคือมองทะลุสิ่งของ คุณแฟรงก์ครับ คุณต้องใส่กางเกงในสีแดงอยู่แน่ๆ ผมพูดไม่ผิดใช่ไหม?”
ตามคาด ขณะที่แฟรงก์ปล่อยให้ทุกคนพูดถึงพลังของตนเอง ลานประชุมเริ่มสูญเสียการควบคุมทันใด คำตอบอันพิลึกพิลั่นหลากรูปแบบจากนานาประเทศดังขึ้นมาจากที่นั่ง และสถานที่ประชุมก็เชื่อมต่อกับอุปกรณ์แปลเอาไว้ เยี่ยเทียนที่ได้ยินคำตอบพวกนั้นจึงแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหว แทบจะขำลั่นออกมาดังๆ
แน่นอนว่า ตัวแทนบางประเทศก็พูดได้น่าเชื่อถือ อย่างเช่นพระสงฆ์ชราชาวอินเดีย กล่าวถึงพลังชีวิตของเขา ว่าเขาสามารถถูกฝังใต้ดินเป็นเวลาสิบวันโดยไม่ตาย ซึ่งเป็นพลังเหนือธรรมชาติที่จะได้มาเมื่อฝึกวิชาโยคถึงระดับสูงสุด
“ท่านอาจารย์ พวกเราจะพูดว่าอะไรดีครับ?” เมื่อเห็นว่ากำลังจะถึงตาตนเองแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็อดมองมายังเยี่ยเทียนไม่ได้
เยี่ยเทียนที่กำลังฟังอย่างบันเทิง พอได้ยินโจวเซี่ยวเทียนถามตน ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“แกจะพูดอะไรก็พูดเถอะ จะบอกว่าสามารถแอบมองผู้หญิงอาบน้ำก็ได้”
“ผมจะไปทำเรื่องน่าอายแบบนั้นได้ยังไง”
โจวเซี่ยวเทียนตอบกลับอย่างเคืองๆ และเวลานั้นก็ถึงตาตัวแทนประเทศจีนพูดพอดี เมื่อเห็นว่าอาจารย์ไม่คิดจะพูดอะไรอีก โจวเซี่ยวเทียนจึงได้แต่นำริมฝีปากไปใกล้ไมโครโฟน กล่าวว่า
“ผมมีพละกำลัง พละกำลังอันแข็งแกร่ง!”
ว่ากันตามตรง ร่างกายของโจวเซี่ยวเทียนแม้ไม่เตี้ย ภายใต้เสื้อผ้ายังมีกล้ามเนื้อพอสมควร แต่เมื่อเทียบกับชาวตะวันตกแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่อาจเกทับในด้านนี้ หลังจากเขาพูดถึงพลังของตนเองแล้ว ภายในงานพลันมีเสียงโห่ดังขึ้นระลอกหนึ่ง
“เวรเอ๊ย กลับดูถูกพวกเราซะงั้น?”
แม้ว่าอุปกรณ์แปลภาษา จะไม่สามารถแปลเสียงโห่เหล่านั้น แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่ใช่คนโง่ จึงฟังออกได้ว่าเป็นเสียงชื่นชมหรือเหยียดหยาม เขาโกรธจนหันไปมองสองสามคนตรงมุมที่โห่เสียงดังสุด แทบคิดจะกระโดดไปท้าดวลกับทางนั้น
“เซี่ยวเทียน คุมอารมณ์หน่อย มีอะไรน่าโมโหกัน?”
มือข้างหนึ่งของเยี่ยเทียนกดลงบนไหล่ของลูกศิษย์ กล่าวว่า “แกต้องเข้าใจนะว่า ที่แห่งนี้ พละกำลังสำคัญที่สุด พูดปากเปล่าไม่มีใครเชื่อกันหรอก รอแกสู้สักหนึ่งรอบ แล้วจะได้รับการเชิดชูจากคนอื่นเอง!”
ในอดีตตอนที่เยี่ยเทียนตีลูกดำบนเรือสำราญควีนอลิซาเบธ ทีแรกก็ได้ยินเสียงโห่ไม่น้อย แต่หลังจากเขาเอาชนะในสนามได้ด้วยกำลังที่แท้จริงแล้ว เสียงโห่ฮาเหล่านั้นก็กลับกลายเป็นเสียงชื่นชม จึงอธิบายได้ว่า การสำแดงกล้ามเนื้อทำไม่ได้ด้วยปาก แต่ด้วยพละกำลังของตน
“อาจารย์ครับ วันนี้ไม่ว่ายังไงอาจารย์ก็ต้องให้ผมลงสักรอบนะ!”
โจวเซี่ยวเทียนยังคงหงุดหงิดอยู่ไม่สุข ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดโฮ่วเทียนคนหนึ่ง อีกเพียงก้าวเดียวก็จะสามารถเข้าสู่เซียนเทียน มีหรือจะยอมทนสายตาเหยียดหยามของคนเหล่านี้?
“วางใจเถอะ หากมีคู่มือที่เหมาะเจาะ ฉันจะให้แกลงแน่!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า มีเพียงท่ามกลางสมรภูมิเลือดเท่านั้น จึงจะเกิดนักรบที่แท้จริง ไม่อย่างนั้นต่อให้วิชาของโจวเซี่ยวเทียนสูงสักเท่าไหร่ ก็เป็นเพียงดอกไม้ภายในห้องอันอบอุ่น ไม่อาจทานทนกระแสลมฝนใดๆ
เช่นเดียวกับที่เยี่ยเทียนเห็นข่าวเมื่อหลายวันก่อน ว่ามีแชมป์ศิลปะการต่อสู้ระดับประเทศ ทะเลาะกับเพื่อนบ้านแล้ว ถูกฝ่ายตรงข้ามใช้มีดทำกับข้าวแทงทั้งหมดหลายสิบแผล เวลานี้ดูท่าคงนอนอยู่โรงพยาบาลยังไม่พ้นภาวะวิกฤตเลย
เรื่องนี้จึงแสดงให้เห็นว่าพละกำลังและความกล้าหาญนั้นสำคัญพอๆ กัน หากขาดสิ่งใดไป จะไม่อาจเรียกได้ว่านักสู้ ตลอดระยะเวลายาวนานที่โจวเซี่ยวเทียนไม่สามารถเข้าสู่ระดับเซียนเทียน เกรงว่าน่าจะมาจากเหตุผลนี้ ส่วนโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นผู้ผ่านการเปลี่ยนแปลงบนโลกมากลับไม่มีปัญหา
“เอาล่ะครับ ต่อไปเป็นเวลาแลกเปลี่ยนวิชากัน ทุกท่านที่นั่งอยู่สามารถท้าดวลกับผู้อื่นได้ แต่การดวลจะสามารถทำได้บนลานประลองเท่านั้น ทุกการประลองสามารถทำได้เพียงหนึ่งคู่ หวังว่าทุกท่านจะไม่แย่งชิงกัน!”
หลังจากแต่ละประเทศบอกกล่าวพลังเหนือธรรมชาติของตนเองพอเป็นพิธีแล้ว เสียงของเจ้าภาพคนนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ว่าหลังจากที่พูดจบลง เขาก็ลงจากลานประชุมทันที ด้วยเกิดความกลัวว่าตนเองจะเจอภัยถึงชีวิตจากความสามารถในการเรียกภูติผี
ตอนที่ 917 ท้าประลอง
หลังจากที่แฟรงก์ถอยออกจากเวทีไม่กี่นาที สถานที่ประชุมขนาดมหึมาก็ตกอยู่ในความเงียบงัน เห็นได้ชัดว่า ไม่มีใครอยากออกหน้าแสดงพลังเหนือธรรมชาติและความสามารถพิเศษต่อหน้าผู้คน เพราะใครก็ไม่กล้าตัดสินว่า ในอนาคตคนที่อยู่ในงานประชุมจะไม่กลายเป็นศัตรูของตนเอง
“เผ่าแวมไพร์คนบาป ไม่นึกว่าพวกเจ้าจะกล้ามาร่วมงานประชุมครั้งนี้ ในนามแห่งพระเจ้า ข้าจะทำการลงโทษพวกเจ้าเอง!”
แต่ไม่นานความเงียบงันนั้นก็ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว ไม่กี่นาทีให้หลัง ชายวัยกลางคนในชุดเกราะยุคกลางตรงตำแหน่งตัวแทนจากประเทศอังกฤษก็ลุกยืนขึ้น พุ่งเป้าโจมตีมาที่ดยุกแดร็กคูล่าผู้อยู่ทางทิศใต้ของลานประชุม
เมื่อเสียงของชายวัยกลางคนผู้นั้นเงียบลง เสียงแหลมเล็กของแดร็กคูล่าก็ดังขึ้น
“เรธเวท ผ่านมาถึงหนึ่งพันปีแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้ใช้ชีวิตสงบสุขเสียที เลิกใช้ความเมตตาจอมปลอมของพวกแกหลอกลวงชาวโลกได้แล้ว บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเราต่างหาก ที่จะเป็นผู้ครอบครองโลกใบนี้!”
“สองคนนี้มีชีวิตอยู่มานานแค่ไหนกัน?”
บทสนทนาของทั้งสองทำให้สุภาพบุรุษจากหลากหลายประเทศภายในลานประชุมยากจะคล้อยตามไปด้วย ฟังจากคำพูดของแดร็กคูล่า ราวกับว่าพวกเขาได้ต่อสู้กันมากว่าพันปี แล้ว…ยังนับว่าเป็นมนุษย์กันอยู่หรือ? มนุษย์จะมีชีวิตยืนยาวขนาดนั้นได้อย่างไร?
“แวมไพร์สู้กับอัศวินโต๊ะกลม มีโชว์ดีๆ ดูแล้วสิ!”
“ประเทศอเมริกากับอังกฤษเป็นพันธมิตรกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่พวกเขาส่งมาจึงตีกันล่ะ?”
“นายไม่รู้เหรอ? ว่าอัศวินโต๊ะกลมของอังกฤษ เป็นผู้สืบสายเลือดโดยตรงของพระเยซูคริสต์ พวกเขาเลยไม่ยอมให้แวมไพร์คงอยู่ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมประเทศอเมริกาถึงส่งแดร็กคูล่ามา?”
ขณะที่บทสนทนาภายในลานดังขึ้น ก็เกิดความวุ่นวายภายในห้องประชุมเช่นกัน สายตานับไม่ถ้วนพุ่งตรงมาที่ อัฒจันทร์ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นผสมผสาน เป็นผลให้ภายในลานประชุมจอแจขึ้นมา
เมื่อมีพื้นที่สว่าง ความมืดก็ไม่อาจคงอยู่ เช่นเดียวกันกับที่ความมืดเองก็รังเกียจแสงสว่าง ดังนั้นอัศวินโต๊ะกลมผู้เรียกตัวเองว่าเป็นผู้สืบสายเลือดของพระเยซู และเหล่าแวมไพร์จึงถูกกำหนดให้กลายเป็นศัตรูกันตามธรรมชาติ เมื่อทั้งสองอยู่ร่วมกัน ย่อมก่อให้เกิดสงคราม
“มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะล้มล้างผู้ดูหมิ่นพระผู้เป็นเจ้า วันพิพากษาได้มาถึงแล้ว”
คนที่นั่งตำแหน่งประเทศอังกฤษลุกขึ้นยืนอีกหนึ่งคน มือถือโล่และดาบยาวเดินมายังกลางลานประชุม ชี้ไปยังแดร็กคูล่าแล้วพูดว่า
“แดร็กคูล่า ถ้าหากแกยังซ่อนตัวอยู่ในความมืดเช่นเดียวกับหนู อาจจะมีอายุยืนยาวขึ้นได้อีกสักนิด แต่ว่าเวลานี้ ความตายคือปลายทางหนึ่งเดียวของแก!”
“มิน่าเล่าประเทศจีนถึงได้กังวลเรื่องอำนาจของทิเบตนัก ที่แท้ความเชื่อทางศาสนาก็สามารถทำให้คนสูญเสียสติสัมปชัญญะได้?”
เห็นสถานการณ์ด้านล่างแล้ว เยี่ยเทียนก็เลิกคิ้วอย่างครุ่นคิด ในอดีตหลังจากรับมือกับเคิร์ททีไซบีเรียแล้ว เขาก็รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแวมไพร์มามากมาย ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงรู้เรื่องราวมากมายทั้งความแค้นเคืองระหว่างเผ่าแวมไพร์กับศาสนาคริสต์
ความจริงก่อนยุคกลาง คริสต์ศาสนาไม่ได้เป็นเพียงศาสนาเดียวในยุโรป ชนเผ่าแวมไพร์เองก็มีอิทธิพลยิ่งใหญ่และมีสาวกผู้ศรัทธามากมาย
อย่างไรก็ตามหลังจากสงครามครูเสด ทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ภายใต้การยินยอมของโป๊ป เหล่าเจ้าขุนมูลนายและอัศวินยุคศักดินาฝั่งยุโรปตะวันตก ก็ได้ก่อสงครามศาสนากับประเทศทางชายฝั่งตะวันออกเมอร์ดิเตอเรเนียนเป็นเวลาเกือบสองร้อยปี
แม้ว่าสงครามครูเสดส่วนใหญ่จะพุ่งเป้าโจมตีไปยังประเทศอิสลาม เพราะเป้าหมายหลักๆ เป็นไปเพื่อยึดกรุงเยรูซาเล็มกลับมาจากศาสนาอิสลาม แต่เผ่าแวมไพร์เองก็ กลายเป็นเป้าหมายการโจมตีกวาดล้างของพวกเขาเช่นกัน
หลังผ่านการสังหารโหดนองเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดเหล่าแวมไพร์ก็สาบสูญไปจากสังคมหลักในยุโรป เช่นเดียวกันกับแดร็กคูล่า ผู้อยู่ในอเมริกาเหนือซึ่งขยายอำนาจมาตลอดสองร้อยปี ด้วยที่นั่นยังเป็นสถานที่ที่วาติกันไม่อาจเอื้อมมือถึงได้
“เหล่ากู้ ชาวอังกฤษพวกนั้นไม่ใช่รัฐบาลส่งตัวมาใช่ไหม? ทำไมถึงไม่สนใจหน้าตาของรัฐบาลล่ะ ฉีกหน้ากันตรงๆ เลยงั้นหรือ?”
แม้ว่าจะเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความแค้นระหว่างเผ่าแวมไพร์กับชาวคาทอลิก แต่เยี่ยเทียนก็ยังสงสัยไม่คลาย การประชุมแลกเปลี่ยนวันนี้จะกำหนดสิทธิอำนาจในการออกเสียงของแต่ละประเทศในเวทีนานาชาติ ว่าตามหลักการต้องคิดถึงประเทศชาติเป็นหลัก อัศวินเหล่านั้นจึงควรจะควบคุมตัวเอง
ความจริงไม่เพียงเยี่ยเทียนเท่านั้นที่เห็นว่าแปลก คนบางส่วนภายในงานก็ลนลานราวกับมดบนกระทะร้อน
บทบาทของพวกเขาไม่ต่างจากกู้ต้าจวิน ล้วนเป็นเจ้าหน้าที่จากราชการซึ่งติดตามเหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมาร่วมงานประชุม ตอนนี้เห็นว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจากประเทศพันธมิตรสองประเทศกำลังจะห้ำหั่นกัน พวกเขาต่างโทรศัพท์กันอย่างบ้าคลั่ง ด้วยหวังว่าจะหยุด “สงครามภายใน”
“คุณเยี่ยครับ คนพวกนั้นล้วนเป็นอัศวินโต๊ะกลม พวกเขาไม่สนใจรัฐบาลหรอก”
ก่อนที่กู้ต้าจวินจะมาได้ขุดคุ้ยข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาไม่น้อย จึงเอ่ยปากอธิบายว่า
“อัศวินเหล่านี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาก ในอดีตพวกเขาเคยมีกษัตริย์อาเธอร์เป็นผู้นำ ติดตามกษัตริย์อาเธอร์ทำศึกสงครามทางตะวันตกสร้างคุณูปการไว้ไม่น้อย จึงมีคุณสมบัติเพียงพอจะเข้าร่วมในเหตุการณ์ระหว่างประเทศ…”
ในฐานะผู้คุ้มกันที่ขึ้นตรงต่อกษัตริย์อาเธอร์ อัศวินโต๊ะกลมเคยมีชื่อเสียงระบือไกล แต่เนื่องจากเหตุชู้สาวระหว่างลานสล็อตกับพระราชินีของกษัตริย์อาเธอร์ในอดีต ก่อให้เกิดการแตกแยกระหว่างอัศวินโต๊ะกลม และหายตัวไปจากสายตาผู้คนนับตั้งแต่นั้นมา
แต่ใครเลยจะรู้ว่า เหล่าอัศวินโต๊ะกลมที่เหลือต่างสืบทอดกันรุ่นต่อรุ่นในแต่ละยุคสมัย คอยคุ้มกันสหราชอาณาจักรมาตลอด เมื่อครั้งมีสงครามครูเสดก็ยังสามารถพบตัวพวกเขาได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามอัศวินโต๊ะกลมจะทุ่มเทกำลังให้แก่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น ไม่ได้ให้ความสนใจต่อรัฐบาลอังกฤษ
“พวกเสแสร้งจอมปลอมอย่างพวกแกก็แค่ใช้จำนวนเข้าข่ม ได้ตามที่ปรารถนา ข้าเองก็อยากลิ้มรสเลือดของอัศวินโต๊ะกลมเช่นเดียวกัน!”
ขณะที่เยี่ยเทียนและกู้ต้าจวินพูดคุยกัน บรรยากาศภายในลานประชุมก็แปรเปลี่ยนไปด้วย เมื่อถูกยั่วยุโดยอัศวินโต๊ะกลมเช่นนี้ ถ้าหากเขายังไม่ลงไปยังลานประลอง สถานภาพของแดร็กคูล่าในโลกแห่งความมืดก็จะลดลงฮวบฮาบ ดังนั้นแม้ต้องรวบรวมความกล้า เขาก็ต้องลงไปประจันหน้าให้ได้
ขณะที่แดร็กคูล่าเตรียมตัวจะลงสนามรบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง พลันมีเสียงดังมาจากที่นั่งฝั่งอังกฤษ
“หัวหน้าหน่วยอัศวินเรธเวทครับ มีโทรศัพท์ให้คุณรับสักครู่ จาก…จากพระราชินีครับ!”
“หือ?”
อัศวินโต๊ะกลมที่เดินลงไปยังลานประลองขมวดคิ้ว ยึกยักไม่ยอมกลับเล็กน้อย เขามาจากดินแดนโต๊ะกลมศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกปิดผนึก ดวงชะตากำลังจะสิ้นสุดในอีกไม่นาน เขาเพียงคิดจะใช้เวลาที่เหลือ สะสางความแค้นต่อศัตรูที่สั่งสมมาหลายต่อหลายปี
แต่เมื่อเป็นโทรศัพท์จากพระราชินี เรธเวทจะไม่รับก็ไม่ได้ นี่ก็เป็นกฎเหล็กข้อสำคัญที่สุดของอัศวินที่ต้องเคารพ ซึ่งก็คือความจงรักภักดี
“น่าเบื่อจริง การประลองนี้ดำเนินต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ”
เยี่ยเทียนกระดิกหู บทสนทนาข้างหูเรธเวทล้วนเข้าหูเขาทั้งหมด
ตามคาด หลังจากที่เรธเวทวางสายโทรศัพท์ เขาก็กล่าวเสียงดังว่า
“แดร็กคูล่า หลังงานประชุมนี้จบ ฉันหวังว่าแกคงจะไม่หนีหัวซุกหัวซุนเป็นหนูในท่อล่ะ”
“หึ กล้าดีก็เข้ามาตอนนี้เสียเลยสิ!”
แดร็กคูล่าหัวเราะเย็น แต่ร่างที่ยืนอยู่กลับนั่งกลับลงไปอีกครั้ง ทักษะการโจมตีบางอย่างของสำนักวาติกันมีคุณสมบัติในการควบคุมพวกเขา หากไม่มีทางเลือกจริงๆ แดร็กคูล่าจะไม่ยอมสู้รบกับพวกเสียสติเหล่านี้เช่นกัน
เรธเวทเองก็ไม่ตอบคำพูดของแดร็กคูล่า ถึงตอนนี้จะมาลับฝีปากกันก็ไม่มีประโยชน์อะไร นั่นเพราะเขาต้องเคารพคำสั่งของราชีนีอย่างไม่มีเงื่อนไข หลังจากหย่อนร่างนั่งลงแล้ว เรธเวทก็หันไปกระซิบใส่หูเพื่อนฝูงเขาสองสามคำ เห็นได้ชัดว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่
“ฟ้าร้องกึกก้องมีฝนหยดเดียว น่าเบื่อจริงๆ!”
หนึ่งการประลองถูกสายโทรศัพท์ยกเลิกไปแล้ว คนที่รอดูความครึกครื้นในตอนแรก ต่างรู้สึกเบื่อหน่ายกันไปหมด เยี่ยเทียนเหลือบสายตามองไปยังนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ แอบคิดอยู่ภายในใจว่าจะเป็นเขาที่ริเริ่มหายนะครั้งนี้ดีหรือไม่?
ทว่าไม่ทันเยี่ยเทียนจะคิดเสร็จ ด้านล่างเวทีพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ผมคือโอคาดะ มาซากะชาวญี่ปุ่น ต้องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากคุณเยี่ยเทียนจากประเทศจีนเสียหน่อย ไม่ทราบว่าคุณเยี่ยเทียนจะยอมรับคำท้าจากผมหรือไม่?”
“ท้าดวลฉันหรือ?”
เยี่ยเทียนถูกเสียงที่ดังขึ้นจากเครื่องแปลภาษาทำเอาตกใจจนสะดุ้ง เขาไม่ได้ไปหาเรื่องใคร แต่คนผู้นั้นก็มาจุดธูปเรียก นึกไม่ถึงว่าจะมีคนวอนตายถึงที่ เยี่ยเทียนจึงไม่มีเหตุผลไม่ตอบสนองอีกฝ่าย!
“บนร่างมีคลื่นปราณวิเศษเล็กน้อย เอ๋ แถมนำธงค่ายกลมาด้วย?”
พอลองปล่อยจิตสัมผัสไปยังที่ที่มีเสียงพูดดู ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็เคลื่อนไหวเล็กน้อย ชาวญี่ปุ่นผู้นี้น่าจะมีศาสตร์วิชาหลบหลีกจากประเทศจีน อีกทั้งยังมีพรสวรรค์สูงลิ่ว ถึงขนาดฝึกฝนวิชาหลบหลีกได้ระดับสูงขนาดนี้ หากพูดถึงในวงการศาสตร์ลี้ลับ เกรงว่าน่าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าโจวเซี่ยวเทียน
แต่หากท้าดวลกับเขา โอคาตะ มาซากะคงจะประเมินตนเองสูงเกินไปหน่อย ใบหน้าของเยี่ยเทียนผุดรอยยิ้มเย็น ในเมื่ออยากตาย ตนเองก็ย่อมทำให้อีกฝ่ายได้สมหวัง ส่งเขาไปเกิดใหม่
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังคิดจะตอบรับคำท้าโอคาตะ มาซากะอยู่นั้นเอง โจวเซี่ยวเทียนที่อยู่ด้านข้างก็รั้งตัวเขาเอาไว้ เอ่ยปากบอกว่า
“อาจารย์ ให้ผมไปเถอะครับ อาจารย์ก็รู้ว่าผมเกลียดชาวญี่ปุ่นที่สุด!”
ตระกูลโจวเดิมทีเป็นตระกูลใหญ่ที่สืบทอดกันมาในประเทศจีนเป็นพันปี แต่ครอบครัวโชคร้ายให้กำเนิดคนต่ำช้า ภายหลังยิ่งเมื่อทำการทรยศ ส่งผลให้ตระกูลโจวไม่กล้าเงยหน้าสู้คนในสำนัก ในฐานะผู้สืบทอดหนึ่งเดียวของตระกูลโจว โจวเซี่ยวเทียนจึงอยากชะล้างความอับอายครั้งนี้
“แกอยากจะประลองหรือ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วลังเลไปชั่วขณะ วรยุทธ์ของโอคาตะ มาซากะคนนี้ไม่เท่าไหร่นักในสายตาเขา แต่เทียบกับโจวเซี่ยวเทียนก็นับว่าแข็งแกร่งไม่อ่อนด้อย อีกทั้งดูจากพลังพิฆาตไร้รูปร่างที่โอบล้อมร่างกายของเขาแล้ว มือของเจ้ายุ่นนี่คงจะเปรอะเปื้อนเลือดมาไม่น้อย
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่พูดจา โจวเซี่ยวเทียนก็รีบตอบ
“อาจารย์ ลมปราณในตัวของคนผู้นี้ก็พอๆ กับผม แต่ว่าเขาอายุมากขนาดนั้นแล้ว หากผมยังเอาชนะเขาไม่ได้ จะไม่เป็นการเอาหัวชนเต้าหู้ตายหรือ!”
เมื่ออายุเพียงสิบกว่าขวบก็กล้าหาญพอจะขุดสุสาน โจวเซี่ยวเทียนจึงไม่ใช่คนบุ่มบ่ามอย่างแน่นอน เขาสามารถสัมผัสถึงพลังที่แท้จริงของโอคาตะ มาซากะที่ลงสนามได้ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเรธเวทกับแดร็กคูล่าเมื่อครู่นี้ โจวเซี่ยวเทียนย่อมไม่เสนอหน้าหาเรื่องตาย
เยี่ยเทียนพยักหน้า ตบบ่าโจวเซี่ยวเทียน ตอบว่า
“หยกไม่เจียระไนไม่อาจใช้งาน แกเองก็ควรจะผ่านประสบการณ์เฉียดตายเสียบ้าง!”
กระทั่งโจวเซี่ยวเทียนเองยังไม่รู้ว่า ขณะที่เยี่ยเทียนตบบ่าเขา ได้ส่งปราณวิเศษเข้าไปในร่างเขาไว้อย่างไร้ร่องรอย
ตอนที่ 918 ประมือ
“ท่านสุภาพบุรุษทั้งสองท่าน ตามกฎของงานประชุม การแลกเปลี่ยนความสามารถจะกินเวลาสองนาที หนึ่งนาทีแรกเป็นการแสดงคุณสมบัติ พวกคุณสามารถแสดงความสามารถเหนือธรรมชาติของตนเองภายในลานประลอง จากนั้นสุภาพบุรุษในงานประชุมจะเป็นผู้ตัดสินว่าใครมีพลังแข็งแกร่งกว่า…”
ขณะที่โจวเซี่ยวเทียนลงไปยังลานประลองนั้นเอง แฟรงก์ เจ้าภาพของงานที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนก็โผล่ออกมาอีกครั้ง ในมือถือเอกสารปึกหนึ่ง กล่าวว่า
“นอกจากนั้นยังมีอีกวิธีนึง คืออาศัยการแสดงพลังเหนือธรรมชาติของทั้งสองท่านต่อสู้กัน แปลว่าในการประลองอาจเกิดสิ่งไม่คาดฝันได้บ้าง ผมหวังว่าทั้งสองท่านจะสามารถลงนามในสัญญา ว่าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จะไม่สามารถเรียกร้องให้อีกฝ่ายรับผิดชอบ!”
“ผู้กล้าแห่งแดนญี่ปุ่นอันเกรียงไกร แต่ไหนแต่ไรไม่อวดแสดงฝีมือ เจ้าหนุ่มน้อยกล้าพอจะลงนามสิ่งนี้กับฉันหรือเปล่า?”
โอคาดะ มาซากะที่สวมใส่ชุดซามูไรสีดำ ดูไปแล้วอายุนับว่าไม่น้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยับย่น แต่ภายในร่างเล็กนั่นกลับดูเหมือนซุกซ่อนอสูรร้ายป่าเถื่อนเอาไว้ ลมปราณที่แผ่ออกมาแสดงถึงภยันอันตราย
โอคาดะ มาซากะเป็นผู้ปลีกวิเวกคนหนึ่งในญี่ปุ่น เขาใช้ชีวิตอยู่เชิงภูเขาไฟฟูจิ ภายในบ้านไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไร นอกจากหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างออกมาไม่ไกลเขาก็ไม่ได้ติดต่อใดๆ กับโลกภายนอก เหมือนเป็นแค่ชายแก่ธรรมดาคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าชายชราคนนี้เคยเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นถึงสองพระองค์ เมื่อสมัยพันธมิตรแปดชาติ เขาเป็นชาวญี่ปุ่นคนแรกที่เข้ามาในหยวนหมิงหยวน (พระราชวังฤดูร้อนเก่า) และคนที่จุดไฟเผาผลาญหยวนหมิงหยวน ก็คือโอคาดะ มาซากะนี่เอง
ในการปล้นชิงครั้งนั้น โอคาดะ มาซากะไม่เพียงได้สมบัติโบราณล้ำค่าไปจำนวนมาก แต่ยังได้รับตำราเต๋าเกี่ยวกับศาสตร์วิชาหลบหลีก หลังจากกลับมายังประเทศแล้ว เขาก็ลาออกจากกองทัพทันที นอกจากสั่งสอนองค์ชายน้อย ก็ทุ่มเทจิตใจให้กับการศึกษาค้นคว้าศาสตร์วิชาเต๋า
ว่าไปโอคาดะ มาซากะก็เป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง อาศัยพลังภายในมากมายที่เคยช่วงชิงไปจากจีน รวมกับตำราศาสตร์เต๋าเล่มนั้น โอคาดะ มาซากะก็ได้ขึ้นสู่ระดับเซียนเทียนเมื่อตนเองกำลังจะถึงอายุขัยหนึ่งร้อยยี่สิบปีพอดี
ระดับโฮ่วเทียนเข้าสู่เซียนเทียน เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เท่ากับเกิดใหม่ อีกทั้งยังเพิ่มอายุขัยให้โอคาดะ มาซากะจนเกือบสองร้อยปี หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน พอคนจากในพระราชวังเชิญให้ออกจากภูเขามาร่วมงานชุมนุมผู้มีพลังเหนือธรรมชาติครั้งนี้ โอคาดะ มาซากะก็ตกปากรับคำอย่างยินดี
แต่ความจริงแล้วภายในนั้นยังมีเหตุผลอื่น นั่นก็คือโอคาดะ มาซากะและตระกูลคิตะมิยะ มีสายสัมพันธ์ที่ตัดกันไม่ขาด อดีตภรรยาของเขาเป็นหญิงสาวจากตระกูลคิตะมิยะ และน้องสาวของโอคาดะ มาซากะ ก็แต่งงานเข้าตระกูลคิตะมิยะด้วยเช่นกัน
ถ้าหากครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาโอคาดะ มาซากะไม่หลบเร้นอยู่ภายในภูเขาฟูจิเพื่อรู้แจ้งในวิชาฉีเหมิน ด้วยอำนาจอิทธิพลภายในพระราชวังของเขา สถานการณ์ของตระกูลคิตะมิยะก็คงดีขึ้นกว่านี้ คิตะมิยะ ฮิเดโอะคงจะไม่ถึงกับลงเดิมพันหมดหน้าตัก ส่งมือดีไปหาสมบัติยังพม่า
และคิตะมิยะ ฮิเดโอะ ก็เป็นหลานในใส้ของน้องสาวโอคาดะ มาซากะ หลังจากรู้ว่าการตายของคิตะมิยะ ฮิเดโอะและชาวจีนชื่อเยี่ยเทียนมีความเกี่ยวข้องกันบางอย่างซึ่งสลัดไม่หลุดแล้ว โอคาดะ มาซากะผู้เดิมทีคิดว่าจะแวะเวียนไปยังเมืองจีน กลับคาดไม่ถึงว่าจะได้พบกับเยี่ยเทียนในงานประชุมครั้งนี้ โอคาดะ มาซากะจึงออกมาท้าดวลเยี่ยเทียนในทันที
ส่วนเรื่องที่เยี่ยเทียนให้โจวเซี่ยวเทียนรับคำท้า โอคาดะ มาซากะไม่ถือสาอะไร เขาสามารถมองออกว่าวรยุทธ์ของโจวเซี่ยวเทียนพอๆ กับตนเอง ด้วยวิชานินจาผสมผสานกับวิชาฉีเหมิน เกรงว่าโจวเซี่ยวเทียนคงไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าตนเองตายอย่างไร
“ว่าไงล่ะ เจ้าหนุ่ม กล้าลงนามในสัญญานี้ไหม?”
เมื่อเห็นว่าโจวเซี่ยวเทียนไม่กล้าตกปากรับคำตนเองในทันที โอคาดะ มาซากะที่ได้รับอิทธิพลจากลัทธิการทหารของญี่ปุ่นเผยสีหน้าเหยียดหยามออกมา ยิ่งรู้สึกกระหยิ่มใจ เขาจินตนาการเอาไว้แล้วว่าหลังจากตนเองจัดการเจ้าหนุ่มคนนี้ เยี่ยเทียนที่อยู่บนอัฒจันทร์มีหรือจะไม่ตีโพยตีพายเหมือนเสียบุพการี
“ไอ้ยุ่นเฒ่า ในเมื่ออยากไปเกิดใหม่ไวนัก ฉันก็จะไม่เกรงใจล่ะ”
หลังจากได้ยินคำพูดจากเครื่องแปลแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาของโจวเซี่ยวเทียนก็เผยสีเขียวจาง ชิงปากกาในมือแฟรงก์แล้วเซ็นชื่อตนเองลงในสัญญา
“ได้ ฉันล่ะชอบดูเด็กหนุ่มไฟแรงอย่างแกร้องโหยหวนจนตายที่สุด วางใจเถอะ ฉันจะทำให้แกรู้ว่า ตายดีกว่าอยู่มันเป็นอย่างไร!”
โอคาดะ มาซากะรังเกียจที่สุดเมื่อมีคนอื่นมาหาว่าเขาแก่ อีกทั้งเมื่อเติมคำว่า “ไอ้ยุ่น” สองคำเข้าไปด้วย สีหน้าจึงเคร่งเครียดขึ้นมาทันใด พลังมหาศาลที่ถูกเขาเก็บงำไว้มาตลอด ปลดปล่อยออกมาโดยไม่สนใจสิ่งใดอีก
“คนนั้นแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ?”
“เขาแก่ขนาดนั้นแล้ว ทำไมยังกักเก็บลมปราณขนาดนั้นได้?”
“ในโลหิตของเขาบรรจุปราณวิเศษเอาไว้ เป็นของบำรุงชั้นดีทีเดียว!”
หลังจากแรงกดดันที่โอคาดะ มาซากะปลดปล่อยออกมาครอบคลุมภายในสถานที่ทั้งหมด ผู้คนต่างก็หน้าถอดสี นั่นเพราะนอกจากไม่กี่คนที่สามารถดูออกถึงความแข็งแกร่งของโอคาดะ มาซากะแล้ว คนอื่นๆล้วนไม่สามารถสัมผัสถึงพละกำลังอันแข็งแกร่งภายในที่ถูกกดเอาไว้ภายในร่างได้เลย
แน่นอนว่าคนที่นั่งอยู่ภายในลานเหล่านี้ยังมีบุคคลที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าโอคาดะ มาซากะ พระสงฆ์ชาวอินเดียหลายรูปเพียงแค่เปิดตาขึ้นมอง แล้วก็ปิดตาลงทำสมาธิต่อ ส่วนแดร็กคูล่า เพียงแต่ใช้ลิ้นเลียริมฝีปากแดงสด ภายในดวงตาฉายแววหิวกระหาย
วิวัฒนาการของเหล่าแวมไพร์ จำเป็นต้องสูบโลหิตที่สั่งสมปราณวิเศษอันบริสุทธิ์อย่างไม่หยุดหย่อน
ด้วยวรยุทธ์ของแดร็กคูล่า การดูดเลือดคนธรรมดาไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว เหตุผลหลักๆ ที่เขาตอบรับคำเชิญจากรัฐบาลอเมริกาเข้าร่วมงานประชุมผู้มีพลังเหนือธรรมชาติครั้งนี้ ความจริงก็เพื่อเสาะหาเหยื่อของตนเอง
“ประลองความแข็งแกร่งหรือ? โอคาดะ มาซากะวอนตายซะแล้ว!”
หลังจากเยี่ยเทียนที่อยู่ด้านบนอัฒจันทร์ สัมผัสได้ถึงพลังงานที่โอคาดะ มาซากะปลดปล่อยออกมา ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มเหี้ยม เขากลัวว่าโอคาดะ มาซากะจะใช้วิชานินจาและวิชาฉีเหมินรับมือลูกศิษย์ตัวเอง แต่ถ้าวัดกันเพียงแค่พละกำลัง เขาก็คาดคะเนผิดไปแล้ว
ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวเซี่ยวเทียนฝึกฝนมวยแปดสุดยอดตั้งแต่ยังเล็ก จึงมีพื้นฐานแข็งแกร่งมาก หลังจากมาคำนับเข้าสำนักของเยี่ยเทียนแล้วได้พบพานเฝิงเหิงอวี่ผู้เลื่องลือในมวยแปดสุดยอด ก็ได้คว้าศาสตร์หัวใจหลักของมวยแปดสุดยอดไว้ในมือ
ที่ผ่านมามวยแปดสุดยอดโด่งดังเรื่องความแข็งแกร่ง ยิ่งเมื่อบวกกับหลายปีมานี้ที่โจวเซี่ยวเทียนฝึกฝนกับพลอยวิเศษมาตลอด ปราณชีวิตภายในร่างกายส่วนใหญ่จึงแปรเปลี่ยนเป็นปราณแท้ เขาห่างชั้นจากโอคาดะ มาซากะเพียงแค่การแปรผันจิตดั้งเดิม แต่หากพิจารณาด้วยพละกำลังและการโจมตี โจวเซี่ยวเทียนไม่นึกเกรงกลัวฝ่ายตรงข้ามเลยสักนิด
“เซี่ยวเทียน เมื่อครู่ตอนบอกความสามารถเหนือธรรมชาติ นายบอกว่าตัวเองมีพละกำลังแข็งแกร่ง อย่าให้เสียชื่อล่ะ!”
เสียงของเยี่ยเทียนลอยเข้าหูของโจวเซี่ยวเทียนอย่างชัดเจน ด้วยวรยุทธ์ของเขา ย่อมไม่หวั่นกลัวว่าคลื่นเบาบางภายในอากาศจะถูกโอคาดะ มาซากะพบเข้า
หลังจากได้ยินคำพูดของอาจารย์แล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็เหลือบมองยังเยี่ยเทียนแวบหนึ่ง พยักหน้าอย่างหนักหน่วง ขาขวาถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว แล้วตั้งท่ามวยแปดสุดยอด แตกต่างจากพลังงานอันน่าหวั่นเกรงที่โอคาดะ มาซากะปล่อยออกมา โจวเซี่ยเทียนกลับไม่แผ่พลังงานออกมานอกร่างของเขาเลย
มวยกำลังภายในเมื่อฝึกฝนถึงขั้นสูงสุด จะสามารถปิดรูขุมขนทั่วทั้งร่างกาย ไม่ปล่อยให้กำลังเล็ดรอดออกมา มีเพียงเวลาต่อยถูกตัวเท่านั้น จึงจะสำแดงพลัง
ในอดีตสมัยต่งไห่ฉวนปรมาจารย์มวยแปดสุดยอดชื่อดังไปเยือนสหายแล้วเดินผ่านตลาด วัวตัวหนึ่งตกใจเสียงประทัดวิ่งห้อฝ่าฝูงชนในตลาดอันเนืองแน่น หลังจากขวิดคนบาดเจ็บไปมากมาย ก็ถูกต่งไห่ฉวนหยุดไว้บนถนน
ม้าและวัวที่ตื่นตกใจ ส่วนใหญ่แล้วหากไม่สงบสติอารมณ์เอง ก็ยากจะถูกคนควบคุม วัวตัวนั้นกรีดร้อง ก้มหัวต่ำจะใช้เขาพุ่งชนต่งไห่ฉวน ขณะที่ตามองพลางจะแทงท้องและอกต่งไห่ฉวน ต่งไห่ฉวนเพียงถอยให้วัวก้าวหนึ่ง แล้วใช้ฝ่ามือตบลงบนหลังวัวเบาๆ
แต่สิ่งที่ทำให้คนตกอกตกใจก็คือ เพียงหมัดเดียวเท่านั้น วัวที่หนักกว่าหลายร้อยกิโลกลับร้องโหยหวน แขนขาอ่อนยวบล้มลงกับพื้น หายใจสั้นๆ ออกมาไม่กี่ครั้ง แล้วดวงตาทั้งสองข้างก็ไร้แวว
เมื่อวัวขวิดคน เจ้าของจึงต้องชดใช้ เจ้าของวัวตัวนั้นจึงแล่วัวขายเนื้อในตลาดอย่างจนใจ พอเปิดอวัยวะภายในวัวออก คนทั้งหลายล้วนต้องก็ตกตะลึง เพราะอวัยวะภายในของวัวถูกกระเทือนจนแหลกเหลว ข้างในไม่มีชิ้นเนื้อดีให้เห็นเลยสักชิ้น
และนี่ก็คือพลังของมวยกำลังภายใน และฝีมือของโจวเซี่ยวเทียนเวลานี้ก็เหนือกว่าต่งไห่ฉวน นอกจากเยี่ยเทียนแล้ว ต่อให้เป็นโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้น ล้วนไม่กล้าต้านทานหมัดของเขาสักคน ดังนั้นถึงแม้จะเผชิญหน้ากับโอคาดะ มาซากะที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียน โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่หวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าหนุ่ม อย่าคิดว่ามีแต่พวกเจ้าชาวจีนที่มีวิทยายุทธ์ ฉันจะให้แกได้ลิ้มรสวิชามวยญี่ปุ่นบ้าง!”
หลังจากเห็นโจวเซี่ยวเทียนเปิดฉาก โอคาดะ มาซากะก็ส่งเสียงดังขึ้นมา เท้าขวาจมลงไปในพื้นทันที พื้นที่ถูกปูด้วยหินสีเทานั่น พลันถูกเหยียบแตกออก และร่างผ่ายผอมของโอคาดะ มาซากะก็ราวกับขยายใหญ่ขึ้นมาในฉับพลัน อาศัยจังหวะพุ่งตัวมาด้านหน้า ใช้มือขวาซัดหมัดโจมตีใส่หน้าอกโจวเซี่ยวเทียน
“เข้ามาเลย!”
หลังจากลงประลองแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็มีทีท่าสงบเสงี่ยมมาตลอด จวบจนหลังจากโอคาดะ มาซากะออกหมัดโจมตี กำปั้นขวาที่ซ่อนอยู่ล่างเอวจึงหมุนตัวออกมา พร้อมกับเสียงลมหวีดหวิวระลอกหนึ่ง
อีกทั้งจังหวะที่โจวเซี่ยวเทียนออกหมัดเหมาะเจาะอย่างมาก เขาสกัดโอคาดะ มาซากะในขณะที่ยังไม่ได้ส่งแรงลงไปยังหมัดอย่างเต็มที่ แล้วโจมตีลงไปบนหมัดข้างขวาของโอคาดะ มาซากะ จึงเท่ากับโอคาดะ มาซากะสามารถออกแรงได้เพียงแปดส่วน
“เปรี้ยง!”
จากการปะทะของสองหมัด ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นปานสายฟ้าท่ามกลางอากาศ คนทั้งสองถอยหลังไปสามก้าวพร้อมกัน ห้วงอากาศระหว่างตัวพวกเขาดูราวบิดเบี้ยวไปทั้งหมด ระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวแผ่ออกไปจากร่างกายพวกเขาทั้งสี่ทิศ
“มวยญี่ปุ่นหรือ? ลอบเรียนเพียงเส้นขนบางส่วนจากเส้าหลิน แล้วหมัดอรหันต์นี่ยังจะกล้าเรียกว่าเป็นมวยญี่ปุ่นได้หรือ?” หลังจากยืนมั่นคงแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็หัวเราะเย้ย
“ไอ้ยุ่นเฒ่า คราวนี้รู้หรือยังว่าอะไรเรียกว่าวิชามวย? อย่ามาทำขายหน้าที่นี่ดีกว่า”
“บากะ (ระยำ)!”
คำพูดของโจวเซี่ยวเทียนทำให้ขนคิ้วของโอคาดะ มาซากะลุกชัน ดวงตาฉายจิตสังหาร แต่ว่าคนที่สายตาแหลมคมภายในลานประชุมต่างรู้ว่า หมัดขวาที่อยู่ติดฝั่งขาด้านขวาของโอคาดะ มาซากะ เวลานี้กำลังสั่นเทาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเจ็บปวดจากการประมือเมื่อครู่
ตอนที่ 919 สอยร่วง
แม้ว่าโอคาดะ มาซากะจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนจากโฮ่วเทียนแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ฝึกฝนวิชาอย่างเป็นระบบ เพียงแค่ด้านกำลังจิตได้แปรเปลี่ยนจากจิตสำนึกเป็นจิตดั้งเดิม ทั้งยังไม่ได้ฝึกฝนกับพลอยวิเศษ พละกำลังภายในร่างกายของเขา ความจริงยังค้างอยู่ที่สุดยอดโฮ่วเทียน ซึ่งเทียบกับโจวเซี่ยวเทียนได้ไม่ต่างกัน
แต่ว่าเมื่อนำกำลังมาปรับใช้ โอคาดะ มาซากะกลับห่างชั้นจากโจวเซี่ยวเทียนมาก เริ่มแรกตอนเขาปลดปล่อยกำลังภายใน ดูเหมือนน่าตกตะลึง แต่แท้ที่จริงกลับปล่อยพละกำลังของตนเองกระจายสลายทิ้งจนไม่สามารถสำแดงพลังที่แท้จริง
แต่การโจมตีของโจวเซี่ยวเทียน กลับคมกริบกว่ามาก กระทั่งวินาทีก่อนหมัดคู่ประสานกัน เขายังไม่ได้ปล่อยพลังปราณชีวิตหลุดรอดออกมาแม้แต่น้อย แค่ตอนหมัดทั้งสองเผชิญหน้ากันเท่านั้น ที่โจวเซี่ยวเทียนปล่อยพลังอย่างกะทันหัน บวกกับการหมุนควงมือช่วยเพิ่มพละกำลังให้กับหมัด พลังหมัดนี้ของเขาจึงเหนือกว่าโอคาดะ มาซากะมาก
“ไม่รู้จักประมาณตัวเองเลย!”
เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์เห็นภาพนั้นแล้ว มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มจาง เขาเห็นชัดเจนกว่าคนรอบด้าน ว่าความเจ็บปวดของโอคาดะ มาซากะจากการประสานหมัดคู่นั้นรุนแรงกว่าที่เขาแสดงออกมามากนัก
พละกำลังของฝ่ายหนึ่งแตกกระจาย ส่วนอีกฝ่ายกลับรวมกำลังทั้งร่างไว้เพียงจุดเดียว ท่ามกลางการโจมตีภายในคลื่นอากาศที่สั่นไหวเป็นระลอก มีเพียงเยี่ยเทียนที่ได้ยินเสียง “กร๊อบ” ดังเบาๆ ซึ่งก็คือกระดูกนิ้วมือขวาของโอคาดะ มาซากะ ที่ถูกโจวเซี่ยวเทียนกระแทกจนแตกหัก
“ไอ้เฒ่ายุ่น ยังจะกล้าชกมาอีกไหม?”
สถานการณ์ภายในลานประลองเทียบกับเมื่อครู่ กลับตาลปัตรไปโดยสิ้นเชิง เวลานี้ท่วงท่าของโจวเซี่ยวเทียนราวกับสายรุ้ง ทว่าร่างกายของโอคาดะ มาซากะกลับหดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าหนุ่ม อย่ากำแหงเกินไปนัก!”
ใช้ชีวิตอยู่มาร้อยกว่าปี โอคาดะ มาซากะจึงไม่มีเลือดลมพุ่งพล่านอย่างเด็กหนุ่มแล้ว เดิมทีคิดจะสอยโจวเซี่ยวเทียนร่วงในหมัดเดียวเพื่อกู้ศักดิ์ศรี แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะต้องเจ็บปวดเช่นนี้ โอคาดะ มาซากะจึงไม่ยอมบุ่มบ่ามพุ่งชนกับโจวเซี่ยวเทียนต่อไป ทันใดร่างกายก็หดลง หายตัวไปจากด้านหน้าโจวเซี่ยวเทียนอย่างฉับพลัน
“อ้าว? คนนั้นไปไหนแล้วล่ะ?”
“ทำไมจู่ๆ ก็หายตัวไป หรือว่าพลังวิเศษของเขาคือการหายตัว?”
“ขนาดลมปราณยังหายไปด้วย พิสดารเหลือเกิน นี่มันพลังอะไรกัน?”
ไม่เพียงแค่โจวเซี่ยวเทียนจะสัมผัสตัวตนของโอคาดะ มาซากะไม่ได้ แต่ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่อยู่บนอัฒจันทร์ ก็ไร้ซึ่งเงาร่างของโอคาดะ มาซากะเช่นกัน มีบางคนปล่อยพลังจิตออกมาเพื่อสัมผัสดู แต่กลับไม่สามารถพบตัวโอคาดะ มาซากะด้วยซ้ำ
เหตุพลิกผันอย่างฉับพลันเช่นนี้ ทำให้ภายในลานประชุมเกิดโกลาหลขึ้นมา ถ้าหากเป็นการใช้วิชาซ่อนตัวจริงๆ แล้ว ก็ต้องประเมินพลังที่แท้จริงของโอคาดะ มาซากะกันใหม่ ลองคิดดูว่าหากมีใครซ่อนตัวอยู่ข้างหลังคุณแล้วลอบสังหารจากด้านหลังอย่างฉับพลัน เกรงว่าคนที่อยู่ภายในงานเก้าสิบเก้าเปอร์เซนต์คงไม่มีใครรับมือได้
หลังจากการหายตัวไปของโอคาดะ มาซากะ โจวเซี่ยวเทียนที่ยืนอยู่ภายในลานประลองดูออกจะสับสนเช่นกัน วางท่าตั้งหมัด แต่สายตากลับมองทั่วทั้งสี่ทิศ เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเสาะหาตัวโอคาดะ มาซากะได้เลย
“ตายซะเถอะ!”
ขณะที่โจวเซี่ยวเทียนติดอยู่ในวังวน ฝ่ามือผอมแห้งหนึ่ง พลันประทับลงบนหลังเขา หลังจากแรงฝ่ามือส่งออกมาแล้ว โอคาดะ มาซากะจึงได้ส่งเสียงออกมา นี่จึงเป็นการลอบทำร้ายอย่างแท้จริง
แม้ว่าการกระทำของโอคาดะ มาซากะจะขี้โกง แต่เวลานี้เป็นการจัดประชุมพลังวิเศษ วิชาหายตัวจึงนับว่าเป็นหนึ่งในพลังวิเศษเช่นเดียวกัน โอคาดะ มาซากะจึงถือว่านำมาใช้ได้อย่างสมเหตุสมผล แม้คนรอบด้านรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ไม่สามารถกล่าวโทษเขาได้
“พรวด!”
โจวเซี่ยวเทียนที่ถูกโจมตีโดยฝ่ามือนี้ ร่างกระเด็นไปด้านหน้าถึงเจ็ดแปดเมตร ขณะที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศ เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาจากปาก ด้านหน้าอกของชุดฝึกวิชาสีขาวหิมะพลันชุ่มโชกไปด้วยเลือด
ปฏิกิริยาของโจวเซี่ยวเทียนนับว่าว่องไวอย่างยิ่ง ทันทีที่เท้าแตะถึงพื้น ร่างก็หมุนอย่างฉับพลัน หมัดโจมตีสู่ห้วงอากาศ ด้านหน้าหมัดของโจวเซี่ยวเทียนพลันเกิดเสียงหนักหน่วงดังขึ้น พลังมหาศาลระลอกหนึ่งโจมตีโอคาดะ มาซากะกระเด็นไปเจ็ดถึงแปดเมตร
“ถูกฝ่ามือนั้นของข้าไป แล้วยังมีแรงขนาดนี้อีกรึ?”
ได้ยินเสียงแรงหมัดนั่นทะลุผ่านอากาศ โอคาดะ มาซากะเองก็แอบตกตะลึงอยู่เช่นกัน เขาตั้งคำถามกับตนเองว่าฝ่ามือนั้นสามารถพอจะเฉือนโลหะผ่าศิลา แต่ไม่รู้ว่าทำไมโจวเซี่ยวเทียนจึงเพียงกระอักเลือดแต่ไม่เป็นอันตราย
แต่ว่าเมื่อโอคาดะ มาซากะได้ลิ้มรสความหอมหวานของการลอบทำร้าย ย่อมไม่ยอมเผชิญหน้ากับโจวเซี่ยวเทียนต่อหน้า จึงขยับร่างวูบไหวในทันใด คล้ายจะหลอมรวมเข้าในอากาศ แล้วทั้งร่างก็หายวับไปอย่างลึกลับ
“แกหายไปไหน? ออกมานะ!”
เมื่อเป้าหมายหายตัวไป โจวเซี่ยวเทียนที่อยู่ในลานประลองก็กลับกลายเป็นร้อนรนขึ้นมา สองหมัดโจมตีข้างกายเป็นระยะ ราวกับว่าทำเช่นนี้จะสามารถบีบให้โอคาดะ มาซากะปรากฎตัวได้
“ยังอ่อนหัดเกินไปจริงๆ การโจมตีครั้งต่อไปของโอคาดะ มาซากะ เกรงว่าคงจะสามารถทำให้เจ้าหนุ่มนั่นถึงแก่ชีวิต!”
ภายในลานประชุมไม่ไร้ซึ่งคนหัวไว การรับมือสถานการณ์เช่นนี้ อาศัยความนิ่งสยบความเคลื่อนไหวจึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ขอเพียงปฏิกิริยาฉับไว ก็ยากจะบาดเจ็บสูญเสียทั้งสองด้าน แต่โจวเซี่ยวเทียนสูญเสียความสงบเสงี่ยมไปแล้ว เมื่อตัดสินกับยอดฝีมือเช่นนี้ย่อมถึงแก่ชีวิตอย่างแน่นอน ภายในใจคนเหล่านี้ จึงตัดสินโทษตายให้แก่โจวเซี่ยวเทียนแล้วเรียบร้อย
“ปรากฎตัวอีกแล้ว!”
ขณะที่โจวเซี่ยวเทียนกำลังคลุ้มคลั่งยิ่งขึ้น ภายในลานประชุมบางคนต่างก็ใจเต้นระทึก เนื่องจากพวกเขาสัมผัสถึงระลอกคลื่นภายในอากาศได้พร้อมกัน ตามคาด ด้านขวาของโจวเซี่ยวเทียนปรากฎหมัดหนึ่ง ห่างจากขมับด้านขวาของโจวเซี่ยวเทียนเพียงหนึ่งนิ้วเท่านั้น
“จบกันแล้วเจ้าหนุ่ม!”
ระยะห่างใกล้ขนาดนี้ อีกทั้งตำแหน่งโจมตียังเป็นขมับจุดตายของมนุษย์ บางคนถึงกับถลึงตาโต เตรียมบันเทิงไปกับภาพกระโหลกที่แตกออกของโจวเซี่ยวเทียน
“เปรี้ยง!”
เสียงดังกึกก้อง ตรงกลางยังผสมผสานไปด้วยเสียงแตกละเอียดของกระโหลก หนึ่งในสองคนที่ยืนอยู่บนลานประลอง ศีรษะของคนหนึ่งล้มลงยังพื้นดินตามจากเสียงอันดัง เลือดสดปะปนกับเนื้อสมอง ไหลออกมาจากจุดกระโหลกที่แตกออก
“ทำ…ทำไมเขายังมีชีวิตอยู่ล่ะ?”
“เป็น…เป็นไปได้ยังไง เขาหลบหมัดนั้นได้ยังไงกัน?”
ขณะที่ทุกคนล้วนคิดว่าคนที่ล้มลงไปจะเป็นโจวเซี่ยวเทียน แต่คนที่ยืนอยู่กลางลาน กลับเป็นโจวเซี่ยวเทียนผู้สวมชุดขาว ภาพนั้นทำให้ผู้คนล้วนขยี้ตาอย่างไม่อยากเชื่อ สิ่งที่คิดในใจกับภาพที่เห็นตรงหน้าพวกเขาแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง
กระทั่งสิ่งมีชีวิตพิสดารที่มีชีวิตอยู่มาพันปีอย่างแดร็กคูล่าและอัศวินโต๊ะกลมเหล่านั้น เวลานี้ยังจ้องมองยังโจวเซี่ยวเทียนอย่างตกตะลึงไม่คลาย เพราะต่อให้เป็นพวกเขาดวลกับโอคาดะ มาซากะ ก็คงสามารถอาศัยการคาดเดาล่วงหน้าหลบหลีกการโจมตีนี้ แต่ในชั่วเวลาแสงไฟสว่างวาบ ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่สามารถโจมตีสวนกลับจนถึงขั้นสอยคู่ต่อสู้จนร่วงในหมัดเดียว
แต่ว่าถึงแม้การดวลเมื่อครู่จะเร็ว ก็ยังอยู่ในสายตาคนบางคน ขณะที่พวกเขาปิดตาหวนกลับไปนึกถึงภาพเมื่อครู่ สีหน้าของแต่ละคนเผยให้เห็นความประหลาดใจ
ถ้าหากย้อนกลับไปยังภาพเมื่อครู่จะสามารถเห็นได้ว่า ขณะที่โอคาดะ มาซากะออกหมัดมา โจวเซี่ยวเทียนที่เดิมมีสีหน้าเต็มไปด้วยความลังเล ดูเหมือนจะหมุนร่างไปยังด้านขวาอย่างไม่ตั้งใจ ชั่วเวลาพริบตาที่หมุนร่างนั่น กลับถูกหมัดของโอคาดะ มาซากะลูบผ่านใบหน้าโจมตีไปยังอากาศ
เวลานั้นเอง หมัดขวาซึ่งดูเหมือนร่ายรำสะเปะสะปะของโจวเซี่ยวเทียน กลับโจมตีเข้าขมับของโอคาดะ มาซากะอย่างจัง และราวกับโอคาดะ มาซากะเป็นฝ่ายเข้ามาหาเอง พลังที่โน้มมาด้านหน้านั้น ทำให้หัวของเขารับการโจมตีครั้งนี้ของโจวเซี่ยวเทียน
ส่วนหัวเป็นจุดที่บอบบางที่สุดบนร่างกายมนุษย์ หลังจากรับหมัดนี้เข้าไป กระทั่งเสียงร้อง โอคาดะ มาซากะยังไม่ทันได้เปล่งออกมา ศีรษะก็หล่นลงบนพื้น ทรวงอกกระเพื่อมไม่หยุด แต่ในปากมีเพียงลมหายใจเข้า กลับไม่มีลมหายใจออกมาเลย
ผ่านไปถึงหนึ่งนาทีกว่า เจ้าหน้าที่ข้างลานประลองจึงมีได้สติขึ้นมา คนสามสี่คนยกเปลหามมายังลานประลองเพื่อนำตัวโอคาดะ มาซากะขึ้นไป แต่ไม่ว่าใครก็สามารถดูออกว่า ต่อให้พระเยซูยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่อาจฟื้นคืนชีพให้เขาได้
“อ้าว ฉันก็บอกแล้วว่าพลังของฉันคือพละกำลัง แล้ว…แล้วทำไมแกยังเข้ามาชนหมัดของฉันเองล่ะ?”
โจวเซี่ยวเทียนที่อยู่ในลานประลองดูเหมือนจะถูกหมัดของตนเองทำให้ตกตะลึงเช่นกัน จนกระทั่งโอคาดะ มาซากะลงจากลานไปแล้วจึงได้สติ ท่าทีของเขาทำให้ผู้คนเหล่านั้นที่สงสัยในตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าหนูนี่โชคดีมหาศาลหรือเปล่า จึงได้พบเจอกับเรื่องบังเอิญเช่นนี้
“เอาน่า ไอ้หนูอย่าฉวยโอกาสอวดตัวเลย ขึ้นมาได้แล้ว!”
เยี่ยเทียนที่ดูอยู่บนอัฒจันทร์อดยิ้มออกมาไม่ได้ ส่งพลังจิตเข้าไปยังสมองของลูกศิษย์ นอกจากโจวเซี่ยวเทียนที่อยู่ภายในลานแล้ว ก็มีเพียงเยี่ยเทียนเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอนที่โจวเซี่ยวเทียนยังไม่ลงไปลานประลอง เยี่ยเทียนมองวรยุทธ์ของโอคาดะ มาซากะออก พลังของชาวญี่ปุ่นคนนี้ไม่นับว่าแข็งแกร่งนัก แต่ว่าธงที่อยู่กลางอกเขากลับเป็นเครื่องรางที่สามารถปกปิดการเคลื่อนไหว เมื่อรวมกับการใช้พลังจิตคุ้มกันกาย ก็สามารถกำจัดการลอบมองของผู้อื่น
ด้วยสองสามจุดนี้รวมกัน มีหรือเยี่ยเทียนจะไม่รู้ไพ่ตายที่แท้จริงของโอคาดะ มาซากะ? ดังนั้นก่อนที่โจวเซี่ยวเทียนจะลงสนาม เยี่ยเทียนจึงส่งปราณแท้แทรกเข้าไปภายในร่างของเขา ปราณแท้นั้นเมื่ออยู่ในดวงตาทั้งสอง จะทำให้มองภาพมายาทั้งหมดได้ทะลุปรุโปร่ง
แต่เยี่ยเทียนไม่ยอมอธิบายให้ลูกศิษย์รู้แต่แรก หมัดแรกที่โจวเซี่ยวเทียนโดนจึงไม่ใช่ของปลอม บนร่างเองก็ได้รับบาดเจ็บ รอจนกระทั่งโอคาดะ มาซากะหลบซ่อนตัวอีกครั้ง คราวนี้โจวเซี่ยวเทียนจึงเริ่มแสดงละคร ล่อหลอกให้โอคาดะ มาซากะเชื่อว่าเป็นจริง แล้วจึงถูกหมัดของโจวเซี่ยวเทียนสังหารบนลานประลองในชั่วพริบตา
“ทุกท่านต่างเห็นกันแล้ว เรื่องนี้โทษฉันไม่ได้ เป็นหัวของเขาที่พุ่งเข้ามาชนหมัดของฉันเอง”
หลังจากได้ยินเสียงของอาจารย์ โจวเซี่วเทียนก็ถ่อมตนอีกประโยค แล้วจึงเดินอย่างองอาจขึ้นไปบนอัฒจันทร์
“หนุ่มน้อย ไม่ทราบว่าผมสามารถท้าดวลกับคุณได้หรือไม่?”
ขณะที่โจวเซี่ยวเทียนยังไม่ทันจะออกจากลานประลอง เสียงเจ้าเล่ห์หนึ่งก็ดังขึ้นมาทันใด ผู้คนต่างหันไปยังต้นเสียง ชายชราผู้หนึ่งร่างผ่ายผอมยิ่งกว่าโอคาดะ มาซากะเมื่อครู่ลุกจากที่นั่งขึ้นมายืน
“ให้ตายสิ ไร้ยางอายเหลือเกิน เป็นคนรุ่นเดียวกับอาจารย์ ในอดีตแอบลอบทำร้ายศิษย์พี่โดยไม่สนใจสถานะของตัวเอง ตอนนี้กลับมาขอท้าดวลกับเซี่ยวเทียน หรือว่าเจ้าราชครูคนนี้ไม่มีความละอายอยู่ในใจบ้างหรือไงนะ?”
พอได้ยินเสียงนั้นแล้ว ในใจเยี่ยเทียนพลันเกิดโทสะลุกโชน ยืดตัวลุกขึ้นตอบว่า
“ในเมื่อท่านราชครู นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ให้ความสนใจ คนแซ่เยี่ยผู้นี้ก็จะเป็นคู่มือให้เอง!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น