องครักษ์เสื้อแพร 903-908
ตอนที่ 903 ไร้ใจไร้กังวล
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฮ่องเต้ว่านลี่บนเกี้ยวประทับตรัสเช่นนี้ รอบด้านเงียบไปหมด หวังทงได้แต่กวักมือเรียกพวกที่ยืนตั้งแถวประจันหน้ากับพวกองครักษ์ตำหนักฉือหนิงกงให้ถอย คนนำกำลังมาครานี้เป็นเฉินซือเป่า
สีหน้าเฉินซือเป่าอึ้งไป เดาว่าถูกพระดำรัสฮ่องเต้ว่านลี่ทำเอาตกใจ เขานำกำลังถอยกลับมาหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่โขกศีรษะ จากนั้นไปยืนด้านหลังหวังทง
“เจ้ามาขวางหน้าฝ่าบาท คิดก่อการกบฏหรือ?”
จางเฉิงเดินมาด้านหน้า ส่งเสียงตวาดดัง องครักษ์ผู้คุ้มกันตำหนักฉือหนิงกงพอได้ยินก็สีหน้าแปรเปลี่ยน หัวหน้าหลายคนสบตากันไปมา ก่อนจะพากันลงถวายบังคมอย่างนอบน้อมว่า
“เมื่อครู่ไม่ได้คำสั่ง ตอนนี้จางกงกงกล่าวเช่นนี้ พวกข้าน้อยก็ยอมถอย ขอทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ!”
พวกองครักษ์ตำหนักฉือหนิงกงที่ขวางหน้าพากันถอยออก เห็นท่าทีเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าเมื่อครู่ตกใจกันไปแล้วจริงๆ ผู้ใดก็ไม่คิดว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะมีราชโองการเช่นนี้
ประตูหน้าตำหนักฉือหนิงกงเริ่มชุลมุน จากนั้นประตูใหญ่ก็เปิดออก สามารถมองเห็นความโกลาหลด้านใน ขันทีกับนางกำนัลวิ่งกันให้วุ่นไปหมด ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดคิ้วตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“จางเฉิง ไปสั่งสอนหน่อย บ่าวพวกนี้ช่างไร้ธรรมเนียม!”
จางเฉิงรับพระบัญชา นำคนเข้าไปตวาดเสียงดังด้านใน จากนั้นด้านในก็เงียบลงไปไม่น้อย แต่จางเฉิงกลับไม่กลับมา หากมองไปยังขันทีชุดแดงที่วิ่งออกมา
ตอนนี้มหาขันทีตำหนักฉือหนิงกง ซึ่งก็คือหัวหน้ากองงานตำหนักฉือหนิงกง เป็นหลี่กงกงที่เคยไปยังตำหนักฮ่องเต้ว่านลี่ถ่ายทอดราชโองการไทเฮา หลี่กงกงวิ่งออกมาอย่างเร่งรีบ องครักษ์หลายคนรีบออกมาขวางไว้ หลี่กงกงถูกขวางไว้จนคุกเข่าลงโขกศีรษะดังปังๆ อย่างแรงหลายที ไม่นานก็เห็นเลือดเริ่มไหลซึมบนหน้าผาก หลี่กงกงหน้าตาเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ทูลว่า
“ฝ่าบาทให้ไทเฮาย้ายที่ประทับ เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด ไทเฮาอย่างไรก็เป็นพระมารดาแท้ๆ ฝ่าบาท ลำบากเลี้ยงดูฝ่าบาทมาถึงวันนี้ หากส่งไทเฮาออกนอกวัง เรื่องเช่นนี้ แต่ไรมาบรรพชนก็ไม่เคยมีมาก่อน คนข้างนอกจะวิจารณ์ฝ่าบาทอย่างไร ขอทรงคิดให้รอบคอบพะยะค่ะๆ!”
จากนั้นก็โขกศีรษะอย่างแรงจนหน้าผากเริ่มมีเลือดเต็มใบหน้า ทำให้คนเห็นแล้วทนไม่ไหว ฮ่องเต้ว่านลี่บนเกี้ยวประทับเริ่มร้อนพระทัย แต่หวังทงที่คุ้มกันข้างๆ กลับได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสพึมพำขึ้นเบาๆ ว่า
“มารดาแท้ๆ มารดาเรา เสด็จแม่ เป็นแม่ไยต้องแย่งอำนาจกับลูกด้วย เหตุใดต้องควบคุมลูก……”
หวังทงส่ายหน้าตวาดว่า
“ลากกงกงนี่ออกไป ฝ่าบาททูลเชิญไทเฮาให้เสด็จไปพำนักจวนอู่ชิงโหว คิดเพื่ออู่ชิงโหว กลับไม่ขอบพระทัย หากมากล่าววาจาเหลวไหล ลากตัวออกไป!!”
องครักษ์รีบเข้ามาจัดการ นำตัวหลี่กงกงลากออกไป หลี่กงกงอายุ 50 กว่าแล้ว แม้ว่าดิ้นรนส่งเสียงตะโกนดัง แต่ก็ไม่ยังคงถูกลากออกไปอยู่ดี
*************
พระที่นั่งกลางในตำหนักฉือหนิงกง ไทเฮาฉือเซิ่งสวมฉลองพระองค์ ข้างพระวรกายมีเด็กน้อยคนหนึ่ง อายุราว 2-3 ขวบนั่งเบียดอยู่ อ้วนจ้ำม่ำ กำลังกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย น่ารักมาก ไทเฮาฉือเซิ่งแย้มสรวลทอดพระเนตรเด็กน้อย ยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดรอยเลอะขนมเละมุมปากให้เด็กน้อย
นี่เป็นความอบอุ่นเดียวที่มีในวัง ตำหนักฉือหนิงกงยามนี้มีนางกำนัลกับหัวหน้าขันทียืนเรียงสองแถว แต่ละคนสีหน้านิ่งสลด เสียงดังเอะอะข้างนอกค่อยๆ เงียบลง ด้านในด้านนอกเงียบราวกับทุกอย่างแดดิ้นไปหมดแล้ว สักครู่หนึ่งก็กลับได้ยินข้างนอกมีขันทีเสียงสั่นทูลว่า
“ไทเฮา จางกงกงมาเร่งให้ไทเฮาออกเดินทางพะยะค่ะ”
“เจ้าบัดซบสมควรตาย ตาบอดหรือไง รีบไสหัวออกไป!”
ขันทีน้อยเพิ่งทูลจบ ก็มีเสียงนางกำนัลด่าดังออกไป จิ่นซิ่วที่อยู่หน้ากลุ่มนางกำนัลกัดริมฝีปากแน่น ออกมาคุกเข่าด้านหน้า โขกศีรษะ ทูลน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“ความผิดทั้งหมดล้วนเป็นบ่าวคนเดียว บ่างออกไปรับผิดกับฝ่าบาท ยอมสละชีพเพื่อให้ฝ่าบาทคืนรับสั่ง”
สีหน้าจิ่นซิ่วเด็ดเดี่ยว กล่าวจบก็โขกศีรษะหลายที พอลุกขึ้นกำลังจะออกไป ก้าวไปได้สองก้าว ก็กลับถูกไทเฮาฉือเซิ่งรับสั่งให้หยุด
“เกี่ยวอันใดกับเจ้า เป็นเราให้เจ้าไปรับตัวฉางลั่วมา เป็นเราให้คนไปจัดการเอาตำแหน่งนั้นมา กลับมายืนที่เดิม!!”
จิ่นซิ่วตัวสั่น หันมาคุกเข่าโขกศีรษะ โขกศีรษะไปสองที ก็อ่อนยวบลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ดังออกมา
ไทเฮาฉือเซิ่งได้ยินเสียงจูฉางลั่วร้องไห้ลั่น ตกใจจนขนมร่วงลงพื้น พอตั้งสติก็เขยิบเข้าซบไทเฮาฉือเซิ่ง ไทเฮาฉือเซิ่งยกพระหัตถ์ลูบท้ายทอยจูฉางลั่วด้วยความเอ็นดูยิ่ง ตรัสเบาๆ ว่า
“ฉางลั่ว เจ้าต้องกลับไปอยู่กับเสด็จแม่เจ้าแล้ว ย่าต้องไปแล้ว”
พอได้ยิน จูฉางลั่วก็ดีใจปรบมือ ยิ้มกว้างกล่าวว่า
“ดีจังเลย ฉางลั่วคิดถึงเสด็จแม่”
พอกล่าวจบ ก็เหมือนคิดอันใดได้ ดึงแขนฉลองพระองค์ไทเฮาฉือเซิ่งไว้ทูลว่า
“เสด็จย่า จะไปที่ใดกัน! จะกลับมาเมื่อไร?”
ไทเฮาฉือเซิ่งค่อยๆ ลูบท้ายทอยจูฉางลั่ว เงียบไปนานก่อนจะอยู่ ๆ ตรัสขึ้นเบาๆ ว่า
“ตอนบิดาเจ้ายังเล็กก็เป็นเช่นนี้ เพราะว่าขาไม่ดีนัก ดังนั้นจึงได้แต่อยู่ในห้องไม่ได้ออกไปข้างนอก เดินบนพรมได้ไม่กี่ก้าวก็ล้ม ทุกครั้งเราเห็นแล้วอยากหัวเราะ แต่ก็เจ็บปวดใจ ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้……”
สุรเสียงเบาลงเรื่อยๆ ก่อนจะเงียบไป ในห้องเริ่มมีนางกำนัลส่งเสียงร้องไห้เบาๆ ไทเฮาฉือเซิ่งในเวลานั้นกลับเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“เตรียมรถ ไม่มีเรา อู่ชิงโหวก็ไม่มีวาสนา ไปพักจวนเขา ดีกว่ามาอุดอู้อัดอั้นอยู่แต่ในนี้”
มีคนคิดปลอบ แต่พอเห็นสีหน้าเด็ดเดี่ยวของไทเฮาฉือเซิ่ง ก็ไม่คิดจะปลอบต่อ แต่ละคนรีบเก็บอารมณ์ก่อนจะกลับไปเตรียมตัว
**************
“ฝ่าบาท ทางตำหนักฉือหนิงกงเตรียมออกเดินทางแล้ว…….”
“ฝ่าบาท ไทเฮาทรงนำองค์ชายจูฉางลั่วไปส่งคืนพระสนมกงแล้ว…….”
รายงานข่าวมาไม่หยุด เกี้ยวแบกวางลงพื้น ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งนิ่งไม่ขยับ แม้แต่พระเศียรก็ไม่พยักรับรู้
ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีขันทีเข้ามาโขกศีรษะรายงานว่า
“ฝ่าบาท ไทเฮาเตรียมราชรถออกเดินทางแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ก็ขอให้ฝ่าบาทส่งไปพะยะค่ะ”
นี่เป็นรายละเอียดที่ต้องจัดการตามไป จางเฉิงข้างๆ พยักหน้าโบกมือให้ออกไปได้ หากในวังต้องการทำอะไร ประสิทธิภาพย่อมว่องไว
ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้รอนาน ทอดพระเนตรเห็นรถม้าหรูหราจากตำหนักฉือหนิงกงวิ่งออกจากวังไป รอบๆ มีขันทีกับนางกำนัลติดตามไป รถม้านี้ฮ่องเต้ว่านลี่จำได้ ตอนเทียนจินคิดสร้างรถใหญ่สี่ม้าลากมาได้ ก็จัดส่งมาแบบหรูหรานี้เข้าวังมาหลายคัน
ตอนนั้นฮ่องเต้ว่านลี่ยังทรงเลือกที่ดีที่สุดให้ช่างสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ตกแต่งส่งถวายตำหนักฉือหนิงกง เบื้องหน้านี้ก็คือรถคันวันนั้น
ตอนนี้อากาศร้อน รถม้าก็ปิดม่านลง รถม้าเคลื่อนไหว จางเฉิงและพวกหวังทงคำนับ ฮ่องเต้ว่านลี่ยังประทับนิ่งไม่ไหวติง
ไทเฮาฉือเซิ่งมองลอดม่านมายังฮ่องเต้ว่านลี่ ฮ่องเต้ว่านลี่หันไปมอง แม่ลูกมองจ้องกันสายตาแข็งกร้าว จนกระทั่งลับตากันไป
ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงตรัสอันใด พอรถแล่นออกไปไกลจนไม่ได้ยินเสียงล้อรถวิ่งแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้ตบแขนพนักเกี้ยวแบก ขันทีรีบแบกเกี้ยวขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“จับตาจวนอู่ชิงโหวไว้ให้แน่นหนา ทหารผู้คุ้มกันต้องส่งไปให้มาก อย่าให้มีผู้ฉวยโอกาสได้!”
“ฝ่าบาททรงพระทัยได้ องครักษ์เสื้อแพรตอนนี้เริ่มไปอารักขาจวนอู่ชิงโหวแล้ว ไทเฮากับอู่ชิงโหวปลอดภัยไร้กังวล”
ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนหายใจยาวตรัสเบาๆ ว่า
“เราเหนื่อยมาก กลับไปตำหนักเฉียนชิงกงก่อน”
ยังพูดไม่ทันจบกลับก็หยุด ฮ่องเต้ว่านลี่โยกพระวรกายมาด้านหน้าตรัสว่า
“ไปห้องทรงอักษร จางปั้นปั้น ท่านเตรียมเอกสารไว้ วันนี้กองกำลังสังกัดวังหลวงนอกจากกองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายของหูฉีแล้ว ที่เหลือแม้แต่ขันทีคุมกำลังก็ต้องเปลี่ยนทิ้งให้หมด ไม่อาจเหลือไว้เป็นทหารแปรพักตร์ข้างกายเราต่อไป คืนนี้จะได้นอนหลับสนิทเสียที”
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่รีบ จางจิงไม่เกินคืนนี้คงถวายฎีกาขอลากลับบ้านเกิด ไทเฮาออกจากวังไปแล้ว กองกำลังสังกัดวังหลวงก็ไม่มีเหตุที่จะก่อกบฏแล้ว หากฝ่าบาทเปลี่ยนทั้งหมด กลับจะยุ่งยากวุ่นวายแทน ปล่อยไว้ ไว้ใช้ประโยชน์ได้ก็ใช้ ใช้ไม่ได้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนก็ได้”
ฮ่องเต้ว่านลี่ไตร่ตรองครู่หนึ่งก็พยักหน้า จางเฉิงคำนับ เกี้ยวแบกโยกไปมา ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไป อยู่ๆ ตรัสอีกว่า
“หวังทง ไหนเล่าการจัดการนอกวังมาหน่อย เรื่องวันนี้ สั่งสอนพวกเขาไปเบามาก เกรงว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวก่อความวุ่นวายต่อ”
“ขอฝ่าบาทวางพระทัย กองกำลังเมืองหลวง จางกงกงส่งคนไปถ่ายทอดราชโองการแล้วว่าไม่มีราชโองการในวัง หากเคลื่อนกำลังคิดก่อการ ประหารไม่เว้น พวกนายกองพันหลายคนจากลานฝึกหู่เวยกุมกำลังไว้แล้ว ผู้ใดจัดการไม่ได้ ก็จะให้ศาลอาญาใหญ่และองครักษ์เสื้อแพร หรือสำนักรักษาความสงบกับหน่วยวินัยทหารควบคุมอีกที หากมีเหตุผิดพลาดคาดไม่ถึง ประตูเมืองก็จะปิดทันที จวนอู่ชิงโหวส่งกำลังทหารกองลาดตระเวน 300 กับเจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียน 100 ไปอารักขาแล้ว ในนอกไม่มีทางส่งข่าวถึงกันได้ แต่ละแห่งกับพื้นที่สำคัญทางการทหาร ล้วนอยู่ในความดูแลของสำนักองครักษ์เสื้อแพร ไม่มีเหตุผิดพลาดแน่นอน……”
หวังทงกำลังเดินไปกล่าวไป จางเฉิงหันมาทำมือให้เงียบ หวังทงอึ้งไป กลับได้ยินเสียงกรนเบาๆ ดังขึ้น มองไปอีกที ฮ่องเต้ว่านลี่พิงเกี้ยวบรรทมไปแล้ว
“ฝ่าบาทหลายวันนี้ไม่ได้บรรทมสักเท่าไร กลับตำหนักเฉียนชิงกง เร็วหน่อย!”
จางเฉิงกล่าวเบาๆ พวกขันทีรีบเปลี่ยนทิศทาง จางเฉิงกับหวังทงต่างเงียบ รีบมุ่งไปยังตำหนักเฉียนชิงกง ทหารรักษาการณ์อยู่แต่ละประตูเข้มงวด มาถึงหน้าประตูตำหนัก ทุกคนเคร่งเครียดราวกับเจอศัตรู คนที่นำกำลังทหารตอนนี้เป็นเจ้าจินเลี่ยง
พื้นที่ตำหนักเฉียนชิงกง ขุนนางนอกวังเข้าไปไม่เหมาะ หวังทงหยุดหน้าประตู คิดไม่ออกว่าจะไปไหนต่อดี ได้ยินเจ้าจินเลี่ยงออกมาถ่ายทอดรับสั่ง
“ใต้เท้าหวัง พระสนมเอกรับสั่งให้เข้าเฝ้า”
ตอนที่ 904 กลุ่มพันธมิตรที่ชาญฉลาด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พระสนมเอกต้องการพบข้า?”
หวังทงถามอย่างแปลกใจ เจ้าจินเลี่ยงย่อมพยักหน้า พระสนมในวังต้องการพบขุนนาง ส่วนใหญ่ต้องมีสถานะเป็นไทเฮาก่อน เช่น ไทเฮาฉือเซิ่ง จึงทำได้ แต่พระสนมเอกเจิ้งตอนนี้ยังไม่ใช่ แน่นอน สามปีก่อนตอนในวังกับต่อสู้กับกลุ่มก่อจลาจล หวังทงก็เคยได้เข้าเฝ้าพระสนมเอกเจิ้ง
สถานการณ์ตอนนี้กับตอนนั้นต่างกัน หวังทงลังเลเล็กน้อยก่อนจะจัดแต่งเกราะตนให้เรียบร้อยตามเจ้าจินเลี่ยงเข้าไป
ตอนอยู่ตำหนักฉือหนิงกง ขันทีกับนางกำนัลล้วนมองหวังทงด้วยความโกรธแค้น อยากจะจับเขาลอกหนังทิ้งแล้วกินเนื้อ พออยู่ตำหนักเฉียนชิงกง ขันทีกับนางกำนัลกลับแสดงท่าทีนอบน้อมยิ่ง และยังมาจากใจอีกด้วย
สำหรับคนในวังแล้ว นายตนได้เรืองอำนาจหรือไม่ก็หมายถึงตนเองมีวาสนาต่อไปหรือไม่ หากนายตนสูญอำนาจ พวกตนก็ย่อมไร้ค่า
หวังทงในความคิดพวกเขาจึงเป็นดังผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่
แต่ในนอกย่อมมีข้อห้ามชัดเจน หวังทงเดินไปตามระเบียงคด นางกำนัลก็ย่อมหลบแต่ไกล หลบอยู่สองข้างทางลอบมองเขาพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
หวังทงย่อมไม่มองซ้ายขวา เขายังคงรักษาจังหวะก้าวเดินต่อไปเงียบๆ ตามระเบียงคด มีขันทีอายุมากก็มิได้มาไล่นางกำนัลเข้มงวดเท่าไร
เดินมาไม่นานก็มาถึงพระที่นั่งกลางตำหนัก หวังทงถูกนำทางเข้าไปในกลางลานด้านหน้า ขณะรออยู่นั้น เจ้าจินเลี่ยงก็วิ่งออกมารายงาน ลานนี้น่าจะเป็นลานประทับส่วนพระองค์ แต่มองไม่เห็นความหรูหราฟุ่มเฟือยใด แต่ความประณีตก็ยังคงพอเห็นอยู่บ้าง หวังทงกวาดตามองไปรอบหนึ่งก็ก้มหน้านิ่งยืนตรง
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว เงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย นางกำนัลสองคนเปิดประตูปิดม่าน ไม่นานก็มีคนส่งเสียงดังรายงานว่า
“พระสนมเอกเสด็จ”
เสียงไม่ดังนัก หวังทงรีบคำนับ กำลังจะโขกศีรษะ ก็กลับได้ยินสตรีหลังม่านกล่าวว่า
“เราแม่ลูกได้รับบุญคุณจากใต้เท้าหวัง จะรับการคุกเข่าคำนับใต้เท้าหวังได้อย่างไร รีบลุกขึ้นเถิด”
หวังทงหยุดการเคลื่อนไหว หากก็ยังคำนับก่อนจะลุกขึ้น เสียงหลังม่านเงียบไปครู่หนึ่ง พระสนมเอกเจิ้งจึงได้ตรัสว่า
“ฉางสวินอายุยังน้อย วันหน้าก็คงต้องหวังพึ่งใต้เท้าหวังอีกมาก ลมฝนกระหน่ำมาก็ขอใต้เท้าหวังช่วยเหลือ ขอรบกวนใต้เท้าหวังแล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวหลังม่านดังขึ้นอีก หวังทงเงยหน้ามอง ก็เห็นเงาหลังม่านค่อยๆ คำนับ หวังทงรีบคำนับตอบ กล่าวว่า
“ไม่อาจรับการคารวะจากพระสนมได้ ทำหวังทงอายุสั้นแล้ว ตอนนี้ในวังเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท กระหม่อมเป็นขุนนาง ต้องทำหน้าที่ด้วยความภักดี ขอพระสนมวางพระทัยได้”
“วันหน้าอีกยาวไกล วาสนาใต้เท้าหวังเพิ่งเริ่มต้น ขอใต้เท้าหวังวางใจ”
พระสนมเอกเจิ้งกล่าวจบก็ไม่เคลื่อนไหวใด ไม่นาน ก็มีนางกำนัลเลิกม่านขึ้น พระสนมเอกเจิ้งเสด็จกลับไปแล้ว หวังทงสีหน้าคงเดิม ณ ที่นี่เขาไม่อาจไปไหนมาไหนเองได้ เจ้าจินเลี่ยงนำเขามา ก็ต้องให้เจ้าจินเลี่ยงนำเขาออกไป
พอม่านเลิกขึ้นได้ครู่หนึ่ง เจ้าจินเลี่ยงก็วิ่งเข้ามา ยิ้มกล่าวว่า
“พี่หวัง ฝ่าบาททรงง่วงมาก ขอบรรทมสักครู่ ทรงให้พี่หวังไปรอที่ห้องทรงอักษร จางกงกงเชิญท่านไปดื่มน้ำชาก่อน!”
หวังทงยิ้มรับคำ เดินตามเจ้าจินเลี่ยงออกไป พอออกจากตำหนักเฉียนชิงกง ออกมาไกลพอควรแล้ว หวังทงกลับให้เจ้าจินเลี่ยงไปบอกองครักษ์ในวังให้เปลี่ยนคนของเขาออกไป
ตอนนี้คนที่อีกฝั่งออกคำสั่งได้ล้วนถูกจับขังและปลดตำแหน่งไปหมดแล้ว สถานการณ์ตอนนี้หากไม่มีคำสั่งตามระเบียบ ย่อมไม่อาจเคลื่อนย้ายกำลัง หวังทงวางใจ ยามนี้หากยังให้ทหารติดตามตนเองเข้ามายังคงอยู่ในวัง คงเปิดโอกาสให้คนอื่นนำไปเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
ไปถึงห้องทรงอักษร เจ้าจินเลี่ยงกลับไม่นำเขาเข้าไป หากนำหวังทงไปยังเรือนเล็กข้างๆ เดินไปอธิบายไป กล่าวว่า
“จางกงกง ต้องอยู่ข้างพระวรกาย สำนักส่วนพระองค์ก็มีงานที่ไม่อาจรอช้าได้ ดังนั้นจึงให้คนมาสร้างเรือนเล็กไว้ที่นี่ เพื่อทำงานและพักผ่อน”
ข้างนอกเรือนก็มีผู้คุ้มกัน ทว่าเมื่อเจ้าจินเลี่ยงนำเข้ามาย่อมไม่มีผู้ใดขวาง หวังทงเข้ามาในห้อง จางเฉิงยิ้มโบกมือบอกให้หวังทงนั่งลง จากนั้นก็กล่าวกับเจ้าจินเลี่ยงว่า
“เสี่ยวเลี่ยง เจ้าไปยืนรอด้านนอก รอบๆ ไม่ให้คนไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้ ข้ามีเรื่องคุยกับใต้เท้าหวังหน่อย”
เจ้าจินเลี่ยงคำนับรับคำอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็วิ่งออกไปพร้อมปิดประตูลง ไม่นานก็ได้ยินเจ้าจินเลี่ยงตะโกนจากที่ไกลออกไป จางเฉิงจึงได้ยิ้มยกกาน้ำชาขึ้นเทให้หวังทง หวังทงรีบยืนขึ้นท่าทีเกรงใจ
“โจวอี้ ยังจับตาดูสนามฝึกเหนือไว้อยู่ ยังไงความคิดเจ้าก็ถูก ฝ่าบาท มีราชโองการให้พวกเขาเคลื่อนไหว พวกเขาบางทีอาจขัดราชโองการ แต่ให้พวกเขาไม่เคลื่อนกำลัง พวกเขากลับหาเหตุผลปฏิเสธไม่ได้ ข่าวเพิ่งมาว่า แต่ละหน่วยร้อนใจยิ่ง แต่กลับไม่กล้าลงมือเคลื่อนไหวพลการ”
จางเฉิงยิ้มกล่าว หวังทงยิ้มพยักหน้า จางเฉิงกล่าวต่ออย่างสบายอารมณ์ว่า
“กองกำลังสังกัดวังหลวง ใกล้กับที่นี่มาก แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรพลการ โจวอี้กำลังจับตาดูพวกเขาไว้ มาถึงตอนนี้ ก็ไม่อาจก่อเรื่องใดได้แล้ว”
จางเฉิงสีหน้าผ่อนคลาย ยกจอกชาขึ้นจิบ สัพยอกว่า
“แผ่นดินหมิงเราตั้งแต่ตั้งราชวงศ์มาถึงบัดนี้ ขอเพียงมีโอรสมากกว่าหนึ่ง ก็ต้องเกิดกระแสแย่งชิงเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท เกรงว่าเรื่องที่ตอกฝาโลงไปแล้ว ก็ยังมีคนคิดก่อไฟหาประโยชน์ต่ออีกเพื่อจะลองว่าพอจะสู้อีกได้ไหม ทว่ามีเรื่องกันถึงขั้นนี้นั้น มีน้อยมาก”
กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าจางเฉิงก็มีสีหน้าดูถูกและไม่พอใจกล่าวต่อว่า
“คนพวกนี้ในสายตามองเห็นแต่อำนาจและสถานะของจางจวีเจิ้ง กลับไม่ดูความสามารถของท่านจาง ทำเรื่องสมคบคิดน่าสะอิดสะเอียนนี้ออกมาได้ ช่างเลอะเลือน สมองพังไปหมดแล้วจริงๆ”
“ทว่าก็แค่กลุ่มน่ารังเกียจก่อเรื่อง จางกงกงไยต้องโมโหพวกคนเช่นนี้ด้วย”
“วันนี้ได้เห็นบรรดาขุนนางแล้ว ฎีกาที่ยื่นมาแต่ละฉบับอ้างคุณธรรมใหญ่กันทั้งนั้น แต่พอเอาจริง เห็นอาวุธตรงหน้าก็กลับแสดงท่าทีน่ารังเกียจเช่นนั้นออกมาได้ พวกเขาดูได้ซะที่ไหนกัน ตัวที่ป่วนจริงก็ลากออกไปนั่น เจ้าคนนั้นน่ะ มือพอมีอำนาจ ก็ไม่คิดปล่อยวาง มักคิดเอาคืน เพื่ออำนาจแล้ว แม่ลูกแท้ๆ ก็ยังไม่อาจนำพาอันใด ทำเอาจนเป็นเช่นนี้ ช่าง”
คนเราพอเคร่งเครียดแล้วคลายลงก็มักจะมีท่าทีปลดปล่อยเช่นนี้ วาจาก็ย่อมกล่าวออกมาอย่างไม่ทันคิดอะไรมาก จางเฉิงจิบชาไปก็หัวเราะไปว่า
“รู้สึกว่าฝ่าบาทยุ่งมากไป รู้สึกว่าข้าขวางทาง รู้สึกว่าคณะเสนาบดีใหญ่หลายคนขวางทาง ก็คิดใช้โอกาสนี้ก่อกระแสโจมตี ……หลายวันก่อนข้าก็คิด ตั้งแต่เป็นขันทีในวังอ๋องอวี้มาจนอยู่สำนักส่วนพระองค์ ขันทีร่างกายไม่สมบูรณ์อย่างข้า อะไรก็ผ่านมาหมด ยังเป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์นานเช่นนี้ ยังคิดเอาอะไรอีก พวกเขาจะแย่งก็ให้ไปก็แล้วกัน แต่พอเห็นเจ้ากลับมา ใจข้าก็ผ่อนคลายลงไปมาก จึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วอำนาจนี้ข้าก็วางไม่ลงเช่นกัน”
จางเฉิงเยาะตนเอง หวังทงไม่ตอบรับ จางเฉิงส่ายหน้ากล่าวว่า
“จางจิงตอนอยู่ตำหนักอ๋องอวี้ก็มักเปรียบเทียบกับข้า เฝิงเป่าเขาเทียบไม่ติด ก็เลยเอาแต่จับตาข้าไว้ ข้ามาอยู่สำนักส่วนพระองค์ เขาก็ไปอยู่สำนักอาชาหลวง เขาสูงกว่าข้า เดิมคิดว่าจะเดินเส้นทางเฝิงเป่า อาศัยว่าเป็นคนโปรดไทเฮา ตำแหน่งหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ก็ควรให้เขาได้ดูแล ในในคงไม่พอใจ แต่จะทำไงได้ หลังครั้งนี้ไป เกรงว่าคงต้องกลับไปเฝ้าสุสานหลวงแทนแล้ว”
จางจิงเป็นคนโปรดไทเฮาฉือเซิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่อาจสั่งเคลื่อนกำลังกองกำลังสังกัดวังหลวงมาข่มขุนนางกับอู่ชิงโหวได้ ก็เพราะว่าจางจิงคุมสำนักอาชาหลวงมานาน ผู้ใดก็ยากจะแทรกแซงสั่งการ การพลิกกระดานครานี้ จางจิงย่อมเสียอำนาจ เขากับจางเฉิงคบหากันมาหลายสิบปี ยามนี้ก็ย่อมอดใจหายไม่ได้
จางเฉิงยกถ้วยชาวางลง เคาะมือสองสามทีก็กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“จางจิงทำเองย่อมรับเอง เขาเองไม่เสียภายหลัง ผู้อื่นก็ไม่ต้องไปเสียดายแทน แต่ว่าจางหงนั้นช่าง…….ปฏิบัติหน้าที่ได้ดี แต่น่าเสียดายที่อ่านตำราร่ำเรียนมาจนสมองพังไปแล้ว!”
หวังทงได้แต่ยิ้มรับฟัง วาจาพวกนี้เหมือนคำบ่นของคนแก่เท่านั้น ฟังแล้วก็แล้วไป ไม่มีหน้าที่กล่าวแทรกอันใด
จางเฉิงกล่าวจบก็มองหวังทง จากนั้นกดเสียงให้เบาลงกล่าวว่า
“เจ้าไม่อยู่เมืองหลวง องครักษ์เสื้อแพรชุลมุนไปหมด เมืองหลวงนี้ไม่มีผู้ใดดูแล ไม่คนจับตา กระแสเมืองหลวงกับข้างนอกยิ่งหนักขึ้นเรื่อย สุดท้ายบีบจนฝ่าบาทไม่กล้าออกว่าราชการ แต่พอเจ้ากลับมา องครักษ์เสื้อแพรก็เริ่มทำงาน เจ้าอยู่จัดการอีกสักสองวันละกัน ตอนนี้ให้ทุกอย่างนิ่งสงบก่อน เจ้านี้ไม่ธรรมดาเลยนะ ไม่เสียทีที่เป็นถึงผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร”
สีหน้าจางเฉิงยังคงมีรอยยิ้ม แต่หวังทงที่นั่งอยู่กลับไร้รอยยิ้ม สองมือกำแน่นไม่รู้ตัว จ้องมองจางเฉิง หวังทงถอนหายใจยาว กลับคืนสู่ปกติ แต่กลางฝ่ามือยังคงชื้นเหงื่อ สีหน้าจางเฉิงยิ้มมากยิ่งขึ้น กล่าวอย่างสบายใจว่า
“เจ้าให้คนข้างนอกก่อเรื่องให้ใหญ่โต บีบให้ฝ่าบาทไร้หนทาง จำต้องเรียกตัวเจ้ากลับมาคุมสถานการณ์ ใช่แบบนี้หรือไม่?”
“จางกงกงกล่าวอันใด? หวังทงฟังไม่เข้าใจ!”
หวังทงตอบนิ่งๆ จางเฉิงยกชาขึ้นจิบ เหมือนว่าชานี้มีอันใดให้น่าพิสมัยอยู่มาก จิบไปก็ทอดถอนใจไป วาจากลับเปลี่ยนประเด็น
“ตอนนั้นเฝิงเป่าทำไมกุมอำนาจได้ ตอนนั้นจางจวีเจิ้งทำไมกุมอำนาจปกครองใต้หล้าได้ ก็เพราะพวกเขา หนึ่งนอก หนึ่งใน ร่วมประคองกัน ร่วมประสานกำลังกัน ร่วมช่วยเหลือกัน แต่พวกเขาสองคนหากไม่มีไทเฮาฉือเซิ่งสนับสนุน พวกเขาก็ย่อมราวกับไร้แหล่งน้ำ ไม่อาจต่อเนื่องมาได้ถึง 20 ปีเช่นนี้หรอก”
เบื้องหน้าเป็นชายชราท่าทางอ่อนแอ หากตนลงมือ ก็อาจจะสร้างสถานการณ์ว่างตายกะทันหันเองได้ แต่หวังทงกลับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะสลัดความคิดนี้ทิ้ง เรื่องยังไม่ถึงขั้นนั้น
“ตอนนี้ข้ามาถึงจุดสูงสุดแล้ว นอกวังเจ้าก็ถือว่าสูงสุดแล้ว พระสนมเอกเจิ้งก็ได้เป็นพระมารดารัชทายาทแล้ว ตำแหน่งไทเฮานั้นก็คงไม่ช้าไม่เร็ว เจ้าดูสิ เหมือนกับตอนนั้นไหม?”
“กงกงหมายความว่า?”
หวังทงตอนนี้รู้สึกผ่อนคลายลง จางเฉิงกล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า
“พระสนมเอกพระชนมายุไม่มาก เจ้าก็แค่ 20 ต้นๆ ข้าแก่แล้ว ยังไม่รู้จะปรนนิบัติฝ่าบาทไปอีกกี่ปี ทว่าโจวอี้เพิ่งจะ 40 เสี่ยวเลี่ยงเพิ่งจะ 13 วันเวลาแห่งวาสนายังอีกยาวไกล”
ตอนที่ 905 สามีภรรยาสนทนายามค่ำคืน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนฟ้าใกล้มืด หวังทงก็ออกจากวัง ฮ่องเต้ว่านลี่ที่คลายกังวลก็บรรทมหลับสนิท ไม่มีผู้ใดกล้ารบกวน ทุกคนรู้ว่า หลายเดือนมานี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ซูบผอมลงมาก ย่อมเป็นเพราะไม่ได้พักผ่อนให้ดี พอทุกอย่างจบลง ให้ฮ่องเต้ทรงพัก เรื่องใดๆ ก็ค่อยว่ากันวันพรุ่งนี้ ก็ยังทัน
แม้ว่าแสงตะวันยังคงมีอยู่ แต่ท้องถนนเมืองหลวงกลับไม่มีคนและรถม้าสัญจรแล้ว มีแต่ทหารองครักษ์เสื้อแพรพร้อมอาวุธและเจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนลาดตระเวนอยู่เท่านั้น วันนี้เมืองหลวงตรวจตราเข้มงวด พวกไม่เกี่ยวข้องห้ามออกมาเพ่นพ่าน ท้องถนนจึงย่อมต้องมีสภาพเช่นนี้
จะว่าไปหวังทงตอนนี้เหมือนมีสองบ้าน ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองกุยฮว่าเฉิง ที่นี่มีแค่ซ่งฉานฉานคนเดียว สะดวกมาก
หวังทงกลับถึงเมืองหลวงได้หลายวันแล้ว ทว่ากลับมาบ้านนี้เป็นวันแรก จวนในเมืองหลวงไม่รู้มีคนจับตาดูมากเท่าไร ยังไงต้องระมัดระวังให้รอบคอบไว้ก่อน
ไม่ได้พบซ่งฉานฉานมาครึ่งปี อายุซ่งฉานฉานก็ไม่มาก แต่มองแล้วซูบซีดลงมาก หลายวันนี้จิตใจหวาดกลัว กังวลอยู่มาก อยู่เมืองหลวงคอยปั่นสถานการณ์ ช่างลำบากนางเสียจริง
สามีภรรยาพบหน้า สถานการณ์ควบคุมได้แล้ว ซ่งฉานฉานที่ต้องทำตัวเข้มแข็งก็น่าสงสารมาก ต่อหน้าสามีตน ผู้หญิงก็มักจะแสดงความอ่อนแอของตนเองออกมา เรื่องพวกนี้ไม่ต้องพูดก็รู้กัน
เวลาอาหารค่ำ สั่งให้คนรับใช้ออกไป หวังทงบอกกับซ่งฉานฉานเรื่องที่คุยกับจางเฉิง พอได้ยินเช่นนี้ ช้อนในมือซ่งฉานฉานก็ร่วงลงกับพื้น สีหน้าตกใจซีดเผือด อดตัวสั่นไม่ได้
“เจ้าไม่ต้องกลัว เรื่องที่เราจัดการเมืองหลวงเช่นนี้ นอกจากพวกสมองอ่านตำราจนพังไปหมดดูไม่ออกแล้ว ก็มีแต่คนที่ใกล้ชิดกับเราหน่อยที่พอเห็นร่องรอย”
หวังทงปลอบเบาๆ นับว่าแผนการครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี ซ่งฉานฉานตะโกนเรียกสาวใช้เข้ามาเก็บ ดื่มน้ำแกงมือสั่น ก่อนจะสงบสติลงได้ หวังทงกล่าวว่า
“ทว่าเรื่องนี้หากปล่อยให้พวกหยางเหว่ยทำสำเร็จ จางเฉิงจางกงกงก็ไม่อาจรักษาสถานะในสำนักส่วนพระองค์ไว้ได้ พวกหลี่ว์วั่นไฉก็ย่อมต้องจบสิ้นเช่นกัน พวกเขาย่อมช่วยกันปิดบัง จึงได้ผ่านมาได้อย่างหวุดหวิดถึงบัดนี้”
“นายท่าน……จางเฉิงอย่างไรก็อยู่ข้างกายฮ่องเต้ เขาไม่พูดออกไป?”
“ย่อมไม่ หากข้าไม่มีจางเฉิงช่วยเหลือ ตำแหน่งนี้ย่อมไม่มั่นคง เช่นกัน จางเฉิงไม่มีข้าประสานนอกวัง เขาเองก็ไม่อาจอยู่ได้นาน ทุกคนพึ่งพาอาศัยกัน สายพันธมิตรนี้ยังอยู่ ก็ย่อมไม่พูดออกไป”
เห็นสีหน้าซ่งฉานฉานงง หวังทงก็ยิ้มกล่าวว่า
“จางเฉิงวันนี้กล่าวกระจ่างแล้ว เขาเองอายุมากแล้ว ตำแหน่งนี้ก็หวังส่งต่อให้โจวอี้ รอให้โจวอี้อายุมาก ก็คงเป็นเวลาของเสี่ยวเลี่ยงบ้างแล้ว ยังบอกว่าข้าอายุยังน้อย จึงต้องเตรียมการเพื่อวันหน้าอีกยาวไกล ไม่เพียงแต่เพื่อเขากับข้า แต่ยังเพื่อเหล่าลูกศิษย์ของเขาเช่นกัน เรื่องอีกยาวไกล ไม่เพียงแต่เกี่ยวพันกับเขา ยังเกี่ยวพันพรรคพวกเขาด้วย จางเฉิงย่อมรู้จักหนักเบาดี”
กล่าวถึงตรงนี้ ซ่งฉานฉานจึงได้สงบลงได้ พึ่งพากันและกัน ประคองกันและกัน อำนาจในวังกับอำนาจนอกวังร่วมเป็นพันธมิตรกัน นี่เป็นหลักการธำรงอำนาจวาสนาให้สืบต่อไป ความลับเช่นนี้ก็ย่อมเป็นสายเชื่อมโยงกัน หากกล่าวออกไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังมีอีกเรื่อง จางเฉิงเองก็แก่แล้ว เขาคิดถึงอำนาจวาสนา และก็คิดถึงคนของเขาเช่นกัน โจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยง รวมถึงไช่หนานกับเมิ่งตั๋วล้วนเป็นคนใกล้ชิดกับหวังทง หากรักษาสัมพันธ์ยาวนาน ไม่เพียงแต่มีผลดีต่อเขา หากต่อพรรคพวกเขาเองก็ย่อมมีผลดีระยะยาว นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เป็นหลักประกันได้
หวังทงกับฮ่องเต้ว่านลี่รุ่นราวคราวเดียวกัน นายบ่าวล้วนวัยหนุ่ม วาสนาวันหน้าอีกหลายสิบปี ในวังโจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยงก็ต้องการคนคอยประคอง หวังทงย่อมให้ความคุ้มครองได้ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่จางเฉิงคิดได้
ทว่าเรื่องนี้ว่าไปแล้วก็ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย ซ่งฉานฉานอยู่เมืองหลวงทำเรื่องเช่นนี้กลับมีจางเฉิงพบเห็น ยังช่วยปิดบัง หากกลับกัน เกรงว่าคงมีความผิดโทษล้างตระกูลเป็นแน่
กลัวก็ส่วนกลัว อย่างไรก็สำเร็จไปแล้ว ผ่านไปอย่างปลอดภัย สองสามีภรรยาจากกันมานาน การจากกันระยะหนึ่งทำให้โหยหายิ่งกว่าแต่งงานกันใหม่ๆ ความวิตกเหล่านี้จึงได้แต่ปล่อยวางไปก่อน
หลังจากร้อนแรงหายคิดถึงกันแล้ว ซ่งฉานฉานก็ซบอยู่อ้อมกอดหวังทงถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า
“นายท่านไม่รู้ว่าจากนี้ไปจะเกิดเหตุจับเข้าคุกครั้งใหญ่หรือไม่ พวกหยางเหว่ยหากถูกคิดบัญชี ข้าเกรงว่าคงต้องเตรียมการไว้ก่อน”
สามีภรรยาอื่นยามนี้คงต้องคุยเรื่องรักเรื่องใคร่กัน แต่คู่นี้กลับคุยเรื่องงาน หวังทงเองก็ไม่รู้สึกแปลกอันใด ได้แต่ตอบเรียบๆ ว่า
“ดีไม่ดีก็อาจแค่ถูกปรับเบี้ยหวัด คนที่ถูกปลดก็คงไม่มากนัก”
ซ่งฉานฉานเชื่อในการวิเคราะห์ของหวังทง อย่างน้อยการจัดการของหวังทง ก็สามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้มากมาย สถานการณ์เมืองหลวงเดินไปในทิศทางที่เขาคาดไว้หมด
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ซ่งฉานฉานกลับกังวล กล่าวอย่างกังวลใจว่า
“นายท่านหากขุนนางพวกนั้นยังอยู่ นายท่านใช่ว่าอยู่ลำบากงั้นหรือ เกรงว่าข้อพิพาทกับนายท่านคงไม่จบ หลังเรื่องนี้ นายท่านย่อมเป็นเป้าของทุกคนแล้ว!”
หวังทงปลุกปลอบซ่งฉานฉานเบาๆ ก่อนจะมองเพดานเตียงกล่าวเบาๆ ว่า
“หากฝ่าบาทไล่พวกเขาออกหมด ผู้ใดจะมาปฏิบัติหน้าที่ ผู้ใดจะมาจัดการการงานใต้หล้า และหากไม่มีพวกเขา ผู้ใดจะมาสมดุลอำนาจกับข้าและพวกจางกงกงเล่า”
กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงเยาะตนเองขึ้นว่า
“เหลือพวกนี้ไว้ก็ดี ไม่เช่นนั้นฝ่าบาทไหนเลยจะเห็นความสำคัญข้า!”
วาจาไม่กระจ่าง แต่ซ่งฉานฉานกลับฟังเข้าใจ ความกังวลมาทั้งคืน อยู่ๆ พลันมลายหายไปสิ้น นกหมดเก็บธนู กระต่ายตายหมดหมาถูกต้มแทน แต่นกไม่หมด กระต่ายไม่ตาย ย่อมต้องไม่มีเรื่องถึงฝั่งรื้อสะพานทิ้งเป็นแน่
*************
ฮ่องเต้ว่านลี่บรรทมหลับสนิท จางเฉิงทนไม่ไหวกลับไปพักก่อน เจ้าจินเลี่ยงกลับต้องเฝ้าอยู่ข้างนอกไม่กล้าไปไหน คืนนี้พระสนมเอกเจิ้งอุ้มโอรสมาเป็นเพื่อน
พระสนมเอกเจิ้งที่หวาดกลัวมาตลอดสองเดือนก็เริ่มมีสีหน้าสดชื่นขึ้น ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งบนเตียงบรรทม มองไปยังเปลที่ไกลพระโอรส มองไปยังฮ่องเต้ว่านลี่ที่กรนบรรทมอยู่
ตอนพระสนมเอกเจิ้งเพิ่งจะเป็นที่โปรดปรานก็เคยทรงคิดแต่งตั้งเป็นฮองเฮา แต่พระนางฉลาดมาก รู้ได้ทันทีว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะฮองเฮาหวังเป็นคนที่ไทเฮาฉือเซิ่งเลือกให้ฮ่องเต้ว่านลี่ อำนาจไทเฮาฉือเซิ่งแม้ขึ้นลงไม่แน่นอน แต่เรื่องในวังก็มีสิทธิ์เด็ดขาด
สุดท้าย พระสนมเอกเจิ้งถึงกับกังวลว่าตำแหน่งพระองค์ตอนนี้จะถูกแทนที่หรือไม่ เพราะพระสนมกงได้มีโอรสองค์แรกให้แก่ฮ่องเต้ว่านลี่ การปรากฏขึ้นของพระสนมกงทำให้พระนางไม่เป็นสุข พระสนมกงยังเป็นนางกำนัลจากตำหนักไทเฮาฉือเซิ่ง มีแรงสนับสนุนเช่นนี้ ย่อมทำให้พระนางสะเทือนไม่น้อย
ส่วนเรื่องฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ ๆ กลับบังเอิญบรรทมกับพระสนมกงในตอนนั้นที่ยังเป็นนางกำนัล ให้กำเนิดพระโอรสแล้ว ก็เข้าพระกรรณไทเฮาฉือเซิ่ง จากนั้นก็บีบให้ฮ่องเต้ว่านลี่รับ พระสนมเอกเจิ้งไม่เชื่อเรื่องนี้
พระนางอยู่ในวังหลังมานาน ผู้หญิงมากมาย จะมีเหตุบังเอิญเช่นนี้ได้อย่างไร สำหรับฮ่องเต้ว่านลี่อาจเรียกว่าบังเอิญ แต่สำหรับไทเฮาฉือเซิ่งก็ไม่แน่นัก กล่าวได้เพียงว่าตำหนักฉือหนิงกงเตรียมการเรื่องนี้มาตลอด แม้ว่าครั้งนี้พระสนมกงไม่ตั้งครรภ์ ครั้งหน้าก็อาจมีนางกำนัลใดสักนางที่ ‘บังเอิญ’ อีกก็เป็นได้
ทว่ามาถึงตอนนี้ ทุกอย่างแน่นอนแล้ว ไทเฮาฉือเซิ่งออกจากวังไปแล้ว พวกที่ร่วมกันข้างนอกก็ถูกกำราบแล้ว โอรสตนเองได้เป็นรัชทายาทแล้ว แม้ว่าตอนนี้เป็นแค่พระสนมเอก แต่จะได้เป็นฮองเฮาก็คงอีกไม่ไกลแล้ว
ฮองเฮาเป็นอันดับหนึ่งในวังหลัง ทว่าพระสนมเอกเจิ้งไม่คิดเพียงแค่นี้ วังหลังราวกับวงการขุนนาง ตำแหน่งในรัชสมัยนี้ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่เช่นนี้ตลอดไป วังหลังมีการแก่งแย่งกันไม่หยุด คิดจะรักษาสถานะตนเองไว้ ก็ต้องคิดให้โอรสตนได้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทให้มั่นคง จนได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ เช่นนั้นก็ต้องมีพันธมิตร มีการสนับสนุน คนอื่นทำเช่นไร ตนเองก็จะทำเช่นนั้น
ตัวอย่างก็มีให้เห็น ไทเฮาฉือเซิ่งทำเช่นไร ไม่ใช่ว่าในวังมีเฝิงเป่า นอกวังมีจางจวีเจิ้งงั้นหรือ สำหรับพระนางแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ ในวังมีพวกจางเฉิง นอกวังมีพวกหวังทง และอำนาจเขาสองคนก็ยังต้องได้รับการสนับสนุนจากคนในวัง
พระสนมเอกเจิ้งยอมฝ่าฝืนธรรมเนียมในวัง ยอมไม่สนใจธรรมเนียมจารีตเว้นระยะห่างกับขุนนาง ต้องการที่จะคำนับหวังทงหลังม่าน พระสนมเอกเจิ้งคิดจะส่งเสริมคนที่ไว้ใจมาเป็นหัวหน้าตำหนักเฉียนชิงกง หัวหน้าตำหนักเฉียนชิงกงแม้ว่าไม่ได้อยู่ในระบบ 12 สำนักขันที แต่ก็เป็นตำหนักที่ประทับหลักของฮ่องเต้ ตำแหน่งไม่เป็นรองหัวหน้าสำนัก 12 สำนักขันทีในวัง ถึงกับอาจจะสูงกว่าสำนักที่ไร้อำนาจด้วยซ้ำไป คนที่พระสนมเอกเจิ้งเลือกก็คิดไว้แล้ว ก็คือเจ้าจินเลี่ยง แม้ว่าอายุยังน้อย แต่ก็สนิทกับจางเฉิงและหวังทง และยังจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ว่านลี่ คนเช่นนี้ไม่ส่งเสริมแล้วจะส่งเสริมผู้ใด
พระสนมเอกเจิ้งกำลังคิดอยู่นั้น ก็ไม่ทันระวังฮ่องเต้ว่านลี่ที่บรรทมอยู่ อยู่ๆ ผุดลุกขึ้นในคืนเงียบสงบ ในห้องมีแสงไฟริบหรี่ ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ๆ ผุดลุกขึ้น ทำเอาพระสนมเอกเจิ้งตกใจสะดุ้ง ดีที่ไม่ได้ส่งเสียงหวีดร้องออกมา แม้เป็นเช่นนี้ ทารกในเปลก็ตกใจส่งเสียงแผดร้องดัง
ฮ่องเต้ว่านลี่กวาดพระหัตถ์ไปใต้หมอน สูดลมหายใจเข้าอย่างแรง ก่อนจะเริ่มชินกับความมืด มองไปยังพระสนมเอกเจิ้ง ยามนี้นับว่าทรงตื่นบรรทมดีแล้ว ตรัสขึ้นว่า
“ไม่ต้องมากพิธี รีบกล่อมฉางสวิน”
พระสนมเอกเจิ้งรีบอุ้มโอรสขึ้นมาปลอบ ฮ่องเต้ว่านลี่จ้องมองไปยังแสงโคมไฟข้างพระแท่นบรรทมนิ่งไปพักหนึ่งก็ตรัสสุรเสียงดังว่า
“ข้างนอกมีใครอยู่บ้าง!”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมพะยะค่ะ!”
เจ้าจินเลี่ยงรับคำวิ่งเข้ามา ฮ่องเต้ว่านลี่ลังเลครู่หนึ่งตรัสว่า
“เราต้องการพบเจิ้งกั๋วไท่ตอนนี้ รีบไปจัดการ!”
เจ้าจินเลี่ยงอึ้งไป รีบวิ่งออกไปทันที กลางคืนประตูวังปิดแล้ว แต่คิดออกไปก็มีวิธี พระสนมเอกเจิ้งกล่อมพระโอรส คิดจะถาม แต่ดูสีหน้าเคร่งเครียดฮ่องเต้ว่านลี่แล้วก็เงียบต่อ
*************
“ตอนนั้นที่เจ้าเอาราชโองการเราให้หวังทงอ่าน หวังทงมีปฏิกิริยาเช่นไร!”
เจิ้งกั๋วไท่ยังสวมชุดขุนนางไม่เรียบร้อยดี อยู่ๆ ถูกปลุกเรียกเข้าเฝ้ากลางดึก รีบร้อนเข้าวัง น่าแปลกจริงที่ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงถามเช่นนี้ เจิ้งกั๋วไท่ลังเลครู่หนึ่งทูลว่า
“เขาถามก่อนว่าฝ่าบาททรงปลอดภัยดีหรือไม่ จากนั้นก็บอกว่าตนเองครานี้คงได้ลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดแล้ว จากนั้น…..จากนั้นก็รีบเร่งเดินทางมาเมืองหลวง”
พอฟังจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ที่เคร่งเครียดก็ผ่อนคลายลง กลับเริ่มหาวแทน โบกพระหัตถ์ตรัสว่า
“เจ้ากลับไปได้ เราเหนื่อยแล้ว ยังอยากนอนต่ออีกสักหน่อย!
ตอนที่ 906 แผนการครอบคลุม
โดย
Ink Stone_Fantasy
วันที่ 16 เดือนเจ็ด เมืองหลวงเงียบกว่าปกติมาก แม้เป็นเขตที่ทำการหรือที่พักขุนนางและชนชั้นสูงก็ไม่แตกต่าง เขตทักษิณก็เช่นกัน
จวนอู่ชิงโหวที่ถูกคุมเข้ม ประตูหน้าและประตูหลังจวนอู่ชิงโหวมีทหารองครักษ์เสื้อแพรเฝ้ารักษาการณ์ หากคนในนั้นต้องการซื้อหาสิ่งใด คิดจะจัดการงานการใด ก็ทำได้เพียงแค่ให้องครักษ์เสื้อแพรไปดำเนินการ คนข้างนอกคิดจะส่งอันใดเข้าไป ก็จะถูกตรวจสอบก่อนจึงส่งเข้าไปได้
คนในจวนหากคิดจะคุยอันใดกับองครักษ์เสื้อแพร ทหารองครักษ์เสื้อแพรต้องมีสองสามคนร่วมรับฟัง ไม่เช่นนั้นหากปรี่เข้าไปคุยส่วนตัวก็จะถูกลงโทษทางวินัย
ไทเฮาฉือเซิ่งตรัสว่าคิดถึงอู่ชิงโหว คิดจะไปพำนักสักสองสามวัน ทว่าหลายคนเมืองหลวงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ามีอันใดแฝงอยู่ นี่เป็นการขับไล่ไทเฮาฉือเซิ่งออกจากพระราชวังต้องห้าม
เริ่มแรกข้างนอกมีคนแอบครุ่นคิดเองว่า ฮ่องเต้ว่านลี่ทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ไทเฮาฉือเซิ่งแม้ไม่มีอำนาจ แต่ก็ยังตำแหน่ง กล่าวให้ชัดก็คือ หากคิดจะปลดฮ่องเต้ อัญเชิญองค์เทพเช่นไทเฮาออกมาจัดการก็ยังได้อยู่ องค์เทพเช่นนี้ปล่อยไว้ข้างนอก ใช่ว่าฝังรากภัยร้ายเอาไว้ให้ลงลึกหรอกหรือ?
ทว่าพอได้เห็นการเฝ้าคุมของทหารองครักษ์เสื้อแพรที่เข้มงวดแล้ว ทุกคนก็เข้าใจกระจ่าง ย่อมต้องมีแผนรับมือไว้แล้ว ยามนี้ทุกคนได้แต่แอบอึ้งพูดไม่ออก ฝ่าบาทไม่ใช่ว่ากตัญญูหรอกหรือ? เหตุใดจึงกล้าลงมือเช่นนี้ได้ ไล่พระมารดาพระองค์ออกมาได้อย่างไรกัน
แต่อู่ชิงโหวกลับรู้สึกขอบพระทัย ตามข่าวจากจวนอู่ชิงโหวที่แพร่ออกมา ไทเฮาฉือเซิ่งพอถึงจวนอู่ชิงโหว สองพี่น้องกอดกันร่ำไห้ จวนอู่ชิงโหวย่อมจัดหาที่พักที่สมพระเกียรติให้ไทเฮาฉือเซิ่ง ตกค่ำไทเฮาฉือเซิ่งเสวยอยู่ อู่ชิงโหวถึงกับไปปลอบด้วยตนเองทั้งน้ำตาว่า
“วันนี้ไม่ต้องเรียกท่านพี่ว่าไทเฮา เราพี่น้องได้ร่วมโต๊ะทานอาหาร ตอนนี้เงินทองมากมายอาหารการกินก็สมบูรณ์ ใต้หล้าให้การยกย่อง ก็ควรพอใจแล้ว ลูกชายท่านพี่ได้เป็นฮ่องเต้ และยังบุกเบิกแผ่นดินให้กว้างออกไป ยังตั้งด่านเก็บภาษีเข้าคลังหลวงได้ ทำได้ไม่เลว ท่านพี่ยังต้องกังวลสิ่งใด ท่านพี่เป็นมารดาจะไปแย่งชิงอันใดกับลูกชายตนเองกัน ข้าเป็นน้าชายอยู่ตรงกลางก็รู้สึกอึดอัดยิ่ง ท่านพี่ ท่านออกมาอยู่ที่นี่ ข้าผู้เป็นน้องก็เบาใจ ท่านพี่ไม่รู้หรอกว่าทุกครั้งที่ท่านพี่มีเรื่อง ข้าก็นอนไม่หลับ วัน ๆ ได้แต่จุดธูปไหว้พระขอให้ท่านพี่ปลอดภัย ตอนนี้จบเรื่องแล้ว ท่านพี่ออกจากวังมาแล้ว ได้เสวยความสุขและวาสนาไปตลอดชีวิตแล้ว อย่างไรก็ไม่ได้ถูกกวาดล้างชั่วโคตรก็ดีแล้ว?”
วาจานี้กล่าวจบ พระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งก็บึ้งตึงทันที โยนตะเกียบใส่ อู่ชิงโหวแม้ว่าสูงศักดิ์มานานหลายปี แต่ก็เคลื่อนไหวว่องไว หลบทันพอดี
หลังมีเรื่องกันเช่นนี้ ไทเฮาฉือเซิ่งก็ร่ำไห้ไปเกือบครึ่งชั่วยาม คืนนั้นไม่ได้บรรทมทั้งคืน รุ่นขึ้นจึงได้ผล็อยหลับไป ทว่านางกำนัลรับใช้เล่าว่า ไทเฮาเหมือนปล่อยวางได้แล้ว สีพระพักตร์ดีขึ้นแล้ว นี่เป็นเรื่องแปลกเรื่องหนึ่ง
อันดับสองในวังเช่นจางจิง วันที่ 15 เดือนเจ็ดตอนบ่ายก็บอกว่าสุขภาพอ่อนแอ ไม่อาจรับใช้สำนักส่วนพระองค์ได้แล้ว ขอไปหนานจิงหรือไม่ก็สุสานที่เฟิ่งหยางแทน ฮ่องเต้ว่านลี่มีพระราชานุญาตทันที
อันดับสามในวังเช่นจางหง วันที่ 16 เดือนเจ็ด เช้ามาก็ขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ว่านลี่ ที่ต้องการทูลก็คือฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ควรแต่งตั้งองค์ชายรองเป็นรัชทายาท ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่ให้เข้าเฝ้า จางหงยื่นจดหมายตนเองไป จากนั้นก็กลับไปยังที่พัก แล้วมีจดหมายอีกฉบับให้จางเฉิง
จดหมายบอกว่าตนเองไม่อาจทนเห็นการฝ่าฝืนจารีตทำลายหลักการเช่นนี้ได้ จึงขออดอาหารตายแทน อ่านจดหมายนี้แล้ว จางเฉิงถอนหายใจ กลับไม่ส่งคนไปเตือน กล่าวเพียงว่า
“น่าเสียดายๆ”
พอจางจิงจากไป ตำแหน่งเดิมก็มอบให้จางเฉิงควบรวมไป จะว่าไปยามนี้จางเฉิงเรียกได้ว่าเหมือนกับเฝิงเป่าในตอนนั้นมาก ล้วนควบตำแหน่งหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์และหัวหน้าสำนักบูรพา ทว่าจะว่าไปก็ไม่ต่างกันนัก นายกองพันเซวียจานเยี่ยสำนักบูรพาเดิมเป็นคนสนิทจางเฉิง ไม่เช่นนั้นเมืองหลวงวุ่นวายมานานหลายเดือน แต่ไม่เกิดเรื่องอันใดมากมายเท่าไร ครั้งนี้จึงได้ครองตำแหน่งไปอย่างไม่มีผู้ใดค้าน
ตำแหน่งจางหงที่ว่างลงก็ให้เถียนอี้แห่งสำนักส่วนพระองค์เข้าแทน ในวังที่ความคิดและท่าทางเหมือนบัณฑิตที่สุด หนึ่งคือจางหง สองคือเถียนอี้ ครั้งนี้จางหงแสดงออกชัดเจนไม่ยอมอ่อนข้อ แต่เถียนอี้กลับเงียบไม่พูดอันใด ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ได้รับแต่งตั้ง
แต่ผลเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็รู้สึกเหนือความคาดหมาย เดิมทุกคนคิดว่า ตำแหน่งจางจิงกับจางหงที่ว่างลง ย่อมมีตำแหน่งหนึ่งเป็นของโจวอี้ คิดไม่ถึงว่าโจวอี้ยังคงตำแหน่งเดิม
***************
ในการออกว่าราชการหน้าพระที่นั่งเกิดเรื่องใหญ่เช่นนั้น ขุนนางทุกคนล้วนหวาดระแวงกันมาก หลายเดือนนี้ เรื่องแต่งตั้งโอรสองค์โตเป็นรัชทายาทนั้น คนที่ไม่ได้ร่วมยื่นฎีกาล้วนได้เลื่อนตำแหน่ง เมื่อวานมีเรื่องกันดุเดือด พวกที่ร่วมขบวนการล้วนรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก
แม้ว่าทั้งหมดมีเพียงสองคนที่โดนลงมือ ก็คือสองคนที่ไม่เคารพฮ่องเต้ต่อหน้าพระพักตร์จึงถูกจับเข้าคุก คนที่เหลือได้กลับบ้านปกติ แต่สถานการณ์พลิกผัน ทำให้ทุกคนไม่อาจวางใจได้ รอคอยว่าจะถูกจัดการอย่างไรต่อไป
ทว่าในวังก็ไม่ได้มีข่าวว่าจะจัดการหรือลงโทษอย่างไรออกมา พอขุนนางกลับถึงจวนก็มีคนคิดส่งข่าวไปมาระหว่างกัน แต่ท้องถนนยามนี้คุมเข้ม มีหลายคนที่ออกไปนอกบ้านถูกจับกุมทันที คนที่เหลือก็ไร้ความกล้าที่จะติดต่อกัน
ตอนกลับถึงบ้านพวกเขาจึงได้รู้ว่า ตอนขุนนางเข้าประชุมนั้น พวกองครักษ์เสื้อแพรจากหน่วยงานต่างๆ ก็เข้าเมืองมา ควบคุมเส้นทางเดินทางไปยังแต่ละประตูเมือง
จวนอู่ชิงโหวกับกรมทหารถูกทหารองครักษ์เสื้อแพรล้อมไว้หมด เข้าออกไม่ได้ ที่จริงแล้วอาจกล่าวได้ว่าพวกในเมืองหลวงที่สามารถเคลื่อนกำลังทั้งพวกชนชั้นสูงและหน่วยงานทางการทั้งหมดล้วนถูกองครักษ์เสื้อแพรเฝ้าคุมไว้หมดแล้ว
ขันทีถ่ายทอดราชโองการก่อนการประชุมขุนนางก็ไปยังกองกำลังสังกัดวังหลวงและกองกำลังเมืองหลวง ราชโองการชัดเจนว่า ให้แต่ละหน่วยงานห้ามเคลื่อนไหว ไม่มีราชโองการฮ่องเต้ หากเคลื่อนกำลังพลการถือว่าคิดกบฏ ผู้ใดก็สามารถจับตัวหัวได้ก่อนกราบทูล
พอจัดการทหารทุกหน่วยให้นิ่งได้แล้ว ขันทีที่ไปยังกองกำลังเมืองหลวงยังประกาศราชโองการให้นำกำลัง 3,000 นายเข้าป้องกัน กำลัง 3,000 นายนี้เป็นกำลังที่ฮ่องเต้ว่านลี่สั่งการได้ หัวหน้าหน่วยเหล่านี้ล้วนเป็นทหารที่ฝึกมาจากลานฝึกหู่เวย
สำนักองครักษ์เสื้อแพรและกองกำลังเมืองหลวง 3,000 นาย สามารถคุมที่สำคัญต่างๆ ในเมืองหลวงไว้ได้หมด ถนนหนทางก็จัดการควบคุมเข้มงวด ทางกองกำลังสังกัดวังหลวง คนที่ไปประกาศราชโองการก็คือโจวอี้แห่งสำนักอาชาหลวง หากไม่กล่าวถึงว่าโจวอี้เองเป็นหัวหน้าหน่วยงานในสำนักอาชาหลวง กองกำลังสังกัดวังหลวง เพียงแค่ราชโองการก็ไม่อาจต่อต้านแล้ว ฮ่องเต้มีราชโองการให้กองกำลังสังกัดวังหลวงแต่ละหน่วยอย่าเคลื่อนกำลังพลการ ผู้ใดคิดยังคิดเคลื่อนไหว แท้จริงแล้วต้องการอะไรกันแน่
ไม่ว่าที่ไปกองกำลังเมืองหลวง หรือกองกำลังสังกัดวังหลวง ขันทีถ่ายทอดราชโองการไม่ทำเหมือนปกติ หากพวกเขาให้ขุนนางบู๊ที่ไปถ่ายทอดราชโองการนำทหารติดตามมาก่อนจะประกาศ
กองกำลังทุกคนรู้ความในราชโองการ รู้ว่าฮ่องเต้ไม่ให้เคลื่อนกำลัง ยุ่งยากมากไปเรื่องหนึ่ง ไม่สู้ยุ่งยากน้อยลงเรื่องหนึ่ง ทุกคนไยไม่รู้สึกมีความสุขกับการได้อยู่เฉย ๆ เล่า หากยังมีคนคิดกวนน้ำให้ขุ่นเพื่อจับปลาแล้วล่ะก็ พวกทหารก็จะไม่ตามกระแสไปด้วย เพราะหากมีเรื่อง หัวหน้าอาจถูกลงดาบก็เป็นได้
ตอนกลางวันประตูเมืองหลวงก็ปิดแล้ว ทุกอย่างในเมืองล้วนอยู่ในการควบคุม
ที่จริงแล้วพวกหยางเหว่ยเหล่านี้ที่มาสู่ตำแหน่งสูงกัน คนในจวนของพวกเขาเองก็ว่องไวไม่น้อย กระแสหลายเดือนนี้พวกเขาก็รู้ดี มองออกว่าอยู่ๆ องครักษ์เสื้อแพรออกมาเข้มงวดกวดขัน ปิดเส้นทางติดต่อ ก็รู้แล้วว่าไม่ปกติ คิดจะรีบคาบข่าวไปบอกนายตนที่เข้าวังไป รวมถึงพวกสายข่าวนอกเมืองก็เช่นกัน
แต่พวกเขาคิดได้ หวังทงก็คิดเตรียมการไว้ก่อนแล้ว เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนกับองครักษ์เสื้อแพรเป็นพวกรู้พื้นที่ จึงนำกำลังปิดไว้ได้หมด คิดออกจากจวนก็ไม่มีทางให้ไปต่อได้ ถึงกับมีคนที่เลี้ยงไว้นอกจวนคิดไปแจ้งข่าว ก็ถูกคนจับตัวส่งกลับมา ควรรู้ว่าจวนนอกของขุนนางเหล่านี้ ใช่ว่าคนในจวนจะรู้ว่าอยู่ที่ใด
พวกที่ถูกอาวุธข่มขู่ในที่การประชุมหน้าพระที่นั่งต่างตกใจกับการจัดการเช่นนี้ พากันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สงบสติ ฮ่องเต้ว่านลี่กับหวังทงขุดหลุมดักทุกคนไว้หรอกหรือนี่? คิดถึงหลายเดือนที่ผ่านมายื่นฎีกาแต่งตั้งโอรสองค์โตเป็นรัชทายาทดุเดือดกันมา รังเกียจว่าตนเองอายุยืนหรืออย่างไรกัน พระองค์เป็นฮ่องเต้ยังขับไล่พระมารดาออกจากวังได้ ยังจะสนใจขุนนางเช่นพวกเขาอีกหรือ
นอกจากพวกหยางเหว่ย คนอื่นๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจ หากไม่ใช่พวกเจ้าก่อเรื่อง จะดึงทุกคนลงโคลนไปด้วยได้อย่างไรกัน จะว่าไป เรื่องนั้นแม้สำเร็จลง หรือว่าทุกคนจะได้ประโยชน์อันใดไปด้วย คิดถึงขุนนางกรมพิธีการผู้นั้นที่ด่าทอเสียงดัง ขุนนางส่วนใหญ่ก็ออกมาเริ่มเขียนฎีกาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ด้านหนึ่งก็ด่าทอพวกหยางเหว่ยว่าเป็นขุนนางชั่ว คิดการไม่ซื่อ อีกด้านหนึ่งก็สลัดทิ้งความสัมพันธ์ ประเด็นสำคัญก็คือต้องทูลว่าองค์ชายรองจูฉางสวินปรีชาสามารถ มีพระสติปัญญาแต่กำเนิด ควรได้เป็นผู้สืบทอด แท้จริงแล้วเด็กน้อยอายุไม่ครบเดือนดี อย่างไรก็ดูไม่ออกว่าเก่งกาจเช่นไร
ตอนแรกการแต่งตั้งรัชทายาทเรื่องนี้คิดว่ายืนถูกข้างแล้ว แต่ตอนนี้ต้องเร่งออกมาแสดงจุดยืนให้เร็ว ทุกคนไม่กล้ารอช้า
วันที่ 15 เดือนเจ็ด หลังวุ่นวายกันมานาน วันที่ 16 เดือนเจ็ดทุกคนก็หายใจหายคอไม่คล่องกัน แต่ในวังก็ไม่ได้มีความอะไรชัดเจนออกมา ควรไปประชุมก็ไปประชุม ควรไปทำงานก็ไปทำงาน ไม่เช่นนั้น ไม่มีอะไรให้จับผิดก็ถูกคนจับผิดเอาได้เช่นกัน วันนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ออกว่าราชการ หรือว่าทรงประทับในตำหนักกำลังคิดว่าจะจัดการทุกคนอย่างไรดี ทุกคนคิดเช่นนี้ แต่เท้าก็เดินหน้าต่อไป รีบไปกรมฎีกายื่นฎีกาสำคัญกว่า
พอตกบ่าย ก็มีข่าวมาว่า กองกำลังหู่เวยเคลื่อนมาตั้งห่างจากเมืองหลวงห้าลี้ แปลกมาก ทุกคนได้ข่าวนี้ก็แปลกใจ กองกำลังหู่เวยประจำเทียนจินไม่เคลื่อนกำลังไม่ใช่หรือ มาได้อย่างไรกัน ข่าวอธิบายว่า กองกำลังหู่เวยนั่งเรือปลอมตัวเป็นขบวนพ่อค้ามาจากเทียนจิน มาถึงทงโจวค่อยเปลี่ยนชุด
เทียนจินใกล้กับเมืองหลวงไม่ว่า เรือยังบรรทุกได้มาก อาวุธปืนไฟก็ขนมาครบ ทงโจวห่างจากเมืองหลวง 20 ลี้ กองกำลังหู่เวยมาถึง ก็เท่ากับประจำอยู่ข้างเมืองหลวงแล้ว
พอได้ข่าวนี้ ในใจทุกคนที่ยังมีหวังสุดท้ายก็สิ้นหวังทันที กองกำลังหู่เวยเป็นกองกำลังที่เข้มแข็งอันดับหนึ่งในละแวกเมืองหลวงนี้ กองกำลังเมืองหลวงที่เหมือนกระสอบหญ้าพวกนั้นจะรับมือได้อย่างไรกัน สถานการณ์เป็นที่แน่นอนแล้ว
ทุกคนเมืองหลวงพากันอุทานตกใจ ช่างเป็นแผนที่แยบยล แม้ว่าเมื่อวานในที่ประชุมขุนนางเกิดจลาจล องครักษ์เสื้อแพรก็สามารถปิดประตูเมือง ยืนหยัดไปได้วันหนึ่ง กองกำลังหู่เวยก็จะบุกเข้ามาช่วยได้ ถึงตอนนั้นผู้ใดกล้าก่อความวุ่นวายอีก
ตอนที่ 907 กระจ่างพ้นภัย
โดย
Ink Stone_Fantasy
วันที่ 17 เดือนเจ็ดปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 13 ฮ่องเต้ว่านลี่มีราชโองการให้สำนักตรวจสอบ ศาลอาญาใหญ่ร่วมกับกรมอาญา สามหน่วยงานร่วมกันสอบนายกองสำนักตรวจสอบเหยาฟู่
เหยาฟู่วันนั้นยื่นฎีกา นับว่าเป็นคนแรกในใต้หล้าที่ออกมากล่าวชัดเจนเรื่องแต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาท กล้าเป็นคนแรกของใต้หล้า กระพือกระแสให้บรรดาขุนนางบัณฑิตชิงหลิวทยอยออกมาดาหน้ายื่นฎีกาตาม ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ออกว่าราชการถึงสามเดือน ไม่กล้าเคลื่อนกำลัง สถานการณ์ยังเกี่ยวพันไปถึงไทเฮาฉือเซิ่งด้วย
มาถึงสุดท้าย ฮ่องเต้ว่านลี่แอบสั่งการให้หวังทงเข้าเมือง ใช้ทหารองครักษ์เสื้อแพรกับคนศาลซุ่นเทียนและคนที่ไว้ใจได้ในกองกำลังสังกัดวังหลวงกับกองกำลังเมืองหลวงเข้าควบคุมสถานการณ์
วันที่ 15 เดือนเจ็ด ให้ขุนนางราชสำนักกลับจวนตนเองไป นอกจากเขาและอู๋จั้วไหลสองคนแล้ว ไม่มีผู้ใดต้องโทษอีก ไม่มีผู้ใดถูกจำคุกอีก กองกำลังสังกัดวังหลวงและกองกำลังเมืองหลวงก็มีราชโองการไปปลอบขวัญ ไม่มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งอันใด
พอวันที่ 16 เดือนเจ็ด กองกำลังหู่เวยมาถึงเมืองหลวง นอกเมืองที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อีกก็ถูกฮ่องเต้กับหวังทงสกัดไว้หมด เริ่มเก็บกวาดแล้ว
ขุนนางบัณฑิตที่ถูกปล่อยปละมานาน อยู่สำนักตรวจสอบเกือบสิบปี ไม่เคยทำเรื่องที่น่าตกใจใด ฎีกากลับทำให้เกิดกระแสใหญ่ เหตุใดจึงกล้าออกความเห็นเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทอันเป็นเรื่องใหญ่ของแผ่นดิน และยังเหิมเกริมเพียงนั้น เหตุใดพอคนที่ไม่มีอนาคตในวงการขุนนางออกมายื่นฎีกาเสร็จ ขุนนางใหญ่ในราชสำนักและขุนนางท้องที่ต่างๆ ก็พากันออกมายื่นฎีกาประสานเสียงรับ
ที่จริงแล้วการประชุมในวันนั้น ทุกคนรู้ดีว่าหลังม่านคือผู้ใด ที่จริงแล้วไม่ต้องมามีเรื่องกันหน้าพระที่นั่งให้เหนื่อย ทุกคนก็รู้นานแล้วว่าเบื้องหลังม่านคือผู้ใดบงการ
แต่รู้ก็ส่วนรู้ ขั้นตอนก็ส่วนขั้นตอน จะต้องใช้วิธีการที่ถูกต้องตามขั้นตอนเป็นลำดับไป ให้ใต้หล้ารู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?
เป็นเพราะเรื่องลำดับอาวุโสในครอบครัว หรือเพราะยืนหยัดในหลักจารีตคุณธรรม หรือเพราะแย่งชิงผลประโยชน์อำนาจ หรือว่าอยากได้ตำแหน่งที่สูงยิ่งขึ้น อยากได้อำนาจที่มากยิ่งขึ้นกันแน่
สามหน่วยงานร่วมสอบ สำนักส่วนพระองค์ส่งขันทีมาร่วมฟัง เรื่องใหญ่เช่นนี้เหมือนว่าแผ่นดินหมิงไม่เกิดมาหลายปีแล้ว และเป็นถึงเจ้าหน้าที่กรมตรวจสอบโดนสอบเอง ก็ยิ่งน้อยมาก
ไม่รู้เมื่อไรที่ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิดได้กลายเป็นธรรมเนียมแผ่นดินหมิงไป หากกล่าวว่ากล่าวผิดยื่นฎีกาผิดก็ถูกลงโทษ เช่นนั้นคนข้างหลังย่อมกลัวความผิดไม่กล้าออกหน้าตักเตือน ก็จะเป็นการปิดทางไป ทำให้การเมืองการปกครองมืดมน หลักการนี้จึงได้กลายเป็นหลักการประจำไป ขุนนางบัณฑิตมากมายเท่าไรที่ต้องการสร้างชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้า ตั้งใจกล่าววาจารุนแรง ใส่ร้ายป้ายสีขุนนางอื่นว่าเป็นขุนนางชั่ว ถึงกับลงมือกับฮ่องเต้อีก โทษหนักสุดของพวกเขาก็คือโทษโบยและเนรเทศ
โทษโบยและเนรเทศแม้ว่าโหดร้าย แต่ก็ไม่ถึงชีวิต แต่ยังกลับทำให้ยิ่งเป็นตราประทับแห่งเกียรติยศ หลายคนที่เป็นคนระดับไม่เท่าไร ถึงกับพอถูกโทษโบยก็ได้กลายเป็นคนมีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในใต้หล้าไปในทันที หากกลับไปบ้านเกิดก็ย่อมได้รับการยกย่อง หากยังอยู่วงการขุนนางต่อ ก็ย่อมค่อยๆ ก้าวขึ้นตำแหน่งไปเรื่อยๆ เนรเทศเองก็เช่นกัน ขอเพียงมีโอกาสได้กลับมาอีกครั้ง ก็ย่อมชื่อเสียงโด่งดังหลายเท่า ทุกคนต้องมองอย่างอิจฉา
ฮ่องเต้มีพระราชอำนาจก็มีไป ทำอะไรไม่ได้ ขุนนางต่างรู้หลักการนี้ดี ดังนั้นขุนนางบุ๋นจึงได้มีท่าทีเช่นนี้ ปล่อยพวกเขาพูดไป ถือเสียว่าเสียงนกเสียงกา
แต่เพราะทรงมีท่าทีเช่นนี้ ทำให้ขุนนางบัณฑิตไม่เกรงกลัวยิ่งขึ้น ทำให้คนที่คิดการไม่ซื่อใช้เป็นวิธีการลงมือหาผลประโยชน์ส่วนตน
ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม วันนั้นถึงตอนนี้ กองกำลังหน้าพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินได้บอกอะไรได้กระจ่างแล้ว นอกเมืองยังมีกองกำลังหู่เวยมาเป็นประจักษ์พยาน หวังทงไม่เคยรับรู้เรื่องขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิดด้วยเลย
รองเจ้ากรมตรวจสอบฝ่ายซ้ายเจ้าจิ่นลาป่วย ฝ่ายขวาก็ลาป่วย แต่กลับถูกขันทีมีราชโองการไปถึงจวน คดีนี้เสนาบดีกรมอาญายังลดตัวลงไปสอบสวนด้วย แล้วสำนักตรวจสอบมีหน้าที่สอบสวนไม่จัดการ ไม่เท่ากับว่าตบหน้าตนเองหรือ? จึงไม่อาจไม่ไปจัดการ
วุ่นวายกันมานานเช่นนี้ แม้แต่เด็กและคนแก่ในเมืองหลวงยังรู้ว่าตอนนี้กำลังจะจบเรื่อง และยังมีสามหน่วยสอบสวน ความวุ่นวายนี้มีหลายคนคิดไปมุงดูกัน
ศาลอาญากันทุกคนไว้ไม่ให้เข้าไป แต่พวกอยากรู้ก็อดไม่ได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ศาลอาญาใหญ่หลายวันนี้จึงได้ผลประโยชน์ไปไม่น้อย คอยส่งข่าวการสอบสวนให้ทุกคน
ว่ากันว่าคณะงิ้วในเมืองคึกคักสุด คดีนี้หากมาปรับเป็นบทงิ้วก็ย่อมขายได้ดีแน่นอน
กระบวนการสอบสวนไม่ได้มีเรื่องราวน่าตื่นเต้นนัก ปกติขันทีสำนักส่วนพระองค์มาร่วมฟังเงียบๆ และมีขันทีน้อยมาคอยบันทึกความข้างๆ แต่ครั้งนี้นอกจากคนบันทึกความแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่กองอาญาสำนักบูรพามาด้วย ไม่ได้หมายความว่า แค่เอาเครื่องลงอาญาสำนักบูรพามาวางให้ดูเล่นๆ
ของพวกนี้เป็นเครื่องมือลอกหนังเลาะกระดูก รอยคราบเลือดด้านบนเป็นสีดำ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายน่ากลัว ขันทีอธิบายว่า
“ครั้งนี้ไม่ต้องโบยให้สารภาพ หากไม่พูด ก็ให้เขาได้ลิ้มลองวิธีการสำนักบูรพาดู”
วาจากล่าวเรียบๆ แต่ขุนนางที่ได้ยินกลับอดหนาวไม่ได้ กงกงท่านนี้กล่าวชัดเจนแล้ว แสดงท่าทีไม่ยี่หระ คิดว่าในวังคงสั่งการมาแล้ว
หลายคนล้วนคิดว่า ขุนนางบัณฑิตที่กล้าออกหน้าเพื่อใต้หล้า ย่อมมีความทระนงในศักดิ์ศรีบ้าง คนเช่นนี้เข้าคุกยังไม่กลัว ไม่ต้องพูดถึงลงทัณฑ์
แต่พอเหยาฟู่ถูกนำตัวออกมา ท่าทีที่ได้เห็นทำให้ทุกคนแปลกใจ ศาลอาญาใหญ่เริ่มสอบสวน ยังไม่ทันรอให้ขันทีเอ่ยถึงเครื่องลงทัณฑ์ ขุนนางบัณฑิตที่เป็นความหวังของทุกคนก็พรั่งพรูออกมาหมดสิ้น
“ทุกท่านใต้เท้า ข้าน้อยถูกใส่ร้าย ข้าน้อยยื่นฎีกาก็เพราะถูกข่มขู่ ตอนนั้นมีคนใช้ชีวิตภรรยาและลูกข้าน้อยมาข่มขู่ บอกว่าหากข้าน้อยไม่ยื่นฎีกา ภรรยาและลูกข้าน้อยก็จะสิ้นชีวิต ข้าน้อยกับภรรยาและลูกรักกันมาก ถูกบีบบังคับจึงต้องทำเช่นนั้นจริงๆ!!”
กล่าวจบ โถงสอบสวนก็มีแต่คนสบตากัน ทุกคนคิดไม่ถึงว่าเหยาฟู่จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ และเพราะเช่นนี้ ขุนนางสอบสวนจากกรมอาญากับสำนักตรวจสอบก็อึ้งไป ปล่อยให้เหยาฟู่พูดเองเออเองต่อไป
“เรื่องของฝ่าบาท ไหนเลยจะมีที่ให้คนนอกเข้าแทรกแซงได้ ข้าน้อยยื่นฎีกาเป็นความผิดล่วงเกินเบื้องสูง ได้แต่สำนึกเสียใจที่ได้ทำลงไป คิดจะปลิดชีวิตตนเองในคุก แต่ก็คิดได้ว่าหากข้าน้อยไม่กล่าวความจริงออกมา ใช่ว่าทำให้ฝ่าบาทต้องแบกรับความอยุติธรรมนี้ไปหรอกหรือ เช่นนั้นแม้ตายไปก็ใช้ความผิดไม่ได้ ข้าน้อยจึงได้ยอมทนมีชีวิตมาถึงวันนี้”
คณะสอบสวนล้วนสีหน้าเคร่งเครียด ตามที่พวกเขาคิด เหยาฟู่คงไม่ใช่ยอมทนมีชีวิตมาแน่ ในโถงสอบสวน ขันทีข้างๆ จ้องมองเขม็ง จึงได้แต่หน้าตาบึ้งตึงถามขึ้น
“เหยาฟู่ เจ้าไม่ต้องปัดสวะเช่นนี้ ในเมื่อเจ้าบอกว่ามีคนบงการให้ทำ แท้จริงแล้วเป็นการกระทำของผู้ใด!?”
“อู๋จั้วไหลแห่งสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน เขาให้เงินก้อนโตแก่ข้าน้อย ให้ที่นาข้าน้อย และสุดท้ายยังจับตัวภรรยาและลูกข้าน้อยไปเป็นตัวประกันอีกด้วย”
ได้ยินเช่นนี้ คณะสอบสวนก็สบตากันไปมา กลับไม่มีผู้ใดคิดถามต่อ อู๋จั้วไหลสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนเป็นผู้ใดนั้นทุกคนล้วนรู้ดี ฮ่องเต้ว่านลี่ต้องการให้ขยายวงกว้างไปเช่นนี้จริงหรือ?
“อู๋จั้วไหลสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนเป็นขุนนางระดับ 6 ที่ไม่มีเงินทอง เขามีเงินมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร มีที่นามากมายได้อย่างไร บีบให้เจ้ายื่นฎีกาด้วยเหตุผลใด ตำแหน่งขุนนางเล็กๆ ของเขาคิดอย่างได้ประโยชน์ในเรื่องนี้ด้วยงั้นหรือ”
ขันทีที่ร่วมฟังถามขึ้น ได้ยินขันทีถามเช่นนี้ คณะสอบสวนก็เข้าใจกระจ่างทันทีว่าควรมีจุดยืนอย่างไร สีหน้าดำคล้ำก็ดำคล้ำกันไป แต่ยามนี้ต้องหนาวไปทั้งตัว ดูท่าแล้วฮ่องเต้เตรียมจัดใหญ่ ต้องการกวาดล้างใหญ่
ทว่าพวกเขาเองก็แปลกใจ เหยาฟู่ตอนแรกกล้ายื่นฎีกา หากไม่มีความกล้าย่อมไม่ได้ เหตุใดตอนนี้กลับพูดออกมาหมด
“นั่นเพราะ…….อู๋จั้วไหลบอกว่าเป็นความคิดของอาจารย์ อาจารย์อู๋จั้วไหลคิดว่ากงกงและใต้เท้าทุกท่านคงรู้ ก็คือเสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ย ใต้เท้าหยาง อู๋จั้วไหลข่มขู่ข้าน้อยว่าใต้เท้าหยางต้องการเช่นนี้ หากข้าน้อยไม่ทำตาม ก็จะทำให้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีก ข้าน้อยเป็นนายกองเล็กๆ ในสำนักตรวจสอบ จะไปกล้าต่อกรกับเสนาบดียิ่งใหญ่ได้อย่างไร จึงได้แต่ต้องทำตาม!“
“ขุนนางระดับเจ็ด ไปต่อกรกับขุนนางระดับสองเช่นเสนาบดีนี้ ไม่ได้จริงๆ คนผู้นี้ช่างน่าสงสารอยู่หลายส่วน!”
น้ำตาเหยาฟู่ไหลอาบยามกล่าวจบ ขันทีกล่าวอย่างเห็นใจเต็มเปี่ยม ทุกคนในห้องสอบสวนต่างไร้วาจา หรือว่าหลายเดือนที่ต่อสู้กันมาดุเดือดเป็นกระแสนี้จะเป็นเพราะมีคนวางแผนล่อให้ทุกคนติดกับงั้นหรือ ยังมีอันใดให้ต้องกล่าวอีก
**************
เหยาฟู่ตอนถูกสอบสวนไม่ได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวยืนหยัดหลักการใด เขาเล่าเรื่องที่คุยกับอู๋จั้วไหลตอนแรกออกไปจนหมดสิ้น
ทว่าการยอมรับนี้มีมาแต่ในคุก พอในวังได้ข่าวนี้ ก็ไม่ลังเลนาน จัดการให้เหยาฟู่ได้มาสารภาพต่อหน้าสามหน่วยงานสอบสวนนี้ เพื่อให้เรื่องนี้ได้แพร่ออกไปในวงกว้าง
ในเมื่อเหยาฟู่ออกมาซัดทอดอู๋จั้วไหล ก็ได้แต่ตามจับตัวอู๋จั้วไหลและเสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยมาเข้าคุกสอบสวน ถูกใส่ความจนดำหมดสิ้น
มาถึงขั้นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่กับหวังทงก็พบว่าประเมินกำลังขุนนางบุ๋นต่ำไป ทหารองครักษ์เสื้อแพรไปที่จวนอู๋จั้วไหล พบว่าเขาดื่มยาพิษปลิดชีวิตตนเองแล้ว
ตอนพบอู๋จั้วไหล สีหน้าดำเขียวไปนานแล้ว แต่คนในจวนอู๋จั้วไหลกลับบ้านเกิดกันไปนานแล้ว ไม่อาจสอบถามความใดเพิ่มเติมได้อีก
องครักษ์เสื้อแพรกับเจ้าหน้าที่กรมอาญาที่ไปพิสูจน์ศพกลับมารายงานว่าดื่มยาพิษจริง แต่ดื่มเองหรือถูกคนบีบให้ดื่มนั้นก็ไม่แน่ชัด แม้ว่าร่องรอยต่างๆ ในจวนอู๋จั้วไหลจะชี้ไปว่าอู๋จั้วไหลดื่มยาพิษเอง แต่สถานการณ์ตอนนี้ การถูกวางยาน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า
คนก็ตายไปคน ทุกเรื่องก็ควรจบ เหยาฟู่ซัดทอดได้เพียงอู๋จั้วไหล เป็นหยางเหว่ยบงการหรือไม่ อู๋จั้วไหลก็ตายไปแล้ว ไม่อาจกล่าวอันใดได้แล้ว
พอจบเรื่องนี้ เสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยก็ตำหนิตนเองว่าสั่งสอนศิษย์ไม่ดี บอกว่าตนเองมีหน้าเป็นเสนาบดีกรมปกครองต่อ ขอลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิด เช่นนี้แม้ว่าสูญเสียอำนาจ แต่ก็จะไม่มีความผิดมาถึงตัวอีก
ตอนที่ 908 สามฝ่ายสมดุล มั่นคงที่สุด
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองหลวงทุกคนรู้ดีว่าหยางเหว่ยบงการศิษย์ตนอู๋จั้วไหลออกหน้าไปจัดการสร้างกระแส และหยางเหว่ยยังลงแรงในเรื่องนี้ไม่น้อย แต่ทุกเรื่องต้องมีคนประสานงาน ล้วนเป็นอู๋จั้วไหลออกหน้า แม้แต่พวกที่ติดตามอู๋จั้วไหลแต่ต้น ก็ล้วนเป็นอู๋จั้วไหลออกหน้าไปติดต่อมาเอง
หยางเหว่ยร่วมกับเรื่องนี้จริง แต่ก็เพราะตระหนักในเรื่องลำดับอาวุโสอันเป็นหลักจารีต ยังมีพวกขุนนางส่วนใหญ่ที่เห็นด้วยยื่นฎีกา เป็นเรื่องของมวลชน มีความผิด แต่มิใช่ความผิดใหญ่
ส่วนอู๋จั้วไหลเป็นหยางเหว่ยบงการหรือไม่ คนก็ตายไปแล้ว ไม่มีหลักฐานสาวมาถึงอีก เสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยยื่นฎีกาว่าสั่งสอนศิษย์ไม่ดี ความจริงในสถานการณ์นี้ก็คงได้แต่กล่าวเป็นความผิดบนความผิดไปก็เท่านั้น
เสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยยื่นฎีกาลาออก ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่คิดรั้งไว้ ที่จริงแล้ว ดูเหมือนว่าจะเกิดเหตุกวาดล้างใหญ่ แต่หยางเหว่ยรอดตัวไปแล้ว เช่นนี้จึงทำให้ขุนนางส่วนใหญ่ไม่ต้องหนักใจมาก
เป็นอู๋จั้วไหลที่คิดว่าเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทสามารถอ้างเป็นเหตุลงมือได้ ขอเพียงสร้างกระแสได้ ก็สามารถทำให้ตนเองได้อำนาจมากขึ้น ให้อาจารย์ตนเองได้ก้าวขึ้นไปอีกขั้น อำนาจวาสนาย่อมมากมายไม่อาจกล่าวได้หมด ก็เพราะใจทะเยอทะยาน จึงไปติดต่อเหยาฟู่มายื่นฎีกา จึงได้เริ่มประสานงานรอบทิศ เริ่มเคลื่อนไหวขึ้น
หากมีความผิด ทุกคนก็ไม่มีความผิดใด ทว่าเรื่องเช่นนี้ แต่ประวัติศาสตร์มาทุกคนก็เข้าร่วม ในเมื่อมีคนนำ ทุกคนก็ย่อมตาม คิดไม่ถึงว่า จะตกหลุมพลางขุนนางชั่ว ทำให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ไปได้
************
“เรารู้ว่าหยางเหว่ยเป็นคนบงการ ใต้หล้าก็รู้เช่นกัน แต่ต้องปล่อยลอยนวลไปเช่นนี้ คนผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยม คิดวิธีการลงมือได้ไม่เลวเหมือนกัน!”
วันที่ 18 เดือนเจ็ด หยางเหว่ยยื่นฎีกาลาออก ฮ่องเต้ว่านลี่มีพระราชานุญาต พอกลับตำหนัก ก็ระบายกับพระสนมเอกเจิ้ง พระสนมเอกเจิ้งตอนนี้ไม่ได้หวาดกลัวเหมือนเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมาแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนแล้วก็ฉายบารมีมากอยู่หลายส่วน ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเช่นนี้ ก็คิดก่อนทูลว่า
“ตามความเห็นหม่อมฉัน อู๋จั้วไหลดื่มยาพิษน่ามีอะไรแอบแฝงจริงๆ”
“ไม่แค่มีแอบแฝง พออู๋จั้วไหลตาย ไม่รู้ขุนนางในราชสำนักมากมายเท่าไรความผิดใหญ่กลายเป็นความผิดเล็กทันที ถึงกับไร้ความผิดไปก็มี แม้ว่าเขาไม่อยากตายก็ต้องตาย เพียงแค่วันนี้หลายคนในสำนักส่วนพระองค์กับคณะเสนาบดีใหญ่เอาแต่เตือนเรา บอกว่าเรื่องนี้อย่าทำให้ใหญ่โต หัวหน้าคนต้นเรื่องลาออกไปแล้วก็พอ ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดความวุ่นวาย”
“แล้วฝ่าบาททรงคิดเช่นไรเพคะ?”
“เรารับไม่ได้ ทว่าที่พวกเขาพูดมาก็จริง เราต้องอาศัยพวกเขาปกครองราษฎร ยังต้องอาศัยพวกเขาเก็บภาษี หากไม่มีพวกเขาแล้ว เกรงว่าคนอื่นคงก่อเภทภัยใหญ่กว่า”
ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งอยู่ข้างเตียงบรรทมในฉลองพระองค์สบายๆ ตรัสสัพเพเหระกับพระสนมเอกเจิ้ง ในห้องมีแค่สี่คน จูฉางสวินที่เริ่มเดินได้แล้วอยู่ข้างแม่นม กำลังคลานบนพื้นพรมหนา เดินได้สองสามก้าวก็ล้ม จากนั้นก็ลุกขึ้นมาเดินใหม่ เห็นฮ่องเต้ว่านลี่กับพระสนมเอกเจิ้งพากันแย้มสรวล
ทว่าความอบอุ่นในครอบครัวเช่นนี้ วาจาที่คุยกันกลับไม่ได้อบอุ่นตาม แต่ในสภาพแวดล้อมตอนนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ผ่อนคลายมาก ทรงตรัสขึ้นเหมือนเป็นการระบายความอัดอั้นในใจว่า
“พวกร่ำเรียนตำรา ปกติก็อ้างแต่จารีตคุณธรรมใหญ่ หากคิดทำอะไรจริง ก็ไม่ใจอ่อนแม้แต่น้อย เราหลายวันก่อนก็รับรู้ได้จากการถูกฎีกาพวกเขาโจมตีเอา พวกเขากะว่ากองกำลังเมืองหลวงและกองกำลังสังกัดวังหลวงไม่เคลื่อนไหว ขอเพียงเราสั่งให้เคลื่อนไม่ได้ ก็เท่ากับเรากับพวกเขาสู้กัน พวกเขาคนมากกว่า เราจะไปชนะได้อย่างไร ……ทว่าเห็นจุดจบของอู๋จั้วไหลแล้ว เราก็ยังรู้สึกหวาดกลัว หากขุนนางบุ๋นเคลื่อนกำลังมาได้จริง ผู้ใดจะกล้ารับรองว่าพวกเขาจะไม่กล้าลงมือก่อการใหญ่กัน”
หวังทงกลับถึงเมืองหลวงร่วมหารือแนวทางกับฮ่องเต้ว่านลี่ ก็ไม่ได้คาดหวังให้กองกำลังสังกัดวังหลวงและกองกำลังเมืองหลวง ตลอดจนกำลังทหารหน่วยต่างๆ ในเมืองออกหน้ามาจัดการควบคุมอันใด
ราชวงศ์หมิงสองร้อยกว่าปีมา กองกำลังเมืองหลวงค่อยๆ อยู่ในมือกรมทหาร ทำให้ขุนนางบุ๋นเข้าครอบงำได้ยิ่งมากขึ้น เดิมเป็นชนชั้นสูงคุมอำนาจก็ค่อยๆ ถูกขุนนางบุ๋นกับขันทีปลดอำนาจไป กองกำลังสังกัดวังหลวงแม้ว่าเป็นกำลังของราชวงศ์ แต่ฮ่องเต้ไม่ได้มีเวลามากไปดูแล คนดูแลหลักก็คือขันทีสำนักอาชาหลวง ขันทีกับขุนนางบุ๋น ในนอกประสานกำลัง ดูแล้วก็เป็นกลุ่มที่สมดุลอำนาจ เพื่อให้ฮ่องเต้ควบคุม แต่ประเด็นก็คือพวกขันทีกับขุนนางบุ๋นได้รับการศึกษาในแบบเดียวกันก็ทำให้เหมือนกัน พวกเขามักอาจร่วมมือกันได้ตลอดเวลา
มีพวกเขาค้ำอยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่อาจมั่นพระทัยเต็มที่กับกองกำลังสังกัดวังหลวงและกองกำลังเมืองหลวง แต่กลับเกรงว่าจะก่อการเสียมากกว่า เพราะถูกขันทีและขุนนางบุ๋นคุมมานาน จะให้บรรดาขุนพลทหารลงมือกับพวกเขา ก็ย่อมหลีกเลี่ยงความยุ่งยากไม่ได้ ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะแบ่งรับแบ่งสู้ ในห้วงเวลาสำคัญเช่นนี้ อาจทำให้เกิดกบฏได้
ดังนั้นหลังหวังทงกับฮ่องเต้ว่านลี่ร่วมวางแผน ก็มีราชโองการให้ทุกฝ่ายไม่เคลื่อนไหว รอให้จัดการพวกขุนนางบุ๋นและขันทีฝ่ายในบางคนได้ก่อน ให้พวกเขารอราชโองการค่อยออกมาเคลื่อนไหว
หลังวันที่ 15 เดือนเจ็ด ขุนนางราชสำนักยื่นฎีกาตำหนิตนเองไปพลางโจมตีกันเองไป พากันปัดสวะเรื่องวันนั้นไปให้คนอื่นเพื่อให้ตนเองพ้นผิด หากอาศัยจังหวะนี้จัดการอีกฝ่ายลงได้ก็ดี หรือาจทำให้ตนเองได้ตำแหน่งมาบ้างก็ดี
การโจมตีกันเองเช่นนี้ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงรู้ข่าวมากมาย เดิมขุนนางบุ๋นไม่ได้มีความมั่นใจว่าจะเคลื่อนกำลังได้ และก็ไม่คิดให้พวกทหารขุนนางบู๊ได้เข้าร่วมงานนี้ พวกเขาคิดเหมือนกันว่าให้พวกทหารไม่เคลื่อนไหว ไม่มีวิธีการรุนแรง ฮ่องเต้ว่านลี่ตัวคนเดียว จะจัดการคนหมู่มากได้อย่างไร ในวังก็กำลังอ่อนลงไปมากไม่อาจพึ่งพาได้ ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มขันทีที่หลายคนส่วนใหญ่ก็ค่อนมาทางพวกขุนนางบุ๋น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไทเฮาฉือเซิ่งที่ให้การสนับสนุนอีก
ฮ่องเต้ว่านลี่ยามตรัสเรื่องนี้ก็เคร่งเครียดมาก เพราะพระสนมเอกเจิ้งอยู่ จึงไม่ได้ระวังรับสั่ง เริ่มบ่นไม่หยุด
“เราจำได้ว่าตอนเด็กๆ เสด็จปู่ตรัสว่า เป็นนายไม่อาจปล่อยให้บ่าวเป็นใหญ่ผู้เดียว ดังนั้นเสด็จปู่จึงใช้งานเหยียนซงมาถึง 20 กว่าปี ต่อมายกสวีเจี้ยขึ้นมา ใช้งานสวีเจี้ย แต่ก็ยังให้กาวก่งกับจางจวีเจิ้งมีอำนาจด้วย และเสด็จปู่ยังคงใช้งานลู่ปิ่งมาตลอด มาถึงเสด็จพ่อ มีกาวก่ง แต่จางจวีเจิ้งกับเขาไม่ถูกกัน เหตุใดมาถึงเราเป็นฮ่องเต้ กลับไม่อาจสมดุลได้”
พระสนมเอกเจิ้งเข้าไปเปลี่ยนตำแหน่งหมอนให้ฮ่องเต้ว่านลี่ ให้ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ในท่วงท่าที่สบายขึ้น และยังโบกมือให้แม่นมออกไปก่อน บอกให้เอารัชทายาทออกไปด้วย
พอในห้องเหลือกันแค่สองพระองค์ ฮ่องเต้ว่านลี่มองเพดานถอนหายใจยาวตรัสว่า
“เฝิงเป่ากับจางจวีเจิ้งอำนาจมาก เราใช้จางเฉิงกับจางซื่อเหวย จางซื่อเหวยอำนาจมาก เราใช้เซินสือหัง ข้างกายเราก็มีหวังทง ตอนหวังทงมีความชอบมาก เราก็ต้องกำราบสักหน่อย แต่สถานการณ์ไยจึงเป็นเช่นนี้ เราจำได้ว่าตอนอยู่ลานฝึกหู่เวย มีคนกล่าวสำนวนว่า กดน้ำเต้าลงไป ฝักน้ำเต้าก็ลอยขึ้นอีกทาง เราทำอย่างไรก็ไม่อาจสมดุลไว้ได้ กดทางหนึ่ง อีกทางก็พองขึ้น มาข่มขู่เราได้อยู่ดี เรากำราบหวังทง ขุนนางบุ๋นก็พองตัวทันที ถึงกับทำเรื่องบัดซบกับเราในหลายเดือนมานี้ได้ เราเรียกหวังทงกลับมา แต่ก็กลัวว่าหวังทงจะพองอำนาจ ขุนนางบุ๋นอ่อนอำนาจลง ในวังก็ขยายอำนาจขึ้น มันช่าง…”
กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เงียบไม่ตรัสต่อ ทรงรู้สึกว่ากล่าวเช่นนี้ผิดกับหวังทง อย่า6งไรหวังทงก็มาช่วยพระองค์ทุกครั้งโดยไม่คิดถึงผลได้ผลเสีย พระองค์ยังระแวงเช่นนี้อีก
พระสนมเอกเจิ้งเงียบไปครู่หนึ่ง เขยิบเข้าใกล้กราบทูลว่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเข้าใจว่า ทรงคิดใช้งานหวังทง แต่ก็กลัวหวังทงจะเหมือนขุนนางบุ๋นพวกนั้น ลืมตนหรือเพคะ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์เงียบๆ พระสนมเอกเจิ้งค่อยๆ ตรัสต่อว่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นสตรี ไม่ค่อยรู้เรื่องการเมืองการแผ่นดิน แต่ตอนอยู่ในวังเคยอ่านตำราหลายเล่ม ก็ขอมีความคิดเห็นโง่เขลาดูเพคะ”
คุยกันส่วนตัวในห้องบรรทม ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่มากพิธี สองมือรองท้ายทอย มองพระสนมเอกเจิ้งตื่นเต้นกล่าวว่า
“สนมที่รักมีความคิดใน เล่าให้เราฟัง”
“ฝ่าบาท ตำราบอกว่าหลักการเป็นนายคุมเหนือสุด ให้สมดุลอำนาจบ่าวในปกครอง ฝ่าบาทกับอดีตฮ่องเต้และเสด็จปู่ฝ่าบาทก็ใช้วิธีนี้ บ้างก็ใช้ฝ่ายในกับฝ่ายนอก บ้างก็ใช้ฝ่ายนอกกับฝ่ายนอก ทว่าสองฝ่ายสมดุลกลับไม่มั่นคง มักมีอีกฝ่ายเหนืออีกฝ่าย ถึงตอนนั้นก็ไร้สมดุล แต่หากมีสามฝ่ายเล่า ให้พวกเขาคุมกันเอง แย่งกันเอง ผู้ใดคิดเป็นใหญ่ อีกสองฝ่ายก็ย่อมไม่นั่งมองเฉย สมดุลเช่นนี้ก็จะรักษาให้ยืนยาวไปได้นาน ฝ่าบาทก็ไม่ต้องทรงกังวลคอยจัดการ”
พระสนมเอกเจิ้งกล่าวถึงตรงนี้ กลับเห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ไร้รอยแย้มสรวล อึ้งมองพระนางอย่างตกใจ พระสนมเอกเจิ้งรีบก้มหน้าทูลว่า
“หม่อมฉันกล่าวมิบังควร……”
พระสนมเอกเจิ้งยังตรัสไม่ทันจบก็ถูกขัดขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับยืนขึ้นตบพระหัตถ์ดัง สีพระพักตร์ยินดียิ่งตรัสว่า
“กล่าวได้ถูกต้องๆ เรามักคิดแต่เรื่องว่าในนอกสมดุลอำนาจ แต่ในนอกนั้นหากไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งใหญ่ ก็สองฝ่ายร่วมมือกัน หากมีสามฝ่าย เช่นในวัง นอกวังและหวังทง ให้เขาสามฝ่ายสมดุลอำนาจกัน มีหวังทงอยู่ข้างกายเรา พวกเขาผู้ใดจะกล้าทำอันใดเรา มีฝ่ายในและฝ่ายนอก เราก็ไม่ต้องกลัวว่าหวังทงจะเป็นใหญ่ผู้เดียว โอย ก่อนหน้านี้เราทำไมเลอะเลือนไปได้ ทำให้เขาใจเสียไปไม่ว่า ยังทำให้เราเองต้องเจอกระแสคลื่นลมหนักเช่นนี้ได้”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถึงตรงนี้ก็เริ่มเดินวนไปมาในห้อง ตบหน้าผากตรัสว่า
“เสด็จปู่เราใช้ ฟู่เหยียน เหยียนซง และสวีเจี้ย เราเหตุใดจึงลืมไปว่าในวังยังมีหลี่ว์ฟางกับหวงจิ่นอีก นอกวังยังมีลู่ปิ่งหวังทงก็คือลู่ปิ่งของเรา”
กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็หัวเราะดังลั่น หันกลับไปอุ้มพระสนมเอกเจิ้ง กะทันหันยืนไม่มั่นคง สองพระองค์ล้มลงบนพรมหนา ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสว่า
“สนมที่รักเป็นภรรยาที่สามารถคอยหนุนหลังเราจริงๆ!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น