ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 914-917

 ตอนที่ 914 ค่ายกลภาพแปดดวงเนตร

 

เนื่องจากระยะห่างที่ใกล้มาก อีกทั้งเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เวลานี้หลิ่วหมิงจึงเพิ่งถอยออกมาได้ยี่สิบกว่าจั้ง ส่วนมนุษย์ปีศาจอีกสามคนก็เพิ่งถอยออกมาได้เพียงสิบกว่าจั้งเท่านั้น


มนุษย์ปีศาจสามคนที่อยู่ด้านข้างหน้าถอดสี คิดจะลงมือขัดขวางก็ไม่ทันสักนิด


ในช่วงเวลาเส้นยาแดงผ่าแปดนี่เองหลิ่วหมิงกลับหยุดร่างกะทันหัน เขาไม่ถอยแต่กลับรุกไปด้านหน้า เงาวัวสีน้ำเงินบนหัวไหล่ทอแสงสีน้ำเงินแล้วอ้าปากใหญ่โตกู่ร้องใส่ท้องฟ้า สายลมแรงสีน้ำเงินอ่อนสายหนึ่งพุ่งออกมา ซัดครั้งเดียวหุ้มลำแสงสีเลือดที่พุ่งประจันหน้ามา จากนั้นมันก็กลืนเข้าปากไปประหนึ่งเป็นอาหาร


พร้อมกันนี้เสียงมังกรคำรามก็ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!


มังกรหมอกที่แลดูประหนึ่งมีชีวิตตัวหนึ่งแยกเขี้ยวสะบัดกรงเล็บบินทะลวงออกมาจากแขนของหลิ่วหมิงพุ่งตรงไปหาภาพดวงตาสีเลือดบนลวดลายจิตวิญญาณแปดเหลี่ยมบนป้ายหินด้านหน้า


เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นขึ้น ผิวของป้ายหินทั้งแผ่นก็แตกร้าวโดยมีภาพดวงตาสีแดงเลือดเป็นศูนย์กลาง เศษก้อนหินกระเด็นไปรอบด้านเต็มท้องฟ้า


หญิงสาวผู้สวมชุดนางในที่นั่งนิ่งสงบอยู่ไกลๆ เห็นภาพนี้ ดวงเนตรงามก็ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย


ลำแสงสีเลือดสี่เส้นกะพริบวูบเดียวก็หายไปในทันใด


จากนั้นเงาวัวสีน้ำเงินพลันกลายเป็นประกายแสงแวววาวจุดแล้วจุดเล่าสลายไป แสงเรืองรองม้วนตัวกลับมาบนหัวไหล่ของหลิ่วหมิงอีกครั้ง


มนุษย์ปีศาจผู้เป็นหัวหน้าตอนนี้ถึงพรูลมหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง สายตาทอประกายเล็กน้อยขณะที่มองหลิ่วหมิง เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง


ทว่ายังไม่ทันที่คำพูดของเขาจะได้เอ่ยออกจากปาก ฐานของป้ายหินก็ส่งเสียงดัง “ฟู่” ทันใดนั้นแสงเรืองรองสีน้ำเงินผืนหนึ่งก็แผ่ออกมา ค่ายกลขนาดสองสามจั้งค่ายกลหนึ่งลอยออกมาเลือนราง


“พวกเจ้าช่างดวงแข็ง! ไม่รู้เลยหรือว่า ‘ค่ายกลภาพแปดดวงเนตร’ ค่ายนี้มีดวงตาดวงหนึ่งห้ามกระตุ้น?” เงาคนร่างหนึ่งโฉบมาเบื้องหน้าพวกเขา หญิงสาวผู้สวมชุดนางในผู้นั้นปรากฏกายขึ้นมาประหนึ่งภูตพรายแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาดุจเดิม


“อะไรนะ เป็นชั้นจำกัดนี้เองหรือ ข้าก็ว่าแล้วเหตุใดจึงคุ้นตาอยู่บ้าง”


หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึงพร้อมกับพรั่นพรึง!


เวลานี้เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ค่ายกลภาพแปดดวงเนตรนี้เป็นค่ายกลประหลาดแห่งยุคโบราณชนิดหนึ่ง สภาพของค่ายกลนี้จะแตกต่างกันไปแต่หลักการคล้ายคลึงกันโดยส่วนใหญ่ เอกลักษณ์ที่เด่นชัดของมันก็คือดวงเนตรปีศาจที่สภาพแตกต่างกันแปดดวง


ค่ายกลนี้มีเพียงคนวางถึงจะรู้ว่าดวงเนตรปีศาจดวงใดที่ไม่อาจกระตุ้นได้ หากไม่ได้ทิ้งร่องรอยเงื่อนงำไว้ ถ้าเช่นนั้นก็ได้แต่อาศัยการคาดเดาเพียงอย่างเดียว


หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเอ่ยออกมาเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่านางแก้ค่ายกลนี้ได้แล้วจริงๆ หรือแค่เสแสร้งวางท่า


ในเวลานี้เองหญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็ขยับร่างครั้งหนึ่งก้าวเข้าไปในค่ายกลเบื้องหน้า หลังจากแสงสีน้ำเงินอ่อนโยนสายหนึ่งหุ้มร่างนางไว้ นางก็เลือนหายไปจากที่เดิม


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่รั้งรอต่อ ร่างกายขยับวูบเดียวก้าวเข้าไปในค่ายกลด้วย


หลังจากแสงสีน้ำเงินส่องสว่างวูบหนึ่ง เขาก็รู้สึกว่าฟ้าดินพลิกหมุน เมื่อเห็นสภาพรอบด้านชัดเจนอีกครั้งเขาก็ปรากฏตัวอยู่ในตำหนักอันงดงามโอ่อ่าหลังหนึ่งแล้ว


ตำหนักหลังนี้กว้างราวสิบกว่าจั้ง สองฟากฝั่งก่อขึ้นมาจากหินอ่อนขาวที่มันวาวประหนึ่งกระจกก้อนแล้วก้อนเล่า เพดานของห้องโถงใหญ่ฝังหินจันทราที่เรียงรายเป็นระเบียบไว้หลายแถว พวกมันกำลังเปล่งแสงเรืองๆ ออกมา


แสงสะท้อนจากกำแพงหินอ่อนส่องให้ห้องโถงใหญ่ทั้งห้องสว่างไสวยิ่งนัก


สุดปลายห้องโถงใหญ่มีม่านแสงสีเทาชั้นหนึ่งผลุบๆ โผล่ๆ บนม่านแสงคล้ายจะมีเงาภูตผีขนาดมหึมาตัวหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ ดวงตาขนาดเท่าชามข้าวทั้งสองข้างกลอกขึ้นลง เขี้ยวทั้งสองข้างแลดูคมกริบยิ่งนัก ใบหน้าดุร้ายอย่างยิ่ง


บนพื้นที่ว่างเบื้องหน้าม่านแสงไม่ไกล หญิงสาวผู้สวมชุดนางในสีขาว คล้องอาภรณ์สีแดงกำลังยืนนิ่งอยู่


สตรีนางนี้เหมือนจะได้ยินเสียงยามหลิ่วหมิงเคลื่อนย้ายมา ดวงเนตรของนางจึงกวาดมองมาหาเขา


……


ในเวลาเดียวกัน ด้านในโพรงถ้ำที่ไหล่เขาของภูเขาขนาดเล็กที่ทอแสงสีดำทั้งลูกกลางป่าสีเขียวแน่นขนัดผืนหนึ่ง จินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อรวมถึงศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งกำลังพักผ่อนอยู่ที่นี่


โพรงถ้ำแห่งนี้ค่อนข้างกว้างขวาง ศิษย์สิบกว่าคนของนิกายยอดบริสุทธิ์กำลังจับกลุ่มสองสามคนกระจายอยู่ด้านใน บางคนนั่งขัดสมาธิทำสมาธิ บางคนกำลังหายใจเข้าออก


ตรงมุมหนึ่งจินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากันอยู่


“ศิษย์พี่จิน พวกเราหยุดอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานมากแล้ว ตามหลักแล้วหากทุกสิ่งราบรื่น ศิษย์น้องหลิ่วก็น่าจะหวนกลับมารวมกลุ่มกับพวกเราแล้วถึงจะถูก หากรอเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าจะพลาดจากเรื่องที่อาจารย์กำชับไว้” ฉิวหลงจื่อเอ่ยกับจินเทียนชื่อด้วยท่าทางจริงจังอยู่บ้าง


“เจ้ากล่าวไม่ผิด หลายวันนี้พวกเราก็ค้นหาสมบัติประหลาดนานาชนิดบริเวณนี้จนเกลี้ยงแล้ว ถึงเวลาที่พวกเราจะไปจากที่แห่งนี้แล้ว” จินเทียนชื่อหันกลับมากวาดสายตามองศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่เหลือครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยออกมาอย่างนิ่งสงบ


“แต่หากหลิ่วหมิงกลับมารวมตัวที่นี่ ทว่าพวกเราจากไปแล้วนั่นจะทำอย่างไรเล่า” ฉิวหลงจื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยถามอย่างไม่วางใจอยู่บ้างอีก


“นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ จะชักช้าจนเสียแผนการของนิกายเราเพราะคนเพียงคนเดียวคงไม่ได้ แจ้งลงไป คืนนี้พักผ่อนอยู่ที่นี่คืนหนึ่ง พรุ่งนี้เช้าออกเดินทางไปยังเป้าหมายต่อไป หากศิษย์น้องหลิ่วเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจริง พวกเรารอต่อไปก็เสียเวลาเปล่า หากไม่เกิดเรื่องขึ้นย่อมหมายความว่าเขาช้าเพราะสาเหตุอื่นก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องรอต่อไปแล้วเช่นกัน” จินเทียนชื่อหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยออกมา


ในเวลาเดียวกันนี้โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินสองสาวก็กำลังพูดคุยกันเสียงเบาอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของถ้ำ


“พี่เชี่ยน เศษซากแห่งโลกบนนี้เป็นแดนเซียนแดนสวรรค์ที่พันปียากจะพบแห่งหนึ่งโดยแท้ เวลาเพียงสิบกว่าวันก็ได้โชคลาภมากมายเช่นนี้! แม้หลังออกไปจะต้องมอบให้นิกายยอดบริสุทธิ์เกินครึ่ง แต่โชคลาภในแดนลึกลับปกติธรรมดาเทียบไม่ติดเลย!” โอวหยางฉินเวลานี้กำลังลูบกำไลเก็บของวงหนึ่งบนข้อมืออย่างมีความสุขพลางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายินดี


“อย่างไรก็ประมาทไม่ได้ อย่าลืมสิ่งที่พบตอนเริ่มเดินทางกับคำกำชับของผู้อาวุโสสูงสุดทั้งหลายในตระกูล จนวันนี้หลิ่วหมิงก็ยังไม่กลับมา ศิษย์คนอื่นของนิกายยอดบริสุทธิ์ไม่ได้มีสัญญากับพวกเรา หากเกิดอันตรายขึ้นเกรงว่าคงต้องพึ่งพวกเรากันเองแล้ว” โอวหยางเชี่ยนไม่ได้ผ่อนคลายอย่างโอวหยางฉิน คิ้วงามขมวดเล็กน้อยเอ่ยขึ้นมา


“หึๆ พี่เชี่ยนไม่ต้องเป็นห่วงหลิ่วหมิงคนนั้นหรอก เจ้าหนูนั่นลูกเล่นมากไป!” โอวหยางฉินฟังแล้วก็หัวเราะคิกคักเอ่ยออกมาเช่นนี้


“เจ้า ล้อพี่สาวเล่นอีกแล้ว!” โอวหยางเชี่ยนได้ยินก็อดไม่ได้บ่นออกมาพร้อมกับสองแก้มที่แดงปลั่ง


……


ครึ่งวันให้หลัง หลิ่วหมิงกับมนุษย์ปีศาจทั้งหกก็ร่วมมือกันทำลายกลไกลชั้นจำกัดในโบราณสถานไปอีกหลายชั้น ภายใต้การบังคับขู่เข็ญและล่อลวงด้วยผลประโยชน์ของหญิงสาวผู้สวมชุดนางใน


เมื่อมีประสบการณ์จากก่อนหน้านี้ ก่อนหน้าทุกคนทำลายค่ายกลจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเช่นนั้นอีก แม้จะช้าสักหน่อย แต่ก็มีข้อดีที่ตลอดทางค่อนข้างราบรื่น


ตอนนี้หลิ่วหมิงอยู่ในห้องที่ดูคล้ายห้องนอนแห่งหนึ่ง เขาได้รับส่วนแบ่งตำราเก่าคร่ำคร่าที่ฝุ่นเกาะเต็มเล่มหนึ่งกับหญ้าจิตวิญญาณอายุหมื่นปีที่เขาไม่เคยเห็นมาหลายต้น


หลิ่วหมิงไม่รู้ว่าเพราะที่นี่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ยุคโบราณหรือเพราะสาเหตุอื่นประการใด แต่เขาพบว่าทั้งมนุษย์ปีศาจเหล่านี้และสตรีผู้สวมชุดนางในผู้นั้นล้วนไม่ค่อยสนใจคัมภีร์นานาชนิดกับอาวุธจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่นัก พวกเขาสนใจแต่จะมุ่งไปยังจุดที่ลึกสุดของซากโบราณสถาน คล้ายกับว่ามีเพียงสมบัติด้านในสุดที่เป็นเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ของพวกเขา


ค้นหามาหลายวัน หลิ่วหมิงก็พอเข้าใจสภาพส่วนใหญ่ของซากโบราณสถานใต้ดินแห่งนี้ชัดเจนแล้ว


ซากโบราณสถานแห่งนี้น่าจะเป็นถ้ำที่พักใต้ดินของผู้มากความสามารถสักคนของโลกแห่งนี้ อีกทั้งเขาดูเหมือนจะชำนาญค่ายกลและชั้นจำกัดอย่างยิ่ง


หากไม่ใช่เพราะผ่านเวลามายาวนานเกินไปจนชั้นจำกัดเกินครึ่งพลังลดทอนลง พวกเขาคงเข้ามาถึงที่นี่ไม่ได้ง่ายดายเช่นนี้


แม้หลิ่วหมิงไม่รู้ว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้คือผู้ใด แต่เขานับถือศาสตร์การวางชั้นจำกัดของอีกฝ่ายยิ่งนัก


เวลานี้พวกเขากำลังอยู่ในหมู่อาคารที่ประกอบด้วยตำหนักและทางเดินแห่งแล้วแห่งเล่า มองดูเหมือนเชื่อมต่อกันหมด แต่ความจริงแล้วกลับประหนึ่งเป็นเขาวงกต


หมู่อาคารเหล่านี้มีชั้นจำกัดนานาชนิดมากมาย ทั้งตัวมันก็ยังลึกลับไม่ธรรมดา หากอยากใช้กำลังหักหาญฝืนฝ่าเข้าไปด้านใน นั่นคือการหาเรื่องลำบากให้ตนเองอย่างสิ้นเชิง ได้แต่ทำลายทีละจุดๆ รุกเข้าไปตามลำดับ


เวลานี้ในห้องโถงใหญ่สีดำขมุกขมัวแห่งหนึ่ง ค่ายกลสีทองรูปหกเหลี่ยมขนาดหลายจั้งค่ายกลหนึ่งขวางเส้นทางเบื้องหน้าเอาไว้


ค่ายกลนี้มีกำแพงสายฟ้าสีทองหกด้านล้อมอยู่ บนกำแพงสายฟ้าแต่ละด้านมีสายฟ้ารูปอสรพิษสีทองอ่อนตัวแล้วตัวเล่าเลื้อยไม่หยุด ทั้งยังมีเสียงอสนีบาตดังเปรี๊ยะแทรกมาเป็นระยะ


ใจกลางค่ายกลคือลูกบอลกลมสีทองอ่อนขนาดหนึ่งฉื่อกว่าลูกหนึ่งซึ่งลอยอยู่กลางอากาศและหมุนเชื่องช้าไม่หยุด


“น่าจะเป็นที่นี่ ใช้อสนีบาตมาเป็นชั้นจำกัดปิดผนึกชั้นสุดท้ายจริงๆ! เอาล่ะ พวกเราเริ่มกันเถอะ” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในมองดูเศษแผนที่ชิ้นหนึ่งในมือเสร็จ บนใบหน้างดงามเย็นชาก็เผยสีหน้ายินดีจางๆ ออกมา


“ชั้นจำกัดอสนีบาตหรือ? นี่มีฤทธิ์ข่มพวกเจ้าเผ่าปีศาจกับพวกเราเผ่ามารไม่น้อย ใช้มารผนึกดีที่สุดจริงๆ แต่ค่ายกลชั้นจำกัดระดับนี้ดูจะเรียบง่ายเกินไปสักหน่อย” ในดวงตาของมนุษย์ปีศาจผู้เป็นหัวหน้าทอประกายประหลาดใจวูบหนึ่งแล้วหัวเราะหยันเอ่ยขึ้นมา จากนั้นเขาก็ส่งสายตาให้มนุษย์ปีศาจอีกคนหนึ่งด้านข้าง


มนุษย์ปีศาจผู้นั้นเข้าใจความหมายจึงสะบัดแขนเสื้อแล้วตบมือข้างหนึ่งใส่หน้าอก แสงสีเงินส่องสว่าง ชุดเกราะสีเงินชุดหนึ่งก็ปรากฏออกมาแล้วสวมลงบนร่างในพริบตา


บนชุดเกราะนี้มีเส้นเรียวเล็กสีเงินเส้นแล้วเส้นเล่าแผ่อยู่ทั่ว มันเปล่งแสงสีเงินอ่อนอยู่ท่ามกลางแสงอสนีบาตที่สาดส่องมาจากเบื้องหน้า บนไหล่สองข้างของชุดเกราะสลักยันต์ประหลาดไม่ทราบชื่อตัวหนึ่งเอาไว้แต่ละข้าง


“มีชุดเกราะระดับสุดยอดที่มีคุณสมบัติป้องกันสายฟ้าด้วยหรือ? ไม่คิดว่าพวกเจ้ามนุษย์ปีศาจจะทุ่มเทเพื่อสถานที่แห่งนี้!” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเหล่มองมนุษย์ปีศาจผู้นั้นครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย


เวลานี้เองสองแขนของมนุษย์ปีศาจผู้นั้นพลันกางออก ทันใดนั้นบนชุดเกราะสีเงินก็มีแสงเปลวเพลิงสีเงินชั้นหนึ่งลุกโชนขึ้นมา ร่างกายขยับวูบเดียวมาถึงเบื้องหน้ากำแพงสายฟ้าด้านหนึ่ง สองมือยื่นไปเบื้องหน้าแล้วดึงออกมาด้านนอกอย่างเร็วไว


เสียง “เปรี๊ยะ” ดังสนั่น!


กำแพงสายฟ้าที่มีอสรพิษสายฟ้าสีทองเลื้อยไปมาฝั่งนั้นถูกเขากระชากเป็นรูโหว่รูหนึ่งทั้งอย่างนั้น


ทันใดนั้นอสรพิษสายฟ้าสีทองที่เลื้อยเพ่นพ่านอยู่ในค่ายกลก็พากันเลี้ยวเปลี่ยนทิศพุ่งเร็วรี่เข้าไปหาเขา มาถึงหน้าร่างเขาในพริบตา


ทว่าเมื่ออสรพิษสายฟ้าเหล่านี้สัมผัสถูกแสงเปลวเพลิงสีเงินบนผิวของชุดเกราะสีเงินบนร่างเขาก็พากันสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย


อสรพิษสายฟ้าในค่ายกลเหล่านี้ไม่อาจทำลายการป้องกันของชุดเกราะชุดนี้ได้แม้แต่น้อย!


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้บนใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าประหลาดใจอย่างห้ามไม่ได้


ผลปรากฏว่าขณะที่มนุษย์ปีศาจผู้นั้นเอนร่างไปด้านหน้าหมายจะทะยานร่างกระโจนเข้าไปนั่นเอง เหตุไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น!


คลื่นสายฟ้าสีทองอ่อนสายหนึ่งดีดออกมาจากค่ายกล ระหว่างทางมันสั่นไหววูบหนึ่งแยกจากหนึ่งเป็นสาม เผยให้เห็นเส้นอสนีบาตห้าสีเรียวเล็กดุจเส้นผมที่ส่งเสียงดังฟิ้วพุ่งรวดเร็วเข้าใส่ใบหน้าของมนุษย์ปีศาจ

 

 

 


ตอนที่ 915 สายฟ้าเทพปรากฏอีกครั้ง

 

เสียง “ปัง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง


อสนีบาตห้าสีที่เรียวเล็กประหนึ่งเส้นด้ายพุ่งทะลวงผ่านชุดเกราะไอปีศาจระดับสุดยอดที่ว่าชุดนั้น แล้วโจมตีตรงเข้ามาที่หน้าผากของมนุษย์ปีศาจคนนั้นในพริบตา


มนุษย์ปีศาจผู้นั้นกรีดร้องโหยหวนอย่างทุกข์ทรมานจากนั้นกลายเป็นขี้เถ้ากองหนึ่ง ไม่เหลือสิ่งใดไว้แม้แต่น้อย


หลังจากอสนีบาตห้าสีเส้นนั้นดีดออกมาก็พุ่งรวดเร็วกลับเข้าไปในค่ายกลอีกครั้งด้วยตนเอง


รอยแยกบนกำแพงอสนีบาตที่มนุษย์ปีศาจผู้นี้ถ่างออกเมื่อไม่มีมนุษย์ปีศาจผู้นั้นคอยค้ำ รอยแยกก็ประสานสนิทดุจเดิมในพริบตาด้วย


คนที่เหลือเห็นเช่นนี้สีหน้าก็ย่ำแย่อย่างยิ่งกันถ้วนหน้าในพริบตา มนุษย์ปีศาจที่เป็นหัวหน้าเอ่ยเสียงเบาออกมาว่า “สายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้า”


“นี่เป็นไปไม่ได้ สายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าคงอยู่เหนือสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้เท่านั้น ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีค่ายกลใดชักนำสายฟ้าเทพชนิดนี้ลงมาแล้วเก็บรักษาไว้ด้านในได้” มนุษย์ปีศาจอีกคนหนึ่งพึมพำด้วยสีหน้าคล้ำเขียว


บนใบหน้าของหญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็มีสีหน้าประหลาดใจปรากฏขึ้นเช่นกัน แต่ทันใดนั้นนางก็มองหลิ่วหมิงเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง


ต้องรู้ว่าอสนีบาตธรรมดาก็มีฤทธิ์ข่มเผ่าปีศาจกับเผ่ามารไม่น้อยอยู่แล้ว ฤทธิ์ข่มของสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้านี่ยิ่งไม่ต้องพูดอะไรมาก


หลิ่วหมิงยังคงพรั่นพรึงอยู่ แต่ในใจก็อดไม่ได้หัวเราะฝืดเฝื่อนออกมา


นี่ก็ไม่แปลก ผู้ที่อยู่ตรงนี้มีเพียงตนที่เป็นเผ่ามนุษย์ อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็ลงมือไปไม่กี่ครั้ง ดูท่าครั้งนี้ไม่ออกโรงคงไม่ได้แล้ว


แต่ที่แห่งนี้ไม่เสียทีเป็นเศษซากของโลกบนจริงๆ ในโลกมนุษย์หายากยิ่งที่จะพบสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าง่ายดายเช่นนี้


“มนุษย์ วิชาลับที่เจ้าใช้ก่อนหน้านี้น่าจะทำให้อสนีบาตอ่อนแรงลงหรือกระทั่งกลืนกินมันได้ คราวนี้เจ้าไปทำลายชั้นจำกัดนี้เสีย” ในที่สุดหญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็เอ่ยปากขึ้นอย่างเชื่องช้า


มนุษย์ปีศาจที่เหลือก็พากันพยักหน้าด้วย


“โปรดรอก่อน แม้ข้าจะกระตุ้นวิชาลับภาพสัญลักษณ์ได้ แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะต้านทานสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้านี้ได้อย่างสมบูรณ์ เกรงว่าคงจำเป็นต้องหยิบยืมพลังภายนอกบ้างจึงจะได้” หลิ่วหมิงได้ยินก็อ้าปากตอบทันที


“ไม่เป็นไร ที่ตัวข้ามีชุดเกราะไหมทองป้องกันอสนีบาตตัวหนึ่ง เทียบกับอาวุธมารที่มนุษย์ปีศาจคนนั้นใช้ก่อนหน้านี้แข็งแกร่งกว่าไม่น้อย แล้วก็ยังมีลูกแก้ววิเศษกั้นอสนีบาตซึ่งช่วยลดทอนผลกระทบที่อสนีบาตมีต่อร่างกายได้ลูกหนึ่งด้วย ให้เจ้ายืมใช้หนึ่งครั้ง หากขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมออกโรง เช่นนั้นก็คงให้เจ้าเลือกเองไม่ได้แล้ว” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในตอบด้วยเสียงเย็นชา


เอ่ยจบนางก็เรียกชุดเกราะที่ส่องแสงทองเรืองๆ ชุดหนึ่งกับลูกแก้วกลมที่ส่องแสงสีขาวขนาดเท่าโอสถลูกหนึ่งออกมาจากกำไลเก็บของบนท่อนเขน


“สาเหตุที่พวกเราเชิญท่านร่วมเดินทางมาตั้งแต่แรกก็เพื่อรับมือกับชั้นจำกัดประเภทนี้ ถึงเวลาให้สหายหลิ่วแสดงฝีมือแล้วจริงๆ” มนุษย์ปีศาจผู้เป็นหัวหน้าหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยขึ้นบ้าง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ย่อมรู้ว่าไม่มีทางเลือกเหลืออีกต่อไป เขาได้แต่หัวเราะเจื่อนตอบรับแล้วยื่นมือรับอาวุธเวทกั้นอสนีบาตสองชิ้นจากมือของหญิงสาวมา


จะว่าไปแล้วเขาก็เคยฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์ กระทั่งสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าของจริงก็เคยผนึกมาแล้ว ผนวกได้วิชาภาพสัญลักษณ์มาเสริม น่าจะไม่มีปัญหามากนัก


หลิ่วหมิงสำรวจอาวุธเวทสองชิ้นเล็กน้อยแล้วจึงสวมชุดเกราะซึ่งทอแสงสีทองลงบนร่าง พร้อมกันนั้นก็กระตุ้นพลังเวทในร่างอย่างเชื่องช้ากรอกเข้าไปในชุดเกราะ


เสียง “เปรี๊ยะ” แผ่วเบาดังออกมา


หลังจากกรอกพลังเวทเข้าไปในชุดเกราะสีทอง เส้นไหมสีทองเล็กละเอียดเส้นแล้วเส้นเล่าบนผิวก็พลันส่องสว่าง จากนั้นผิวชุดเกราะทั้งตัวพลันมีเปลวเพลิงสีทองลุกโชนขึ้นมา พื้นผิวรอบร่างปั่นป่วนเล็กน้อย


หลังจากนั้นเขาก็อมลูกแก้ววิเศษกั้นอสนีบาตที่ทอแสงสีขาวเรืองๆ ลูกนั้นเข้าไปในปาก


เมื่อลูกแก้วลูกนี้เข้าไปในปาก กระแสธารอุ่นร้อนก็แผ่อบอวลออกมาจากในลูกแก้วกลม ทำให้ผู้ที่ตกเป็นข้าทาสรู้สึกว่าทั้งร่างถูกห่อหุ้มด้วยความรู้สึกอบอุ่น ผิวหนังทั้งร่างจากหัวจรดเท้าค่อยๆ ทอแสงเรืองๆ ชั้นหนึ่ง


“จากที่ข้าสังเกต ชั้นจำกัดนี้อาศัยสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าที่ซ่อนอยู่ในค่ายกลเป็นเครื่องป้องกันหลักทำให้คนนอกไม่อาจเข้าใกล้ได้ หากทำลายลูกแก้วกลมสีทองซึ่งเป็นแกนกลางที่ลอยอยู่ตรงกลางลูกนั้นเสีย ค่ายกลนี้ก็น่าจะสลายไปเอง” มนุษย์ปีศาจผู้เป็นหัวหน้าสำรวจค่ายกลอสนีบาตรูปหกเหลี่ยมที่ถูกสายฟ้ารูปอสรพิษสีทองอ่อนล้อมอยู่เพียงชั่วครู่ก็ส่งกระแสจิตเอ่ยกับหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ยิ้ม ร่างกายขยับวูบเดียวก็พุ่งเข้าใส่กำแพงสายฟ้าสีทองอ่อนทันที


ได้ยินเพียงเสียง “ฟุบ” ดังขึ้นแผ่วเบาครั้งหนึ่ง!


กำแพงอสนีบาตนั่นยังไม่ทันแตะต้องหลิ่วหมิงก็ถูกแสงเปลวเพลิงสีทองที่ผุดขึ้นมาจากชุดเกราะบนร่างเขาแหวกออก เผยให้เห็นช่องว่างพอให้คนหนึ่งคนลอดผ่านไปได้


ผลปรากฏว่าร่างของเขาขยับวูบเดียวก็ทะลวงผ่านช่องว่างตรงเข้าไปถึงในค่ายกลอสนีบาตสีทอง


ทันใดนั้นค่ายกลอสนีบาตทั้งหมดก็ประหนึ่งหม้อระเบิด ด้านในค่ายกลส่งเสียงระเบิดเปรี้ยงปร้างดังสนั่น อสนีบาตสีทองเส้นแล้วเส้นเล่าโถมคลั่งเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศรอบด้าน


อสนีบาตสีทองเส้นเล็กทั่วไปเมื่อสัมผัสถูกร่างกายหลิ่วหมิงก็โดนแสงเปลวเพลิงสีทองอ่อนบนชุดเกราะทยอยดีดออกไป ไม่อาจทำร้ายเขาได้แม้แต่น้อย


อสนีบาตส่วนน้อยที่เส้นหนาและพลังมากอย่างที่สุด แม้ฟาดลงบนชุดเกราะอย่างรุนแรง แต่หลังจากสัมผัสแสงสีทองที่ไหลนวนอยู่บนผิวหนังของเขาก็ถูกดีดออกไปเช่นเดียวกัน


“ลูกแก้ววิเศษกั้นอสนีบาตช่างสมชื่อเสียจริง!”


หลิ่วหมิงครุ่นคิดเร็วรี่ เขารู้ว่าภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุดเวลานี้ของตนก็คือสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าที่ซ่อนอยู่ด้านใน


แม้เวลานี้ร่างกายเขาจะอยู่ในค่ายกล เขาก็ยังสัมผัสจุดที่อสนีบาตห้าสีซ่อนอยู่ได้ไม่ชัดเจน ทว่าอย่างไรเสียเขาผู้เคยรับสายฟ้าเทพที่แท้จริงเส้นหนึ่งมาแล้วย่อมสังเกตเงื่อนงำได้เล็กน้อย


หลิ่วหมิงปล่อยจิตสัมผัส สังเกตความเคลื่อนไหวรอบด้านอยู่ตลอด ขณะเดียวกันก็ก้าวเดินเชื่องช้าไปตรงแกนกลางของค่ายกล


เสียง “ปัง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!


อสรพิษสายฟ้าสีทองที่เดิมทีพุ่งรวดเร็วเข้ามาหาหลิ่วหมิงฉับพลันแตกกระจายพร้อมส่งเสียงดังกึกก้องกลางทาง จากนั้นอสนีบาตห้าสีซึ่งเรียวเล็กดุจเส้นผมเส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเส้นอสนีบาตที่พังทลาย รวดเร็วดุจประกายไฟ


หลิ่วหมิงคาดเดาเรื่องนี้ได้อยู่ก่อนแล้ว เขาบิดเอวขยับร่างหมายจะหลบ ทว่าเสียง “ปัง” กลับดังขึ้น!


สายฟ้าเทพห้าสีสายนั้นฉับพลันหมุนเร็วไวผิดจากที่คนคาดแล้วพุ่งเร็วรี่ตรงเข้าใส่หน้าผากของหลิ่วหมิงพร้อมกับเสียงดัง “ฟิ้ว”


หลิ่วหมิงตกตะลึง เขาคิดก็ไม่คิดยกแขนขึ้นทันที เส้นอสนีบาตห้าสีพุ่งจมลงมาด้านใน


พริบตานั้นที่เส้นอสนีบาตแตะต้องร่างของหลิ่วหมิง แขนของเขาก็รู้สึกชาวาบ ความเจ็บปวดดั่งเปลวเพลิงแผดเผาส่งผ่านมาจากจุดที่ถูกโจมตี เมื่อก้มศีรษะลงมอง ทั้งข้อศอกก็ไหม้เกรียมไปทั้งแถบ จนกระดิกไม่ได้แล้ว


ชุดเกราะไหมทองป้องกันอสนีบาตกับลูกแก้ววิเศษกั้นอสนีบาตเมื่อเผชิญหน้ากับอสนีบาตห้าสีเส้นนี้ก็ดูดซับพลังได้เพียงส่วนน้อย พลังนอกเหนือจากนั้นพุ่งทะลวงผ่านมันเข้ามาเหมือนไม่มีกำลังต่อต้านสักนิด


ส่วนอสนีบาตห้าสีเส้นนั้นหลังโจมตีสำเร็จก็โฉบออกไปจมลงในอสนีบาตสีทองมากมายรอบด้านแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย


หญิงสาวผู้สวมชุดนางในที่อยู่ด้านข้างกับมนุษย์ปีศาจห้าคนที่เหลือเห็นหลิ่วหมิงไม่ถูกระเบิดกลายเป็นเศษซากในทันที สีหน้าก็ดูเหมือนโล่งอก


เวลานี้หลิ่วหมิงอยู่ห่างจากลูกบอลกลมสีทองอ่อนซึ่งเป็นแกนกลางของค่ายกลไม่ถึงสองจั้งแล้ว เขาไม่มีเวลาสนใจแขนที่บาดเจ็บ หลังจากตวาดลั่นครั้งหนึ่ง แขนอีกข้างก็เหวี่ยงออกไป เงาหัวพยัคฆ์ที่ถูกปราณสีดำหุ้มอยู่หัวหนึ่งซัดออกมาพร้อมเสียงดังหวีดหวิว พุ่งเข้าใส่ลูกบอลกลม


เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!


เงาหัวพยัคฆ์สีดำพุ่งตรงชนลูกบอลกลมที่เปล่งแสงสีทองอย่างจังแล้วระเบิดออก


ปราณดำทะลักม้วนล้อมลูกบอลกลมสีทองไว้ หลังจากตัวลูกบอลกลมส่องแสงสว่างวูบวาบไม่กี่ครั้ง ผิวด้านนอกก็ปรากฏรอยร้าวเล็กๆ เส้นหนึ่งในทันใด


มนุษย์ปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่อยู่ด้านนอกเห็นเช่นนี้ ดวงตาพลันฉายแววยินดี หญิงสาวผู้สวมชุดนางในอีกด้านหนึ่งกลับยังคงสีหน้าเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็ง


ในเวลานี้เองเสียง “ปัง” ก็ดังขึ้นครั้งหนึ่ง พริบตาที่เส้นแสงสีทองหนาเส้นหนึ่งจวนเจียนจะโจมตีถูกแผ่นหลังของหลิ่วหมิง ทันใดนั้นมันก็แตกออก เส้นอสนีบาตห้าสีหนาเท่านิ้วมือเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านใน มันหนาเกือบจะมากกว่าสิบเท่าของอสนีบาตเส้นนั้นก่อนหน้านี้


หลิ่วหมิงสั่นสะท้าน เส้นขนทั้งร่างลุกชันในพริบตา เขาไม่คิดสักนิดก็ตวาดเสียงดัง แสงสีน้ำเงินม้วนตัวออกมาจากหัวไหล่ เงาวัวสีน้ำเงินโผล่ออกมาแล้วล้อมทั้งร่างของเขาไว้ด้านในทันที


อสนีบาตห้าสีพุ่งวูบเดียวก็ทะลวงผ่านเงาวัวสีน้ำเงิน มันส่องแสงสว่างวูบหนึ่งแล้วจมลงไปในชุดเกราะสีทอง จากนั้นเสียงเปรี้ยงก็ดังขึ้นหนึ่งหนพร้อมกับที่มันโจมตีลงบนร่างของหลิ่วหมิงอย่างหนักหน่วง


แม้เส้นอสนีบาตห้าสีเวลานี้จะหนาไม่เท่าครึ่งหนึ่งของก่อนหน้านี้ แต่หัวใจของหลิ่วหมิงก็ยังคงเย็นเยียบ เขารู้ว่าตนไม่อาจอาศัยเพียงกายเนื้อกับพลังของลูกแก้ววิเศษกั้นอสนีบาตทนรับสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าที่หนาเช่นนี้ได้เด็ดขาด พริบตานั้นเขารู้สึกว่าทั้งร่างร้อนผ่าว เขากัดฟันกรอกพลังเวทเข้าไปยังสัญลักษณ์ตราประทับสายฟ้าบนหน้าอก เปิดผนึกด้านในออกทันที


เสียงแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยินดังออกมาจากในทะเลจิตวิญญาณของหลิ่วหมิง ตราประทับสายฟ้าห้าสีตรงหน้าอกฉับพลันเปล่งแสงจิตวิญญาณห้าสีออกมา


ลูกแก้ว ‘แก่นเสมือน’ ที่ลอยอยู่เหนือทะเลจิตวิญญาณสั่นสะท้านราวกับตอบรับ ด้านในมีเส้นอสนีบาตห้าสีเรียวเล็กดุจเส้นผมเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมาในทันใด มันพุ่งวูบเดียวก็ประจันหน้าปะทะกับอสนีบาตห้าสีเส้นหนาเส้นใหม่ที่จมลงมาในร่างของหลิ่วหมิง


เสียงเปรี๊ยะดังหนักหน่วงอยู่พักหนึ่ง สองฝ่ายโรมรันกันจนกลายเป็นก้อนเดียว หลังจากนั้นพวกมันก็หมุนรวดเร็วรอบหนึ่งแล้วกำลังจะระเบิดจนหมดในร่างของหลิ่วหมิง


ทว่าเวลานี้เองสองมือของหลิ่วหมิงก็ตั้งท่าเคล็ดวิชาว่องไวประหนึ่งวงล้อ เสียงอสนีบาตฉับพลันดังสนั่นขึ้นภายนอกร่างกาย อสนีบาตสีทองเส้นแล้วเส้นเล่าปรากฏขึ้นพร้อมเสียงดังกึกก้อง ทำให้เขากลายเป็นเหมือนเทพสายฟ้าในพริบตา


ในเวลาเดียวกันนี้ ลูกแก้วแก่นเสมือนในทะเลจิตวิญญาณในร่างหลิ่วหมิงก็เลือนรางหายไป


ครู่ต่อมาผลึกหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดก็ปรากฏขึ้นใกล้กับสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าที่รวมกันเป็นก้อนอยู่ หลังจากนั้นเส้นไหมแวววาวมากมายถี่ยิบก็บินพุ่งออกมาจากด้านใน หุ้มสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าที่ขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านี้มากก้อนนี้ไว้


สายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้ากะพริบวูบวาบอย่างบ้าคลั่งพักหนึ่ง ทันใดนั้นปราณร้อนระอุน่าหวาดกลัววงแล้ววงเล่าก็ระเบิดออกมาจากด้านใน เส้นไหมแวววาวบางส่วนสลายหายไปเป็นความว่างเปล่าในพริบตา


หลิ่วหมิงที่พยายามกระตุ้นวิชาสายฟ้าสวรรค์สุดชีวิตอยู่ด้านนอกสีหน้าซีดเผือด เขาอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาคำหนึ่ง แล้วทันใดนั้นก็คำรามแผ่วเบา ใช้นิ้วจี้ดัชนีออกมา


เสียง “ปัง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง


โลหิตบริสุทธิ์ที่พ่นออกมากลายเป็นยันต์สีเลือดหลายตัวในพริบตา หลังจากพวกมันบินวนรอบหนึ่งก็ทยอยจมลงไปในตราประทับสายฟ้าห้าสีบนหน้าอกของหลิ่วหมิง


พริบตานั้นเม็ดผลึกที่อยู่ในร่างหลิ่วหมิงก็สั่นไหวรุนแรงขึ้นอีกครั้ง พวกมันกะพริบวูบหนึ่งแล้วปรากฏตัวขึ้นในทะเลจิตวิญญาณอีกหน จากนั้นฝืนดึงรั้งสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าที่ถูกเส้นไหมแวววาวมากมายหุ้มอยู่เข้าไป


“ผนึก”


หลิ่วหมิงคำรามเบาๆ พร้อมกับที่สองมือตั้งท่าเคล็ดวิชา


ทันใดนั้นผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดในทะเลจิตวิญญาณก็โถมเข้าใส่สายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าพร้อมกันแล้วหมุนวนรอบหนึ่ง จากนั้นพวกมันก็ก่อตัวขึ้นเป็นสภาพแก่นเสมือนใหม่อีกครั้ง

 

 

 


ตอนที่ 916 การต่อสู้อันดุเดือดเริ่มขึ...

 

สองมือของหลิ่วหมิงทำท่าเคล็ดวิชารัวเร็ว อสนีบาตสีทองรอบร่างทยอยพังทลาย หลังจากนั้นแสงรัศมีของตราประทับสายฟ้าห้าสีตรงหน้าอกก็กะพริบวูบหนึ่งก่อนจะหม่นแสง แก่นเสมือนที่ก่อตัวขึ้นใหม่ในทะเลจิตวิญญาณสั่นไหวแผ่วเบาไม่กี่หนก็ฟื้นกลับมานิ่งสงบโดยสมบูรณ์


สายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าที่ใหญ่กว่าเดิมสี่ห้าเท่าก้อนนี้ ในที่สุดก็ถูกหลิ่วหมิงฝืนผนึกไว้ได้ใหม่อีกครั้ง


ทว่าเขาในเวลานี้ก็ค่อนข้างสะบักสะบอม ร่างกายเกินครึ่งไหม้เกรียม เสื้อผ้าบนร่างขาดรุ่งริ่ง


เขาทั้งตกตะลึงทั้งยินดี เมื่อเห็นว่ารอบด้านยังคงมีเสียงอสนีบาตฟาดอย่างบ้าคลั่งและยังมีอสรพิษสายฟ้าสีทองตัวแล้วตัวเล่าโถมเข้ามาหา เขาก็ตะโกนลั่นออกมาอีกครั้งอย่างไม่ลังเลสักนิด ทันใดนั้นสองแขนพลันขยายขึ้นหลายเท่าพร้อมกับที่ปราณดำเวียนวน เขาต่อยกระหน่ำเข้าใส่ลูกแก้วสีทองขมุกขมัวซึ่งลอยอยู่กลางอากาศลูกนั้นอีกครั้งดั่งสายฟ้าแลบ


เสียงเปรี้ยงดังขึ้นครั้งหนึ่ง ห้องลับทั้งห้องสั่นไหวแผ่วเบา ทว่าลูกแก้วกลมสีทองกลับส่ายไหวเพียงครู่เดียวแต่ไม่แตก


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ตกตะลึง อสรพิษสายฟ้ามากมายรอบด้านโถมลงบนร่างเขาอีกครั้ง แต่ถูกแสงเปลวเพลิงจากชุดเกราะบนร่างเขาบีบให้กระเจิงไปบางส่วน


หลิ่วหมิงฉวยโอกาสนี้กัดฟันแล้วพลิกมือข้างหนึ่งเรียกมุกพลังวารีลูกหนึ่งออกมากรอกพลังเวทเข้าไปด้านในอย่างบ้าคลั่ง หลังจากนั้นจึงต่อยออกมาอย่างรุนแรงอีกหนึ่งหมัด


เสียง “ฟุบ” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง


มุกพลังวารีหลุดออกจากมือแล้วกลายเป็นเงาภูเขาขนาดเล็กลูกหนึ่ง ถูกเขวี้ยงเข้าใส่จุดที่ลูกบอลกลมสีทองลอยอยู่กลางอากาศตรงกลาง พร้อมกันนั้นปราณสีดำพลุ่งพล่านก็บินออกจากกำปั้นกลายเป็นมังกรหมอกสีดำที่เกือบจะเหมือนมีร่างจริงตัวหนึ่ง แยกเขี้ยวสะบัดกรงเล็บโถมออกมา


เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นครั้งหนึ่ง!


ลูกบอลกลมสีทองอ่อนลูกนั้นถูกเงาภูเขากับมังกรหมอกโจมตีต่อเนื่องกันจนในที่สุดบนผิวก็เกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วน ชั่วครู่ต่อมาก็ระเบิดตัวเอง


ชั้นจำกัดอสนีบาตหกเหลี่ยมทั้งหมด รวมถึงกำแพงอสนีบาตหกด้านฉับพลันสลายกลายเป็นความว่างเปล่า


แสงอสนีบาตสีทองที่เหลือฟาดบ้าคลั่งกลางอากาศอยู่พักหนึ่งก็พากันหายไปไร้ร่องรอย


เวลานี้หลิ่วหมิงถึงโล่งอกอย่างแท้จริงแล้วหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว


มนุษย์ปีศาจทั้งหลายเห็นหลิ่วหมิงทำลายชั้นจำกัดได้แล้วก็ล้วนเผยสีหน้ายินดีออกมา หญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็เผยสีหน้าคิดไม่ถึงกับสีหน้าพึงพอใจออกมาเช่นกัน นางเอ่ยขึ้นว่า


“ดีมาก เดิมทีข้าคิดจะให้เจ้าลองดูสักหน่อยเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับทำลายชั้นจำกัดอสนีบาตที่แฝงสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้านี่ได้จริงๆ โอสถหยกโลหิตเม็ดนี้มอบให้เจ้า ประเดี๋ยวหลังจากเข้าไปแล้วจะไม่ขาดผลประโยชน์ของเจ้าแน่นอน”


หญิงสาวเอ่ยคำนี้จบก็ดีดนิ้ว โอสถสีเขียวหยกเม็ดหนึ่งพุ่งออกมา


หลิ่วหมิงเอ่ยขอบคุณคำหนึ่งแล้วรับโอสถไว้ เขามองสำรวจอย่างละเอียด เมื่อมั่นใจว่าเป็นโอสถรักษาอาการบาดเจ็บจึงกลืนลงไปอย่างไม่เกรงใจ


เวลานี้หญิงสาวจึงกวักมือมาทางเขาด้วยท่าทางสบายๆ อีกครั้ง


หลิ่วหมิงรู้สึกว่าร่างกายสั่นสะท้าน จากนั้นชุดเกราะสีทองก็กลายเป็นแสงสีทองดวงหนึ่งลอยออกจากร่างไปเอง พร้อมกับนั้นในปากก็ร้อนผ่าว ลูกแก้วกั้นอสนีบาตหลุดออกจากปากพุ่งไปหาหญิงสาวด้วย


หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเก็บสมบัติทั้งสองชิ้นแล้วมุ่งหน้าต่อไปอย่างไม่สนใจใคร


มนุษย์ปีศาจคนอื่นเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดพร่ำตามไปติดๆ


ในเวลาเดียวกันนี้หลิ่วหมิงเพิ่งรู้สึกได้ถึงฤทธิ์ที่แท้จริงของโอสถหยกโลหิต เขารู้สึกว่าเลือดลมในร่างกำลังพลุ่งพล่านอยู่จึงนั่งขัดสมาธิลงไปทันที


ผลปรากฏว่าผ่านไปเพียงครู่เดียวแขนขาที่เดิมไหม้เกรียมประหนึ่งถ่านของเขาก็มีเลือดเนื้องอกออกมาใหม่อย่างรวดเร็ว กายเนื้อทั้งร่างดั่งได้เกิดใหม่ ลมปราณฟื้นคืนกลับมารวดเร็วยิ่งนัก พลังเวทในร่างเพียงชั่วครู่ก็เต็มเปี่ยม


สักพักหลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็ขยับแขน เขาพบว่าความรู้สึกชาหนึบก่อนหน้านี้หายไปแล้ว เคลื่อนไหวได้ไร้อุปสรรค บาดแผลบนร่างก็หายดีขึ้นเจ็ดแปดส่วนแล้วเช่นกัน


ทว่าหลังจากเขากวาดจิตสัมผัสไปในร่างพบว่าชั้นจำกัดที่หญิงสาวเผ่าปีศาจผู้นั้นฝังไว้ยังคงอยู่ เขาก็อดไม่ได้หัวเราะจืดเจื่อนอีกครั้งแล้วลุกขึ้นเดินไปด้านหน้าเช่นเดียวกัน


ด้านหลังชั้นจำกัดอสนีบาตคือทางเดินทอดยาวแห่งหนึ่ง ทางเดินกว้างราวสามถึงสี่จั้ง บนกำแพงหินสีเทาขมุกขมัวสองฝั่งสลักภาพปีศาจอสูรรูปร่างต่างๆ นานาไว้แน่นขนัด


ภาพส่วนใหญ่ในนั้นล้วนเป็นปีศาจอสูรหายากที่สาบสูญไปจากโลกมนุษย์แล้ว เมื่อครั้งที่หลิ่วหมิงทำภารกิจล่าปีศาจอสูรบนป้ายประกาศภารกิจของหอลี้ลับในนิกายก่อนหน้านี้ เขาเคยอ่านตำราที่เกี่ยวข้องอยู่บ้าง ดังนั้นเวลานี้เขาจึงพอรู้จักอยู่ห้าถึงหกตัวจากสิบกว่าตัว แม้เป็นเช่นนี้เขาก็ยังอดไม่ได้จิ๊ปากชื่นชมความมหัศจรรย์


ระหว่างที่หลิ่วหมิงมองสำรวจผนังหินสองฝั่งอย่างละเอียดอยู่นั่นเอง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าสุดปลายทางเดินยาวมีคลื่นพลังวิญญาณรุนแรงลอยมาและมีเสียงต่อสู้ดังปึงปังลอยมาด้วย


สีหน้าเขาเปลี่ยนไปในทันใด แทบจะในเวลาเดียวกันนี้ชั้นจำกัดที่หญิงสาวผู้สวมชุดนางในฝังไว้ในร่างเขาก็เริ่มขยับดิ้นรน มีทีท่าจะไม่มั่นคงอยู่เล็กน้อย


หลิ่วหมิงตกใจไม่น้อย ชั้นจำกัดนี่แฝงวิญญาณปีศาจเสี้ยวหนึ่งของอีกฝ่ายไว้ เชื่อมต่อกับดวงจิตของหญิงสาวอยู่ หรือหญิงสาวนางนี้จะพบสิ่งที่ไม่คาดคิดอันใดขึ้น


หลิ่วหมิงครุ่นคิดดั่งสายฟ้าแลบ สิบนิ้วบนสองมือทำท่าเคล็ดวิชาอย่างต่อเนื่อง พลังเวทบริสุทธิ์สายแล้วสายเล่าทะลักออกมาจากผลึกพลังเวททรงกลมหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดในทะเลจิตวิญญาณ กลายเป็นปราณสีม่วงสายแล้วสายเล่ารัดบนยันต์ชั้นจำกัดแผ่นนั้น ฝืนกดปราณปีศาจที่ปั่นป่วนด้านในแผ่นยันต์ลงไป


จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจลึกยาวอีกเฮือกหนึ่ง หมอกสีดำพวยพุ่งออกมาทั่วร่างกลายเป็นเงาเลือนรางสายหนึ่งเหาะเร็วรี่ไปยังสุดปลายทางเดินยาว


ทางเดินยาวทั้งเส้นยาวราวสองถึงสามร้อยจั้ง ด้วยความเร็วของหลิ่วหมิงในตอนนี้ เวลาเพียงสองสามลมหายใจก็มาถึงสุดปลายทางเดินยาวแล้ว


ผลปรากฏว่าภาพเบื้องหน้ากลับทำให้เขาตกตะลึง!


เวลานี้มนุษย์ปีศาจห้าคนที่มีบุรุษชุดเทาเป็นหัวหน้ากำลังล้อมวงโจมตีหญิงสาวผู้สวมชุดนางในอยู่อย่างสุดชีวิต


พวกเขาแปลงกายจนร่างกายขยายใหญ่ไปถึงสองจั้งกว่า แต่ละคนล้วนมีเพลิงมารสีเขียวเทาหุ้มไว้ เสื้อผ้าบนร่างหายไปหมดสิ้นเผยให้เห็นผิวบนร่างซึ่งมีลวดลายจิตวิญญาณสีดำเขียวสองสีแผ่อยู่ทั่ว ใบหน้าที่เดิมทีเกลี้ยงเกลาหมดจดก็กลายเป็นสีเทาดำและบิดเบี้ยวอย่างที่สุด สองแขนเวลานี้หนากว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า เส้นเอ็นปูดนูนบนผิวเหมือนไส้เดือนกำลังคืบคลาน เล็บบนนิ้วทั้งสิบที่ยาวถึงครึ่งฉื่อกว่าและแหลมคมอย่างยิ่งกำลังสะบัดใส่อากาศกลายเป็นเงากรงเล็บเต็มท้องฟ้าล้อมโจมตีหญิงสาวผู้สวมชุดนางใน


“อย่าลืมว่าในร่างพวกเจ้ามีชั้นจำกัดวิญญาณปีศาจที่ข้าฝังไว้ ต่อให้พวกเจ้าใช้วิชาสะกดมันไว้ได้ชั่วคราวแต่จะฝืนไว้ได้อีกนานเท่าไร” มือของหญิงสาวผู้สวมชุดนางในถืออาภรณ์สีแดงผืนนั้นสะบัดเกิดเป็นแสงเรืองรองแถบแล้วแถบเล่าออกมาขวางเงากรงเล็บทั้งหมดไว้แล้วเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบ


“สหายหลิ่วยังไม่รีบมาช่วยข้าอีก! เมื่อครู่นางปีศาจตนนี้ลงมือลอบโจมตีพวกเราหมายจะยึดครองสมบัติในที่แห่งนี้ไว้คนเดียว! ขอเพียงพวกเราสังหารนางเสีย ชั้นจำกัดที่นางฝังไว้ก็จะสลายไปเอง” มนุษย์ปีศาจที่เป็นหัวหน้าคนนั้นสัมผัสได้ว่าหลิ่วหมิงมาถึงแล้วจึงคำรามเบาๆ เอ่ยบอกทันที


ลำแสงของหลิ่วหมิงกะพริบวูบหนึ่ง เขาก็ปรากฏกายใกล้กับวงต่อสู้ เมื่อได้ยินคำนี้ดวงตาของเขาก็ทอประกายเล็กน้อย


“อย่างพวกเจ้าคิดจะทำลายชั้นจำกัดของข้า น่าขำจริง เจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์รึ” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเพียงกวาดสายตามองหลิ่วหมิงแล้วหัวเราะหยันเอ่ยตอบ จากนั้นริมฝีปากแดงก็ขยับแผ่วเบา เสียงท่องมนต์ประหลาดดังออกมาอย่างอ้อยอิ่ง


หลิ่วหมิงยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไรก็รู้สึกได้ถึงความอึดอัดที่ยากจะกดข่มไว้จู่โจมเข้ามาที่หน้าอก สองขาคุกเข่าล้มลงไปบนพื้น สีหน้าทุกข์ทรมานสุดจะทนในทันใด


มนุษย์ปีศาจห้าคนนั้นที่ล้อมหญิงสาวผู้สวมชุดนางในอยู่ก็เห็นชัดว่าได้รับผลกระทบจากพลังของชั้นจำกัดเช่นเดียวกัน ร่างกายพวกเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แต่หลังจากคำรามทุ้มต่ำอย่างโกรธเกรี้ยวออกมา พวกเขากลับไม่ถอยแต่รุกคืบเข้าไป ร่างกายลอยขึ้นจากพื้นโถมเข้าใส่หญิงสาวผู้สวมชุดนางใน


ทั้งห้าคนลอยอยู่กลางอากาศพลางยื่นสองแขนไปด้านหน้า ฝ่ามือสองข้างเลือนหายไปแล้วโจมตี ชั่วพริบตาเกิดเป็นเงาฝ่ามือยักษ์เลือนรางไม่ชัดผืนหนึ่ง ทรงพลังและน่าตะลึงจนทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว


หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเห็นเช่นนี้ ในดวงตาเหมือนจะฉายแววคาดไม่ถึงอยู่จางๆ ข้อมือขาวผ่องข้างหนึ่งสะบัด อาภรณ์สีแดงพลันคลายตัวออกกลายเป็นพายุหมุนสีแดงสดแผ่ขยายไปรอบด้าน พุ่งเข้าใส่เงาฝ่ามือสีดำที่โถมเข้ามาจากสี่ด้านแปดทิศ


“ฟู่” “ฟู่” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นต่อเนื่อง


เมื่อเงาฝ่ามือมากมายสัมผัสถูกพายุหมุนสีแดงสดต่างทยอยแหลกสลายจมหายไปด้านใน แต่พายุหมุนสีแดงสดก็หม่นแสงลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน


ในเวลาเดียวกันนี้ผิวบนร่างของหญิงสาวผู้สวมชุดนางในพลันเปล่งแสงสีขาวแวววาววูบหนึ่ง ร่างกายพุ่งผ่านลมหมุนที่ยื้อไว้ไม่ไหวอยู่บ้างขึ้นไปบนท้องฟ้า


ครู่ต่อมาเสียงแควกประหนึ่งผืนผ้าขาดก็ดังขึ้นหลายครั้ง พายุหมุนสีแดงแตกสลายอย่างสมบูรณ์กลายเป็นอาภรณ์สีแดงที่พลังจิตวิญญาณเสียหายลอยร่วงลงไปเบื้องล่าง


มนุษย์ปีศาจที่มีเพลิงมารสีเทาเขียวหุ้มอยู่ห้าคนกระโจนขึ้นท้องฟ้าในทันใด พวกเขาเงยศีรษะมองอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นตะปบมือข้างหนึ่งไปเบื้องหน้าฉีกรอยแยกเส้นหนึ่งแล้วมุดเข้าไปด้านใน


หลิ่วหมิงในเวลานี้เหงื่อท่วมศีรษะ มือข้างหนึ่งค้ำพื้น ฝืนอดกลั้นความเจ็บปวดจนยืนขึ้นมาได้อย่างหวุดหวิด


ตอนนี้เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่ายันต์จิตวิญญาณปีศาจแผ่นนั้นในทะเลจิตวิญญาณไม่มั่นคงขึ้นทุกที ปราณปีศาจที่แผ่ออกมาสูญเสียการควบคุมไปแล้ว หากตนไม่กระตุ้นพลังจิตวิญญาณใช้ผลึกพลังเวทป้องกันไว้อย่างแน่นหนา เกรงว่าคงถูกโจมตีจนแก่นเสมือนแตกเป็นชิ้นๆ ระดับพลังลดไปแล้ว


ขณะที่เขาเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้านั่นเอง เขาก็เห็นเปลวเพลิงสีเขียวดวงแล้วดวงเล่าพุ่งออกมาจากความว่างเปล่าใกล้ๆ หญิงสาว เงาร่างสีเขียวมหึมาห้าร่างพุ่งออกมาล้อมนางไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนาอีกครั้ง


“ก๊ากๆ เจ้าหนีไม่พ้นแล้ว!”


มนุษย์ปีศาจทั้งห้าส่งเสียงหัวเราะประหลาดฟังดูโหดเหี้ยมออกมาคนละทีสองที เพลิงมารสีเทาเขียวที่เสกออกมาจากร่างพองขยายในทันใด


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจพลันตกตะลึง ลอบเอ่ยคำหนึ่งว่า “แย่แล้ว” จากนั้นฝืนอดทนต่อความไม่สบายในร่าง กระทืบเท้าพุ่งรวดเร็วออกไปด้านหลัง


หญิงสาวผู้สวมชุดนางในที่ร่างกายอยู่กลางอากาศขมวดคิ้วงามเล็กน้อย จากนั้นอ้าปากคายลูกแก้วกลมสีขาวใสแวววาวลูกหนึ่งออกมา สิบนิ้วขยับทำท่าเคล็ดวิชาไม่หยุดอย่างเร็วไวประหนึ่งกงล้อ


ลูกแก้วกลมสีขาวทอแสงสีเงินสว่างจ้าพักหนึ่ง แสงเรืองรองสีเงินซึ่งแทบจะโปร่งใสหลายสายก็พุ่งออกมาจากด้านใน พวกมันวนขดเป็นวงอย่างรวดเร็วประหนึ่งม้วนไหม พริบตาเดียวเกิดเป็นรังไหมสีเงินรังหนึ่งปกป้องหญิงสาวไว้ด้านใน


เมื่อหญิงสาวผู้สวมชุดนางในทำทั้งหมดนี้เสร็จสิ้น เสียงบึ๊มดังสนั่นก็ลอยมาจากบนท้องฟ้า


เพลิงมารสีเทาเขียวที่มนุษย์ปีศาจห้าคนเสกออกมาระเบิดตามต่อกัน ท้องฟ้าฉับพลันถูกไอหมอกสีเทาเขียวหนาทึบกินพื้นที่ถึงสิบกว่าจั้งเข้าปกคลุม แรงสั่นสะเทือนรุนแรงทำให้ทางเดินยาวทั้งหมดด้านหลังหลิ่วหมิงสั่นไหวโคลงเคลงไปพักหนึ่ง เสียงสะเทือนดังกึกก้องครั้งแล้วครั้งเล่า


เงาคนสีขาวร่างหนึ่งบินถอยออกมาจากกลางหมอกหนาทึบแล้วตกกระแทกหนักหน่วงดังปึกข้างตัวหลิ่วหมิงพอดี


นางก็คือหญิงสาวผู้สวมชุดนางในนั่นเอง ทว่าเวลานี้ดวงเนตรงามของนางปิดสนิท ทั้งร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าโชกเลือด หัวไหล่ซ้ายยังถูกทะลวงเป็นรูใหญ่ยักษ์ เพลิงมารสีเทาเขียวสายแล้วสายเล่ายังคงลุกโชนอยู่บนบาดแผล

 

 

 


ตอนที่ 917 มนุษย์ปีศาจรวมร่าง

 

หลิ่วหมิงรีบถอยออกไปหลายก้าวอย่างพรั่นพรึง ความรู้สึกเจ็บปวดและอาการอึดอัดทั้งร่างมลายหายไปในทันใด เมื่อร่างกายผ่อนคลายลง สิ่งที่มาแทนที่ก็คือยันต์จิตวิญญาณปีศาจแผ่นนั้นในทะเลจิตวิญญาณซึ่งสั่นไหวอย่างรุนแรงอีกครั้ง ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกเหมือนว่าจะกดไว้ไม่ได้อีกต่อไป


ในเวลาเดียวกันนี้เสียงบึ๊มหลายครั้งก็ดังขึ้นจากฝั่งตรงข้าม!


เศษเลือดเนื้อสีเทาดำชิ้นแล้วชิ้นเล่าร่วงกระจัดกระจายออกมาจากหมอกสีเทาหนาทึบกลางท้องฟ้าตกลงมาเกลื่อนพื้นดิน กลิ่นเหม็นคาวที่ชวนให้คนอยากอาเจียนตลบอบอวลในอากาศ


เมื่อครู่มนุษย์ปีศาจเหล่านั้นระเบิดตนเองกันหมดจริงๆ


ขณะที่หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุดอยู่นั่นเอง เสียงครางก็ดังออกมาจากปากของหญิงสาวผู้สวมชุดนางใน ขนตายาวกระพือไหว ดวงเนตรงามลืมขึ้นอีกครั้ง


นางกวาดสายตามองหลิ่วหมิงที่อยู่ไม่ไกล ใบหน้าไม่มีสีหน้าใดแม้แต่นิด แล้วใช้มือข้างหนึ่งยันร่างลุกขึ้นนั่ง ล้วงโอสถสีแดงสดสองเม็ดออกมากลืนลงไปอย่างเร็วไว หลังจากนั้นมือข้างหนึ่งจึงตั้งท่าเคล็ดวิชาเริ่มกระตุ้นฤทธิ์ยาอย่างรวดเร็ว


สตรีนางนี้ได้รับบาดเจ็บจนสีหน้าซีดเผือด แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดตรงกลางหว่างคิ้วจึงมีปราณสีดำชั้นหนึ่งทอแสงออกมา ทว่านางยังคงเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ท่าทางเหมือนกีดกันคนไม่ให้เข้าใกล้


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะฝืดๆ อย่างห้ามไม่ได้


สตรีนางนี้ตั้งแต่ต้นจนจบไม่หันไปมองเลือดเนื้อที่ร่วงกระจัดกระจายของมนุษย์ปีศาจเหล่านั้นเลยสักครั้ง แต่กลับรักษาอาการบาดเจ็บต่อหน้าสิ่งเหล่านั้นอย่างไม่ใส่ใจ ไม่รู้ว่าเป็นคนไม่ใส่ใจหรือว่ามั่นใจในฝีมือจึงไม่กลัว แต่ก็ทำให้เขาอดนับถือไม่ได้อยู่บ้าง


จะว่าไปแล้วนับตั้งแต่พบหญิงสาวเผ่าปีศาจผู้นี้ ไม่ว่ายามสนทนาปกติหรือเผชิญหน้าศัตรูที่แข็งแกร่งนางก็ล้วนท่าทางเย็นชานิ่งเฉยดุจภูเขาน้ำแข็งมาตลอด แม้ใบหน้างามล้ำเลิศจะเสริมส่งจนมีเสน่ห์อย่างประหลาดอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับความงามเย้ายวนยามใช้วิชามายากลับแตกต่างราวกับเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง


หากไม่ใช่เพราะเขาเห็นมาเองกับตา เขาไม่มีทางเชื่อว่านี่เป็นคนเดียวกันเด็ดขาด


เพียงแต่เวลานี้ชั้นจำกัดที่สตรีผู้นี้ฝังไว้ในร่างตนยังไม่คลายออก เห็นชัดว่าตนไม่อาจออกไปจากที่แห่งนี้ได้!


หลิ่วหมิงขบคิดในใจดั่งสายฟ้าแลบ มือข้างหนึ่งคลำบนฝักกระบี่ที่ซ่อนอยู่ข้างเอว แววตาที่มองไปยังหญิงสาวมีจิตสังหารเล็กน้อยปรากฏออกมา


หญิงสาวผู้สวมชุดนางในคล้ายสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากร่างหลิ่วหมิง คิ้วดำจึงเลิกขึ้นเล็กน้อย สายตาทอประกายเย็นเยียบมองมาเช่นเดียวกัน


หลิ่วหมิงหรี่ตาลง ขณะที่เขากำลังคิดจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง


ในไอหมอกอีกด้านหนึ่งก็พลันมีเสียงกรีดร้องประหลาดดังออกมา!


หลิ่วหมิงตกตะลึงเงยหน้ามองทันที จากนั้นก็หน้าถอดสีอย่างห้ามไม่ได้


ไอหมอกสีเทาเขียวหนาทึบกลุ่มนั้นกลางท้องฟ้าฉับพลันปั่นป่วนอย่างรุนแรง ก่อนจะรวมตัวเข้าไปตรงกลางแล้วหดเล็กลงทุกที พริบตาเดียวจากขนาดสิบกว่าจั้งมันก็หดลงจนเหลือเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงสองถึงสามจั้งเท่านั้น


ทันใดนั้นเลือดเนื้อสีเทาดำของมนุษย์ปีศาจที่เดิมร่วงกระจัดกระจายอยู่บนพื้นก็ขยับขยุกขยิกลอยขึ้นมาประหนึ่งกลับมามีชีวิต แล้วพากันลอยขึ้นฟ้ามุ่งไปรวมตัวกับไอหมอกสีเทาเขียวที่หดเล็กลงด้านบนอย่างรวดเร็ว


ขณะที่เลือดเนื้อของมนุษย์ปีศาจเข้าไปรวมตัวกัน ด้านในไอหมอกก็มีเสียงระเบิดดังเปรี้ยงปร้างดังออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า


หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสเพียงครั้งเดียวก็สัมผัสได้เลือนรางว่าท่ามกลางไอหมอกสีเขียวกลุ่มนี้กลางท้องฟ้า เลือดเนื้อของมนุษย์ปีศาจรวมตัวกันเป็นก้อนเนื้อขนาดหนึ่งจั้งกว่าแล้ว นอกจากนี้ยังรวมตัวกันแล้วขยายใหญ่ไม่หยุด กลิ่นอายประหลาดที่แผ่ออกมาพร้อมกันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย


“เสแสร้ง”


หญิงสาวผู้สวมชุดนางในลุกขึ้นยืนทันที นางตบเข้าใส่ไอหมอกกลางท้องฟ้าอย่างไม่ลังเลสักนิด


เสียงฟุบดังขึ้นครั้งหนึ่ง


พลังมหาศาลล่องหนสายหนึ่งฉับพลันซัดออกไป เม็ดทรายปลิวฟุ้งก้อนหินปลิวกระเด็น ทว่าเมื่อมันสัมผัสถูกไอหมอกกลับประหนึ่งตุ๊กตาวัวโคลนจมลงในทะเลไม่ส่งเสียงออกมาแต่อย่างใด


ภาพประหลาดเช่นนี้ทำให้หญิงสาวตกตะลึง บนใบหน้าปรากฏสีหน้าเคร่งเครียดออกมาเป็นครั้งแรก


เวลาเดียวกันนี้ด้านในไอหมอกพลันมีเสียงทุ้มต่ำของหัวหน้ามนุษย์ปีศาจคนนั้นดังออกมา


“หึๆ ไม่เสียทีที่เป็นปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง ฟื้นตัวเร็วทีเดียว แต่ถึงโอสถหยกโลหิตนั่นจะมีฤทธิ์ไม่ธรรมดา แต่บนร่างเจ้าต้องพิษลับของเผ่ามารเราแล้ว ชั่วครู่ชั่วยามใช้พลังเวทไม่ได้สักเท่าไรหรอก!”


“ดูท่าชั้นจำกัดที่ฝังไว้ในร่างพวกเจ้าจะถูกทำลายเสียแล้ว เจ้าก็คงไม่ใช่มนุษย์ปีศาจธรรมดาเช่นกันกระมัง?” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในยกแขนกลมกลึงขึ้นกวักเบาๆ คว้าอาภรณ์สีแดงที่ลอยละล่องอยู่ไม่ไกลกลับมาไว้ในมือ พร้อมกันนั้นนางก็จ้องก้อนเนื้อที่ขยับขยุกขยิกไม่หยุดอยู่กลางไอหมอกแล้วเอ่ยถามขึ้นทีละคำ


“เหอะ ข้าคือผู้ใด เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ แต่ในเมื่อเจ้าบีบข้าจนต้องใช้วิชานี้ ถ้าเช่นนั้นข้าไม่ตายย่อมไม่เลิกรา” เสียงจากในก้อนเนื้อเย็นยะเยือกยิ่งนัก


สิ้นเสียง กลิ่นเหม็นคาวชวนอาเจียนกับไอปีศาจท่วมท้นก็แผ่ออกมาจากหมอกหนาทึบสีเขียวเทาซัดสาดไปสี่ด้านแปดทิศพร้อมกัน


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขากดยันต์เผ่าปีศาจที่ดิ้นรนจะขยับในร่างไปพลางก็สังเกตก้อนเนื้อในไอหมอกไม่หยุดไปด้วย สีหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน


ในเวลาเพียงชั่วครู่ก้อนเนื้อในไอหมอกก็มีขนาดถึงสองจั้งแล้ว นอกจากนี้ยังมีเค้าโครงสองแขนสองขาและศีรษะ กลายเป็นรูปร่างของมนุษย์แล้วอีกด้วย


“ไม่ตายไม่เลิกรา แต่แค่อย่างเจ้าน่ะรึ?” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในหัวเราะหยัน


“ไม่ผิด อย่างข้านี่แหละ!”


เสียงบึ๊มดังสนั่นขึ้นครั้งหนึ่ง หมอกหนาทึบสีเทาเขียวทั้งหมดกระจายออกไปในทันใด เผยให้เห็นร่างของมนุษย์ปีศาจหน้าตาดุร้ายสูงสองจั้งคนหนึ่งด้านใน


หน้าตาของมนุษย์ปีศาจผู้นี้เหมือนกับหัวหน้ามนุษย์ปีศาจคนก่อนทุกประการ เพียงแต่รูปร่างใหญ่โตกว่าหลายเท่าและปราณบนร่างเพิ่มพูนขึ้นมหาศาลยิ่งกว่าเดิมในพริบตา ทะลุเกินระดับแก่นแท้ขั้นปลายไปแล้ว!


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็สูดลมหายใจดังเฮือก ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง


“ระดับดาราพยากรณ์หรือ เป็นไปไม่ได้ หากเจ้ามีพลังระดับนี้จะเข้ามายังที่แห่งนี้ได้อย่างไร” หญิงสาวผู้สวมชุดนางใจก็ตกตะลึงไม่น้อยเช่นเดียวกัน


“ฮ่ะๆ ด้วยพลังของข้า เดิมทีข้าไม่อาจเข้ามายังที่แห่งนี้โดยตรงได้ แต่หากแยกทั้งหมดเป็นส่วนย่อยเล่า?” มนุษย์ปีศาจคนใหม่หัวเราะเอ่ยขึ้นมา ใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง


“ที่แท้พวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นร่างแยกของเจ้าเท่านั้น ข้าก็ว่าแล้วว่าเหตุใดปราณและระดับพลังล้วนใกล้เคียงกันเช่นนั้น แต่ก่อนหน้านี้เจ้าเสียร่างแยกไปร่างหนึ่ง แล้วยามนี้ยังระเบิดตนเองอย่างไม่เสียดายเพื่อทำลายชั้นจำกัดของข้า พลังคงเสียหายไปไม่น้อยกระมัง! ยิ่งไปกว่านั้นดินแดนแห่งนี้รองรับตัวตนระดับดาราพยากรณ์ไม่ได้ แม้เจ้ากลับคืนร่างจริงก็เกรงว่าคงจะต้องถูกพลังแห่งกฎของโลกใบนี้ย้อนกลับมาทำร้าย ไม่อาจคงพลังระดับดาราพยากรณ์อยู่ได้นานนักหรอก” หลังจากหญิงสาวผู้สวมชุดนางในสีหน้าเปลี่ยนไปมาหลายครั้งก็เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าย่ำแย่


“เจ้าพูดได้ไม่ผิด ร่างจริงของข้าคงอยู่บนดินแดนแห่งนี้ได้ไม่นานจริงๆ ดังนั้นข้าจึงไม่คิดจะพูดไร้สาระอันใดต่อ ชั้นจำกัดของที่แห่งนี้ถูกทำลายไปประมาณหนึ่งแล้ว ชีวิตน้อยๆ ของพวกเจ้าทั้งสองคน ข้าขอรับไว้เลยก็แล้วกัน” มนุษย์ปีศาจคนใหม่หัวเราะลั่นอย่างโหดเหี้ยม แขนข้างหนึ่งงอแล้วยืดออกอย่างเร็วไว ไอปีศาจพวยพุ่งออกมาหมุนวนกลางท้องฟ้าแล้วก่อตัวเป็นเงากรงเล็บมารขนาดยักษ์สีดำขมุกขมัวประหนึ่งมีชีวิตขนาดสิบกว่าจั้งข้างหนึ่ง บนผิวของมันมีไอปีศาจสีเทาเขียวดุจอสรพิษเส้นแล้วเส้นเล่าเวียนวนไม่หยุด พลังน่าตะลึงอย่างที่สุด


“ข้าจะช่วยเจ้าคลายชั้นจำกัดชั่วคราว เจ้าพาข้าหนีไปก่อน ถ่วงเวลาไว้สักพัก รอข้าทุ่มกำลังสะกดพิษในร่างได้แล้วเราค่อยร่วมมือกันรับมือศัตรู!” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเป็นคนเด็ดขาดยิ่งนัก แทบจะในพริบตาที่มนุษย์ปีศาจฝั่งตรงข้ามลงมือ ร่างกายนางก็ขยับมาปรากฏข้างหลิ่วหมิงทันที ขณะที่ปากเอ่ยอย่างรวดเร็ว มือก็ดีดแสงแวววาวสีขาวเส้นหนึ่งทะลวงเข้ามาในร่างของเขาพร้อมกัน


พริบตาที่แสงสีขาวเข้ามาในร่างของหลิ่วหมิง เขาก็รู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายลงในทันใด ปราณปีศาจที่เดิมทีทะลวงไปทั่วกลับไปอยู่ในยันต์จิตวิญญาณปีศาจแผ่นนั้น ในที่สุดทะเลจิตวิญญาณก็สงบลง เขาทั้งตกตะลึงและยินดี ตบอสูรสมุทรแปดขาตรงหน้าอกครั้งหนึ่งอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป ปีกเนื้อสีเงินแวววาวคู่หนึ่งงอกออกมาจากแผ่นหลัง


เสียงฟึ่บดังขึ้นครั้งหนึ่ง


ปีกเนื้อสีเงินกระพือเพียงครั้งเดียว หลิ่วหมิงก็อุ้มหญิงสาวผู้สวมชุดนางในขึ้นมาแล้วกลายเป็นลำแสงสีเงินเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่ผ่านทางเดินด้านหลังที่พวกเขาเข้ามา


เขารู้ชัดยิ่งว่าในเมื่อมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์เผยร่างจริงออกมาแล้ว เขาก็มีแต่ต้องร่วมมือกับหญิงสาวเผ่าปีศาจเท่านั้น


เสียงเปรี้ยงดังขึ้นครั้งหนึ่ง!


กรงเล็บมารสีดำมหึมาแทบจะร่วงเฉียดแผ่นหลังของเงาสีดำสลับเงินไป แต่มันก็ตบเข้าใส่ความว่างเปล่า กระแทกลงบนพื้นดินตรงจุดที่หลิ่วหมิงกับหญิงสาวผู้สวมชุดนางในเคยอยู่


ทันใดนั้นพายุหมุนปราณสีดำลูกหนึ่งก็พัดขึ้นมาพร้อมกับหินที่ปลิวกระเด็นนับไม่ถ้วน


ปราณสีดำสลายไปอย่างรวดเร็ว บนพื้นดินมีรอยกรงเล็บขนาดมหึมาลึกหลายจั้งรอยหนึ่งปรากฏขึ้นเด่นชัด


นับตั้งแต่หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเอ่ยปากจนกระทั่งหลิ่วหมิงใช้วิชาเกราะอสูรอุ้มสตรีนางนี้หลบหนี จนถึงตอนที่กรงเล็บมารร่วงลงมา ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นเวลาเพียงสองลมหายใจ เรียกได้ว่าเร็วดุจสายฟ้าแลบ


“จิ๊ๆ ปฏิกิริยาตอบสนองไวเอาเรื่อง! ข้าก็อยากดูสิว่าพวกเจ้าจะหนีไปได้ถึงไหน!”


มนุษย์ปีศาจที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาใหม่คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงผู้มีพลังระดับแก่นเสมือนกระจอกๆ จะมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วเช่นนี้ หลังจากเขาคำรามเสียงทุ้มต่ำประโยคหนึ่งก็กลายร่างเป็นเงามารสีเทาเขียวก้อนหนึ่งพุ่งดิ่งลงมาแล้วไล่ตามหลิ่วหมิงไปติดๆ


หลิ่วหมิงในเวลานี้พุ่งหนีไปตามทางด้านหน้าอย่างสุดกำลัง เพราะในอ้อมแขนอุ้มเรือนร่างบอบบางที่อ่อนยวบราวกับไร้กระดูกไว้ ยามหายใจกลิ่นหอมชื่นใจที่หอมยิ่งนักจึงโถมเข้ามาในจมูกชวนให้ใจคนวอกแวก


ทว่าหลิ่วหมิงกลับกระตุ้นพลังเวทในร่างอย่างบ้าคลั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วกรอกเข้าไปในปีกทั้งสองข้างบนแผ่นหลังอย่างสุดชีวิต ทั้งร่างกลายเป็นแสงสีเงินเส้นหนึ่งโดยสมบูรณ์


หญิงสาวผู้สวมชุดนางในกลับคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะอุ้มตนเองไว้ในอ้อมแขน รอจนนางได้สติคืนมาก็พบว่าทัศนียภาพรอบด้านพุ่งถอยหลังอย่างรวดเร็ว และครึ่งค่อนร่างของตนก็อิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย


สตรีนางนี้สัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ส่งผ่านมาจากร่างกายแข็งแกร่งของอีกฝ่าย แก้มสองข้างแดงปลั่งอย่างห้ามไม่อยู่ ขับเน้นให้ดวงหน้าที่เดิมก็งามล้ำอยู่แล้วยิ่งเย้ายวนคนขึ้นไปอีก


ต้องรู้ว่าแม้แต่บนแผ่นดินหมานฮวงเองสายเลือดปีศาจจิ้งจอกเก้าหางที่นางครอบครองอยู่ก็มีประวัติความเป็นมาอันยิ่งใหญ่ เมื่อรวมกับที่นางมีชาติกำเนิดมาจากกลุ่มอำนาจขนาดใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ อีกทั้งตั้งแต่เกิดก็เป็นคนงาม หน้าตาสะกดผู้คน ที่แผ่นดินหมานฮวงจึงมีผู้คนชื่นชมนับไม่ถ้วน ในหมู่พวกเขาเหล่านั้นมีคนไม่น้อยฐานะและระดับพลังสูงส่ง แต่เนื่องจากสาเหตุทางตระกูลจึงไม่เคยมีคนต่างเพศคนใดได้ใกล้ชิดแนบเนื้อเช่นนี้


ตอนนี้นางเข้ามาในเศษซากของดินแดนต่างโลกแห่งนี้เพียงลำพัง เพราะไม่รอบคอบจึงได้รับบาดเจ็บแล้วยังต้องพิษร้ายของมนุษย์ปีศาจ ต่อให้มีใจจะสู้ร่างกายก็ไม่ไหว แต่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์คนนี้กลับตัดสินใจเด็ดขาดฉับไวพาตนเองหนีมาด้วยกัน ทำให้ในใจนางเกิดความรู้สึกประหลาดน้อยนิดแล่นผ่านอย่างห้ามไม่อยู่


ความรู้สึกเช่นนี้ห่างไกลจากตัวนางยิ่งนัก คล้ายกับว่ายามที่นางถูกท่านปู่อุ้มไว้ตอนยังเล็กก็เคยทำให้นางรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาเนิ่นนานเช่นนี้


ทว่าความรู้สึกประหลาดนี้ถูกหญิงสาวฝืนกดลงไปอย่างรวดเร็วยิ่ง ความหยิ่งทะนงที่มีมาแต่กำเนิด การเป็นปีศาจชั้นสูงและการเติบโตมาท่ามกลางสายตาของผู้คนตั้งแต่เด็กทำให้นางไม่มีวันยอมให้ตนเองมีความคิดที่ไม่สมกับฐานะแม้แต่นิดเป็นอันขาด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)