ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 907-909
ตอนที่ 907 มนุษย์ปีศาจปรากฏตัว
หลังจากเสียง “ฟู่” ดังขึ้นหลายครั้ง บ้านหลังเล็กทั้งหลังฉับพลันก็กลายเป็นโคลนและทรายสีเหลืองเต็มฟ้า พังทลายไปกลางอากาศ
ศิษย์คนอื่นเห็นก็เลียนแบบการกระทำของเขา พวกเขาแยกย้ายไปรอบด้าน กระตุ้นวิชามารในร่าง ผนึกฝ่ามือมารใหญ่หนึ่งจั้งกว่าข้างแล้วข้างเล่าออกมาทำลายซากบ้านโคลนเตี้ยผุพังที่เหลืออยู่เหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง
ชั่วขณะหนึ่งเสียงโครมครามดังสนั่นกึกก้องไปทั่วบริเวณซากหมู่บ้าน
เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อ ซากหมู่บ้านทั้งหมดก็ถูกศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับเจ็ดแปดคนร่วมมือกันถอนรากถอนโคนจนกลายเป็นซากดินโคลนสมชื่อ บนตีนเขาอันโล่งเตียนเวลานี้นอกจากรูปสลักที่โดดเดี่ยวตรงกลางซากปรักหักพังก็ไม่มีสิ่งใดบดบังอีกต่อไป
“ยังไม่เจออีก! ตอนนี้เข้ามาในเศษซากโลกบนเจ็ดวันแล้วยังไม่ได้สิ่งใดมาเลย ไม่สู้พวกเราไปรวมตัวกับศิษย์พี่คนอื่น ตามหาสมบัติมารชิ้นอื่นเถิด” ศิษย์รูปร่างเตี้ย ใบหน้าเต็มไปด้วยจุดดำคนหนึ่งในนั้นถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นมา
“เจ้าพวกไร้ประโยชน์ กระทั่งศิลามารก้อนเล็กๆ นี่ยังหาไม่พบ ยังเพ้อฝันว่าจะได้แตะต้องสมบัติมารอีกหรือ? พวกเราล้วนเป็นผู้ฝึกฝนวิชามาร ไม่ว่าศิลามารหรือสมบัติมารล้วนต้องอาศัยไอปีศาจของตนสัมผัสตำแหน่งของมัน หากค้นหาศิลามารที่นี่ไม่พบ เจ้าโง่อย่างเจ้ายิ่งอย่าได้เพ้อฝันถึงสมบัติมาร” แววตาของหลงเซวียนเย็นเยียบ ตำหนิเขาเสียงดัง
“หลงเซวียน เจ้าพูดอะไร? อย่าคิดว่ายามปกติอาจารย์เอ็นดูเจ้าเป็นพิเศษก็คิดว่าตนเป็นศิษย์พี่ระดับแก่นแท้จริงๆ!” ชายหนุ่มตัวเตี้ยได้ยินก็โกรธจัดทันที
“เหอะ ข้ารู้มานานแล้วว่าเจ้าไม่พอใจยิ่งนักที่ข้าเป็นหัวหน้าของการมาครั้งนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจะลองลงมือดูก็ได้ อย่างไรพวกเรานิกายปีศาจก็นับถือกันที่ความแข็งแกร่งมาตลอด!” หลงเซวียนตอบกลับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ชายหนุ่มตัวเตี้ยได้ยิน รูม่านตาพลันหดเล็กลงทันที เขาจ้องหลงเซวียนเขม็งครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะเหี้ยมเกรียมเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าพูดไม่ผิด ข้าสงสัยฉายาอันดับหนึ่งระดับผลึกแห่งสายในของเจ้ามานานแล้วว่าจริงสมชื่อหรือไม่ ในเมื่อเจ้าเอ่ยเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”
สิ้นเสียง ชายหนุ่มร่างเตี้ยก็ตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือหนึ่ง ไอปีศาจสีดำทั่วร่างพลุ่งพล่านทะลักออกมาในทันใด
หลงเซวียนแค่นสียงหยันอย่างดูแคลนจากนั้นพลิกมือข้างหนึ่ง เพลิงมารสีเขียวดวงหนึ่งก่อตัวขึ้นกลางฝ่ามือ พร้อมกับที่ห้านิ้วของเขาขยับต่อเนื่อง เพลิงมารสีเขียวก็กลายเป็นอสรพิษประหลาดสีเขียวขนาดย่อส่วนตัวหนึ่ง
ศิษย์สามคนที่เหลือด้านข้างเห็นสถานการณ์ก็ไม่มีความคิดจะห้ามปรามแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับพากันถอยออกไปหลายก้าว ท่าทางแสดงชัดว่าหมายจะนั่งชมพยัคฆ์สู้กัน
หลังจากอสรพิษน้อยสีเขียวส่งเสียงดังฟ่อก็ขยายขนาดจนตัวหนาเท่าชามข้าวและยาวสองสามจั้ง
“วิชาวิญญาณมารชิงหยางหรือ? เป็นไปไม่ได้! วิชานี้หากไม่ใช่ศิษย์ระดับแก่นแท้ของนิกายเราน่าจะฝึกฝนไม่ได้สิ!” ชายหนุ่มร่างเตี้ยเห็นเช่นนี้พลันหน้าถอดสีโพล่งออกมาทันที กระทือสองเท้าจากนั้นกลายเป็นเงาสีดำร่างหนึ่งพุ่งพรวดถอยไปข้างหลังในทันใด
หลงเซวียนหัวเราะหยัน นิ้วหนึ่งจิ้มแผ่วเบาด้วยท่าทางสบายๆ เพลิงสีเขียวก็ลุกโชนบนร่างอสรพิษประหลาดสีเขียว จากนั้นมันก็โถมออกไปกลางอากาศด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
ชายหนุ่มร่างเตี้ยไม่กล้าฝืนรับการโจมตีนี้สักนิด เงาร่างของเขาขยับหลบไม่หยุด กลายเป็นสายลมสีดำสายหนึ่งพยายามหลบหลีกสุดชีวิต แต่อสรพิษประหลาดสีเขียวกลับไล่ตามติดไม่ลดละประหนึ่งสิ่งมีชีวิต
แต่ยามนี้ซากหมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นพื้นที่ว่างโล่งผืนหนึ่ง ไม่มีที่ให้หลบได้สักเท่าไร หลังจากชายหนุ่มร่างเตี้ยกลายเป็นเงาดำขยับหลบไม่กี่ครั้งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงรูปสลักหินรูปนั้นใจกลางซากปรักหักพัง
“หยุด ข้ายอมแพ้! ในเมื่อเจ้าฝึกฝนวิชามารชิงหยางแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องลงมือต่ออีก!” เสียงวิงวอนแผ่วเบาของชายหนุ่มร่างเตี้ยดังขึ้นด้านหลังรูปสลักหิน
“สายไปแล้ว!”
หลังหนึ่งประโยคอันเย็นชาของหลงเซวียน มือข้างหนึ่งของเขาก็เหยียดงอไปด้านหน้า อสรพิษประหลาดสีเขียวฉับพลันบิดร่างกลางอากาศพุ่งรวดเร็วเข้าไปตรงที่รูปสลักหินตั้งอยู่
“อ้าก!”
เสียงเปรี้ยงดังสนั่น รูปสลักหินทั้งชิ้นระเบิดกลายเป็นก้อนหินยักษ์เต็มฟ้ากระเด็นไปรอบด้าน เสียงกรีดร้องดังขึ้นครั้งหนึ่ง เงาดำที่ทั้งร่างถูกเปลวเพลิงสีเขียวลุกท่วมก็พุ่งพรวดออกมาชนเข้ากับภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งใกล้ๆ กลิ่นอายชีวิตที่แผ่ออกมาจากตัวเขามลายหายไปอย่างรวดเร็ว เห็นชัดว่าคงไม่รอดแล้ว
ขณะที่ศิษย์ที่ยืนดูเงียบๆ เป็นจั๊กจั่นฤดูหนาวอยู่นั้น ผลึกหินที่ทอแสงสีดำเรืองรองทั้งก้อนขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งก็ปลิวกระเด็นออกท่ามกลางเศษหิน คลื่นไอปีศาจบริสุทธิ์อย่างที่สุดสายหนึ่งแผ่ออกมา
“นี่มัน…ศิลามาร!” ศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับคนหนึ่งที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านข้างตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้นทันที
หลงเซวียนก็เผยสีหน้ายินดีอย่างยิ่งออกมาด้วย แขนข้างหนึ่งขยับทันทีหมายจะคว้าศิลามารก้อนนี้ไป
เวลานี้เองเสียง “ฟึบ” ก็ดังขึ้นครั้งหนึ่ง แถบสีดำสายหนึ่งไม่รู้แหวกอากาศมาจากที่ใด พุ่งเข้ามาม้วนศิลามารสีดำทั้งก้อนจากไป
“รนหาที่ตาย”
“ฮ่าๆ ถึงคราวจะได้ก็ได้มาอย่างไม่เสียแรงจริงๆ!”
เสียงดังสนั่น!
หลงเซวียนต่อยหนึ่งหมัดออกไปอย่างโกรธจัด ทว่าหลังจากพลังมหาศาลพุ่งเข้าชน แถบสีดำนั่นกลับพร่าเลือนหลบหลีกไปได้อย่างง่ายดาย
จากนั้นคลื่นกระเพื่อมก็ก่อตัวขึ้นกลางอากาศ เงาคนสามร่างลอยออกมาจากแถบสีดำในทันใด
“พวกเจ้าเป็นใคร? กล้ากำเริบเสิบสานต่อหน้านิกายเรา!” หลงเซวียนตวาดเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราดที่สุด
ศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับสามคนที่เหลือก็ไม่พูดพร่ำล้อมเข้ามาด้วย
“ฮ่ะๆ ได้ยินมานานแล้วว่าแผ่นดินจงเทียนมีนิกายใหญ่ที่สืบทอดมานับแต่ยุคโบราณแห่งหนึ่งที่ร่ำเรียนวิชาของพวกเรามนุษย์ปีศาจ วันนี้ได้พบ ช่างมีดีแต่ชื่อโดยแท้ มีแต่เปลือก ไร้จิตวิญญาณ!” บุรุษผู้มีลวดลายจิตวิญญาณสีดำกับน้ำเงินสองสีแผ่ทั่วร่าง มองเห็นใบหน้าไม่ชัดคนหนึ่งในนั้นหัวเราะเสียงประหลาดแล้วเอ่ยขึ้นมา
“พวกเจ้าคือ…คือมนุษย์ปีศาจจากแผ่นดินว่านหมัวหรือ?” เมื่อศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับคนหนึ่งเห็นหน้าตาของบุรุษผู้นี้ชัดก็หลุดปากออกมาทันที
ศิษย์ของนิกายปีศาจลี้ลับคนอื่นรวมถึงหลงเซียนหน้าถอดสีเช่นเดียวกันในทันที
มนุษย์ปีศาจที่ศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับผู้นี้พูดถึง ไม่ได้หมายถึงเผ่ามารที่แท้จริงในยุคโบราณ แต่หมายถึงทายาทของเผ่ามนุษย์ผู้ต้องไอปีศาจจนกลายสภาพเป็นมารในยุคโบราณ วันนี้นับได้ว่าเป็นเผ่าหนึ่งในหมู่พวกต่างเผ่า ปัจจุบันน่าจะอาศัยอยู่บนแผ่นดินว่านหมัวที่ห่างจากแผ่นดินจงเทียนไม่รู้กี่ลี้เป็นหลัก ปกติไม่อาจปรากฏตัวที่แผ่นดินจงเทียนได้
มนุษย์ปีศาจเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนครอบครองมรดกวิชาของเผ่ามารที่ใกล้เคียงของแท้ วิชาสายปีศาจทั่วไปที่เผยแพร่บนแผ่นดินจงเทียนเวลานี้ไม่อาจเทียบได้แม้แต่น้อย กระทั่งอาจกล่าวได้ว่าวิชาของพวกเขามีฤทธิ์เดชข่มอยู่หน่อยๆ
การเดินทางมายังเศษซากโลกบนรอบที่แล้วก่อนหน้านี้ มนุษย์ปีศาจของแผ่นดินว่านหมัวทำให้ผู้ฝึกฝนสายปีศาจของแผ่นดินจงเทียนไม่น้อยตกที่นั่งลำบาก นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่หลงเซวียนกับศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับคนอื่นล้วนหน้าถอดสี
“ในเมื่อรู้จักพวกเรา ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ใช่จะไว้ชีวิตพวกเจ้าสักครั้งไม่ได้ ขอเพียงตอนนี้ว่าง่ายสาบานจะทำงานรับใช้พวกเรา หากทำผลงานได้ดี พวกเราจะพาพวกเจ้ากลับแผ่นดินว่านหมัว มอบคัมภีร์ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ให้ฝึกฝน…” มนุษย์ปีศาจตาเดียวริมฝีปากสีดำที่ดวงตาข้างซ้ายเป็นรูขนาดเท่ากำปั้นหัวเราะชั่วร้ายอย่างน่าขนลุก ดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวนั่นเหมือนมีปราณดำสายเล็กๆ ไหลวนอยู่ไม่หยุด
คำพูดที่มนุษย์ปีศาจตาเดียวตนนี้เอ่ยออกมาคล้ายจะแฝงเจตนาล่อลวงอยู่เลือนราง ศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับสามคนที่เหลือมองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ สายตาทุกคนล้วนหวั่นไหว
“น่าขำ! มนุษย์ปีศาจอย่างพวกเจ้ากับเผ่ามนุษย์ของพวกเรายืนอยู่คนละฝั่ง จะให้พวกเรายอมจำนน เพ้อฝันโดยแท้ ไป!”
หลงเซวียนสีหน้ากลับคืนเป็นปกติอย่างรวดเร็วยิ่ง จากนั้นเขาจึงแค่นเสียงหยันตะคอกคำรามออกมาแผ่วเบา ดวงตาทั้งสองข้างฉายแสงสีเขียววูบหนึ่งแล้วกางสองแขนออก
เสียง “ฟู่” สองครั้งดังออกมา อสรพิษประหลาดที่ร่างกายหุ้มด้วยเพลิงสีเขียวยาวสิบกว่าจั้ง หนาดุจถังน้ำสองตัวบินพุ่งออกมาจากสองแขน เป้าหมายก็คือมนุษย์ปีศาจตาเดียว
มนุษย์ปีศาจตาเดียวผู้นั้นหัวเราะอย่างดูแคลนแล้วสะบัดแขนเสื้อด้วยท่าทางสบายๆ สายลมคลั่งสีดำหอบหนึ่งพัดหวีดหวิวออกมา หลังจากหมุนวนกลางท้องฟ้ารอบหนึ่ง มันก็ปั่นอสรพิษประหลาดสีเขียวสองตัวจนระเบิดเป็นละอองแสงสีเขียวกระจายหายไปในพริบตา
“คนรุ่นหลังเผ่ามนุษย์ผู้ไม่รู้จักประมาณตน ในเมื่องมงายไม่รู้สึกตื่น ถ้าเช่นนั้นให้ข้าส่งพวกเจ้าออกเดินทางครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน!”
หลังจากมนุษย์ปีศาจตาเดียวคนนั้นเอ่ยเสียงราบเรียบหนึ่งประโยค เพลิงมารก็ลุกโหมขึ้นทั่วร่าง แขนข้างหนึ่งเหวี่ยงสะบัด ไอปีศาจบนแขนพลันก่อตัวกลายเป็นคมดาบมารสีดำยาวสองสามจั้งเล่มหนึ่งพุ่งออกมา
จุดที่คมดาบมารพาดผ่าน อากาศพลันเกิดคลื่นบิดเบี้ยว ส่งเสียง “ฉึบ” ออกมาดังสนั่น
ศิษย์สามคนของนิกายปีศาจลี้ลับตกตะลึง แต่จากนั้นสองมือก็ทำท่ามือท่าหนึ่งตรงหน้าอกแล้วโจมตีออกไปหนึ่งฝ่ามืออย่างพร้อมเพรียง เกิดเป็นฝ่ามือมารขนาดใหญ่หนึ่งจั้งกว่าหลายข้างประจันเข้าใส่
เสียง “ปัง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
ฝ่ามือมารสีดำหลายข้างสัมผัสถูกคมดาบมารสีดำก็พังทลายลงอย่างน่าประหลาด พร้อมกันนั้นไอปีศาจสายแล้วสายเล่าก็ม้วนตัวจากบนฝ่ามือยักษ์ที่พังทลายแทรกเข้าไปในคมดาบมาร ทำให้คมดาบมารขยายใหญ่พรวดเดียวเป็นเจ็ดแปดจั้งในพริบตา
ศิษย์ของนิกายปีศาจลี้ลับทั้งสามคนปฏิกิริยาว่องไวอย่างที่สุด พากันถอยพรวดออกไปสองฝั่งในทันใด
เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
คมดาบมารมหึมาฟันลงบนพื้นดินอย่างรุนแรง หลังจากปราณสีดำที่พลุ่งพล่านดับลง บนพื้นดินก็เกิดร่องลึกมหึมายาวสิบกำว่าจั้ง ลึกสามสี่จั้งเส้นหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด ไอปีศาจสีดำเรียวเล็กลอยขึ้นมาจากด้านในไม่ขาด
ศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับสามคนนั้นที่แยกกันร่อนลงสองฝั่งของร่องลึกและเพิ่งตั้งหลักได้อย่างหวุดหวิดเห็นสิ่งนี้ก็ตะลึงงันในทันใด ทั้งแผ่นหลังเย็นยะเยือก!
เห็นชัดว่าพลังที่มนุษย์ปีศาจเหล่านี้แสดงออกมาเหนือกว่าจิตนาการของพวกเขาไปไกล!
“เจ้าหนูผมเขียวที่เป็นหัวหน้าคนนั้นยกให้ข้าก็แล้วกัน! คนที่เหลือเจ้าสองคนจัดการ แม้สิ่งที่คนเหล่านี้ฝึกฝนจะไม่ใช่ไอปีศาจอันบริสุทธิ์ที่สุด แต่มากน้อยก็เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยจานหนึ่ง เติมพลังเวทที่พร่องไปหลายวันนี้ได้ดี จำไว้จงสู้เร็วจบเร็ว รีบเอาเวลาไปทำงานหลัก!” ทันใดนั้นมนุษย์ปีศาจที่บนใบหน้าเต็มไปด้วยตุ่มหนองสีดำอัปลักษณ์อย่างยิ่งคนนั้นตรงกลางก็เอ่ยกับมนุษย์ปีศาจตาเดียวรวมถึงมนุษย์ปีศาจที่ใบหน้าพร่ามัวไม่ชัดคนนั้นด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง
หลังจากนั้นเขาก็ไม่รอสองคนที่เหลือตอบ ร่างกายลอยเหาะไปหาหลงเซวียนทันที สองตาเต็มไปด้วยแววตาละโมบราวกับมองเหยื่อตัวหนึ่งที่เอื้อมมือคว้ามาได้ง่ายๆ
ส่วนมนุษย์ปีศาจอีกสองคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะหึๆ จากนั้นเดินไปหาศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับที่แยกกันอยู่สองฝั่งของร่องลึกอย่างรู้ใจกันดี
แววตาของหลงเซวียนหวาดผวาไปวูบหนึ่ง มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชา เพลิงสีเขียวมากมายรอบร่างกลายเป็นอสรพิษประหลาดสีเขียวตัวแล้วตัวเล่าพุ่งเร็วรี่ออกไปต่อเนื่องไม่ขาดสายอีกครั้ง
อสรพิษประหลาดสีเขียวมากมายบิดร่างกลางอากาศแล้วส่งเสียงฟ่อพุ่งเข้าใส่มนุษย์ปีศาจหน้าตุ่มหนองอย่างคลุ้มคลั่ง
ทว่ามนุษย์ปีศาจผู้นี้กลับเพียงกางสองแขนออกอย่างสบายๆ ไอปีศาจสีดำรอบร่างพร่าเลือนวูบหนึ่งก็กลายเป็นเพลิงมารท่วมฟ้าสีดำสนิทแถบใหญ่ประจันหน้าเข้าใส่อสรพิษประหลาดสีเขียวมืดฟ้ามัวดิน
ภาพที่น่าตะลึงปรากฏขึ้น
อสรพิษประหลาดที่เดิมทีมีเพลิงสีเขียวลุกโหมหุ้มรอบร่างดูประหนึ่งมีชีวิต เมื่อแตะถูกเพลิงมารนี่เพียงนิดเดียวก็ส่งเสียงดังเปรี๊ยะไม่หยุดแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยประหนึ่งตุ๊กตาวัวโคลนจมลงในทะเล กระทั่งคลื่นสักนิดก็ไม่เกิดขึ้น!
ตอนที่ 908 ชักน้ำไปตะวันออก
“ศิษย์พี่หลงช่วยด้วย…”
“ไม่…ข้าจะตายอยู่ในที่แบบนี้ได้อย่างไร…อ้าก…”
เสียงกรีดร้องของศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับสองคนดังตามกันออกมาจากด้านในหมอกดำพลุ่งพล่านที่อัดแน่นอยู่บริเวณสิบกว่าจั้งสองก้อนด้านข้างร่องลึกมหึมาบนพื้นดิน!
สีหน้าของหลงเซวียนซีดเผือด เขาไม่พูดพร่ำหมุนตัวกลายเป็นเงาแสงสีเขียวสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไปทันที
“คิดหนีหรือ?”
มนุษย์ปีศาจตุ่มหนองหัวเราะลั่น มือข้างหนึ่งคว้าอากาศ รอยแยกยาวหนึ่งจั้งกว่าเส้นหนึ่งฉับพลันปรากฏขึ้น จากนั้นเงาดำทั้งร่างก็มุดเข้าไปในรอยแยก
เวลาหนึ่งลมหายใจผ่านไป กลางอากาศห่างไปร้อยกว่าจั้งก็ปรากฏรอยแยกเช่นเดียวกันขึ้นมาเส้นหนึ่ง เงาคนสีดำร่างหนึ่งพุ่งออกมา มนุษย์ปีศาจที่หน้าเต็มไปด้วยตุ่มหนองคนนั้นนั่นเอง
ตอนนี้เขาขวางอยู่หน้าหลงเซวียนแล้ว
“เคลื่อนย้ายชั่วพริบตาหรือ?”
หลงเซวียนตะลึงไปทันที แต่เขาก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วโยนยันต์สีแดงหนาตั้งหนึ่งออกมา พร้อมกันนั้นก็ตบยันต์ที่ทอแสงสีขาวเรืองรองอีกแผ่นหนึ่งลงบนร่าง แล้วเปลี่ยนทิศทางพุ่งเร็วรี่ไปทางอื่นทันที
เสียงเปรี้ยงปร้างดังลอยมา!
ยันต์สีแดงทยอยกลายเป็นดอกบัวสีแดงดอกแล้วดอกเล่าจากนั้นคายมังกรเพลิงร้อนระอุตัวแล้วตัวเล่าออกมาจากด้านใน ราวกับมีทะเลดอกบัวสีแดงฉานผืนหนึ่งขวางอยู่หน้าร่างมนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์
“รนหาที่ตาย”
มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์คำรามแผ่วเบาครั้งหนึ่ง หลังจากเพลิงสีดำลุกโชนทั่วร่างก็พัดดอกบัวสีแดงฉานรวมถึงมังกรเพลิงเต็มฟ้าให้ทยอยพังทลาย เมื่อเขาคว้าอากาศอีกครั้ง รอยแยกก็แหวกออกอีกหน เขามุดเข้าไปทันที
ทั้งสองคน คนหนึ่งไล่ตาม คนหนึ่งหนีเช่นนี้ ชั่วพริบตาก็หนีออกไปร้อยกว่าลี้
ระหว่างนั้นทุกครั้งที่มนุษย์ปีศาจผู้นี้จวนเจียนจะไล่ตามทันหลงเซวียน หลงเซวียนก็จะโยนยันต์จำนวนมากหรืออาวุธจิตวิญญาณที่ระเบิดตัวเองออกมาผสานกับวิชาท่าร่างประหลาด จนหลบพ้นไปได้อย่างหวุดหวิด
……
ในเทือกเขาที่สูงต่ำไม่เท่ากันแถบหนึ่ง เมฆดำก้อนหนึ่งลอยเอื่อยเฉื่อยอยู่ชิดกับหน้าผาฝั่งหนึ่ง บนเมฆดำมีเงาคนร่างหนึ่งยืนตัวตรงแน่ว เขาก็คือหลิ่วหมิงที่สวมชุดสีน้ำเงินทั้งร่างนั่นเอง
เวลานี้คิ้วบนใบหน้าของเขาขมวดเล็กน้อย สีหน้าเหมือนกำลังใคร่ครวญบางอย่าง
เนื่องจากเหตุไม่คาดฝันก่อนหน้านี้ทำให้เขาไม่อาจเร่งเดินทางมาถึงเขาศิลาดำที่จินเทียนชื่อพูดได้ในทันที
แต่เขาศิลาดำนั่นเป็นหนึ่งในสถานที่ค้นหาสมบัติไม่กี่แห่งที่กำหนดไว้ในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเขา แล้วก็เป็นจุดที่ระบุในแผนที่ของนิกายว่าอาจมีสมบัติอยู่
ขอเพียงมีความเป็นไปได้สักเศษเสี้ยว หลิ่วหมิงก็ยังคิดจะไปรวมกลุ่มกับพวกจินเทียนชื่อก่อน
อย่างไรเศษซากของโลกบนแห่งนี้ก็อันตรายทุกย่างก้าว การค้นหาสมบัติตามลำพังด้วยพลังของคนเพียงคนเดียวเสี่ยงอันตรายเกินไปอยู่บ้าง ต่อให้เขาเตรียมตัวมาเดินทางลำพังจริงๆ แต่ก็ต้องรอหลังจากปรับตัวกับเศษซากของโลกบนแห่งนี้ได้อย่างสิ้นเชิงเสียก่อน
ขณะที่หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ในใจนั่นเอง ทันใดนั้นหัวคิ้วก็พลันขมวด สายตาเหล่มองไปยังขอบฟ้าจุดหนึ่ง แววตาประหลาดใจจางๆ แล่นผ่านในดวงตา ทันใดนั้นก้อนเมฆก็กดหัวร่อนลงไปบนเขาขนาดเล็กลูกหนึ่งข้างใต้ โฉบวูบดียวก็จมเข้าไปด้านใน
เขาเร้นกายเข้าไปในภูเขาได้ไม่นานนัก ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงขอบฟ้าไม่ไกลนัก มันพุ่งเร็วรี่ตรงมายังจุดที่หลิ่วหมิงอยู่
หลังจากสองตาของหลิ่วหมิงฉายแสงสีดำวูบหนึ่ง เขาก็มองเห็นใบหน้าของคนในลำแสงชัดเจน เขาตะลึงไปเล็กน้อยในทันที
เจ้าของลำแสงสายนี้ก็คือหลงเซวียนที่หนีตลอดทางมาจนถึงที่แห่งนี้
ห่างไปร้อยกว่าจั้งหลังร่างเขา ปราณดำพลุ่งพล่านอีกก้อนหนึ่งไล่ตามลำแสงมาติดๆ อย่างไม่ลดละ
เวลานี้หลงเซวียนแลดูค่อนข้างสะบักสะบอม ไม่เพียงหอบหายใจฮั่กๆ เหงื่อยังไหลอาบชุ่มแผ่นหลัง
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งนั่นเอง หลงเซวียนที่บินเข้ามาใกล้ก็เปลี่ยนทิศทางทันที เขาพุ่งอย่างรวดเร็วมาทางหลิ่วหมิงพร้อมกันนั้นก็ตะโกนเสียงดัง
“ยังจะรออะไร รีบลงมือช่วยข้าสิ!”
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึง ยังไม่ทันเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร ทันใดนั้นอากาศว่างเปล่าไม่ไกลด้านหลังหลงเซวียนก็มีเสียงเปรี๊ยะดังขึ้น รอยแยกยาวสองสามจั้งเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นจากนั้นเงาดำร่างหนึ่งก็พุ่งออกมา
มนุษย์ปีศาจตุ่มหนองผู้นั้นนั่นเอง สายตาเขากวาดผ่านยอดเขาที่หลิ่วหมิงอยู่ดั่งสายฟ้าฟาดจากนั้นก็หัวเราะเหี้ยมเกรียมเอ่ยขึ้นว่า
“อ้อ? มีผู้ช่วยซ่อนอยู่ที่นี่ด้วย ถ้าเช่นนั้นก็ตายไปด้วยกันเสียเถอะ!”
สิ้นเสียง มนุษย์ปีศาจผู้นี้เพียงสะบัดมือข้างหนึ่ง ไอปีศาจสีดำแถบใหญ่ก็ซัดออกมาด้านหน้าประหนึ่งคมดาบแหลมคม ยอดเขาขนาดหลายสิบจั้งถูกซัดจนแตกทลายเสียงดังกึกก้อง
เศษหินปลิวว่อน เงาร่างสีน้ำเงินร่างหนึ่งดีดตัวออกมาจากด้านใน
หลิ่วหมิงที่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่นั่นเอง!
เวลานี้เมื่อหลงเซวียนเห็นว่าคนที่ซ่อนอยู่บนยอดเขาคือหลิ่วหมิงก็ตกใจยิ่งนัก ทว่าทันใดนั้นดวงตาก็ฉายแววชั่วร้าย เขาพลิกมือเรียกยันต์สีขาวแผ่นหนึ่งตบลงบนร่าง ความเร็วเพิ่มขึ้นกลายเป็นเงาสีเขียวสายหนึ่งพุ่งผ่านเหนือยอดเขาไปทันที
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ในใจย่อมโกรธจัด
หลงเซวียนผู้นี้ไม่รู้ใช้วิชาลับอันใด ไกลเช่นนี้กลับค้นพบจุดที่เขาซ่อนตัวอยู่แล้วใช้แผนชักน้ำมาตะวันออกนี่ได้
ไม่ทันรอให้หลิ่วหมิงเอ่ยปาก มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นสะบัดอีกครั้ง สายลมสีดำสองสายหอบพัดก่อตัวเป็นเป็นแหลนสีดำยาวสิบกว่าจั้งสองเล่มซึ่งผิวด้านนอกมีปราณดำเวียนวน พวกมันพุ่งเร็วรี่ดังหวีดหวิวเข้ามาใส่ทั้งสองคน
แม้ในใจหลิ่วหมิงหงุดหงิดยิ่งนัก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีประหลาดของ ‘ผู้ฝึกฝนสายปีศาจ’ ที่ดูทรงพลังคนนี้ เขาก็ได้แต่รีบร้อนรับมือ
ปราณดำรอบร่างเขาพลุ่งพล่าน แขนข้างหนึ่งต่อยออกไปด้านหน้าพร้อมเสียงพยัคฆ์คำรามแผ่วต่ำ หัวพยัคฆ์สีดำขนาดมหึมาหัวหนึ่งหลุดออกจากมือพุ่งเข้าประจันกับแหลนสีดำเล่มนั้นที่เคลื่อนเข้ามาหาตน
เวลานี้หลงเซวียนก็ฝืนบิดร่างกลางอากาศกะทันหัน สองมือประกบสิบนิ้วปล่อยอสรพิษวิญญาณยักษ์ที่มีเพลิงสีเขียวลุกโหมหุ้มอยู่ตัวหนึ่งเข้าประจันกับแหลนสีดำเล่มนั้นที่แทงเข้าใส่ตนดุจเดียวกัน
ผลปรากฏว่าภาพที่ทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงยิ่งนักปรากฏขึ้น!
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นแผ่วเบาครั้งหนึ่ง
เมื่อหัวพยัคฆ์สีดำที่เขาปล่อยออกไปปะทะกับแหลนสีดำที่มีปราณดำวนเวียนเล่มนั้น แหลนกลับพุ่งตรงผ่านไปราวกับไม่มีสิ่งใดอยู่ ทว่าหัวพยัคฆ์สีดำที่แตะถูกปราณดำบนแหลนเพียงนิดเดียวกลับกร่อนทลายอย่างรวดเร็ว!
หลังจากแหลนสีดำโจมตีหัวพยัคฆ์สีดำทลายไปก็ยังคงพุ่งเร็วรี่เข้าใส่เขาต่อด้วยความเร็วที่ไม่ลดลง!
“ไอปีศาจแท้หรือ? นี่มันมนุษย์ปีศาจ!” หลิ่วหมิงหลุดปากออกมาในทันใด เขาไม่คิดสักนิดตบหัวไหล่ทันที แสงสีน้ำเงินแถบหนึ่งส่องสว่างออกมาจากใต้เสื้อ เงาวัวสีน้ำเงินประหนึ่งมีชีวิตร่างหนึ่งลอยออกมาทันที
เงาของภาพสัญลักษณ์ตัวนี้ปรากฏตัวขึ้นปุ๊บก็อ้าปากกว้างส่งพายุหมุนสีน้ำเงินลูกหนึ่งออกมาทันที
เสียง “ปัง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
แหลนสีดำถูกพายุหมุนเป่าครั้งเดียวพลันกลับกลายเป็นไอปีศาจสีดำสายแล้วสายเล่าพังทลายลง จากนั้นก็ถูกเงาวัวสีน้ำเงินสูดเข้าไปในคำเดียว
อีกด้านหนึ่งอสรพิษสีเขียวตัวนั้นที่หลงเซวียนปล่อยออกมา เพียงชั่วลมหายใจเดียวก็ถูกแหลนสีดำโจมตีทลายสลาย แต่เขากลับทิ้งร่างลงเหมือนคาดเอาไว้อยู่ก่อนแล้วจึงหลบพ้นแหลนสีดำอีกเล่มหนึ่งไปได้อย่างหวุดหวิด
“เอ๋ น่าสนใจ!”
มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์สองตาเป็นประกาย เขาจ้องหลิ่วหมิงเขม็งอยู่ชั่วครู่ คล้ายกับว่าสนใจภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนยิ่งนัก
หลิ่วหมิงเผชิญหน้ากับมนุษย์ปีศาจตรงหน้าย่อมไม่กล้าดูแคลน เขาเก็บเงาวัวสีน้ำเงินกลับมาที่หัวไหล่ พร้อมกันนั้นก็มองอีกฝ่ายนิ่งด้วยสายตาเย็นชาเช่นกัน
หลงเซวียนลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า เส้นผมสีเขียวมีหมู่เขาด้านหลังขับเน้นจึงสะดุดตายิ่งนัก ทว่าทันใดนั้นเขาก็หัวเราะอย่างมีเลศนัยใส่หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านล่าง แล้วตบยันต์สีขาวขมุกขมัวแผ่นหนึ่งลงบนร่างอีกครั้ง เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นครั้งหนึ่งเขาก็กลายเป็นเงาร่างสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป เขาพุ่งออกไปสามสี่สิบจั้งภายใต้แสงสีขาวที่ห้อมล้อม พร่าเลือนอีกวูบหนึ่งก็กลายเป็นจุดสีเขียวจุดหนึ่งหายลับไปไกล
“จิ๊ๆ ดูท่าสหายของเจ้าจะทิ้งเจ้าไปแล้ว! ให้เจ้าหนูคนนั้นหนีไปก่อนก็แล้วกัน อย่างไรข้าก็จดจำไอปีศาจบนร่างเขาได้แล้ว ไม่มีทางหนีพ้นไปได้จริงๆ หรอก! เจ้ากลับน่าสนใจกว่าอยู่บ้าง ว่าอย่างไร หากยินดีสวามิภักดิ์ ข้าไว้ชีวิตเจ้าสักครั้งก็ได้นะ?” มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์เห็นสถานการณ์เช่นนี้กลับไม่โกรธแต่ยินดี เขาหัวเราะเสียงประหลาดใส่หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงฟังด้วยสีหน้าราบเรียบประหนึ่งไม่สะเทือนใจกับการหนีไปของหลงเซวียนแม้แต่น้อย เขาเพียงมองสำรวจ ‘มนุษย์ปีศาจ’ ในตำนานคนนี้ตรงหน้าจากหัวจรดเท้าไม่หยุด
อีกฝ่ายสูงเท่าคนธรรมดา แต่เมื่อเทียบสัดส่วนแล้วมือเท้าเรียวยาวกว่าอยู่บ้าง ทั้งร่างถูกไอปีศาจสีดำล้อมรอบ เห็นลวดลายจิตวิญญาณสีเทาขนาบดำแถบแล้วแถบเล่าบนร่างชัดเจน ในดวงตาสีเขียวหยกทั้งสองข้างฉายแววโหดเหี้ยมออกมาเลือนราง
“เหอะ เจ้าเด็กรุ่นหลังเผ่ามนุษย์ ดูท่าทางจะตัดสินใจรนหาที่ตายเองแล้ว! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงได้แต่ส่งเจ้าไปโลกหน้าก่อนเวลา!”
มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์เห็นหลิ่วหมิงมองตนเองประหนึ่งสำรวจสิ่งของไร้ชีวิตชิ้นหนึ่ง ทว่าไม่ตอบคำถามเขาแม้แต่น้อยก็โกรธจัดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ หลังจากตวาดโกรธเกรี้ยวประโยคหนึ่ง มือข้างหนึ่งก็คว้าไปยังพื้นที่ว่างตรงหน้าทันที
เสียง “ฉึบ” ดังขึ้น!
รอยแยกแคบยาวเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ เงาดำของมนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์แทรกเข้าไปในรอยแยกแล้วก็หายไปเช่นนี้
ในดวงตาของหลิ่วหมิงฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย แขนเสื้อสะบัดครั้งหนึ่ง มุกพลังวารีสีดำขมุกขมัวสองเม็ดพลันร่วงลงในมือ พร้อมกันนั้นปราณดำทั่วร่างก็ถาโถมออกมากลบทั้งร่างของเขาเข้าไป
เวลานี้เองอากาศว่างเปล่าด้านหลังร่างเขาพลันปรากฏรอยแยกเส้นหนึ่งอย่างเงียบเชียบ เงาดำร่างหนึ่งพุ่งออกมา สองมือกลายเป็นกรงเล็บสีดำยาวหนึ่งฉื่อกว่าตะปบเข้าใส่แผ่นหลังของหลิ่วหมิง
ร่างกายของหลิ่วหมิงส่ายไหวพร่าเลือนไปวูบหนึ่ง จากนั้นด้านข้างก็มีเงาจางๆ อีกร่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง
“หลิ่วหมิง” ร่างเดิมถูกกรงเล็บสีดำทะลุผ่านกลายเป็นละอองแสงสีดำจุดแล้วจุดเล่าแตกสลายไปในพริบตา
เงาที่จำแลงออกมาด้านข้างกลับก่อตัวกลายเป็นหลิ่วหมิงตัวจริงใหม่อีกครั้ง ทั้งเขายังตะโกนดั่งลั่น สองมือถูกันครั้งหนึ่งให้มุกพลังวารีสองลูกผสานจากสองกลายเป็นหนึ่ง จากนั้นต่อยหนึ่งหมัดหนักหน่วงออกมาทั้งที่ยังกำไว้
เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง
ระหว่างทางสายลมรุนแรงจากหมัดก็กลับกลายเป็นเงาหัวพยัคฆ์สีดำที่ดูราวกับมีชีวิตหัวหนึ่ง พุ่งไปยังด้านหลังของมนุษย์ปีศาจ
มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในช่วงเวลาที่ฉุกละหุกได้แต่บังคับเพลิงมารที่ปกป้องร่างอยู่ให้เคลื่อนไปตรงช่วงเอวพยายามจะป้องกัน แต่กลับสายไปแล้ว
เสียง “ปึก” หนักหน่วงดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
เพลิงมารที่ปกป้องร่างมนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ถูกแรงมหาศาลสายหนึ่งกระแทกอย่างแรงจนกระจาย ร่างกายปลิวถอยออกไปประหนึ่งกระสอบผ้าในพริบตา
หลิ่วหมิงไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย ร่างกายขยับไหวครั้งหนึ่งก็กลายเป็นเงาร่างหนึ่งบินโถมออกไป
มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ผู้นั้นเห็นชัดว่ามีประสบการณ์การต่อสู้มากมายยิ่งนัก เมื่อเห็นหลิ่วหมิงไล่ตามมาเขากลับไม่ลนลานแม้แต่น้อย ออกแรงบิดร่างเพียงครั้งเดียว ไอปีศาจทั่วร่างพลันทะลักออกมา ร่างกายหยุดกะทันหันทั้งที่กำลังจะเหาะออกไป แล้วฉวยจังหวะนี้คำรามแผ่วเบาพร้อมกับขยับแขนครั้งหนึ่ง ห้านิ้วรวมเข้าด้วยกัน เงาฝ่ามือยักษ์สีดำขมุกขมัวใหญ่หนึ่งจั้งกว่าข้างหนึ่งตบเข้าใส่หลิ่วหมิงที่กำลังพุ่งไล่ตามมา
หลิ่วหมิงที่ร่างกายอยู่กลางท้องฟ้าเหมือนจะคิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์เสียเปรียบเช่นนี้มนุษย์ปีศาจผู้นี้จะยังคงตอบโต้ได้อย่างเฉียบไวเช่นนี้ เขาได้แต่ไขว้สองแขนขวางไว้หน้าร่าง
ตอนที่ 909 โต้กลับสังหารมนุษย์ปีศาจ
บึ๊ม!
‘หลิ่วหมิง’ ที่ไล่ตามมาถูกฝ่ามือมารสีดำโจมตีครั้งเดียวก็สลายไป
มนุษย์ปีศาจตกตะลึงจากนั้นหมุนตัวในทันใด ร่างของหลิ่วหมิงปรากฏตัวห่างไปสองสามจั้งด้านหลัง สองแขนประสานกันพุ่งเข้ามาหาเขา
เสียงฟู่ดังขึ้น
มนุษย์ปีศาจอ้าปากพ่นเพลิงมารสีเขียวลูกหนึ่งออกมา ชั่วพริบตากลายเป็นทะเลเพลิงกลืนร่างของหลิ่วหมิงเข้าไป
แต่กลางเพลิงเขียวที่ลุกโหมมีเพียงหมอกสีดำก้อนหนึ่งสลายไปเท่านั้น คนนี้ก็ยังคงเป็นเงาร่างหนึ่งที่เสกขึ้นมา
“เจ้าเด็กรุ่นหลังถึงกับกล้าหลอกข้ารึ!” มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์เห็นเช่นนี้พลันโกรธจัด
ในเวลานี้เอง เงาดำอีกร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวห่างไปครึ่งจั้งหลังร่างมนุษย์ปีศาจดั่งภูตพราย
หลิ่วหมิงตัวจริงนั่นเอง
มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ไม่พูดพร่ำ ร่างกายหมุนเร็วรี่รอบหนึ่ง แขนข้างหนึ่งกวาดขวางไปด้านหลังประหนึ่งเคียว
หลิ่วหมิงก็ไม่พูดพร่ำสองแขนสั่นไหววูบหนึ่งต่อยสองหมัดออกมาดังฟึบๆ
หมัดแรกโจมตีปัดป้องแขนของมนุษย์ปีศาจที่กวาดเข้ามา อีกหมัดหนึ่งแขนฉับพลันขยายใหญ่ ห้านิ้วเสียบเข้าไปในอกมนุษย์ปีศาจประหนึ่งตะขอเหล็กแล้วชักกลับดุจสายฟ้าแลบ
ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงก็รู้สึกว่ากลางฝ่ามืออุ่นร้อน ก้อนเนื้อชุ่มเลือดสีดำสนิทขนาดเท่ากำปั้นข้างหนึ่งถูกเขาควักออกมา แต่นั่นกลับไม่ใช่หัวใจที่แท้จริงของมนุษย์ปีศาจ ทำให้เขาอดไม่ได้ตะลึงเล็กน้อย
ในเวลานี้เอง มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ผู้ไม่สนใจความเจ็บปวดสาหัสบนร่างพลันกู่ร้องโหยหวน แขนอีกข้างหนึ่งเลือนหายกลายเป็นเงาแส้เส้นแล้วเส้นเล่าหวดเข้าใส่หลิ่วหมิงอย่างรุนแรงราวกับไร้กระดูก
เงาแส้ยังไม่ทันหวดเข้ามาใกล้จริงๆ หูของหลิ่วหมิงก็ได้ยินเสียงกรีดร้องเจ็บปวด
รูม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็กลง ร่างกายพุ่งพรวดถอยออกไปดั่งลูกธนู
เวลานี้มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์เพิ่งหวุดหวิดตั้งร่างมั่นคงได้ บนใบหน้าเผยสีหน้าทุกข์ทรมานเล็กน้อยแล้วก้มศีรษะมองตรงหน้าอกฝั่งขวา
ตรงนั้นมีรูเลือดขนาดเท่าชามข้าวรูหนึ่งอยู่ ไอปีศาจสีดำสายแล้วสายเล่าถมลงไปอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
“ดูท่า ข้าจะดูถูกเจ้าแล้ว!”
มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์แค่นเสียงหยันคำหนึ่ง จากนั้นแหงนหน้าคำรามเป็นเสียงประหลาด ไอปีศาจรุนแรงสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า
ท้องฟ้าที่เดิมทีสีเหลืองขมุกขมัวฉับพลันมีพายุคลั่งลูกหนึ่งเข้าจู่โจม ผืนฟ้าบริเวณหลายลี้กลายเป็นสีเทาดำในพริบตา
ในรูเลือดบนหน้าอกของมนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ ปราณดำนับไม่ถ้วนถักทองอกเป็นติ่งเนื้อสีแดงดำเส้นเล็กมากมายเกี่ยวกระหวัดกัน ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจก็ประสานสนิทดังเดิมอย่างสมบูรณ์ ผิวหนังนุ่มเรียบลื่นราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน
แม้เป็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ยังสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่าปราณของมนุษย์ปีศาจคนนี้ตรงหน้าอ่อนแอลงกว่าเดิมอยู่บ้างแล้ว
ทันใดนั้นมนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ก็ท่องมนตร์แล้วโจมตีหนึ่งหมัดเข้าใส่หลิ่วหมิงอย่างรุนแรง
เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง
ปราณดำก้อนหนึ่งซัดออกมาจากในกำปั้น จากนั้นหมุนเร็วรี่ก่อตัวเป็นเงาสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะของสัตว์หลายชนิดผสมกันและมีเพลิงมารสีดำหุ้มอยู่ตัวหนึ่งโถมตรงเข้ามาหาหลิ่วหมิง ร่างของมันสูงสองถึงสามจั้ง หัวเป็นงู ตัวเป็นวัว บนหัวมีเขาแหลมสีดำคู่หนึ่งและมีท่อนขาหนาล่ำหกข้าง
จุดที่เงาสัตว์ประหลาดพุ่งผ่าน อากาศบริเวณใกล้เคียงล้วนถูกเพลิงมารบนร่างมันแผดเผาจนบิดเบี้ยวพร่าเลือน คลื่นเปลวเพลิงร้อนระอุสีดำวงแล้ววงเล่าซัดออกมาอยู่เลือนราง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดพร่ำมือข้างหนึ่งตบบนหัวไหล่ แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งส่องสว่าง ปล่อยภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนออกมาอีกครั้ง
เงาวัวสีน้ำเงินขนาดมหึมาแหงนหน้ากู่ร้อง
สายลมแรงสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่าซัดออกมาจากในปากของมันแล้วถาโถมเข้าใส่สัตว์มารประหลาดที่พุ่งมืดฟ้ามัวดินเข้ามา
เสียงฟู่ดังสนั่น!
จุดที่สายลมแรงสีน้ำเงินพัดผ่าน เพลิงมารสีดำสายแล้วสายเล่าบนร่างสัตว์มารถูกหอบเข้าไปในปากของเชอฮ่วนอย่างรวดเร็ว กระทั่งมนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ที่อยู่ด้านหลังไม่ไกลก็ถูกผลกระทบของสายลมสีน้ำเงินไปด้วย ไอปีศาจรอบร่างถูกดูดไปไม่น้อย
มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ตกตะลึงยิ่งนัก เขาถอยหลังไม่หยุดจนหลบพ้นสายลมสีน้ำเงินหลายสายที่พัดตามมาได้อย่างหวุดหวิด
ส่วนเงาสัตว์ประหลาดหลังจากถูกสูบไอปีศาจส่วนใหญ่ไป ร่างกายก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวร่างกายก็เหลือเพียงหนึ่งจั้งกว่า
ในเวลาเดียวกันเงาวัวสีน้ำเงินกลับท่าทางเหมือนกินอิ่ม ร่างกายขยายขนาดขึ้นเกือบเท่าหนึ่ง พร้อมกันนั้นแสงแวววาวในดวงตาก็ลุกโชน อ้าปากใหญ่โตพุ่งเข้าใส่สัตว์ประหลาดตัวนั้นกลืนมันลงท้องไปในไม่กี่คำ
“ไม่มีทาง นี่มัน…”
หลังจากมนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ประจักษ์กับภาพนี้ก็ตื่นตะลึงอย่างยิ่ง เขากวาดสายตามองเงาวัวสีน้ำเงินอย่างละเอียดอีกหน ทันใดนั้นก็หน้าถอดสียกมือขึ้นแหวกอากาศเป็นรอยแยกเส้นหนึ่ง ไม่พูดพร่ำมุดเข้าไปทันที
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย ร่างกายขยับวูบเดียวพุ่งเร็วรี่ไปฝั่งตรงข้าม
หนึ่งลมหายใจผ่านไป รอยแยกสีดำเส้นหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นกลางอากาศห่างไปร้อยกว่าจั้ง มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์พุ่งออกมาจากด้านใน พร้อมกันนั้นก็ยกมือเตรียมแหวกรอยแยกมิติอีกครั้ง
ขณะที่เขากำลังจะพุ่งเข้าไปอีกหนนั่นเองก็เกิดคลื่นสั่นไหวเบื้องหน้ารอยแยก หลิ่วหมิงปรากฏกายออกมาในทันใด พร้อมกันนั้นหัวไหล่ก็สะบัด เงาวัวสีน้ำเงินตัวหนึ่งพุ่งตามออกมา มันอ้าปากพ่นแสงเรืองรองสีน้ำเงินสายหนึ่งล้อมมนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ไว้
“เจ้าบังอาจ!” เพลิงมารที่ปกป้องอยู่รอบร่างมนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ถูกพัดครั้งเดียวก็กระจัดกระจายจนเผยร่างที่แท้จริงด้านในออกมา เขาดิ้นรนแต่ไม่อาจหลุดพ้นจากการควบคุมของแสงเรืองรองสีน้ำเงินได้
ในเวลานี้เองมือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงก็คว้าไปที่หัวไหล่ของเขาเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งคว้าเข้าที่ศีรษะของเขา
เขาตวาดดังลั่น สองแขนส่งเสียงเปรี๊ยะออกมาแล้วขยายใหญ่จนหนาเท่าถังน้ำ ห้านิ้วออกแรงบีบทันที
เสียง “แครก” ดังลั่น!
หัวไหล่กับศีรษะของมนุษย์ปีศาจถูกหลิ่วหมิงบีบจนแหลกพร้อมกันอย่างไม่อาจต้านทานได้สักนิด!
ชั่วขณะหนึ่งกลิ่นคาวแสบจมูกตลบอบอวลพร้อมกับที่บางสิ่งสีแดงกับสีขาวกระจัดกระจายไปรอบด้าน และในเวลาเดียวกันไอปีศาจสีดำสายแล้วสายเล่าก็ทะลักไม่หยุดออกมาจากลำคอกระจายหายไปทั่วทุกสารทิศ
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงพลิกมือเรียกโอสถฟื้นพลังเวทเม็ดหนึ่งออกมากินลงไป จากนั้นแผ่จิตสัมผัสกวาดไปยังศพไร้หัว
เพียงชั่วครู่ให้หลัง บนใบหน้าของเขาก็เผยสีหน้าผิดหวังออกมา
ไม่รู้เพราะเหตุใดบนร่างของมนุษย์ปีศาจผู้นี้จึงไม่มีกระทั่งยันต์เก็บของสักใบ มีเพียงศิลาแวววาวสีดำที่มีไอปีศาจวนเวียนอยู่เล็กน้อยสิบกว่าก้อนตรงเอวเท่านั้น
“หรือว่ามนุษย์ปีศาจเหล่านี้จะไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณในการต่อสู้?”
หลิ่วหมิงพึมพำอย่างสงสัยกับตนเอง มือข้างหนึ่งเอื้อมไปคว้าศิลาแวววาวสีดำสิบกว่าก้อนนั่นมาไว้ในมือ จากนั้นเก็บเข้ากล่องไม้ใบหนึ่งแล้วแปะยันต์ผนึกแผ่นหนึ่งไว้ ก่อนจะยัดลงไปในแหวนย่อส่วน
เวลานี้เองถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวของหลิ่วหมิงก็มีเสียงเด็กน้อยใสกระจ่างดังออกมา
“นายท่าน ศพของมนุษย์ปีศาจผู้นี้ยกให้ข้าได้หรือไม่?”
หลิ่วหมิงได้ฟังก็นิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นก็ตบข้างเอวทันที ปราณสีเขียวสายหนึ่งม้วนตัวออกมา เด็กน้อยชุดเขียวผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า เขาก็คือเฟยเอ๋อร์นั่นเอง
เขาปรากฏตัวปุ๊บก็ย่นจมูกน้อยสองสามหนอย่างละโมบ แล้วคืนร่างเดิมอย่างไม่ลังเลสักนิดจากนั้นแยกเป็นเก้าร่างโถมเข้าไปหาศพของมนุษย์ปีศาจ เริ่มกัดกินคำโต
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้เงียบไป
หลังจากเฟยเอ๋อร์กลืนกินหัวปีศาจแม่ทัพที่หุบเขาตระกูลเยี่ยเมื่อตอนนั้น พลังก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยแต่ยังไม่ทะลวงระดับ หากวันนี้กินศพมารที่พลังไม่อ่อนแอร่างนี้ลงไป บางทีอาจมีประโยชน์ทำให้มันเลื่อนระดับเร็วขึ้นก็เป็นได้
เวลาผ่านไปเพียงไม่นานศพของมนุษย์ปีศาจเกินครึ่งก็ถูกเฟยเอ๋อร์กินลงไปแล้ว
เสียงฟู่ดังขึ้นครั้งหนึ่ง เขารวมร่างจากเก้าเป็นหนึ่งอีกหน กลับคืนร่างเด็กน้อยอีกครั้งแล้วตบหนังท้องอันกลมดิก ท่าทางเหมือนง่วงงุนหลังทานอาหารอิ่ม
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย หลังจากตบข้างเอวเก็บเฟยเอ๋อร์กลับเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณอีกครั้งแล้วก็ปล่อยลูกบอลเพลิงลูกหนึ่งออกมาเผาซากร่างที่เหลืออยู่ของมนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์จนกลายเป็นจุณ
หลังทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้น เขาก็ทำหน้าครุ่นคิดอยู่ที่เดิม
จะว่าไปแล้วครั้งนี้ที่สังหารมนุษย์ปีศาจซึ่งพลังไม่อ่อนแอผู้นี้ได้อย่างง่ายดายล้วนอาศัยความดีความชอบของภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนทั้งสิ้น ทว่าเมื่อครู่เขาสังเกตอยู่พักหนึ่งจนค้นพบว่าแม้เชอฮ่วนจะกลืนกินไอปีศาจของมนุษย์ปีศาจได้ แต่ดูดกลืนมันไม่ได้แม้แต่น้อย
หลังจากไอปีศาจเหล่านี้คงอยู่ในร่างเงาวัวสีน้ำเงินครู่หนึ่งก็หายไปอย่างประหลาด
ดูท่าหากปะทะกับมนุษย์ปีศาจที่แข็งแกร่งกว่านี้ ก็ไม่แน่ว่าภาพสัญลักษณ์นี้จะได้ผลมากเช่นนี้
หลังจากเขาส่ายหน้าเล็กน้อยก็พลิกมือเรียกแผนที่ออกมา เขากวาดสายตาดูอยู่ครู่หนึ่ง เมฆดำใต้เท้าก็ยกร่างลอยขึ้น เหาะไปยังทิศทางที่เขาศิลาดำอยู่ตามที่แผนที่ระบุไว้
เขาเพิ่งจากไปได้เพียงครู่เดียว ทันใดนั้นเสียงแหวกอากาศดังสนั่นก็ดังขึ้นในหมู่เขา สายลมสีดำเจ็ดสายพุ่งออกมาแล้วทยอยร่อนลงมายังตำแหน่งที่หลิ่วหมิงยืนอยู่ก่อนหน้านี้
“ไม่ผิดแน่ วิชาลับภาพสัญลักษณ์ระดับสูงของเผ่ามนุษย์ ครานี้ลดความลำบากให้ข้าได้ไม่น้อยแล้ว!”
เสียงบุรุษทุ้มห้าวเสียงหนึ่งดังออกมาจากสายลมสีดำสายหนึ่งที่นำอยู่ด้านหน้า พร้อมกับเสียงหัวเราะประหลาดฟังดูแปลกพิกล
ด้านในสายลมสีดำหกสายที่เหลือเห็นเงาร่างหกร่างอยู่เลือนราง แต่กลับไม่มีเสียงดังออกมาแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าไม่ยินดีตอบคนที่เป็นผู้นำคนนั้นหรือว่ากำลังเมินสิ่งที่เขาพูดอยู่
หลังจากนั้นสายลมสีดำเจ็ดสายนี้ก็พัดเสียงดัง หอบทรายและหินขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะหายไปจากที่เดิม
ครึ่งชั่วยามให้หลัง ริมทะเลสาบที่ใกล้จะแห้งขอดแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงกำลังเหยียบเมฆสีดำก้อนหนึ่งบินเรี่ยไปกับพื้นดิน
แม้เดินทางผ่านที่นี่จะอ้อมทางอยู่บ้าง แต่จากเครื่องหมายบนแผนที่ซึ่งนิกายมอบให้ ที่แห่งนี้น่าจะไม่มีปีศาจอสูรมากนัก ไม่เพียงเท่านี้ตลอดทางที่ผ่านมาเขายังเก็บหญ้าจิตวิญญาณไม่ทราบชื่อได้อีกหลายต้นกับหินแร่สีแดงเลือดถุงเล็กถุงหนึ่ง
ปรากฏว่าเหาะอย่างสงบสุขเช่นนี้มาได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็สีหน้าเปลี่ยนในทันใด ร่างกายขยับวูบเดียว ทั้งร่างพลันเร้นกายขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่แห้งเหี่ยวด้านล่างอย่างรวดเร็วประหนึ่งดวงวิญญาณ พร้อมกันนั้นก็กระตุ้นวิชาลับภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนเก็บซ่อนกลิ่นอายไปอย่างสมบูรณ์
สิบกว่าลมหายใจหลังจากนั้น เมฆดำผืนหนึ่งบนท้องนภาไกลออกไปก็โถมมาถึง
เสียงเปรี้ยงดังกึกก้อง!
ท้องฟ้าเหนือทะเลสาบฉับพลันถูกความมืดที่แผ่ไปรอบด้านไม่หยุดเข้าปกคลุมจนแสงสว่างสักนิดก็ไม่มี ทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงเล็กน้อย
สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเมฆหมอกสีดำกระจายออกอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นบุรุษชุดเทาหน้าตาหมดจดเจ็ดคนที่แลดูคล้ายกันอยู่บ้างด้านใน พวกเขากำลังกวาดตามองรอบด้านไม่หยุดประหนึ่งว่ากำลังค้นหาสิ่งใดอยู่
หน้าตาของคนเหล่านี้คล้ายกับเผ่ามนุษย์ปกติ ทว่าดวงตาสีฟ้าครามทั้งสองข้างมีประกายแสงวูบไหวอยู่เลือนราง
หลิ่วหมิงเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย!
แม้รอบร่างพวกเขาจะไม่มีไอปีศาจสีดำวนล้อมอยู่ แต่มองปราดเดียวก็มองออกว่าเจ็ดคนนี้ล้วนเป็นมนุษย์ปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้ดูจากระดับพลังแล้ว แต่ละคนล้วนมีพลังบรรลุระดับแก่นเสมือน ปราณที่แผ่ออกมาใกล้เคียงกันอย่างยิ่งคล้ายกับว่าเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น