ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 902-903

ตอนที่ 902 ปีศาจค้างคาวโจมตี

 

“ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าไม่เข้าไปในค่ายกลรวมจิตวิญญาณฝึกปรือพลังหรือ?” จินเทียนชื่อเห็นเช่นนี้ ดวงตาก็ทอประกายเล็กน้อยแล้วเดินเข้ามาเอ่ยถามเรียบๆ


เวลานี้ผู้ที่ยังยืนอยู่ด้านนอกเหลือเพียงหลิ่วหมิง จินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อสามคน


“ศิษย์พี่จิน คิดว่าชักช้าอยู่ที่นี่ไม่เป็นอะไรจริงหรือ?” หลิ่วหมิงไม่ตอบคำถาม กลับย้อนถาม


“เจ้าก็เห็นแล้วว่าเพราะการสำรวจเศษซากของโลกบนเพิ่งเริ่มต้น แต่ละคนต่างมีความคิดของตนเอง หากฝืนดึงดันให้พวกเขาจากไป ในใจคงไม่พอใจอย่างยิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ตามใจพวกเขาชั่วคราวเถิด” สีหน้าเย็นชาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจินเทียนชื่อ แต่เขากลับเอ่ยออกมาอย่างนิ่งสงบ


หลิ่วหมิงพยักหน้าและไม่พูดมากอีก


ตอนนี้เองจินเทียนชื่อก็ขยับร่างวูบหนึ่งเหาะมาถึงกลางท้องฟ้า สะบัดมือครั้งเดียวเรียกแผ่นค่ายกลสีน้ำตาลทองแผ่นหนึ่งกับธงค่ายกลกองหนึ่งออกมา


เขาขยับแขนหนึ่งครั้ง ธงค่ายกลสิบกว่าผืนก็ลอยวนไปด้านนอกแล้วหมุนรอบร่างเขาอย่างเอื่อยเฉื่อย พร้อมกันนั้นเขาก็ท่องเคล็ดวิชา สองมือสะบัดไปมาอยู่หลายครั้ง


ธงค่ายกลทั้งหลายเรืองแสงสีน้ำตาลทองขึ้นมาในทันใด จากนั้นพุ่งไปสี่ด้านแปดทิศพร้อมกับเสียงแหวกอากาศดังฟึบ


ฟู่!


หลังจากธงค่ายกลสั่นไหวเล็กน้อยก็ทยอยพุ่งปักลงบนพื้นด้านนอกค่ายกลรวมจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว แสงสีเหลืองส่องสว่างออกมาก่อนจะเชื่อมต่อกันเป็นผืน ก่อตัวเป็นรูปวงรีล้อมค่ายกลรวมจิตวิญญาณทั้งหมดไว้ตรงกลาง หลังจากนั้นจึงกะพริบวูบหนึ่งแล้วเลือนหายไปกับอากาศ


รอบหุบเขาเริ่มมีหมอกสีน้ำตาลทองชั้นหนึ่งก่อตัวขึ้น


จินเทียนชื่อท่องมนตร์ ทันใดนั้นแผ่นค่ายกลในมือฉับพลันมีลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว มันส่องสว่างวูบหนึ่งก็จมหายไปในแสงสีเหลือง


ครู่ต่อมาหมอกสีเหลืองขมุกขมัวแถบหนึ่งก็ลอยออกมาปกป้องทั้งหุบเขาไว้ตรงกลางอย่างรวดเร็ว


“ค่ายกลพสุธา!” ดวงตาของหลิ่วหมิงฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย


“โอ๊ะ? ศิษย์น้องหลิ่วชำนาญค่ายกลด้วยหรือ?” ฉิวหลงจื่อเดินมาถึงข้างกายหลิ่วหมิงพลางเผยสีหน้าประหลาดใจ


“ไม่กล้าพูดว่าชำนาญ เพียงแต่ก่อนหน้านี้เคยอ่านตำราค่ายกลมาบ้างจึงจดจำค่ายกลบางประเภทในนั้นได้เท่านั้น” หลิ่วหมิงตอบอย่างตรงไปตรงมา


ฉิวหลงจื่อพยักหน้าแล้วไม่ได้จี้ถามต่อ หลังจากเขาสนทนากับหลิ่วหมิงเล็กน้อยจบ เขากลับไม่ได้เข้าไปในค่ายกลรวมจิตวิญญาณ แต่ขยับร่างเหาะมานั่งขัดสมาธิบนที่สูงของหุบเขา พร้อมกันนั้นก็แผ่จิตสัมผัสออกไป เฝ้าระวังความเคลื่อนไหวรอบด้าน


จินเทียนชื่อยังคงยุ่งอยู่รอบหุบเขา เขาเรียกแผ่นค่ายกลและธงค่ายกลชุดแล้วชุดเล่าออกมา จากนั้นวางชั้นจำกัดป้องกันหลายชั้นไว้ในค่ายกลพสุธา


หลิ่วหมิงเห็นผู้นำคณะเดินทางทั้งสองทำงานของแต่ละคนอยู่เงียบๆ สุดท้ายก็เดินเข้าไปในค่ายกลรวมจิตวิญญาณนั่งขัดสมาธิลงบ้าง


เขาไม่ได้จมดิ่งเข้าสู่สภาวะฝึกฝนโดยสมบูรณ์เฉกเช่นคนอื่น ปราณจิตวิญญาณของที่แห่งนี้เข้มข้นอีกเท่าใด ภายในเวลาสั้นๆ สามวันก็ไม่มีประโยชน์กับพลังระดับแก่นเสมือนยามนี้ของเขามากนัก


เทียบกับค่ายกลรวมจิตวิญญาณค่ายกลนี้ข้างใต้ เขาถูกใจศิลารวมจิตวิญญาณเหล่านี้มากกว่า หากได้มาสักหน่อย จำนวนไม่ต้องมากนัก เพียงสักร้อยก้อนก็กลับไปวางค่ายกลรวมจิตวิญญาณขนาดเล็กค่ายกลหนึ่งเองในถ้ำที่พักได้แล้ว


แน่นอนอิทธิฤทธิ์คงไม่อาจเทียบค่ายกลนี้ที่อยู่ใต้เท้าได้ แต่ต้องมีประโยชน์ต่อการทะลวงคอขวดระดับแก่นแท้ในภายภาคหน้าแน่นอน


ในใจหลิ่วหมิงครุ่นคิดเช่นนี้แล้วค่อยๆ โคจรวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ เริ่มดูดซับปราณจิตวิญญาณเข้มข้นรอบด้าน ทว่าเขาก็ยังแบ่งจิตสัมผัสส่วนหนึ่งเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวรอบด้านอยู่ตลอดเวลา


ท้องฟ้ามืดลงอย่างเชื่องช้า ภายในเศษซากของโลกบนก็เหมือนกับโลกภายนอก มีกลางคืนกลางวันดวงดาราผันเปลี่ยนตามครรลอง


เมื่อม่านราตรีทิ้งตัวลงมา สรรพสิ่งรอบด้านก็มืดสลัวเห็นไม่ชัด ทอดสายตามองไป นอกจากเทือกเขายาวที่แทบจะเชื่อมสนิทกับผืนนภาอยู่ไกลๆ ก็แทบจะมองไม่เห็นสิ่งใดชัดเจน


ภายในหุบเขาเงียบสนิทไปหมด ในหุบเขามีเพียงวังวนปราณจิตวิญญาณที่ยังคงหมุนวนกลางท้องฟ้า ดูดซับปราณจิตวิญญาณจากทั่วทุกสารทิศด้วยตนเองไม่หยุดหย่อนดังเช่นวันเวลาที่เคยผ่านมาในอดีต


ด้านในค่ายกลรวมจิตวิญญาณใต้วังวนปราณจิตวิญญาณ ศิษย์กายยอดบริสุทธิ์ส่วนใหญ่เข้าสู่สมาธินั่งนิ่งไม่ขยับ พวกเขากำลังดูดซับปราณจิตวิญญาณเข้มข้นที่อบอวลอยู่ในอากาศอย่างละโมบ


เวลานี้หลิ่วหมิงถือคัมภีร์หยกที่ส่องแสงสีฟ้าขมุกขมัวเล่มหนึ่งอยู่ในมือ เขาแผ่จิตสัมผัสเข้าไปด้านใน ทันใดนั้นใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าครุ่นคิดคล้ายกับว่ากำลังทำความเข้าใจบางสิ่ง


บนหน้าผาแห่งหนึ่งนอกหุบเขา จินเทียนชื่อผู้สวมชุดสีทองตัวโคร่งกำลังนั่งขัดสมาธิสองมือประสานท่าเคล็ดวิชาท่าหนึ่งอยู่หน้าร่าง พร้อมกับที่สูดลมหายใจดูดซับปราณจิตวิญญาณอันเปี่ยมล้นระหว่างผืนฟ้าและผืนดินอย่างเป็นจังหวะ


ไม่นานนัก หนังตาของจินเทียนชื่อก็กระตุก ดวงตาสองข้างเบิกกว้าง เอี้ยวศีรษะมองไกลออกไปทางหนึ่ง


ห่างออกไปหลายสิบลี้ตามแนวสายตาของเขา เมฆหมอกสีดำซึ่งแทบจะกลืนไปกับท้องนภายามราตรีผืนใหญ่ฉับพลันก็ปรากฏขึ้น ในกลุ่มเมฆมองเห็นแสงสีแดงประหลาดจุดแล้วจุดเล่าอยู่เลือนราง กำลังมุ่งมาทางหุบเขาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงดังอื้ออึง


ในดวงตาจินเทียนชื่อมีแสงดาราชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น ผ่านไปเพียงสองสามลมหายใจ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันใด เขาโบกมือส่งแสงสีทองสายหนึ่งลงไปที่ใจกลางหุบเขาจนเกิดเสียงดังสนั่นในทันที


“มีปีศาจอสูรจู่โจม!”


เสียงดังกึกก้องประหนึ่งอัสนีบาตคำรนสะท้อนก้องไปมาอย่างเร็วไวในหุบเขา


ภายในค่ายกลรวมจิตวิญญาณด้านล่างฉับพลันมีเสียงฮือฮาดังขึ้น คนที่กำลังฝึกฝนอย่างเงียบสงบรีบร้อนลืมตาขึ้นมาทีละคนแล้วลุกขึ้นยืน


ในเวลาเดียวกันนี้เงาคนสองร่างก็พร่าเลือนวูบหนึ่งแล้วปรากฏกายกลางท้องฟ้า หลิ่วหมิงกับฉิวหลงจื่อนั่นเอง


เวลานี้ฉิวหลงจื่อที่เก็บปราณไว้ห่างจากร่างไม่ถึงครึ่งชุ่น ดวงตาดุจคบเพลิงทั้งสองทอดมองไปไกลขณะที่คิ้วขมวดเล็กน้อย ส่วนหลิ่วหมิงเก็บคัมภีร์หยกสีฟ้าในมือไปและมีสีหน้าระแวดระวังเช่นเดียวกัน


ระหว่างที่ทุกคนจมดิ่งเข้าสู่สภาวะฝึกฝน ฉิวหลงจื่อเฝ้าระวังในหุบเขาอยู่ตลอด หลิ่วหมิงเองก็แบ่งจิตสัมผัสส่วนหนึ่งสำรวจความเคลื่อนไหวรอบด้านอยู่เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เมื่อเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ทั้งสองคนจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วอย่างที่สุด


เงาคนพร่าเลือนวูบหนึ่ง ร่างของจินเทียนชื่อก็ปรากฏขึ้นข้างกายทั้งสองคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง


“เห็นชัดไหมว่าปีศาจอสูรอะไรที่มาโจมตี?” สีหน้าเหี้ยมเกรียมแล่นผ่านใบหน้าของฉิวหลงจื่อ


“เหมือนจะเป็นปีศาจมีปีกจำนวนมากมายนักแล้วยังมาเร็วยิ่ง!” ในดวงตาของหลิ่วหมิงปรากฏวงกระเพื่อมสีดำ สายตามองไปยังท้องฟ้าทางทิศตะวันออกแล้วสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมา


เสียงของเขาเพิ่งเงียบลง เสียงหวีดแหลมดังระงมประหนึ่งขุนเขากู่ร้องมหาสมุทรคำรามก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ม่านราตรีทางทิศตะวันออกปรากฏเมฆดำทะมึนผืนใหญ่ที่มีจุดสีแดงจุดแล้วจุดเล่าอยู่ด้านใน อยู่ท่ามกลางความมืดสลัวยิ่งแปลกประหลาด เสียงอื้ออึงอึกทึกดังออกมาจากที่นั่น


มีคนเหาะมาบนท้องฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาเห็นภาพนี้ สีหน้าล้วนเปลี่ยนไปในทันใด


เวลาผ่านไปอีกหลายลมหายใจ ในที่สุดทุกคนก็เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเมฆดำผืนนั้นชัด พวกมันก็คือค้างคาวสีดำนับไม่ถ้วน แต่ละตัวสูงใหญ่เท่าคน ดวงตาราวกับดวงแสงสีโลหิต พวกมันอ้าปากกว้าง เขี้ยวโค้งโผล่ออกมา แลดูโหดเหี้ยมน่าหวาดกลัว


“นี่มันปีศาจอสูรอะไร?” ทุกคนสูดลมหายใจดังเฮือก ในกลุ่มคนสับสนวุ่นวายเล็กน้อย


“ศิษย์น้องทุกคนอย่าเสียกระบวน ข้าวางค่ายกลป้องกันหลายชั้นไว้รอบหุบเขาแล้ว ค้างคาวประหลาดเหล่านี้ชั่วครู่ชั่วยามอย่าฝันว่าจะทะลวงผ่านมาได้” เสียงของจินเทียนชื่อดังขึ้นดุจอสนีบาต


ผู้คนที่ตระหนกอยู่เงียบลงในทันใด ส่วนหลัวเทียนเฉิงที่อยู่กลางกลุ่มคน ในดวงตาฉายแววโกรธเกรี้ยวอยู่จางๆ


เมื่อครู่เขาฝึกฝนจนถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญจนคว้าโอกาสที่จะทะลวงเลื่อนระดับได้แล้ว แต่กลับถูกปีศาจอสูรเหล่านี้ทำลายเสียดื้อๆ จะไม่ให้เขาโกรธจัดได้อย่างไร


แสงสีเงินบนร่างเขาส่องสว่างหมายจะพุ่งออกไปเข่นฆ่าให้สาแก่ใจ ทว่าเวลานี้เองฉิวหลงจื่อก็หายวับมาปรากฏตัวข้างกายเขาแล้วจับหัวไหล่เขาไว้ จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงจริงจัง


“ศิษย์น้องหลัวอย่าบุ่มบ่าม! ปีศาจค้างคาวเหล่านี้จำนวนมากเกินไป พุ่งเข้าไปสู้สะเปะสะปะไม่มีประโยชน์ อีกอย่างหากเริ่มสังหาร คลื่นพลังเวทรุนแรงกับกลิ่นคาวเลือดจะดึงดูดปีศาจอสูรตัวอื่นที่อยู่ใกล้ๆ เข้ามาได้ง่าย!”


เวลานี้จินเทียนชื่อที่เหาะอยู่กลางท้องฟ้าเริ่มท่องมนตร์ แผ่นค่ายกลแผ่นหนึ่งในมือยิงแสงสีเหลืองแสบตาสายหนึ่งออกไป


ค่ายกลพสุธาถูกกระตุ้น รอบหุบเขาฉับพลันมีหมอกสีน้ำตาลทองม้วนตัวออกมาก่อตัวเป็นม่านแสงรูปไข่ชั้นหนึ่ง


ม่านแสงสีเหลืองเพิ่งกางออก ปีศาจค้างคาวสีดำเต็มฟ้าก็โถมมาถึงหุบเขา ค้างคาวสิบกว่าตัวแรกพุ่งชนบนม่านแสงเกิดเสียง “ปึก” “ปึก” ดังสนั่นระลอกหนึ่ง


ม่านแสงสั่นไหวเล็กน้อยแต่ไม่ขยับเขยื้อน


เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนก็อดโล่งอกไม่ได้ ทว่าจำนวนปีศาจอสูรค้างคาวเหล่านี้มากเกินไปแล้วจริงๆ ขนาดตัวก็ใหญ่ยิ่งนัก ทอดสายตามองไปเกือบจะบดบังท้องฟ้าทั้งหุบเขาได้อยู่แล้ว


อย่างน้อยก็มีมากมายหลายพันตัว!


ไม่นานนักค้างคาวกระหายเลือดมืดฟ้ามัวดินก็พากันเบียดเสียดอยู่นอกม่านแสงสีน้ำตาลทองของค่ายกลพสุธา พริบตาเดียวล้อมค่ายกลพสุธาทั้งหมดไว้ตรงกลาง


ค้างคาวเหล่านี้ใช้ร่างกายกระแทกม่านแสงประหนึ่งไม่กลัวตายพลางกรีดร้องเสียงแหลมเป็นระยะ เสียงร้องแต่ละครั้งดุจฟาดลงบนหัวใจของทุกคน ดวงตาสีโลหิตแต่ละคู่เต็มไปด้วยแววตาบ้าคลั่ง


คนไม่น้อยเสียใจแล้วที่ตัดสินใจอยู่ที่นี่เมื่อตอนกลางวัน ถ้าเวลานั้นเก็บศิลารวมจิตวิญญาณในค่ายกลรวมจิตวิญญาณแล้วจากไปทันที ไหนเลยจะตกอยู่ในสถานการณ์จนมุมเช่นตอนนี้


แม้พลังของค้างคาวเหล่านี้จะไม่แข็งแกร่งนัก ส่วนใหญ่เป็นปีศาจอสูรระดับของเหลวจิตวิญญาณ แต่จำนวนมากเกินไปแล้วอย่างแท้จริง หากปะทะกันตรงๆ ถึงจะเป็นศิษย์ระดับผลึกเหล่านี้ก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะหนีไปได้อย่างปลอดภัย แล้วถ้าดึงดูดปีศาจอสูรระดับสูงตัวอื่นใกล้ๆ มาอีก ผลที่ตามมายิ่งไม่อยากจะคิด


หลังจากผ่านไปเจ็ดแปดลมหายใจ ค้างคาวกระหายเลือดก็เหมือนจะพบว่าพวกมันไม่อาจทะลุผ่านม่านแสงไปได้ พวกมันจึงบินขึ้นด้านบนอย่างพร้อมเพรียงในทันใด หลังจากนั้นแสงสีเลือดจุดหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นในปากแล้วพุ่งเร็วรี่ออกมาอย่างรุนแรง


เสียงเปรี๊ยะดังขึ้นทั่วทุกที่!


แสงสีเลือดนับไม่ถ้วนยิงลงบนม่านแสง ทันใดนั้นแสงสีน้ำตาลทองก็สว่างวูบวาบ ไอหมอกสีเหลืองที่เดิมทีจับตัวหนาอยู่ด้านหลังก็ปั่นป่วนรุนแรงด้วยเช่นกัน


ในเวลาเดียวกันนั้นจินเทียนชื่อก็หน้าซีดลงเล็กน้อย มือที่กำแผ่นค่ายกลสั่นเบาๆ อย่างเห็นได้ชัด


“ศิษย์พี่จิน ท่านประคองค่ายกลต้านปีศาจค้างคาวมากมายเช่นนี้เพียงคนเดียวกินพลังเวทหนักหนาเกินไป อีกทั้งค่ายกลพสุธาก็คงทนได้ไม่นานนัก เปิดค่ายกลป้องกันอื่นขึ้นมาแล้วยกให้คนอื่นที่รู้ศาสตร์ค่ายกลที่นี่ควบคุมด้วยกันเถิด” ฉิวหลงจื่อเห็นเช่นนี้ก็ทะยานร่างมาข้างกายจินเทียนชื่อพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรนทันที


จินเทียนชื่อสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วพยักหน้า มือสะบัดต่อเนื่องหลายครั้ง แผ่นค่ายกลหลากหลายสีสันก็ลอยออกไปหาฉิวหลงจื่อ


ฉิวหลงจื่อเอื้อมแขนคว้าแผ่นค่ายกลสีน้ำเงินแผ่นหนึ่งไว้ จากนั้นยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งลงบนพื้น ทันใดนั้นเกราะแสงสีน้ำเงินอ่อนชั้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นภายในค่ายกลพสุธา


แสงสีน้ำเงินกับสีเหลืองถักทอประสานกันกลางท้องนภาในหุบเขา ม่านแสงสีน้ำตาลทองกลับมามั่นคงอีกครั้งในบัดดล

 

 

 


ตอนที่ 903 ธาราลวงวิญญาณ

 

“ศิษย์น้องที่รู้ศาสตร์ควบคุมค่ายกล ออกมาบังคับด้วยกันหน่อย” จินเทียนชื่อเอ่ยเสียงดัง


เงาคนสี่ร่างเหาะออกมาจากกลุ่มคนทันที พวกเขาคือเวินเจิง หลงเหยียนเฟย โอวหยางเชี่ยน และคนสุดท้ายก็คือหลิ่วหมิง ความรู้เกี่ยวกับค่ายกลของเขากระตุ้นแผ่นค่ายกลช่วยสนับสนุนชิ้นหนึ่งย่อมไม่มีปัญหาแต่อย่างใด


ทั้งสี่คนรับแผ่นค่ายกลไปคนละแผ่น ผ่านไปครู่หนึ่งแสงค่ายกลสี่สายก็ทยอยฉายออกมาทำให้การป้องกันหุบเขามั่นคงยิ่งขึ้น


ชั่วขณะหนึ่งเมื่อแสงสีเลือดถี่ยิบที่ค้างคาวกระหายเลือดพ่นออกมาโจมตีลงบนม่านแสงซึ่งประสานจากค่ายกลป้องกันหลายค่ายกล พวกมันก็ทยอยแตกสลายกลายเป็นฝนแสงสีโลหิตเฉกเช่นเดียวกับยามเกลียวคลื่นกระทบโขดหิน


ผู้คนที่นั่นเห็นเช่นนี้ในที่สุดก็โล่งอกขึ้นมาบ้าง


ทว่ายิ่งค้างคาวโถมเข้าใกล้มามากขึ้นเรื่อยๆ ค่ายกลกลางท้องฟ้าก็แทบจะถูกร่างกายของค้างคาวสีดำกับดวงตาสีเลือดที่ชวนให้คนขนหัวลุกปกคลุมจนหมด


“ตอนนี้ดูท่าคงไม่มีอันตรายชั่วคราว แต่เป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ใช่แผนการระยะยาว!” ฉิวหลงจื่อเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยเสียงเข้ม


“ชั้นจำกัดเหล่านี้ป้องกันได้เพียงชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น ปีศาจค้างคาวมากมายเช่นนี้ล้อมทั้งหุบเขาไว้ ฝั่งเรากำลังลดทอนฝั่งนั้นกำลังเพิ่มพูนจะถูกโจมตีทลายเมื่อใดก็รอแค่เวลาเท่านั้น” จินเทียนชื่อก็พยักหน้าพูดในทำนองเห็นด้วย


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้พวกเรา…”


“ระวัง มีปีศาจอสูรค้างคาวระดับผลึกปรากฏตัวแล้ว”


ดวงตาของฉิวหลงจื่อทอประกายวูบหนึ่ง ขณะที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็ถูกหลิ่วหมิงเอ่ยขัด


ทุกคนตกตะลึงจากนั้นมองตามสายตาเขาขึ้นไปบนท้องฟ้า


แล้วพวกเขาก็เห็นค้างคาวตัวหนึ่งที่ขนาดใหญ่กว่าตัวอื่นหนึ่งเท่าพุ่งออกมาจากฝูงค้างคาวด้านนอกชั้นจำกัด ขนาดของมันราวกับลูกวัว ปีกค้างคาวขนาดมหึมาทอแสงสีแดงก่ำดั่งโลหิต เขี้ยวโค้งในปากแต่ละซี่ประหนึ่งดาบแหลมคมยื่นออกมาด้านนอก คลื่นปราณปีศาจที่แผ่ออกมาจากบนร่างเห็นชัดว่าบรรลุระดับผลึกแล้ว


ค้างคาวยักษ์กรีดร้องเสียงแหลมแล้วอ้าปากกว้างพ่นลำแสงสีเลือดหนาเท่าถังน้ำเส้นหนึ่งโจมตีลงบนค่ายกลพสุธาด้านนอกสุด


จินเทียนชื่อเห็นเช่นนี้พลันคิ้วขมวด สะบัดมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกไป บนค่ายกลพสุธาปรากฏไอหมอกรูปเกลียวสีน้ำตาลแถบหนึ่งลดทอนการโจมตีของลำแสงสีเลือด


“ตรงนี้ก็มีค้างคาวระดับผลึกอีกตัว!”


“ตรง…ตรงนี้ก็มีตัวหนึ่ง!”


ชั่วขณะหนึ่งปีศาจจอสูรค้างคาวระดับผลึกโผล่ออกมาตัวแล้วตัวเล่าราวกับหน่อไม้หลังฝน ปากของพวกมันพ่นลำแสงสีเลือดที่เห็นชัดว่าพลังเพิ่มเป็นเท่าทวีเข้าโจมตีชั้นจำกัดกลางท้องฟ้าอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดหย่อน


จินเทียนชื่อสีหน้าเคร่งเครียด สองมือยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าต่อเนื่องกระตุ้นค่ายกลพสุธาให้แปรเปลี่ยนจนชั้นจำกัดนอกหุบเขามีพลังเพิ่มขึ้นมากชั่วขณะหนึ่งด้วย จึงต้านการโจมตีของค้างคาวระดับผลึกเหล่านี้ไว้ได้ทั้งหมด


ทว่าผ่านไปเพียงชั่วครู่เกราะป้องกันก็ถูกย้อมด้วยจุดด่างสีแดงจำนวนไม่น้อยราวกับแผลที่กินลึกถึงกระดูก พวกมันกัดกินแสงแวววาวบนเกราะป้องกันไม่หยุดทำให้แสงรัศมีของค่ายกลทั้งหมดเริ่มหม่นหมองลงไปเรื่อยๆ


แสงสีเลือดที่ค้างคาวระดับผลึกเหล่านี้พ่นออกมาเห็นชัดว่ามีฤทธิ์ในการปนเปื้อนและกัดกร่อน นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกพรั่นพรึงอย่างยิ่ง


“ดูท่าไม่หนีคงไม่ได้แล้ว ต้องคิดวิธีฝ่าลงล้อมออกไปเดี๋ยวนี้!” จินเทียนชื่อสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังอยู่บ้าง


ผู้คนรอบด้านได้ยินต่างมองหน้ากันทันที ที่จริงในใจทุกคนล้วนรู้ชัดยิ่งว่าการฝ่าวงล้อมเป็นวิธีเดียว ทว่าเผชิญหน้ากับปีศาจอสูรระดับของเหลวจิตวิญญาณหลายพันตัวแล้วยังมีปีศาจอสูรระดับผลึกอีกไม่น้อย บุ่มบ่ามออกจากหุบเขาเกรงว่าคงแทบจะเท่ากับการรนหาที่ตาย


“แย่แล้ว ยังมีปีศาจค้างคาวกระหายเลือดระดับแก่นแท้ด้วย!”


มือของหลิ่วหมิงควบคุมค่ายกลสีน้ำเงิน ทว่าความสนใจกว่าครึ่งยังคงอยู่ที่ปีศาจค้างคาวด้านนอก หลังจากประกายสีดำไหลเคลื่อนในดวงตาพักหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็หันไปมองทิศทางหนึ่งนอกหุบเขาไม่ไกลแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม


ทุกคนได้ยินคำนี้ล้วนตกตะลึงหันศีรษะไปมอง ทว่าก็เห็นด้านนั้นมีแต่ปีศาจค้างคาวที่เหมือนจุดอื่น ไม่มีจุดใดพิเศษ


ขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังสงสัยอยู่ในใจนั่นเอง เสียงกรีดร้องแหลมดังชัดเจนสายหนึ่งก็ดังมาจากด้านนอกหุบเขา พายุปีศาจสีแดงดำลูกหนึ่งฉับพลันพัดมาจากทิศทางที่หลิ่วหมิงมองอย่างไม่มีลางบอกแม้แต่น้อย ความเร็วน่าตะลึงยิ่งนัก!


ปีศาจค้างคาวระดับของเหลวจิตวิญญาณรอบด้านถูกพายุปีศาจซัดเหมือนใบไม้แห้งกลางสายลมสารทฤดู ร่างกายถูกพัดปลิวออกไปอย่างง่ายดายไม่อาจควบคุม พวกมันส่งเสียงร้องแสบแก้วหูดังระงม


ในเวลานี้เองพายุปีศาจสีแดงดำฉับพลันก็หยุดลง สิ่งมีชีวิตขนาดมโหฬารตัวหนึ่งปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าทุกคน


หลังจากทุกคนเพ่งมองไปก็อดไม่ได้สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอด


ปีศาจค้างคาวตัวนี้เมื่อกางสองปีกออก ทั้งร่างยาวถึงยี่สิบกว่าจั้ง แทบจะบดบังท้องนภาไปเกือบครึ่ง ปากใหญ่โตสีเลือดมีเขี้ยวคมประหนึ่งคมดาบไขว้สลับกันทอประกายเย็นเยียบน่าจนลุก ใต้ปีกค้างคาวมหึมามีกรงเล็บแหลมคมสีดำคู่หนึ่งยื่นออกมา เล็บแต่ละเล็บบนนั้นยาวถึงหนึ่งจั้งกว่าเหมือนกับกระบี่ยักษ์สีดำสิบเล่มทำให้คนสั่นสะท้านทั้งที่ไร้ลมหนาว


ปราณปีศาจบนร่างค้างคาวยักษ์ตัวนี้ซัดสาดราวกับคลื่นน้ำ เห็นชัดว่าพลังบรรลุถึงระดับแก่นแท้ช่วงต้น ดวงตาดุจโคมไฟทั้งสองข้างกวาดมองผู้คนที่อยู่ในวงแสงของค่ายกล ทำให้ศิษย์ระดับผลึกเหล่านั้นล้วนสั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้


ไม่ทันรอให้ผู้คนในหุบเขาเคลื่อนไหวอย่างใด ค้างคาวยักษ์ก็กระพือปีกสองข้าง อ้าปากกว้างพ่นลูกบอลแสงสีเลือดขนาดเท่าโอ่งน้ำลูกหนึ่งออกมารวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด กระแทกลงบนเกราะแสงสีน้ำตาลทองของค่ายกลพสุธาอย่างรุนแรง


เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นครั้งหนึ่ง ลูกบอลแสงสีเลือดระเบิดรุนแรงกลางท้องฟ้าเหนือหุบเขา กระแสลมนับไม่ถ้วนซัดถาโถมออกไป


เกราะแสงสีน้ำตาลทองที่เดิมทีหม่นแสงลงส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะ” ออกมาครั้งหนึ่ง บนผิวเกิดรอยร้าวรูปร่างดุจใยแมงมุมนับไม่ถ้วยแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางจวนเจียนจะพังทลาย


ในเวลาเดียวกันนี้แผ่นค่ายกลในมือของจินเทียนชื่อก็ส่งเสียงปริแตกดังกังวาน แสงสีเหลืองด้านบนส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วหม่นแสงลงในพริบตา


ศิษย์ที่ควบคุมแผ่นค่ายกลคนอื่นเช่นพวกหลงเหยียนเฟยเห็นทุกสิ่งนี้ล้วนตกตะลึง แต่ละคนเร่งรีบส่งพลังปราณบริสุทธิ์สายหนึ่งเข้าสู่แผ่นค่ายกลในมือ จากนั้นกรอกพลังเวทเข้าไปในนั้นอย่างบ้าคลั่ง


ครู่ต่อมาผิวของเกราะแสงสีเหลืองบนท้องฟ้าสูงก็เปล่งแสงรัศมีหลากสีสอดประสานกัน ผิวหน้าที่เดิมทีปริร้าวส่องสว่างขึ้นครู่หนึ่งก็ประสานสนิทดังเดิมอีกครั้ง


เวลานี้ค้างคาวระดับแก่นแท้ตัวนั้นไม่ได้ส่งการโจมตีออกมาอีก มันขยับร่างบินเป็นวงอยู่เหนือค้างคาวทั้งหมดแล้วส่งเสียงกรีดร้องยาวสั้นไม่เท่ากันครั้งแล้วครั้งเล่า


ทันใดนั้นค้างคาวตัวอื่นก็ขยับวุ่นวายพักหนึ่งแล้วเริ่มบินวนเป็นวงจัดกระบวนทัพ


“ปีศาจค้างคาวระดับแก่นแท้ตัวนี้สติปัญญาไม่ต่ำต้อย มีมันบังคับบัญชา ค้างคาวตัวอื่นคงจะแสดงพลังได้มากกว่าเดิม หากมีปีศาจค้างคาวระดับแก่นแท้โผล่มาอีกสักตัว พวกเราคงจะหนีไม่ได้จริงๆ แล้ว!” จินเทียนชื่อมองดูแผ่นค่ายกลในมือ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น


“แม้พูดเช่นนี้ แต่ค้างคาวกระหายเลือดด้านนอกจำนวนมากเกินไป หากฝืนฝ่าออกไปข้ากับเจ้าย่อมไม่เป็นไร แต่ศิษย์คนอื่นคงจะ…” ประกายแสงในดวงตาของฉิวหลงจื่อไหววูบขณะที่เอ่ยแผ่วเบา


“ไม่เป็นไร ที่ตัวข้าพกของสิ่งหนึ่งมาด้วย มันมีชื่อว่าธาราลวงวิญญาณ ของสิ่งนี้มีพลังในการล่อลวงปีศาจอสูรมากยิ่งนัก โดยเฉพาะกับปีศาจอสูรจำพวกที่กระหายเลือดยิ่งมีแรงดึงดูดมหาศาล หากมีคนพกธาราลวงวิญญาณพุ่งออกไป น่าจะล่อปีศาจค้างคาวเหล่านี้ไปได้กว่าครึ่ง เช่นนั้นย่อมมั่นใจได้ว่าคนที่เหลือจะหนีออกจากหุบเขาแห่งนี้ไปได้” ดวงตาของจินเทียนชื่อทอประกายแล้วเอ่ยขึ้นมา


“ธาราลวงวิญญาณ…”


หลิ่วหมิงได้ยิน ดวงตาพลันเป็นประกาย


เขาเคยอ่านบันทึกเกี่ยวกับสิ่งนี้ในตำราที่หอเก็บคัมภีร์ ของสิ่งนี้ใช้อิ่นหมัวเซียง ชื่อหลีจื่อรวมกับวัตถุดิบปรุงโอสถล้ำค่าอีกจำนวนหนึ่งผสมขึ้นมา เป็นของเหลวจิตวิญญาณที่มีกลิ่นหอมพิเศษเป็นเอกลักษณ์


อิ่นหมัวเซียงกับชื่อหลีจื่อล้วนเป็นของที่มีแรงดึงดูดต่อปีศาจอสูรอย่างยิ่ง มันล่อลวงปีศาจอสูรระดับต่ำกว่าระดับของเหลวจิตวิญญาณได้อย่างง่ายดาย แต่กับปีศาจอสูรที่สูงกว่าระดับผลึกจะได้ผลลดลงอย่างมาก ส่วนปีศาจอสูรระดับแก่นแท้แทบจะไม่มีผลเลย ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกฝนระดับต่ำที่ล่าปีศาจอสูรหาเลี้ยงชีพจำนวนมากจึงเตรียมไว้อยู่บ้างเสมอเพื่อใช้ล่อปีศาจอสูรออกจากรัง จะได้สังหารสะดวก


เมื่อผ่านการปรุงจนเกิดเป็นธาราลวงวิญญาณ มันจะกลายเป็นสิ่งที่ดียิ่งกว่าพวกอิ่นหมัวเซียง ไม่เพียงล่อปีศาจอสูรระดับผลึกได้ แต่ยังมีแรงดึงดูดต่อปีศาจอสูรระดับแก่นแท้อีกประมาณหนึ่งด้วย ทว่ามันปรุงยากอย่างที่สุด มีเพียงปรมาจารย์ปรุงโอสถระดับสุดยอดจำนวนหนึ่งถึงจะผสมของเหลวจิตวิญญาณพิเศษชนิดนี้ออกมาได้ ดังนั้นราคาจึงสูงยิ่งนัก มักจะเป็นของที่แพงจนหาคนซื้อลำบาก


“วิธีนี้ของพี่จินอาจได้ผล แต่ท่านกับข้าล้วนต้องอยู่ควบคุมค่ายกล หากเป็นเช่นนี้คนที่ล่อปีศาจอสูรออกไปคงจะมีโอกาสตายเก้าส่วนรอดเพียงส่วนเดียว” ฉิวหลงจื่อได้ยินชื่อธาราลวงวิญญาณ สีหน้าก็ผ่อนคลายลง แต่เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง


“อันตรายย่อมมีบ้าง แต่ตอนศิษย์น้องคนนี้ออกไป ข้าจะใช้วิชาช่วยเปิดทางเส้นหนึ่งให้เขาก่อน เช่นนี้อันตรายย่อมน้อยลงไปบ้าง อีกทั้งหลังงานสำเร็จ ผู้ที่รับผิดชอบล่อปีศาจค้างคาวออกไปจะได้รับศิลารวมจิตวิญญาณที่นี่ครึ่งหนึ่งเป็นรางวัลที่เอาตัวเข้าเสี่ยงอันตราย ทุกคนน่าจะไม่คัดค้านใช่ไหม?” จินเทียนชื่อเอ่ยขึ้นราวกับคิดมาดีแล้ว


เขาพูดพลางสะบัดแขนเสื้อลงด้านล่าง ทันใดนั้นแสงเรืองรองสีทองแถบหนึ่งก็พุ่งออกมาจากด้านใน ครอบค่ายกลจิตวิญญาณใต้เท้าเอาไว้


ฟุบ ฟุบ ฟุบ!


เสียงดังขึ้นต่อเนื่องพักหนึ่ง ศิลารวมจิตวิญญาณในค่ายกลถูกแสงเรืองรองสีทองซัดผ่านพลันกลายเป็นดวงแสงสีน้ำเงินถูกดูดออกมา พริบตาเดียวพวกมันก็ทอแสงสีน้ำเงินเรืองๆ สุมอยู่ด้านข้างเป็นกอง ปราณจิตวิญญาณท่วมท้น


ในเวลาเดียวกันนี้ วังวนปราณจิตวิญญาณมหึมาบนท้องฟ้าเหนือหุบเขาก็สลายหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับที่ศิลารวมจิตวิญญาณถูกดึงออกไป ปราณจิตวิญญาณเข้มข้นในหุบเขากระจายตัวไปด้านนอก


หลังจากทุกคนได้ยินสิ่งที่จินเทียนชื่อพูดก็มองไปยังศิลารวมจิตวิญญาณกองนี้บนพื้นแล้วมองหน้าคน ชั่วขณะไม่มีผู้ใดเอ่ยปากคัดค้าน


ขณะที่คนไม่น้อยในนั้นมองดูศิลารวมจิตวิญญาณบนพื้น ในดวงตาก็ฉายแววละโมบออกมายิ่งกว่าเดิม


แม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะฝึกฝนอยู่ในค่ายกลรวมจิตวิญญาณได้เพียงครึ่งวัน แต่พวกเขาก็ได้ลิ้มรสความเร็วในการฝึกฝนอันหอมหวานเช่นนี้กับตัวแล้ว


ศิลารวมจิตวิญญาณกองนี้มีมากถึงพันกว่าก้อน ครึ่งหนึ่งในนั้นก็คือห้าร้อยกว่าก้อน แม้ในภายหลังจะต้องมอบให้นิกายเกินครึ่ง ส่วนที่เหลือก็ยังพอวางค่ายกลรวมจิตวิญญาณขนาดเล็กหลายค่ายกล พูดอีกอย่างก็คือหากนำวัตถุจิตวิญญาณที่สาบสูญจากโลกภายนอกไปแล้วชนิดนี้ออกไปขายย่อมได้ราคามหาศาลอย่างที่ไม่อาจจินตนาการได้แน่นอน


ทว่าเมื่อคนเหล่านี้กวาดสายตามองค้างคาวเต็มท้องฟ้าเหนือหุบเขา น้ำเย็นก็รินรดศีรษะพากันหุบปากสนิทอีกหน


หลัวเทียนเฉิงมองศิลารวมจิตวิญญาณบนพื้น สองตาเปล่งประกายอยู่หลายหน เห็นชัดว่าในใจก็หวั่นไหวอย่างยิ่งเช่นกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)