หมอดูยอดอัจฉริยะ 906-909
ตอนที่ 906 เข้าใจผิดอย่างแรง
ธนาคารที่เยี่ยเทียนกำลังจะไป มีชื่อเต็มเรียกว่าสหภาพธนาคารของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (UBS) เกิดจากการรวมตัวกันของธนาคารยูบีเอสกับยูบีเอสกรุ๊ปเอจี ในปี 1998 และในโครงสร้างของหุ้นส่วนนี้ก็มีหุ้นของธนาคารแห่งชาติสวิสอยู่ในนั้นบางส่วน เนื่องจากมีตำแหน่งทางด้านการเงินสูงมาก ทำให้หลายคนเข้าใจว่าเป็นธนาคารแห่งชาติสวิส
ธนาคารยูบีเอสเป็นกิจการการบริหารทรัพย์สินที่ใหญ่ที่สุดของโลก เป็นการบริหารทรัพย์สินชั้นนำของโลกและเป็นธนาคารที่มีการรับประกันด้านการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุด ด้านการบริการส่วนบุคคลก็อยู่ในระดับแนวหน้า มีการให้ บริการแก่บุคคลและธุรกิจมากกว่าสี่ล้านราย
ธนาคารแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1912 เกิดจากการรวมตัวกันของธนาคารวินเทอร์ทัวร์กับธนาคารท็อกเกนเบิร์ก ในปี 1862 ธนาคารวินเทอร์ทัวร์จัดตั้งขึ้นในเมืองวินเทอร์ทัวร์ ที่เป็นศูนย์กลางการขนส่งทางรถไฟในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสวิตเซอร์แลนด์ และในปี 1863 ธนาคารท็อกเกนเบิร์กจัดตั้งขึ้นในเขตพื้นที่ของเมืองท็อกเกนเบิร์กที่อยู่ใน รัฐลิกเตนสไตน์ เมื่อสืบสาวราวเรื่องไปถึงต้นกำเนิด ประวัติศาสตร์ของธนาคารกลุ่มสวิสก็ยาวนานมากว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว
ก่อนที่ซ่งเวยหลันจะโอนทรัพย์สินให้เยี่ยเทียนนั้น ก็ได้ถามความคิดเห็นของเขา แล้วจึงเปิดบัญชีเป็นชื่อของเขาที่ธนาคารสวิส โอนเงินจำนวนหลายพันดอลลาร์เข้าไป สำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินคอยดูแลโดยเฉพาะ ทำให้เยี่ยเทียนไม่เคยต้องกังวลใจมาก่อน
หลังจากออกมาจากสถานทูตครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เยี่ยเทียนและคนอื่นๆ ก็มาถึงสำนักงานใหญ่ของธนาคาร ยูบีเอสซึ่งอยู่ใจกลางเมืองซูริก มองดูตึกที่สูงตระหง่านเสียดฟ้า เยี่ยเทียนจึงอดถอนหายใจและพูดว่า
“ยังไงธนาคารก็มีเงินอยู่ดี ตอนนี้ฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนมากมายถึงชอบปล้นธนาคารนัก!”
สำนักงานใหญ่ของธนาคารยูบีเอสสร้างขึ้นอย่างโอ่อ่าหรูหรา โครงสร้างโลหะด้านนอกเผยให้เห็นถึงกลิ่นอายของความมั่งคั่งร่ำรวย ในส่วนที่ชัดเจนที่สุดของตัวอาคาร มีรูปของกุญแจสามดอกเป็นสัญลักษณ์พร้อมกับตัวหนังสือคำว่า “UBS” กลุ่มคนมากมายที่เดินเข้าออกประตูไม่ขาดสาย แสดงให้เห็นถึงกิจการที่ยุ่งมากของธนาคาร
“อาจารย์ ผมได้ยินว่าตู้เซฟที่อยู่ในนี้หนาสองสามเมตร ถ้าอยากจะปล้นเกรงว่าจะยากพอดู!”
โจวเซี่ยวเทียนไม่ได้สนใจความโอ่อ่าของการก่อสร้างธนาคารเท่าไร แต่กลับสนใจคำพูดของเยี่ยเทียนเมื่อครู่มากกว่า ถึงอย่างไรก็ไม่ได้อยู่ในประเทศของตัวเอง ถ้าจะเอาคำพูดของโก่วซินเจียมาพูด หากออกไปต่างประเทศก็หาเรื่องแกล้งให้มากที่สุด ถือว่าเป็นการล้างแค้นที่ถูกรุกรานจากกองทัพพันธมิตรแปดชาติในตอนนั้นก็แล้วกัน
“สองสามเมตรจะมีประโยชน์อะไร? ฉันใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ตัดขาดแล้ว”
เยี่ยเทียนเบ้ปาก เพราะในโลกใบนี้ เยี่ยเทียนยังไม่เคยเห็นวัสดุชนิดใดที่สามารถต้านทานมีดบินของเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นโลหะที่แข็งแกร่งเพียงใด มีดบินคู่กายของเยี่ยเทียนก็สามารถตัดขาดให้เหมือนเต้าหู้และฉีกขาดได้อย่างง่ายดาย
โจวเซี่ยวเทียนตาเป็นประกายเมื่อได้ยิน แล้วจึงถามอย่างรีบร้อนว่า
“จริงเหรอครับ? อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่ต้องเข้าไปเอาของแล้ว มาเปิดตู้เซฟพวกนั้นคืนนี้ดีกว่า เพราะของในนี้จะมีของดีสักเท่าไรกัน?”
“ไสหัวไปทางนั้นเลย อย่างนั้นพรุ่งนี้พวกเราก็ถูกประกาศจับไปทั่วโลกแล้ว ฉันยังไม่อยากหนีไปเป็นเทพทลายนภาเร็วเกินไป”
เยี่ยเทียนถลึงตาใส่ลูกศิษย์อย่างไม่สบอารมณ์ ต่อให้เขาอยากจะหยิบของบางอย่างจากในธนาคารแห่งนี้ ก็ทำได้เพียงปล้นแต่ไม่ใช่การขโมย
ในฐานะที่เป็นสถาบันทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดของโลก มาตรการรักษาความปลอดภัยของที่นี่จึงดีที่สุดในโลก ถึงแม้เยี่ยเทียนจะสามารถใช้ปราณแท้ในการอำพรางตัวเองได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นการอำพรางตัวอย่างแท้จริง จึงไม่อาจถูกตัดขาดจากรังสีอินฟราเรดได้ และเกรงว่าจะเกิดการเตือนอย่างอึกทึกเมื่อเขาก้าวเข้าไป
“อย่างนั้นก็น่าเสียดายนะครับ ได้ยินว่าตอนนั้นพวกเขาปล้นเงินของชาวยิวไปไม่น้อย ถ้าหากสามารถ ‘หยิบ’ ออกมาใช้จ่ายได้ก็คงดี”
โจวเซี่ยวเทียนทำสีหน้าเสียดาย แล้วทั้งสองคนก็รอที่จะเข้าไปพร้อมกับกู้ต้าจวินที่กำลังเอารถไปจอดอยู่ ถึงอย่างไรก็ว่างจัด จากนั้นจึงเดินเล่นไปมาอยู่ตรงหน้าประตูธนาคารไปพลางๆ และด้วยจิตใจและฐานะของคนทั้งสอง หากไม่มีวัตถุที่สามารถดึงดูดพวกเขาได้เป็นพิเศษแล้ว พวกเขาจะเกิดความคิดอยากจะปล้นขึ้นมาได้อย่างไร?
“คุณเยี่ย คุยอะไรกันครับดูสนุกเชียว?”
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ กู้ต้าจวินที่จอดรถเสร็จแล้วก็เดินมา เขาคงคิดไม่ถึงว่า อาจารย์และลูกศิษย์สองคนนี้กำลังพูดถึงการวางแผนปล้นธนาคารกันอยู่
“ไม่ได้คุยอะไรกันครับ เหล่ากู้ เข้าไปกันเถอะ!”
เยี่ยเทียนยิ้ม แล้วจึงเดินนำเข้าไปในสำนักงานใหญ่ของธนาคารยูบีเอส พร้อมกับบ่นพึมพำอยู่ในปากว่า
“ธนาคารใหญ่ขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเลย? หรือไม่กลัวว่าจะถูกปล้นจริงๆ?”
“คุณเยี่ยครับ รู้สึกดูแปลกๆ นะครับ!”
ตอนที่เพิ่งจะเข้าไปในอาคารที่ใหญ่โตรโหฐาน กู้ต้าจวินที่เดินตามหลังเยี่ยเทียนมาก็หยุดชะงัก เพราะว่าห้องโถงใหญ่ของธนาคารที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขา เวลานี้ไม่มีลูกค้าสักคนเดียว มีเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ติดอาวุธครบครันยืนเรียงแถว พร้อมกับกระบอกปืนดำๆ สิบกว่ากระบอก
“เป็นอะไรเหรอ? หรือว่ามีโจรปล้นธนาคารเดินตามพวกเราเข้ามา?”
เยี่ยเทียนหันหน้าไปมองด้วยความสงสัย เพราะตอนนี้ด้านหลังของพวกเขา ก็ไม่มีคนที่สี่แล้ว นอกจากนี้เยี่ยเทียนก็พบว่า ตอนที่พวกเขาผ่านประตูใหญ่เข้ามา ประตูก็ปิดลงอย่างรวดเร็ว ตัดขาดทางหนีของเยี่ยเทียนและคนอื่นๆ
“บัดซบเอ้ย นี่เป็นการวางแผนจะจัดการพวกเรา?”
ในที่สุดเยี่ยเทียนก็เข้าใจ ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาในใจอย่างฉับพลัน เพราะเขาฝากเงินในธนาคารยูบีเอสหลายพันล้านดอลลาร์ ถึงจะไม่กล้าพูดว่ามากที่สุด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นลูกค้ารายใหญ่คนหนึ่ง? ทำไมธนาคารถึงใช้วิธีแบบนี้ต้อนรับแขก?
“พวกเราสงสัยว่าพวกคุณวางแผนจะปล้นธนาคาร พวกคุณสามคน ชูมือขึ้นเหนือศีรษะ เพื่อรับการตรวจสอบ!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะระบายความโกรธนั้น ก็มีผู้ชายผิวขาวใส่ชุดสูทรองเท้าหนังอายุประมาณสี่สิบปีเดินมาอยู่ด้านหลังของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่มีปืนพร้อมกระสุนครบครัน พร้อมกับถือโทรโข่งแล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษ
“ผมชื่อริชาดสัน ออลแมน เป็นหัวหน้าดูแลรักษาความปลอดภัยต่างๆ ของธนาคาร ขอให้พวกคุณให้ความร่วมมือให้พวกเราตรวจสอบ ไม่อย่างนั้นพวกเรามีสิทธิ์ที่จะใช้ปืนยิงครับ!”
ดูเหมือนกลัวว่าเยี่ยเทียนจะไม่เข้าใจ หลังจากใช้ภาษาอังกฤษอธิบายแล้ว ริชาดสัน ออลแมนจึงใช้ภาษาจีนพูดซ้ำอีกหนึ่งรอบ ตอนที่เขาพูดนั้น ยังมีสีหน้าที่มั่นใจออกมาบนใบหน้า
“ผมรู้แล้ว ที่แท้ตรงหน้าประตูของธนาคารไม่ได้มีกล้องวงจรปิดแบบไร้เสียง พวกเขาสามารถได้ยินการสนทนาของพวกเรา?”
หลังจากได้ยินคำพูดของริชาดสันแล้ว เยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนจึงมองหน้ากัน จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆ ออกมา เพราะการพูดจาที่ไร้สาระของพวกเขาเมื่อครู่ ได้ถูกกล้องวงจรปิดของธนาคารดักฟังหมดแล้ว ดังนั้นถึงได้มีพิธีการต้อนรับที่ยิ่งใหญ่แบบนี้
นี่จึงเป็นสาเหตุที่เยี่ยเทียนเก็บซ่อนปราณแท้ของตัวเองตลอดเวลา ถ้าหากเขาใช้ปราณแท้ปกคลุมสภาพแวดล้อมรอบตัว เช่นนั้นไม่ว่าธนาคารจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถได้ยินการสนทนาของพวกเขาแน่นอน
“คือว่า…คุณริชาดสัน ผมคิดว่า คุณอาจจะเข้าใจผิดหรือเปล่าครับ?”
เรื่องที่ตัวเองพูดจาไร้สาระจนเป็นเรื่อง เยี่ยเทียนจึงไม่มีเหตุผลต้องโกรธอะไร จากนั้นจึงใช้ภาษาอังกฤษพูดว่า
“ผมคิดว่าพวกคุณจะต้องเข้าใจผิดแน่นอน ผมเป็นลูกค้าของธนาคาร มาทำธุรกรรมที่นี่ พวกคุณไม่ควรปฏิบัติกับลูกค้า ของตัวเองแบบนี้!”
“เหรอครับ? แต่ผมได้ยินว่า เหมือนพวกคุณจะสนใจการปล้นธนาคารของพวกเราเป็นอย่างมาก!”
ริชาดสันส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ในฐานะหัวหน้าของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ผมมีหน้าที่ป้องกันความปลอดภัยของธนาคาร ผมคิดว่า…พวกคุณก็น่าจะยอมให้พวกเราตรวจสอบเสียโดยดีครับ เชิญชูมือขึ้นทั้งสองข้างขึ้น!”
เหมือนกับที่เยี่ยเทียนคิดเอาไว้ ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตูธนาคาร ก็มีการติดตั้งกล้องอย่างน้อยสิบตัวขึ้นไป และคนที่เข้าออกธนาคารทุกคน ก็จะแสดงให้เห็นใบหน้าอย่างชัดเจนอยู่ภายในห้องควบคุม
คดีปล้นชิงทรัพย์ในธนาคารสวิสมีไม่มาก มีเพียงในยุค 80 ตอนนั้นในแวดวงใหญ่ของอเมริกากับยุโรปได้เกิดคดีสกปรกคดีหนึ่ง คนร้ายใช้ปืน AK47 นับสิบกระบอกปล้นธนาคารแห่งหนึ่งได้สำเร็จ ดังนั้นเยี่ยเทียนและพวกเขาในฐานะที่เป็นคนจีน จึงกลายเป็นบุคคลที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
โชคดีที่ริชาดสันพูดภาษาจีนได้บ้าง หลังจากได้ยินเสียงบันทึกท่อนนั้นแล้ว การตอบสนองอย่างแรกของเขาก็คือ พวกเยี่ยเทียนสองคนนี้ต้องการมาปล้นธนาคาร
ทำให้การหลั่งอะดรีนาลีนของริชาดสันเร็วขึ้น เพราะเขาทำอาชีพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมานานกว่ายี่สิบปี และเขาก็เพิ่งเคยเจอเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงรีบใช้แผนฉุกเฉินทันที ทำให้เกิดภาพนี้ขึ้นมาอยู่ตรงหน้า
ริชาดสันเชื่อว่า ประธานกรรมการของสำนักงานใหญ่ของธนาคารกำลังดูการเคลื่อนไหวของที่นี่ผ่านกล้องวงจรปิดอยู่ ดังนั้นจึงยืดอกแล้วพูดว่า
“ตามร่างพระราชบัญญัติของธนาคารสวิส พวกเรามีสิทธิ์ยิงผู้ต้องสงสัยที่ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบได้ พวกคุณทั้งสามคน อย่าคิดว่าจะมีความโชคดีใดๆ เกิดขึ้น!”
“บ้าเอ้ย นี่มันอะไรกันวะ”
เยี่ยเทียนมองโจวเซี่ยวเทียนอย่างจะหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก แล้วพูดว่า
“เซี่ยวเทียน วันหลังแกต้องจำให้ขึ้นใจ ว่านี่คือปลาหมอตายเพราะปาก!”
“คุณเยี่ย เมื่อครู่พวกคุณไม่ได้พูดอะไรกันจริงๆ ใช่ไหมครับ?”
เยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนไม่สนใจเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิด แต่กู้ต้าจวินแทบจะทนไม่ไหว แล้วจึง ตะโกนถามว่า
“คุณริชาดสัน ผมเป็นทหารอยู่ที่สถานทูตประเทศจีนในสวิตเซอร์แลนด์นายหนึ่ง ผมชื่อกู้ต้าจวิน คุณสามารถโทรศัพท์ไปตรวจสอบได้ และผมจะประท้วงพฤติกรรมของพวกคุณต่อประเทศของคุณ!”
“เจ้าหน้าที่ของสถานทูต?”
ริชาดสันได้ยินจึงตกตะลึง เพราะเกี่ยวพันถึงด้านการทูต และผลเสียที่ตามมาใช่ว่าหัวหน้ารักษาความปลอดภัยตัวเล็กๆ อย่างเขาจะรับไหว จากนั้นจึงก้มหน้า แล้วพูดกับไมค์เล็กๆ ว่า
“รีบไปตรวจสอบฐานะของเขา…”
พอสิ้นเสียงของริชาดสัน เสียงคำรามของประธานกรรมการก็พลันดังขึ้นในชุดหูฟัง
“ตรวจสอบอะไร รีบเก็บปืนเดี๋ยวนี้ นี่คือลูกค้าผู้มีเกียรติของพวกเรา!”
“ท่าน…ท่านประธาน ท่าน…ท่านบอกว่าพวกเขาเป็นลูกค้าผู้มีเกียรติ?”
ริชาดสันงงเป็นไก่ตาแตก เพราะเขาคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่า ลูกค้าผู้มีเกียรติของธนาคาร ทำไมถึงทำตัวลับๆ ล่อๆ พูดปรึกษากันถึงเรื่องการปล้นธนาคารอยู่หน้าประ ตูกันเล่า?
เพียงแต่ยังไม่ทันได้รอให้ริชาดสันออกคำสั่งให้ถอย ลิฟต์ที่อยู่ในห้องโถงก็เปิดออก มีชายชราผิวขาวหุ่นกระทัดรัดอายุประมาณหกสิบกว่าปี เดินออกมาจากลิฟต์ท่ามกลางคนสี่ห้าคนที่เดินห้อมล้อม
ตอนที่เดินผ่านตัวของริชาดสันนั้น ชายชราได้ขึงตาใส่เขา แล้วจึงเดินไปอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน โค้งคำนับสุดตัวเป็นอย่างแรก แล้วพูดว่า
“คุณเยี่ย ต้องขอประทานโทษจริงๆ ครับ นี่คือการทำงานที่สะเพร่าของพวกเรา ผมขอเป็นตัวแทนในนามธนาคารยูบีเอส เพื่อแสดงความขอโทษอย่างจริงใจต่อคุณครับ!”
ตอนที่ 907 ตู้เซฟ
“คุณเจอโรม นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ?”
เมื่อเห็นประธานกรรมการโค้งคำนับให้เด็กหนุ่มคนนั้น สมองของริชาดสันพลันโล่งว่างไปหมด ในฐานะท่านประ ธานที่ควบตำแหน่งกรรมการบริหารของธนาคารกลุ่มสวิสแล้ว ถือว่าเจอโรมก็เป็นคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง บางครั้งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของประเทศเล็กๆ ที่ได้มาที่นี่ ก็ยังไม่เคยเห็นเขามาต้อนรับด้วยตัวเองแบบนี้
และคนจีนสามคนที่อยู่ตรงหน้าดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนสำคัญอะไร โดยเฉพาะเด็กหนุ่มสองคนนั่น ที่ยืนตัวเอียงอยู่ตรงนั้น ไม่ต่างจากวัยรุ่นตามถนน แต่ทำไมเขากลับมีค่าพอให้คุณเจอโรมทำแบบนั้น?
“ยังไม่รีบเก็บปืนอีก?”
เจอโรมยืดตัวตรง แล้วหันไปถลึงตาจ้องมองริชาดสัน
“หรือจะต้องรอให้ฉันจ่ายเงินเลิกจ้างแกก่อน แล้วไล่แกออกไปจากที่นี่ใช่ไหม?”
คำพูดนี้เจอโรมใช้ภาษาสเปนพูดออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาก็ยังไว้หน้าริชาดสันเช่นกัน ถึงอย่างไรตลอดเวลาที่ทำงานในธนาคารมานานกว่ายี่สิบปี นอกจากครั้งนี้แล้ว เขาก็ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดมาก่อน
“เร็ว รีบเก็บปืนเร็วเข้า!”
หลังจากได้ยินคำพูดของท่านประธานแล้ว ริชาดสันจึงเหมือนกับตื่นจากความฝัน เขายังไม่ทันออกคำสั่ง พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพวกนั้นก็เก็บปืนไปนานแล้ว ไม่มีใครอยากหาเรื่องใส่ตัวเอง เอาปืนไปจ่อเจ้านายตัวเอง
“คุณเยี่ย ต้องขอโทษจริงๆ นะครับ ที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิดแบบนี้ ผมขอเป็นตัวแทนแสดงความขอโทษอย่างจริง ใจกับคุณอีกครั้งครับ!”
เมื่อหันกลับไปมองเยี่ยเทียน ใบหน้าของเจอโรมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม วันนี้เขาอยู่ที่ธนาคารพอดี หลังจากได้ยินว่าจะมีการปล้น เขาจึงรีบต่อกล้องวงจรปิดมาที่ออฟฟิศของตัวเองโดยตรง
สำหรับสถาบันอย่างธนาคารกลุ่มสวิสแบบนี้ พวกเขาสามารถติดต่อกับตำรวจสากลได้ตลอดเวลา ขณะที่เจอโรมกำลังจะนำภาพกล้องของเยี่ยเทียนมอบให้กับทีมตำรวจสากล เพื่อยืนยันฐานะของอีกฝ่ายนั้น เขากลับได้ยินประ โยคในตอนแรกของเยี่ยเทียน
เขาได้ยินเยี่ยเทียนพูดว่าเป็นลูกค้าของธนาคาร เจอโรมจึงรีบนำภาพในกล้องของเยี่ยเทียนโหลดลงไปในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ของธนาคาร และด้วยระบบที่ทรงพลัง ภายในระยะเวลาสั้นๆ สองสามวินาที ก็สามารถค้นหาข้อมูลของเยี่ยเทียนที่อยู่ในธนาคารได้แล้ว
เมื่อเห็นจำนวนเงินที่ฝากในธนาคารของเยี่ยเทียนแล้ว เจอโรมจึงนั่งอยู่กับที่ไม่ติดอีกต่อไป
ถึงแม้จำนวนเงินไม่กี่พันล้านดอลลาร์ที่อยู่ในธนาคารจะไม่ใช่จำนวนเงินที่มากมายอะไร แต่กลับฝากในสถานะบุคคล การที่ตัวบุคคลสามารถร่ำรวยได้ถึงขนาดนี้ ก็มากพอที่จะทำให้เจอโรมทึ่งแล้ว
แม้แต่บิลล์ เกตส์ผู้ที่รวยที่สุดในโลก ก็ยังฝากเงินด้วยบัญชีส่วนตัวในธนาคารสวิสเพียงหนึ่งพันล้านดอลลาร์ แน่นอนว่า ถ้าหากเปลี่ยนเป็นในนามบริษัทแล้ว เงินไม่กี่พันล้านดอลลาร์ของเยี่ยเทียนก็ไม่ได้มากมายอะไร เพราะทรัพย์สินรวมทั้งหมดของธนาคารกลุ่มสวิสก็มีเป็นล้านล้านดอลลาร์
“คุณคือคุณเจอโรมใช่ไหมครับ เหมือนพวกเราจะคุยกันผ่านทางโทรศัพท์แล้ว!”
เยี่ยเทียนโบกมือแล้วพูดว่า
“ไม่มีอะ ไรครับ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่สามารถอธิบายได้ว่าระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคารคุณผ่านมาตรฐาน ผมนำเงินมาฝากไว้ที่นี่รู้สึกสบายใจมากครับ!”
งานด้านธนาคารมักจะมีความรู้สึกไวเกี่ยวกับการปล้นชิงทรัพย์เป็นธรรมดา เยี่ยเทียนรู้ว่าการสนทนาของเขากับโจวเซี่ยวเทียนเมื่อครู่นั้น เป็นตัวนำให้ทางธนาคารรู้สึกหวาดกลัว ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ถ้าหากซักถามกันต่อไป เกรงว่าเขาคงจะเสียหน้ามากเช่นกัน
“คุณเยี่ย วันนี้คุณต้องการทำธุรกรรมอะไรครับ? พวกเราเข้าไปคุยในห้องรับรองแขกกันเถอะครับ!”
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่ติดใจเรื่องนี้ เจอโรมจึงโล่งอกไม่หยุด เพราะถ้าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปก็จะมีผลเสียต่อธนาคารไม่มากก็น้อย
“มีธุระต้องจัดการนิดหน่อยครับ”
เยี่ยเทียนหันไปพูดกับกู้ต้าจวิน
“เหล่ากู้ คุณรอผมอยู่ที่โซนพักผ่อนสักพัก ถ้าผมทำธุระเสร็จแล้วก็จะออกมา”
“อ้อ ได้ครับ เชิญคุณเยี่ยตามสบายครับ!”
ถือว่าวันนี้กู้ต้าจวินได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ อย่างแรกถูกปืนกว่าสิบกระบอกมาจ่อหน้า จากนั้นประธานกรรมการธนาคารก็มาขอโทษด้วยตัวเอง เพียงแค่เวลาสั้นๆ สองสามนาที แต่ราวกับอยู่ในภาพยนตร์ซักเรื่อง
…
“โอเค คุณออกไปก่อนนะครับ!”
พอเข้าไปในห้องรับรองแขกของธนาคารแล้ว สาวสวยในชุดยูนิฟอร์มรูปร่างสูงสง่านำกาแฟมาเสิร์ฟ จากนั้นเจอโรมจึงโบกมือไล่ผู้หญิงคนนั้นออกไป เขารู้ความคิดของคนพวกนี้เป็นอย่างดี เพราะคนที่เขามาต้อนรับด้วยตัวเองแบบนี้ มีคนไหนบ้างที่ไม่ใช่มหาเศรษฐีระดับโลก ถ้าหากพวกเขาถูกใจล่ะก็ อย่างนั้นก็เท่ากับรวยทางลัดจริงๆ
“คุณเยี่ย ไม่ทราบว่าครั้งนี้คุณมาทำธุรกรรมเรื่องอะไรครับ?”
หลังจากไล่ผู้หญิงคนนั้นออกไปแล้ว เจอโรมจึงมอง เยี่ยเทียนแล้วพูดว่า
“เดี๋ยว…ผมจะเรียกผู้จัดการของธนาคารมาช่วยทำธุรกรรมให้คุณดีไหมครับ?”
ในฐานะประธานกรรมการของธนาคาร งานที่เจอโรมต้องทำไม่ใช่การต้อนรับแขก งานของผู้เชี่ยวชาญก็ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาจัดการเป็นธรรมดา มิฉะนั้นทุกวันที่มีมหาเศรษฐีระดับโลกมากมายที่มาทำธุรกรรมอย่างเยี่ยเทียน เขาก็คงไม่ต้องทำอะไรแล้ว คำพูดนี้หมายความว่าคงลาออกไปนานแล้ว
เยี่ยเทียนเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย จึงยิ้มพูดว่า
“ผมต้องการเปิดตู้เซฟครับ คุณเจอโรม ถ้าคุณยุ่งก็เชิญได้นะครับ”
“อ้อ อย่างนั้นผมจะเรียกหัวหน้าที่ดูแลเรื่องตู้เซฟมาช่วยคุณจัดการนะครับ!”
เจอโรมพยักหน้า แล้วจึงต่อสายพูดกำชับสองสามประโยค
“คุณเยี่ย ผมยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ ต้องขอตัวก่อนนะครับ หากช่วงที่ทำธุรกรรมอยู่ คุณไม่พอใจตรงส่วนไหน สามารถมาแจ้งที่ผมได้โดยตรงครับ”
“ครับ ขอบคุณครับ ผมพอใจกับการบริการของธนาคารคุณมากครับ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วจึงหยิบกุญแจโลหะดอกนั้นออกมาจากกระเป๋าพลางเล่นไปมาอยู่ในมือ
“เอ๊ะ เยี่ย…คุณเยี่ย คุณ..คุณมีกุญแจดอกนี้ได้ยังไงครับ?”
เจอโรมที่เตรียมตัวจะลุกขึ้นเดินออกไป สายตาพลันถูกดึงดูดจากกุญแจที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียน พร้อมกับมีสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
“คุณเยี่ย คุณช่วยเอากุญแจมาให้ผมดูได้ไหมครับ?”
“ได้อยู่แล้วครับ!” เยี่ยเทียนยื่นกุญแจให้เจอโรม
หลังจากรับกุญแจมาอย่างระวัดระวัง พลิกไปพลิกมาอย่างนั้นนานกว่าสี่ห้านาทีเต็ม แล้วเจอโรมก็พูดพึมพำว่า
“เป็นกุญแจโค้ดเทียนจื้อของตู้เซฟหมายเลขสามจริงๆ ด้วย ไม่คิดว่ามันจะอยู่ในมือของคุณเยี่ยนะครับ นี่มันหายไปนานเกือบหกสิบเจ็ดสิบปีเต็มๆ เลยนะครับ!”
ก่อนหน้านั้นเคยกล่าวไว้แล้ว ว่าธนาคารยูบีเอสเคยเป็นธนาคารกลุ่มสวิสมาก่อน มันเกิดจากการรวมตัวกันของธนาคารวินเทอร์ทัวร์กับธนาคารท็อกเกนเบิร์กในปี 1912 พัฒนามาจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ธนาคารยูบีเอสเคยนำเสนอการบริการฝากเงินผ่านตู้เซฟ โดยใช้โค้ดที่โดนใจว่า “เทียนจื้อ”
เนื่องจากข้อจำกัดของวัสดุกับงานฝีมือ ทำให้การผลิตตู้เซฟลักษณะนี้มีปริมาณน้อยมาก และยังยึดหลักการเก็บรักษาความลับของลูกค้าเป็นหลัก สำหรับตู้เซฟล็อตนี้ ทางธนาคารไม่ได้บันทึกข้อมูลใดๆ และเงื่อนไขในการเปิดตู้เซฟก็คือกุญแจดอกนี้
ตู้เซฟบริมาณน้อยของล็อตนี้ ได้รับความโปรดปรานจากมหาเศรษฐีและบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว และถูกเช่าจนหมดในเวลาอันสั้น
ตระกูลที่มีตู้เซฟลักษณะนี้ มีแต่คนที่มีตระกูลและสายเลือดอันสูงส่งที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานทั้งนั้น การที่สามารถครอบครองตู้เซฟโค้ดเทียนจื้อได้นั้น สำหรับพวกเขาแล้วก็เหมือนเป็นสัญลักษณ์อันทรงเกียรติและมีฐานะอย่างหนึ่ง ดังนั้นเวลาสิบกว่าปีหลังจากนั้น ตู้เซฟเหล่านี้จึงถูกทายาทรุ่นหลังใช้สืบต่อกันมา
แต่มีตู้เซฟอยู่อันหนึ่ง ก็คือตู้เซฟหมายเลขสาม หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษแล้วก็ไม่เคยเปิดอีกเลย และเจอโรมก็มีความคุ้นเคยกับตู้เซฟโค้ดเทียนจื้อทุกใบ ดังนั้นหลังจากที่เห็นกุญแจดอกนี้ของเยี่ยเทียนแล้ว เขาจึงรีบนึกถึงตู้เซฟใบนั้นที่ยังไม่เคยเปิดออกทันที
“คุณเยี่ย กุญแจดอกนี้มาอยู่ในมือคุณได้ยังไงครับ?”
เจอโรมรู้ประวัติของเยี่ยเทียน และอายุของกุญแจดอกนี้เกรงว่าจะมากกว่าอายุพ่อของเยี่ยเทียนเสียอีก เยี่ยเทียนจะต้องได้มาจากช่องทางอื่นอย่างแน่นอน เจอโรมเชื่อว่า ในช่วงเวลากว่าครึ่งศตวรรษนี้ ต้องมีเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากมายเกิดขึ้นอยู่รอบตัวของกุญแจดอกนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเก็บซ่อนความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ แล้วจึงเอ่ยถามออกมา
“คุณเจอโรมครับ ดูเหมือนว่าแค่มีกุญแจดอกนี้ ก็สามารถเปิดตู้เซฟได้แล้วใช่ไหมครับ?
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางยิ้ม แต่สายตากลับดูโหดเหี้ยมขึ้นมา เสียแรงที่คนแก่คนนี้เป็นประธานกรรมการของธนา คารสวิส ทำไมถึงถามคำถามที่ไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย? แล้วจะให้เขาตอบอย่างไร? เพราะเขาก็พูดไม่ได้ว่าตัวเองไปฆ่าพวกญี่ปุ่นร้อยกว่าคนแล้วแย่งกุญแจดอกนี้มา?
“อ้อ ขอโทษครับ ผมเสียมารยาทแล้ว!”
สายตาระมัดระวังของเยี่ยเทียน เจอโรมจึงรู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดไป จากนั้นจึงรีบพูดว่า
“คุณเยี่ย คนที่มีกุญแจดอกนี้สามารถเปิดตู้เซฟได้จริงๆ ครับ แต่จะต้องได้รับการเซ็นชื่อจากผมก่อนถึงจะได้ คุณรอผมสักครู่นะครับ ผมจะไปจัดการให้คุณเดี๋ยวนี้!”
เวลานี้หัวหน้าที่รับผิดชอบด้านตู้เซฟก็มาถึงห้องรับรองแขกแล้ว หลังจากตรวจดูกุญแจอย่างละเอียดและจริงจัง จึงมั่นใจว่าเป็นกุญแจดั้งเดิมของตู้เซฟหมายเลขสามโค้ดเทียนจื้อแน่นอน
หลังจากเซ็นเอกสารที่เกี่ยวข้องและเซ็นชื่อเรียบร้อยแล้ว เจอโรมจึงมองเยี่ยเทียนแล้วพูดว่า
“คุณเยี่ยครับ เดี๋ยวจะให้คุณเบิร์นไซด์เป็นคนพาคุณไปเปิดตู้เซฟนะครับ แต่…ในนั้นมีเพียงคุณที่สามารถเข้าไปได้คนเดียวนะครับ!”
ธุรกิจตู้เซฟในธนาคารต่างประเทศนั้น เป็นธุรกิจที่ทำให้กับมหาเศรษฐีโดยเฉพาะ เพื่อใช้ฝากสิ่งของที่มีค่าหรือสัญญา และมาตรการรักษาความปลอดภัยที่นั่นก็ยังเข้มงวดมากกว่าตู้เซฟของธนาคารเสียอีก เพื่อป้องกันการผิดพลาด เวลาที่เปิดตู้เซฟนั้นจึงสามารถเข้าไปได้เพียงคนเดียว
“เซี่ยวเทียน แกรอฉันอยู่ที่นี่นะ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วจึงเดินตามผู้จัดการเบิร์นไซด์ออกไปจากห้องรับรองแขก
“คุณเยี่ยครับ หลังจากที่สร้างตึกใหม่ขึ้นมา ตู้เซฟทั้งหมดของสำนักงานใหญ่ธนาคารกรุ๊ปก็ถูกย้ายมารวมอยู่ที่นี่ครับ!”
หลังจากพาเยี่ยเทียนเดินผ่านประตูใหญ่ที่มีการเฝ้าเตือนภัยสองสามบานแล้ว พวกเขาทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในลิฟต์ เยี่ยเทียนพบว่า ในนี้แม้แต่โทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านดาวเทียมที่เขาพกติดตัวก็ไม่มีสัญญาณเลย
พอออกมาจากลิฟต์ ก็ปรากฏประตูใหญ่สีขาวสูงประมาณสองเมตรห้าสิบเซ็นติเมตร พร้อมกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนที่ติดอาวุธครบครันคอยรักษาการณ์อยู่ตรงนั้น หลังจากยื่นเอกสารที่เซ็นและตรวจสอบจากเจอโรมแล้ว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคนต่างก็หยิบกุญแจออกมาคนละดอก ซึ่งเหมือนกับกุญแจที่อยู่ในมือของเบิร์นไซด์ จากนั้นจึงเสียบเข้าไปบนประตูบานใหญ่นั่น
ขณะเดียวกัน เสียงของเจอโรมก็ดังขึ้น เขาแจ้งรหัสชุดจำนวนแปดหลัก หลังจากใส่รหัสนี้แล้ว ทั้งสามคนก็ไขกุญ แจพร้อมกัน แล้วประตูใหญ่บานสุดท้ายก็เปิดออกในที่สุด
ตอนที่ 908 ความมั่งคั่งของตระกูลคิตะมิยะ
หลังจากเปิดประตูบานสุดท้ายแล้ว เบิร์นไซด์จึงมองเยี่ยเทียนแล้วพูดว่า
“คุณเยี่ย คุณเข้าไปข้างในได้เพียงคนเดียวเท่านั้น และอยู่ในนั้นได้เพียงครึ่งชั่วโมง ขอให้คุณควบคุมเวลาให้ดีด้วยนะครับ!”
ถือว่าการทำงานของธนาคารยูบีเอสทำได้อย่างเต็มที่สุดๆ ซึ่งต่างจากธนาคารทั่วไปที่ต้องมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกรรมด้านตู้เซฟเข้าไปด้วย สิ่งที่พวกเขาเรียกว่าการรักษาความลับของลูกค้า ก็คือแม้แต่ตัวเองก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าลูกค้าเก็บอะไรไว้ในตู้เซฟกันแน่
แน่นอนว่านี่เป็นงานสำหรับลูกค้าระดับชั้นสูงบางรายเท่านั้น และจะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อลูกค้ามีการเซ็นชื่อในสัญญารักษาความลับด้วยความสมัครใจ ไม่อย่างนั้นหากเจอลูกค้าขี้โกง บอกว่าของล้ำค่าที่เก็บไว้ในตู้เซฟของตัวเองหายไป อย่างนั้นทางธนาคารก็ยากที่จะอธิบายให้ชัดเจนได้
แต่สำหรับตู้เซฟโค้ดเทียนจื้อจะไม่มีปัญหาเรื่องพวกนี้เลย เนื่องจากการสร้างที่ซับซ้อน ทำให้กุญแจของตู้เซฟแต่ละดอกไม่เหมือนใครในโลกใบนี้ แม้แต่ช่างที่ทำพวกมันขึ้นมาก็ไม่สามารถทำซ้ำได้ ดังนั้นของที่เก็บสะสมไว้ภายในนอก จากผู้ที่มีกุญแจแล้ว ใครก็ไม่สามารถแอบดูได้
ตอนที่พูดนั้น เบิร์นไซด์ได้ยื่นกระเป๋าเดินทางให้เยี่ยเทียนหนึ่งใบ ตอนนี้กระเป๋าเดินทางยังว่างอยู่ แต่ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะใส่อะไรเข้าไปในกระเป๋าเดินทางนี้ พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ในการตรวจดู นี่จึงเป็นสิทธิพิเศษเฉพาะของลูกค้าที่มีตู้เซฟโค้ดเทียนจื้อ
หลังจากลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงเห็นโถงทางเดินที่ทอดยาวยี่สิบเมตรเห็นจะได้ และจากการเดินเข้าไปของเขา ไฟเซ็นเซอร์อัตโนมัติที่อยู่บนทางเดินก็สว่างขึ้นมา ตามด้วยเสียงที่หนักอึ้งตามมาจากด้านหลัง นั่นก็คือประตูเหล็กหนาประมาณสองเมตรกว่าถูกปิดแล้ว
ถึงแม้มันจะอยู่ใต้ดิน แต่การติดตั้งการระบายอากาศของที่นี่กลับเหมาะสมเป็นอย่างมาก เยี่ยเทียนไม่รู้สึกหายใจอึดอัดเลยสักนิด นอกจากนี้ยังมีภาพวาดสีน้ำมันสีสันสดใสแขวนอยู่สองข้างของโถงทางเดิน จึงทำให้ความรู้สึกหดหู่ยามที่อยู่ในพื้นที่ปิดของคนเราลดลงไปมากพอสมควร
“ตึกๆ…”
เสียงฝีเท้าของเยี่ยเทียนดังสะท้อนไปมาในโถงทางเดิน หลังจากเดินเข้าไปข้างในได้สองสามก้าว เยี่ยเทียนก็พบ ว่า ระยะห่างทุกๆ สองเมตร จะมีประตูของตู้เซฟประมาณหนึ่งตารางเมตร หลายเลขบนประตูเริ่มจากสิบลดหลั่นลงไป และในระยะยี่สิบเมตรนี้ วางตู้เซฟได้เพียงแปดใบเท่านั้น แสดงให้เห็นถึงความล้ำค่าและหายากของตู้เซฟลักษณะนี้นั่นเอง
แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนแปลกใจก็คือ ตู้เซฟเหล่านี้ไม่มีที่เสียบกุญแจเลย นอกจากหน้าจอแสกนขนาดเท่าฝ่ามือที่เหมือนแผ่นเหล็กชิ้นหนึ่งแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดปล่อยพลังจิตเพื่อเข้าไปสำรวจไม่ได้
“ตู้เซฟพวกนี้ทำมาจากวัสดุอะไรกัน?”
หลังจากเข้ามาในธนาคารยูบีเอสแล้ว เยี่ยเทียนเพิ่งจะแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเป็นครั้งแรก เพราะเขาพบว่าพลังจิตของตัวเองไม่สามารถตรวจสอบตู้เซฟเหล่านั้นได้ และดูเหมือนว่าในตู้เซฟพวกนี้ จะมีวัสดุบางอย่างที่สามารถสกัดกั้นการตรวจสอบของพลังจิตได้
นี่จึงทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกตื่นตระหนกตกใจ เพราะหลังจากที่ตัวเองเกิดพลังจิตแล้ว ไม่ว่าวัตถุโลหะที่มีความหนาและละเอียดสูงมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถต้านทานการรุกรานจากพลังจิตของเขาได้ นอกจากสถานที่ที่ถูกปราณวิเศษปกคลุมแล้ว เหตุการณ์ที่พลังจิตไม่สามารถตรวจสอบได้ เพิ่งจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
“หรือว่าตู้เซฟพวกนี้จะหลอมจากอุกาบาตนอกโลก?”
เมื่อเอามือไปแตะที่ประตูของตู้เซฟ เยี่ยเทียนจึงใช้พลังสัมผัสอย่างละเอียด หลังจากสองสามนาทีผ่านไป เขาจึงเอามือออกพลางครุ่นคิด
จากการตรวจสอบเมื่อครู่เยี่ยเทียนพบว่า มีโลหะชนิดพิเศษที่ผสมอยู่ในตู้เซฟนี้ และโลหะชนิดนี้ดูเหมือนจะมีส่วนผสมของปราณวิเศษที่ไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้ ถึงแม้จะมีปริมาณที่น้อย แต่ด้านคุณภาพนั้นสูงมาก เมื่อพลังจิตของเยี่ยเทียนไปสัมผัส ก็สลายลงเหมือนหิมะที่ละลายในฤดูใบไม้ผลิท่ามกลางแสงแดดจ้า
“ตัวเองเป็นเหมือนกบในกะลาจริงๆ เพราะบนโลกนี้ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ตัวเองยังไม่รู้”
พลางนึกถึงเรื่องที่พูดกับโจวเซี่ยวเทียนว่าจะปล้นอย่างไรก่อนหน้านั้น แล้วเยี่ยเทียนก็อดหัวเราะเยาะตัวเองขึ้น มาไม่ได้ ปีที่แล้วเขาเห็นอุกาบาตขนาดเท่าฝ่ามือที่พ่อเก็บสะสมเอาไว้ ไม่คิดว่าในตู้เซฟของที่นี่ ล้วนใส่ลูกอุกาบาตลงไปทั้งหมด
จากนั้นจึงส่ายหน้าเดินมาถึงหน้าตู้เซฟหมายเลขสาม เยี่ยเทียนหยิบกุญแจดอกนั้นออกมา วัสดุของกุญแจดอกนี้มีความพิเศษเป็นอย่างมาก มีแม่เหล็กติดอยู่บนนั้น แม้ว่าจะผ่านไปนานกว่าครึ่งศตวรรษแล้วก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม
ตอนที่กุญแจสแกนผ่านตู้เซฟ เสียง “ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” ก็ดังขึ้นมา พอสแกนผ่านหน้าจอแล้ว แผ่นเหล็กที่ดูเหมือนจะไร้ซึ่งรอยต่อใดๆ ก็เลื่อนขึ้นมาข้างบนแล้วแยกออกประมาณสามนิ้ว จากนั้นรูเสียบกุญแจช่องเล็กๆ ก็ปรากฏออกมา
“เมื่อครึ่งศตวรรษก่อนก็มีเทคโนโลยีแบบนี้ด้วยเหรอ?”
เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า เยี่ยเทียนถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้าง ตอนที่เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยนั้น ก็ยังคิดว่าเทคโนโลยีแบบนี้เป็นเทคโนลยีที่ก้าวหน้าทันสมัยมากๆ ไม่คิดว่าการเซ็นเซอร์ผ่านแม่เหล็ก ได้ถูกธนาคารยูบีเอสใช้เมื่อครึ่งศตวรรษก่อนแล้ว
หลังจากนำกุญแจเสียบเข้าไปในรูที่สมบูรณ์แบบพอดีแล้ว เยี่ยเทียนไม่จำเป็นต้องออกแรงบิดกุญแจดอกนั้นเลยด้วยซ้ำ ทันใดนั้นมันก็หมุนขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
หลังจากหมุนไปได้ประมาณสามสี่รอบ ก็ได้ยินเสียง “กรึก” เบาๆ แล้วประตูตู้เซฟที่ถูกปิดมานานกว่าครึ่งศต วรรษก็เปิดออก ไม่มีเสียงตะกุกตะกักเลยสักนิด ราวกับว่าเพิ่งจะถูกปิดไปเมื่อวาน
“ช่างเป็นงานฝีมือที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
เยี่ยเทียนอดถอนหายใจไม่ได้ เนื่องจากธนาคารยูบีเอสมีความสามารถในการแข่งขันที่เหนือชั้นกว่าอุตสาหกรรมธนาคารของโลก ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เพราะนอกจากอุปกรณ์การติดตั้งพวกซอฟต์แวร์และบริการต่างๆ แล้ว จุดแข็งของพวกเขาก็ยากที่ธนาคารอื่นๆ จะเทียบได้
“ไม่รู้ว่าตระกูลคิตะมิยะของญี่ปุ่นจะเก็บของอะไรไว้?”
เมื่อดูประตูตู้เซฟเด้งออกมาแล้ว ในใจของเยี่ยเทียนจึงเต็มไปด้วยการรอคอยอย่างเปี่ยมล้น ในปีนั้นคิตะมิยะ มาซาทาเกะที่มีอำนาจในตระกูลคิตะมิยะได้เป็นผู้บังคับบัญชาระดับกองทหารในพม่า ตอนนั้นทรัพย์สินส่วนใหญ่ที่ถูกปล้นขโมยไปจากพม่า ก็ได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของตระกูลคิตะมิยะ
แต่หลังจากที่ตะมิยะ มาซาทาเกะเสียชีวิตลง ก็เหลือเพียงทองคำบางส่วนที่อยู่ในตระกูล และเพชรนิลจินดาที่มีค่ากว่านั้นรวมทั้งโฉนดที่ดินที่อยู่ในญี่ปุ่นก็หายไป จึงทำให้ตระกูลคิตะมิยะต้องหยุดการทำสงครามลง หลังจากครึ่งศตวรรษผ่านไป ก็ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลญี่ปุ่นเหมือนในตอนนั้นอีกเลย
ตอนนั้นคิตะมิยะ ฮิเดโอะเข้ามาที่พม่าหลายครั้ง กระทั่งลงทุนเงินก้อนยักษ์สร้างโรงแรมห้าดาวที่นั่น ก็เพื่อตามหากุญแจและหลักฐานที่คิตะมิยะ มาซาทาเกะทิ้งเอาไว้ เพื่อที่จะสามารถเปิดตู้เซฟที่มาซาทาเกะหลงเหลือเอาไว้ และกอบกู้ตระกูลให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง
เพียงแต่สวรรค์นั้นชอบล้อเล่นกับโชคชะตาของมนุษย์ ตู้เซฟที่ถูกปิดมานานกว่าครึ่งศตวรรษนี้ได้เปิดออกแล้ว แต่คนที่ได้รับผลประโยชน์ กลับเป็นเยี่ยเทียนที่คนเก่งฝีมือดีมากมายของตระกูลคิตะมิยะก็ไม่สามารถต่อสู้ได้ ถ้าหากฮิเดโอะที่อยู่ในปรโลกรู้เข้า ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไร?
พลางส่ายหน้า จากนั้นเยี่ยเทียนก็ยื่นมือไปเปิดตู้เซฟออก สิ่งของที่ผู้บัญชากองทหารที่อยู่ในพม่าเก็บสะสมเอาไว้ตอนนั้นคืออะไร เขาเองก็สงสัยมากเช่นกัน
“หืม? นี่คืออะไร?”
หลังจากที่เปิดตู้เซฟออกและยังไม่ทันได้ปล่อยพลังจิตเข้าไปตรวจสอบ ปราณวิเศษกลุ่มหนึ่งก็ลอยมาปะทะใบ หน้าของเขา ต่อให้ไม่มีการสัมผัสของพลังปราณชีวิต เยี่ยเทียนก็รู้ว่าของที่อยู่ในนั้นจะต้องเป็นสิ่งของของผู้บำเพ็ญเพียรแน่นอน
“แปลกจัง วันนี้เจอสิ่งของที่ไม่สามารถใช้พลังจิตตรวจสอบได้อีกแล้ว?”
เยี่ยเทียนไม่ได้รีบร้อนตรวจดูของที่มีปราณวิเศษเอ่อล้นออกมาข้างนอกไม่ขาดสาย แต่กลับใช้พลังจิตตรวจสอบตู้เซฟที่มีขนาดหนึ่งตารางเมตรทั้งหมดก่อน และสิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือ ตรงมุมหนึ่งที่อยู่ในตู้เซฟนั้น มีกล่องไม้ขนาดเท่าฝ่ามือใบหนึ่ง ที่สามารถสกัดกั้นการตรวจสอบจากพลังจิตของเขา
“คิตะมิยะ มาซาทาเกะน่าจะนับถือศาสนาพุทธใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนมองดูสิ่งของที่อยู่ในตู้เซฟ แล้วจึงอดสบถด่าไม่ได้
“บัดซบเอ้ย ไอ้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็ยังไปฆ่าปล้นชิงทรัพย์คนมากมาย หลังจากตายไปไม่กลัวตกนรกขุมที่สิบแปดหรือไง!”
ในตู้เซฟนี้มีพระพุทธรูปทองคำขนาดต่างๆ เรียงกันสิบแปดองค์ องค์ใหญ่สุดมีขนาดประมาณยี่สิบเซ็นติเมตร องค์เล็กสุดมีขนาดประมาณเท่าฝ่ามือ ซึ่งทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ทั้งหมด
พระเกตุมาลาที่อยู่บนนั้นยังฝังด้วยเพชรพลอยหลากสี ภายใต้การส่องของแสงไฟ สะท้อนให้เห็นแสงแวววาวระยิบระยับ ขับให้พระพุทธรูปเหล่านั้นดูเคร่งขรึมและมีปริศนาซ่อนเร้นขึ้นมา
“เพชรหรือ? เจ้านี่มีราคาสูงไม่ธรรมดา!”
เยี่ยเทียนนับถือลัทธิเต๋า เขาไม่เชื่อในพระพุทธศาสนา หลังจากกวาดพระพุทธรูปพวกนั้นไปกองรวมกันอีกฝั่งแล้ว ถุงเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือเจ็ดแปดถุงที่ห่อด้วยผ้าแพรไหมอยางดี ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา พอเปิดออกดู เพชรที่แพรวพราวมากกว่าพระพุทธรูป ก็ได้ปรากฏต่อหน้าเยี่ยเทียน
“เชอะ ผู้บัญชากองทหารของพม่ายังเป็นผู้บัญชากองทหารของแอฟริกาใต้ด้วยเหรอ?”
แม้ว่าเยี่ยเทียนจะมีทรัพย์สินมั่งคั่ง แต่เมื่อเห็นเพชรเหล่านี้แล้วก็ยังต้องอ้าปากค้าง เพชรที่อยู่ในถุงทั้งแปดถุงนั้น มีเพชรร่วงอยู่ในนั้นสี่ถุง ขนาดเม็ดเล็กที่สุดก็ยังมีน้ำหนักสามสิบกะรัตขึ้นไป และถึงแม้จะไม่ได้ผ่านการเจียระไน มันก็ยังคงส่องแสงประกายแวววาวออกมา
เพชรที่ผ่านการเจียระไนพวกนั้น ยิ่งมองก็ยิ่งสวย ประกายแสงก็เล่นไฟกำลังดี นอกจากนี้ฝีมือการเจียระไนก็ยังสูงมาก แม้แต่เยี่ยเทียนที่เป็นคนนอกวงการ มองแล้วก็ยังอึ้ง
“แค่เพชรพวกนี้น่าจะมีราคามากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์แล้ว” เยี่ยเทียนลองคาดคะเนราคาของเพชรคร่าวๆ ถ้าหากเอาไปให้พ่อค้าเพชรพลอยเจียระไนเพิ่มอีกหน่อย บางทีราคาอาจจะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่าก็เป็นไปได้
และยังมีพระพุทธรูปเหล่านั้น ที่ทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ทั้งหมด โดยเฉพาะพระพุทธรูปที่สูงเกือบครึ่งหนึ่งของคน ก็ต้องใช้ทองคำหนึ่งร้อยชั่งเป็นอย่างน้อยถึงจะทำออกมาได้ และพระพุทธรูปสิบแปดองค์ก็น่าจะมีน้ำหนักไม่เกินหนึ่งตัน แต่ก็มีมูลค่าหลายร้อยล้านหยวน
ส่วนโฉนดที่ดินที่อยู่ในตู้เซฟ ไม่สามารถใช้ราคามาประเมินได้ เพราะโฉนดที่ดินเหล่านี้เป็นหลักฐานยืนยันที่ดินที่อยู่ในญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในเมืองโตเกียวและโอซาก้าเสียส่วนใหญ่ ในแง่ของราคาที่ดินที่อยู่โซนนั้น ถือว่าเป็นราคาสวรรค์ชั้นฟ้าเลยทีเดียว
เพียงแต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าโฉนดที่ดินเหล่านี้จะมีผลทางกฎหมายอยู่หรือไม่ ถ้าหากรัฐบาลท้องถิ่นของญี่ปุ่นไม่ยอมรับ อย่างนั้นพวกมันก็เป็นแค่เศษกระดาษกองหนึ่งเท่านั้น
หลังจากครุ่นคิดแล้ว เยี่ยเทียนจึงนำโฉนดที่ดินกับเพชรทั้งแปดถุงใส่ลงในกระเป๋าเดินทาง ส่วนพระพุทธรูปทอง คำนั้น เยี่ยเทียนไม่ค่อยสนใจ เพราะเล็กไปก็ไม่มีมูลค่าเท่าไร อันที่ใหญ่ไปเขาก็ย้ายไม่ไหว สู้เก็บไว้ที่นี่เหมือนเดิมดีกว่า
ตอนที่ 909 ประหลาดใจ
สำหรับเยี่ยเทียนแล้วของที่สามารถใช้เงินซื้อมาได้ไม่มีแรงดึงดูดใดๆ ต่อเขาเลย ถ้าหากไม่เห็นว่าถุงเพชรพวกนั้นพกพาสะดวก เกรงว่าเขาก็คงทิ้งให้อยู่ในตู้เซฟเหมือนเดิม
นอกจากพระพุทธรูปทองคำกับเพชรแล้ว ภายในยังมีหยกที่หายากจำนวนไม่น้อย บางอันแดงเหมือนเลือด บางอันเขียวบริสุทธิ์น้ำงาม ล้วนเป็นของดีที่หายากมากๆ ดังนั้นเยี่ยเทียนก็ไม่เกรงใจ เก็บทั้งหมดใส่ในกระเป๋า
“ดูสิว่าไอ้สิ่งนี้มันคืออะไรกัน?”
หลังจากจัดการของส่วนใหญ่ในตู้เซฟเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนจึงย้ายสายตามองไปที่กล่องที่ทำจากคริสตัลสีแดง เนื่องจากสีสันอันสวยงามกับปราณวิเศษที่แผ่กระจายออกมาจากในกล่องนั้น แต่เยี่ยเทียนกลับไม่สามารถมองออกว่ามีอะไรอยู่ในนั้นได้ด้วยตาเปล่า
“หืม? ของสิ่งนี้ดูแปลกๆนะ? หรือจะมีของขลังของศาสนาพุทธอยู่ข้างใน?”
พอยื่นมือไปจับกล่องคริสตัลใบนั้น ปราณวิเศษที่เข้มข้นและบริสุทธิ์ ก็ล้นเอ่อเข้าไปในร่างกายของเยี่ยเทียนทันที ปราณวิเศษแบบนี้มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นอย่างมาก เหมือนกับมีพลังแห่งความศรัทธาที่มีผลกระทบต่อจิตใจของ ทำให้เยี่ยเทียนอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้
บนโลกใบนี้นอกจากนักพรตเต๋าแล้ว ก็ยังมีผู้ที่ฝึกตนทางด้านพระพุทธศาสนา ลัทธิเต๋าพูดในเรื่องการดับขันธ์เป็นเซียน ส่วนศาสนาพุทธนั้นพูดในเรื่องการสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ทั้งสองอย่างนี้ถึงแม้จะวิธีการฝึกที่ไม่เหมือนกัน แต่ก็มีเป้า หมายเดียวกัน พวกเขาล้วนแต่ค้นหาขีดจำกัดเหนือมนุษย์ เพื่อสัมผัสกฎเวียนว่ายแห่งสัจธรรมฟ้า
แต่ลัทธิเต๋ากับศาสนาพุทธนั้นก็มีจุดที่แตกต่างกันอยู่ นั่นก็คือนักพรตเต๋าไม่หลีกเลี่ยงทางแห่งโลก แต่ฝึกจิตด้วยการเรียนรู้ความทุกข์ยากลำบากในโลกมนุษย์ โดยขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามของตัวเองมากกว่า
แต่พระพุทธศาสนานั้นไม่เหมือนกัน ในขณะที่พวกเขาฝึกบำเพ็ญเพียรไปด้วย ก็ยังอาศัยพลังจากปัจจัยภายนอก เผยแพร่พระพุทธศาสนาให้แก่ผู้คนเพื่อรับพุทธศาสนิกชน เนื่องจากการกราบไหว้และเคารพบูชาของพุทธศาสนิกชนนั้น จะกลายเป็นพลังแห่งความศรัทธาอย่างหนึ่ง พระที่มีสมณศักดิ์สูง ก็จะใช้พลังเช่นนี้ในการฝึกบำเพ็ญเพียรของตัวเอง
เยี่ยเทียนได้รับพลังศรัทธาจากปราณวิเศษที่อยู่ในนี้ ดังนั้นเขาจึงสงสัยว่าของที่อยู่ในกล่องคริสตัลนี้จะเป็นของขลังอย่างหนึ่ง พร้อมกับในใจที่เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ตอนนั้นเขากับอาจารย์หลี่ซั่นหยวนต่างก็เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่วยุทธภพ แต่ก็ยังไม่เคยเจอของใช้ของศาสนาพุทธที่มีปราณวิเศษเข้มข้นถึงเพียงนี้
“เอ๊ะ นี่มันคืออะไร?”
หลังจากเยี่ยเทียนเปิดกล่องคริสตัลที่มีขนาดเท่าฝ่ามือเด็กออกมา เขาพลันนิ่งอึ้งไปทั้งตัว เพราะของที่อยู่ข้างในไม่ใช่สิ่งของเครื่องใช้ในพระพุทธศาสนา แต่เป็นวัตถุสีขาวสว่าง ตรงกลางกลวงเหมือนวงแหวน
สมองของเยี่ยเทียนพลันเกิดประกายแวบหนึ่ง แล้วจึงพูดโพล่งออกมาว่า
“พระบรมสารีริกธาตุ?!”
สิ่งที่เรียกว่าพระธาตุนั้น หมายถึงโบราณวัตถุที่ได้หลังจากการเผาศพของพระศากยมุนีของพระพุทธศาสนา พระธาตุกระดูกมีสีขาว พระธาตุเกศามีสำดำ พระธาตุเนื้อเป็นสีแดง เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของ “ความเป็นอมตะของพระ พุทธศาสนา” ซึ่งเต็มไปด้วยมนต์ขลัง ทำให้พระบรมสารีริกธาตุกลายเป็นวัตถุมงคลที่ตกทอดในทางพระพุทธศาสนา
พระบรมสารีริกธาตุถูกนำเข้าสู่ประเทศจีนในรัชสมัยราชวงศ์ถัง โดยจักรพรรดิทั้งหกแห่งราชวงศ์ถังเคยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ โดยจะจัดทหารรักษาพระองค์พร้อมคทาอาวุธเพื่อนำไปสักการะบูชาที่พระอุโบสถ นอกจากนี้ยังไม่ใช้ในพิธีทางศาสนาแบบทั่วไป แต่ใช้ในพิธีใหญ่ระดับประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาของราชวงศ์ถัง
แม้ว่าในยุคปัจจุบัน พระบรมสารีริกธาตุก็ยังมีพุทธสาวกนับพันอยู่ และตอนนี้มีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธ เจ้าทั้งหมดสี่ชิ้นที่ปรากฏอยู่ในโลกใบนี้ และที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือพระบรมสารีริกธาตุที่ค้นพบจาก “วัดฝ่าเหมิน”
วันที่ 10 เดือนพฤษภาคม ปีคริสต์ศักราช 1987 เจ้าหน้าที่โบราณคดีได้เปิดกล่องเหล็กที่อยู่ในเจดีย์หินอ่อนสีขาวซึ่งอยู่ห้องใต้ดินของวัดฝ่าเหมิน
หลังจากเปิดฝาหนาๆ ออกมาแล้ว ในกล่องเหล็กก็มีกล่องไม้อยู่หนึ่งอัน ซึ่งผุพังถูกดินโคลนสีเหลืองและแดงเกาะแน่นอยู่ในกล่องเหล็ก มีวัตถุทรงกลมอยู่ด้านล่างของกล่อง ไม่สามารถตรวจสอบได้ชัดเจน เมื่อเปิดกล่องไม้ หยิบผ้าสีออก มาจากในกล่อง มีทั้งหมดเก้าชั้นซึ่งแต่ละชั้นจะมีสีสันที่ไม่เหมือนกัน หลังจากดึงผ้าสีชั้นสุดท้ายออกแล้ว จึงพบโลงชุบเงินใบหนึ่ง
โลงชุบเงินเหมือนกับโลงไม้ ด้านหน้าสุดคือการแกะสลักมงกุฎดอกไม้หลากสี ตรงกลางมีหงส์หางยาวทั้งสองตัว กำลังบินเคียงข้างกัน และส่วนท้ายสุดคือลายก้อนเมฆที่ลอยอยู่ด้านบน
ด้านหน้าสุดของแผ่นเงินมีประตูเล็กสวยวิจิตรตระการตาสองบานเปิดอยู่ตรงกลาง มีกุญแจทองเล็กน่ารักแขวนอยู่ บานประตูทั้งสองข้างมีตะปูทองขนาดเล็กเก้าชิ้นเรียงกันเป็นสามแถว ด้านบนของประตูแกะสลักรูปเด็กถือธง โดยมีก้อนเมฆหลากสีอยู่เหนือศีรษะของเด็กน้อย
ด้านหลังของแผ่นเหล็กแกะสลักรูปสิงโตขนทองหนึ่งคู่ แผ่นโลงด้านซ้ายขวาของตัวโลงสีเงิน มีรูปแกะสลักของเทพอะอุนหรือเทพทวารบาลที่คอยปกปักษ์รักษาโลงสีเงิน มือซ้ายถือดาบ มือขวาถือขวาน ซึ่งโลงศพเล็กๆ สีเงินนี้วางอยู่เหนือเตียงทองคำลายสลักอันหนึ่ง
และพระบรมสารีริกธาตุที่เป็นที่ตื่นตาของคนทั่วโลก ก็ถูกซ่อนอยู่ในโลงศพเงินอันนี้
ไม่เพียงเท่านี้ ภายหลังจากการขุดค้น ทำให้พบพระบรมสารีริกธาตุอีกสามองค์ เมื่อผ่านการตรวจสอบจากพุทธสมาคมโลกแล้ว พระบรมสารีริกธาตุทั้งสามองค์นี้ล้วนเป็นของจริง และด้วยเหตุนี้วัดฝ่าเหมินจึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการสักการะบูชาของโลก
“นี่น่าจะเป็นนิ้วของพระบรมสารีริกธาตุ ไม่คิดว่าหลังจากที่พระศากยะมุนีจะเสียไปแล้ว ยังหลงเหลือกระดูกที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ได้อีก…”
เยี่ยเทียนไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ดังนั้นจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับพระบรมสารีริกธาตุที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในสายตาของพุทธศาสนิกชนอยู่แล้ว
ในสายตาของเขา พระศากยมุนีน่าจะเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรคนหนึ่ง และเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาขึ้นมาด้วยตัวเอง ส่วนวิธีการฝึกนั้น เยี่ยเทียนก็เดาไม่ออก ทว่าแค่อาศัยการมรณภาพของของพระศากยมุนี้เพียงอย่างเดียวและหลงเหลือกระดูกนิ้วมือได้แบบนี้ คาดว่าวรยุทธน่าจะอยู่ในระดับจินตันขึ้นไปเป็นอย่างน้อย ไม่แน่จะมีพลังระดับอาณาจักรก่อตั้งวิญญาณก็เป็นได้
“เต๋าแตกต่างมิอาจร่วมทาง เพราะพลังแห่งความศรัทธามาจากปัจจัยภายนอก อีกทั้งตัวเองก็ไม่ได้เชื่อในพระ พุทธเจ้า ต่อไปเกรงว่าคงไม่มีใครมาจุดธูปบูชาให้ตัวเองหรอก!”
พลางส่ายหน้า จากนั้นเยี่ยเทียนจึงเก็บพระบรมสารีริกธาตุข้อนิ้วกลับเข้าไปในกล่องคริสตัล พระบรมสารีริกธาตุสำหรับชาวพุทธ ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และล้ำค่ามาก ถ้าหากผู้ที่ร่ำเรียนและฝึกตนด้านพระพุทธศาสนาได้กราบไหว้ทุกวัน ก็จะได้ดูดซับปราณวิเศษที่อยู่ในนั้น ไม่แน่อาจจะสำเร็จเป็นอรหันต์ก็เป็นได้
แต่สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว ของสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์อะไร ถึงแม้พลังแห่งความศรัทธานั้นจะดี แต่สุดท้ายก็ต้องเกิดจากการกราบไหว้ด้วยความจริงใจของมนุษย์ถึงจะสัมฤทธิ์ผล ซึ่งก็เหมือนกับสำนวนที่ว่าหากทุกบ้านทำความดีมากก็จะได้บุญมากเช่นกัน ซึ่งไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อเยี่ยเทียนเลย และเขาก็ไม่อยากละทิ้งเต๋าเพื่อเข้าหาพุทธ ดังนั้นเจ้าสิ่งนี้จึงไม่มีค่าอะไรเลย
พลางถอนหายใจ แต่เยี่ยเทียนก็ไม่ได้นำกล่องคริสตัลใส่ไปในตู้ แต่กลับเก็บไว้กับตัว เพราะหากเทียบกับของที่อยู่ในตู้แล้ว พระบรมสารีริกธาตุนี้มีมูลค่ามากกว่า และเกรงว่าหากนำของทั้งหมดมารวมกันแล้ว ก็ยังมีคุณค่าไม่เท่ามันเลย
“ยังมีของอีกหนึ่งอย่าง วัสดุไม้อันนี้ดูพิเศษมากนะ สงสัยตัวที่สกัดกั้นปราณวิเศษของฉันก็น่าจะเป็นมัน!”
หลังจากเก็บพระบรมสารีริกธาตุแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบกล่องที่อยู่ด้านในสุดของตู้เซฟออกมา พอเอามือจับเข้าไปก็อดตกตะลึงไม่ได้ เพราะว่ากล่องนี้มีความเบามาก เหมือนไม่มีน้ำหนักเลยสักนิด แต่เยี่ยเทียนลองใช้แรงบีบ กล่องที่ดูเหมือนจะทำจากไม้กลับไม่ขยับเลยสักนิด กระทั่งไม่ปรากฏแม้แต่รอยนิ้วมือ
เยี่ยเทียนมีวรยุทธระดับไหนกัน แค่เขาขยำ แม้แต่เหล็กกล้าก็ยังกลายเป็นผุยผง แต่กล่องใบนี้กลับไม่ได้รับความเสียหายเลยสักนิด และจากจุดนี้จึงถือว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่าหาที่เปรียบไม่ได้จริงๆ
“หืม? นี่…นี่คือ ‘ทุยเป้ยถู’ หน้าสุดท้ายที่ขาดไป!”
ตอนที่เยี่ยเทียนเปิดกล่องไม้นั่น ดวงตาของเขาพลันมองเห็นของที่อยู่ด้านใน ทำให้เขายืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่เหมือนหุ่น
สิ่งที่อยู่ในกล่องไม้นี้ มีพียงกระดาษที่จะเหมือนทองก็ไม่ใช่หยกก็ไม่เชิงใบหนึ่ง บนนั้นเขียนคำว่า “ทุยเป้ยถู” สามคำนี้อย่างชัดเจน และจากพลังปราณชีวิตที่ปล่อยออกมาจากกระดาษใบนั้นทำให้เยี่ยเทียนเชื่อมั่นว่า นี่คือส่วนสุดท้ายของ “ทุยเป้ยถู” ที่เขาได้มา ซึ่งก็เป็นหน้าปกของทุยเป้ยถูด้วย
แน่นอนว่า หลังจากที่ภาพทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว สิ่งที่เรียกว่า “ทุยเป้ยถู” จึงทำให้เกิดการเบี่ยงเบนของบันทึกทางประวัติศาสตร์ กลายเป็นสิ่งที่เยี่ยเทียนก็ยังทำความเข้าใจไม่ได้ โดยเฉพาะหน้าสุดท้ายที่มีคำว่า “ตาย” ตอน นี้เยี่ยเทียนนึกๆ ดูแล้วก็ยังหวาดผวาอยู่ดี
“ถ้าตัวเองนำหน้าปกนี้กลับไป ก็เท่ากับรวบรวมทุยเป้ยถูครบแล้ว จากนั้นก็สามารถค้นพบความลับที่อยู่ในนั้นได้ใหม่อีกครั้งใช่ไหม?”
เมื่อคิดได้ดังนี้ เยี่ยเทียนจึงอดตื่นเต้นไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความลับที่ปรากฏออกมาจากส่วนที่ขาดตอนของ “ทุยเป้ยถู” หรือว่าความปรารถนาสุดท้ายของอาจารย์หลี่ซั่นหยวนก็ตาม ล้วนแต่ทำให้เยี่ยเทียนหัวใจเต้นเร็วขึ้น เพราะเขารอคอยเป็นอย่างมากที่จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ส่วนที่ขาดหายไปมารวมตัวกัน
“กลับไป ต้องรีบกลับไป!”
เวลานี้ในหัวของเยี่ยเทียนมีความคิดนี้เพียงอย่างเดียว หลังจากที่ตรวจสอบตู้เซฟอย่างลวกๆ อีกหนึ่งรอบแล้ว ก็ไม่เห็นสิ่งของอะไรที่ดึงดูดเขาได้อีก เยี่ยเทียนจึงปิดล็อกกระเป๋าเดินทาง แล้วจึงปิดตู้เซฟ
“กรึบ…กรึบ!”
หลังจากตู้เซฟปิดสนิทแล้ว กุญแจที่เสียบอยู่ในรูก็หมุนเองโดยอัตโนมัติ หลังจากเสียง “กรึบ” ดังขึ้น กุญแจก็เด้งออกมาเอง จากนั้นตู้เซฟก็ปิดสนิทอย่างสมบูรณ์
“ต่อให้เป็นคนในยุคนี้ เกรงว่าคงยากที่จะทำงานฝีมือแบบนี้ออกมาได้?”
เยี่ยเทียนยื่นมือไปหยิบกุญแจออกมา ลากกระเป๋าเดินทางออกไปข้างนอก เมื่อเดินมาถึงด้านหลังประตูใหญ่ที่ตัวเองเดินเข้ามานั้น การเดินออกไปง่ายกว่าการเปิดประตูจากด้านนอกเป็นอย่างมาก เยี่ยเทียนแค่จับลูกบิดกลมๆ หมุนไปทางขวาสามรอบ แล้วประตูใหญ่ที่หนาเกือบสองสามเมตร ก็เปิดออกจากด้านในอย่างไร้สุ้มเสียง
การติดตั้งอุปกรณ์แบบนี้ในธนาคารไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยาก ถ้าหากไม่มีการช่วยเหลือของฝั่งธนาคาร ประตูบานใหญ่ก็ไม่สามารถถูกเปิดจากด้านนอกได้ ซึ่งก็หมายความว่า คนที่มีกุญแจเท่านั้นถึงจะเข้าไปข้างในได้แน่นอน และในฐานะลูกค้า พวกเขาจึงมีสิทธิ์ออกมาก่อนเป็นธรรมดา
“คุณเยี่ย คุณออกมาแล้ว?”
เบิร์นไซด์ที่รออยู่ด้านนอกตลอดพูดประโยคที่ไม่น่าจะพูดเลย แล้วสายตาก็มองกระเป๋าเดินทางที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียนอย่างอดใจไม่ได้ เพราะเขารู้ว่า คนที่สามารถเก็บของไว้ในตู้เซฟเหล่านี้ได้ ไม่ว่าหยิบของชิ้นใดออกมาล้วนแต่เป็นที่น่าตื่นตะลึงไปทั่วโลก
“ครับ ไปกันเถอะ ผมต้องกลับแล้ว!”
เยี่ยเทียนพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ แต่แท้จริงแล้วในใจกลับเบิกบาน เพราะเขาคาดไม่ถึงว่า หน้าที่ขาดหายไปของ “ทุยเป้ยถู”ที่ตัวเองคิดมาตลอดทั้งวันทั้งคืน จะมาอยู่ในมือได้อย่างง่ายดาย ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนไม่เป็นความจริงอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากเดินผ่านประตูใหญ่ที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา เยี่ยเทียนกับเบิร์นไซด์จึงกลับมาที่ห้องรับรองแขกของธนาคาร ครั้งนี้เจอโรมประธานกรรมการของธนาคารยูบีเอสก็ไม่อยู่แล้ว
แต่เยี่ยเทียนกลับไม่รู้ว่า ชายชราผมขาวคนนั้นกำลังเดินวนไปมาอยู่ในออฟฟิศหลายรอบเพื่อกดทับความปรารถ นาของตัวเอง เพราะเขากลัวว่าด้วยความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง จะถามเยี่ยเทียนเรื่องตู้เซฟขึ้นมา!
“อาจารย์ หาของเจอแล้วเหรอครับ?”
คนอื่นๆ ไม่สามารถมองออกถึงความตื่นเต้นที่อยู่ในใจของเยี่ยเทียน แต่โจวเซี่ยวเทียนนั้นมองปราดเดียวก็รู้แล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น