ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 910-911

 ตอนที่ 910 ขู่บังคับ

 

“ออกมา ไม่ต้องซ่อนแล้ว!”


บุรุษชุดเทาคนหนึ่งยกมือขึ้นในทันใด เขาดีดนิ้วเบาๆ สายลมสีดำที่หมุนเป็นเกลียวลูกหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่าแล้วซัดมายังต้นไม้ใหญ่ที่หลิ่วหมิงซ่อนตัวอยู่


เสียงเปรี้ยงดังขึ้นครั้งหนึ่ง


พริบตานั้นที่ต้นไม้ใหญ่แห้งเหี่ยวสัมผัสถูกสายลมสีดำรูปเกลียว มันก็ถูกระเบิดกระจายกลายเป็นเศษไม้เต็มท้องฟ้า


เงาดำร่างหนึ่งถอยพรวดออกมาจากเศษไม้เต็มฟ้า หลิ่วหมิงนั่นเอง!


หลิ่วหมิงพลิกมือข้างหนึ่ง ในมือมีโล่สีเหลืองแผ่นหนึ่งปรากฏออกมาในทันใด พร้อมกันนั้นในใจก็ขบคิดรวดเร็ววิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันตรงหน้า


มนุษย์ปีศาจกลุ่มนี้เห็นชัดว่ามุ่งมาหาเขา หากอาศัยลูกเล่นของเขาจัดการแค่คนสองคนหรือสักสามสี่คน เขาก็ยังพอมีความมั่นใจอยู่ แต่หากต้องรับมือกับมนุษย์ปีศาจแข็งแกร่งเจ็ดคนในคราวเดียวคงลำบากมากจริงๆ


ขณะที่หลิ่วหมิงใคร่ครวญอยู่ในใจนี่เอง ทันใดนั้นบุรุษชุดเทาที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก็พลันเอ่ยปากขึ้นมา


“เจ้าสังหารคนของเผ่าข้าคนหนึ่งด้วยพลังของตนเองเพียงลำพัง คิดว่าเจ้าก็คงไม่ใช่คนธรรมดา! แต่ไม่เป็นไร พวกเราทั้งหลายไม่ได้มาตามหาเจ้าเพื่อแก้แค้น แต่เพราะหวังว่าเจ้าจะร่วมมือกับพวกเราเอาของบางสิ่งออกมาจากซากโบราณสถานแห่งหนึ่งใกล้ๆ นี้ หลังเสร็จธุระย่อมมีผลประโยชน์มอบให้เจ้า”


คำพูดของมนุษย์ปีศาจผู้นี้ทำให้หลิ่วหมิงที่เดิมทีกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าควรจะรับมืออย่างไรอดไม่ได้อึ้งไปเล็กน้อย


ในเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเช่นนั้น ถ้าเช่นนั้นก็เห็นชัดว่าพวกเขาไม่ใช่พวกเดียวกับมนุษย์ปีศาจที่เขาสังหารไปก่อนหน้านี้


คิดดูแล้วก็คงใช่ แผ่นดินว่านหมัวพื้นที่กว้างใหญ่ไม่เป็นรองแผ่นดินจงเทียน กลุ่มอำนาจของมนุษย์ปีศาจที่เข้ามายังเศษซากของโลกบนคงจะไม่ได้มีเพียงกลุ่มเดียวแน่


“ร่วมมือหรือ? มนุษย์กับมารอยู่กันคนละฝั่ง ท่านกำลังพูดเล่นอยู่หรือ?” หลิ่วหมิงครุ่นคิดในใจอย่างรวดเร็วแล้วตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“ไยจะร่วมมือกันไม่ได้เล่า? ฮึๆ ในเศษซากโลกบนแห่งนี้ไม่เหมือนกับโลกมนุษย์ การร่วมมือกันระหว่างเผ่ามนุษย์ของพวกเจ้ากับเผ่าของเราก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ครั้งนี้พวกเรามาตามหาเจ้าก็เพราะค้นพบว่าสหายชำนาญวิชาลับภาพสัญลักษณ์ซึ่งสามารถช่วยพวกเราทำลายชั้นจำกัดของซากโบราณสถานแห่งนั้นได้ง่าย แน่นอนหากไม่ตอบรับก็ได้ แต่ถึงเวลานั้นพวกเราก็คิดเหตุผลที่จะปล่อยสหายไปไม่ออก” บุรุษชุดเทาผู้นั้นเอ่ยอย่างนิ่งสงบ แต่อีกหกคนที่เหลือข้างกายเขาล้วนมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก ท่าทางประหนึ่งไม่ยินยอมให้เขาปฏิเสธ


หลิ่วหมิงได้ฟัง ในใจก็พรั่นพรึง


ด้วยนิสัยของเขาย่อมไม่มีทางเชื่อวาจาของมนุษย์ปีศาจเหล่านี้ง่ายๆ ทว่าในสถานการณ์ที่ศัตรูแข็งแกร่งตนเองอ่อนแอและถูกมนุษย์ปีศาจทั้งหลายจับจ้องมาดร้ายอยู่เช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะไม่มีช่องว่างให้เขาปฏิเสธ


“ต่อให้สิ่งที่เจ้าพูดครึ่งแรกเป็นเรื่องจริง ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหลังเสร็จงานพวกเจ้าจะกลับคำหรือไม่! หากเป็นเช่นนั้น ผู้แซ่หลิ่วยินดีลงมือสู้กันตอนนี้ดีกว่าช่วยให้พวกเจ้าได้สมบัติล้ำค่าไป” หลิ่วหมิงยังคงเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


“ฮ่าๆ ได้ยินมาว่าเผ่ามนุษย์หวาดระแวงเสมอ ไม่ผิดจริงๆ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราจะให้สัตย์สาบานต่อนามของจอมมารตรงนี้ ไม่ตระบัดสัตย์เด็ดขาด” บุรุษชุดเทาที่เป็นหัวหน้าขมวดคิ้วครู่หนึ่งก็เอ่ยเช่นนี้ออกมาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย


“นามของจอมมาร”


หลิ่วหมิงได้ยินคำนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปมากในทันที


จากที่เขารู้มาในคัมภีร์ ‘จอมมาร’ ที่ว่านี้ย่อมหมายถึงราชาแห่งเผ่ามารที่รุกรานโลกมนุษย์ในยุคโบราณ กล่าวกันว่าเขาทรงพลังบุกตะลุยไปหลากหลายโลกจนเป็นผู้ที่น่าหวาดกลัวประหนึ่งเทพมารที่แท้จริง


ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามารในยุคโบราณหรือมนุษย์ปีศาจของแผ่นดินว่านหมัวในยามนี้ล้วนมองเขาเป็นที่พึ่งทางจิตใจมาตลอด


ดังนั้นไม่ว่าเผ่ามารหรือมนุษย์ปีศาจเมื่อสาบานต่อนามของจอมมาร ย่อมเป็นคำสาบานที่จริงจังอย่างที่สุด น้อยคนนักจะกล้ากลับคำ


“ได้ หากพวกเจ้าสาบานต่อนามแห่งจอมมารจริง ข้าก็คงไม่เชื่อไม่ได้” หลังจากหลิ่วหมิงขบคิดอย่างรวดเร็วก็กัดฟันเอ่ยขึ้น


“ดีมาก หวังว่าท่านจะจำคำนี้ไว้” คนชุดเทาที่เป็นหัวหน้าหัวเราะร่า แล้วขยับแขนครั้งหนึ่งกรีดข้อมืออีกข้างหนึ่งทันที หลังจากเลือดสีดำแดงไหลรินลงมา เขาก็สาบานหนักแน่นต่อนามแห่งจอมมาร สัญญาว่าหากผิดต่อคำสาบานนี้ ตนเองจะกลายเป็นเครื่องสังเวยแด่จอมมาร


มนุษย์ปีศาจชุดเทาหกคนที่เหลือข้างกายเขาก็สาบานหนักแน่นต่อนามแห่งจอมมารอย่างพร้อมเพรียงเช่นเดียวกัน


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็อึมครึม ครู่หนึ่งให้หลังถึงอ้าปากเอ่ยอีกว่า


“ในเมื่อข้ารับปากจะเคลื่อนไหวด้วยกันกับพวกเจ้าแล้ว ตอนนี้ก็บอกข้าได้แล้วกระมังว่าในซาก โบราณสถานมีสมบัติอันใดอยู่แล้วจะแบ่งผลประโยชน์ด้านในกันอย่างไร ข้าหวังว่าจะตกลงเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อน”


“ได้! สหายตรงไปตรงมาดี! แต่อันที่จริงเรื่องสมบัติในซากโบราณสถานแห่งนี้ข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะบอกเช่นกัน พวกเรารู้เพียงว่าด้านในมีสมบัติล้ำค่ามากมาย แต่ไม่ทราบว่าแท้จริงเป็นสิ่งใด ส่วนจะแบ่งสรรอย่างไร ในเมื่อพวกเรามีเจ็ดคน เจ้าคนเดียว ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เอาไปหนึ่งในแปดส่วน คงไม่นับว่าเอาเปรียบเจ้า” บุรุษชุดเทาที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้นเชื่องช้า


“หนึ่งในแปดส่วนน้อยเกินไปสักหน่อย! ข้าต้องการหนึ่งในสามส่วน”


ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นฝั่งเสนอให้ร่วมมือย่อมบ่งบอกว่าต้องการตนจริงๆ หลังจากใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งหลิ่วหมิงจึงต่อรองราคาอย่างใจกล้า


“หนึ่งในสามออกจะมากเกินไปกระมัง! ข้าตัดสินใจ ยอมให้เจ้าหนึ่งในสี่ส่วนเป็นอย่างไร มากกว่านี้ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด” สองตาสีฟ้าครามของบุรุษชุดเทาทอแสงเจิดจ้าวูบหนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากเช่นนี้


มนุษย์ปีศาจอีกหกคนข้างตัวเขาก็พากันพยักหน้า มองหลิ่วหมิงด้วยสายตาเย็นชาเช่นเดียวกัน


“ได้ ถ้าเช่นนั้นก็หนึ่งในสี่!” หลังจากหลิ่วหมิงใคร่ครวญเล็กน้อยก็ตอบตกลง


“ดียิ่ง งานไม่สมควรชักช้า ถ้าเช่นนั้นก็ตามพวกเรามาเถอะ!”


บุรุษชุดเทาที่เป็นหัวหน้าแสดงสีหน้าพึงพอใจแล้วสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง ปราณดำที่พลุ่งพล่านทั่วร่างลุกโหมขึ้นมา


ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเมฆมารก้อนใหญ่ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศล้อมคนทั้งหมดไว้ด้านใน สายลมแรงสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าไปทางทิศตะวันออก


ด้านในเมฆมารหลิ่วหมิงรักษาระยะห่างจากมนุษย์ปีศาจทั้งหลายอย่างตั้งใจแต่ก็เหมือนไม่ได้ตั้งใจ


แม้จะสาบานต่อจอมมารแล้ว อีกทั้งก่อนหน้าเข้าไปในซากโบราณสถาน คนเหล่านี้ไม่น่าจะบุ่มบ่ามลงมือกับเขา แต่เรื่องใดๆ ก็ตามระวังไว้ก่อนย่อมเป็นดี


บุรุษชุดเทาที่เป็นหัวหน้ากลับแปลกใจอยู่บ้างเมื่อหลิ่วหมิงอยู่ในเมฆมารแต่กลับไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย เขาจึงถามขึ้นมาเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่าก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงเคยฝึกฝนวิชามารหรือไม่


เรื่องนี้หลิ่วหมิงย่อมหัวเราะกลบเกลื่อนไป นอกจากยอมรับว่าตนเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ตอนเขาจี้ถามซ้ำไปมาก็ไม่เปิดเผยอะไรอย่างอื่นอีก


แน่นอนหลิ่วหมิงย่อมไม่ปล่อยโอกาสไปเช่นกัน เขาสืบถามข้อมูลเกี่ยวกับแผ่นดินว่านหมัวและมนุษย์ปีศาจจากบุรุษชุดเทาผู้นี้ บุรุษชุดเทาผู้นี้ก็คล้ายไม่มีสิ่งใดปิดบัง บอกเล่าให้หลิ่วหมิงฟังอย่างเปิดเผย


แท้จริงแล้วแผ่นดินว่านหมัวในตำนานซึ่งมีชื่อเสียงเคียงคู่กับแผ่นดินจงเทียนแห่งนี้มีจุดที่แตกต่างจากแผ่นดินจงเทียนมากมาย สิ่งที่เด่นชัดที่สุดจุดหนึ่งก็คือมนุษย์ปีศาจบนแผ่นดินแห่งนั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนกันถ้วนหน้า หรือก็คือทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกฝนสายปีศาจ


ส่วนไอปีศาจแท้ที่มีค่าอย่างที่สุดสำหรับวิชามาร กระทั่งบนแผ่นดินว่านหมัวเองก็ยังเป็นสิ่งที่หายากและล้ำค่าอย่างยิ่ง ทว่าเทียบกับบนแผ่นดินจงเทียนที่ไอปีศาจแท้แทบจะสาบสูญไปแล้ว ที่นั่นยังมีช่องทางไม่น้อยที่จะหามาได้


เพราะบนแผ่นดินว่านหมัวมี ‘แหล่งกำเนิดมาร’ ซึ่งเป็นหลุมลึกไร้ก้นขนาดใหญ่น้อยกระจายอยู่ทั่วดุจเม็ดหมากบนกระดาน แหล่งกำเนิดมารแต่ละแห่งล้วนมีไอปีศาจผุดออกมาไม่หมดไม่สิ้น ในหมู่ไอมารที่ออกมาจากแหล่งกำเนิดมาร จะมีไอปีศาจแท้จำนวนหนึ่งซึ่งระดับความบริสุทธิ์แตกต่างกันไปแทรกอยู่


แหล่งกำเนิดมารที่สร้างไอปีศาจแท้ออกมาเหล่านี้เรียกกันว่า ‘แหล่งกำเนิดมารแท้’ เรียกได้ว่าล้ำค่ายิ่งนัก


กลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ บนแผ่นดินว่านหมัวล้วนใช้แหล่งกำเนิดมารเหล่านี้เป็นรากฐานเพิ่มพูนพลัง ยิ่งครอบครองแหล่งกำเนิดมารแท้มากก็ยิ่งแสดงว่ากลุ่มอำนาจแห่งนั้นแข็งแกร่ง


นอกจากนี้สิ่งที่มนุษย์ปีศาจกับเผ่ามนุษย์แตกต่างกันก็คือพวกเขาให้ความสำคัญกับสายเลือดอย่างยิ่ง ในกลุ่มอำนาจแต่ละแห่งมีเพียงสายเลือดบริสุทธิ์หรือผู้ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุดเท่านั้นจึงจะมีโอกาสเข้าไปฝึกฝนดูดซับไอปีศาจแท้ที่ผุดออกมาไม่ขาดสายจากแหล่งกำเนิดมาร


ส่วนมนุษย์ปีศาจที่พรสวรรค์ย่ำแย่ที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนต้องฝึกฝนกับไอปีศาจธรรมดา แน่นอนบางครั้งหากทำภารกิจของนิกายบางประการสำเร็จหรือบางครั้งอยู่ในตลาดก็มีโอกาสแลกไอปีศาจแท้มาได้เช่นกัน แต่ใช้ฝึกฝนก็มักจะน้อยเกินไป


หลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ ในใจก็อดไม่ได้สะเทือนใจอยู่บ้าง การแบ่งแยกระหว่างศิษย์แกนนำกับศิษย์ธรรมดาของแผ่นดินว่านหมัวแห่งนี้คล้ายศิษย์สายนอกกับศิษย์สายในของนิกายบนแผ่นดินจงเทียนอยู่บ้าง แต่หากถูกจัดไปเป็นศิษย์วงนอกเพราะพรสวรรค์กับสายเลือด คิดว่าโอกาสจะพลิกชะตาก็คงเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ


ในเวลาเดียวกันเขาก็อดไม่ได้คิดไปถึงมนุษย์ปีศาจเหล่านั้นที่ถูกขังอยู่ในฟองอากาศลึกลับ ในใจก็รู้สึกว้าวุ่นเล็กน้อย


ทั้งสองคนสนทนาถามตอบเรื่องราวบนแผ่นดินของแต่ละคนเช่นนี้ ส่วนมนุษย์ปีศาจหกคนที่เหลือกลับทำประหนึ่งไม่ได้ยินสิ่งเหล่านี้ แต่ละคนสนใจแต่จะหลับตาทำสมาธิ


แม้หลิ่วหมิงดูเหมือนจะสนทนากับบุรุษชุดเทาผู้นี้อย่างสนุกสนาน แต่จิตสัมผัสกลับไม่ผ่อนคลายลงเลย ตั้งแต่ต้นจนจบสังเกตความเปลี่ยนแปลงรอบด้านอยู่ตลอด


สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือตลอดทางที่เมฆมารก้อนนี้ผ่าน ปีศาจอสูรแต่ละชนิดล้วนหลบแทบไม่ทัน ไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่น้อย


เวลาเกือบครึ่งวันผ่านไปเร็วเหมือนชั่วพริบตา คณะเดินทางก็มาถึงเขตที่ไม่รู้จักแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่งนัก


เมื่อเมฆมารสลายไป ในที่สุดหลิ่วหมิงก็มองเห็นทิวทัศน์เบื้องหน้าชัดเจน


สิ่งที่สะท้อนเข้าสู่ม่านตาก็คือที่ราบกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง บนผืนดินสีเหลืองนอกจากยอดเขาสูงพันกว่าจั้งลูกหนึ่งก็คือถ้ำมหึมาสีดำสนิทแห่งหนึ่งตรงตีนเขาซึ่งราวกับจะเชื่อมลงไปลึกใต้ดิน รอบถ้ำมีร่องรอยการโจมตีนานาชนิดสะเปะสะปะ


“ถึงกับมีคนชิงเข้าไปด้านในก่อนก้าวหนึ่งแล้วรึ! แต่เหมือนจะเข้าไปได้ไม่นานนัก พวกเราไป!” บุรุษชุดเทาที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นมีสีหน้าตกตะลึงและโกรธเกรี้ยวเล็กน้อย เขาหันกลับมาพูดกับหลิ่วหมิงประโยคหนึ่งแล้วปราณดำทั่วร่างก็หอบเขาเหาะเข้าปากถ้ำไปทันที


หลิ่วหมิงสำรวจร่องรอยที่เป็นร่องลึกยาวร้อยกว่าจั้งเส้นหนึ่งใกล้ยอดเขาอย่างละเอียด จากนั้นหางตาก็กระตุกเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้


เห็นชัดว่าปากถ้ำแห่งนี้เดิมทีถูกทับอยู่ใต้เขาลูกนี้ แต่ตอนนี้ถูกคนใช้กำลังเปิดออกอย่างง่ายดาย เห็นได้ว่าพละกำลังของผู้ที่ลงมือช่างมหาศาล


“สหายยังรอสิ่งใด พวกเราก็เข้าไปเถิด”


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังตกตะลึงอยู่นั้น ด้านหลังก็มีเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น มนุษย์ปีศาจชุดเทาที่เหลืออยู่คนหนึ่งเอ่ยปากขึ้นมา


หลิ่วหมิงหันกลับไปมองมนุษย์ปีศาจที่เอ่ยวาจาครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงแค่นเสียงหยันแผ่วเบา ร่างกายพุ่งเข้าไปในถ้ำใหญ่ด้านล่างทันที


มนุษย์ปีศาจชุดเทาหกคนที่เหลือย่อมตามลงมาติดๆ

 

 

 


ตอนที่ 911 หญิงสาวผู้ห่มอาภรณ์เต้นรำ

 

ด้านในถ้ำใต้ดินคือทางเดินและบันไดหินคดเคี้ยวที่ทอดยาวลงไปเบื้องล่าง มันลึกกว่าที่คาดคิดไว้มากนัก


หลิ่วหมิงเดินไปราวหนึ่งมื้ออาหารจึงเดินมาสุดขั้นบันไดหิน เมื่อเบื้องหน้าสว่างขึ้น ถ้ำใต้ดินใหญ่หลายหมู่แห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า


ลึกเข้าไปในถ้ำมองเห็นทางเดินหินสีเทาเส้นเล็กกว้างหนึ่งจั้งกว่าเส้นหนึ่งที่ไม่รู้มุ่งไปที่ใดอยู่เลือนราง ผนังถ้ำสองฝั่งคือก้อนหินระเกะระกะจำนวนหนึ่งกับพืชสีแดงที่สูงต่ำไม่เท่ากันอีกหลายต้น


ไม่รู้เหตุใดภายในถ้ำจึงมีแสงเรืองรองสีเขียวอ่อนปกคลุมอยู่ พวกมันสะท้อนบนพื้นถ้ำกลายเป็นลวดลายที่ส่องสว่าง หากไม่ได้เดินผ่านทางเดินหินลึกเช่นนั้นมาก่อนหน้านี้ คงไม่รู้สึกสักนิดว่าตนเองอยู่ลึกลงมาใต้ดินหลายร้อยจั้ง


หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เดินต่อไปตามทางเดินหินสีเทาเส้นเล็กเบื้องหน้า


ทางเส้นเล็กไม่ยาวนัก เขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็เดินมาจนสุดทาง


มนุษย์ปีศาจชุดสีเทาผู้เป็นหัวหน้าที่ลงมาก่อนกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าประตูหินสีน้ำเงินที่ถูกทำลายบานหนึ่งสุดทางเดินเส้นเล็ก และกำลังสำรวจอะไรบางอย่างอยู่


ประตูหินสูงสามถึงสี่จั้ง กว้างราวสองจั้ง ตรงกลางถูกทำลายจนเป็นรูขนาดใหญ่หนึ่งจั้งกว่า  ด้านบนส่วนที่เหลือยังเห็นลวดลายจิตวิญญาณรูปวงแหวนมากมายไม่น้อยได้อยู่ มันมีมากถึงเจ็ดวง เพียงแต่เวลานี้หมดสิ้นพลังจิตวิญญาณแล้ว


มนุษย์ปีศาจที่เป็นหัวหน้ากำลังใช้มือลูบลวดลายจิตวิญญาณรูปวงแหวนบนประตูเหล่านี้ ไอหมอกสีขาวเจือจางสายหนึ่งวนเวียนอยู่ตรงปลายนิ้วของเขา


ทันใดนั้นมนุษย์ปีศาจผู้นี้ก็ยกมือขึ้นมาไว้ตรงปลายจมูกเพื่อสูดดมกลิ่น คล้ายกับค้นพบอะไรบางอย่าง เขาไม่พูดกับหลิ่วหมิงแต่พุ่งทะลุผ่านจุดที่เสียหายของประตูหินไปทันที


หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายก็ขยับไม่กี่หนปรากฏตัวเบื้องหน้าประตูหินบ้าง สายตาเพ่งมองประเมินอยู่ครู่หนึ่งเช่นเดียวกัน


“เอ๋ นี่มัน…ชั้นจำกัดเจ็ดห่วงโซ่!”


ระหว่างลวดลายจิตวิญญาณรูปห่วงเจ็ดวงนั่นบนประตูยักษ์สีน้ำเงินเป็นร่องตื้นมากมายพาดตัดสลับกันซับซ้อน แต่ละวงซ้อนกันอยู่อย่างลี้ลับยิ่งนัก หากไม่ได้สำรวจอย่างละเอียดในระยะใกล้เช่นนี้แต่มองจากไกลๆ คงไม่สังเกตเห็นสักนิด


หลิ่วหมิงเคยอ่านตำราค่ายกลในหอเก็บคัมภีร์แล้วพบคำบอกเล่าเกี่ยวกับชั้นจำกัดโบราณชนิดนี้โดยบังเอิญ ค่ายกลนี้ประกอบไปด้วยชั้นจำกัดขนาดเล็กเจ็ดชั้น แต่เนื่องจากระหว่างชั้นจำกัดเจ็ดชั้นเชื่อมต่อถึงกันและสนับสนุนกันอยู่ ด้วยเหตุนี้พลังป้องกันจึงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง มีเพียงผู้ที่ชำนาญค่ายกลเท่านั้นจึงจะแก้ความสัมพันธ์ระหว่างห่วงเจ็ดวงนี้แล้วทลายไปทีละวงตามลำดับที่กำหนดไว้ได้


หากมีคนคิดจะใช้กำลังหักหาญทำลายมัน เกรงว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ก็ไม่ใช่จะทำได้ในชั่วครู่ชั่วยาม


ทว่าตอนนี้ประตูบานนี้ถูกคนใช้กำลังโจมตีจนเปิดออก นอกจากนี้ดูจากร่องรอยและปราณที่หลงเหลืออยู่บนพื้นผิวก็เหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานก่อนหน้านี้ ทั้งยังลงมือทำลายเพียงคนเดียวอีกด้วย


“น่าสนใจทีเดียว ดูท่าคนที่เข้ามาที่แห่งนี้ก่อนคงไม่ธรรมดา” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยออกมาเช่นนี้


เขาไม่รอให้มนุษย์ปีศาจคนอื่นด้านหลังเอ่ยเร่งก็ขยับพุ่งเข้าไปในประตูหินเช่นกัน


เสียงแหวกอากาศ “ฟึบ” “ฟึบ” ดังขึ้นต่อเนื่อง


มนุษย์ปีศาจหกคนที่เหลือพากันขยับร่างพุ่งทะลุผ่านรูบนประตูตามหลิ่วหมิงไปติดๆ เช่นเดียวกัน


เห็นชัดมากว่าที่มนุษย์ปีศาจเหล่านี้ตามติดหลิ่วหมิงไม่ห่างสักก้าวก็เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเปลี่ยนใจหนีไประหว่างทาง


เบื้องหลังประตูหินคือสถานที่ซึ่งดูเหมือนตำหนักใต้ดินแห่งหนึ่ง สิ่งแรกที่พบคือทางเดินยาวขนาบด้วยสายน้ำเส้นหนึ่ง สองฟากฝั่งของทางเดินคือม่านน้ำตกหินสีดำที่รูปแบบแลดูขัดกันยิ่งนักทอดยาวไปจนสุดปลายเบื้องหน้า กลางม่านน้ำตกสองฝั่งมีธารน้ำพุใสไหลร่วงลงมากระทบหินสีดำสูงต่ำไม่เท่ากันเบื้องล่างเกิดหยาดน้ำกระเซ็นแถบแล้วแถบเล่าไม่หยุด จุดที่หยาดน้ำสองฝั่งกระเซ็นตัดกันส่งเสียงหยาดน้ำกระทบกันเป็นจังหวะดุจเสียงดนตรีใสกังวาน มีมนต์เสน่ห์ไปอีกแบบ


หากเป็นเวลาปกติไม่แน่หลิ่วหมิงอาจหยุดชื่นชมสักพัก แต่ยามนี้เขาย่อมไม่มีอารมณ์เช่นนั้น หลังจากพลิ้วกายผ่านไปเขาก็ไล่ตามมาทันมนุษย์ปีศาจหัวหน้าที่อยู่สุดปลายทางเดินยาว


สุดปลายทางเดินยาวคือสระน้ำที่ค่อนข้างประหลาดแห่งหนึ่ง น้ำในสระมาจากน้ำตกสองฟากฝั่งทางเดิน


ทว่าเวลานี้น้ำในสระกลับมีผลึกสีขาวขนาดไม่เท่ากันลอยอยู่ผืนแล้วผืนเล่า ดูประหนึ่งคล้ายกลีบดอกบัวลอยกระจัดกระจายอยู่แถบแล้วแถบเล่า


“คิดไม่ถึงว่าค่ายกลบัวขาวเริงวารีนี่ก็ถูกมันทำลายไปแล้วเช่นกัน ดูท่าพวกเราต้องรีบแล้ว!” มนุษย์ปีศาจชุดเทาที่เป็นหัวหน้าเอ่ยนิ่งๆ ประโยคหนึ่งแล้วกลายเป็นเมฆดำเหาะผ่านสระน้ำไปทันที


ค่ายกลที่มนุษย์ปีศาจผู้นี้เอ่ยถึง หลิ่วหมิงไม่เคยได้ยินมาก่อน หลังจากมองสระน้ำอย่างเร่งรีบครั้งหนึ่งเขาก็กลายเป็นแสงสีดำเหาะผ่านด้านบนไปทันทีด้วยเช่นกัน


จากนั้นคณะเดินทางของหลิ่วหมิงก็ผ่านค่ายกลและชั้นจำกัดอันลี้ลับติดกันอีกสามแห่ง แต่ชั้นจำกัดเหล่านี้กลับถูกคนทำลายไปแล้วทุกแห่งไม่มียกเว้น


หลังจากนั้นไม่นานนัก ในที่สุดหลิ่วหมิงกับมนุษย์ปีศาจทั้งหลายก็ออกจากตำหนักมาถึงปากทางเข้าหุบเขาใต้ดินแห่งหนึ่งบริเวณใกล้ๆ


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาสัมผัสได้แต่ไกลว่าลึกเข้าไปในหุบเขามีคลื่นพลังจิตวิญญาณผะแผ่วสายหนึ่งลอยออกมา กลิ่นอายแข็งแกร่งยิ่งนัก คล้ายคลึงกับที่หลงเหลืออยู่บนประตูหินสีน้ำเงินก่อนหน้านี้อยู่บ้าง


มนุษย์ปีศาจทั้งหลายที่มีบุรุษชุดเทาเป็นหัวหน้าก็สัมผัสได้เช่นเดียวกันว่าด้านในหุบเขามีคนอยู่ พวกเขามองหน้ากันครั้งหนึ่งแล้วทยอยกันยกสองแขนตั้งหน้าร่าง ทำท่ามืออันลึกลับอย่างที่สุดท่าหนึ่ง


ทันใดนั้นรอบร่างของทั้งเจ็ดคนก็มีไอหมอกสีเทาดำสายแล้วสายเล่าลอยปกคลุม กลายเป็นสายลมสีเทาประหลาดสายแล้วสายเล่าพัดหายไปจากที่เดิมอย่างเงียบเชียบ


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้มือข้างหนึ่งก็ตบหัวไหล่ กระตุ้นวิชาลับภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนแล้วเก็บซ่อนกลิ่นอายแอบลอบเข้าไปต่ออย่างเงียบเชียบเช่นเดียวกัน


เขตนี้ไม่ใหญ่ หลังจากข้ามเนินดินลูกเล็กที่ไม่นับว่าสูงนักลูกหนึ่ง สภาพด้านในหุบเขาทั้งหมดก็ปรากฏแก่สายตา


หลิ่วหมิงกวาดสายตามองแวบเดียว ดวงตาก็เปล่งประกาย


สุดปลายหุบเขาที่อยู่ห่างไปหลายร้อยจั้งมีป้ายหินขนาดยักษ์สูงราวสามสี่จั้งแผ่นหนึ่งตั้งขวางหนทางไปต่อไว้ บนแผ่นป้ายทอแสงสีน้ำเงินเข้มอยู่เลือนราง เมื่ออยู่ในโลกใต้ดินอันมืดสลัวแห่งนี้แลดูค่อนข้างสะดุดตา


หน้าป้ายหินมีร่างของสตรีสาวผู้งดงามห่มอาภรณ์สีแดง มองเห็นใบหน้าไม่ชัดคนหนึ่งอยู่ สองมือของนางกำลังสร้างยันต์แวววาวตัวแล้วตัวเล่าส่งเข้าไปในป้ายเบื้องหน้าไม่หยุด


แสงสีน้ำเงินบนผิวป้ายหินกะพริบวูบวาบเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวหม่นพร้อมกับที่ยันต์จมเข้าไป


ดวงตาของหลิ่วหมิงฉายแววตาเข้าใจจางๆ คนผู้นี้จะต้องเป็นผู้ที่ทำลายชั้นจำกัดหลายอันติดกันมาตลอดทางนี้แน่ และป้ายหินที่ทอแสงสีน้ำเงินขมุกขมัวแผ่นนี้ตรงหน้าคนผู้นี้ก็เห็นชัดว่าเป็นชั้นจำกัดอีกชั้นหนึ่ง


เขาเคลื่อนสายตาอีกครั้งก็พบว่าบนเส้นทางสู่สุดปลายหุบเขากำลังมีหมอกสีเทาดำสายแล้วสายเล่าลอยละล่องไปรวมตัวกันเบื้องหน้าอย่างเงียบเชียบ


ในใจเขาฉุกคิดอะไรได้จึงไม่ขยับไปด้านหน้าต่อแต่ยืนนิ่งอยู่บนเนินดินเช่นนี้ มองทุกสิ่งด้านหน้า


เมื่อไอหมอกสีเทาดำเหล่านี้ลอยมาห่างจากร่างอรชรไม่ถึงร้อยจั้ง ทันใดนั้นมันก็เพิ่มความเร็วแล้วพัดไปข้างหน้าล้อมสตรีอาภรณ์แดงไว้ ก่อนจะหมุนรวดเร็วกลายเป็นเงาสีเทาเจ็ดร่าง


พวกเขาก็คือมนุษย์ปีศาจทั้งเจ็ดคน!


หลังจากทั้งเจ็ดคนปรากฏกายก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นพร้อมกันอย่างเข้าขายิ่งนัก ปราณสีเทาเจ็ดลูกพุ่งออกจากกลางฝ่ามือในพริบตาแล้วหมุนวนกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นเชือกสีเทาหนาเท่าแขนเส้นแล้วเส้นเล่า พุ่งเร็วรี่เข้าใส่หญิงสาว


สตรีที่ถูกล้อมปฏิกิริยาว่องไวอย่างที่สุด พริบตาที่ทั้งเจ็ดคนปรากฏตัว นางพลันหยุดเคล็ดวิชาที่มือราวกับรับรู้อยู่ก่อนแล้ว หลังจากตวาดเสียงหวานครั้งหนึ่ง อาภรณ์สีแดงบนร่างก็ลอยออกจากร่างประหนึ่งหมอกควัน ก่อตัวเป็นพายุหมุนสีแดงเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งจั้งลูกหนึ่ง หุ้มทั้งร่างไว้ด้านใน


ชั่วขณะหนึ่งเสียงอสนีบาตคำรามดังลั่นขึ้นกลางพายุหมุน


เสียง “ฟู่” “ฟู่” หนักหน่วงดังออกมา!


โซ่ที่ก่อตัวจากไอปีศาจสีเทาเจ็ดสายสัมผัสถูกพายุหมุนสีแดงสดตรงกลางเพียงเล็กน้อยก็พังทลายลงทีละท่อนกลายเป็นไอสีเทาสายแล้วสายเล่า ไม่อาจรุกคืบเข้าไปในพายุหมุนได้แม้แต่นิด


“เหอะ! มนุษย์ปีศาจกระจอกถึงกับกล้าลอบจู่โจมข้า!” เสียงใสของสตรีดังออกมาจากกลางพายุหมุนสีแดงสด


เสียงพูดเพิ่งจบลง ทันใดนั้นพายุหมุนสีแดงก็ขยายออกมาด้านนอก ดูท่าทางเหมือนกับว่าจะรวบมนุษย์ปีศาจที่ลอบโจมตีนางทั้งเจ็ดคนเข้าไปด้านในทั้งหมด


มนุษย์ปีศาจเหล่านั้นเหมือนจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าไม่มีทางโจมตีครั้งเดียวสำเร็จ จึงไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ตรงกันข้ามกลับพากันประกบมือทั้งสองข้างอย่างไม่รีบร้อนไม่ลนลาน ไอปีศาจสีเทาทั้งเจ็ดร่างเคลื่อนไหวไม่หยุด


จากนั้นทั้งเจ็ดคนก็ยื่นแขนข้างซ้ายออกมาคว้าไปกลางอากาศอย่างพร้อมเพรียง ไอปีศาจสีเทาเข้มข้นเจ็ดสายพุ่งออกมาจากตรงกลาง


หลังจากที่ไอปีศาจด้านหลังโถมเข้าไป ไอปีศาจสายแล้วสายเล่าที่พังทลายและกำลังจะถูกพายุหมุนสีแดงสดพัดกระจายไปเหล่านั้นฉับพลันทันใดก็รวมตัวกันอีกครั้ง ชั่วครู่ให้หลังก็กลายเป็นกรงเล็บมารสีเทาขมุกขมัวขนาดหลายจั้งหลายข้างตะปบไปตรงกลางในทันใด


พายุหมุนสีแดงสดที่ล้อมสตรีนางนี้อยู่ราวกับไม่มีกำลังต้านทานกรงเล็บมารเจ็ดข้างนี้แม้แต่น้อย หลังจากเสียง “ฟึบ” ดังขึ้นครั้งหนึ่งก็ปล่อยให้มันทะลวงตรงเข้ามาในทันที!


บนใบหน้าของมนุษย์ปีศาจเจ็ดคนนั้นฉับพลันเผยรอยยิ้มประหลาดเหมือนกันออกมา


หลิ่วหมิงพรั่นพรึงเล็กน้อย รู้สึกแปลกอยู่เลือนราง


ทว่าจากนั้นภาพที่คิดไม่ถึงก็บังเกิดขึ้น!


พายุหมุนสีแดงสดที่เดิมทีขยายใหญ่ไม่หยุดนั่น หดเข้าไปตรงกลางอย่างรวดเร็ว ทั้งยังหมุนเร็วขึ้นกว่าเดิม


พร้อมกับที่เสียงหนักหน่วงดังขึ้นหลายครั้ง แสงสีแดงกลางอากาศพลันสว่างจ้าขึ้นวูบหนึ่งแล้วดับลงอย่างเร็วไว เผยร่างคนที่อยู่ด้านในออกมา


กรงเล็บมารสีเทาขมุกขมัวเจ็ดข้างที่จมเข้าไปด้านในนั่นหายไปไร้ร่องรอย


นี่ทำให้มนุษย์ปีศาจทั้งเจ็ดมองหน้ากันด้วยความตะลึงงัน พวกเขามองไปตรงกลางอย่างไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง


หลิ่วหมิงก็เพ่งสายตามองไปดุจเดียวกัน


แล้วเขาก็เห็นหญิงสาวเรือนร่างสะโอดสะองอรชรคนหนึ่งกำลังยืนสง่างามอยู่ตรงกลางระหว่างมนุษย์ปีศาจเจ็ดคน


สิ่งที่มือข้างหนึ่งของสตรีนางนี้ถืออยู่ก็คืออาภรณ์สีแดงผืนนั้นที่เคยสวมอยู่บนร่างก่อนหน้านี้ ส่วนบนร่างมีชุดนางในสีขาวที่ไม่เปื้อนฝุ่นสักเม็ดอีกตัวหนึ่ง เส้นผมนุ่มสลายยาวจรดเอวเหมือนม่านน้ำตกคลุมแผ่นหลัง ฟันขาวดวงตาสุกใส ดวงหน้าดั่งหยกขาว ใบหน้างามล้ำล่มเมืองของนางไม่ด้อยกว่าเจียหลานผู้ครอบครองร่างจิตวิญญาณมายาสวรรค์แม้แต่น้อย


สิ่งที่ทำให้หัวใจหลิ่วหมิงกระตุกดังตึกตักก็คือหน้าตาของนางงดงามเยือกเย็น ให้ความรู้สึกคล้ายกับเย่เทียนเหมยอยู่หลายส่วน ทว่ามีกลิ่นอายความเยาว์วัยสอดแทรกอยู่บ้างจึงทำให้นางมีเสน่ห์ที่บรรยายไม่ถูกเพิ่มขึ้นมา


ในเวลานี้เองมนุษย์ปีศาจทั้งเจ็ดคนก็คำรามเบาๆ พร้อมกัน มือข้างหนึ่งตะปบใส่ความว่างเปล่าอีกครั้ง


เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นหลายหน


สายลมสีดำเจ็ดสายพัดเสียงดังหวีดหวิดจากทั่วทุกสารทิศออกห่างจากสตรีนางนี้เพียงไม่กี่จั้ง หลังจากเสียงหนักหน่วงครั้งหนึ่งฉับพลันก็กลายเป็นหนอนตัวเล็กสีดำเต็มท้องฟ้าพุ่งเข้าใส่สตรีนางนี้อย่างมืดฟ้ามัวดิน


หนอนมารเหล่านี้แต่ละตัวขนาดเพียงหนึ่งชุ่นกว่า ร่างกายเหมือนดักแด้ของหนอนไหม ทั่วร่างปราณดำเวียนวน บนหัวมีดวงตาขนาดเท่าถั่วเหลืองสี่ข้าง เขี้ยวโง้งคู่หนึ่งยาวออกมาข้างนอกประดุจคีม หน้าตาดุร้ายยิ่งนัก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)