หมอดูยอดอัจฉริยะ 910-913
ตอนที่ 910 มอบรางวัลให้
“อืม มีของดีมากอันหนึ่ง แล้วก็ยังมีของที่ได้มาอย่างไม่คาดคิด กลับไปแกก็จะรู้”
เยี่ยเทียนพยักหน้าพลางยิ้ม การที่สามารถตามหาส่วนที่ขาดหายไปของ “ทุยเป้ยถู” ในต่างแดนได้ เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนมีมือใหญ่คู่หนึ่งอยู่ในความมืด กำลังจัดการความเป็นไปของเรื่องอยู่ และได้ถูกกำหนดตั้งแต่ตอนที่เจอหน้ากับตระกูลคิตะมิยะแล้ว
“อาจารย์ ของดีอะไรครับ?”
โจวเซี่ยวเทียนรู้จักสายตาของอาจารย์เป็นอย่างดี สิ่งของที่เขาพูดว่าเป็นของดี แสดงว่าต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน ถ้าหากไม่ใช่เพราะอยู่ในธนาคารล่ะก็ เกรงว่าโจวเซี่ยวเทียนคงจะเปิดกระเป๋าเดินทางไปนานแล้ว
“รีบร้อนอะไร? เดี๋ยวกลับไปจะให้แกเลือกแล้วมอบเป็นของขวัญให้ติงติง ถือว่าอาจารย์มอบให้เป็นของขวัญทักทายเด็กน้อยของแกก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นท่าทางดีใจเหมือนลิงของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เพราะลูกศิษย์ที่อยู่ต่อหน้าตัวเองนี้ ก็ยังคงไร้เดียงสาเหมือนตอนแรกไม่เปลี่ยน แต่ความจริงเขาก็โตเป็นผู้ใหญ่สามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้ด้วยตัวเองแล้ว อีกทั้งเรื่องจุกจิกมากมายของสำนักเสื้อป่านก็ได้เขาที่ค่อยช่วยเหลือเหลยหู่มาตลอด
“ฮ่า ๆ ขอบคุณครับอาจารย์” โจวเซี่ยวเทียนได้ยินแล้วจึงหัวเราะขึ้นมา ของที่เยี่ยเทียนเอาออกมา จะเป็นของกิ๊กก๊อกได้อย่างไร?
ระหว่างที่ทั้งสองคนพูดกันอยู่ก็เดินมาถึงหน้าประตูธนาคาร กู้ต้าจวินได้รับข้อความแล้วจึงขับรถเข้ามา หลังจากรถที่เยี่ยเทียนนั่งพ้นสายตาของเบิร์นไซด์แล้ว หัวหน้าที่ดูแลเรื่องตู้เซฟก็ถูกเจอโรมเรียกเข้าไป ซึ่งประธานกรรมการก็แค่อยากถามเขาว่ารู้หรือไม่ว่าเยี่ยเทียนได้ของอะไรไป?
แน่นอนว่าเจอโรมได้ถูกกำหนดให้เจอกับความผิดหวัง อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่กู้ต้าจวินที่ใกล้ชิดกับเยี่ยเทียน หลังจากส่งเยี่ยเทียนกลับถึงตึกเล็กแล้ว ก็ยังถูกเยี่ยเทียนหาข้ออ้างแล้วไล่ออกไป
“อาจารย์ ตอนนี้เปิดได้หรือยังครับ?”
หลังจากไล่กู้ต้าจวินออกไปแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็ถูมือทั้งสองข้าง มองกระเป๋าเดินทางของเยี่ยเทียนที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชาอย่างอดใจไม่ไหว เนื่องจากพลังจิตของเขายังไม่ก่อตัว จึงไม่สามารถตรวจสอบว่าในกระเป๋าเดินทางมีของอะไรกันแน่ จึงทำให้หัวใจของเขาคันยุกยิกอยากรู้มาตลอดทาง
“อืม แกดูเองก็แล้วกัน!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เขารู้ว่าลูกศิษย์ของตัวเองยากจนมาตั้งแต่เด็ก บวกกับยังไม่เข้าสู่ระดับเซียนเทียน ความปรารถนาในเรื่องเงินทองจึงเข้มแข็งกว่าคนธรรมดาทั่วไปเพียงเล็กน้อย ดังนั้นของที่อยู่ในกระเป๋านี้จะต้องทำให้เขาตื่นตะลึงแน่นอน
“ทำ…ทำไมอัญมณีเยอะจังครับ?”
หลังจากเปิดกระเป๋าแล้ว ดวงตาของโจวเซี่ยวเทียนจึงตื่นตะลึง เพราะสิ่งที่เข้าตาส่วนใหญ่คือเพชรแพรวพราวที่ส่องประกายไปทั่วภายใต้แสงไฟที่สาดส่อง เกิดเป็นสีสันที่สวยสดงดงาม แม้แต่เยี่ยเทียนก็ยังต้องเอียงศีรษะเล็กน้อย จึงไม่ตาลายเพราะแสงของเพชรและอัญมณี
“อาจารย์ ของพวกนี้คือไอ้ญี่ปุ่นตระกูลคิตะมิยะเหลือไว้เหรอครับ?”
โจวเซี่ยวเทียนพูดพึมพำ
“นี่คือหยกจักรพรรดินี่ครับ คุณภาพของหยกชิ้นนี้ใสเหมือนแก้วเลย แม่เจ้า หยกแดงเกรดดี หรือว่าหยกที่ดีที่สุดในพม่าต่างก็มาอยู่ที่นี่ครับ?”
โจวเซี่ยวเทียนเคยทำงานร้านขายเก่ากับเยี่ยตงผิงมาสองปี แถมยังเคยเป็นโจรขโมยขุดสุสานมาก่อน จึงมีความเข้าใจลึกซึ้งเรื่องหยกและของโบราณมาก แค่มองคร่าวๆ ก็สามารถแยกแยะประเภทเพชรพลอยที่อยู่ในกระเป๋าได้ทันที
“อาจารย์ ในนี้นอกจากทับทิมเกรดดีสีแดงเหมือนเลือดนกแล้ว ก็คือหยกที่มีมากที่สุด แถมยังเป็นหยกเกรดสูงทั้ง หมด แค่หยกพวกนี้ ก็น่าจะมีมูลค่ามากกว่าห้าร้อยล้านแล้วนะครับ แถมยังเป็นเงินดอลลาร์อีกด้วย!”
หลังจากคัดแยกประเภทของพลอยและอัญมณีแต่ละเกรดแล้ว โจวเซี่ยวเทียนจึงอดพ่นลมหายใจเย็นออกมาไม่ ได้ เหมือนกับว่าของสะสมอย่างอัญมณีประเภทนี้ เป็นสิ่งของหายากและมีปริมาณน้อย และหยกจำนวนหนึ่งร้อยถึงสองร้อยชิ้นที่อยู่ในกระเป๋านี้ จึงมีมูลค่าราคาที่ยากจะประเมินได้
“เยอะขนาดนั้นเชียว? ฉันคิดว่าอย่างมากก็แค่สองหรือสามร้อยล้านหยวน!”
หลังจากได้ยินคำพูดของลูกศิษย์แล้ว เยี่ยเทียนจึงตกใจ ถึงแม้เขาจะเคยพนันหินมาก่อน แต่ก็ไม่รู้ราคาที่แท้จริงของสิ่งของพวกนี้
“แน่นอนครับ อาจารย์ ท่านดูหยกอันนี้หรือยังครับ?”
โจวเซี่ยวเทียนหยิบหยกน้ำงามที่มีขนาดเท่ากับกำปั้นขึ้นมาหนึ่งชิ้น แล้วพูดว่า
“หยกชิ้นนี้น้ำงามเป็นสีเดียวกัน คือหยกจักรพรรดิ ท่านรู้ไหมครับ แหวนของหยกจักรพรรดิที่มีขนาดเท่าเล็บมือก็มีราคาถึงหลักล้าน เม็ดใหญ่ขนาดนี้ จะสามารถทำเป็นแหวนได้กี่วง…”
เนื่องจากหยกผลิตขึ้นในพม่า และช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เนื่องจากความขาดแคลนของทรัพยากรในเหมืองแร่ ทำให้ราคาจึงเพิ่มสูงขึ้น มีหยกมากมายที่มีราคาแซงเพชรไปแล้ว แน่นอนว่า นี่คือกิจการที่อยู่ในแถบเอเชียเท่านั้น เพราะระดับการยอมรับของตลาดตะวันตก หยกขายได้ราคาน้อยกว่าเพชรมาก
สำหรับเงินทองไม่มีความหมายใดๆต่อเยี่ยเทียนอีก หลังจากได้ยินคำพูดของโจวเซี่ยวเทียน เขาจึงอดเกาคางไม่ได้ จากนั้นจึงยิ้มพูดว่า
“กลับไปฉันจะเอาของพวกนี้ให้พ่อ คาดว่าน่าจะหักล้างราคาภาพวาดสีน้ำมันของปีกัสโซได้”
“แพงกว่าภาพวาดนั่นแน่นอนครับ!”
โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้าเหมือนลูกไก่จิกข้าว เมื่อรู้ว่าเยี่ยเทียนจะเอาหยกชิ้นนี้มอบให้พ่อของอาจารย์ เขาจึงได้แต่วางกลับไปอย่างเสียดาย
เมื่อเห็นท่าทางของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดสบถด่าไม่ได้ “ดูท่าทางของแกเข้า ยังมีของดีอยู่ในถุงอีก แกก็หยิบไปถุงหนึ่งก็แล้วกัน!”
“เพชร? โอ้พระเจ้า ทั้งหมดเป็นเพชรร่วมสามสิบกะรัตขึ้นไป? นี่…มันอยู่ในถุงนี้ทั้งหมดใช่ไหมครับ?”
ตอนที่โจวเซี่ยวเทียนหยิบถุงแล้วเทเพชรออกมานั้น ดวงตาของเขาเบิกกว้างทันที
ถึงแม้ของล้ำค่าที่ตระกูลคิตะมิยะจะมีมากมาย แต่โจวเซี่ยวเทียนก็คิดไม่ถึงว่าของพวกนี้จะมีมูลค่าสูงถึงเพียงนี้ แค่เพชรเม็ดเดียว ก็เกรงว่าจะมีคุณภาพสูงกว่าปริมาณการผลิตเพชรภายในสามปีทั่วโลกก็เป็นได้
“อาจารย์ ยังมีของดีอะไรอีกครับ?”
หลังจากดูเพชรที่อยู่ในกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว โจวเซี่ยวเทียนจึงมองเยี่ยเทียน เพราะเขารู้ว่าด้วยสายตาของอา จารย์ สิ่งของที่เขาชอบนั้นไม่สามารถใช้เงินประเมินค่าได้ จึงคิดว่าในตัวของเยี่ยเทียน จะต้องมีของมีค่าซ่อนอยู่แน่นอน
เยี่ยเทียนได้ยินจึงยิ้มขึ้นมาแล้วพูดว่า
“เอากระเป๋าไปเก็บในห้องเถอะ แล้วแกก็ไปเรียกกู้ต้าจวินกับท่านฑูตมาด้วย พวกเราพักอยู่ที่นี่ ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายหน่อย”
“เรียกพวกเขามาทำไมครับ? หรือว่าจะต้องแบ่งผลประโยชน์ให้พวกเขาด้วย?”
โจวเซี่ยวเทียนพูดบ่นไม่พอใจออกมา แต่ก็ยังเอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องนอนอย่างเชื่อฟัง แล้วจึงโทรเรียกกู้ต้าจวินกับท่านฑูตให้เข้ามา
“คุณเยี่ย เป็นยังไงบ้างครับ จัดการเรื่องเรียบร้อยไหมครับ?”
เนื่องจากพรุ่งนี้ก็จะเปิดการประชุมใหญ่แล้ว เวลานี้เยี่ยเทียนคือหัวใจสำคัญของท่านฑูตโจว ดังนั้นเรียกปุ๊บต้องมาปั๊บ
“เรียบร้อยครับ ท่านฑูตโจวครับ เหล่ากู้ การได้รู้จักกันถือว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง ผมมีของจะมอบให้พวกคุณครับ!”
เยี่ยเทียนยิ้ม แล้วจึงหยิบกล่องคริสตัลออกมาจากกระเป๋า ยื่นต่อหน้าโจวจี้หวา
“คุณเยี่ย พวกเราจะรับของขวัญจากคุณได้ยังไงครับ?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหยิบกล่องคริสตัลเป็นประกายออกมา จึงรู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด โจวจี้หวาจึงพูดอย่างขมขื่นว่า
“กฎระเบียบของเจ้าหน้าที่ที่ทำงานต่างประเทศเข้มงวดมากครับ ต่อให้เป็นการรับของขวัญจากเพื่อนต่างชาติ ก็ต้องเขียนแบบฟอร์มขออนุญาตแล้วส่งให้ประเทศครับ คุณเยี่ย ของชิ้นนี้พวกเราขอยืนกรานไม่รับเด็ดขาดครับ”
ตอนนั้นท่านฑูตโจวเป็นคนกำหนดกฎระเบียบของคนที่ทำงานต่างประเทศขึ้นมาเอง แม้ว่าจะเป็นการรับของที่ไม่มีค่าอะไรแค่หนึ่งชิ้น ก็ต้องเขียนรายงาน ซึ่งหลายปีที่ผ่านมานี้ เจ้าหน้าที่ด้านการฑูตก็ปฏิบัติตามกฎระเบียบมาตลอด มีน้อยมากที่จะแอบรับของขวัญเป็นการส่วนตัว
“ของสิ่งนี้ไม่ได้ให้พวกคุณครับ ผมจะให้พวกคุณมอบเป็นรางวัลให้กับประเทศ!”
เยี่ยเทียนเบ้ปาก แล้วพูดว่า
“ถ้าหากพวกคุณไม่รับก็อย่าเสียใจทีหลังนะครับ เพราะมีคนมากมายที่อยากได้!”
“อย่าครับ คุณเยี่ย ถ้ามอบให้กับประเทศพวกเรายินดีมากครับ!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ดวงตาของโจวจี้หวาจึงเป็นประกายทันที ยื่นมือไปรับกล่องคริสตัล เปิดออกดู
“นี่คืออะไรครับ? หรือว่าจะเป็นแหวนหยกครับ?”
ของที่อยู่ในกล่องได้ใส่แหวนที่คล้ายกับหยกสีขาวบริสุทธิ์ เวลาที่มองของสิ่งนี้ ก็เหมือนจะทำให้จิตใจของคนเราสงบลง โจวจี้หวาจึงอดยื่นมือออกไปไม่ได้ อยากจะหยิบวัตถุชิ้นนี้มาเล่นในมือเสียหน่อย
“คุณโจวครับ ของสิ่งนี้จะจับสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ครับ”
เยี่ยเทียนรีบขวางมือของโจวจี้หวาที่ยื่นออกมาแล้วพูดว่า
“นี่คือพระบรมสารีริกธาตุ จากการวิเคราะห์ของผมแล้ว น่าจะเป็นพระบรมสารีริกธาตุข้อนิ้วของพระศากยมุนี ถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ท่านฑูตโจวจะดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้นะครับ!”
สาเหตุที่เยี่ยเทียนทำดีกลับโจวจี้หวาขนาดนี้ เนื่องจากพระบรมสารีริกธาตุนี้ เป็นพลังศรัทธาของมวลมนุษย์ ถ้าหากมันได้รับการกราบไว้บูชา พลังปรารถนาก็จะทำให้อันตรายและโรคภัยพ้นตัว แต่ถ้ามีจิตใจที่ไม่เคารพ ก็จะทำให้ชาวบ้านเป็นไข้ล้มป่วยตาย
“พระบรมสารีริกธาตุ? เยี่ย..คุณเยี่ย คุณพูดจริงหรือครับ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว โจวจี้หวาเดิมทีที่ยิ้มเล็กน้อยกลับกลายเป็นนิ่งทื่อขึ้นมา เพราะตกใจคำพูดของเยี่ยเทียนอย่างเห็นได้ชัด
ถึงแม้ลัทธิเต๋าจะมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนนี้จำนวนของสาวกพระพุทธศาสนามีมากกว่าลัทธิเต๋ามาก โดยเฉพาะสถานที่ที่มีความเชื่อในศาสนาอย่างทิเบต ที่ใช้ศาสนาเป็นตัวกำหนดความมั่นคงในสังคม
สำหรับเขตพื้นที่พวกนี้ หลายปีที่ผ่านมาทางประเทศได้มีการออมมือมาโดยตลอด การปรากฏขึ้นของพระบรมสารีริกธาตุ จะทำให้ได้รับความสำคัญจากประเทศ ยังได้รับการประเมินและมีฐานะที่สูงมากขึ้น ตอนนั้นที่อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปที่ฮ่องกงและใต้หวัน ก็ทำให้เกิดความอึกทึกครึกโครมเป็นอย่างมาก
สามารถพูดได้ว่า พระบรมสารีริกธาตุในศาสนาพุทธ มีตำแหน่งสำคัญมากกว่าสิ่งใด ถ้าหากประเทศประกาศออกไปว่าค้นพบพระบรมสารีริกธาตุล่ะก็ คงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากเรื่องหนึ่ง และเอื้อต่อความสามัคคีและสงบสุขของประเทศ
ในฐานะเอกอัครราชทูตของประเทศ โดยเฉพาะสถานที่ที่นับถือศาสนาพุทธที่น้อยมากในยุโรป โจวจี้หวาจึงทราบคุณค่าของพระบรมสารีริกธาตุเป็นอย่างดี พร้อมกับแววตาที่แสดงความตื่นเต้นออกมา ส่วนกู้ต้าจวินที่เป็นทหารกลับงุนงง พลางมองสีหน้าของท่านฑูตโจวที่เปลี่ยนไปมาอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
“คือพระบรมสารีริกธาตุ จริงแท้แน่นอนครับ ท่านฑูตโจว ถ้าหากคุณไม่ต้องการ ผมก็จะส่งให้ประเทศจีนโดยตรงนะครับ!”
ที่เยี่ยเทียนมอบพระบรมสารีริกธาตุ ตัวเองก็ได้พิจารณาแล้วว่า ถึงแม้พระบรมสารีริกธาตุจะมีมูลค่ามาก แต่ปราณวิเศษที่อยู่ภายใน ไม่เหมาะสมกับผู้บำเพ็ญเต๋าอย่างพวกเขา
และสิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนลำบากใจที่สุดก็คือ เขาไม่สามารถขายพระบรมสารีริกธาตุได้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการไม่เคารพต่อพระพุทธศาสนา และเกรงว่าเยี่ยเทียนจะโดนคำครหาจากสาวกของพระพุทธศาสนาทั่วโลกอีกด้วย
ตอนที่ 911 รวมเป็นหนึ่ง
เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเยี่ยเทียนจึงตัดสินใจมอบพระบรมสารีริกธาตุให้กับประเทศ เพราะเต๋าแตกต่างมิอาจร่วมทาง เขาในฐานะศิษย์ของลัทธิเต๋าจึงไม่อยากเก็บพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ อีกอย่างจะว่าไปแล้ว ในใจของเยี่ยเทียน พระศากยมุนีก็เป็นเหมือนผู้อาวุโสของพระพุทธศาสนาที่ฝึกธรรมสำเร็จก่อน จึงไม่ถึงขั้นให้เขาต้องเคารพบูชา
“เอาสิครับ คุณเยี่ย ถือว่าคุณได้สร้างคุณงามความดีให้กับกิจการงานศาสนาของประเทศเชียวนะครับ!”
หลังาจากได้ยินคำพูดยืนยันของเยี่ยเทียนแล้ว และถึงแม้ว่าโจวจี้หวาจะเป็นคนที่คลุกคลีอยู่ในวงการข้าราชการมานาน รู้จักฝึกสีหน้าอารมณ์ต่างๆ แต่ก็ยังอดตื่นเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“คุณเยี่ยครับ ผมเชื่อว่าพุทธศาสนิกชนนับหมื่นคน จะต้องสวดมนต์ต่อพระพุทธเจ้าเพื่อขอพรให้คุ้มครองคุณแน่นอนครับ!”
สำหรับสาวกของศาสนาพุทธแล้ว การที่พระบรมสารีริกธาตุหนึ่งองค์ปรากฏขึ้นต่อโลก เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก สำหรับเอกอัครราชฑูตโจวแล้ว การค้นพบพระบรมสารีริกธาตุนั้นถือว่าเป็นผลงานชิ้นใหญ่เช่นกัน หากรอย้ายกลับไปสิ้นปีนี้ การแต่งตั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงก็เป็นเงื่อนไขที่พร้อมสมบูรณ์แบบ
“ผมต้องให้คนอื่นช่วยคุ้มครองเหรอ?”
เยี่ยเทียไนได้ยินแล้วจึงกลั้นหัวเราะไม่อยู่ จากนั้นจึงโบกมือพูดว่า
“ถ้าหากพระสามารถคุ้มครองมนุษย์เราได้ ก็คงไม่ต้องมีพระบรมสารีริกธาตุที่เหลือจากการมรณภาพหรอกครับ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตัวเราแข็งแกร่งย่อมสำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น!”
“คุณเยี่ยพูดถูกครับ พวกเราเป็นพวกลัทธิวัตถุนิยมไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก”
โจวจี้หวาคิดว่าเยี่ยเทียนพูดถึงความยิ่งใหญ่ทางด้านจิตวิทยา แต่หารู้ไม่ว่าชายหนุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น ถ้าหากอยู่ในยุคโบราณ ก็คือเทพเซียนเดินดินคนหนึ่ง ถึงแม้จะไม่อาจสู้ปรมาจารย์อย่างพระศากยมุนีที่ก่อตั้งศาสนาได้ แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
หลังจากเก็บพระบรมสารีริกธาตุอย่างระมัดระวังแล้ว โจวจี้หวาจึงมองเยี่ยเทียนแล้วพูดว่า
“คุณเยี่ยครับ งานประชุมแลกเปลี่ยนที่คุณต้องเข้าร่วมนั้น จะถูกจัดขึ้นในคฤหาสน์แห่งหนึ่งย่านชานเมืองของซูริกเวลาเย็นพรุ่งนี้นะครับ คุณมีอะไรต้องการเตรียมไหมครับ?”
โจวจี้หวาไม่ค่อยรู้รายละเอียดในงานแลกเปลี่ยนที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้มากนัก แต่ในสายของประธานาธิบดี เยวี่ยกับประธานอู๋นั้น ทำให้เขาเข้าใจความสำคัญของงานประชุมเป็นอย่างมาก เพราะว่าคำพูดของผู้นำทั้งสองคนบอกความหมายอย่างชัดเจนแล้ว นั่นก็คือต้องตอบสนองความต้องการของเยี่ยเทียนทั้งหมด
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางยิ้มแล้วพูด
“ไม่ต้องครับ คุณโจวไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ ผมอยากจะคุยกับเหล่ากู้สักสองสามประโยค!”
“ได้ครับ อย่างนั้นผมไม่รบกวนแล้ว!”
โจวจี้หวาพยักหน้าแล้วจึงลุกขึ้น เดิมทีรัฐบาลกับทหารก็ไม่ได้อยู่ในระบบเดียวกัน และงานข่าวกรองที่กู้ต้าจวินรับ ผิดชอบอยู่เขาก็เข้ามาเกี่ยวข้องไม่ได้ เมื่อได้รับพระบรมสารีริกธาตุองค์นั้นมาอย่างไม่คาดคิด โจวจี้หวาจึงไม่มีความรู้สึกไม่พอใจที่เยี่ยเทียนพูดจาไล่คนแบบนี้
“คุณเยี่ย ผมมีเรื่องอยากจะรายงานคุณพอดีครับ”
หลังจากโจวจี้หวาออกไปแล้ว กู้ต้าจวินจึงหยิบสำเนาเอกสารปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเอกสาร แล้วพูดว่า
“นี่คือรายชื่อของคนที่เข้ามาประเทศสวิตเซอร์แลนด์จากเมืองต่างๆ ในช่วงนี้ครับ แต่ผมเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวกรองค่อนข้างเร่งด่วน จึงยังไม่ทันได้จัดเรียบเรียงให้เรียบร้อย คุณเยี่ย คุณจะลองดูก่อนไหมครับ?
“เหอะๆ คนที่เข้าเมืองมาก็ไม่น้อยจริงๆ นะครับ…”
เยี่ยเทียนรับสำเนาเอกสารปึกนั้นแล้วกวาดตามองคร่าวๆ จาก นั้นจึงยิ้มพูดว่า
“เหล่ากู้ คุณสามารถยืนยันได้ไหมว่าพวกเขาคือคนที่เข้าร่วมงานประชุมใหญ่ผู้มีพลังพิเศษในครั้งนี้?”
บนสำเนาเอกสารสิบกว่าหน้า มีรายชื่อนับพันคนแน่นขนัด และส่วนใหญ่จะมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องอยู่ด้านหลังชื่ออีกด้วย แสดงว่างานข่าวกรองของกู้ต้าจวินนั้นทำงานค่อนข้างละเอียดพอสมควร
แน่นอนเยี่ยเทียนก็เชื่อว่า ชื่อของตัวเองกับโจวเซี่ยวเทียน น่าจะอยู่ในรายชื่อของทีมข่าวกรองของคนอื่นนานแล้วเช่นกัน
“คุณเยี่ยครับ ที่ต่างประเทศให้ความสำคัญกับผู้ที่มีพลังพิเศษเป็นอย่างมาก ข่าวกรองที่พวกเราได้รับจึงมีจำกัดครับ!”
กู้ต้าจวินพูดด้วยสีหน้าที่แดงเล็กน้อย
“ข้อมูลของคนพวกนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนปกติทั่วไป ผมรู้สึกว่าพวกเขามาที่นี่ เพียงแค่ให้บริการผู้มีพลังพิเศษพวกนั้นครับ ตอนนี้พวกเราจึงไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครคือคนที่เข้าร่วมงานประชุมใหญ่กันแน่!”
แต่สิ่งที่เหลือจากความละอายใจนั้น กู้ต้าจวินก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง เพราะเขาได้รับการแจ้งว่า ตัวเองสามารถเข้าร่วมประชุมครั้งนี้กับเยี่ยเทียนได้ตลอดเวลา ถึงแม้เขาจะมาในฐานะผู้บันทึกความเคลื่อนไหวของงานประชุมใหญ่ก็ตาม แต่ก็ทำให้กู้ต้าจวินรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
ในฐานะประเทศที่มีสถานะเป็นกลางอย่างถาวร สวิตเซอร์แลนด์ก็ทำตัวเงียบมาตลอด แต่ช่วงเวลานี้เขากลับกลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของประเทศทั่วโลกเป็นอย่างสูง และงานประชุมใหญ่ผู้มีพลังพิเศษนี้ จึงได้เกี่ยวพันกับจิตใจของผู้คนจำนวนมาก เนื่องจากมันจะกลายเป็นสนามรบที่ไร้ควัน หลังจากที่เคยเกิดสงครามเย็นสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต
เหมือนอย่างการประชุมแบบนี้ ถึงแม้ตอนนี้จะเก็บเป็นความลับไม่ให้บุคคลภายนอกรับรู้ แต่ผลกระทบของมันจะถูกบันทึกเหตุการณ์ลงในประวัติศาสตร์ การที่สามารถมีส่วนร่วมในงานประชุมที่เป็นประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ก็ทำให้กู้ต้าจวินหัวใจเต้นโครมๆ แล้ว
“หืม? ประเทศไทยก็มีคนเข้าร่วมด้วย?”
สายตาของเยี่ยเทียนพลันจ้องมองไปที่ชื่อคนคนหนึ่ง ถึงแม้ใบหน้าจะยังยิ้มเล็กน้อย แต่น้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยแรงอาฆาต
“ไม่คิดว่านายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็มาร่วมงานประชุมใหญ่ครั้งนี้ด้วย พอดีเลย จะได้ช่วยชำระความแค้นของเขากับศิษย์พี่รองเสียที!”
จะว่าไปแล้วสำนักเสื้อป่านกับหมอผีคนไทยคนนี้มีวาสนาต่อกันจริงๆ ตอนแรกหลี่ซั่นหยวนก็สู้ชนะนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เขาพ่ายแพ้กลับไปและยังสั่งให้เขาห้ามมาเหยียบประเทศจีนอีกแม้แต่ก้าวเดียว
หลังจากนั้นก็คือจั่วเจียจวิ้นที่ถูกลอบโจมตีจากหมอผีคนนี้ตอนที่อยู่ประเทศไทย จนเกือบเสียชีวิต
ตอนที่ความแค้นนี้ยังไม่ถูกชำระ นายชาญ ทองทวนลูกศิษย์ของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็ได้รับการไหว้วานจากซ่งเสี่ยวหลง บินไปฮ่องกงเพื่อฆ่าเยี่ยเทียน แต่ไม่คิดว่าจะถูกเยี่ยเทียนฆ่าตายเสียก่อน ทำให้ความแค้นของทั้งสองฝ่ายไม่สามารถที่จะคลายลงได้
ส่วนเรื่องที่จู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่ประสบอุบัติเหตุตอนที่อยู่ประเทศไทย ก็แค่โดนลูกหลงเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ได้วางกับดักนี้ในประเทศไทย แต่ไม่คิดว่าเยี่ยเทียนจะไม่ได้มาด้วย ทำให้เขาจับได้แค่ปลาซิวปลาสร้อย
“ในเมื่อมาแล้ว จะได้ประหยัดเวลาให้ฉัน ไม่ต้องบินไปประเทศไทยอีกรอบ”
เยี่ยเทียนพลิกสำเนาเอกสารที่มีชื่อของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เบาๆ จากการกระทำนี้ของเขา เป็นการประ กาศว่าถึงเวลาประหารชีวิตหมอผีชาวไทยคนนี้แล้ว
เยี่ยเทียนรู้ดีว่า การแลกเปลี่ยนงานประชุมครั้งนี้ ไม่ได้เริ่มต้นด้วยความเป็นมิตรและอบอุ่น จากนั้นก็จบอย่างมีความสุขอย่างเด็ดขาด ในระหว่างนี้ จะต้องเกิดเหตุการณ์นองเลือด แต่ก็เป็นความปรารถนาของเยี่ยเทียนเช่นกัน
“เอ๊ะ? รูดอล์ฟ? แดรกคิวลาคนนี้ใช่ท่านดยุคคนนั้นหรือเปล่า?”
ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็มองเห็นชื่อที่คุ้นเคยสองคน คนหนึ่งคือรูดอล์ฟเจ้าพ่อใหญ่ที่ลาสเวกัสที่เคยพนันกับเขาที่เวทีมวยใต้ดิน ตอนนั้นเยี่ยเทียนเคยเปลี่ยนใบหน้าของเขาไปร้อยแปดพันเก้าขณะที่อยู่รัสเซีย ทำให้เขาสะอิดสะเอียนไปพักหนึ่ง แต่หลังจากนั้นเยี่ยเทียนก็งานยุ่งมาก จึงไม่ได้ไปหาเรื่องเขาอีก
และอีกชื่อหนึ่งนั้นได้ทำให้เยี่ยเทียนใจเต้น เพราะถึงแม้ปากของเขาจะพูดจาเหมือนไม่สนใจตระกูลผีดูดเลือด แต่ในใจนั้นกลับให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ตอนนั้นชาวอังกฤษที่ชื่อว่าเคิร์ดมีฐานะเพียงแค่ท่านดยุค ก็สามารถเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือของเขาในระดับเซียนเทียนขั้นต้นได้ เกรงว่าท่านดยุคผู้นี้จะมีพลังที่แข็งแกร่งขึ้นหรือเปล่า?
“แดรกคิวลาคนนี้น่าสนใจไม่เบา แถมเขายังเป็นตัวแทนของประเทศอเมริกา?” หลังจากดูประเทศที่ขึ้นกับสองคนนี้แล้ว เยี่ยเทียนจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เพราะตามหลักแล้วต้นกำเนิดของผีดูดเลือดน่าจะอยู่ที่ประเทศอังกฤษของทวีปยุ โรป แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมแดรกคิวลาถึงเป็นตัวแทนของประเทศอเมริกามาเข้าร่วมงานประชุมในครั้งนี้
เยี่ยเทียนพลิกรายชื่อคนเข้าเมืองของประเทศอังกฤษ รายชื่อที่อยู่บนนั้นเขาไม่รู้จักเลยสักคน จากนั้นจึงโยนราย ชื่อลงบนโต๊ะ แล้วพูดว่า
“เหล่ากู้ พรุ่งนี้คุณมารับพวกเราไปที่นั่นก็พอแล้ว ผมขอพักผ่อนเอาแรงดีกว่า!”
“ครับ คุณเยี่ย อย่างนั้นผมขอตัวลาก่อนนะครับ!”
กู้ต้าจวินพยักหน้าแล้วจึงเดินถอยหลังออกไปจากห้อง สำหรับงานประชุมใหญ่ในวันพรุ่งนี้ เขาก็มีเรื่องมากมายที่ต้องทำ
“อาจารย์ ท่านบอกว่าของดีนั้นก็คือพระบรมสารีริกธาตุใช่ไหมครับ?”
หลังจากรอให้กู้ต้าจวินออกไปแล้ว โจวเซี่ยวเทียนจึงมองเยี่ยเทียนอย่างไม่ค่อยพอใจ เพราะเขาเองก็รู้สึกถึงปราณวิเศษที่อยู่ในพระบรมสารีริกธาตุได้เช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับพลอยวิเศษแล้วยังต่างกันอีกมากนัก ของที่เขาโจวเซี่ยวเทียนก็ไม่ชอบ จึงเชื่อว่าสายตาของอาจารย์ไม่ได้ตื้นเขินขนาดนั้นแน่นอน
“แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว ของดีอยู่ตรงนี้ต่างหาก!”
เยี่ยเทียนยิ้ม พลางลุกขึ้นเดินไปที่ชั้นสอง หลังจากเข้าไปในห้อง แล้วจึงโบกมือในห้องนอนที่ว่างเปล่า จากนั้นตู้ตรงหัวเตียงก็ปรากฏขึ้นมาในทันใด และของที่วางอยู่บนนั้น ก็คือส่วนที่ขาดหายไปของ “ทุยเป้ยถู” เล่มนั้นที่เยี่ยเทียนเอาติดตัวมาด้วย
“อาจารย์ ของดีล่ะ?” โจวเซี่ยวเทียนคุ้นชินกับการกระทำของแปลกๆ ของอาจารย์นานแล้ว เขารู้ว่านี่คือวิชาลวงตาที่เยี่ยเทียนสร้างขึ้นมา ต่อให้คนธรรมดาเดินมาอยู่ตรงหน้า ก็ไม่มีทางเห็นของที่ซ่อนอยู่ในนั้น
“เซี่ยวเทียน ดูนี่สิ!”
เยี่ยเทียนยิ้ม แล้วจึงหยิบกล่องไม้ที่ค่อนข้างแบนออกมาจากในอ้อมอก ครั้งนี้เขาไม่ได้เล่นแง่ จากนั้นก็เปิดกล่องไม้ออกมาโดยตรง แล้วตัวหนังสือสามตัวของ “ทุยเป้ยถู” ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความโบราณก็สะท้อนเข้ามาในม่านตาของโจวเซี่ยวเทียน
“นี่คือหน้าปกของ ‘ทุยเป้ยถู’?” ต่อให้ความคิดเชื่อมโยงของโจวเซี่ยวเทียนจะมีอย่างคับคั่ง แต่ก็นึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะได้ส่วนสุดท้ายของ “ทุยเป้ยถู” มาได้ และเขาก็เคยพลาดท่าให้กับของสิ่งนี้มาก่อน จึงรู้สึกลังเลอยู่บ้าง และไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหยิบหน้าปกอันนี้มาทดสอบก่อนดีไหม
แต่ไม่ทันรอให้โจวเซี่ยวเทียนขยับความคิด หน้าที่ขาดหายไปของกลิ่นอายที่ถูกตัดขาดจากกล่องไม้นั่น พลันเกิดแสงสว่างสีขาวออกมาอย่างกะทันหัน
ในขณะเดียวกัน ส่วนที่ขาดหายไปของ “ทุยเป้ยถู” ที่วางอยู่บนตู้ข้างเตียงเล่มนั้น ก็ปล่อยปราณวิเศษออกมา ทำให้หน้าที่ขาดหายไปที่อยู่ในกล่องไม้ราวกับถูกเรียกก็ไม่ปาน จู่ๆ ก็ลอยออกมาจากในกล่อง เกิดเสียงดัง “พรึบ” จากนั้นก็ปิดคัมภีร์ส่วนที่ขาดไปของเล่มนั้น
“ครืนนน!”
คลื่นสั่นสะเทือนที่ไร้รูปแผ่กระจายออกมาจาก “ทุยเป้ยถู” ที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกระจายไปรอบๆ อย่างกำ เริบเสิบสาน เสียงดัง “เปรี้ยงปร้าง” แสบแก้วหู และหน้าต่างห้องนอนชั้นสองก็ถูกบีบให้แตกทั้งหมด แม้แต่เยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียน ก็ยังถูกบังคับจนต้องถอยหลังไปติดๆ แล้วจึงได้แต่มองกลุ่มแสงสีขาวที่ห่อหุ้มหนังสือคัมภีร์โบราณเล่มนั้นตาปริบๆ
“คลื่นรุนแรงทรงพลังเช่นนี้มาจากที่ไหน?”
จากนั้นสถานกงสุลสองสามแห่งกับโรงแรมระดับห้าดาวที่อยู่ในซูริกของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็มีคนที่สวมชุดแปลกประหลาดหลายคนมองไปยังตำแหน่งที่เยี่ยเทียนอาศัยอยู่
ตอนที่ 912 คัมภีร์เป็นตาย (1)
สิ่งที่เรียกว่าผู้มีพลังพิเศษ ก็คือผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ อย่างเช่นการส่งกระแสจิต อานุภาพทรงพลัง มองทะลุ หยั่งรู้อนาคต อำพรางตัว มีคุณสมบัติทางร่างกายพิเศษไม่เหมือนใครเป็นต้น และทั้งหมดนี้ ไม่สามารถอยู่ห่างจากการควบคุมและใช้พลังงาน
ดังนั้นมนุษย์ประเภทนี้ จึงมีความรู้สึกไวมากกว่าปกติยามที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของพลังจากฟ้าดิน หลังจากสถานที่พักที่เยี่ยเทียนอาศัยอยู่เกิดคลื่นระเบิดสะเทือนเลื่อนลั่น บางทีสำหรับคนธรรมดาทั่วไปอาจจะงงไม่รู้เรื่อง แต่สำหรับผู้ที่มีพลังพิเศษที่มารวมตัวกันในซูริกนั้น กลับเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก
พลังงานกลุ่มนี้มีศูนย์กลางตรงที่พักของเยี่ยเทียน แล้วพุ่งกระจายออกไปทั่วทุกทิศ คลื่นสะเทือนเกิดเป็นระลอกคลื่นอยู่ในอากาศ พลังกดดันและบีบบังคับที่ไร้รูปแบบนี้แผ่ปกคุลมหัวใจของสิ่งมีชีวิตที่สามารถสัมผัสถึงพลังงานแบบนี้ได้
เพียงชั่วพริบตาเดียวทั่วเมืองซูริกดูเหมือนจะเงียบสงบขึ้นมา สัตว์ทั้งหมดต่างเงียบกริบ ถ้าหากรู้จักสังเกต ก็จะพบว่าสุนัขลากลื่อนที่ดุและชอบต่อสู้ต่างก็หางจุกตูดตัวสั่นงันงก มุดเข้าไปอยู่ในรังสุนัขไม่กล้าส่งเสียงใดๆ
“นี่คือพลังอะไร? ทำไมถึงทำให้จิตวิญญาณของฉันสั่นสะท้าน?”
ผู้มีพลังพิเศษแข็งแกร่งสองสามคนต่างจ้องมองไปยังทิศทางที่มีคลื่นส่งออกมา พร้อมกับหัวใจที่สั่นสะท้านอย่างกะทันหัน ภายใต้ความกดดันและบีบรัด ทำให้พวกเขาไม่มีความคิดที่จะต่อต้านเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าหากไม่ใช่เพราะระ ยะที่ไกลมาก เกรงว่าคงจะมีบางคนคุกเข่ากราบไว้แล้ว
“อาจารย์ ผม…ผมต้านไม่ไหวแล้ว!”
คนที่อยู่ห่างจากที่พักของเยี่ยเทียนไปไกลสิบกิโลเมตร ต่างก็ได้รับแรงกดดันที่ใหญ่มากขนาดนี้ และพวกเยี่ยเทียนสองคนที่กำลังอยู่ในห้องในตอนนี้ จึงก้าวขาออกด้วยความยากลำบากเป็นอย่างมาก โจวเซี่ยวเทียนได้ถูกพลังงานนั่นเบียดจนติดกำแพงอย่างแรง รูขุมขนทั่วร่างล้วนมีเลือดออกมา ราวกับมนุษย์เลือดก็ไม่ปาน
“บ้าเอ้ย ไม่แปลกใจเลยที่หลี่ฉุนเฟิงกับหยวนเทียนกังต้องแยกคัมภีร์เล่มนี้ออกจากกัน เพราะมันอยู่รวมกันแล้วคือการฆ่าชีวิตนั่นเอง!”
วรยุทธของเยี่ยเทียนสูงกว่าโจวเซี่ยวเทียนมาก ถึงแม้จะมีพลังงานมหาศาลนั่น ก็ไม่สามารถโจมตีเขาได้ ด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนจึงพอต้านทานกำลังได้ หลังจากถอยหลังไปสองสามก้าวแล้ว ขาทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนจึงเหมือนกับตะปูติดแน่นอยู่กับพื้น แม้จะมีพลังงานแบบนั้นโจมตี ก็ไม่ทำให้เขาถอยหลังไปได้อีก
แต่เมื่อเห็นความน่าอนาถของลูกศิษย์แล้ว เยี่ยเทียนจึงไม่มีความคิดที่จะต้านทานพลังกลุ่มนั้นอีก ร่างเงาของเขาปรากฏตัวอยู่ข้างโจวเซี่ยวเทียนราวกับสายฟ้าแลบ ยื่นมือไปจับไหล่ของโจวเซี่ยวเทียน พอจับแล้วก็เหวี่ยงทันที ทำให้ร่างกายที่สูงประมาณหนึ่งเมตรแปดสิบเซ็นติเมตรกว่าๆ ของโจวเซี่ยวเทียนถูกเยี่ยเทียนโยนทิ้งออกไปทางหน้าต่าง
“คุณเยี่ย เกิดอะไรขึ้นครับ?”
เสียงของกู้ต้าจวินดังมาจากข้างนอกตึกเล็ก และดูเหมือนว่าพลังงานกลุ่มนี้จะไม่มีผลกระทบกับเขาเท่าไร นอกจากจะรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย เขาก็ไม่มีความรู้สึกกดดันแบบนั้น
เสียงคำรามของเยี่ยเทียนดังขึ้น
“ไม่มีอะไร คุณช่วยพาเซี่ยวเทียนลงไป และห้ามให้ใครอยู่ภายในระยะหนึ่งร้อยเมตร!”
ตอนนี้ความรู้สึกกดดันแบบนี้ยังคงอยู่ในของเขตที่เขาต้านทานได้ เยี่ยเทียนอยากจะรอดูว่า ทุยเป้ยถูที่รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว สุดท้ายมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรกันแน่ เพียงแต่เพิ่งจะสิ้นเสียงของเยี่ยเทียน แรงกดดันเมื่อครู่ก็พลันหายไป แล้วแรงดึงดูดมหาศาลก็กระจายแสงสีขาวออกมาจากคัมภีร์
เมื่อนับตึกเล็กเป็นจุดศูนย์กลาง ปราณวิเศษแห่งฟ้าดินที่อยู่ภายในระยะหนึ่งร้อยกิโลเมตรก็กรูกันเข้ามาเหมือนฝูงแมลงเม่า เอ่อล่นเข้าไปในตึกเล็กไม่ขาดสาย แม้แต่เทือกเขาแอลป์ที่อยู่ไกลๆ ก็ยังได้รับผลกระทบนี้ ปราณวิเศษบริสุทธิ์ที่สะสมอยู่ในภูเขาหลายปี ก็ถูกดูดเข้ามาอยู่ในหนังสือที่เหมือนกับหลุมดำก็ไม่ปาน
เดิมทีเยี่ยเทียนก็พยายามปล่อยพลังปราณมาต้านทานกับแรงกดดันและคลื่นสะเทือนกลุ่มนั้น ทว่าจู่ๆ แรงกด ดันก็พลันหายไป ความแตกต่างที่พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้เยี่ยเทียนเหมือนกับถูกค้อนหนักทุบไปที่หน้าอกอย่างแรง โชคดีที่เขาอยู่ได้เข้าสู่ระดับเจี่ยตันแล้ว จึงแค่รู้สึกอึดอัดตรงหน้าอก แล้วเลือดก็พุ่งออกมาจากปากเพราะทนไม่ไหว
เยี่ยเทียนเข้าสู่ระดับเซียนเทียนนานแล้ว เลือดลมของเขาจึงแฝงไปด้วยปราณวิเศษที่แข็งแกร่ง ก็เหมือนกับพระถังซัมจั๋งที่อยู่ในนิยาย “ไซอิ๋ว” ถึงแม้ดื่มเลือดของเยี่ยเทียนจะไม่สามารถเป็นอมตะได้ แต่ก็สามารถยืดอายุขัยให้นานได้
ดังนั้นเลือดของเยี่ยเทียนที่พุ่งออกมานี้ จึงเหมือนกับปราณวิเศษที่พลุ่งพล่านอยู่รวมกัน แล้วถูกแสงสีขาวนั่นดูดเข้าไป ตอนที่เลือดสาดเข้าไปอยู่ในวัตถุชิ้นนั้น ก็ทำให้แสงสีขาวยิ่งสว่างมากขึ้น กระจายออกมาข้างนอก จากนั้นก็ห่อหุ้ม เยี่ยเทียนเข้าไปอยู่ในนั้นเช่นกัน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
หลังจากแสงสีขาวห่อหุ้มร่างกายตัวเองแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้สึกถึงพลังปราณชีวิตของสิ่งมีชีวิตวนเวียนอยู่ภายในร่างกาย แต่พลังชีวิตที่อยู่ภายใน ดูเหมือนจะมีพลังมรณะแฝงอยู่ด้วย ระหว่างที่พลังสองชนิดนี้กำลังวนเวียนอยู่นั้น เยี่ยเทียนจึงเหมือน กับเดินอยู่บนเส้นลวดก็ไม่ปาน หากไม่ระวังก็จะตกลงมาร่างกายแหลกสลายได้
“ความตายแฝงไปด้วยชีวิต การเวียนว่ายตายเกิด เกิดขึ้นไม่สิ้นสุด เมื่อเข้าใจความเป็นและความตาย ก็จะเข้าใจมหามรรคแห่งเต๋า!”
ในใจของเยี่ยเทียนเกิดการตระหนักรู้ขึ้นมากระทันหัน และดูเหมือนว่าเขาจะมีการเชื่อมโยงกับสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะอยู่บ้าง เพราะกฎความเป็นและความตายก็ถ่ายทอดออกมาจากในนั้น
“น่าเสียดาย ทำไมถึงหมดเร็วขนาดนี้?”
ตอนที่เยี่ยเทียนเตรียมจะทำความเข้าใจอย่างละเอียด พลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดินปริมาณมหาศาล ก็ถูกแสงสีขาวดูดเข้าไปจนหมดสิ้น เยี่ยเทียนยังไม่ทันทำความเข้าใจสิ่งที่อยู่ในนั้น ก็ถูกตัดขาดการเชื่อมโยงเสียแล้ว ทำให้เยี่ยเทียนหงุดหงิดใจไม่หยุด เพราะว่าความน่ากลัวระหว่างความเป็นกับความตาย มีโชคขนาดใหญ่แอบซ่อนอยู่
ขณะเดียวกันพลังดึงดูดของปราณวิเศษจากภายนอกอย่างบ้าคลั่งก็ค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ หลังจากสามนาทีผ่านไป พลังปราณชีวิตที่ยุ่งเหยิงรอบบริเวณระยะหนึ่งร้อยเมตรก็ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับสู่ความปกติ แต่ปราณวิเศษที่อยู่ในนั้นกลับน้อยนิดจนน่าสงสาร เพราะถูกกลุ่มแสงสีขาวดูดกลืนเข้าไปเสียส่วนใหญ่
“นั่นคือคนแบบไหนกัน ทำไมถึงมีพลังแข็งแกร่งระเบิดออกมาเช่นนี้?!”
ผู้มีพลังพิเศษของแต่ละประเทศที่อยู่ในซูริกนั้น ต่างก็มองไปยังทิศทางที่อยู่อาศัยของเยี่ยเทียนด้วยสายตาที่ซับ ซ้อน เนื่องจากภายใต้แรงกดดันแบบนั้น พวกเขาจึงรู้สึกถึงความเล็กกระจิดริดของตัวเอง จึงไม่มีความคิดที่จะต่อต้านใดๆ
ดังนั้นถึงแม้จะสงสัย แต่ก็ไม่มีใครกล้าไปสืบสักคน พวกเขากลัวว่าจะเป็นการทำผิดต่อผู้แข็งแกร่งคนนั้นแล้วนำภัยมาสู่ตัวเอง เพราะในโลกของพวกเขานั้น ไม่มีกฎหมายอะไรมาใช้พูดได้
“ที่แท้ทุยเป้ยถูก็เป็นเพียงหน้ากาก!”
เวลานี้ตึกเล็กที่อยู่ในสถานทูตประเทศจีน ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้น เยี่ยเทียนกำลังมองคัมภีร์ที่ไร้แสงสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยสายตาที่ซับซ้อน
คัมภีร์รวมเป็นหนึ่งเดียวมีเพียงสี่หน้า แบ่งเป็นสองสี สองหน้าแรกเป็นสีขาว สองหน้าหลังเป็นสีดำ และเดิมทีหน้าปกที่เขียนตัวหนังสือสามคำว่า “ทุยเป้ยถู” ตอนนี้ได้กลายเป็นคำว่า “เป็น” คำหนึ่ง ไม่ว่าจะมองจากตรงไหน ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ “ทุยเป้ยถู” เลยสักนิด
“ถ้าหากอาจารย์รู้ว่านี่ถึงจะเป็น ‘ทุยเป้ยถู’ ที่แท้จริง ไม่รู้ว่าท่านจะรู้สึกยังไงกันแน่?”
เยี่ยเทียนมองคัมภีร์เล่มนั้นอย่างพูดไม่ออก พร้อมกับในทรวงอกที่ยากจะสงบใจลงได้อยู่นาน
หลี่ซั่นหยวนเคยตามหาที่อยู่ของ “ทุยเป้ยถู” มาตลอดชีวิต เพื่ออยากได้รับแรงบันดาลใจจากในนั้น มาเติมเต็มวิชาของสำนักเสื้อป่าน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าภาพที่แปลกประหลาดนับพันปี จะสร้างขึ้นมาเพื่อตบตาคนเท่านั้น
“หนึ่งเป็นกับหนึ่งตาย นี่มันคืออะไรกันแน่?”
เมื่อนึกถึงประสบการณ์การเดินทางระหว่างความเป็นและความตาย ทำให้ในใจของเยี่ยเทียนเกิดสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้ ตอนที่เขากำลังทำความเข้าใจหลักความเป็นและความตายด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น ตอนนั้นเขาไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด แต่หลังจากที่สติกลับมาดังเดิมแล้ว จึงเกิดความรู้สึกหวาดกลัวต่อเจ้าสิ่งนี้
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเยี่ยเทียนจึงปล่อยพลังจิตออกมาเล็กน้อยใส่เข้าไปยังคัมภีร์เล่มนี้ และสิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ พลังจิตสามารถเข้าไปในนั้นได้อย่างสบาย แล้วพลังดูดกลืนที่เกิดจากคำว่า “ตาย” จากการตรวจสอบก่อนหน้าก็ไม่มีอีกแล้ว
เมื่อสัมผัสได้ว่าตัวเองไม่ได้รับการข่มขู่คุกคามจากคัมภีร์เล่มนั้น เยี่ยเทียนจึงเดินไปข้างหน้าหยิบมันขึ้นมา ตอนที่มือของเขาสัมผัสกับคัมภีร์เล่มนั้น ในหัวของเขาจู่ๆ ก็มีตัวหนังสือปรากฏขึ้นมา แต่มันเลือนลางมาก ทำให้เยี่ยเทียนไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
“ดูเหมือนจะเป็นวิธีการใช้คัมภีร์เล่มนี้? ให้ตายเถอะ ทำไมถึงเลือนรางขนาดนี้?”
เยี่ยเทียนพยายามที่จะดูสิ่งที่ปรากฏในหัวเป็นอย่างมาก แต่ก็เหมือนกับมีหมอกกั้นอีกหนึ่งชั้น ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่มีทางตรวจดูได้ ทำให้เยี่ยเทียนอดพูดคำหยาบออกมาไม่ได้ ทั้งๆ ที่เกิดการเชื่อมโยงกับตัวเองแล้วแท้ๆ แต่กลับหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ ทำให้คนรู้สึกหงุดหงิดจริงๆ
เยี่ยเทียนพยายามส่ายศีรษะอย่างแรง แต่ตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่ในหัวก็ยังมองไม่ชัดเจนอยู่ดี เขาจึงได้แต่ย้ายสายตามองไปที่คัมภีร์ที่อยู่ในมือ
ถึงจะพูดว่าเป็นคัมภีร์ แต่ความจริงรวมปกหน้ากับปกหลังแล้ว มีกระดาษเพียงสี่หน้าเท่านั้น แบ่งเป็นสองสีคือสีดำกับสีขาว และไม่รู้ว่ากระดาษทั้งสี่หน้านี้ทำมาจากวัสดุอะไร สองมือของเยี่ยเทียนใช้แรงเพียงเล็กน้อย อย่าว่าจะฉีกให้ขาดเลย แม้แต่รอยนิ้วมือก็ไม่มีหลงเหลืออยู่บนกระดาษ
“บ้าเอ้ย หรือนี่คือคัมภีร์สวรรค์ไร้ตัวอักษร?”
บนกระดาษทั้งสี่หน้า นอกจากหน้าปกคำว่า “เป็น” กับปกหลังคำว่า “ตาย” แล้ว ก็ไม่มีตัวหนังสืออื่นอีกเลย แม้ ว่าเยี่ยเทียนจะพยายามปล่อยพลังจิตเข้าไปตรวจสอบ แต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ อยู่บนนั้น
“คุณเยี่ยครับ คุณเยี่ยอยู่ไหมครับ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะทำความเข้าใจคัมภีร์เล่มนี้อย่างละเอียด จู่ๆ เสียงตะโกนของกู้ต้าจวินก็ดังเข้ามา
“คุณเยี่ย ดูเหมือนโจวเซี่ยวเทียนจะบาดเจ็บหนัก กำลังสลบอยู่ แบบนี้…ต้องไปส่งโรงพยาบาลก่อนดีไหมครับ?”
“อะไรนะ? เซี่ยวเทียนบาดเจ็บหนัก?”
หลังจากได้ยินคำพูดของกู้ต้าจวินแล้ว เยี่ยเทียนจึงตื่นขึ้นทันที มือหนึ่งจับคัมภีร์ จากนั้นก็ลดตัวต่ำลง แล้วจึงกระโดดพรวดออกมาจากหน้าต่างที่แหลกละเอียด กู้ต้าจวินยังไม่ทันกระพริบตา เยี่ยเทียนก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาราวกับภูติผี
“อวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บหมดแล้ว ผมสะเพร่าเอง ตอนนั้นไม่ควรให้เซี่ยวเทียนอยู่ในห้อง!”
เยี่ยเทียนยื่นนิ้วมือขวาสองนิ้วออกมาแล้วตรวจไปยังชีพจรที่ข้อมือของโจวเซี่ยวเทียน หลังจากไม่กี่นาทีผ่านไป เขาจึงขมวดคิ้วขึ้นมา ตอนนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ตัวเขาเองจึงทุ่มไปที่การต้านทานแรงกดดันทั้งหมด โดยไม่ได้ตรวจดูสถานการณ์ของโจวเซี่ยวเทียนให้ละเอียด จึงคาดไม่ถึงว่าเขาจะบาดเจ็บหนักขนาดนี้
สถานการณ์ของร่างกายโจวเซี่ยวเทียนในเวลานี้ เหมือนกับถูกรถไฟชนอย่างรุนแรง อวัยวะภายในทั้งหมดล้วนได้ รับความเสียหาย และมีบางส่วนที่ทะลุ ถ้าหากร่างกายของโจวเซี่ยวเทียนไม่มีวรยุทธในระดับโฮ่วเทียนขึ้นสูงสุด กับพลังชีวิตและพลังฟื้นฟูที่แข็งแกร่งล่ะก็ เกรงว่าเขาน่าจะเสียชีวิตแล้ว
“ชีวิตไม่เป็นไร แต่บาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บ เกรงว่าจะมีความยากลำบากต่อการเลื่อนขั้นสู่ระดับเซียนเทียนในภายหลัง!”
จากนั้นเขาจึงนำยาวิเศษยัดเข้าไปในปากของโจวเซี่ยวเทียน แล้วเยี่ยเทียนก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น
ตอนที่ 913 คัมภีร์เป็นตาย (2)
ความจริงลำพังบาดแผลบนกายเนื้อสำหรับโจวเซี่ยวเทียน ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่ จิตรับรู้ของเขาแปรเปลี่ยนไปทางจิตดั้งเดิมเรียบร้อยแล้ว ปราณชีวิตในร่างกายส่วนใหญ่ก็กลับกลายเป็นปราณแท้ ขาดเพียงหนึ่งก้าวก็จะเข้าสู่ระดับเซียนเทียน ซึ่งสามารถดำเนินการฟื้นฟูบาดแผลด้วยตนเอง
แต่เยี่ยเทียนพบว่า ภายในร่างของโจวเซี่ยวเทียน คลับคล้ายยังมีพลังงานสีดำบางกลุ่มคับคั่งอยู่ ปริมาณของพลังงานชนิดนี้ถึงแม้เบาบาง แต่ก็อัดแน่นอยู่ในช่องท้องของโจวเซี่ยวเทียน นำไปสู่การฟื้นฟูอาการบาดเจ็บในส่วนนั้นอย่างเชื่องช้า และกระทั่งอาจทำให้บาดแผลแปรเปลี่ยนเป็นสภาพแย่ลง
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้? ทำไมภายในพลังงานชนิดนี้ถึงมีลมปราณแห่งความตายล่ะ?”
เยี่ยเทียนวางมือทาบลงบนหน้าอกของโจวเซี่ยวเทียน คิดใช้ปราณแท้ของตนเองช่วยขับไล่พลังงานสีดำกลุ่มนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนอดรนทนไม่ไหวคือความดื้อด้านของพลังงานเหล่านี้ ทันทีที่เผชิญกับปราณวิเศษของเยี่ยเทียน ก็เจาะเข้าสู่อวัยวะภายในส่วนลึกของโจวเซี่ยวเทียน
อวัยวะภายในเป็นจุดบอบบางอันตรายที่สุด และไม่อาจปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เยี่ยเทียนจึงไม่กล้าไล่เข้าไปลึก ด้วยกลัวจะเกิดผลกระทบต่อบาดแผลของลูกศิษย์
“อย่าว่าแต่ฝึกวิชาเลย หากเป็นแบบนี้ น่ากลัวว่าต่อให้เซี่ยวเทียนฟื้นขึ้นมาก็จะกลายเป็นคนพิการ!”
เยี่ยเทียนชักมือขวากลับอย่างเหลืออด ขณะที่มือซ้ายเกาหัวด้วยความเคยชิน กลับพบคัมภีร์เขียนตัวอักษรเป็นตายสองตัวเล่มนั้น ในหัวพลันเกิดแสงสว่างขึ้นมาแวบหนึ่ง “โบราณว่าแก้เงื่อนต้องใช้คนผูกเงื่อน เซี่ยวเทียนได้รับบาดเจ็บเพราะเจ้าของสิ่งนี้ บางทีคัมภีร์เล่มนี้อาจดูดซับปราณแห่งความตายจากในร่างกายของเขาได้”
คิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็มองไปทางกู้ต้าจวิน กล่าวว่า
“เหล่ากู้ ผมจะรักษาอาการบาดเจ็บให้เซี่ยวเทียน คุณส่งคนไปล้อมอาคารเล็กนี้ไว้ อย่าให้ใครก็ตามเข้ามารบกวนผมได้!”
คัมภีร์เป็นตายมีความพิลึกอย่างยิ่ง เยี่ยเทียนเองก็ไม่รู้ว่าถ้าตนเองใช้พลังทั้งหมดขับเคลื่อนมันจะเกิดอะไรขึ้น หากถึงเวลานั้นมีศัตรูเข้ามาโจมตี เขาคงไม่อาจเสียสมาธิ เลยต้องกำชับกู้ต้าจวินเอาไว้
“คุณเยี่ย เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังพูด โจวจี้หวาก็พุ่งเข้ามา เขาได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ทางการทูตจึงรู้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับเยี่ยเทียนทางนี้ พอมาถึงก็ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนเข้าพอดี จึงรีบร้อนพูดว่า
“คุณเยี่ย ที่ที่คุณอยู่กระจกแตกละเอียดหมด ถ้าหากต้องการที่เงียบสงบ มายังที่อยู่ของผมดีกว่าครับ!”
“หืม? งั้นก็ได้ ไปที่ของคุณ”
เยี่ยเทียนเงยหน้ามองเห็นโจวจี้หวากระพริบตาให้ตน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร แต่ก็ยังพยักหน้ารับคำ
ยื่นมือพยุงโจวเซี่ยวเทียน แล้วเยี่ยเทียนก็ตามหลังโจวจี้หวาเข้าไปยังที่พักฑูต ที่นี่ก็เป็นอาคารเล็กสองชั้นเช่นเดียวกัน แต่ว่าการตบแต่งภายในด้อยกว่าที่เยี่ยเทียนอยู่เล็กน้อย
หลังจากเข้าไปในอาคารเล็กแล้ว โจวจี้หวาก็ถอนหายใจออกมาอย่างชัดเจน กล่าวว่า “ภายในสถานฑูตนี่ไม่รู้ว่ามีกล้องวงจรปิดของเจ้าของประเทศติดอยู่กี่ตัว มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน คุณเยี่ยครับ คุณสามารถเข้าไปยังภายในห้องใต้ดินสถานฑูตเพื่อทำการรักษาคุณโจว…”
ถึงแม้จะมีคำพูดว่าสถานฑูตและกงศุลคือตัวแทนของประเทศ แต่เมื่ออยู่ในเขตแดนของประเทศอื่น ก็ยังต้องเผชิญกับข้อห้ามมากมาย แทบจะทุกสถานฑูตที่สามารถค้นเจอของประเภทเครื่องดักฟังมากมายจากบนตึกอาคารหรือสถานที่อื่นๆ ในทุกเดือน
แต่ว่าภายในสถานฑูตใหญ่ ก็มีการถอดตำแหน่งติดตั้งอุปกรณ์ประเภทเครื่องดักฟัง อีกทั้งด้านล่างอาคารเล็กยังมีห้องใต้ดินที่ครอบคลุมพื้นที่ไม่น้อย ซึ่งก่อสร้างโดยใช้คอนกรีตเสริมเหล็ก และยังมีความลึกลงไปใต้ดินถึงหลายสิบเมตร สามารถป้องกันแรงระเบิดหนักจากสงครามได้
“ที่นี่ไม่เลวเลย คุณโจวครับ พวกคุณออกไปกันก่อนเถอะ”
หลังจากลงใต้พื้นดินสิบกว่าเมตร เยี่ยเทียนก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ที่แห่งนี้กว้างประมาณยี่สิบกว่าตารางเมตร แบ่งเป็นสามห้อง ทั้งยังติดตั้งระบบควบคุมอุณหภูมิและถ่ายเทอากาศ แม้รั้งอยู่ใต้ดินนานจะไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย
นอกจากห้องรับแขกหนึ่งห้องแล้ว ภายในห้องอื่นอีกสองห้อง ยังกองไปด้วยของใช้ในชีวิตประจำวันมากมาย คิดว่าที่นี่คงเป็นสถานที่หลบภัยสำหรับเอกอัครราชทูต แต่ว่าสถานที่แห่งนี้เยี่ยเทียนมองดูก็ยังไม่นับว่าปลอดภัยนัก ในอดีตสมัยที่ประเทศอเมริการับมือกับยูโกสลาเวีย การ “ยิงระเบิดพลาด” ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทางการทูตเสียชีวิตไปไม่น้อย
แต่ว่าสำหรับเยี่ยเทียนแล้ว สถานที่แห่งนี้กลับเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะว่าหากมีใครเกิดจิตสังหารต่อเขาแล้วออกปฏิบัติการ เขาจะสามารถสัมผัสได้ทันที หากคิดจะขังเขาไว้ในสถานที่แห่งนี้ ก็ไม่ต่างจากความเพ้อเจ้อของคนโง่
หลังจากไล่โจวจี้หวาไปแล้ว เยี่ยเทียนก็วางโจวเซี่ยวเทียนลงบนเตียงเดี่ยวหลังหนึ่งตรงมุมห้องใต้ดิน สายตามองไปยังคัมภีร์เป็นตายในมือซ้าย
“ของชิ้นนี้ดูดซึมปราณวิเศษในรัศมีหลายร้อยลี้ใกล้ๆ นี่จนเกือบหมด จะต้องมีผลลัพธ์บางอย่างที่เราไม่รู้แน่นอน บาดแผลของเซี่ยวเทียน เกรงว่าน่าจะเกิดจากบนตัวมัน”
เยี่ยเทียนพึมพำอยู่สักครู่ ส่งปราณแท้ในร่างกายไปสู่หน้าสมุด เมื่อปราณแท้ไหลเข้าไป คัมภีร์เป็นตายราวกับถูกถูกจุดแสงสว่างบนผิวหน้า ทั่วทั้งเล่มส่งแสงสีดำขาวสองสี สีขาวทำให้คนเห็นอบอุ่นเบาสบาย ทว่าสีดำออกจะพิสดารยากคาดเดา
“ทำไมถึงไม่มีผลลัพธ์อื่นแล้วล่ะ? เพียงตัวอักษรเป็นไม่ใช่ว่าสามารถปลดปล่อยปราณวิเศษพลังชีวิตที่กักเก็บอยู่ได้แล้วเหรอ?”
มองไปยังคัมภีร์เป็นตายที่ส่องแสงสองสีแล้ว เยี่ยเทียนก็เพิ่มปราณแท้ส่งเข้าไปมากขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้เขาเหนื่อยใจก็คือ ไม่ว่าจะส่งปราณวิเศษเข้าไปในหนังสือเท่าไหร่ คัมภีร์เป็นตายก็ยังคงส่องแสงสองสีนี้เท่านั้น แต่กลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย
“ให้ตายสิ ไม่มีประโยชน์อะไร แล้วจะเอาแกไว้ทำไม?”
เยี่ยเทียนออกจะโมโหขึ้นมา ถึงแม้รู้ว่าด้วยวรยุทธ์ของเขาจะฉีกทึ้งหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ แต่ก็ยังอดดึงคัมภีร์เป็นตายเล่มนี้ไม่ได้อยู่ดี แต่ขณะที่มือขวาของเขาผละจากหนังสือ สายตาก็กลับจ้องนิ่ง นั่นเพราะบนหน้ากระดาษสีขาว มีร่องรอยสีดำยาวหนึ่งเส้น ราวกับหมึกดำจากความเผลอเรอเปรอะเปื้อนอยู่บนผิว
“หรือว่าจะสามารถเขียนข้างบนได้?”
เยี่ยเทียนตกตะลึงไปชั่วครู่ จนลืมส่งปราณวิเศษเข้าไปยังคัมภีร์เป็นตายต่อ และรอยบนหน้ากระดาษขาว ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเลือนราง ชั่ววินาทีหลังจากนั้น กระดาษขาวก็ฟื้นคืนสภาพเดิม
แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ กลับทำให้เยี่ยเทียนสะดุดใจ ส่งปราณวิเศษลงไปยังคัมภีร์เป็นตายต่อทันที หลังจากคัมภีร์เป็นตายส่องแสงออกมาแล้ว ก็รีบส่งปราณแท้รินไหลไปยังนิ้วชี้มือขวา เขียนอักษรสามตัวว่า “โจวเซี่ยวเทียน” ลงบนหน้ากระดาษขาวนั้น
“เฮ้ย? อย่าสูบปราณวิเศษฉันสิ?”
หลังจากที่เยี่ยเทียนเขียนชื่อโจวเซี่ยวเทียนเสร็จ เขาก็พลันพบว่า ปราณวิเศษภายในร่างกายไหลราวสายน้ำเชี่ยวกรากสู่ภายในคัมภีร์เป็นตายเล่มนั้น เพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ปราณแท้ภายในร่างเยี่ยเทียนที่ฝึกฝนมาอย่างยากลำบากก็หายไปเกือบครึ่ง
“ให้ตาย นี่จะทำอะไรเนี่ย? อย่าทำให้ตกใจได้มั้ย?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังคิดจะชักนิ้วชี้กลับ แรงดึงดูดมหาศาลบนหน้าคัมภีร์เป็นตายก็หยุดลงกะทันหัน
“หือ? นี่มันคือพลังแห่งการเกิด!”
จากนั้น เยี่ยเทียนก็พบคลื่นพลังชีวิตแผ่ออกมาจากคัมภีร์เป็นตาย พลังแห่งการเกิดรินไหลเป็นสายเข้าสู่ภายในร่างโจวเซี่ยวเทียนที่นอนอยู่บนเตียง คลื่นพลังแห่งการเกิดชนิดนี้เลือนรางอย่างยิ่ง ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่ได้มีสายสัมพันธ์บางอย่างกับคัมภีร์เป็นตายเล่มนี้ เขาก็คงไม่อาจสัมผัสได้ถึงคลื่นนี้
“ท่านอาจารย์ ผมเป็นอะไรไปครับ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังตรวจสอบคลื่นที่แผ่ออกมาอย่างระมัดระวัง เสียงครางก็ดังขึ้น โจวเซี่ยวเทียนที่นอนอยู่บนเตียงลืมตา พอได้กลิ่นเหม็นคาวจากร่างตัวเอง ก็ย่นจมูกพูดว่า
“ท่านอาจารย์ หนังสือเล่มนั้นพิลึกเหลือเกิน ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“แกอย่าเพิ่งขยับ ขอฉันตรวจร่างกายแกก่อน”
เยี่ยเทียนเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว กดตัวโจวเซี่ยวเทียนที่คิดจะลุกขึ้น หลังจากส่งกระแสจิตเข้าไปในร่างโจวเซี่ยวเทียนแล้ว ใบหน้าเดิมไร้อารมณ์ของเยี่ยเทียน ก็ค่อยๆ สดใสขึ้นมา ความสงสัยไม่คลายบางส่วนก่อนหน้า พลันเผยเป็นสีหน้าอันปีติยินดี
“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันเข้าใจคามหมายของอักษรเป็นตายสองตัวนี้แล้ว ฮ่าๆ ๆ!”
เยี่ยเทียนปล่อยมือขวาที่กดตัวโจวเซี่ยวเทียนไว้ เงยหน้าขึ้นหัวเราะออกมาด้วยเสียงดังจนเกือบบ้าคลั่ง เสียงจึงสะท้อนกลับไปมาทั่วทั้งห้องใต้ดินไม่หยุด จนฝุ่นที่เกาะตรงมุมห้อง ร่วงหล่นลงมาดัง “ซู่”
“ท่านอาจารย์ ท่านเข้าใจอะไรเหรอครับ? เป็นตายนี่ก็แปลว่าเป็นตาย ยังมีความหมายใดอื่นอีกเหรอ?”
โจวเซี่ยวเทียนไม่เคยเห็นอาจารย์ตื่นเต้นดีใจขนาดนี้มาก่อน จึงถามขึ้นด้วยความกังวล
“ท่านอาจารย์ เมื่อครู่ท่านเพิ่งต้านทานแรงกดดันกลุ่มนั้น คงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรใช่ไหมครับ?”
“ฉันสบายดีกว่าตอนไหนๆ ทั้งนั้น!”
ฝ่ามือของเยี่ยเทียนตบลงบนหัวโจวเซี่ยวเทียน ตอบว่า “เซี่ยวเทียน คราวนี้พวกเราได้ของล้ำค่าแล้วล่ะ”
“ของล้ำค่า? ท่านอาจารย์ ท่านหมายถึงบันทึกเล่มนี้เหรอครับ?”
โจวเซี่ยวเทียนเองก็มองไปยังหนังสือเล่มนั้นที่โบกไปมาในมือซ้ายของเยี่ยเทียน ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ท่านอาจารย์ หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ภาพดันหลังสักหน่อย มันมีประโยชน์อะไรอื่นอีกเหรอครับ?”
“ประโยชน์อื่นๆ เหรอ? ประโยชน์มหาศาลเลยล่ะ!”
เยี่ยเทียนเหยียดริมฝีปาก กล่าวว่า
“ก่อนหน้านี้ แกได้รับบาดเจ็บที่อวัยวะภายในทั้งห้า หากไม่ใช้เวลาสองสามปีคงยากจะฟื้นตัวได้ ตอนนี้แกลองใช้ปราณชีวิตแท้ตรวจสอบภายในร่างกายให้ครบถ้วนเสียสิ ดูว่าบาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ผมบาดเจ็บหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?”
โจวเซี่ยวเทียนปิดตาลงอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ผ่านไปหลายนาที ก็ลืมสองตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา
“ท่านอาจารย์ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ภายในร่างกายของผมไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลย แถมรู้สึกว่าพลังจิตยังเปี่ยมพลังยิ่งกว่าเดิมมากทีเดียว สามารถเข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้ทุกเวลา”
โจวเซี่ยวเทียนผู้ไม่เคยสงสัยในคำพูดของเยี่ยเทียน เมื่ออาจารย์บอกว่าตนเองได้รับบาดเจ็บหนัก ก็ต้องเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องบาดแผลฟื้นคืนสภาพ แต่วิทยายุทธ์ยังพัฒนา นั่นยอมเกิดเรื่องอะไรบางอย่างที่ตนเองไม่เข้าใจอย่างแน่นอน
“เป็นฝีมือของหนังสือเล่มนี้ทั้งสิ้น!”
ใบหน้าของเยี่ยเทียนฉายรอยยิ้ม กล่าวว่า
“ขอเพียงใช้ปราณแท้เขียนตัวอักษรลงบนหน้าสมุดเล่มนี้ มันจะส่งพลังแห่งการเกิดได้ อาการบาดเจ็บเมื่อครู่ของแกล้วนถูกมันรักษาจนหายดี แกว่า…มันถือเป็นของล้ำค่าหรือเปล่าล่ะ?”
การเวียนว่ายตายเกิด เป็นเรื่องลึกลับที่สุดในโลก ต่อให้เยี่ยเทียนเข้าสู่ระดับเจี่ยตัน เขาก็ยังไม่สามารถฝึกฝนจนหลุดพ้นพลังเป็นตายสองอย่างนี้ แต่บันทึกเล่มนี้กลับสามารถทำให้ปราณแท้ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นพลังแห่งการเกิด จึงนับว่าเป็นกลไกฝ่าฝืนสวรรค์โดยแท้จริง
“ขลังขนาดนี้เชียว?”
โจวเซี่ยวเทียนอดใช้มือลูบลงบนหน้าสมุดไม่ได้ พลันได้สติขึ้นมา ชี้บนหน้ากระดาษสีดำ พูดติดๆ ขัดๆ ว่า
“ท่านอาจารย์ หรือ…หรือว่าสีดำนี่จะสามารถแผ่พลังแห่งความตายออกมาได้? งั้นเจ้าสิ่งนี้ก็ต้องเรียกว่าคัมภีร์เป็นตายน่ะสิ!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น