ลำนำบุปผาพิษ 907-914
บทที่ 907 เจ้าอยากฟังความจริงหรือความเท็จ?
ไม่เหมือนตอนนี้ ตอนนี้ผู้ที่อยู่ข้างกายเธอคือตี้ฝูอี อารมณ์จึงยินดีลิงโลดอย่างน่าประหลาด ราวกับได้ครองโลกทั้งใบ
ตี้ฝูอีมีนิสัยรักสะอาด และเห็นได้ชัดว่าเจ้าคนผู้นี้ไม่เคยเดินตลาดกลางคืนมาก่อน ดังนั้นยามที่กู้ซีจิ่วลากเขาไปกินอาหารแผงข้างทาง เขาจึงขัดขืนอยู่บ้าง…
กู้ซีจิ่วอธิบายให้เขาเข้าใจ ว่าวัฒนธรรมอาหารของเมืองๆ หนึ่งความจริงมิใช่หูฉลามรังนกที่อยู่ในภัตตาคารหรู แต่เป็นแผงริมทางที่ตลาดกลางคืนเหล่านี้ พวกมันสิถึงจะเป็นของว่างที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองๆ นั้น
ภายใต้ถ้อยคำล่อหลอก ในที่สุดตี้ฝูอีก็นั่งลงหน้าแผงของวางเหล่านั้นเป็นเพื่อนเธอ…
แน่นอนว่ายามที่เขานั่งลงยังคงใช้วิชาชำระล้างอยู่ดี ม้านั่งที่พวกเขาสองคนนั่งเอี่ยมอ่องปานล้างด้วยน้ำ โต๊ะเก้าอี้บางส่วนบนแผงเดิมทีเปื้อนคราบเขม่าจนมองสีสันดั้งเดิมไม่ออกแล้ว แต่หลังจากผ่านการนั่งการใช้จากท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ก็ประหนึ่งลอกคราบ เผยให้เห็นสีสันดั้งเดิมที่อยู่ภายใน อันที่จริงตี้ฝูอีไม่สนใจของว่างพวกนี้เท่าไหร่ เขาจกจิกเรื่องอาหารการกินเป็นที่สุด อาหารจานเด็ดที่พ่อครัวชื่อดังเหล่านั้นรังสรรค์ออกมาล้วนไม่อาจทำให้เขาชายมองมากกง่าหนึ่งครั้งได้ นับประสาอะไรกับของว่างที่อุดมด้วยรสชาติดั้งเดิมประเภทนี้
เพียงแต่พอเขาเห็นกู้ซีจิ่วกินของว่าง เขาก็อดไม่ได้ที่จะกินตาม…
ระหว่างที่กู้ซีจิ่วกินๆ อยู่ก็สัมผัสได้เป็นครั้งคราวว่าเขามองเธออยู่ตลอด กินของในมือคำหนึ่งก็มองเธอแวบหนึ่งแทบจะทุกครา ราวกับมองเธอต่างกับข้าว…
เมื่อเห็นคนที่อยู่สูงส่งเหนือปวงชนมาโดยตลอด ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนล้วนมีคนคุกเข่าคารวะดั่งการสาดน้ำล้างถนนรับขบวนเสด็จกลับมานั่งกินอาหารแผงข้างทางอย่างคับข้องหมองใจอยู่ที่นี่ กู้ซีจิ่วรู้สึกผิดบาปอยู่บ้าง และค่อนข้างยินดีอยู่บ้าง ถามเขาอย่างจงใจว่า “อร่อยไหม?”
ตอนนั้นตี้ฝูอีกำลังพยาพยามแทะลูกชิ้นสีเหลืองอร่ามไม้หนึ่งอย่างอยู่ เมื่อได้ยินประโยคนี้ของเธอจึงเงยหน้าขึ้นมา ครุ่นคิดเล็กน้อย ถามเธออย่างตรงไปตรงมายิ่ง “เจ้าอยากฟังความจริงหรือความเท็จ?”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก เธอยิ้มออกมาอย่างอดไว้ไม่อยู่
ดึงเขาให้ลุกขึ้น “เอาล่ะ ไม่รังแกกระเพาะท่านแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
ตี้ฝูอีราวกับยกภูเขาออกจากอก โยนลูกชิ้นที่ทำให้เขารู้สึกปวดกระเพาะไม้นั้นทิ้ง จูงมือเธอเดินเที่ยวต่อ
ตี้ฝูอีร่ำรวยยิ่งนัก ไม่ว่ากู้ซีจิ่วต้องตาสิ่งใด เขาก็ซื้อโดยไม่พูดอะไรเลย เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง พ่อค้าทั่วทั้งถนนล้วนทราบว่าสองคนนี้คือเศรษฐีใหญ่…มองพวกเขาอย่างมีมารยาทและเอาใจใส่ยิ่งนัก…
เดินเที่ยวเช่นนี้อยู่หนึ่งรอบ กู้ซีจิ่วเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากมายนัก
โชคดีที่เธอมีถุงเก็บของไร้เทียมทานใบนั้นอยู่ ไม่ว่าข้าวของจะมากมายสักเท่าไหร่โยนเข้าถุงเก็บของก็จบเรื่องแล้ว ไม่มียุ่งยากเลยสักนิด
อันที่จริงข้าวของที่ร้านค้าทั่วไปเหล่านี้ขายเพียงกล่าวได้ว่ามีเอกลักษณ์เท่านั้น ข้าวของที่ลำค่าหายากจริงๆ ไม่มีเลย กู้ซีจิ่วก็แค่ซื้อมาเล่นๆ มอบให้คนอื่นตามวาระ
ทั้งสองคนเพียงแต่เดินเล่นเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ตี้ฝูอีอยู่กับกู้ซีจิ่วแล้วดูเบิกบานยิ่งนัก
เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าตนจะมีเวลาว่างมาเดินเที่ยวตามถนนเช่นนี้ เขาก็เคยไปเดินเตร็ดเตร่เหมือนกัน แต่ทุกที่ที่เขาเคยไปเดินล้วนเป็นสถานที่ที่มีทิวทัศน์งดงามทั้งสิ้น เป็นการเดินเล่นชมทิวทัศน์เท่านั้น เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มาเดินเที่ยวตามท้องถนนกับเด็กสาวอย่างแท้จริง คาดไม่ถึงว่าจะไม่รู้สึกหงุดหงิดเลยสักนิด ซ้ำยังเป็นสุขนัก โดยเฉพาะยามที่ได้เห็นดวงตาของนางพราวระยับ เขายิ่งเป็นสุขกว่าเดิม
ถึงแม้พวกเขาจะแปลงโฉมแล้ว แต่ก็เป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง อีกทั้งฝ่ายชายสง่างามดั่งต้นหยก ฝ่ายหญิงงามอรชรปานดอกเสาเย่า[1]
พ่อค้าเหล่านั้นเชี่ยวชาญการเยินยอนัก ชมเชยอยู่เนืองๆ ว่าพวกเขาเป็นสวรรค์อำนวยคู่ ปฐพีอำนวยพร
มุกคู่หยกเอย คู่สร้างคู่สมเอยถ้อยคำเหล่านี้สาดเทใส่พวกเขาอย่างกระตือรือร้น
ทุกครั้งที่พวกเขาเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมา ดวงตาตี้ฝูอีจะหยีโค้งยิ่งนัก และใจกว้างเป็นพิเศษ บางครั้งก็ตกรางวัลผู้อื่นมากกว่าราคาของที่เขาซื้อเสียอีก
————————————————————————————-
บทที่ 908 เจ้าแสร้งไขสือ!
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะหมดคำพูดกับการกระทำเช่นนี้ของเขา แต่ในใจก็รู้สึกอบอุ่น
อันที่จริงบางครั้งตี้ฝูอีก็มีนิสัยเด็กน้อยอย่างยิ่ง ทำให้เธอรู้สึกว่าน่ารักมาก อยากกจะกอดเขาเหลือเกิน…
เธอเป็นคนคิดแล้วลงมือทำทันทีคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ เธอจึงกอดเขา…สอดมือคล้องแขนเขาไว้ ควงแขนเขาเดินเหมือนเหล่าคู่รักมากมายในยุคปัจจุบัน…
ถึงอย่างไรผู้คนในยุคนี้ก็ยังหัวโบราณอยู่บ้าง บนถนนถึงแม้จะมีคู่รักอยู่ไม่น้อย แต่ทุกคนมากสุดก็แค่จูงมือกันนั้น ส่วนมากจะเดินหนึ่งนำหนึ่งตามหรือไม่ก็เดินเคียงกัน
ชาติก่อนตอนที่กู้ซีจิ่วกับหลงซีเดินเที่ยวอย่างมากก็แค่จับมือกัน แถมยังรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยด้วย…
แต่ตอนนี้ยามที่เธอเดินควงแขนตี้ฝูอี คาดไม่ถึงว่าจะรู้สึกสบายใจเป็นตัวของตัวเองมาก ราวกับทำไปตามธรรมชาติ
ตี้ฝูอีย่อมไม่ขัดขืนการกระทำเช่นนี้ของเธอ เขาดีใจมากด้วยซ้ำ
ยามที่กู้ซีจิ่เริ่มกอดแขนเขาเขายังรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยถูกผู้ใดกอดไว้เช่นนี้มาก่อน แต่ความสามารถในการปรับตัวของเขากล้าแกร่ง ปรับตัวได้รวดเร็วยิ่ง ถึงขั้นกลายเป็นความเคยชินไปในทันทีด้วยซ้ำ
ยามที่กู้ซีจิ่วง่วนอยู่กับการซื้อของหน้าแผงลอยจะปล่อยแขนของเขาหยิบจับเลือกสรรอยู่ตรงนั้น บางครั้งพอออกมาแลวเธอก็ลืมว่าต้องควงแขนเขาต่อ เขก็จะดึงเธอมาอยู่ข้างกายตน จากนั้นก็ยื่นแขนให้เธอคล้องอีกครั้ง…
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่าย้าย ท่านปรับตัวได้เร็วไปหรือเปล่า?” กู้ซีจิ่วหยอกเขายิ้มๆ
“เปลี่ยนคำเรียกขานข้า” ตี้ฝูอีลูบมือเธอ
“ตี้ฝูอี?”
“เรียกชื่อพ่วงแซ่ ห่างเหินเกินไปแล้ว!” ตี้ฝูอีไม่พอใจ
“ฝูอี?”
ตี้ฝูอีพอใจขึ้นมาหน่อย “ข้ารู้สึกว่าโดยพื้นฐานแล้วเจ้ายังสามารถเติมอีกสองคำลงไปในสองถ้อยคำนี้ได้นะ…” อย่างเช่น ‘ท่านพี่ฝูอี’ ทำนองนั้น ดูเหมือนคู่รักในยุคนี้มักจะเรียกขายกันเช่นนี้
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญหาถ้อยคำมาต่อเติมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลองเติมดู “ท่านปู่ฝูอี?”
สีหน้าตี้ฝูอีมืดครึ้ม “ว่าไงนะ?!”
“ไม่ชอบที่ข้าเรียกท่านแก่ไปหรือ? ถ้างั้นเป็นท่านลุงฝูอีดไหม?” กู้ซีจิ่วลดลำดับเขาลงหนึ่งรุ่น
ตี้ฝูอีมองเธอด้ายท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม “เจ้าแสร้งไขสือ!”
ดวงตาเขาทอแววอันตราย กู้ซีจิ่วหัวเราะออกว่าอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ กระซิบข้างหูเขา “ท่านอยากให้ข้าเรียกท่านว่าท่านพี่หรือ?”
น้ำเสียงนางแฝงเสน่ห์ดึงดูดไว้เล็กน้อย ราวกับมีตะขอหน้อยๆ ไว้เกี่ยวหัวใจคนให้คันยุบยิบ
ลมหายใจของนางอุ่นร้อน เป่ารดเข้าไปในหูเขา ทำให้หัวใจเขาปั่นป่วนขึ้นมาทันที จึงดึงนาเขาใหม่ จุมพิตริมฝีปากนางเร็วๆ ทีหนึ่ง “ตอบถูกแล้ว!”
พวกเขาเดินหัวเราะหยอกล้อกัน พ่อค้าเล็กๆ รายหนึ่งมาสกัดทางพวกเขาไว้ พ่อค้ารายนั้นขายเครื่องประดับหยก ในมือเขาถือหยกประดับทรงนัยน์ตาจิ้งจอกชิ้นหนึ่งไว้พูดโฆษณาสุดกำลัง “พี่ชายน้อยท่านนี้รูปโฉมหล่อเหลาปานนี้ หากสวมหยกประดับชิ้นนี้เข้าไปจะดูสง่างามยิ่งขึ้นนะขอรับ!”
ตี้ฝูอีเหลือบมองหยกประดับชิ้นนั้นแวบหนึ่ง ด้วยสายตาที่เฉียบแหลมของเขาย่อมมองออกว่าหยกชิ้นนี้คุณภาพต่ำ เพียงแต่เขารู้สึกว่ารูปทรงของหยกชิ้นนี้ค่อนข้างคุ้นตาอยู่บ้าง…
เขาอดไม่ได้ที่จะลูบแถบแพรนัยน์ตาจิ้งจอกบนหน้าผากตน
ถึงเขาจะแปลงโฉมแล้ว แต่ไม่ได้ปลดแถบแพรคาดหน้าผากผืนนี้ออก เพียงใช้เวทวิชาบดบังประกายของมันไว้ ยามนี้ยังอยู่ดีบนหน้าผากของเขา
พ่อค้ารายนั้นก้สังเกตเห็นแถบแพรบนศีรษะเขาเช่นกัน สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “พี่ชายน้อยท่านนี้ ท่านกล้าสวมแถบแพรลักษณะเช่นนี้ได้ย่างไร?! รีบปลดออกซะ! รีบปลดลงมา! ท่านไม่รักชีวิตแล้วหรือ?!”
ตี้ฝูอีเลิกคิ้วขึ้น เขาค่อนข้างงุนงงอย่างที่พบเห็นได้ยาก “ทำไมล่ะ?”
“ผู้น้อยทราบว่าท่านอยากเลียนอย่างท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย อืม รูปโฉมของพี่ชายน้อยก็พอเทียบเคียงกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้นิดหน่อย แต่ท่านไม่มีทางเทียบกับเขาได้หรอก…”
————————————————————————————-
[1] ดอกเสาเย่า ดอกของพืชชนิดนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับดอกโบตั๋นมาก ออกดอกช่วงเดือนพฤษภาคม มีสีม่วงอมแดง ขาวอมแดง และสีขาว รากใช้เป็นยาสมุนไพร มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวด ทำให้เลือดลมเดินสะดวก
บทที่ 909 เช่นนั้นยามนี้ข้าคือแฟนหนุ่มของเจ้าใช่หรือไม่?
“ผู้น้อยทราบว่าท่านอยากเลียนอย่างท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย อืม รูปโฉมของพี่ชายน้อยก็พอเทียบเคียงกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้นิดหน่อย แต่ท่านไม่มีทางเทียบกับเขาได้หรอก จะใต้หล้าเหนือปฐพีรูปโฉมของท่านยังห่างไกลจากเขานัก เห่าบุรุในเมืองนี้ของพวกเราล้วนอยากเลียนอย่างเขา แต่ก็ไม่กล้าสวมแถบแพรคาดหน้าผากแบบเดียวกับเขา อย่างมากก็แค่สวมหยกประดับหรือพู่ห้อยเอวที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกันเท่านั้น ทุกคนทำตามได้ แต่ไม่อาจเลียนแบบท่านทูตสวรรค์ฝ่ายอย่างจริงจังได้! ใช่แล้ว แถวแพรคาดหน้าผากเส้นนี้ของท่านเป็นไอ้ตาไม่มีแววคนไหนที่ขายให้ท่านกัน? นี่คิดจะทำให้ท่านต้องโทษประหารหรือไง?”
พ่อค้าหาบเร่คนนั้นพูดเป็นเดือดเป็นร้อนด้วยความหวังดีอยู่ตรงนั้น ปรารถนาจะยื่นมือไปปลดแถบแพรคาดหน้าผากของเขาลงมาใจจะขาด
กู้ซีจิ่วย่อมทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น อดขำอยู่ในใจไม่ได้ กระแอมไอคราหนึ่ง จูงตี้ฝูอีออกเดิน “เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ”
พ่อค้าคนนั้นไม่ยอมแพ้ คิดจะหาบแผงไล่ตามมา กู้ซีจิ่วดีดนิ้วทีหนึ่ง หยกประดับชิ้นหนึ่งบนแผงเขาหล่นลงพื้นเสียงดังแกรก…
พ่อค้าคนนั้นตกใจ ไม่สนใจไล่ตามคนแล้ว รีบก้มลงไปดู พบว่าหยกประดับชิ้นนั้นนอนอยู่ดีบนพื้น ไม่ได้บุบสลาย เขารีบเก็บขึ้นมาพอเงยหน้าขึ้นอีกที ร่องรอยของสองคนนั้นก็หายไปแล้ว
….
ตี้ฝูอีเป็นคนฉลาดมากคนหนึ่ง ผ่านไปสักครู่เขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรได้แล้ว ยามที่เดินไปตามถนนก็กวาดตามองบุรุษคนอื่นที่เดินผ่านมาแวบหนึ่ง เห็นว่าบางครั้งหว่างเอวหรือสาบเสื้อของพวกเขาจะห้อบพู่หยกทรงนัยน์ตาจิ้งจอกหรือไม่ก็เข็มกลัดหยกนัยน์ตาจิ้งจอกไว้
กู้ซีจิ่วเห็นดวงตาเขาโชนแสงเล็กน้อย เกรงว่าเขาก่อการร้ายอันใดขึ้นมา จึงเอ่ยยิ้มๆ อยู่ด้านข้าง “ดูเหมือนประชาชนที่นี่จะเป็นแฟนคลับท่านนะล้วนเคารพนับถือท่านยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้จึงเลียนแบบท่าน…”
ตี้ฝูอีมองเธอแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร
กู้ซีจิ่วจับแขนข้างหนึ่งของเขาไว้ “ท่านคงไม่ลงโทษคนที่นี่ด้วยเรื่องนี้กระมัง? อันที่จริงเรื่องเช่นนี้ในยุคนั้นของพวกเราพบเห็นได้ทั่วไปยิ่ง นาฬิกาเอย กระเป๋าเอย แหวนเอย เครื่องหัวเอย เสื้อผ้าเอย ของที่ไอดอลใส่พวกนี้ ทุกคนล้วนพากันเอาอย่างทั้งนั้น อยากซื้อข้าวของที่เป็นแบบเดียวกัน มีเพียงคนที่ได้รับความนิยมบูชาจริงๆ เท่านั้นถึงจะมีคนเลียนอย่างเขา โดยเฉพาะพวกผู้หญิงในยุคนั้นของพวกเรา ปรารถนาจะให้แฟนหนุ่มของตัวเองมีลักษณะแบบเดียวกับไอดอลที่ตัวเองชื่นชมบูชา คิดสารพัดวิธีเพื่อแต่งตัวแฟนหนุ่มให้เหมือนกับไอดอล…”
ตี้ฝูอีฟังอยู่เงียบๆ จู่ๆ ก็ถามออกมาประโยคหนึ่ง “แฟนหนุ่มคือบุรุษของตนใช่ไหม?”
“ไม่ ไม่ใช่ หมายถึงคนรักนั้นแหละ เป็นทำนองเดียวกับคู่หมั้นของยุคนี้ แต่ว่ายังไม่ได้หมั้นหมายกัน…” กู้ซีจิ่วพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เช่นนั้นยามนี้ข้าคือแฟนหนุ่มของเจ้าใช่หรือไม่?”
กู้ซีจิ่วแทบจะไม่หยุดคิดเลย “ใช่สิ”
ดวงตาตี้ฝูอีหยีโค้งนิดๆ “ถ้างั้นไอดอลของเจ้าคือผู้ใด?”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน เธอนึกถึงโปสเตอร์ไอดอลที่แปะอยู่บนผนังบ้านในยุคปัจจุบันของเธอ…
เธอกระแอมคราหนึ่ง ตัดสินใจทำให้เขาดีใจสักหน่อย “ไอดอลของข้าคือท่านไง”
ตี้ฝูอีเขกศีรษะเธอ “โกหก!”
ถึงแม้นางพูดเช่นนี้แล้วเขาจะมีความสุขมาก แต่เขาก็เคยได้ยินนางพูดเรื่องยุคปัจจุบัน ดูเหมือนในยุคนั้นนางจะมีใครสักคนเป็นไอดอล แถมยังคลั่งไคล้ยิ่งนักด้วย…
แรงที่เขาใช้เขกศีรษะนางย่อมเบายิ่งนัก กู้ซีจิ่วกุมมือที่ก่อเหตุของเขาไว้ “มา บอกข้าบ้าง ใครคือไอดอลของท่าน?”
ตี้ฝูอีตอบอย่างไม่ลังเลเลย “ตัวข้าเอง”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก เขาหลงตัวเองเหลือเกิน!
ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ “ข้าคือบุรุษที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้…”
กู้ซีจิ่วจงใจเอ่ยดักเขา “แล้วท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เล่า?”
————————————————————————————-
บทที่ 910 ข้าพาเจ้าลงไปดีไหม?
ตี้ฝูอีกระอักกระอวน ยิ้มแวบหนึ่ง ส่ายหน้าไปมา “เทพศักดิ์สิทธิ์…อันที่จริงโดดเดี่ยวมาก เป็นเทพของทวีปนี้ จะต้องสูงส่งอยู่ตรงนั้น ข้าไม่ริษยาเขา แน่นอนว่าไม่ชื่นชมบูชาเขาด้วย…”
กู้ซีจิ่วมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ความจริงแล้วท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นไอดอลของข้า…”
ตี้ฝูอีกอดอกมองเธอ “งั้นหรือ?”
ดวงตากู้ซีจิ่วหยีโค้ง “ข้าอยากจับท่านแต่งตัวแบบท่านเทพศักดิ์สิทธิ์นะ อันที่จริงบุคลิกของท่านกับเขาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก หากท่านปลอมเป็นเขาเกรงว่ายากนักที่ผู้อื่นจะแยกออก ท่านว่า หากข้าจับท่านแต่งเป็นเขา จะสามารถตบตาพวออาจารย์ใหญ่กู่ได้หรือไม่?”
นี่นางหยั่งเชิงเขาอยู่กระมัง?
ตี้ฝูอีพาดแขนไว้บนไหล่เธอ “อาจเป็นไปได้ จิตนาการของเด็กน้อยเลิศล้ำนัก ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง” พลางโอบเอวเธอออกเดิน
กู้ซีจิ่วหลุบตาลงนิดๆ เขายังระแวงเธออยู่จริงๆ สินะ?
ทว่าไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายเลย เรื่องบางอย่างต่อให้เป็นสามีภรรยากันก็ไม่อาจเปิดเผยได้ อย่างเช่นงานสายลับ อย่างเช่นบุคลากรที่ทำงานในองค์กรพิเศษของประเทศ ชั่วชีวิตของพวกเขาทำเพื่อประเทศชาติ แต่ลูกเมียพ่อแม่ของพวกเขาไม่มีใครรู้เลยสักคน และบอกไม่ได้เด็ดขาด
กู้ซีจิ่วเคยเป็นนักฆ่า ย่อมทราบเหตุผลเหล่านี้ดี ดังนั้นเธอจึงไม่เก็บมาใส่ใจนัก
มีเพียงเด็กสาวอ่อนต่อโลกเท่านั้นถึงจะเรียกร้องให้แฟนหนุ่มบอกทุกเรื่องกับตนอย่างไม่ปิดบัง มิเช่นนั้นจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่จริงใจ กลับไม่ทราบเลยว่ากฏเกณฑ์บางอย่างฝ่าฝืนไม่ได้เด็ดขาด…
บางทีตี้ฝูอีคงมีความจำเป็นบางอย่างเหมือนกันล่ะมั้ง?
ดังนั้นถ้าเขาไม่พูดเธอก็ฉลาดพอที่จะไม่ถาม
ขอเพียงเขาดีต่อเธอด้วยใจจริง เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ
….
ฟองคลื่นสาดกระเซ็น เกลียวคลื่นถาโถม
จันทรากลมมนบนท้องนภาดวงนั้นลอยอยู่เหนือผืนสมุทร เสมือนเศษทองดาษดื่นทั่วท้องสมุทร…
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนหลังอาชาเวหา ก้มมองมหาสมุทรเบื้องล่าง แล้วหันกลับไปมองเขาที่อยู่ด้านหลัง “สถานที่ที่ท่านอยากพาข้ามาคือที่นี่หรือ? ชมจันทร์เหนือท้องสมุทรเป็นความคดที่ไม่เลวเลยจริงๆ…”
“เด็กน้อย ทักษะทางน้ำของเจ้าเป็นยังไง?” ตี้ฝูอีถามเธอ
กู้ซีจิ่วมองลงไปด้านล่างแวบหนึ่ง ที่นี่คือมหาสมุทรลึก น้ำทะเลสีน้ำเงินเข้ม ระลอกคลื่นก็ไม่เล็กเลย ขนาดไม่มีลมกยังสูงถึงสามฉื่อ
“ทักษะทางน้ำพอใช้ได้ เพียงแต่ที่นี่คือมหาสมุทรลึก อีกทั้งอากาศหนาวเย็น พวกเราไม่จำเป็นต้องลงไปแช่น้ำทะเลชมจันทร์กระมัง? จู่ๆ ข้าพลันรู้สึกว่าชมจันทร์เช่นนี้ก็ไม่เลวนะ” กู้ซีจิ่วยึดมุมชุดเขาเอาไว้ทันที หวั่นว่าเขาจะจับเธอโยนลงไปอย่างฉับพลัน
“ข้าพาเจ้าลงไปดีไหม? ด้านล่างมีสิ่งงดงามน่าสนุกอยู่นะ” ตี้ฝูอีโอบเอวเธอไว้เอ่ยขึ้นริมหุเธอ
“ไม่เอา! หนาวเกินไป”
“ไม่หนาวหรอก ข้างล่างอบอุ่นมาก” ตี้ฝูอีเกลี้ยกล่อมต่อ
เขาโกหกผีอยู่หรือไง? ใช่ว่าเธอจะไม่เคยลงไปในทะเลลึก…
กู้ซีจิ่วส่ายศีรษะต่อไป ตี้ฝูอีแย้มยิ้ม “เด็กน้อย บางครั้งเจ้าต้องใจกล้าให้มากหน่อย” พลางโอบเธอไว้แล้วกระโจนลงทะเลเสียงดังซ่า…
บัดซบ เธอรู้อยู่แล้วว่าเขามันคนหลอกลวง!
กู้ซีจิ่วมีท่าทางยอมรับชะตากรรมที่ต้องร่วงลงไปในน้ำอยู่กลางอากาศ จากนั้น…
เธอพบว่าตัวเองกับตี้ฝูอีตกลงไปในฟองอากาศลูกหนึ่ง ไม่สิ เป็นเขตแดนที่คล้ายฟองอากาศต่างหาก
ฟองอากาศนั้นไม่ได้ลอยอยู่บนผิวทะเล แต่พาเธอกับเขาดิ่งลงสู่มหาสมุทรลึกประหนึ่งกระสุนปืนใหญ่…
ในฟองอากาศอบอุ่นดั่งฤดูใบผลิ โดยเฉพาะอ้อมกอดที่อยู่ด้านหลังอบอุ่นราวกับดวงตะวัน กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองน้ำทะเลที่ไหลรายล้อมอยู่รอบฟองอากาศ มองฟองอากาศที่ดำดิ่งลงไปเหมือนเรือดำน้ำลำเล็กๆ…
กลางทะเลลึกมืดสนิท แต่ภายในฟองอากาศกับเรืองแสงเล็กน้อย
บทที่ 911 เขาพาเธอมาดูอะไรใต้ทะเล
ภายในฟองอากาศกู้ซีจิ่วถึงขั้นขนตาของตี้ฝูอีได้ด้วยซ้ำ ฟองอากาศนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้น เนื่องจากมือข้างหนึ่งของเขาจรดนิ้วทำมุทราอยู่ตลอด ส่วนแขนอีกข้างโอบเธอไว้
เขาพาเธอมาดูอะไรใต้ทะเล?
ชมทิวทัศน์ท้องทะเลในมหาสมุทรลึกหรือ?
หรือพามาดูหอย?
คงไม่ใช่พามาชมวังบาดาลกระมัง?
ถึงอย่างไรวังบาดาลก็เป็นเพียงสิ่งปลูกสร้างในเทพนิยายเท่านั้น ไม่อาจปรากฏขึ้นได้ในความเป็นจริง
มองจากระดับความลึกที่ลงมาคงหลายร้อยเมตรแล้ว หากเขตแดนฟองอากาศนี้แตกออก คนทั่วไปที่ดำน้ำไม่เป็น จะถูกมวลน้ำกดทับจนแบนเหมือนแผ่นภาพ…
สามารถจินตนาการได้เลยว่าเขตแดนฟองอากาศนี้ได้รับแรงกดดันมากมากแค่ไหน
กู้ซีจิ่วทราบว่ายามนี้ตี้ฝูอีต้องลำบากอยู่แน่ๆ ดังนั้นเธอจึงไม่เอ่ยถามเขา ขอเพียงเขาอยู่ข้างกาย เธอก็ไม่เกิดอันตราย ไม่ว่าด้านหน้าจะมีขวากหนามเภทภัยอันใด เธอล้วนไม่หวั่นเกรง!
ประกายแสงเลือนรางส่องสลัวมาจากด้านล่าง กู้ซีจิ่วมองลงไปแวบหนึ่ง เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ด้านล่างเป็นสิ่งปลูกสร้างเลือนรางหลังหนึ่ง เป็นสีฟ้าโปร่งแสงทั้งหลัง ทอแสงแวววาวพราวระยับอยู่ในทะเลลึก
เป็นวังบาดาลจริงๆ เหรอ?!
หรือในมหาสมุทรลึกแห่งนี้มีเผ่าเงือกอยู่จริงๆ? มีเจ้าสมุทรอยู่จริงๆ?
อาคารสีฟ้าใสหลังนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กู้ก็สามารถมองเห็นโครงสร้างของมันชัดขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็ต้องกลั้นหายใจ!
แท้จริงแล้วอาคารหลังนี้เป็นสีดำขลับ มีหยกมรกตเป็นกระเบื้อง มีกระดองเต่ากระเป็นผนัง มีปะการังเป็นต้นไม้…งดงามกว่าวังบาดาลที่กู้ซีจิ่วเคยเห็นในทีวีเสียอีก แถมยังหรูหราด้วย
อาคารหลังใหญ่นั้นตั้งอยู่ใต้น้ำอย่างเงียบสงบ พืชน้ำไม่ทราบชื่อโบกพลิ้วไปตามกระแสน้ำ งดงามดั่งภาพมายา
‘ผลุบ!’ ฟองอากาศราวกับทะลุผ่านบางสิ่ง ดิ่งฉิวมาหยุดหน้าประตูอาคารหลังนั้น แล้วฟองอากาศก็แตกโพละ กู้ซีจิ่วยืดกายขึ้นทันที จากนั้นเธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ารอบๆ ตำหนักหลังนี้ไม่มีน้ำเลย ถึงขั้นสามารถหายใจได้ อากาศนั้นเย็นฉ่ำเหมือนอยู่ในป่า สดชื่นรื่นรมย์
นึกไม่ถึงว่าในส่วนลึกของมหาสมุทรนี้จะมีสิ่งปลูกสร้างเช่นนี้อยู่จริงๆ! แถมยังงดงามตระการตาเช่นนี้ด้วย!
กู้ซีจิ่วยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็คว้ามือตี้ฝูอีที่อยู่ข้างกายขึ้นมางับทีหนึ่ง แล้วถามเขาด้วยสายตาแวววาว “เจ็บไหม?”
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร จูงมือเธอก้าวเดิน “วางใจเถอะ นี่ไม่ใช่ความฝัน”
กู้ซีจิ่วเดินตามเขา ใต้เท้าคือคือทางเดินสายเล็กๆ ที่ปูด้วยหยกเขียว เมื่อย่ำลงไปราวกับเหยียบย่างอยู่บนถนนศิลาเขียวของแดนเจียงหนานที่งดงามชวนฝัน สัมผัสถึงความเก่าแก่และเปียกชื้นได้รางๆ ริมถนนหยกเขียวมีปะการังหลากสีสันกระจายตัวอยู่ ซ้ำยังมีหอยกาบที่อ้าฝา เผยให้เห็นไข่มุกที่ส่องประกายวาววามอยู่ด้านใน ราวกับไฟกระพริบดวงเล็กๆ นำไปสู่สวนลึกของลานเรือน
กู้ซีจิ่วเห็นประตูบานใหญ่สีแดงเข้มสองบานนั้นเป็นอย่างแรก ประตูนั้นไม่ทราบว่าทำมาจากวัสดุชนิดใด ดูคล้ายมุกคล้ายหยก มีแสงสีแดงกระจ่างทอประกายออกมาเป็นครั้งคราว ส่องสว่าวไปทั่วอาคาร
เหนือประตูใหญ่สีแดงเข้มมีแผ่นป้ายว่างเปล่าแผนหนึ่งอยู่ และด้านข้างของประตูใหญ่ยังมีหินก้อนใหญ่สีขาวแวววาวก้อนหนึ่งตั้งอยู่ด้วย
“ที่นี่คือ?” จิตใจกู้ซีจิ่วหวั่นไหวเล็กน้อย
“รอให้เจ้มาตั้งชื่อให้มันไง” ตี้ฝูอียังคงโอบเอวเธอไว้
“ให้ข้าตั้งชื่อ…ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อข้างั้นหรือ?” หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง
“ใช่แล้ว” ตี้ฝูอียิ้มนิดๆ “เจ้าอยากได้วังบาดาลสักหลังมิใช่หรือ? เป็นยังไง? วังบาดาลหลังนี้เจ้าชอบหรือไม่?”
ความอบอุ่นในใจกู้ซีจิ่วเริ่มผุดขึ้นมาอีกครั้ง “ชอบ!”
คนผู้นี้ช่างสมกับเป็นยอดคนอับดับหนึ่งของทวีปนี้ ความสามารถในการสร้างบ้านได้ทุกที่ทุกเวลาช่างไร้ผู้เทียบเทียม!
————————————————————————————-
บทที่ 912 ไม่มีวัฒนธรรมช่างกลัวเสียจริง!
ตอนนั้นเธอแค่พูดกับผู้อื่นไปเรื่อย นึกไม่ถึงว่าเขาจะสร้างวังบาดาลหลังหนึ่งให้เธอได้จริงๆ!
เหมือนฝัน! เหมือนฝันเหลือเกิน!
กู้ซีจิ่วอยากกัดตัวเองสักคำจริงๆ
ตี้ฝูอีเรียกพู่กันพิเศษด้ามหนึ่งออกมา จากนั้นก็มองมาที่เธอ “คิดมาสักชื่อสิ ข้าจะจารึกกป้ายให้เจ้า”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน น่าเสียดายนักถึงเธอจะเรียนรู้มาไม่น้อย แต่ความรู้ด้านวัฒนธรรมมีน้อยนิดจริงๆ ยามนี้จึงนึกคำศัพท์ที่ดูสูงส่งอันใดไม่ออกเลย เธอรีดเค้นสมองคิดออกมาหลายคำ ล้วนถูกตี้ฝูอีติว่าหยาบกระด้างเกินไปแล้วปีดตกเสีย
เธอจึงมีน้ำโหขึ้นมา “ท่านมีวัฒนธรรมมากนัก ท่านก็ตั้งชื่อสิ”
ตี้ฝูอีใคร่ครวญเล็กน้อย “ใช้ชื่อของพวกเรามาตั้งชื่อเอาไหม? วังตี้จิ่ว? วังตี้ซี?”
นัยน์ตากู้ซีจิ่วทอประกายนิดๆ “งั้นก็เรียกว่าวังตี้จิ่วเถอะ ฟ้าดินยั่งยืน[1] ตัวอักษรพ้องเสียงกัน”
มือตี้ฝูอีแข็งทื่อเล็ดน้อย แต่ก็ยิ้มแล้วตอบรับ “ได้ เรียกว่าวังตี้จิ่ว!”
เขาเหินร่างขึ้นไป ใช้พู่กันด้ามนั้นจารึกอักษรลงบนป้ายสามคำ ‘วังตี้จิ่ว’
ตัวอักษรของเขาดั่งหงส์ร่อนมังกรรำ สง่างามมีพลัง เสมือนจะทะลุออกมาจากป้าย ดูทรงอำนาจยิ่งนัก
บนป้ายนั้นสลักลวดลายเถาไม้ไว้ด้วย ลายเถานั้นเก่าแก่เรียบง่ายยิ่ง เข้ากับตัวอักษรของเขาเป็นพิเศษ เพิ่มสีสันให้ตำหนักทั้งหลังไม่น้อย
กู้ซีจิ่วชักสนใจขึ้นมาเช่นกัน แบมือขอพู่กันด้ามนั้นจากเขา “ข้าก็อยากทิ้งอักษรไว้บนหินใหญ่ก้อนนี้เหมือนกัน”
ตี้ฝูอียื่นพู่กันให้เธอ “พู่กันนี้ใช้น้ำหมึกพิเศษ ถ้าเขียนแล้วจะลบอย่างไรก็ไม่ออก เจ้าคิดให้ดีแล้วค่อยเขียน”
“วางใจเถอะน่า!” กู้ซีจิ่วควงพู่กันในมือรอบหนึ่ง ครุ่นคิดเล็กน้อย ยกมือจารึกอัการตัวโตแถวหนึ่งลงบนก้อนหิน ‘เทียนฉางตี้จิ่ว!’[2]
ในลายมือที่งดงามของเธอแฝงพลังไว้ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างหนึ่ง ท่วงท่านการจารึกอักษรขอเธอก็ด้อยกว่าตี้ฝูอีไม่เท่าไหร่
ตี้ฝูอีชื่นชมอักษรสี่ตัวที่เธอเขียนมาก เพียงแต่เขารู้สึกว่ายังไม่หนำใจ “ข้าคิดว่าควรจารึกชื่อพวกเราลงไปด้วย”
“เอาสิ” กู้ซีจิ่วตอบรับ ในสมองจัดเรียงอักษรแถวหนึ่ง เกิดความคิดบรรเจิดขึ้นมาทันที เธอใช้พู่กันจารึกชื่อของทั้งสองคนลงไปบนก้อนหิน ชื่อของตี้ฝูอีอยู่ทางซ้าย ชื่อของเธออยู่ทางขาว แล้ววาดหัวใจดวงหนึ่งไว้ระหว่างชื่อทั้งสอง บนหัวใจมีลูกศรดอกหนึ่งปักอยู่ สื่อถึงศรรักของกามเทพ
การจำรึกนามนี้มีหัวศิลป์มาก กู้ซีจิ่วเรียกให้ตี้ฝูอีมดูอย่างกระตือรือร้น
ตี้ฝูอีมองลูกศรนั้นครู่หนึ่ง ตัวลูกสรปักจากขวาทะลุซ้าย จากนั้นเขาก็มองชื่อทั้งสอง สุดท้ายจึงมองปที่กู้ซีจิ่ว “นี่เจ้าคิดจะยิ่งศรทะลวงหัวใจข้าหรือ?”
ไม่มีวัฒนธรรมช่างกลัวเสียจริง!
กู้ซีจิ่วมองหยามเขา จากนั้นก็อธิบายความหมายเรื่องศรรักกามเทพให้เขาฟัง ตี้ฝูอีเข้าใจในทันที และปรีดายิ่งนัก จากนั้นเขาได้เสนอความเห็นว่า “มิสู้เติมลูกศรอีกดอกให้เป็นคู่กับดอกแรก ทั้งดูงดงามและดูลึกซึ้งกว่า…”
กู้ซีจิ่วหมดคำพูด “นี่ท่านคิดจะแทงหัวใจดวงนี้ให้พรุนหรือไง? ถ้าทำตามความเห็นของท่าน ปักลูกศรลงไปจนเป็นพุ่ม เช่นนั้นก็ไม่เรียกว่าหนึ่งศรรักทะลุใจแล้ว เรียกว่าหมื่นศรทะลวงใจเถอะ…”
ตี้ฝูอีเงียบงัน เอาเถอะ เป็นเขาผิดเอง
เขาจูงนางผลักประตูเข้าไป “มาเถอะ ไปดูข้างในต่อ”
คนทั้งสองเข้าสู่ภายในตำหนัก ในตำหนักมีแนวปะการัง ต้นปะการัง พุ่มปะการัง มีพืชทะเลที่เขียวขจีดั่งหยกพลิ้วไหวตามสายลม…
ในตำหนักก็ออกแบบให้มีลักษณะของโลกใต้สมุทรยิ่งนัก พืชทุกต้นหินทุกก้อนล้วนมีเอกลักษณ์โดดเด่น
ในตำหนักมีสถานที่ให้จารึกถ้อยคำไว้ไม่น้อย ตี้ฝูอีจากลึกไว้หลายแห่ง กู้ซีจิ่วก็จารึกไว้หลายแห่งเช่นกัน ภูเขาจำลองเอย ศาลาเต่ากระเอย ป้ายประตูตำหนักเอย…ฝีพู่กันล้ำค่าของพวกเขาล้วนหลงเหลือไว้ทุกที่
————————————————————————————-
[1] ฟ้าดินยั่งยืน ตัวจีนคือ 天长地久 ออกเสียงว่า เทียนฉางตี้จิ่ว สองตัวหลังพ้องเสียงกับชื่อของพระนาง
[2] เทียนฉางตี้จิ่วในวรรคนี้ ตัวจีนเขียนว่า 天长帝玖 นางเอกเล่นคำ เอาชื่อตัวเองกับพระเอกมาใส่แทนคำเดิมที่พ้องเสียงกัน
บทที่ 913 ที่นี่…สร้างได้อย่างไร?
ยังมีอีกหลายแห่งที่ทั้งสองคนจารึกไว้ร่วมกัน แน่นอนว่าทั้งสองทิ้งนามของตนไว้บนนั้นด้วย
ตี้ฝูอีเป็นผู้ที่มีความสามารถในการรังสรรค์ต่อยอด เขาชมชอบ ‘หนึ่งศรรักทะลุใจ’ อันนั้นของกู้ซีจิ่ว ดังนั้นหลายแห่งที่จารึกนามของทั้งสองไว้เขาล้วนใช้วิธีจารึกแบบนั้น
อักษรที่จารึกไว้เหล่านั้นบางส่วนเป็นแนวคิดของตี้ฝูอี มีกู้ซีจิ่วคอยแต่งแต้มขัดเกลา
ในชีวิตนี้กู้ซีจิ่วไม่เคยจารึกป้ายซุ้มประตูหอมากมายขนาดนี้มาก่อนเลย จึงสนุกสนานยิ่งนัก
ตำหนักหลังนี้ที่มีทางเข้าออกทั้งหมดหกทาง ครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ส่วนหลังสุดของตำหนักยังมีอุทยานสวนขวัญด้วย ในสวนมีดอกไม้พืชพรรณ มีขุนเขาสายธาร ที่น่าประหลาดยิ่งกว่านั้นคือ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นใต้มหาสมุทรลึก แต่ภายในสวนขวัญแห่งนี้กลับมองเห็นพระจันทร์เต็มดวงบนฟากฟ้าได้!
แถมพระจันทร์ดวงนั้นก็ดูทั้งกลมทั้งใหญ่กว่าพระจันทร์ตามปกติด้วย! เธอถึงขั้นสามารถมองเห็นหลุมอุกกาบาตบนดวงจันทร์ได้รางๆ…
โดยทั่วไปแล้ว ยามที่มองท้องฟ้าด้วยตาเปล่า แสงเดือนจะโดดเด่นกลบรัศมีดาว และในวันที่สิบห้าเดือนแปดจะเป็นช่วงที่พระจันทร์เต็มดวง ตามปกติแล้วจะมองไม่เห็นแสงดาวหลายๆ ดวง
แต่ที่นี่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ไม่เพียงแต่มองเห็นดวงจันทร์ใหญ่กว่าปกติกว่าครึ่งเท่านั้น ดวงดาวที่สุดสกาวเต็มฟ้าก็มองเห็นได้ชัดเจนเช่นกัน
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะไม่รู้เรื่องดาราศาสตร์ แต่ดีร้ายอย่างไรก็ยังรู้ตักกลุ่มดาวอยู่สองสามกลุ่ม อย่างเช่นกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ ทางช้างเผือก หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า…
เมื่อมองดวงดาวบนฟากฟ้าอยู่ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูงส่องมอง ดาวทุกดวงล้วนงดงามยิ่งนัก
ทิวทัศน์เช่นนี้น่าตื่นตะลึงอย่างยิ่ง กู้ซีจิ่วมองฟากฟ้าของที่นี่ตะลึงงันอยู่บ้าง
“ที่นี่…สร้างได้อย่างไร?” กู้ซีจิ่วประหลาดใจจริงๆ
ตี้ฝูอีจูงเธอไปนั่งที่ศาลาใสกระจ่างหลังหนึ่ง
เก้าที่จัดวางไว้ที่นี่ก็ไม่ใช่เก้าอี้ธรรมดาสามัญ แต่เป็นเก้าอี้เอนหลังเนื้อหยกชนิดหนึ่งที่สามารถนอนสามารถนั่งสามารถพับเก็บได้ หยกนั้นเป็นหยกอุ่น เมื่อคนนอนเอนหลังขะรู้สึกสบายยิ่งนัก และเมื่อเงยหน้าขึ้นจะมองเห็นท้องนภา…
กู้ซีจิ่วเอนหลังบนเก้าอี้รู้สึกสบายจนอยากถอนหายใจ เมื่อฝีมือแกร่งกล้าก็มีกำลังเปลี่ยนสิ่งผุพังให้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ได้โดยแท้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะสามารถสร้างตำหนักเช่นนี้ไว้ใต้มหาสมุทรลึกได้
เมื่อกี้เธอเดินวนที่นี่จนรอบแล้วจึงมองออก สถานที่แห่งนี้มิได้ถูกสร้างในชั่วข้ามคืน น่าจะใช้เวลาหลายปีแล้ว เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อเร็วๆ นี้กระมัง?
“ที่แท้ท่านก็อยากอาศัยอยู่ในวังบาดาลเหมือนกัน” ตี้ฝูอีจัดวางผลไม้อันเป็นที่นิยมไว้บนโต๊ะ เธอจึงหยิบองุ่นพวงหนึ่งมากิน
ตี้ฝูอีนั่งด้านข้างเธอ เงยหน้ามองท้องฟ้า ยิ้มแวบหนึ่ง “ใช่แล้ว พวกเรานับว่าใจตรงกัน ยามที่รู้ว่าเจ้าชอบวังบาดาลก็อยากพาเจ้ามาดูแล้ว”
ทั้งสองคนนอนเรียงกันอยู่ตรงนั้น กู้ซีจิ่วมองดาวบนฟ้า เอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าท่านสร้างที่นี่ขึ้นมาได้อย่างไร? ในมหาสมุทรที่ลึกหลายร้อยเมตรเช่นนี้สามารถมองเห็นดวงดาวบนฟากฟ้าได้อย่างไร? ท้องฟ้าของที่นี่ราวกับส่องผ่านกล้องโทรทรรศน์กำลังขยายสูง…”
ตี้ฝูอีเป็นผู้ที่เมื่อถามก็จะตอบ จึงอธิบายหลักการของที่นี่ให้เธอฟัง
เนื่องจากเชื่อมโยงกับเวทวิชามากมาย กู้ซีจิ่งฟังแล้วไม่ใคร่เข้าใจนัก แต่พอจะทราบหลักการพื้นฐานอยู่บ้าง สถานที่แห่งนี้ก็คือซากโบราณสถานใต้สมุทรเหมือนในตำนานปรัมปรา ส่วนนภาดาษดาราผืนนี้ใช้วิชาอาคมหลายอย่างสร้าง ‘ท้องฟ้า’ ขึ้นมา หลักการเทียบได้กับกล้องโทรทรรศน์…สามารถมองเห็นวิถีโคจรของดวงดาวเหล่านี้ได้ชัดเจน
กู้ซีจิ่ไม่เข้าใจดาราศาสตร์ แต่เธอรู้สึกว่าดวงดาวเหล่านี้ดูงดงามมากจริงๆ เจิดจรัสตระการตาเธอ
เธอเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง สายตาถูกดาวใหญ่ดวงหนึ่งที่อยู่ตรงกลางดึงดูดเข้าไป แสงดาวดวงนั้นเป็นสีรุ้ง
————————————————————————————-
บทที่ 914 ให้ข้าชมกำลังสายตาของเจ้าหน่อย
เธอเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง สายตาถูกดาวใหญ่ดวงหนึ่งที่อยู่ตรงกลางดึงดูดเข้าไป แสงดาวดวงนั้นเป็นสีรุ้ง ส่องประกายระยิบระยับ สว่างไสวอย่างยิ่ง แม้แต่จันทราบนฟากฟ้าก็ไม่อาจบดบังแสงของมันได้ ดาวดวงนี้มีวิถีโคจรของตัวเอง ดาวดวงอื่นบนฟ้าที่สว่างบ้างมืดมนบ้างล้วนโคจรอยู่รอบตัวมัน มันราวกับดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะ ดาวดวงอื่นเสมือนดาวบริวารของมัน…
กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะจ้องมองมัน ตี้ฝูอีก็มองตามนางด้วย หัวใจสั่นไหวเล็กน้อย เจ้ามองเห็นอะไรหรือ?“
“นั่นคือดาวอะไร? ไม่เหมือนดวงดาวเหล่านั้นที่ข้ารู้จักเลย…” เป็นครั้งแรกที่กู้ซีจิ่วได้เห็นผังดวงดาวเช่นนี้
“เจ้ารู้จักดาวอะไรบ้างล่ะ?”
“ดาวศุกร์ ดาวโจร ดาวสาวทอผ้า…” กู้ซีจิ่วนับดวงดาวที่สว่างไสวที่สุดในแต่ละช่วงเวลาออกมา จากนั้นก็จ้องมองดาวสีรุ้งบนฟ้าดวงนั้น “แต่ดาวดวงนั้นไม่ใช่ใช่ดวงใดในหมู่พวกมันเลย”
ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ “ดูเหมือนดวงดาวที่เจ้ารู้จักก็มีมากมายเช่นกัน เพียงแต่ผังดวงดาวของที่นี่ไม่เหมือนแบบที่เจ้าเห็นเป็นประจำ อ่า ดวงดาวของที่นี่อาจจะเป็นผังดาราศาสตร์ที่เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ก็ได้ ดาวทุกดวงล้วนแทนตัวมนุษย์คนหนึ่งโดยเฉพาะ…”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “นั่นเป็นตำนานเทพนิยาย ใช้อ้างอิงไม่ได้ ในตำนานเทพนิยายบนดวงจันทร์ยังมีเทพธิดาฉางเอ๋อร์อาศัยอยู่ แต่ความจริงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าบนนั้นมีเพียงหลุมที่ถูกอุกกาบาตพุ่งชนเท่านั้น แรงโน้มถ่วงคิดเป็นหนึ่งในหกของดาวโลก เปลี่ยวร้างจนน่ากลัว ไม่มีน้ำ ไม่มีต้นไม้ และไม่มีอากาศ ไม่มีทางที่คนจะอาศัยอยู่ได้…”
ตี้ฝูอียกมือลูบผมเธอเบาๆ “ข้าบอกแล้วไง นี่ใช่ผังดาราศาสตร์ทั่วไป อืม เจ้าว่า หากว่าดวงดาวของที่นี่ทุกดวงแทนตัวมนุษย์หนึ่งคน ดาวที่เจิดจ้าที่สุดดวงนี้แทนตัวผู้ใด?”
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์!” กู้ซีจิ่วตอบโดยไม่หยุดคิดเลย จากนั้นเธอก็มองตี้ฝูอีแวบหนึ่ง
ตี้ฝูอีแย้มยิ้ม “ฉลาดจริงๆ!”
กู้ซีจิ่วมองเขาอีกแวบหนึ่ง “เช่นั้นมันคงมีชื่อกระมัง?”
“ดาวราชา”
ดาวดวงนั้นเหมือนราชาจริงๆ นั้นแหะ ดวงดาวที่เกลื่อนฟากฟ้าล้วนเป็นพสกนิกรของมัน…
“โลกนี้มีผู้คนมากมาย มหาศาลปานเม็ดทราย ถ้าทุกดวงล้วนแทนตัวมนุษย์เพียงผู้หนึ่ง เกรงว่าจำนวนดวงดาวเหล่านี้คงไม่เพียงพอ”
“เด็กโง่ ผู้คนมากมายไม่อาจเข้ามาอยู่ในผังดาราศาสตร์ได้ ผู้ที่สามารถเข้ามาได้คือผู้ที่มีอิทธิพลต่อวิถีของโลกนี้อยู่บ้าง” ตี้ฝูอีให้ความรู้แก่เธอ
กู้ซีจิ่วตื่นเต้นคึกคัก ทัศนะคติเช่นนี้เธอเคยได้ยินมาจากตำนานพื้นบ้าน แต่ไม่เคยนึกมาก่อนว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ยามนี้พอได้ตี้ฝูอีบอกเล่าเรื่องราวอย่างจริงจัง เธอจึงกระตือรือร้นขึ้นมา
เธอกวาดตามองดวงดาวทั้งนภา มองดวงนี้แล้วก็มองดวงนั้น เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “บนนี้มีดวงดาวที่แทนตัวข้าอยู่หรือไม่?” พอถามจบก็รู้สึกว่าคำถามออกจะโง่งมอยู่บ้าง ถึงอย่างไรตี้ฝูอีก็พูดไปแล้วว่ามีเพียงผู้ที่มีอิทธิพลต่อวิถีของโลกนี้ถึงจะปรากฏบนผังดาราศาสตร์ได้ ตอนี้เธอเป็นแค่นักเรียนคนหนึ่ง วรยุทธ์ไม่เลิศล้ำนามไม่เป็นที่ประจักษ์ คงจะไม่อยู่ที่นี่หรอก…
“มี” ตี้ฝูอีตอบเพียงคำเดียว
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วแวบหนึ่ง ค่อนข้างคาดไม่ถึง “เป็นดวงไหน?”
“หาด้วยตัวเองสิ” ตี้ฝูอีวางแขนไว้บนไหล่เธอ “ให้ข้าชมกำลังสายตาของเจ้าหน่อย”
สีหน้ากู้ซีจิ่วมืดครึ้ม จะหาได้ยังไงกัน?
บนฟ้ามีดวงดาวมากมายถึงเพียงนี้ และตัวเธอก็นับว่ามีชื่ออันใด จะใช้ความสว่างตามหาดวงดาวที่สื่อถึงตนได้อย่างไร?
เพียงแต่ในเมื่อเขากล่าวมาเช่นนี้ คงจะมีเหตุผลอะไรอยู่…
หรือว่าทุกคนมีความสามารถพิเศษที่จับสัมผัสดวงดาวที่สื่อถึงตัวเองได้?
เธอไม่พูดอะไรอีก เริ่มมองดวงดาวทีละดวงๆ
ตี้ฝูอีก็ไม่รบกวนเธอ เขาก็มองดวงดาวบนฟากฟ้าเช่นกัน
————————————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น