องครักษ์เสื้อแพร 909-912

 ตอนที่ 909 ขุนนางลาออกจากตำแหน่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังหยางเหว่ยลาออก เสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีหลังดำเนินเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทเสร็จ ก็ขอลาออกลับบ้านเกิด ฮ่องเต้ว่านลี่มีพระราชานุญาต


โอรสพระสนมเอกเจิ้งจูฉางสวินเป็นรัชทายาท โอรสองค์โตจูฉางลั่วเป็นอ๋องฝู  แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ไปยังเมืองลั่วหยางที่เหอหนาน พอได้ยินข่าวนี้ หลายก็ได้แต่ทอดถอนใจ คิดว่าไม่เป็นตามธรรมเนียม เขาเดิมมีชะตาเป็นรัชทายาทแท้ๆ ตอนนี้กลับได้เป็นแค่อ๋อง


เทียบกับพวกหลายคนข้างนอกที่ได้แต่ทอดถอนใจแล้ว พระสนมกงกลับยินดีปรีดายิ่ง พระนางเดิมก็เพราะกำลังหวาดกลัวกับการที่พระนางและพระโอรสต้องเข้าสู่ภัยหายนะครั้งนี้ ตอนนี้กลับมีวาสนาเป็นถึงอ๋องไปชั่วชีวิต เป็นเรื่องมงคลใหญ่ยิ่ง


ข่าวจากตำหนักเฉียนชิงกง อ๋องฝูจูฉางลั่วได้รับแต่งตั้งแล้ว ก็จะมารับพระสนมกงออกไปอยู่ด้วย แม้กล่าวว่านางสนมไม่อาจออกจากวังได้ ทว่าไทเฮาฉือเซิ่งไปจวนอู่ชิงโหวได้ ทางนี้ก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องพวกนี้แล้ว


เดิมพระสนมกงเองก็ไม่ค่อยได้มีหวังในเรื่องการแก่งแย่งชิงดีในวังแล้ว  สามารถได้อยู่กับพระโอรสไปตลอดชีวิตได้ ก็ถือเป็นความหวังสูงสุดแล้ว


เรื่องจูฉางสวินเป็นรัชทายาท เมืองหลวงพากันเงียบกริบ พื้นที่รอบเมืองหลวงก็เงียบกริบ แต่นอกเมืองออกไปและเขตแดนใต้กลับมีเสียงวิจารณ์ไม่น้อย


ขุนนางเมืองหลวงลาออกจากตำแหน่ง เข้าใจเรื่องเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทแล้วก็ได้แต่เงียบกริบ พวกที่เข้าใจวงการขุนนางต่างพากันหนาวสันหลังไม่น้อย


ฮ่องเต้แผ่นดินหมิงแต่ไรมีแต่ต้องเก็บกดต่อหน้าขุนนางบุ๋น ไม่เคยได้เปรียบอันใด แม้แต่ฮ่องเต้อู่จงที่ไม่เกรงกลัวขุนนาง ก็ใช้ขันทีทำงาน สร้างเครือข่ายขุนนางบู๊และชนชั้นสูงเท่านั้น


ตัวอย่างหนึ่งเดียวก็คือสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง เกิดเหตุวิจารณ์คุณธรรมใหญ่ครั้งนั้นที่ใช้กำลังองครักษ์เสื้อแพรออกมาจัดการขุนนางบุ๋นทั้งหมด กำราบไว้ได้อยู่หมด ดังนั้นสุดสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง บรรดาขุนนางบุ๋นจึงถูกฮ่องเต้กดไว้ตลอด


แต่พอถึงปลายสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง  สวีเจี้ยครองอำนาจ มาจนหลังฮ่องเต้ว่านลี่ครองราชย์สิบปีแรก กลุ่มขุนนางบุ๋นผู้เป็นหัวหน้าหกกรมกองก็กุมอำนาจปกครองไว้ทั้งหมด แต่หลังจากพวกหวังทงปรากฏตัว ขุนนางบุ๋นที่เคยเรืองอำนาจก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป หลังจากนั้นก็เป็นเหตุการณ์เจริญรุ่งเรืองของเทียนจิน และชัยชนะใหญ่ ณ เมืองกุยฮว่าเฉิงที่สั่นสะเทือนทั่วแผ่นดิน ยังมีเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป


เรื่องเหล่านี้ทำให้ทุกคนตกใจ แต่ก็ยังนั่งดูเฉยได้ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกันตนเองมากนัก แต่ครั้งนี้ กลับทำให้ทุกคนต้องพากันตกใจหวาดกลัวกันหมด


ฮ่องเต้ว่านลี่ขณะออกว่าราชการใหญ่  เคลื่อนกำลังทหารมาล้อมไว้ และยังเคลื่อนกำลังจากเทียนจินมาประชิดเมืองหลวง ฮ่องเต้คิดทำสิ่งใด เห็นชัดว่าฮ่องเต้คิดจะกำจัดขุนนางเมืองหลวงให้สิ้นซาก


ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ได้อย่างไร ฮ่องเต้กล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร ประเด็นสำคัญก็คือ ฮ่องเต้ถึงกับมีกำลังทำได้ คนที่เกี่ยวข้องกับวงการขุนนางต่างพากันแตกตื่นตกใจและหวาดกลัว จากนั้นก็ปิดปากเงียบกันหมด


แสวงหาชื่อเสียงก็ได้ ยืนหยัดในหลักการจารีตก็ได้ แต่ไม่อาจทำลายชีวิตตนเอง ไม่อาจทำให้ผลประโยชน์เงินทองของเองต้องสูญเสียไป ตอนนี้ฮ่องเต้ลงมืออย่างไม่ยั้งมือเช่นนี้ ยังไงก็ปิดปากเงียบดีกว่า!


เทียบกับขุนนางที่รู้รักษาตัวรอดในวงการขุนนางแล้ว พวกร่ำเรียนที่ไม่เคยได้เป็นขุนนางในท้องที่ต่างๆ รวมทั้งบรรดาปราชญ์ลัทธิขงจื่อทั้งหลายต่างมีความเห็นต่างในเรื่องนี้


มีคนเขียนจดหมายไปเมืองหลวง มีคนฝากคนยื่นฎีกา ทว่าความเห็นพวกเขาไม่ส่งผลอันใด การโต้แย้งพวกเขาก็แค่แสดงความเห็นแย้งเท่านั้น พวกเขามีกิจการครอบครัว ฮ่องเต้ทรงโปรดโอรสองค์รองไม่ได้เกี่ยวอันใดกับพวกเขาแม้แต่น้อย นับประสาอันใดกับพวกเขาเองก็รักลูกชายคนเล็กกันเป็นเรื่องปกติ


*************


วันที่ 22 เดือนเจ็ด ในวังมีคนส่งข่าวมายังสำนักส่วนพระองค์ จางหงอดีตรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์อดอาหารตายไป ข่าวนี้ทำให้จางเฉิงเศร้าใจมาก


กองกำลังสังกัดวังหลวงกับกองกำลังเมืองหลวงเริ่มผลัดเปลี่ยนเลือดใหม่ พวกนายทหารจากลานฝึกหู่เวยไม่ได้เลื่อนตำแหน่งสูงมากนัก แต่ตำแหน่งที่ได้ก็สูงมากพอ ได้รับผลประโยชน์มากมาย ตำแหน่งที่ขาดไปหลายตำแหน่งเป็นตำแหน่งนายกองพันเสียมาก ตำแหน่งนี้มีผลประโยชน์ สามารถคุมกำลังได้ สามารถเคลื่อนกำลังได้ในทันทีที่ต้องการ นายกองพันนี้ เป็นตำแหน่งที่ขันทีคุมเสบียงกับเสนาบดีกรมทหารปลดไม่ได้


เฉินซือเป่าในฐานะขุนพลที่ปรึกษาครานี้ได้รับผลประโยชน์ไปมากมาย เขาได้เป็นหัวหน้ากองกำลังหย่งซื่อ  กองกำลังสำนักอาชาหลวงเป็นหนึ่งในห้ากองกำลังหย่งซื่อ มีทหารที่เข้มแข็งมาก สถานะสูงที่สุด เฉินซือเป่ารับตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังหย่งซื่อก็นับว่าเป็นระดับสูงมากของขุนนางบู๊ในแผ่นดินหมิงแล้ว


การเปลี่ยนแปลงโยกย้ายขันทีฝ่ายในและบรรดาขุนพลทหารเป็นไปตามคาดทุกคน ที่ทุกคนใส่ใจที่สุดก็คือติ้งเป่ยโหวผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงควรได้รับการแต่งตั้งอย่างไร


หวังทงสถานะและอำนาจสูงมาก แม้ว่าก่อนหน้าถูกฮ่องเต้ระแวง ขอขับตนเองไปสู่เมืองกุยฮว่าเฉิง แต่ครั้งนี้เขาแอบกลับมาเมืองหลวงช่วยฮ่องเต้ว่านลี่แก้ปัญหาเรื่องกระแสแต่งตั้งรัชทายาท มีความชอบมาก


ท่ามกลางกระแสครานี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ถูกพวกไทเฮากับขุนนางบุ๋นทั้งหลายบีบเกือบจนมุม หวังทงไม่นำพาความระแวงครั้งก่อนและการจะโดนประชาด่าทอหากมาช่วยครั้งนี้ ยังถึงกับมาด้วยตนเอง  เขาควรได้รับพระราชทานรางวัลใดกัน


เขาเองสถานะสูงส่งแล้ว หากยังได้รับพระราชทานอีก เช่นนั้นควรได้รับพระราชทานอันใด หากยังให้อำนาจหวังทงเพิ่มอีกเพื่อตอบแทนความชอบครั้งนี้เขา อำนาจหวังทงจะกระทบกับคนรอบข้างหรือไม่ จะทำให้คนหวาดระแวงหรือไม่


ใกล้เดือนแปดแล้ว ข่าวจากในวังมีออกมาว่าครั้งนี้เตรียมจะให้หวังทงคุมกองกำลังเมืองหลวง กระแสนี้ออกมา เมืองหลวงก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังทันที


ที่เรียกว่า ‘ดัง’ ก็มิใช่รวมกลุ่มกันวิจารณ์ หากเป็นกระแสแอบวิจารณ์แลกเปลี่ยนความคิดกัน อำนาจหวังทงแผ่อิทธิพลเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไว้แล้ว ประเด็นคือจะแผ่ออกไปอีกแบบใด ในมือหวังทงมีองครักษ์เสื้อแพร หากยังมีกองกำลังเมืองหลวงอีก ก็เท่ากับว่าสามในห้าของการทหารเมืองหลวงอยู่ในมือเขาผู้เดียว นี่ไม่ใช่หลักการของการเป็นขุนนางในพระองค์


หากสถานการณ์ตอนนี้เช่นนี้ ผู้ใดจะกล้าพูดอันใดกัน ฮ่องเต้ตอนนี้ก็ทรงดีพระทัยเช่นนี้ ก็ปล่อยให้ทรงจัดการไปก็แล้วกัน


**************


หวังทงแม้ไปเมืองกุยฮว่าเฉิงแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร พอกลับถึงเมืองหลวง ก็ยังคงได้เข้าร่วมประชุมขุนนาง ติดตามอยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้


ทว่าเพิ่งกลับมาเมืองหลวง สถานการณ์เมืองหลวงยังไม่มั่นคง ต้องการให้หวังทงไปจัดการในฐานะองครักษ์เสื้อแพร ดังนั้นมาจนวันที่ 3 เดือนแปด หวังทงจึงเพิ่งได้มาร่วมประชุมขุนนาง


ในการประชุมปกติ คณะเสนาบดีใหญ่ เสนาบดีหกกรมกอง เจ้ากรมนายกองสำนักตรวจสอบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องล้วนต้องเข้าประชุม เทียบกับเมื่อครึ่งเดือนก่อน เรียกได้ว่าเปลี่ยนขุนนางเลือดใหม่มาหลายคน


เสนาบดีกรมปกครองกับเสนาบดีกรมพิธีการได้เจ้ากรมมาแทนที่ เสนาบดีหน่วยที่เหลือก็ไม่มีอำนาจเหมือนหยางเหว่ยกับเสิ่นหลี พวกเขาย่อมเห็นแก่ตำแหน่งตนในตอนนี้ ไม่กล้ากระทำการวาดหวังฝันหวานอันใด และไม่กล้าทำเรื่องเสี่ยงภัยใดเช่นกัน


หวังทงออกมาร่วมประชุมขุนนางในตอนนี้ เสนาบดีหกกรมกองพากันมองอย่างเย็นชา แต่ไม่มีปฏิกิริยาอันใด การประชุมทุกวัน ก็เป็นฮ่องเต้ว่านลี่ที่มาถึงช้าที่สุด


ปกติขุนนางศูนย์กลางการปกครองของแผ่นดินหมิงพวกนี้อย่างไรก็ต้องร่วมหารือคุยสัพเพเหระทั่วไป แต่หลังเหตุประชุมหน้าพระที่นั่งคราก่อน มีที่ไหนที่เจ้ากรมจะโมโหตำหนิเสนาบดี แต่การโจมตีทั่วไปในราชสำนักก็เกิดขึ้นอย่างมากมายเพื่อสลัดทิ้งความสัมพันธ์ให้กระจ่าง  พริบตาทุกคนก็ต่างกระดากกันเอง หรือไม่ก็ว่าแต่ละฝ่ายก่อนหน้ามีท่าทีสุภาพต่อกัน แต่หลังจากเปิดเผยตัวตนออกให้เห็นความร้ายกาจแล้ว คิดจะกลับมาเหมือนดังเดิม ก็ย่อมต้องใช้เวลาอีกนานพอควร


การออกว่าราชการ ณ พระที่นั่งข้างพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินที่มีพื้นที่ไม่มาก  แม้ว่าคุยกันเบาๆ ก็ย่อมมีคนได้ยิน โดยเฉพาะหวังทง  ทุกคนก็ยิ่งต้องระวังตัวเองไว้ก่อน


หวังทงเข้าประชุมวันแรก รองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยในคณะเสนาบดีใหญ่กลับออกหน้ามาคุยด้วยก่อน หวังซีเจวี๋ยก้าวออกมาคารวะก่อนกล่าวว่า


“ตอนนี้ติ้งเป่ยโหวเป็นเสาหลักของราชสำนักเราแล้ว ก่อนหน้าสถานการณ์ขัดแย้งมากมาย พอติ้งเป่ยโหวกลับมา ก็เปลี่ยนเป็นใต้หล้าสงบสิ้น ช่างเป็นเสาหลักของแผ่นดินจริงๆ!”


วาจาเสียดสีนี้หวังทงฟังออก พวกขุนนางบุ๋นมักจะตีฝีปากหลอกด่าคนอื่นเสมอ หวังทงไม่สนใจ ได้แต่ตอบกลับตามมารยาทไปว่า


“ตอนนี้ทุกอย่างสงบสุข ก่อนหน้าเมืองหลวงที่อยู่ๆ ก็วุ่นวาย หรือว่ามีพวกโจรชั่วใดอยู่เบื้องหลัง?”


หวังซีเจวี๋ยกระแอมไอในลำคอก่อนจะกล่าวว่า


“ใต้เท้าหวัง ข้ามีวาจาบางอย่างล่วงเกินแล้ว พวกเราเป็นขุนนาง ก็ต้องทำหน้าที่ขุนนางให้ดี อำนาจได้มาจากฮ่องเต้ทรงเมตตา เรื่องนี้ไม่มีอันใดต้องพูดถึง แม้ว่าจะทรงเมตตา แต่เป็นขุนนางก็ต้องรู้จักประมาณตน  เป็นขุนนางหากอำนาจมากไป หากได้ใจคิดลำพอง ทำลายสัมพันธ์นายบ่าว ก็จะเป็นการทำผิดต่อพระเมตตาฝ่าบาท”


หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวนิ่งเรียบว่า


“สวรรค์บัญชา ฝ่าบาทต้องการสิ่งใดเป็นเรื่องของฝ่าบาท เราเป็นขุนนางจะลืมตัวได้อย่างไร?”


ได้ยินหวังทงตอบอย่างไม่ลดละ หวังซีเจวี๋ยส่ายหน้า สีหน้าไร้รอยยิ้ม ได้แต่ถอนหายใจ กล่าวจริงจังว่า


“ใต้เท้าหวัง มีบางอำนาจได้มาเพราะทรงพระเมตตาเป็นพิเศษ มีบางอำนาจก็เป็นทางแห่งการรนหาที่ตาย ใต้เท้าหวังตอนนี้มีสถานะเช่นนี้ มีครอบครัว ไม่ควรเป็นเพราะการตัดสินใจวู่วาม ทำให้สถานการณ์ถึงขั้นไม่อาจเรียกคืนได้!”


กล่าวจบหวังซีเจวี๋ยก็พยักหน้ากำลังจะหันกลับไปเข้าที่ตนเอง พอเขาขยับกลับได้ยินหวังทงด้านหลังกล่าวว่า


“ขอบคุณท่านอำมาตย์ที่ตักเตือน ข้ารู้ตนเองดี และก็รู้ว่าตนเองควรทำเช่นไร!”


หวังซีเจวี๋ยหันกลับมามอง เห็นหวังทงประสานมือคำนับ ก็รับการคำนับ หวังซีเจวี๋ยรู้สึกตกใจอยู่บ้าง หวังทงไม่ได้เป็นขุนนางไร้ธรรมเนียมอย่างที่ลือกัน  ยังพอรู้ธรรมเนียมอยู่บ้าง


ได้ยินเสียงรายงานข้างนอก ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จเข้ามา ขันทีตะโกนพิธี ทุกคนพากันคุกเข่าลง ทุกคนเงยหน้าขึ้นมาก็สังเกตเห็นฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ให้หวังทง นับเป็นการทักทาย นี่ยังเป็นนายบ่าวหรือ เมื่อใดกันที่ขุนนางถวายบังคมแล้วนายเหนือหัวคำนับตอบ


“……มีฎีกานำทูลเกล้าได้……”


สถานการณ์ตอนนี้ ขุนนางทั้งหลายต่างได้แต่ทำหน้าที่ตนเองให้ดี ไม่มีเรื่องยื่นฎีกา ทุกคนก็ได้แต่เงียบไป เงียบไปครู่หนึ่ง หวังทงก็ถวายบังคมกราบทูลว่า


“ฝ่าบาท กระหม่อมขอลาออกจากตำแหน่งพะยะค่ะ!!”


ตอนที่ 910 บทเรียนจากรถคันหน้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฝ่าบาท กระหม่อมขอลาออกจากตำแหน่งพะยะค่ะ!!”


ท้องพระโรงเงียบกริบ ขันทีปรนนิบัติข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่ทุกคนได้ยินคำกราบบังคมทูลของหวังทงทุกคำชัดเจน


ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรเห็นหวังทงก้าวออกมาก็แย้มสรวลรอ จากนั้นก็แย้มสรวลค้าง จางเฉิงทางด้านขวาของฮ่องเต้ว่านลี่กับเถียนอี้ก็เงยหน้าขึ้น อึ้งมองหวังทง จางเฉิงถึงกับอ้าปากเตรียมจะออกปากถาม แต่ทำงานในส่วนกลางในวังมาหลายปีทำให้เขารู้สึกระงับเสียงไว้ได้


บรรดาขุนนางบุ๋นที่คุกเข่าอยู่ก็ไม่สนใจธรรมเนียมนายบ่าว พากันเงยหน้าขึ้นเบิกตากว้างจ้องมองไปยังหวังทงที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า


การประชุม ณ พระตำหนักข้างพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน บรรดาขุนนางที่ได้ร่วมประชุมนี้ล้วนเป็นพวกที่ร่วมยื่นฎีกาในวันนั้น สองมือหวังทงประคองฎีกาในมือกำลังคุกเข่าตัวตรงแน่วแน่


ตามธรรมเนียม ขุนนางทูลจบ เจ้าจินเลี่ยงข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่ก็จะออกมารับฎีกาไปส่งให้ฮ่องเต้ หากยามนี้ขุนนางทุกคนพากันแตกตื่นตกใจ เจ้าจินเลี่ยงเองก็อึ้งไป ทว่าเขานับว่าได้สติเร็ว พอได้สติ ก็รีบวิ่งลงไปรับฎีกา เดินออกไปได้สองสามก้าวก็ได้ยินเสียงด้านหลังมีคนตวาดดังว่า


“รีบอะไรกัน! เราไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น!”


เป็นฮ่องเต้ว่านลี่ตวาดดัง เต็มไปด้วยความกริ้ว เจ้าจินเลี่ยงรีบคุกเข่าลงไม่กล้าขยับอีก เจ้าจินเลี่ยงมีสถานะในวังไม่ธรรมดา แม้ว่าติดตามรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ว่านลี่ แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่เคยทรงดุว่าอันใดหนักหนา แต่ดำรัสเมื่อครู่ กลับเต็มไปด้วยความกริ้วหนัก


เห็นเจ้าจินเลี่ยงหมอบไม่กล้าขยับ ฮ่องเต้ว่านลี่กวาดพระเนตรมองทุกคนในที่นั้น บรรดาขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่กับเสนาบดีหกกรมกองล้วนจ้องมองหวังทง ในสายพระเนตรฮ่องเต้ว่านลี่  ขุนนางบุ๋นพวกนี้มีแววตายินดีลิงโลด หวังทงหากลาออกจากตำแหน่งไปจริง หนามยอกในตาพวกเขาก็จะหายไป ย่อมยินดีปรีดายิ่ง


“หวังทง เราได้ยินไม่ชัด เจ้าว่าอีกครั้ง!”


ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเย็นเยียบ หวังทงคุกเข่าอยู่ที่พื้นนิ่ง น้ำเสียงก็ไม่แปรเปลี่ยน ทูลน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า


“ฝ่าบาท กระหม่อมขอลาออกจากตำแหน่งพะยะค่ะ!!”


ถามอีกทีผลก็เหมือนเดิม ถามอีกทีก็ยิ่งทำให้ดูเหมือนเด็กไร้เดียงสา ช่างเหลวไหล สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่แดงก่ำ สุรเสียงกริ้วหนัก ตรัสถามขึ้น


“หวังทง ทำไมต้องลาออกด้วย หรือเราทำไม่ดีอันใดกับเจ้ากัน!?”


“ฝ่าบาท กระแสเมืองหลวงคุมได้แล้ว หากกระหม่อมอยู่เมืองหลวง ฝ่าบาทจะมองหน้าขุนนางทั้งหลายอย่างไร”


น้ำเสียงหวังทงนิ่งเรียบ ไม่มีสะดุดแม้แต่น้อย ความนิ่งของเขาทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งกริ้วหนัก ไม่อาจระงับได้อีกต่อไป คำรามดังออกมาทันทีว่า


“เราเป็นฮ่องเต้ เราคิดจะทำเช่นไรก็เช่นนั้น เจ้าเป็นขุนนางจงรักภักดีของเรา  มีเจ้าข้างกายเรา จงรักภักดีเรา เราทำไมจะไม่อาจมองหน้าขุนนางทั้งหลายได้กัน!!? เราคิดว่าได้ ทำไมเจ้าคิดว่าไม่ได้ เจ้าเป็นฮ่องเต้!? หรือเราเป็นฮ่องเต้!?”


พระดำรัสสุดท้ายจบลง  ทุกคนในที่นั่นก็สบตากันอย่างไม่อาจระงับ บรรดาขันทีพากันคุกเข่าลง ขุนนางใหญ่ก็พากันก้มหน้าลงต่ำอีกครั้ง


หวังทงโขกศีรษะทูลต่อว่า


“ฝ่าบาททรงระงับความกริ้วด้วยพะยะค่ะ วันนี้กระหม่อมเป็นติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร มีอำนาจมาก ยังมีข่าวลืออีกมาก บอกว่าฝ่าบาทจะให้กระหม่อมคุมกองกำลังเมืองหลวง หากฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ องครักษ์เสื้อแพรบวกกับทหารกองกำลังเมืองหลวง กำลังสามในห้าของเมืองหลวงก็จะอยู่ในมือกระหม่อมผู้เดียว กระหม่อมจะจัดการเช่นไร?”


ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป ไม่ได้ออกเสียงค้านที่กล่าวมา ขุนนางใหญ่กลับเริ่มสบตากัน ให้หวังทงคุมกองกำลังเมืองหลวง ข่าวนี้พวกเขาก็ได้ยินมา วันนี้ดูปฏิกิริยาฮ่องเต้ว่านลี่แล้วก็มั่นใจว่าจริง หวังทงกล่าวต่ออีกว่า


“แผ่นดินหมิงใต้หล้า ฝ่าบาททรงอำนาจสูงสุด หากขุนนางใหญ่กว่า เช่นนี้ก็จะเป็นภัยหายนะแห่งแผ่นดิน ขุนนางก็มีหน้าที่ขุนนาง กระหม่อมรู้ว่ามีความชอบ ฝ่าบาทย่อมพระราชทานรางวัล แต่ตำแหน่งกระหม่อมสูงมากแล้ว ไม่อาจพระราชทานให้อีกได้แล้ว ทำให้ฝ่าบาทต้องลำบากพระทัย เป็นความผิดกระหม่อม กระหม่อมไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ กระหม่อมขอลาออกจากตำแหน่ง”


“หวังทง? เจ้าหมายความว่าเราใจแคบ เจ้ากังวลว่าวันหน้าเราจะระแวงเจ้า?”


“กระหม่อมมิกล้า ฝ่าบาท กระหม่อมรู้ดีกว่ากระทำเช่นนี้เป็นการมิบังควร แต่กระหม่อมวันนี้ทำให้ฝ่าบาททรงกริ้ว กลับเป็นเพราะต้องการรักษาสายสัมพันธ์นายบ่าวเราในวันหน้า กระหม่อมเป็นขุนนางบู๊  ไม่รู้จักพูดจา แต่วาจาล้วนมาจากใจ ขอฝ่าบาททรงไตร่ตรองให้รอบคอบ”


ฮ่องเต้ว่านลี่แทรกขึ้น สุรเสียงเย็นลง ไม่ได้มีโทสะอันใดอีกแล้ว หวังทงยังคงตอบอย่างนุ่มนวล ทูลจบว่า ‘ทรงไตร่ตรองให้รอบคอบ’ หวังทงก็ลุกขึ้นประสานมือถวายบังคมด้วยความเคารพอย่างที่สุด พอยืดตัวตรงก็สบตากับฮ่องเต้ว่านลี่ สีหน้าหวังทงหนักแน่น สายตาแน่วแน่


เห็นท่าทีหวังทงเช่นนี้ ไม่ได้มีความโกรธแค้นใดที่คาดไว้ ถึงกับไม่มีรอยยิ้มเช่นกัน มีแต่ความจริงจังและหนักแน่น ฮ่องเต้ว่านลี่เข้าใจในทันที หวังทงต้องการลาออกจากตำแหน่งจริง  ไม่ใช่เพียงแค่ต้องการระบายโทสะที่ถูกกำราบไปเมื่อปีก่อน และที่ถูกพระองค์ขับไล่ไสส่งออกจากเมืองหลวง


ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนหายใจยาว จากนั้นเงียบไป  ในที่ประชุมก็เงียบไปหมด แต่ครั้งนี้เงียบไปนานสักหน่อย ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปนานมาก ขันทีและขุนนางใหญ่แอบลอบเงยหน้ามอง


ฮ่องเต้ว่านลี่ยังประทับยืนนิ่ง มองไปยังหวังทง จากนั้นก็กวาดตามองไปยังขุนนางและขันทีทุกคนรอบๆ สีพระพักตร์แปรเปลี่ยนไปมา อ้าพระโอษฐ์แล้วก็หุบลง ลังเลอยู่นานก่อนจะตรัสถามขึ้นเบาๆ ว่า


“หวังทง เจ้ากังวลว่าเราจะระแวงงั้นหรือ?”


“กระหม่อมมิบังอาจ!”


“หวังทง หรือว่าเจ้ากลัว กลัวว่าปีก่อนที่เจ้าสร้างความชอบใหญ่กลับมา เรากลับมีสมรสพระราชทานเช่นนั้น จากนั้นยังส่งเจ้าลงใต้ไปอีก เจ้ารู้สึกว่าเราไม่อาจรับเจ้าที่สร้างความชอบใหญ่ได้ เทียบกับว่ารอให้เราจัดการเจ้า มิสู้เจ้าจัดการตนเองลาออกก่อนดีกว่าใช่ไหม จะได้ไม่ยุ่งยากภายหลัง”


“พระประสงค์ฝ่าบาท กระหม่อมไม่กล้าคิดไปเอง กระหม่อมขอลาออกจากตำแหน่งเมื่อครู่ก็บอกสาเหตุไปแล้ว ขุนนางย่อมมีธรรมเนียมหน้าที่ขุนนาง มิบังอาจทำให้ฝ่าบาททรงต้องลำบากพระทัย ดังนั้นจึงขอลาออกจากตำแหน่งพะยะค่ะ”


หวังทงยืดตัวตรง ตอบเสียงดังกังวาน ฮ่องเต้ว่านลี่ยกพระหัตถ์ชี้หวังทง คิดจะตรัสสิ่งใด แต่ก็นิ่งไป เงียบลงอีกครั้ง


ครั้งนี้เงียบไปค่อนข้างนาน ขันทีใหญ่และขุนนางใหญ่อายุน้อยสุดก็ราว 40-50 เข้าเฝ้าถวายบังคมลงก็ลุกขึ้น ไม่ลำบากนัก แต่แม้เป็นเช่นนี้ เข่าพวกเขาก็รับไม่ค่อยไหว อายุมากในท่าเช่นนี้ ช่างลำบากเกินทนรับไหว


เงียบไปนานมาก หลายคนไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ พากันเงยหน้าไม่ก็ขยับไปมา หลายคนส่งสายตาให้กัน สถานการณ์ตอนนี้ทุกคนคาดไม่ถึง  ที่ทุกคนเตรียมป้องกันไว้ก็คือ  อำนาจจะเหนือกว่าเฉียนหนิงและเจียงปินในสมัยนั้นที่ทำให้ขุนนางบุ๋นไม่อาจต่อกรได้ เขามีทั้งเงินและกำลังทหาร ยังมีฝ่ายในคอยช่วยเหลือ แม้แต่พระสนมเอกเจิ้งก็ให้การส่งเสริม เขาสามารถวางตัวเหิมเกริมได้


ที่ยิ่งน่ากลัวก็คือ หวังทงอายุน้อย ก็หมายความว่า เขาตอนนี้ยังไม่ได้ถึงที่สุดแห่งตำแหน่ง เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น ต่อไปยังไม่รู้จะเป็นเช่นไร แต่ทุกคนที่นี่คงได้เปลี่ยนผ่านกันไปหลายคนแล้ว


คิดไปมากมาย และวางแผนไปมากมาย หวังทงถึงกับรู้จักถอย ถึงกับขอลาออกหน้าท้องพระโรงเปิดเผยเช่นนี้


หากเข้าเฝ้าฮ่องเต้ว่านลี่ส่วนตัว หวังทงทูลเช่นนี้ออกมา ท่าทีเช่นนี้อาจเสแสร้งแกล้งทำ แต่การทูลต่อหน้าสถานที่เป็นทางการเช่นนี้ มีขุนนางทั้งในและนอกวังรวมตัวกันเช่นนี้ หากมีรับสั่งแล้ว อันใดก็ยากจะเรียกคืนมาได้


เสนาบดีกรมทหารคนใหม่ปี้เชียงคุกเข่าลังเลครู่หนึ่งก็กัดฟันตัดสินใจลุกขึ้นถวายบังคม ทูลดังว่า


“ฝ่าบาท กระหม่อมมีวาจากราบทูล ใต้เท้าหวังทำเช่นนี้แม้กะทันหัน แต่ก็เป็นการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ เขายอมถอย ก็เพื่อให้ฝ่าบาทจัดการได้ง่าย ให้ใต้หล้าได้สบายใจ และยังรักษาสัมพันธภาพฝ่าบาทกับใต้เท้าหวังได้ เป็นการตัดสินที่ดีพร้อม วันหน้าต้องเป็นเรื่องดี”


ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มเยียบเย็นมุมปาก กำลังจะตรัส รองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยในคณะเสนาบดีใหญ่ก็ทูลขึ้นว่า


“ฝ่าบาทพระราชทานรางวัลแก่ใต้เท้าหวัง เป็นสิ่งที่ควรกระทำ ที่นาบรรดาศักดิ์ล้วนได้หมด ยกเว้นอำนาจการทหารที่ไม่อาจพระราชทาน หากกำลังองครักษ์เสื้อแพรและกองกำลังเมืองหลวงล้วนอยู่ในมือคนผู้เดียว กอปรกับใต้เท้าหวังยังมีสายสัมพันธ์กับกองกำลังหู่เวย พื้นที่เมืองหลวงมีกำลังเกินครึ่งอยู่ในมือคนผู้เดียว แม้ใต้เท้าหวังจงรักภักดี แต่เกรงว่าจะมีพวกคนชั่วคิดใช้โอกาสนี้ลงมือ ปล่อยให้พวกหาช่องลงมือได้ ฝ่าบาท สมัยราชวงศ์ถังภัยจากกองกำลังสังกัดวังหลวง หรือว่าไม่ใช่ตัวอย่างที่ดี?”


“พวกเจ้าก็ช่างคิดเพื่อแผ่นดินนะ!”


ฮ่องเต้ว่านลี่ที่พระพักตร์นิ่งมานานก็เริ่มมีรอยแย้มสรวล ทว่ากลับเป็นยิ้มเยียบเย็น เสนาบดีกรมทหารปี้เชียงไม่กล้ากล่าวต่อ หวังซีเจวี๋ยกลับโขกศีรษะ ทูลเสียงดังว่า


“ฝ่าบาท กระหม่อมอยู่ในตำแหน่งก็ย่อมต้องคิดเพื่อแผ่นดิน!”


“ขอฝ่าบาททรงพิจารณาให้รอบคอบพะยะค่ะ!”


หวังซีเจวี๋ยทูลจบ มหาอำมาตย์เซินสือหังก็ทูลน้ำเสียงนิ่งเรียบลงคุกเข่า ขุนนางหกกรมกองก็ลงโขกศีรษะตาม กล่าวพร้อมกัน


ฮ่องเต้ว่านลี่มุมพระโอษฐ์ขยับคิดจะตรัสแต่ก็หยุดลง อยู่ๆ ทรงพบว่า นี่เป็นโอกาสอันดี ตอนนี้หวังทงสถานการณ์เหมือนปีก่อน ถึงกับยุ่งยากกว่าปีก่อนเสียอีก เมื่อปีก่อน หวังทงแค่สร้างความชอบที่ไม่มีผู้ใดทำได้มาก่อน ตอนนั้นก็กังวลว่าหวังทงจะวางอำนาจเหิมเกริมยากจัดการ จึงคิดกำราบไว้ หากไม่กำราบ ตำแหน่งติ้งเป่ยโหวกับผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเรียกได้ว่าเพียงพอต่อการพระราชทานความชอบ


แต่ตอนนี้ หวังทงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับการกำราบและจัดการของเมื่อปีก่อน  ยังคงเสี่ยงภัยเข้าเมืองหลวงมารวบรวมกำลังสยบขุนนางบุ๋น ครั้งนี้หากผิดพลาดแม้เล็กน้อย หวังทงก็ย่อมไม่อาจฟื้นคืนได้อีก ก็จะกลายเป็นเป้าโจมตีทันที แต่หวังทงยังคงยืนอยู่ข้างฮ่องเต้ว่านลี่


ความชอบเช่นนี้ ท่าทีเช่นนี้ ก็จำเป็นต้องได้รับพระราชทานรางวัล แต่หวังทงตอนนี้กุมอำนาจสำนักองครักษ์เสื้อแพรกับศาลซุ่นเทียนไว้แล้ว และยังมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกองกำลังหู่เวย หากให้เขาได้คุมกองกำลังเมืองหลวงอีกคงไม่ดี แต่เพราะยังหาคนที่วางพระทัยไม่ได้ ให้หวังทงมาคุม กำลังหวังทงก็จะมากไป ทำให้หลายคนกังวลไปต่างๆ นานา


ที่จริงแล้ว หวังทงตอนนี้แม้ว่าไม่ให้คุมกองกำลังเมืองหลวง อำนาจกับกำลังเขาก็พอให้คนกังวลแล้ว หากอาศัยโอกาสนี้  ไม่ว่าตั้งใจลาออกหรือคิดวางแผนใดไว้ ผลักเรือตามน้ำปลดอำนาจเขาลงให้หมด ก็จะวางใจได้….


เรื่องสมดุลอำนาจสามฝ่าย เรื่องพระราชทานรางวัลความชอบ ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่อาจสนพระทัยคิดต่อแล้ว แก้ปัญหานี้ไปก่อน……ทว่าหากไม่มีหวังทง……


ตอนที่ 911 ดีหรือเสีย ได้หรือสูญ ตัดสินใจได้

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเป็นผู้ปกครองต้องรู้จักจัดการอำนาจ ฮ่องเต้ว่านลี่พระชนมายุยิ่งมาก ในวังนอกวัง แต่ทรงพระเยาว์ถึงวันนี้ ผ่านอะไรมากมาย ยิ่งรู้ว่ายิ่งต้องสมดุลอำนาจ  ยิ่งรู้ว่าการป้องกันผู้อื่นนั้นไม่อาจไม่มี อำนาจขุนนางมาก ก็ต้องระวัง หากปล่อยให้ใหญ่โตมากไป ก็ย่อมคุกคามถึงสถานะฮ่องเต้ของพระองค์เอง


หวังทงนำกำลังตะลุยแดนเหนือกลับมา ความชอบมากเกินไป ดังนั้นต้องกำราบ หากจะให้สมดุล หวังทงต้องรู้จักยอมถอยเอง ลงแดนใต้ไปแล้วกลับมาก็ขอไปอยู่ตอนเหนือด้วยตนเอง


แต่หลังหวังทงไปแล้ว ขุนนางบุ๋นก็เปลี่ยนเป็นเหิมเกริมทันที ใช้การแต่งตั้งรัชทายาทมาบีบฮ่องเต้ว่านลี่ให้สิ้นหนทาง ขุนนางบุ๋นคิดจะแทนอำนาจแบบจางจวีเจิ้งในตอนนั้น และไทเฮาก็ยังคงคิดคุมอำนาจบริหาร พระองค์ไม่กล้าเคลื่อนกำลัง ได้แต่ปล่อยให้พวกเขาอยู่ในที่ตั้งไม่เคลื่อนไหว


ก่อนหวังทงกลับเมืองหลวง แม้ว่าเป็นการโต้แย้งเรื่องลำดับอาวุโสของบุตรชาย แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กลับรู้สึกว่าเป็นการบีบอำนาจปกครองของพระองค์และตำแหน่งฮ่องเต้ของพระองค์ รู้สึกว่าตำแหน่งฮ่องเต้สั่นคลอน


หวังทงนำทัพออกปราบเผ่าอันต๋า ยึดเมืองกุยฮว่าเฉิง ไทเฮาฉือเซิ่งก็ส่งอิทธิพลกดดันฮ่องเต้ว่านลี่อย่างหนัก แต่พอหวังทงรบชนะกลับมา ทุกคนก็รีบหยุดลั่นกลองรบทันที ครั้งนี้ก็เช่นกัน ในวังนอกวังประสานเสียงรับกัน บีบฮ่องเต้ว่านลี่ไร้หนทาง แต่สุดท้ายพอหวังทงกลับมา ทุกอย่างก็เงียบสงบราวกับไม่เคยมีเรื่องราวมาก่อน


ตอนนี้หวังทงจะลาออกจากตำแหน่ง หากทรงผลักเรือลอยตามน้ำไป ก็ไม่ต้องกังวลว่าหวังทงจะครองอำนาจมากไป ไม่ต้องกังวลการสมดุลอำนาจขุนนาง แต่พอหวังทงบอกจะไปจริงๆ ผู้ใดจะรู้ว่าจากนี้จะเกิดกระแสนี่นั่นอีกหรือไม่ หวังทงมาช่วยไว้ถึงสองครั้ง สองครั้งล้วนได้รับผลตอบแทนไม่ดีนัก จากนี้ไป เขายังจะมาอีกหรือ? คนอื่นมองเห็นจุดจบหวังทงแล้ว ยังจะมาช่วยให้ซ้ำรอยแบบเดิมอีกหรือ?


คนที่ฮ่องเต้ว่านลี่สามารถทรงเชื่อใจได้ หวังทงเป็นเพียงคนเดียวที่มีกำลังสามารถ และยังได้แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดี คนอื่นไม่สามารถจัดการภาพรวมได้เช่นนี้  ความสามารถรอบด้านไม่ว่า พวกเขาจะมีความจงรักภักดีหรือไม่ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมือนหวังทง ที่รับประกันความจงรักภักดีได้ และยังสามารถแสดงถึงความภักดีทั้งสองครั้งไม่เปลี่ยน


พระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินเงียบมาก ฮ่องเต้ว่านลี่ยังคงประทับยืน ยืนเหม่อคิดอยู่ คนที่เหลือก็ได้แต่คุกเข่า นอกจากหวังทงที่ยังคงท่าตามเดิม สีหน้าท่าทางไม่แปรเปลี่ยนแล้ว คนอื่นๆ พากันสบตาไปมา บ้างก็ลอบมองสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่


ขุนนางบุ๋นไม่กล้ากล่าวอันใดอีก เมื่อครู่เซินสือหัง หวังซีเจวี๋ยกับปี้เชียงทูลขึ้นราวกับราดน้ำมันบนกองไฟ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็กริ้วหนักแล้ว หากยังทูลต่อ คงได้ถูกพระอารมณ์ระเบิดใส่เป็นแน่


ขันทีทุกคนที่คุกเข่า จางเฉิงสีหน้าสับสนที่สุด เขาคิดจะพูดแต่ก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ควรพูด หากพูดออกไป เกรงว่าจะได้ผลร้ายมากกว่า คนอื่นๆ ก็เอาแต่คุกเข่า ไม่กล้าเงยหน้า เรื่องเช่นนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับพวกเขา เจ้าจินเลี่ยงคุกเข่าอยู่นั่นก็คลานเข่าเดินเข้ามาด้านหน้า จางเฉิงลังเลครู่หนึ่ง คิ้วขมวดทันที จ้องมองหวังทง


ในตอนนี้จุดศูนย์กลางอยู่ที่ฮ่องเต้ว่านลี่ หวังทงอยู่หรือไป ล้วนขึ้นกับการตัดสินใจวินาทีนี้ของฮ่องเต้ หากตอนหวังเพิ่งยื่นฎีกาลาออก ฮ่องเต้ว่านลี่ปัดตกไปทันทีก็จบเรื่อง แต่ตอนนี้ไปสู่อีกกระบวนการแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ลังเลเงียบไป แสดงให้เห็นว่า ฮ่องเต้ไม่ได้ทรงกริ้ว แต่กำลังคิดหนักเรื่องจะรั้งหวังทงไว้หรือไม่


“เรา……”


ฮ่องเต้ว่านลี่ส่งเสียงออกมาคำหนึ่ง ทุกคนเงยหน้ามอง ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์ตรัสอีกว่า


“เสี่ยวเลี่ยง ไปเอากระถางไฟมานี่!”


ทุกคนอึ้งไป ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะรับสั่งอะไรที่เหมือนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังจัดการอยู่ตอนนี้แม้แต่น้อย เจ้าจินเลี่ยงพอได้ยินรับสั่งเช่นนี้ก็อึ้งไป รีบลุกขึ้นออกไปสั่งการ


เดือนแปดแล้ว  ในวังเตรียมกระถางไฟไว้อยู่ ไม่นานกระถางไฟก็ถูกยกเข้ามา ฮ่องเต้ว่านลี่กวักพระหัตถ์เรียกให้เคลื่อนกระถางไฟเข้ามาใกล้อีกนิด


พอมาถึงหน้าแท่นที่ประทับ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ก้าวลงมา โยนฎีกาในพระหัตถ์ลงไป กระดาษติดไฟ ลุกไหม้ทันที ควันลอยกระจายไปทั่วพระที่นั่ง มีคนอดไม่ได้ไอขึ้นเบาๆ


ฮ่องเต้ว่านลี่มองฎีกาลาออกของหวังทงถูกเผา จนกลายเป็นเถ้า จึงได้โบกมือให้คนนำออกไป  หวังทงเงยหน้าขึ้นมองการกระทำของพระองค์แต่ต้นจนจบ


“หวังทงสร้างความชอบใหญ่ พระราชทานยศถาและที่นา เรายังมีรางวัลอีก……งานองครักษ์เสื้อแพรตอนเจ้าไม่อยู่นั่นวุ่นวายมาก เจ้าควรไปจัดการให้ดี ไม่ต้องเอาแต่คิดว่าจะไปสบายที่ตอนเหนือ ปล่อยให้เราอุดอู้อยู่เมืองหลวงคนเดียว”


“ระบบองครักษ์เสื้อแพร กระหม่อมจะดูแลกวดขันให้เข้มงวด ขอทรงวางพระทัย”


หวังทงโขกศีรษะทูลตอบจริงจัง ฮ่องเต้ว่านลี่กวาดพระเนตรมองขุนนางใหญ่ตรัสอีกว่า


“ลุกขึ้นทุกคน คุกเข่าอยู่นานแล้วไม่ปวดขาหรือไง หากยังมีฎีกาก็รายงานมา!”


พระกระแสรับสั่งเริ่มรำคาญเล็กน้อย ขุนนางพากันลุกขึ้น พวกอายุมาก็อาศัยจังหวะนี้ขยับขาไปมา จากนั้นก็ลอบมองไปยังหวังทงกับฮ่องเต้ว่านลี่ เรื่องนี้นับว่าจบแล้ว เห็นสองคนถามตอบกัน เหมือนเมื่อครู่ไม่ได้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น แต่วาจาพวกนั้นทุกคนได้ยินกับหู กระดาษแม้เผาไปหมดแล้วก็ยังส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่ว


“เลิกประชุม~~~”


ทุกคนไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง  ได้ยินขันทีขานปิดประชุม เงยหน้าขึ้นอีกที ฮ่องเต้ว่านลี่ก็หันพระวรกายกลับออกไปแล้ว


หวังซีเจวี๋ยสะบัดแขนเสื้อ กำลังจะเข้าไปกล่าวอันใด ก็มีคนรั้งไว้ หันไปมอง เป็นมหาอำมาตย์เซินสือหังส่ายหน้า สีหน้าจริงจัง หวังซีเจวี๋ยลังเลไปมา ก็ส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ


พอเลิกประชุม ราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่ทุกท่านก็ไปทำงานที่หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อต่อ เสนาบดีหกกรมกองกับเจ้ากรมสำนักตรวจสอบก็หันหลังกลับ ปล่อยหวังทงไร้เพื่อนเดิน หวังทงเองไม่สนใจ


มีขุนนางใหญ่ลอบสังเกตสีหน้าหวังทง ทว่าพวกเขาต้องผิดหวัง หวังทงแม้อายุยังน้อย แต่ก็แสดงออกนิ่งเฉยมาก ตั้งแต่เข้าประชุมจนเลิกประชุม สีหน้าก็ยังคงไม่แปรเปลี่ยน


ตอนเดินไปถึงระเบียงคด เจ้าจินเลี่ยงวิ่งตามมาด้านหลัง ระยะห่างพอควรแล้วก็โบกมือเรียกดังว่า


“ใต้เท้าหวังโปรดรอก่อน ฝ่าบาทมีกระแสรับสั่ง!”


ขุนนางใหญ่หลายคนก็พลอยหยุดฝีเท้าไปด้วย แม้ว่าตามมารยาทแล้วพวกเขาไม่ควรหยุดฟังก็ตาม  แต่เรื่องใหญ่ในราชสำนัก รับสั่งฮ่องเต้ ได้ยินมากอีกสักหน่อย เข้าใจมากอีกสักหน่อย อย่างไรก็ไม่ผิด


หวังทงถวายคำนับรับพระบัญชา เจ้าจินเลี่ยงยืนกล่าวเสียงดังว่า


“ฝ่าบาท มีกระแสรับสั่งว่า ให้หวังทงวางใจทำหน้าที่ต่อไป ไม่ต้องคิดมาก รับราชโองการ!”


ประกาศจบ เจ้าจินเลี่ยงรีบก้าวเข้าไปประคองหวังทงกล่าวว่า


“พี่หวัง มีแค่นี้ ไม่มีอย่างอื่นแล้ว”


ขุนนางใหญ่หลายคนที่หยุดฟังสบตากัน พากันส่ายหน้า เห็นได้ถึงสีหน้าผิดหวังของทุกคน แต่เรื่องถึงบัดนี้ พวกเขาเขาที่ยังมีหวังริบหรี่อยู่นั่นก็พังทลายสิ้น พวกเขาไม่อาจทำอันใดได้อีกแล้ว


***************


“น้องหวังกระทำเช่นนี้ก็เสี่ยงไป แม้ว่ามั่นใจ แต่หากพลิกผันเล่า!?”


ในจวนหวังทงคืนนั้น มีงานเลี้ยงเล็กๆ  คนที่มาร่วมก็มีเพียงหลี่ว์วั่นไฉคนเดียว พออาหารขึ้นโต๊ะครบ สองคนนั่งลง หลี่ว์วั่นไฉก็กล่าวขึ้น


วาจามีน้ำเสียงตำหนิ หวังทงยิ้มไม่รับคำ หลี่ว์วั่นไฉกลับควักเอาฎีกาจากอกเสื้อ ออกมาจุดไฟเผาทิ้ง จากนั้นก็โยนลงกระถางทองแดง ดูเผาหมดแล้วก็กล่าวอีกว่า


“หากฝ่าบาทอนุญาตให้น้องหวังลาออกจริง พี่อย่างไรก็ต้องยื่นฎีการั้งไว้ ยังอาจกระเทือนถึงขุนนางอีกหลายคน ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่ารั้งกลับคืนมาได้หรือไม่ ยังต้องลงมืออีกหลายขั้นตอน”


“นี่คือฎีกานั่นกระมัง?”


หวังทงยิ้มถาม เห็นหลี่ว์วั่นไฉพยักหน้า หวังทงยกจอกสุราแสดงการคารวะ ชนจอกสุรากับหลี่ว์วั่นไฉแล้วก็กล่าวว่า


“พี่หลี่ว์ไม่ต้องกังวล ฝ่าบาทใช่ว่าเผาฎีกาข้าไปแล้วหรือ?  แสดงให้เห็นท่าทีฝ่าบาท……”


หลี่ว์วั่นไฉกระดกจอกสุราดื่มจนหมด ส่ายหน้ากล่าวว่า


“เรื่องวันนี้คนในเมืองหลวงที่ควรรู้ก็รู้กันหมดแล้ว น้องหวังยื่นฎีกาลาออก ฝ่าบาทลังเลนาน  นี่มันอันตรายมาก แสดงให้เห็นชัดว่า ฝ่าบาทเองก็หวั่นไหวเรื่องให้เจ้าลาออกเช่นกัน เกิดทรงอนุญาตเล่า น้องหวังสร้างความชอบมามากมาย เมืองหลวงจัดการไว้มากมาย สุดท้ายใช่ว่าหมดสิ้นราวหมอกควันหรือ หรือว่าจะต้องต่อสู้ลำบากอีกสักตั้งให้ได้กัน!?”


“พี่หลี่ว์ แม้ว่าครั้งนี้อันตราย  แต่ท่านไม่อาจไม่คิดว่าหลังครั้งนี้ไปแล้ว ข้าจะมั่นคงในเมืองหลวงมายิ่งขึ้น ฝ่าบาทแม้ลังเล แต่ทรงทำเช่นนี้ กลับทำให้แต่ละฝ่ายในเมืองหลวงได้รู้ว่า คิดจะใช้วาจาความดีความชอบเหนือนายมาโจมตีข้านั้นไม่ได้แล้ว!”


สาวใช้ยกกระถางไฟที่ดับมอดออกไป หลี่ว์วั่นไฉหยุดวาจาไว้ก่อน พอสาวใช้ออกไป หลี่ว์วั่นไฉถอนหายใจยาวกล่าวว่า


“ไยต้องลำบากเช่นนี้ ครั้งนี้เจ้าช่วยฝ่าบาทไว้ยิ่งใหญ่ เท่ากับสร้างคุณความชอบกับฝ่าบาท น้ำใจนี้มอบให้ฝ่าบาทใช่ว่าจะได้ประโยชน์ใหญ่หรือ เจ้าทำเช่นนี้เท่ากับหมดกัน หากเหมือนปีก่อน อืม ไม่สู้ตอนเจ้าสร้างความชอบใหญ่กลับมา!”


หวังทงหุบยิ้ม  เล่นจอกชาในมือไปมา กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า


“น้ำใจจะสักเท่าไรกัน คุณความชอบจะสักเท่าไรกัน ทุกอย่างพอเกี่ยวพันถึงอำนาจ ล้วนไร้ราคาจะเอ่ย หากข้ายังคิดว่ามีคุณความชอบกับฝ่าบาท ฝ่าบาทก็จะยิ่งไม่สบายพระทัย หากยามนี้มีคนคิดยุแยงให้ฝ่าบาททรงระแวง เช่นนี้ก็จะเป็นภัยใหญ่ การทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ฝ่าบาทละทิ้งที่ทรงติดค้างไว้ทุกสิ่ง คิดเพียงผลได้ผลเสียเท่านั้น หากไม่มีหวังทงอยู่ข้างพระวรกาย สถานการณ์จะเปลี่ยนไปเช่นไร ฝ่าบาทย่อมทรงวิเคราะห์เองได้กระจ่าง ทรงให้ข้าได้อยู่ต่อ จากนี้ข้าอยู่เมืองหลวงก็จะมั่นคงแท้จริง”


หลี่ว์วั่นไฉได้ยินวาจาหวังทงกเงียบไปนานก่อนจะถอนหายใจกล่าวว่า


“ปีนั้นเช่นนี้ วันนี้ก็ไม่ต่าง มันช่าง…”


ที่ต้องการพูดไม่อาจพูดต่อ


ตอนที่ 912 ปลายปีที่เหลือในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 13

โดย

Ink Stone_Fantasy

การเมืองไม่มีคนคิดหาเรื่องใส่ตัวอีก ได้ยินบทสรุปราชสำนักเช่นนี้ ก็รู้ว่าหวังทงกลับเมืองหลวงมาแล้ว และยังมีสถานะที่มั่นคงมากอีกด้วย


ในเมื่อหวังทงกล่าวชัดเจนในที่ประชุมขุนนางแล้ว ผู้บัญชาการกองกำลังเมืองหลวงตำแหน่งนี้ก็ไม่ได้มอบให้เขาตามที่ลือกัน เมืองหลวงมีกำลังมากพอ ยังมีชนชั้นสูงที่นำกำลังเป็น และคนนี้ยังค่อนไปทางฮ่องเต้ว่านลี่ ก็คือเซียงเฉิงป๋อเฉินจินเซิ่ง ไม่ได้เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เป็นตัวเลือกที่แน่นอนตามคาด


ทว่าการรับตำแหน่งนี้ก็ทำให้คนรู้สึกเสียดแทงไม่น้อย เซียงเฉิงป๋อเฉินจินเซิ่งเป็นผู้บัญชาการคุมกองกำลังเมืองหลวง ลูกชายเขาเป็นหัวหน้ากองกำลังหย่งซื่อ อำนาจการทหารตระกูลเฉินใช่ว่าครองครึ่งหนึ่งของกองกำลังเมืองหลวงนี้หรือ


เสียดแทงจริงๆ เพราะข่าวหวังทงทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ตระกูลเฉินพ่อลูกเลยได้ไปครองแทน แล้วก็กลับไม่มีผู้ใดวิจารณ์อีก


เป็นเรื่องปกติที่ชนชั้นสูงปกติมีชื่อแค่คุมกำลัง แต่ไม่มีอำนาจสั่งการจริง กองกำลังสังกัดวังหลวงจะมอบให้ขันทีที่เป็นตัวแทนจากในวังมีหน้าที่ดูแลหลัก ยามนี้กองกำลังเมืองหลวงแสนกว่าที่สำคัญที่สุดก็คือกำลังใต้การควบคุมของขุนพลทหารที่มาจากลานฝึกหู่เวย เช่นนี้ก็จะไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ว่าสั่งเคลื่อนกำลังไม่ได้ หรือที่เรียกว่าบ่าวเหนือกว่านาย นายไม่อาจสั่งการได้


พ่อลูกตระกูลเฉินรวมทั้งตระกูลถัง ตอนนั้นเป็นวงชนชั้นสูงเมืองหลวงชายขอบ ตอนนี้กลับได้เป็นตระกูลอันดับต้น พ่อลูกล้วนดำรงตำแหน่งที่ทรงอำนาจ


ยังมีอีกตำแหน่งที่ไม่ค่อยเป็นที่จับตาก็คือ ผู้ว่าเมืองเว่ยฮุยสวีกว่างกั๋วที่สร้างผลงานได้ดี จึงได้ไปเป็นรองที่ปรึกษาฝ่ายขวากรมปกครองประจำเหอหนาน  ก็เท่ากับก้าวไปอีกขั้น อาจเป็นไปถึงเจ้ากรมปกครองท้องที่  ดูแลราษฎรทั้งมณฑล  แม้ยามถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวงก็คงได้ไม่ต่ำกว่าตำแหน่งเจ้ากรม


มีคนอุทานว่าหวังทงมีขึ้นมีลง แต่คนที่สัมพันธ์กับเขาล้วนได้เรืองอำนาจวาสนา สวีกว่างกั๋วมาจากตำแหน่งจวี่เหริน ตระกูลเฉินเป็นชนชั้นสูงตกอับ  ยังมาสู่สถานะตอนนี้ได้ ไม่ต้องพูดถึงพวกองครักษ์เสื้อแพรปลายแถว ที่ตอนนี้ล้วนเรืองอำนาจวาสนา


**************


ตั้งแต่หวังทงยื่นฎีกาลาออก แม้ว่าฎีกาถูกฮ่องเต้ว่านลี่เผาทิ้งต่อหน้าที่ประชุม ตำแหน่งหน้าที่เดิมก็ยังทำต่อไป แต่ปกติตอนหวังทงอยู่เมืองหลวง อย่างน้อยสามวันก็ต้องเข้าเฝ้า แต่ทว่าปีนี้ มาถึงกลางเดือนเก้า ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้เรียกเข้าเฝ้า ยังเป็นการเข้าเฝ้าแบบประชุมหารือใหญ่กับขุนนางหลายคน


ผู้ใดก็รู้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่กำลังกริ้วที่หวังทงขอลาออก ทว่าความเหินห่างนี้ ผู้ใดก็ไม่คิดว่าเป็นการสูญอำนาจของหวังทงคิดแต่ว่าหวังทงจากนี้คงยืนมั่นคงยิ่งขึ้น


ขุนนางบัณฑิตในราชสำนักน้อยใหญ่ กล้ามีเรื่องกับฮ่องเต้เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท กล้าทำเรื่องเล็กขี้ปะติ๋วให้เป็นเรื่องใหญ่ระดับหลักจารีตคุณธรรมใหญ่ แต่สถานการณ์มาถึงตอนนี้ พวกเขาย่อมรู้ว่าควรประจบฮ่องเต้


ฮองเฮาหวังพระวรกายอ่อนแอ ไม่อาจมีโอรสได้ พระญาติก็เหิมเกริม ทำลายชื่อเสียงราชวงศ์ เหตุผลอีกมากมายหลายข้อ บรรดาขุนนางก็จึงร่วมยื่นฎีกาขอให้ฮ่องเต้ว่านลี่แต่งตั้งฮองเฮาใหม่


ฮองเฮาหวังมีไทเฮาฉือเซิ่งเป็นที่พึ่ง ตอนนี้ไทเฮาออกจากวังไปพำนักที่จวนอู่ชิงโหวเพื่อ ‘รักษาพระวรกาย’  โอรสพระสนมเอกเจิ้งได้เป็นรัชทายาท  สถานการณ์นี้ยังมีอันใดไม่กระจ่างอีก ทุกคนพลาดโอกาสแต่งตั้งรัชทายาทไปแล้ว ก็ต้องชดเชยคืน ด้วยการขอให้แต่งตั้งพระสนมเอกเจิ้งแทน


จุดยืนแปรเปลี่ยนไปมาก ประชาย่อมเสียดสี แต่พวกเป็นขุนนาง นอกจากพวกยอมหักไม่ยอมงอแล้ว ผู้ใดก็ล้วนใส่ใจเรื่องเล็กพวกนี้ พากันออกมาประสานเสียงรับเรื่องแต่งตั้งฮองเฮาใหม่


ในวังก็ร้องรับเรื่องนี้ ฎีกาเกี่ยวกับฮองเฮาฮ่องเต้ว่านลี่เก็บค้างไว้หมด แต่ก็ยังเรียกตัวมหาอำมาตย์เซินสือหัง รองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยในคณะเสนาบดีใหญ่ และเสนาบดีกรมพิธีการคนใหม่ จูชง ยังมีหวังทงมาร่วมหารือ เดิมคิดว่าอาจมีข้อพิพาทบ้าง แต่ความจริงแล้วกลับราบรื่นดี


ฮ่องเต้ว่านลี่ได้จัดการกำราบขุนนางทั้งหมดไปในครั้งเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทแล้ว การเปลี่ยนฮองเฮานี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ทุกคนไม่จำเป็นต้องออกมาหาเรื่องขัดแย้ง


เสนาบดีกรมพิธีการจูชงถึงกับยังเสนอเรื่องพิธีการแต่งตั้ง สุดท้ายกลับเป็นฮ่องเต้ว่านลี่เองที่ทรงคิดหนัก รู้สึกว่าปีนี้เรื่องวุ่นวายมากมายแล้ว สู้เอาไว้ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 ค่อยเปลี่ยนฮองเฮาจะดีกว่า ทุกคนก็ล้วนเห็นตามนั้น


ปลายเดือนสิบ ครอบครัวหวังทงก็มาถึงเขตปกครองเหนือภายใต้การคุ้มกันของทหารคุ้มกัน จากนี้ไปภาระหน้าที่หวังทงจะอยู่ที่เมืองหลวง ครอบครัวก็ย่อมตามมาอยู่ด้วย


ตอนนี้พระสนมเอกเจิ้งมีอำนาจสั่งการมากในวังหลัง และพระสนมเอกเจิ้งยังสนิทกับจางเฉิงและโจวอี้ที่เรืองอำนาจ ยังมีเจ้าจินเลี่ยงอีก ยิ่งทำให้พระสนมเอกเจิ้งเรืองอำนาจมาก หวังทงข้างนอกแม้ว่าไม่ได้กุมอำนาจกองกำลังเมืองหลวง แต่อำนาจบารมีเขานั้นไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถาม


ข้างในมีพระสนมที่ทรงโปรด ข้างนอกมีขุนนางทรงอำนาจ ขุนนางบุ๋นสูญอำนาจ โครงสร้างนี้เรียกได้ว่าวันเวลาแห่งความมืดมิดที่คนมักว่ากัน พระสนมและขุนนางชั่วร่วมมือกัน ให้ร้ายคนดี บันทึกพวกนี้แต่ไรมาก็มีอยู่มากมาย มีบัณฑิตเริ่มเขียนบทความเช่นนี้ พรรคพวกเขาที่โรงงิ้วก็เตรียมเล่นเรื่องนี้


ในเรื่องนี้หวังทงได้แต่หัวเราะขำ เรื่องเช่นนี้ทำอันใดเขาไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก ทว่าหยางซือเฉินกลับใส่ใจมาก และยังบอกว่าราษฎรไม่รู้เรื่อง งิ้วเขียนเช่นนั้น ก็จะคิดว่าเป็นเช่นนั้น เขาจึงได้เรียกตัวบัณฑิตมากลุ่มหนึ่งเตรียมตัวเขียนบทงิ้วโต้กลับ


เมืองหลวงและเขตปกครองเหนือ รวมมณฑลซานซี ซานตงและเหอหนาน หวังทงล้วนมีสายสืบอยู่ อย่างไรก็เป็นตอนเหนือ เมืองหลวงควบคุมได้ดี กระแสวิพากษ์วิจารณ์หวังทงในเมืองหลวงครั้งนี้ถูกระงับลงอย่างรวดเร็ว และค่อนข้างเอนเอียงเป็นพวกฮ่องเต้ว่านลี่ แต่แดนใต้นั้นกลับกัน ทางนั้นเดิมเป็นพื้นที่มั่นของลูกหลานที่เป็นขุนนางบุ๋น ครั้งนี้ที่เสียหายมากที่สุดก็คือพวกเขา ย่อมต้องไม่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ดีนัก


หวังทงกลับไม่รู้สึกหนักใจในเรื่องนี้ หากเป็นเมื่อก่อน  กระแสโกรธแค้นแดนใต้ หวังทงอย่างไรก็ย่อมไม่อาจรู้ได้ แต่ตอนนี้ นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนานจิงจางเหลียนเซิงทำงานฉับไว ข่าวต่างๆ รายงานมายังเมืองหลวงอย่างเร็วที่สุด ความต้องการของหวังทงก็คือ ให้ร้านสามธาราส่งคนมากหน่อยไปแดนใต้ ที่นั่นมีการค้าที่ประมาณมิได้ หวังทงไปมาครั้งหนึ่ง ก็รู้สึกว่าจะต้องสร้างเส้นทางการข่าวของตนเองที่นั่น


****************


ผ่านปีที่ 12 และ 13  ในรัชสมัยว่านลี่ สองครั้งที่ทรงถูกบีบจนอึดอัดไปไม่เป็น ฮ่องเต้ว่านลี่ในที่สุดก็รับรู้แล้วว่า สถานะฮ่องเต้ไม่ได้หมายความจะทรงกุมอำนาจทุกอย่างไว้ในมือได้ ต้องสั่งการได้จึงจะเป็นผล


ขุนพลทหารเมืองเซวียนฝู่กับเมืองจี้โจวและขุนพลทหารที่มาจากลานฝึกหู่เวยถูกโยกไปกองกำลังเมืองหลวงกับกองกำลังสังกัดวังหลวง  ฮ่องเต้ว่านลี่เตรียมการในเรื่องนี้ไม่หยุด


ขณะฮ่องเต้ว่านลี่กำลังโยกย้ายทหาร หวังทงกลับไปเทียนจินหลายครั้ง แม้ว่าเมืองหลวงจะมั่นคงแล้ว แต่หวังทงก็รู้ว่าตนเองเรืองอำนาจมีอิทธิพลยิ่งมาก ไม่ว่าพูดอย่างไรก็ย่อมต้องส่งผลให้อำนาจฮ่องเต้อ่อนแอลง อย่างไรห่างไกลไว้หน่อยดีกว่า


เรื่องอิทธิพลบนท้องทะเลที่เทียนจิน ตามที่ได้คุยส่วนตัวกับทังซาน ซาต้าเฉิงนำครอบครัวจากเขตปกครองใต้มาอยู่เทียนจินแล้ว และยังซื้อที่ทำนาในเขตเมืองหย่งผิงและซุ่นเทียน เตรียมลงหลักปักฐาน แต่เสิ่นหวั่งกลับอยู่เทียนจินน้อยลง


จางซื่อเฉียงส่งคนปะปนไปในกองกำลังของเสิ่นหวั่ง เสิ่นหวั่งแท้จริงแล้วมีลูกที่อื่นอีกหรือไม่ ปีนี้ก็จะได้คำตอบ


ยามนี้เมืองเหลียวโจวระแวงป้องกันเทียนจินมากยิ่งขึ้น ทว่าการค้าทางทะเลก็ยังคงมากอยู่ สินค้าเทียนจินราคายังคงสูง คิดจะไล่ไปก็คงไม่ได้


บรรดาพ่อค้าเทียนจินเริ่มถูกกีดกันมากขึ้นเรื่อยๆ เดิมที่เปิดร้านไว้ที่เหลียวหยางและเสิ่นหยางหลายร้านก็ถูกขับออกไป ตอนนี้มีเหลือแค่สามที่ คือเหนียงเหนียงกงที่ปากน้ำเหลียวเหอ วั่นไห่ไถที่กองกำลังหนิงหย่วน และยังมีเหลียนอวิ๋นที่เกาะเหลียนอวิ๋นเท่านั้น บรรดาพ่อค้าต่างแสดงความกังวลในเรื่องนี้มาทางหวังทง ตอนนี้แม้ว่ายังกำไร แต่วันหน้าจะเป็นเช่นไร?


ทว่าราวปลายเดือนสิบ  ก็ต้องปิดทะเลปิดเส้นทางน้ำ มีแต่เส้นทางบกที่มาทางเมืองหย่งผิงกับด่านซานไห่กวาน อ้อมไกลไปเมืองเหลียวโจว ทุกอย่างยุ่งยาก แต่เรื่องนี้ยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน


*****************


ถึงเดือนสิบเอ็ด เมืองกุยฮว่าเฉิงเกิดเรื่อง


เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นพื้นที่นอกชายแดนแผ่นดินหมิงตอนเหนือ รอบด้านล้วนเป็นศัตรู ไม่มีเรื่องสิแปลก แต่ครั้งนี้กลับเป็นกระแสดังในเมืองหลวง


ขุนนางกรมอากรกับกรมโยธาและสำนักอาชาหลวงที่ประจำอยู่เมืองกุยฮว่าเฉิง บางคนก็อยู่ประจำ บางคนก็ไปตอนฤดูใบไม้ผลิ ใกล้ปีใหม่ก็จะกลับมารายงานตัว


เรื่องเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่ซับซ้อน ขบวนพ่อค้าหนึ่งขึ้นตอนเหนือเมืองกุยฮว่าเฉิงไปถูกปล้น ไม่ใช่ทุกขบวนพ่อค้าที่จะป้องกันแน่นหนา ที่สามารถจะรอกำลังมาช่วยเหลือตอนกองโจรม้ามา ขบวนพ่อค้าถูกกองโจรม้าปล้น จากนั้นก็บาดเจ็บไปกว่าครึ่ง คนที่เหลือคือหนีอออกมา


ตามกฎเมืองกุยฮว่าเฉิง ขบวนพ่อค้าแขวนป้ายคุ้มกันเสียเปรียบย่อมต้องกลับมาเรียกร้อง พ่อค้าที่เสียหายไปก็ย่อมแค้นใจส่งกำลังออกไป ตอนนี้ทุ่งหญ้านอกด่านเป็นที่พักของลูกหลานชนชั้นสูงเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่น้อย พวกนี้เป็นพวกเก่งการต่อสู้ไม่น้อย เห็นเมืองกุยฮว่าเฉิงรุ่งเรือง ก็ย่อมต้องลงมือเพื่อกอบโกยให้ตนเองบ้าง


การเอาคืนนี้ นอกจากกองกำลัง 300 นายที่ควรไปแล้ว ยังมีคนนอกเมืองที่อยากไปร่วมด้วยอีกราวพันนาย ทุกคนไปอย่างฮึกเหิม กองโจรม้านั่นหนีไปอย่างไร้ล่องลอยก่อนหน้าแล้ว จะไปหาพบได้อย่างไร


แต่กองทัพม้าใหญ่ออกนอกเมือง อย่างไรก็ไม่ควรมือเปล่ากลับมา ดังนั้นทุกคนก็วิ่งออกไปทางตะวันออกอีกสองวัน เพื่อหาเผ่ารอบนอกของพวกเผ่าฉาฮาเอ่อ ลงมือทันที กวาดล้างปล้นชิงสัตว์เลี้ยงและเงินทองกลับเมืองกุยฮว่าเฉิง


หลังจากนั้นเผ่าฉาฮาเอ่อก็รวมบรวมทหารม้าหลายพันนายมาเอาคืน ขวางทางขบวนพ่อค้าไปเมืองกุยฮว่าเฉิง จากนั้นร้านค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงก็รวมกำลังผู้คุ้มกัน 2,000 กว่าพร้อมรถใหญ่และปืน ยังมีทหารม้าประจำเมืองอีก 3,000 ไปด้วย เพื่อทำลายกองกำลังทหารม้าหลายพันให้สิ้นซาก


จากนั้นไม่รู้เป็นมาอย่างไร  ขุนนางกรมอากรที่ยื่นฎีกาเรื่องนี้กลับเมืองหลวง มาถึงก็ยื่นฎีกาฟ้อง เหตุผลก็คือ การทำเช่นนี้เป็นการสร้างภัยให้แผ่นดินหมิง และยังไร้คุณธรรม จะทำให้เผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้าเอาใจออกห่าง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)