องครักษ์เสื้อแพร 913-916
ตอนที่ 913 ที่ประชุมถกชายแดน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปัญหาชายแดน สี่คำนี้ไม่ว่าสมัยใดล้วนเป็นเรื่องร้อนใจ ไม่ต้องพูดถึงว่ารบด้วยเหตุผลหรือไม่ แต่การเปิดศึกพวกนอกเผ่า ล้วนเป็นเรื่องระดับชาติ ย่อมต้องคิดให้รอบคอบ
ว่าจากใจแล้ว ขุนนางกรมอากรที่มายื่นฎีกานี้ไม่ได้เกี่ยวข้องใดกับการแก่งแย่งระหว่างขุนนางบุ๋นและบู๊ รวมถึงอำนาจหวังทง ยังไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วุ่นวายเลอะเทอะเมื่อคราก่อนด้วย เพียงแต่เป็นห่วงเท่านั้น
ฎีกาที่ยื่นจากใจแท้จริงนี้ในสถานการณ์ตอนนี้ ทำให้เกิดผลกระทบไม่น้อย อย่างน้อยขุนนางกรมอากรก็ได้พูดเรื่องที่ต้องการพูด ไม่หวังว่าเมืองหลวงจะสนใจอันใด แต่ฎีกาเขานั้นถูกเสนาบดีเรียกตัวไปสอบถามละเอียด และจากนั้นในวังก็มีขันทีมาสอบถาม
หลังจากเข้าใจเรื่องพวกนี้แล้ว จึงได้นำมาเข้าในการประชุมขุนนาง
การประชุมขุนนางเมื่อก่อนหากถกกันเรื่องการเมืองหลายเรื่อง มักเป็นการโจมตีบุคคลมากกว่าถกเรื่องราวจริงๆ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิม ทุกคนล้วนรู้จักสงบเสงี่ยม
“……ทว่าการขัดแย้งระหว่างขบวนพ่อค้ากับพวกโจร เงินหลายพันตำลึงเข้าออก หลายสิบชีวิตบาดเจ็บล้มตาย จากนั้นก็สังหารเผ่าพวกนอกด่านนับพัน จับตัวเชลยนับพันและกวาดต้อนทรัพย์สินกลับมา จากนั้นก็เปิดศึกหลายหมื่นคน ตายไปอีกหลายพันคน ตอนนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงไม่มีข่าวมา เผ่าฉาฮาเอ่อเป็นเผ่าใหญ่บนทุ่งหญ้า จากนี้หากจะมีสงครามอีก คาดว่าทางเมืองกุยฮว่าเฉิงคงพอจะรับมือได้ แต่หากจะดึงดันยืดยื้อต่อไป ดีไม่ดีอาจทำให้เกิดเหตุสงครามเช่นตอนยึดเผ่าอันต๋า หากเป็นเช่นนี้….”
เสนาบดีกรมทหารปี้เชียงกล่าวชัดถ้อยชัดคำ ที่เขาว่ามาสุดท้ายแล้วหยุดไม่พูดต่อ พวกเขาเป็นพวกที่สลัดพวกหยางเหว่ยทิ้งจนได้ขึ้นมา ตอนนี้ทำอะไรจึงระมัดระวังตัวยิ่ง
ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้แตะต้องพวกเขา เหลือพวกเขาไว้สมดุลอำนาจกับหวังทง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งได้อย่างมั่นคง และไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะโจมตีหวังทงได้ แต่เรื่องนี้ เป็นหน้าที่กรมทหาร และยังเกี่ยวพันกับหวังทง ดังนั้นวาจาจึงต้องระมัดระวังไม่ให้ล่วงเกิน
เห็นเขาอ้ำอึ้ง รองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยในคณะเสนาบดีใหญ่ก็รับมากล่าวต่อว่า
“หลายปีนี้การรบบนทุ่งหญ้านอกด่าน แม้ล้วนเป็นชัยชนะแผ่นดินหมิง แต่อย่างไรก็ทำให้ชาวประชาลำบาก เสียเงินเสียทองไปมาก และการรบที่เสี่ยงมากไป ผู้ใดก็ให้การรับรองทั้งหมดไม่ได้ว่าจะชนะ พวกกลุ่มชายฉกรรจ์เมืองกุยฮว่าเฉิงกระทำเรื่องราวที่ไร้ขอบเขต แม้ว่าโชคดีรอดมาได้ แต่ครั้งหน้าหากยั่วยุพวกนอกด่านให้มาอีก เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นพื้นที่สำคัญไม่อาจปล่อยปละไปโดยง่าย คงได้แต่ส่งกำลังกองทัพไปช่วย ถึงตอนนี้ก็ย่อมเป็นสงครามระดับชาติ”
หวังซีเจวี๋ยกล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดไปครู่ก่อนจะกล่าวอีกว่า
“กระหม่อมหมายความว่าไม่ใช่กำราบพวกนอกด่านไม่ได้ แต่เพราะว่าไม่อาจทำเพียงเพราะกำไรเล็กน้อยของพวกพ่อค้าจิตใจโหดเหี้ยมในเมืองกุยฮว่าเฉิงที่หวังแต่ประโยชน์ตนเท่านั้น ทำเอาทหารเราต้องออกไปร่วมด้วย เกรงว่าจะเหลวไหลไปเสียหน่อย ได้ไม่คุ้มเสีย”
ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งอยู่คิดหนัก ครั้งแรกที่ทรงได้อ่านฎีกาความจริงจากขุนนางที่กราบทูลจากใจ รู้สึกตื่นเต้นมาก ชายฉกรรจ์แผ่นดินหมิงเก่งกล้าเพียงนี้หรือ สังหารพวกนอกด่านมากอีกหน่อยเป็นเรื่องดี ทว่าเรื่องใดที่ส่งผลกระทบใหญ่ก็ต้องมีขอบเขต ต้องคำนึงถึงไม่ใช่แค่เรื่องรบและความสะใจเล็กน้อยพวกนี้
ฮ่องเต้ว่านลี่แต่ทรงพระเยาว์ก็ได้รับการสอนสั่งว่า ‘ไม่ให้ใช้อาวุธลงมือ’ และ ‘สามัคคีปรองดองมีค่าที่สุด’ เช่นนี้มา เพราะประวัติศาสตร์นั้นผู้ปกครองที่ชื่นชอบการสงครามไม่มีจุดจบที่ดีสักองค์ แม้ว่าได้รับชัยชนะ แต่เงินทองในท้องพระคลังหลวงก็ร่อยหรอ และกำลังคนก็ร่อยหรอ มักจะทำให้การปกครองเกิดความวุ่นวาย
ความหมายหวังซีเจวี๋ยก็คงประมาณนี้ ที่จริงแล้วรองอำมาตย์ท่านนี้ในคณะเสนาบดีใหญ่ค่อนข้างไม่พูดมากและถ่อมตน ฮ่องเต้ว่านลี่ก็พอฟังความนัยเขาออก หากไม่ได้เตรียมตัวออกศึกแล้วยั่วยุให้พวกนอกด่านเปิดศึก ก็เท่ากับทำให้แผ่นดินยุ่งยากวุ่นวาย
แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็พอรู้สึกได้ว่ามีอันใดไม่ถูกต้องนัก เพราะใต้หล้าหลังทรงครองราชย์ เหมือนว่าแตกต่างจากเมื่อก่อน มีหลายเหตุผลของเมื่อก่อนใช่ว่าเหมาะกับตอนนี้
เงียบไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่หันไปทางหวังทง ตรัสถามว่า
“หวังทง เรื่องนี้ เจ้าเห็นอย่างไร?”
หวังทงใช้ชีวิตที่เมืองกุยฮว่าเฉิงมาระยะหนึ่ง ระบบทางนั้นเขาย่อมเป็นคนสร้างกับมือ เขาย่อมมีสิทธิ์ออกเสียงที่สุด หวังทงได้ยินก็ก้าวออกมาถวายบังคมทูลน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอถามก่อนสักสองสามคำถาม?”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักหน้า หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ปีนี้ต้นปีมาถึงตอนนี้ เมืองหลวงเคยได้ยินข่าวเช่นนี้มาสี่ครั้ง จำนวนพวกนอกด่านบาดเจ็บล้มตายที่รายงานมาไม่เคยชัดเจน แต่ก็น่าจะมากกว่า 7,000 ได้ ขบวนพ่อค้าผู้คุ้มกันกับลูกหลานเมืองกุยฮว่าเฉิงตายไปราวพันคน ขอใต้เท้าทุกท่านลองคิดดู ชายแดนรายงานมา หัวศัตรูที่ได้มีรายงานมาเท่าไร?”
ทุกคนสบตากัน ตัวเลขนี้เป็นเรื่องสำคัญของทางการ ปี้เชียงกำลังคิดในใจ ฮ่องเต้ว่านลี่กลับหันไปทางจางเฉิงตรัสถามว่า
“จางเฉิง เท่าไร?”
“ทูลฝ่าบาท หากไม่นับรวมที่ใต้เท้าหวังออกศึกมา เกือบ 20 ปีนี้ทางเหนือตัวหัวศัตรูมาได้ทั้งหมด 6,320 พะยะค่ะ”
กล่าวจบ ในที่ประชุมก็เงียบไป สีหน้าขุนนางบุ๋นครุ่นคิดหนักแต่กลับไม่กล้ากล่าวอันใด ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตรัสว่า
“หวังทง เจ้าว่าต่อไป!”
“ใต้เท้าทุกท่าน ทุ่งหญ้านอกด่านมีเผ่าใหญ่ทั้งหมดเท่าไร เผ่าพวกนี้จะเคลื่อนกำลังทหารม้าได้เท่าไร ปีนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงไม่กระไรนักก็ตัดหัวไปได้หลายอยู่ ที่เหลือกระสานซ่านเซ็น ไม่มีรายงานก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ใต้เท้าทุกท่าน หวังทงคิดถามว่าตั้งแต่ตั้งเมืองกุยฮว่าเฉิงมา เคยให้ราชสำนักออกค่าเสบียงใดหรือไม่ เคยออกรบกี่ครั้ง?”
ถามเช่นนี้ออกมา ขุนนางใหญ่ก็ได้แต่เงียบ วิพากษ์วิจารณ์มาถึงขั้นนี้ มหาอำมาตย์เซินสือหังกลับไม่อาจเงียบต่อ เข้าออกมากล่าวว่า
“ราชสำนักไม่เคยออกค่าเสบียงใด ทหารที่นั่นก็ไม่เคยเคลื่อนกำลัง”
กล่าวจบ เซินสือหังเองก็ส่ายหน้า การวิพากษ์วิจารณ์ตอนนี้เหมือนทุกอย่างถูกหวังทงจูงไปหมด ช่างน่าอึดอัดที่สุด หวังทงกล่าวอีกว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมกลับจากเมืองกุยฮว่าเฉิง เข้าใจความเป็นไปในเมืองกุยฮว่าเฉิงถ่องแท้ ไม่รวมพวกกลุ่มชาวบ้านที่รับการฝึกการต่อสู้ตามโรงบ้าน แค่ผู้คุ้มกันขบวนการค้าก็ราว 5,000 กว่าแล้ว เหล่านี้ล้วนมีทหารปลดประจำการเราเป็นหัวหน้าฝึก ขุนนางบู๊อาวุธพร้อมก็มี นอกเมืองยังมีคนจากเผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้ากระจัดกระจาย หลายครั้งที่เรียกตัวก็จะมีอีกราวพันกว่า หากรวมกันขึ้นมา ห้าพันกว่าก็พอได้”
กล่าวถึงตรงนี้ กลับถูกฮ่องเต้ว่านลี่ขัดขึ้นถามขึ้น
“ทุกหน่วยรวมกันแล้วได้ราวกี่คน?”
“ทูลฝ่าบาท พวกหน่วยฝึกตามโรงบ้านยามทำนาก็ทำนา เวลาว่างก็ฝึก จำนวนไม่น้อยกว่า 20,000 คน”
“กำลังรบเป็นอย่างไร?”
“แต่ละหน่วยไม่ด้อยกว่าทหารชายแดน”
ที่ประชุมเริ่มมีเสียง ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ สีพระพักตร์พึงพอพระทัยหน้า ขุนนางทั้งหมดได้แต่สบตากันไปมา กล่าวเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นกองกำลังนับหมื่นที่ไม่ขาดแคลนเสบียง มีทหารปลดประจำการเป็นแกนหลัก ยังมีชัยชนะหลายครั้ง คิดแล้วกำลังปกป้องตนเองนั้นไม่ต้องกังวล
“ใต้เท้าหวังกล่าวเช่นนี้ ใช่ว่าจะบอกว่ารอบเมืองกุยฮว่าเฉิงก็เหมือนดังเมืองชายแดน?”
ขุนนางใหญ่คนหนึ่งอดไม่ได้ถามขึ้น หวังทงยิ้มตอบ
“ใต้เท้าท่านนี้ ชายแดนแผ่นดินหมิง ที่สามารถมีกำลังรักษาตัวเองได้มีกี่ที่?”
ทางนั้นพูดไม่ออก หลายปีนี้ที่ชนะสงครามมาตลอด นอกจากเมืองจี้โจวที่ร่วมรบเมืองกุยฮว่าเฉิงแล้ว ก็มีเมืองเหลียวโจวที่ยกกำลังปราบเผ่าเคอเอ่อชิ่นยึดตัวหลุน ที่เหลือทุกปีตัดหัวศัตรูมาร้อยพันหัวก็เรียกได้ว่าสำเร็จมีหน้ามีตาแล้ว ไหนเลยจะเทียบกับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้
กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงก็สรุปได้แล้ว เขาถวายคำนับฮ่องเต้ว่านลี่ ก่อนจะหันไปกล่าวว่า
“ความสามารถการรบนั้น ฝ่าบาทกับทุกท่านใต้เท้าก็ได้รู้แล้ว ตั้งแต่ตั้งแผ่นดินหมิงมา ตอนเหนือแผ่นดินหมิงอยู่ในสถานะป้องกัน แต่ตั้งแต่ปราบเผ่าอันต๋าลง ยึดครองเมืองกุยฮว่าเฉิง แผ่นดินหมิงก็เปลี่ยนสถานการณ์ทุ่งหญ้านอกด่านไปทันที การรบใหญ่สองครั้ง แผ่นดินหมิงล้วนมีชัยเด็ดขาดเหนือพวกนอกด่าน”
ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มมีรอยแย้มสรวล ไม่ว่าขุนนางหกกรมกองหรือขันทีสำนักส่วนพระองค์ หรือแม้แต่ขันทีปรนนิบัติในที่ประชุม ทุกคนล้วนมีสีหน้าภูมิใจ อย่างไรก็ทำให้แผ่นดินหมิงได้ยืดอก ทุกคนย่อมรู้สึกมีเกียรติไปด้วย
“ตอนนี้แต่ละเผ่าบนทุ่งหญ้านอกด่านไม่อาจไม่มีเมืองกุยฮว่าเฉิง พวกเขาต้องการสินค้าอาหาร ต้องการอาศัยหลบหนาว ต้องการแลกเปลี่ยนกับพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิง พวกที่เห็นเมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นศัตรู ชาวเมืองกุยฮว่าเฉิงย่อมไม่เกรงใจ จึงปล้นชิง สังหารทิ้ง ผู้คุ้มกันขบวนการค้าสังหารมากอีกหนึ่ง วันหน้ากองกำลังแผ่นดินหมิงก็ประหยัดแรงไปอีกหนึ่ง แม้เผ่าใหญ่คิดเคลื่อนกำลังมาโจมตีแล้วอย่างไร แผ่นดินหมิงรบกับพวกนอกด่านมา 200 กว่าปี อาศัยสงครามใหญ่สังหารให้ราบคาบก็ดี เพื่อแผ่นดินหมิงจะยืนยาวสงบสุขไปอีกหลายร้อยปี”
หวังทงพูดจบชัดถ้อยชัดคำ ที่ประชุมเงียบกริบ ขุนนางใหญ่อึ้งจ้องมองหวังทง ในใจคิดว่าพูดเช่นนี้ใช่ว่าเสียสติไปแล้วหรือ แต่ทุกคนเป็นขุนนางใหญ่ ล้วนเข้าใจสภาพทุกอย่างดี ลองคิดให้ดี ก็เหมือนเป็นดังว่ามา
ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็คิดเช่นกัน เริ่มแรกที่อึ้งไป ต่อมาก็เริ่มเห็นว่าที่หวังทงว่ามานั้นทำได้ดี หลายปีนี้เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ความคิดทุกคนยังคงตามไม่ทัน
ฮ่องเต้ว่านลี่ตบพระหัตถ์ยิ้มตรัสว่า
“สถานการณ์ตอนนี้ ไม่ใช่ก่อสงครามชายแดน เห็นชัดว่าเป็นการทำลายกำลังศัตรู มีความชอบ ท่านอำมาตย์ คณะเสนาบดีใหญ่กับกรมทหารหารือกันสักหน่อย เรื่องเช่นนี้ในเมื่อมีประโยชน์ ก็กำหนดให้ชัดเจน ส่งเสริมให้แต่ละที่ทำตาม”
เซินสือหังอึ้งไป ก้าวออกมาถวายคำนับทูลว่า
“ฝ่าบาท เรื่องนี้หากให้ราชสำนักกำหนดวิธี ให้แต่ละที่ไปทำตาม เกรงว่าจะเสียเกียรติราชสำนัก ประเทศรอบๆ ได้ยินได้เห็น ก็จะหัวเราะเยาะราชสำนักเรา”
สีหน้าฮ่องเต้ว่านลี่กับหวังทงดำคล้ำ คิดว่าอำมาตย์เซินจะกล่าวอ้างหลักการอันใดอีก คิดไม่ถึงว่าเซินสือหังจะเปลี่ยนประเด็นไปทูลต่อว่า
“ราชสำนักไม่ต้องพูดอะไร ครั้งหน้าหากมีเรื่องนี้ก็ให้ขุนนางท้องที่มีหนังสือมาว่าพวกนอกด่านโจมตีพ่อค้าแผ่นดินหมิง หากพวกนอกด่านไม่สงบเสงี่ยม ราชสำนักจะลงโทษ ฝ่าบาทคิดว่าเป็นอย่างไรพะยะค่ะ?”
“ท่านอำมาตย์เสนอได้ดี!”
ตอนที่ 914 เมืองหลวงหิมะตกหนัก
โดย
Ink Stone_Fantasy
แย่งของพวกเจ้า สังหารพวกเจ้า ยังไม่เสียคำว่าคุณธรรม นี่สิเรียกว่าหน้าตาศักดิ์ศรีแห่งประเทศใหญ่ เซินสือหังกล่าว ออกมา ทุกคนพากันชื่นชม
อ้างหลักการคุณธรรมใหญ่ เรื่องราวทำไปแล้วก็เห็นว่าสมเหตุสมผล บนทุ่งหญ้านอกด่าน ขบวนพ่อค้าสังหารปล้นชิงอย่างไร ทำชั่วอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกเขาไป หากเสียเปรียบ ราชสำนักก็ยอมรับ พวกเจ้าเสียเปรียบมา ทางการก็จะออกหน้าให้เอง แต่หาก ‘ชาวบ้านออกหน้า’ ไปช่วยแก้แค้นเองก็ย่อมดี
เช่นนี้ราษฎรใต้หล้าย่อมร่วมแก้แค้น ส่วนเรื่องทุ่งหญ้านอกด่านเป็นเช่นไร ห่างกันหลายพันหลายหมื่นลี้ ผู้ใดอยากจะสนใจกัน
แต่โบราณกาลมาประเทศใหญ่ก็มักเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าทำจะทำเรื่องน่าละอายเพียงใด ก็มักจะหาเหตุผลสวยหรูอ้างหลักการคุณธรรมใหญ่โต
ในความจริงแล้วการตั้งระเบียบเช่นนี้ พวกขบวนพ่อค้าจะไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรได้อย่างไร ก็ย่อมเป็นการส่งเสริมให้พวกเขาปล้นสังหารได้อย่างสบายใจ ยังต้องกล่าวอันใดให้กระจ่างไปกว่านี้อีกหรือ
การประชุมนี้ เดิมทุกคนกังวลว่าชาวบ้านเมืองกุยฮว่าเฉิงยั่วยุให้เกิดสงครามชายแดน ปรากฏวาจาหวังทงไม่กี่คำ สุดท้ายกลายเป็นว่าส่งเสริมให้พวกเขากำราบทุ่งหญ้านอกด่าน ทำให้ทุกคนอยากจะร้องไห้ก็ไม่ออก อยากจะยิ้มก็ไม่ได้
การหารือนี้นับเป็นการเปิดตัวครั้งแรกบนแผ่นดินหมิง แผ่นดินหมิงแต่ไรมาก็มักเรียกร้องให้จัดการชายแดนแบบหัวหด ยามนี้กลายเป็นการเปิดกว้างออกให้ออกไปสังหารศัตรู แผ่นดินหมิงที่เคยหดหัวอยู่ก็กลายเป็นโจมตีได้อย่างไม่เกรงกลัว
ในภาพรวมนี้ หวังทงกล่าวมาก็เพื่อให้ทุกคนไม่มีความเห็นค้านในเรื่องนโยบายจัดการเมืองกุยฮว่าเฉิง แผ่นดินหมิงอยู่ในความระมัดระวังมานาน เห็นการกระทำที่ไม่เก็บงำท่าทีเช่นนี้ย่อมไม่ชิน ทว่าหวังทงปรรับความคิดพวกเขาทิ้งไป ไม่ได้คิดถึงหลักการคุณธรรมที่ซับซ้อนใด
ก่อนจบการประชุมขุนนาง หวังทงก้าวเดินออกไปสองสามก้าวลงทูลรายงานว่า
“ฝ่าบาท ตอนนี้เผ่าอันต๋าถูกทำลายลง เผ่าฉาฮาเอ่อกับเผ่าเคอเอ่อชิ่นก็ค่อยๆ ถอยร่นไป ชายแดนมีแต่เพียงรักษาการณ์ให้เข้มแข็ง การจะส่งงบประมาณลงไปอีก เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะ”
หวังทงทูลจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็จมในภวังค์ความคิดทันที พวกจางเฉิงสีหน้าแปรเปลี่ยน เห็นชัดว่าวาจาหวังทงทำเอาให้ต้องคิดหนัก
ตอนนั้นไม่ได้แสดงอาการใด แต่หลังประชุมหวังทงกลับมาที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร โจวอี้แห่งสำนักอาชาหลวงก็ตามมาติดๆ
การมาของโจวอี้ ทำให้ทุกคนในสำนักองครักษ์เสื้อแพรตกใจเล็กน้อย ในใจคิดว่าติ้งเป่ยโหวผู้บัญชาการเรานี่ไม่ธรรมดา หลังเลิกประชุมในวังก็มีขันทีสำนักอาชาหลวงตามมาเยือนด้วย คิดถึงท่านนั้นในตอนนั้น ไม่ใช่คนติดตามคณะเสนาบดีใหญ่ก็เป็นคนติดตามสำนักส่วนพระองค์ เห็นเจ้านายทรงอำนาจแล้ว อย่างไรก็ต้องโขกศีรษะคำนับ
เป้าหมายของโจวอี้ก็ง่ายมาก สอบถามที่หวังทงกล่าวก่อนเลิกประชุมขุนนาง คำตอบหวังทงง่ายมาก บอกว่าเพราะคำวิพากษ์วิจารณ์ในราชสำนักทำให้ตนเองได้คิดเรื่องนี้ขึ้นมา
“เรื่องที่เจ้าว่ามาวันนี้ ฝ่าบาทกับกงกงทุกท่านเริ่มแรกคิดว่าเหลวไหล ชายแดนและการปกป้องคุ้มกันแผ่นดินหมิงตอนเหนือเป็นรากฐานแผ่นดินหมิง มีอันใดไม่เหมาะสมกัน แต่พอกลับไปคิดให้ดี ก็เป็นดังที่เจ้าว่ามา ตอนนี้สถานการณ์เช่นนี้ อวี้หลิน เหยียนสุย ต้าถง ไท่หยวน เมืองพวกนี้ไม่จำเป็นต้องจัดตั้งกองกำลัง เมืองเซวียนฝู่อาจมีทหารประจำต่อไปได้บ้าง นี่ไม่รู้ว่าจะประหยัดไปอีกเท่าไร แต่การตัดงบชายแดนเป็นเรื่องใหญ่ แม้ว่าฝ่าบาทกับทุกท่านจะเริ่มเห็นด้วย แต่ก็ยังต้องให้เจ้าหาข้อมูลนำเสนอเพิ่ม”
งบชายแดน ทุกปีเมืองหลวงต้องจัดงบไปถึงสี่แสนตำลึง เกือบเท่ากับภาษีที่ดินตอนนี้ ยังมีการรวบรวมเองของชายแดนอีก ทุกปีแผ่นดินหมิงต้องเสียงบไปอีกเกือบล้านตำลึง นี่เป็นภาระงบประมาณที่หนักมาก
ชายแดนเป็นเรื่องที่ไม่อาจละเลย แผ่นดินหมิงแม้มีประชาอดอยากภัยแล้ง ไม่ได้สร้างเขื่อน ก็ต้องจัดงบประมาณ ชายแดนให้เพียงพอ
แต่ตั้งแต่หวังทงปราบเผ่าอันต๋าลงได้ ยึดเมืองกุยฮว่าเฉิงมาได้ ศูนย์กลางแผ่นดินหมิงอยู่ ๆ ก็พบว่า ที่ว่าชายแดนน่ากลัวก็เป็นเพียงดังเสือกระดาษ เพราะหลังปราบเผ่าอันต๋า เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ สมัยก่อนเพื่อป้องกันพวกเผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้าตอนเหนือ จึงต้องจัดตั้งทหารประจำชายแดนห้าเมือง ทุกปีเสียงบประมาณไปไม่น้อย การนี้จะทำให้แผ่นดินหมิงปลดภาระลงไปได้มาก
เมื่อก่อนไม่เคยมีความคิดนี้ เพราะเหมือนเป็นการทลายกำแพงป้องกันตนเอง แต่วันนี้ที่หวังทงว่ามา อำนาจบนทุ่งหญ้านอกด่านค่อยๆ อ่อนกำลังลงอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ ถูกทำลายราบ หลังปราบเผ่าอันต๋าลงมาได้ปีกว่า เริ่มปล้นชิงเผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้านอกด่าน ล้วนไม่ได้ส่งผลอันใดกับชายแดนหมิง ล้วนอาศัยกำลังชาวบ้านรวมตัวกันเอง
แผ่นดินหมิงเสียงบประมาณไปกับการทหารทุกปี สุดท้ายกลับไม่ได้อาศัยคนที่ราชสำนักจ่ายเงินให้มาตลอดในการศึกที่ได้มาซึ่งชัยชนะ พอคิดได้เช่นนี้ ทหารเช่นพวกเจ้ามีไว้ทำไมกัน ทว่าทหารชายแดนแม้ไม่มีความชอบแต่ก็มีความดี หากหลายปีนี้ได้แต่รักษาป้องกันไม่บุกออกไป เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไร้ประโยชน์ หรือการจัดตั้งนี้เดิมก็เป็นปัญหา ต้องเปลี่ยนแปลง
คนในวัง ตั้งแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ไปจนถึงบรรดากงกงทั้งหลาย ก็ล้วนเห็นตามหวังทง หรืออาจเรียกว่าหลงใหลคล้อยตามไปหมดก็ว่าได้
ในเมื่อหวังทงกล้าเอ่ยเช่นนี้ เช่นนั้นเขาย่อมมีวิธีจัดการ ผู้มากสามารถต้องเหนื่อยมาก ในเมื่อเรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน และทุกคนก็คิดทำ อย่างไรก็ต้องส่งคนมาสอบถาม
คำถามโจวอี้ หวังทงได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ ตอบรับว่า
“ข้าแค่คิดได้กะทันหัน ทูลฝ่าบาทเช่นนี้แล้วกัน”
สองฝ่ายสบตากันหัวเราะ พอหัวเราะเสร็จ หวังทงจึงกล่าวว่า
“ในเมื่อฝ่าบาทกับกงกงทุกท่านล้วนคิดเช่นนี้ ข้าก็จะลองตรวจสอบดู อย่างไรก็ต้องได้ตัวเลขออกมา ค่อยส่งเข้าวัง ขอโจวกงกงกลับไปรายงานว่าเรื่องนี้ไม่เร่งรีบ อย่างน้อยครึ่งปีจึงจะมีเอกสารรายงาน เพราะชายแดนกินพื้นที่มาก”
ในเมื่อหวังทงกล่าวเช่นนี้ โจวอี้ก็ไม่มีอันใดต้องกล่าว คุยกันสักพักก็ยิ้มขอตัวกลับ
*************
มาจนปลายเดือนสิบเอ็ด ครอบครัวหวังทงก็กลับมาเมืองหลวงพร้อมหน้า ทางเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่มีข่าวอันใดมาอีก เป็นไปตามคาดของหวังทง เผ่าฉาฮาเอ่อที่เสียเปรียบใช่ว่ากล้าจะแก้แค้น หากต่อสู้กันจริง เผ่าฉาฮาเอ่อย่อมไม่ได้ประโยชน์แม้แต่น้อย อาจถึงกับเปิดให้เผ่าอื่นมากินลงท้องไปแทน
วันที่ 25 เดือนสิบเอ็ด หิมะตกหนักในเมืองหลวงมาสามวันแล้ว ทิวทัศน์ไม่เลว หิมะหนักเช่นนี้ตกมาได้สองวัน เมืองหลวงกับเมืองใกล้เคียงต้องยุ่งวุ่นวายอีกครั้ง เพราะย่อมมีคนหิวและหนาวตายเพราะหิมะหนัก แม้ว่าไม่ออกแรงช่วย แต่การเคลื่อนย้ายศพออกไปนอกเมืองก็ต้องทำ
ทว่าปีนี้ไม่มีปัญหานี้ ผลเก็บเกี่ยวประจำปีดี เสบียงอาหารเมืองหลวงมีพอ และคนว่างงานในเมืองหลวงก็น้อยกว่าเมื่อก่อนมาก ภายใต้การลาดตระเวนของกองลาดตระเวนองครักษ์เสื้อแพร พวกเร่รอนและพวกยากจนในเมืองหลวงถูกกวาดต้อนไปใช้แรงงานที่โรงบ้านเทียนจินหมด ทำงานมีกิน ทำให้เมืองหลวงสงบลงไปมาก
และเพราะไม่มีอันใดให้ทำ ดังนั้นพวกขุนนางที่ชอบหาโอกาสกันอยู่ก็ออกบทความสรรเสริญว่รา ‘หิมะตกปีมงคล’ เพื่อให้ฮ่องเต้พอพระทัย
ฮ่องเต้ว่านลี่ก็สบายพระทัยมาก วันที่ 25 เดือนสิบเอ็ดไม่ได้ออกว่าราชการ แต่ไปทำอะไรนั้น คนนอกวังก็รู้กัน ฮ่องเต้ว่านบี่เสด็จชมหิมะที่อุทยานปัจจิม
พูดไปแล้วก็แปลก ตอนไทเฮาฉือเซิ่งส่งเสริมพระสนมกง ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ยอมพบพระสนมกง ไม่สนใจแม้แต่น้อย แต่พอไม่มีไทเฮาฉือเซิ่งแทรกแซง ฮ่องเต้ว่านลี่กลับมีท่าทีต่อสนมที่ให้กำเนิดพระโอรสดีกว่าแต่ก่อน
ครั้งนี้เสด็จอุทยานปัจจิม ไม่เพียงพระสนมเอกเจิ้งตามเสด็จ ยังมีพระสนมหลี่ และมีพระสนมกงไปด้วย พระโอรสพระธิดามากันครบ นับว่าเป็นความสุขสันต์แห่งครอบครัว
โจวอี้ส่งคนนำข่าวไปแจ้งหวังทง บอกว่าฮ่องเต้ว่านลี่ส่งเจ้าจินเลี่ยงนำผ้าแพรและเตาอุ่นไปยังจวนอู่ชิงโหวถวายไทเฮาฉือเซิ่ง และยังทรงถามไถ่พระวรกาย
จวนอู่ชิงโหวแม้ว่าปิดล้อมแน่นหนา แต่ก็ไม่ได้มีของใช้ของกินขาดตกบกพร่อง ย่อมไม่ขาดแคลนผ้าแพรและเตาอุ่น อย่างไรก็เป็นแม่ลูก ฮ่องเต้ว่านลี่แสดงท่าทีพระองค์แล้ว แสดงให้เห็นว่าไม่ได้ทรงตัดเยื่อตัดใยสิ้น
ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังอยู่ท่ามกลางครอบครัวสุขสันต์ ขุนนางเมืองหลวงก็สุขสันต์ผ่อนคลายเช่นกัน มีงานต้องทำก็ทำไป ไปรายงานตัวที่ทำการ แล้วก็กลับบ้านเร็วหน่อย หรือไม่ก็อยู่บ้าน หรือไม่ก็ไปสังสรรค์กับเพื่อนสามสี่คน ชมหิมะร่ำสุรา มีหม้อไฟที่หวังทงเป็นคนคิดขึ้นมา เป็นสิ่งสร้างความสุขในชีวิตให้ผู้คนอีกสิ่งหนึ่ง
คนอื่นว่าง หวังทงเองก็ว่างสบายอารมณ์ ปีกว่ามานี้ผ่านมรสุมมามากมาย มาถึงตอนนี้ทั้งครอบครัวได้มาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า และยังไม่มีงานเร่งด่วนใด สำหรับหวังทงแล้วนับเป็นเวลาสบายๆ ที่หาได้ยากยิ่ง
หวังทงไปสำนักองครักษ์เสื้อแพรได้หนึ่งชั่วยามก็กลับบ้าน ภรรยาทั้งหมดอยู่ร่วมกัน คุยกันสัพเพเหระ ตอนกลางวัน จัดโต๊ะอาหารเลี้ยงฉลองชมหิมะ
เซียงเฉิงป๋อไปล่าสัตวนอกเมืองได้มามากมาย จึงส่งคนนำไก่ป่าหลายตัวและกวางตัวหนึ่งมามอบให้ พ่อครัวหอรุ่งเรืองจัดการเรียบร้อย ไก่ป่าหั่นเป็นชิ้นเต๋าผัดกับซอส ปรุงรสชาติ เป็นอาหารกับแกล้มชั้นดี เนื้อกวางก็ย่างไฟ ไก่ป่าและเนื้อกวางส่วนใหญ่หั่นเป็นแผ่น ยังมีปลาที่หั่นแล้วส่งมาจากเทียนจิน ล้วนทำเป็นหม้อไฟลวกกิน การกินเช่นนี้สบายอารมณ์ยิ่ง ยังเป็นหม้อไฟที่ทั้งครอบครัวได้ร่วมวงกินกัน ทุกคนมีความสุข
บรรยากาศตระกูลหวังสบายๆ เช่นนี้หาได้ยากยิ่ง บรรดาภรรยาหวังทงก็กำลังสนทนาหัวเราะมีความสุข สีหน้าหวังทงก็มีแต่รอยยิ้ม เป็นเวลาพักผ่อนและผ่อนคลายที่หวังทงไม่ค่อยได้มีนัก
หลังอาหารกลางวันทั้งครอบครัวตอนบ่ายก็มารวมตัวกันที่โถงกลาง มีพ่อค้าทำขนมประณีตมา มีนักดนตรีหลายคนกำลังบรรเลงเพลงพิณและร้องเพลง กำลังดื่มด่ำกับความสุข
“นายท่าน ใต้เท้าซุนโส่วเหลียนแห่งเมืองเหลียวโจวขอเข้าพบ”
ขณะกำลังดื่มด่ำกับความสุขก็มีคนส่งเสียงรายงานเข้ามา นี่เป็นการทำลายบรรยากาศ ทว่าหวังทงเองก็งง ใกล้ปีใหม่เช่นนี้ ซุนโส่วเหลียนไม่อยู่เมืองเหลียวโจว มาเมืองหลวงทำไมกัน?
ตอนที่ 915 ยามนี้มีแขกมา ของขวัญนับแสน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองเหลียวโจวเป็นเมืองชายแดนพิเศษของแผ่นดินหมิง พูดถึงพื้นที่ เมืองเหลียวโจวอาจเล็กกว่าบางมณฑลในแผ่นดิน แต่พูดถึงทรัพยากรแล้ว เมืองเหลียวโจวพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ทรัพยากรมากมาย
ชายแดนอื่น แม้ว่าราชสำนักทุกปีจะส่งงบก้อนโตไป แต่ก็ต้องให้ขุนนางท้องที่จัดการเก็บภาษี หากเมืองเหลียวโจวนั้นแตกต่างออกไป ราชสำนักไม่เก็บภาษี ทางกองกำลังเก็บหรือไม่ก็ให้จัดการเอง เมืองเหลียวโจวไม่มีขุนนางบุ๋นจัดการบริหาร ดังนั้นจึงมีแต่บรรดาขุนพลทหารจัดการบริหารเมืองเอง
เงื่อนไขดีเช่นนี้ นโยบายพิเศษเช่นนี้ ทำให้บรรดาขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวล้วนร่ำรวยถ้วนหน้า ส่วนตำแหน่งซุนโส่วเหลียน อยู่ในศูนย์กลางกำลังของผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียง ก็ย่อมใช้วาจาว่าร่ำรวยล่มเมืองมากล่าวถึงแล้ว
หลี่เฉิงเหลียงเป็นผู้บัญชาการ ลูกหลานตระกูลหลี่และคนสนิทก็ย่อมเป็นรองแม่ทัพหรือที่ปรึกษาการทหาร รักษาแต่ละพื้นที่ แบ่งกำลังไปดูแล จึงราวกับเป็นฮ่องเต้ในพื้นที่ เรียกได้ว่าทำอะไรก็ย่อมได้
ด้วยเหตุนี้ บรรดาขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวปกติจึงไม่มีผู้ใดอยากย้ายออกจากเมืองเหลียวโจว ที่นี่แม้อาจไม่ได้อู้ฟู่เหมือนที่อื่น แต่ดีที่เป็นพื้นที่ตนเอง จะทำอะไรก็ย่อมได้ เป็นความสุขอย่างมาก
ซุนโส่วเหลียนตั้งแต่ได้รู้จักกับหวังทง สานสายสัมพันธ์กับเทียนจินได้ เงินทองก็ไหลมาเทมา การค้าเขายิ่งใหญ่ขึ้น เรียกได้ว่าหากพูดถึงเงินทองแล้ว อาจน้อยกว่าตระกูลหลี่ แต่เทียบกับตระกูลอื่นแล้วเรียกได้ว่าห่างไกลริบลับ
และเพราะสายสัมพันธ์หวังทง เดิมเขาเป็นหน่วยลาดตระเวนจู่โจม จึงได้เลื่อนเป็นขุนพลที่ปรึกษา พริบตาเดียวก็มีหน้ามีตามาก
ซุนโส่วเหลียนอยู่เมืองเหลียวโจวเปิดเส้นทางมาเทียนจินให้ทุกคน ช่วยให้ทุกคนร่ำรวย เทพแห่งโชคลาภย่อมเป็นที่เกรงใจของทุกคนหลายส่วน ซุนโส่วเหลียนอยู่เทียนจิน นับได้ว่าเป็นผู้ประสานกลุ่มพ่อค้าเทียนจินกับเมืองเหลียวโจว ที่จริงแล้วกิจการซุนโส่วเหลียนเองไม่น้อยนับว่าเป็นสายสัมพันธ์กับร้านสามธารา
เพราะซุนโส่วเหลียนมีสถานะเช่นนี้ ปลายเดือนสิบเอ็ดมาเมืองหลวง จึงทำให้คนงง
ใกล้ปลายปี คนสถานะเช่นนี้ควรไปส่งส่วยให้เจ้านาย กล่าวให้ถูกก็คือ ยามนี้หัวหน้ากองกำลังเมืองเหลียวโจวต่างต้องไปอยู่ทีเหลียวหยาง ร่วมงานเลี้ยงตระกูลหลี่ ส่งมอบของขวัญให้ตระกูลหลี่ แม้เป็นคนสนิท ต้นปีพี่น้องยังต้องจัดการบัญชีให้ละเอียด แม่ทัพใหญ่ปีหนึ่งมานี่ไม่ได้พบเจ้ามา ครั้งนี้ต้องแสดงออกให้ดีสักหน่อย
แต่ละที่ใต้หล้าล้วนเช่นนี้ แต่พวกหวังทงกลับค่อนข้างพิเศษ หนึ่งระบบดี สองทุกคนรู้ดีว่าหากต้องการเจริญต้องทำงานเป็นหลัก ทำงานได้ดี ใต้เท้าหวังเห็นอยู่ย่อมไม่ให้เสียเปรียบ
ทว่าซุนโส่วเหลียนไม่ใช่คนใต้เท้าหวัง เขาเป็นขุนพลเมืองเหลียวโจว ด้วยเหตุนี้ซุนโส่วเหลียนมาตอนนี้ ช่างน่าสงสัย
บนท้องทะเลตอนนี้เป็นน้ำแข็งไปหมด จากเมืองเหลียวโจวมาเมืองหลวงย่อมมาทางบก เมืองที่ซุนโส่วเหลียนรักษาการใกล้กับเกาหลี ทางบกย่อมไกลออกไปอีก เขามาถึงเมืองหลวง เดือนสิบสองคงกลับไปเหลียวหยางไม่ทันแล้ว
และขุนนางสถานะเช่นนี้ ทำงานก็มีธรรมเนียม มาไกลจากเมืองเหลียวโจว เข้ามาเขตท้องที่เมืองซุ่นเทียนควรส่งคนติดตามมาแจ้งข่าวก่อน จะได้เตรียมตัวกันก่อน
อยู่ๆ มาเยือนเช่นนี้ ไม่ถูกตามธรรมเนียมยิ่ง แต่แขกมาไกล หวังทงเองก็ไม่ได้ยินมาก่อนว่าเกิดเหตุใดขึ้นกับซุนโส่วเหลียน แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็ต้องให้เข้าพบ
ได้ยินข้างนอกรายงาน สตรีในห้องก็มีสีหน้าประหลาดใจ มีแต่ซ่งฉานฉานที่ดูไม่ออกว่ารู้สึกเช่นไร หวังทงอยู่ข้างนอกมากกว่าในบ้าน ยากที่จะมีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัว พร้อมหน้ากันได้ไม่นาน ก็ถูกคนนอกรบกวนอีก
ในบรรดาภรรยาหวังทง ซ่งฉานฉานอายุมากสุด แต่ก็แค่ 30 เห็นโลกมามาก ธรรมเนียมขุนนางก็เข้าใจอยู่มาก สามีตนเองเป็นถึงติ้งเป่ยโหว และยังเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ตำแหน่งสูง ยุ่งแต่งานไม่มีเวลายุ่งเรื่องส่วนตัว ก็เป็นเรื่องธรรมดายิ่ง
คนอื่นไม่คิดเช่นนี้ จางหงอิงอายุมากหน่อย แต่ก็อยู่แต่ในบ้านดูแลงานบ้าน ไม่ได้เห็นโลกกว้างอันใด ที่เหลือเช่นหานเสีย ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยก็ยิ่งอายุน้อย วันนี้ยากที่ทุกคนจะได้มาอยู่พร้อมหน้ามีความสุข กลับมีคนไร้ตา มันน่าโมโหจริง
หานเสียเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ในฐานะภรรยาเอก ก็ต้องแสดงท่าทีบ้าง แต่จางหงอิงกลับกล่าวขึ้นก่อนว่า
“กว่าจะได้พักผ่อนสบายก็ยากอยู่ คนผู้นี้มาทำไมกัน?”
นางกล่าวออกไป ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยพยักหน้า หานเสียก็แสดงท่าทีเห็นด้วย ทุกคนได้ยินว่าซุนโส่วเหลียนก็แค่ขุนพลที่ปรึกษา คนเช่นนี้ไม่ได้มีหน้ามีตาอันใด
ในสายตาหวังทง บรรดาภรรยาตนเองนั้นช่างไม่เคยพบเห็นโลกภายนอก แสดงอารมณ์เล็กน้อยก็ไม่มีอันใดให้ตำหนิ เขายิ้มปล่อยผ่านไป เป็นซ่งฉานฉานยืนขึ้นกล่าวว่า
“น้องๆ นายท่านมีงานสำคัญ อย่าได้เสียงานนายท่าน”
ซ่งฉานฉานเดิมเป็นนางคณิกา ในบรรดาภรรยาหวังทงก็อยู่อันดับสาม เดิมไม่มีสถานะให้เอ่ยอันใดในจวน แต่ตอนทุกคนไปเมืองกุยฮว่าเฉิงทิ้งนางไว้คนเดียวที่นี่ พอกลับมา ก็พบว่าหลายเรื่องหวังทงได้หารือกับซ่งฉานฉาน และซ่งฉานฉานก็เป็นคนรู้พอดี ไม่แย่งชิงอันใดกับผู้ใด วาจาก็เริ่มมีน้ำหนัก
ได้ยินซ่งฉานฉานกล่าวมาเช่นนี้ สตรีในห้องกลับไม่กล่าวอันใด พากันลุกขึ้นเตรียมออกไป ในตอนนั้นเอง ข้างนอกกลับมีคนรายงาน น้ำเสียงแปลกๆ ว่า
“นายท่าน ใต้เท้าซุนว่าตนไร้มารยาท ขอกลับไปโรงเตี๊ยมเตรียมการก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาขอพบใหม่ ขอนำรายการของขวัญมอบไว้ก่อน ของขวัญอยู่หน้าประตูแล้ว”
พ่อบ้านจวนหวังทงตอนนี้มาจากร้านสามธารา ตอนหวังทงอยู่เทียนจิน เป็นชุดแรกที่ถูกเลือกไว้ ทำงานได้มีระเบียบหน้าตาก็รับแขก ว่องไว รู้ธรรมเนียม ผู้น้อยมาคารวะขุนนางใหญ่ อย่างไรก็ต้องมารายงานก่อนแล้วกลับไป จากนั้นทิ้งของขวัญไว้ การรุกถอยเช่นนี้น่าแปลกจริง พ่อบ้านน้ำเสียงแปร่งไป
สตรีในห้องอายุน้อยกันมาก พอได้ยินว่าแขกรู้งานไม่เข้ามาแล้ว ทุกคนยิ้มร่าอยู่ต่อ แม้แต่ซ่งฉานฉานเองก็ยิ้ม
หวังทงแปลกใจก็แปลกใจ แต่ทว่าไม่คิดสอบถาม สถานะตนสูงส่ง ซุนโส่วเหลียนอยู่ในวงการขุนนางมานาน อยู่ๆ มาพบตนเองเช่นนี้ ระวังตัวก็เป็นเรื่องควร
“เอารายการของขวัญเข้ามา!”
มาอ่านรายการก็ดูน่าสนุกดี ไม่แน่อาจมีของเล่นใหม่ๆ ในห้องมีแต่สาวน้อย วันๆ ได้แต่อุดอู้อยู่ในบ้าน ของพวกนี้อาจทำให้พวกนางมีความสุข
พ่อบ้านข้างนอกรับคำ ให้สาวใช้นำรายการมาส่งมอบ หวังทงเห็นรายการก็ขมวดคิ้ว เป็นสมุดพับปกหนังสีแดงลงทอง เป็นของที่เห็นบ่อย แต่เหมือนจะหนาไปสักหน่อย เหมือนกับหนังสือเล่มหนึ่งเลยทีเดียว
เปิดรายการออกอ่าน หวังทงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เปิดมาหน้าแรกเป็นของที่เรียกว่า ‘ทรายทองเหลียวโจวสองพันตำลึง……’
เงินทองใช้กันทั่วใต้หล้า ทว่าทรายทองนี้เป็นของที่ยังไม่ได้หลอม ราคาเทียบกับทองก้อนแล้วต่ำกว่า หากชนชั้นสูงตัวจริง ไม่น้อยที่ชอบของเดิมๆ ที่ไม่ผ่านการเปลี่ยนแปลง เพื่อความรู้สึกมงคล ยังมีคนบอกว่า ทรายทองเมืองเหลียวโจวมีไอเย็น เอาไปหลอมเป็นภาชนะแล้วไร้ความร้อนของไฟ
เหตุผลมากมาย แต่ทรายทองสองพันตำลึงนี้ก็เท่ากับสองหมื่นตำลึงเงิน ตอนนี้ก้อนเงินจากประเทศวัวและทางฟะรังคีก็มีเข้ามามาก ราคาก้อนเงินก็ลด หากอยู่เทียนจิน สองหมื่นห้าพันตำลึงเงินใช่ว่าแลกไม่ได้
ซุนโส่วเหลียนเรืองอำนาจวาสนามานาน ในสายตาเขาย่อมไม่เห็นแก่เงินพวกนี้ แม้หวังทงไม่แสดงให้เห็น แต่ซุนโส่วเหลียนต่อหน้าหวังทงก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่าร่ำรวย
แต่ทองคำก็คือทองคำ สองหมื่นกว่าตำลึงเงิน กล่าวอย่างไรก็เรียกได้ว่าก้อนโต และนี่เป็นเพียงรายการแรก ยังมีอีกหนาเป็นตั้ง!
……หนังเสือห้า หนังหมีสิบ หนังเสือดาวสิบ พวกหนังสัตว์ต่างๆ อีกไม่ต้องพูดถึง ของพวกนี้นับว่าชิ้นใหญ่แล้ว ยังมีของมีค่าจากเหลียวตงอื่นๆ เช่น ม้าดีจากเหลียวตง สุดท้ายยังมีนกเหยี่ยวไห่ตงชิงที่บินได้เร็วได้สูงที่สุดอีกสองตัว เด็กสาวเกาหลีอีก 10 นาง
เหลียวตงแม้ว่าร่ำรวยทรัพยากร แต่หากกล่าวถึงของใหม่แล้ว อย่างไรก็เทียบในแผ่นดินไม่ได้ ต้องการผ้าปักประณีตมาเป็นของขวัญ ก็ต้องกล้าจ่าย รายการของขวัญพวกนี้เรียกได้ว่าคิดมาอย่างเต็มที่แล้ว เลือกมาแต่ของดีนอกด่าน ของกินและเครื่องนุ่งห่มมีมาครบ
เหยี่ยวไห่ตงชิงนี้มีแต่พวกคนเผ่าตอนเหนือสุดจึงจะมี ในบรรดาสัตว์ป่านี้เรียกได้ว่าต้องเข้าป่าลึกจึงจะหามาได้ นอกจากนี้ของจากเกาหลี เด็กสาวเกาหลีมาเป็นหญิงปรนนิบัติไม่เท่าไร แม้ว่าเมืองหลวงมีไม่มาก แต่ในตระกูลคหบดีใช่ว่าไม่มี แต่อย่างไรก็แตกต่างจากชาวฮั่น จะได้มีอะไรแปลกใหม่บ้างก็เท่านั้น
ภรรยาหวังทงทุกคนรู้หนังสือ ร่วมกับหวังทงดูรายการของขวัญ หากพูดเรื่องความรอบรู้ หวังทงเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันมาก ทุกครั้งที่เห็นรายการของแปลกอันใด พอมีคนถาม หวังทงก็จะตอบได้เกือบหมด เป็นความสุขอย่างหนึ่ง
ดูจนสุดท้าย จางหงอิงกลับอดไม่ได้บ่นขึ้น
“คนผู้นี้มอบสิ่งใดไม่มอบ กลับมอบเด็กสาวเกาหลีให้!”
ทว่าคนส่วนใหญ่กลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้ หากพออ่านรายการของขวัญยาวเหยียดจบ หานเสียเงียบไปครู่หนึ่ง ถามขึ้นเบา ๆ ว่า
“ของขวัญมากมาย ต้องใช้เงินทองเท่าไรกัน?”
“ของในรายการนี่ ถ้าให้ร้านสามธารามาขาย แสนห้าหมื่นตำลึงได้เลยนะ หากไม่เข้าใจตลาด แสนตำลึงก็ยังได้”
หวังทงยิ้มกล่าวขึ้น สตรีในห้องอยู่ข้างกายหวังทงมานาน สายตาก็มองสูงขึ้น แต่อย่างไรเมืองหลวงมอบของขวัญ เช่นสายสัมพันธ์ซุนโส่วเหลียนกับหวังทง ปีใหม่ก็คงไม่น่าเกินห้าพันตำลึง ส่งของขวัญหนักเช่นนี้ น่าตกใจไม่น้อย
“มิน่าของขวัญถึงได้วางไว้นอกประตู คงกลัวว่าจวนเราไม่มีที่เก็บ”
หวังทงยิ้มสัพยอก นอกจากหานเสียอดไม่ได้ยิ้มตามแล้ว สตรีที่เหลือก็สบตากัน ซ่งฉานฉานกล่าวเบาๆ ว่า
“นายท่าน ซุนโส่วเหลียนมีเรื่องขอร้องนายท่านหรือไม่?”
“รอเขาเอ่ยปากแล้วกัน”
หวังทงหัวเราะผ่อนคลาย
ตอนที่ 916 ท่ามากที่แท้ก็ขอความช่วยเหลือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ของขวัญมอบให้มากมายจริง เพียงแค่เก็บเข้าจวนก็ใช้เวลานานมากแล้ว ในเมืองหลวงเซ็งแซ่ ติ้งเป่ยโหวไม่ค่อยรับของจากผู้ใดเท่าไร แต่พอรับทีก็รับมหาศาลเช่นนี้
ทุกคนเดิมกำลังชมหิมะมีความสุข ข่าวนี้ทำให้ทุกคนมีเรื่องซุบซิบกัน แต่ก็เพียงแค่ซุบซิบเท่านั้น ไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ ระดับใต้เท้าหวัง ไม่รับของขวัญสิแปลก สถานการณ์เช่นตอนนี้ ไม่แน่วันหน้าคงได้เห็นเป็นปกติ เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง ตอนจางจวีเจิ้งเป็นใหญ่ หน้าประตูจวนก็มีคนมอบของขวัญไม่ขาด นั่นไกลไปหน่อย ใกล้ๆ นี้ก็มีหน้าประตูเสนาบดีกรมปกครองกับเสนาบดีกรมอากร หลายคนก็ให้คนแบกของขวัญไปมอบให้
หวังทงรับของแล้วก็ส่งคนไปโรงเตี๊ยมสอบถาม ซุนโส่วเหลียนมาเยือนถึงที่ แต่อยู่ๆ เดินทางกลับจากไป ที่จริงแล้วเป็นการเสียมารยาท
หวังทงให้พ่อบ้านที่จวนไปดู หากซุนโส่วเหลียนออกจากจวนหวังทงแล้วไปที่ใดอีก เช่นนั้นคนผู้นี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้พบ
หากซุนโส่วเหลียนออกจากจวนหวังทงแล้วก็มุ่งตรงไปยังโรงเตี๊ยม ไม่ได้ไปที่ใดต่อ และจากการข่าวรายงานว่า ซุนโส่วเหลียนเอาแต่ผุดลุกผุดนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในโรงเตี๊ยม
ไม่ต่างจากที่หวังทงวิเคราะห์ ซุนโส่วเหลียนครั้งนี้ตั้งใจมาพบเขา ไม่ได้มีเรื่องอื่น
************
ทว่าตอนกลางวันวันรุ่งขึ้นเมื่อได้พบกัน ซุนโส่วเหลียนกลับตีสีหน้ายิ้มแย้ม ดูไม่ออกว่ามีเรื่องอันใด มาเยือนถึงจวนก่อนจากนั้นก็คุยกันตามมารยาท ดูแล้วไม่เห็นความผิดปกติใด จวนหวังทงค่อนข้างเล็ก แขกที่มาย่อมต้องไปเลี้ยงข้างนอก ซุนโส่วเหลียนก็เช่นกัน
เรือนเดี่ยวหอรุ่งเรืองจัดที่ทางไว้ให้เฉพาะ พ่อครัวบริการเต็มที่ อาหารรสเลิศอย่างมาก หวังทงท่าทีผ่อนคลาย เล่าทั่วไปถึงเรื่องหิมะหยุดตกเมื่อเช้า เล่าไปถึงการค้าเทียนจินกับเมืองเหลียวโจว เล่าเรื่องตนเองที่เมืองกุยฮว่าเฉิงและปีก่อนที่ลงใต้มา
ซุนโส่วเหลียนเป็นคนพื้นที่เมืองเหลียวโจว ไปมาไม่หลายที่นัก ที่รุ่งเรืองหน่อยก็เมืองหลวงกับเทียนจินเท่านั้น ทว่าการพูดจาก็รู้จักมารยาท รู้สึกรุกถอย ทำให้หวังทงคุยแล้วสบายใจ นี่ก็คือความสามารถจากการอยู่ขลุกในวงการขุนนางมานาน
สุราหลายจอกลงท้องไป ในเมื่อใช้ท่าทีแบบสหายเก่าแก่ต้อนรับ ซุนโส่วเหลียนก็ย่อมผ่อนคลาย มองไม่ออกว่ามีเรื่องกลัดกลุ้มใด แต่ก็เหมือนนั่งไม่ติด เล่าเรื่องทั่วไปของตนเอง ไปแดนใต้ซื้อคณะงิ้วมาอยู่ในจวนหลายสิบคณะ ไม่ถึงครึ่งปีก็มีนายกองทหารอื่นมาขอซื้อไปกว่าครึ่ง ชายทางเหนือไหนเลยจะเคยเห็นหญิงอรชรแดนใต้ จึงล้วนเต็มใจจ่ายเงินซื้อตัวไป
วาจานี้เบิกทาง ซุนโส่วเหลียนกล่าวถึงแล้วก็ค่อยๆ โยงไปถึงผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียง หลี่หรูป๋อและคนอื่นๆ ที่เห็นหวังทงเป็นศัตรู คิดว่าหวังทงได้รับชัยชนะใหญ่จากเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเพราะว่าเป็นคนโปรดฮ่องเต้ว่านลี่ ดังนั้นความดีความชอบจึงไม่ใช่เรื่องจริง
ยังบอกว่าแม่ทัพหม่าหลินเมืองเซวียนฝู่มาประจำที่เมืองเหลียวโจวก็ไม่ต่างกับหลี่เฉิงเหลียง บอกว่าหวังทงไม่สนใจความเป็นความตายทหารด้วยกัน ไม่สนใจความปลอดภัยแผ่นดินหมิง คิดเพียงเสี่ยงภัยเพื่อมุ่งประโยชน์ตน จึงยกทัพขึ้นเหนือ ยังบอกว่าหวังทงหักเบี้ยทหาร ขับไล่ทหารให้ไปเป็นทาสแรงงานในนา ทำกับผู้อื่นราวกับไม่ใช่คน
ทุกคนในเมืองเหลียวโจวยังบอกว่าทหารกล้าเมืองเหลียวโจวเท่านั้นที่รบมีชัยเหนือเผ่าเคอเอ่อชิ่น หวังทงแค่ทหารราบ จะไปมีชัยชนะใหญ่อันน่าตกใจเช่นนั้นได้อย่างไร จะต้องเป็นความเท็จแน่นอน
สีหน้าหวังทงยังคงยิ้ม สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ซุนโส่วเหลียนกล่าวจบก็มิได้คุยเรื่องอื่นใดอีก ที่กล่าวมาล้วนเป็นเรื่องที่ทางเมืองเหลียวโจวคิดเป็นปรปักษ์กับหวังทงทั้งสิ้น
“ใต้เท้าซุนคิดมากไปแล้ว เมืองเหลียวโจวกับข้าไม่เคยไปมาหาสู่กัน ชัยชนะใหญ่ที่ข้าได้มาก็น่าตกใจอยู่จริง พวกเขามีความคิดนี้ก็ไม่แปลกอันใด ตามแต่พวกเขาคิดก็แล้วกัน หรือว่าข้าจะต้องไปสนใจด้วยความพวกเขากล่าวกันอย่างไร”
ซุนโส่วเหลียนสะอึกไป หวังทงยิ้มยกจอกสุรากล่าวว่า ใต้หล้าก็ล้วนกล่าวถึงตนเช่นนี้ เมืองเหลียวโจวกล่าวเช่นนี้ก็ไม่แปลก นับประสาอันใดกับสองฝ่ายล้วนเป็นขุนนางบู๊ หวังทงได้รับความชอบใหญ่ ใต้หล้าที่เดือดร้อนที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเมืองเหลียวโจว คงกลัวว่าตนเองจะเป็นที่ดูแคลน อำนาจวาสนายามนี้จะไม่อาจรักษาไว้ได้
แม้ว่าเมืองเหลียวโจวไม่อยากให้เทียนจินเข้ามาข้องเกี่ยว แต่องครักษ์เสื้อแพร ณ เมืองเหลียวโจวก็ยังคงสามารถได้ข่าวสารมาพอควร ผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงดูถูกเขานั้น หวังทงก็พอได้ยินมาบ้าง แต่ก็แค่เหมือนลมพัดผ่าน จะให้ทำเช่นไร ปล่อยเขาไปก็แล้วกัน
แต่ที่ทำให้หวังทงแปลกใจก็คือ วาจาซุนโส่วเหลียนต้องการสิ่งใด เห็นชัดว่ากำลังยุแยงความสัมพันธ์หวังทงกับเมืองเหลียวโจว เขาเป็นถึงขุนพลเมืองเหลียวโจว ยิ่งเป็นเช่นนี้ คิดโยงไปแล้วถึงของขวัญเมื่อวาน มาแล้วก็ยังลังเลกลับไป ยังมีวาจาวันนี้ ก็ยิ่งทำให้หวังทงงง
แต่หวังทงย่อมไม่เอ่ยถามก่อน ปล่อยเขาพูดไป ตามคาด ท่าทีนิ่งเฉยของหวังทงทำเอาซุนโส่วเหลียนหมดหวัง สีหน้ารอยยิ้มก็ค้างเติ่ง
อาหารเลี้ยงหอรุ่งเรืองแม้สมบูรณ์มากมาย แต่สองคนกินก็ใช้เวลาไม่นาน พอกินอาหารเสร็จ หวังทงก็สั่งให้เก็บออกไป เปลี่ยนเป็นของหวานและน้ำชามาแทน หวังทงทำเหมือนที่นี่เป็นที่บ้าน สั่งการสะดวกสบาย
พอของหวานและน้ำชามาถึง สีหน้าซุนโส่วเหลียนก็เริ่มยิ้มฝืด อยากจะพูดแต่ก็หยุดอยู่หลายครั้ง ครุ่นคิดเป็นนาน กระแอมไอกล่าวว่า
“ท่านโหวควรรู้ว่า นอกด่านไม่รู้ว่าเกิดเป็นบ้าอันใดขึ้นมา จึงได้ขับไล่การค้าเทียนจิน นี่ใช่ว่าทิ้งเงินทองไม่เอากำไรหรือ และยังทำลายสัมพันธ์ด้วยงั้นหรือ?”
หวังทงส่งเสียง ‘อืม’ ซุนโส่วเหลียนกล่าวต่อว่า
“ขอท่านโหววางใจ แม้ว่าผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงมีคำสั่ง แต่มีข้าน้อยอยู่ จะต้องปกป้องการค้าเทียนจินเอาไว้ให้ครบ ขอเพียงทุกคน…….”
“นี่เรื่องเล็ก ถึงตอนนั้นขอใต้เท้าซุนช่วยดูแล”
หวังทงกล่าวนิ่งเรียบ กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงเริ่มรำคาญ กล่าววาจาไม่ดีกับเมืองเหลียวโจว มอบของขวัญให้มาก ยังให้คำรับรองเช่นนี้ ก็เพื่อขอร้องตน แต่ไม่กล่าวถึงจุดประสงค์สักที ไม่รู้ว่าลังเลอันใดอยู่
กล่าวจบ หวังทงก็วางจอกชาลงกล่าวว่า
“ใต้เท้าซุนเมื่อวานและวันนี้ที่คุยกันและกระทำมา ดูท่าแล้วมีเรื่องขอร้องข้า ท่านและข้าก็รู้จักกันมาหลายปี ไยต้องปิดๆ บังๆ หากยังไม่พูด ข้ามีงานขอตัวก่อน”
ซุนโส่วเหลียนถูกหวังทงกล่าวใส่ตรงไปตรงมา สีหน้าก็เก้อเขิน อ้ำๆ อึ้งๆ ท่าทางลังเล หวังทงส่ายหน้ายืนขึ้น ประสานมือเตรียมออกไป ชายชาติทหารนำกำลังออกรบกลับมีท่าทีราวสตรี หวังทงทนรำคาญไม่ไหว
กำลังจะก้าวออกไป ก็ได้ยินด้านหลังดัง ‘โครม’ หันไปมองก็เห็นซุนโส่วเหลียนคุกเข่าลงกับพื้น เห็นหวังทงหันหลังมา ซุนโส่วเหลียนโขกศีรษะดังหลายที กล่าวอย่างร้อนใจว่า
“ท่านโหวช่วยข้าน้อยด้วย!!”
นี่ควรเป็นเรื่องหลัก หวังทงโบกมือ ให้ทหารที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวชะโงกหน้ามาดูออกไปให้ไกล หันหลังเดินกลับไปกล่าวว่า
“ใต้เท้าซุน ในเมื่อต้องการให้ข้าช่วย เหตุใดไม่พูดแต่แรก เมื่อวานมอบของแล้วกลับไป วันนี้มาร่วมดื่มสุรายังปิดบัง ช่างไม่เห็นข้าเป็นสหาย”
ได้ยินหวังทงเช่นนี้ ซุนโส่วเหลียนกลับคุกเข่าลงโขกศีรษะ กล่าวร้อนใจว่า
“ข้าน้อยเองก็รู้ว่าทำเช่นนี้ไม่เหมือนสหาย แต่ข้าน้อยมีบางเรื่องไม่กล้ากล่าว ไม่รู้ว่าท่านโหวจะช่วยหรือไม่ ดังนั้นจึงได้ทำเช่นนี้ ขอท่านโหวโปรดเห็นแก่ความสัมพันธ์เดิม……”
“ที่แท้เรื่องใดกัน ทำให้ท่านมาถึงนี่ได้ ยังร้อนรนเพียงนี้?”
หวังทงกลับไปนั่งที่เดิม ซุนโส่วเหลียนกลับไม่ลุกขึ้น เขาหันกลับมาทางหวังทง คุกเข่าดังเดิม หนวดเคราเต็มหน้าทำให้รู้สึกน่าเกรงขามหลายส่วน แต่ตอนนี้กลับไร้ความรู้สึกนั้น มีแต่หน้าตาท่าทางหวาดกลัวมาก เขาโขกศีรษะอีกสามที เงยหน้ากล่าวว่า
“ท่านโหว หลี่เฉิงเหลียงจะสั่งปลดข้าน้อย ยังคิดใส่ความข้าน้อยว่าโกงกินรับสินบน ข้าน้อยยากรักษาชีวิตไว้ได้แล้ว! ขอท่านโหวช่วยด้วย!”
“เจ้าเป็นคนสนิทหลี่เฉิงเหลียง เหตุใดจึงมีเรื่องกันได้?”
“ท่านโหวอย่าได้ตำหนิ หลี่เฉิงเหลียงกับข้าน้อยมีเรื่องกันก็เพราะข้าน้อยกับเทียนจินและท่านโหวไปมาหาสู่กันสนิทมากไป และหลายปีนี้ข้าน้อยยังได้อาศัยบารมีท่านโหวทำให้ร่ำรวยมาได้ หลายคนจับตามองข้าน้อย คิดจะมาแบ่งปันเอากับข้าน้อย จึงได้มีภัยในวันนี้ได้”
หวังทงขมวดคิ้ว สถานการณ์ตอนนี้ ที่ซุนโส่วเหลียนว่ามาเหมือนไม่เท็จ แต่หากเมืองเหลียวโจวคิดใส่ความระดับขุนพลคุมพื้นที่ ทางเมืองหลวงก็ไม่น่าจะไม่รู้ ร้านสามธารากับองครักษ์เสื้อแพรก็ควรได้ข่าวมาบ้าง ซุนโส่วเหลียนยังสนิทกับพวกตนเพียงนี้ ทำไมไม่มีข่าว
“เจ้ารู้ข่าวนี้มาได้อย่างไร?”
“ขุนพลเมืองเหลียวโจวหลายคนล้วนวางสายไว้ในจวนหลี่เฉิงเหลียงด้วยเงินก้อนโต และยังสนิทกับคนในจวนไม่คนก็สองคนเพื่อหาข่าว ครั้งนี้คนสนิทมีข่าวมาบอกข้าน้อย บอกว่าปีหน้าเดือนสองก็จะลงมือกับข้าน้อยแล้ว”
หวังทงไม่ได้ถามเรื่องโกงกินรับสินบนอันใด ขุนพลแผ่นดินหมิงไม่ว่าผู้ใด ขอเพียงสืบละเอียด ก็ย่อมมีความผิดสองข้อนี้ ก็แค่ไม่สอบสวนเท่านั้น ซุนโส่วเหลียนอย่างไรก็มีสายสัมพันธ์กับร้านสามธารา และตามที่หวังทงรู้มา เขาไม่เคยทำงานไม่ซื่อ คนคนนี้รักษาไว้ได้ก็ควรรักษาไว้
“ท่าทีเจ้าเช่นนี้เพราะกลัวข้าไม่อยากล่วงเกินแม่ทัพหลี่เพื่อช่วยเจ้าใช่หรือไม่?”
ซุนโส่วเหลียนไม่ได้ตอบทันที หวังทงรู้ว่ากล่าวถูกแล้ว เขาโบกมือกล่าวว่า
“เจ้าเห็นข้าเป็นพวกขี้ขลาดหรือไง เจ้าไม่ต้องกังวลไป ย้ายมาอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน ข้ารับรองตำแหน่งขุนพลเดิมเจ้าได้ อำนาจวาสนาก็ไม่ด้อยไปจากที่เจ้าอยู่ที่เมืองเหลียวโจว วางใจได้แล้วกระมัง!”
แม้ว่าหวังทงกล่าวสบายๆ แต่ซุนโส่วเหลียนก็ยังโขกศีรษะ อย่าเห็นว่าตำแหน่งขุนพลคุมพื้นที่นั้นสูงส่ง มีพื้นที่ดูแล มีอำนาจทหาร เพราะสิ่งเหล่านี้สำหรับหวังทงแล้ว คำสัญญาที่ให้นี่ไม่มากเกินจะรับปาก
ของขวัญเรือนแสน วางท่าสองวัน ได้ผลเช่นนี้ ซุนโส่วเหลียนนับว่าพอใจ โขกศีรษะเงียบไปครู่หนึ่ง เงยหน้ากล่าวว่า
“ท่านโหว ข้าน้อยไม่ยอม!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น