ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 901-906
บทที่ 901 ปูหิมะเดินทัพ
Ink Stone_Fantasy
ไม่รู้ว่าทำไมปูราชินีพวกนี้ซึ่งก็คือปูหิมะถึงมารวมตัวกัน อาจจะเพราะฤดูหนาวมาเยือน พวกมันจึงอพยพกลุ่มไปที่บริเวณแถวๆ แนวปะการังในน่านน้ำนอกชายฝั่ง เพราะตรงนี้มีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่าน อาหารก็อุดมสมบูรณ์แถมอุณหภูมิน้ำยังเหมาะกับการอยู่อาศัยและขยายพันธุ์
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนแผ่กระจายออกไป จึงพบว่าในเขตสิบกว่าตารางกิโลเมตรเต็มไปด้วยปูหิมะ!
ฉินสือโอวมองดูฝูงปูยั้วเยี้ย ในใจก็แอบอุทานขึ้นมาว่า มหาสมุทรช่างกว้างใหญ่จริงๆ จึงยากที่จะเก็บสถิติจำนวนของสิ่งมีชีวิต เขารู้มาตลอดว่าฟาร์มปลามีฝูงปู แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีมากขนาดนี้!
แล้วเขาก็แน่ใจว่าฝูงปูนี้เป็นหนึ่งในฝูงปูที่มีอยู่มากมาย ซึ่งในแถบทะเลอื่นก็มีฝูงปูอาศัยอยู่
เพียงแต่ฝูงปูพวกนี้ฤดูหนาวไม่อยู่กับที่ พวกมันจะเดินไปไหนกันแน่?
ฉินสือโอวสงสัย หลังจากที่ฝูงปูเลือกแถบทะเลที่จะอยู่ตอนฤดูหนาวไปแล้วก็มักจะไม่ค่อยย้ายถิ่นฐาน ฝูงปูที่เขาสังเกตได้ในตอนนี้ก่อนหน้าก็อยู่นิ่งๆ ที่ก้นทะเล ดูจากการเคลื่อนไหวของพวกปูครึ่งฝูงหลังก็รู้ได้ว่า ปูหิมะส่วนมากที่นั่นยังไม่ได้ตามขึ้นมา
แต่ดูจากการเคลื่อนไหวของปูที่อยู่นำหน้า ฝูงปูก็ดูเหมือนกองทัพหนึ่ง ค่อยๆ ตามปูที่นำหน้าเข้าไปใกล้แนวปะการัง
อย่างกับเป็นการประกาศต่อๆ กัน หรืออาจจะเพราะพวกปูหิมะเลียนแบบตามๆ กัน ปูข้างหลังเดินตามปูข้างหน้าที่ลุกเดิน แบบนี้ต่อกันจากหน้าไปหลัง เหมือนเป็นการเคลื่อนพลของปูทั้งกลุ่ม
แม้ว่าปูหิมะตัวเดียวไม่ถือว่าใหญ่มาก แต่มองดูการเดินกองพลของปูที่อาจจะมีมากถึงหลายแสนตัว ความน่าอัศจรรย์ใจนั้นก็ทำให้ฉินสือโอวชื่นชม
ฉินสือโอวสังเกตดูภาพที่ปูหิมะเดินโยธวาทิตอย่างชื่นชม ช่างดูน่าเกรงขามจริงๆ ปูหิมะหลายแสนตัวรวมกันเป็นทัพกระดองเดินหน้า ระหว่างทางเจอหอยก็ใช้ก้ามหนีบเอามากิน เจอหอยงวงช้างก็งัดออกมากิน หรือหากเจอสาหร่ายพวกมันก็ฉีกกินซะ…
ยิ่งดูฉินสือโอวก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่สู้ดี เขาพลิกตัวลุกขึ้นมาจากเรือ หู่เป้าฉงที่กำลังเล่นอยู่ก็ตกใจ พวกมันก้มหน้าแล้วมองลงในน้ำตามเขา
ปรากฏว่าเบียดกันไปเบียดกันมา แค่ฉงต้าเบ่งพุงก็เบียดเป้าจือตกจากเรือร่วงลงทะเลไปดังตูม
จริงอยู่ที่หู่จือกับเป้าจือเป็นนักว่ายน้ำตัวยง แต่นี่ก็ไม่หมายความว่าพวกมันยินดีที่จะว่ายน้ำในทะเลตอนฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเสียหน่อย แบบนี้ฉงต้าก็หาเรื่องเข้าแล้ว หู่จือออกหน้าแทนเพื่อน พุ่งไปข้างหน้าฉงต้าแล้วแยกเขี้ยวยิงฟันใส่
ตอนหลังเป้าจือก็ปีนขึ้นมาแล้วโจมตีฉงต้าจากข้างหลังอย่างหัวเสีย
เรือโยกขึ้นมาทันใด ฉงต้าตอนนี้ไม่ใช่ลูกหมีอีกแล้ว มันโตมากแล้ว
ฉินสือโอวหันมาตะโกนว่า ‘หยุด’ หู่จือเป้าจือออกห่างจากข้างตัวฉงต้าแบบไม่ค่อยสบอารมณ์ แต่ก็ยังคงจ้องมองมันด้วยสายตาหงุดหงิด ฉงต้าไม่สนใจ มันเดินส่ายก้นไปข้างๆ ตัวฉินสือโอว แล้วเบิกตามองดูด้านล่างราวกับสามารถมองเห็นก้นทะเลได้
ที่ก้นทะเล ในตอนที่กองทัพปูหิมะเคลื่อนผ่านนั้นดูราวกับเป็นฝูงตั๊กแตนปาทังกาผ่านมาก็ไม่ปาน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าที่ที่พวกมันผ่านไม่มีหญ้างอกสักต้น อย่างน้อยปลากุ้งหอยตัวเล็กก็ถูกพวกมันฉีกกินจนหมด โดยเฉพาะหอย ซึ่งเป็นของชอบของพวกปูหิมะ
พอเป็นแบบนี้ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล ปูหิมะไม่มีทางเข้ามาที่แนวปะการังโดยไม่มีสาเหตุ จุดประสงค์ที่พวกมันทำแบบนี้คืออะไร?
ไม่ว่าจุดประสงค์จะคืออะไร ฉินสือโอวก็ไม่สามารถปล่อยให้พวกมันบรรลุเป้าหมายได้ เพราะแนวปะการังเป็นหัวใจของฟาร์มปลา เป็นที่ที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ที่สุด แม้จะบอกว่าหลังจากที่ปูหิมะย่างกรายเข้าไปในแนวปะการังจะจัดการพวกหอยอย่างเช่น หอยหิน หอยกาบ หอยแมลงภู่หิน หอยเสียบเป็นอันดับแรก แต่ก็ยังเป็นภัยอันใหญ่หลวงต่อแนวปะการังอยู่ดี
พวกหอยอย่างหอยหิน หอยกาบ หอยแมลงภู่หิน หอยเสียบเป็นภัยต่อแนวปะการังก็จริง คราวที่แล้วตอนที่น้ำลดฉินสือโอวก็พาคนไปเก็บหอยพวกนี้ ปกติเขาจะส่งทัพกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีไปเก็บกวาดพวกมัน จำนวนก็เลยไม่ถือว่าเยอะมาก ไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของปะการังสักเท่าไร
แต่ปูหิมะพวกนี้ ตามหลักการแล้วพวกมันไม่กินโพลิป แต่จำนวนมีมากเกินไป ก็เหมือนกับตั๊กแตนปาทังกา พวกมันเคลื่อนพลผ่านทรายยังกินเข้าไปได้เม็ดสองเม็ด นับประสาอะไรกับโพลิป? หากพวกมันเจออะไรก็กินหมดจริงๆ !
ปูหิมะถือเป็นปูดุร้ายชนิดหนึ่ง พวกมันสามารถเอียงข้างเดินตามก้นทะเลได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่ปูนำทางจำนวนหนึ่งไต่ขึ้นมาที่แนวปะการังก็มุ่งตรงไปที่อยู่อาศัยของหอยนางรมลอยในทันที ส่วนหอยนางรมลอยก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงอันตราย ยื่นเท้าออกมาเตรียมจะหนี
แต่ว่าความเร็วของทั้งสองฝ่ายนั้นต่างกันมาก หอยที่ปูหิมะเล็งไว้ก็เป็นเหมือนแกะที่ต้องจะเข้าปากเสือ โอกาสหนีรอดต่ำมาก
ฉินสือโอวเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น โธ่เอ๊ย เขามันรนหาที่เอง เมื่อกี้เขาปล่อยพลังโพไซดอนไปแบบส่งๆ พวกปูหิมะต้องสัมผัสได้ถึงพลังที่น่าดึงดูดสูงนี้จึงเดินทางมาเพื่อรับพลังโดยเฉพาะ
แต่พลังโพไซดอนถูกสาหร่าย ปะการัง และหอยนางรมลอยดูดไปหมดแล้ว จากนั้นปูหิมะเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่หอยนางรมลอยแทน
หลังจากที่เข้าใจถึงจุดนี้ ฉินสือโอวก็ร้อนใจโดยพลัน รีบควบคุมให้ปูนำทางหันกลับไปทางเดิม
แต่เขาดูถูกความดึงดูดของพลังโพไซดอนที่มีต่อปูหิมะ ปูไม่ค่อยฉลาดเท่าไร สมองน้อยเกิน ฉินสือโอวไม่มีทางออกคำสั่งให้พวกมันไปจากแถบทะเลแนวปะการัง ภายใต้สัญชาตญาณเอาตัวรอดและวิวัฒนาการของพวกมัน ทัพปูหิมะเดินหน้าไปทางแนวปะการังอย่างแน่วแน่แถมยังทุกตัวด้วย!
มองดูทัพปูหิมะที่ทะลักมา ฉินสือโอวก็เกิดเหงื่อตกทั้งที่อยู่ในช่วงฤดูหนาว ถ้าปูพวกนี้โจมตีแนวปะการังงั้นระบบนิเวศของที่นี่ก็เป็นอันถึงคราวอวสาน!
พูดถึงก็ตลกดี แม้แต่ฝูงฉลามขาว หรือวาฬก็ไม่เคยทำลายห่วงโซ่ระบบนิเวศของแนวปะการัง แต่ตอนนี้ความอยู่รอดกลับไม่ปลอดภัยเพราะปูหิมะที่ดูตัวเล็กและอ่อนแอ
ฉินสือโอวรีบเรียกทหารมาต่อกร เขาเรียกไอซ์สเกต บอลหิมะ และบีนมาก่อน เจ้าพวกนี้เป็นผู้ติดตามเขาเชียวนะ
ได้รับคำสั่งจากพ่อ ฉลามเสือทรายที่เพิ่งงอกโหนกที่หัว วาฬเบลูกากับโลมาก็ว่ายมาพร้อมกับรังสีอำมหิต พวกมันกำลังเตรียมจะแสดงอานุภาพในการต่อสู้ แต่พอเห็นฝูงปูหิมะที่มีจำนวนมากมายก่ายกอง ตาก็จ้องเขม็งในทันที…
พ่อ หาผิดคนแล้ว เราเก่งแบบตัวต่อตัว ต่อให้เป็นวาฬเพชฌฆาตเราก็ยังกล้าเข้าไปประมือด้วยสักหลายร้อยกระบวนท่า แต่ว่า แต่ว่า แต่ปูตัวเล็กพวกนี้ เราก็จนปัญญานี่นา!
เพียงแต่วินัยของทั้งสามก็ยังคงยอดเยี่ยม ในเมื่อพ่อให้พวกมันขวางเจ้าพวกนี้ไว้ งั้นก็ไม่ต้องพูดมาก ลงมือเลย
ทั้งสามอ้าปากกินอย่างบ้าคลั่ง ปูก็เป็นอาหารอย่างหนึ่งของพวกมันเหมือนกัน เนื้อปูหิมะก็เด้งอร่อย แต่ว่านี่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร พวกมันจะกินปูได้สักกี่ตัว? กินยังไวไม่เท่ากับที่พวกมันขยายพันธุ์เลย!
ปูหิมะเป็นปูที่ขยายพันธุ์เก่งที่สุด แม่ปูตัวหนึ่งผลิตทายาทที่มีชีวิตรอดได้ครั้งละหมื่นตัว นี่ก็คือสาเหตุที่พวกมันกลายเป็นทรัพยากรปูทะเลอันดับหนึ่งของโลก แค่ที่อเมริกาปีปีหนึ่งก็จะสามารถงมจากแถบทะเลอะแลสกาขึ้นมาได้แสนตันหรือแปดหมื่นตัน!
ฉินสือโอวแค่หวังว่าทั้งสามจะทำให้ปูหิมะตกใจ แต่วิธีของเขาก็ไม่ได้ผล ปูหิมะแค่ตัวเดียวหากมาสู้กันก็ถือว่าอ่อนแอมาก แต่หลังจากที่พวกมันกลายเป็นกองทัพขนาดใหญ่ กำลังรบก็แข็งแกร่งไร้เทียมทาน!
ทั้งสามกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย ปรากฏว่าจู่ๆ ปูหิมะก็เพิ่งความเร็ว จากนั้นก็ล้อมเข้ามาจากทุกทิศทาง เหล่าปูมากมายพุ่งเข้ามา ตัวบนก็เหยียบตัวล่าง พริบตาเดียวก็ล้อมเจ้าสามตัวไว้ได้
ทีนี้เหล่าปูก็เข้าถึงตัวทั้งสามได้แล้ว ก้ามปูขยับยุบยับ เปิดศึกนองเลือด!
บทที่ 902 โจมตีสองทาง
Ink Stone_Fantasy
ไม่เท่าไรทั้งสามที่ถือว่าเป็นเจ้าแห่งแนวปะการังก็แพ้ราบคาบ
จำนวนของปูหิมะมีเยอะเกินไป พวกมันดาหน้ากันเข้ามาเหยียบตัวของเพื่อนกองกันขึ้นไป ขอแค่โดนถูกตัวพวกมันก็จะใช้ก้ามหนีบอย่างเหี้ยมโหด ไม่นานร่างของทั้งสามก็มีแต่บาดแผลเต็มไปหมด
พอเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี ฉินสือโอวก็ได้แต่เรียกทั้งสามกลับมา เขาอยากจะเปลี่ยนเป็นกองทัพงูเหลือมทะเล แต่ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของเหล่างูเหลือมทะเลระหว่างฤดูหนาวนั้นต่ำเกินไป ตอนนี้กำลังหลบจำศีลอยู่ในแถบทะเลกระแสน้ำอุ่นออกมาไม่เท่าไรก็คงจะหนาวจนแข็ง
แบบนี้เขาก็เลยได้แต่เรียกรวมฝูงกั้งตั๊กแตนเจ็ดสี
ทั้งสามว่างหนีเข้ามาในเขตทะเลที่มีจิตสำนึกแห่งโพไซดอนควบคุมอย่างน่าสงสาร ฉินสือโอวถ่ายพลังโพไซดอนให้พวกมันเพื่อเป็นการปลอบใจ พวกมันถึงค่อยดีขึ้นหน่อย
เพียงแต่ทั้งสามเสียความมั่นใจอย่างมากในครั้งนี้ เมื่อก่อนปูหิมะเป็นหนึ่งในอาหารที่ไม่อยู่ในสายตาพวกมันมากที่สุด นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะเกือบตายเพราะโดนล้อมเล่นงาน เชื่อว่าถ้าทั้งสามตัวไม่สามารถพังกำแพงปูหิมะออกมาได้ ปูหิมะที่กรูกันเข้ามาก็เป็นเหมือนมดที่กินช้างได้เลย
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนแบ่งไปสองทาง ทางนี้ก่อคลื่นใต้น้ำพัดเอาปูหิมะที่อยู่รอบๆ กลับไป อีกด้านก็สร้างคลื่นม้วนซัดพาเหล่ากั้งตั๊กแตนเจ็ดสีมาให้ไวที่สุด
กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีจะเข้าสู่ช่วงผสมพันธุ์เดือนเมษายนถึงกันยายนของทุกปี ตัวเมียวางไข่ได้มากถึงครั้งละแสนฟอง แต่อัตราการฟักไข่ค่อนข้างต่ำ เพราะกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีไม่มีการปกป้องกันแบบกลุ่ม หลังจากที่ฟักตัวแล้ว กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีในวัยเยาว์จะมีโปรตีนสูงมาก เป็นอาหารเลิศรสของปลากับกุ้ง ในช่วงนั้นถือว่าอันตรายมากสำหรับพวกมัน สุดท้ายที่โตเป็นกั้งเต็มวัยปกป้องตัวเองได้ก็มีเพียงหนึ่งในพัน
อีกอย่างกั้งชนิดนี้ใช้เวลาหนึ่งปีถึงจะโตเต็มวัย ดังนั้นตอนนี้ฝูงกั้งก็ยังคงมีผู้กล้าทั้งห้าร้อยตัวในตอนนั้น แต่ก็มีกั้งที่ตัวเล็กใหญ่สั้นยาวประมาณนิ้วก้อยเพิ่มมาด้วย
วิวัฒนาการของพลังโพไซดอนทำให้กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีสามัคคีกันมากขึ้น เดิมทีพวกมันจะไม่สนใจความเป็นความตายของกั้งตัวเล็ก แต่ฝูงนี้จะค่อนข้างปกป้องคุ้มครองกั้งเล็กในอาณาเขตที่อยู่อาศัยของมัน
แน่นอนว่ายังเกี่ยวข้องกับการที่ไม่มีสัตว์นักล่าอื่นๆ ในแถบทะเลที่พวกมันอาศัยอยู่ด้วย กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีคืออะไร? ราชาเผด็จการแห่งท้องทะเล พวกบ้าระห่ำที่กล้าไปมีเรื่องกับหมึกยักษ์!
แบบนี้พวกที่ฉลาดหน่อยอย่างฝูงปลาอีโต้มอญก็จะไม่กล้าไปกร่างในเขตที่อยู่ของพวกมัน
กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีโดนคลื่นซัดมาถึงขอบทะเลแถบแนวปะการัง พวกมันลุกขึ้นแบบงงๆ พอหันไปก็เจอกับฝูงปูหิมะที่กรูเข้ามาอย่างน่ากลัว
กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีห่อขาคู่แรกเก็บเข้าไปแล้วเผยขาคู่สองที่แข็งแรงที่สุดออกมาอย่างไม่ลังเล
สิ่งที่พลังโพไซดอนทำการเปลี่ยนกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีก็คือทำให้ขาของพวกมันแข็งแรงมากขึ้น ข้อหน้าสุดของขาพวกมันจึงเป็นทรงหนามเดี่ยว ที่ปลายดำสนิท ดูเหมือนเหล็กปลายแหลม แหลมคมมากทีเดียว
ส่วนฐานของแขนขากับดักจะหลั่งไคทินเพื่อทำให้ส่วนที่นูนออกมาหนาขึ้น แบบนี้ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากกว่าเดิม สามารถรับทนต่อแรงปฏิกิริยาในตอนที่ปลายแหลมปลายขาแทงออกไป
ในขณะเดียวกันถ้าพวกมันซ้อนขาแล้วเก็บปลายแหลมของข้อหน้า ส่วนที่เพิ่มความหนาก็จะกลายเป็นเหล็กปลายแหลมเหมือนค้อนสปริงขนาดเล็ก
แบบนี้ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นสัตว์มีเปลือกหรือประเภทหอยก็จะสามารถทำอันตรายฝ่ายตรงข้ามได้ พูดได้ว่าจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกำลังเปลี่ยนให้กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีกลายเป็นนักฆ่าแห่งท้องทะเลที่น่ากลัวกว่าเดิม
ถ้าร่างกายของพวกมันยาวถึงหนึ่งเมตร ฉินสือโอวไม่สงสัยเลยว่ากั้งตั๊กแตนเจ็ดสีจะสามารถต่อกรกับกองทัพเรือสหรัฐได้เป็นอย่างดี
กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีถือว่าเป็นมือดีในการรับมือกับปูทะเล พอทั้งสองฝ่ายมาประจันหน้ากัน ฟองอากาศมากมายลอยขึ้นจากก้นทะเล ทำให้เกิดเป็นปรากฏการณ์ซูเปอร์คาวิเทชั่น
ฝูงปูหิมะแถวหน้าถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ด้วยพลังทำลายล้างมหาศาล กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีตั้งแถวออกโจมตีราวกับจ้าวจื่อหลงที่บุกเข้าตีทัพเฉา พวกมันบุกเข้าโจมตีในแนวนอน ไร้ซึ่งศัตรูที่สามารถต่อกรกับพวกมันได้!
โจมตีไปหลายครั้ง ปูหิมะก็ทิ้งซากหลายพันไว้แถมสภาพยังน่าอนาถมากด้วย ประมาณว่าถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แล้วถูกพัดไปตามกระแสน้ำที่ก้นทะเล
ของหายากมักจะแพง ปูหิมะเป็นทรัพยากรปูที่มีมากที่สุด แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันไม่มีราคา ปูหิมะจากฟาร์มปลาต้าฉินสามารถขายปอนด์ละหลักร้อยดอลลาร์แคนาดาได้อย่างสบายๆ
นี่ก็หมายถึง ฉินสือโอวเสียรายได้หลายแสนดอลลาร์แคนาดาในคราวเดียว
เพียงแต่ฉินสือโอวไม่สนใจ ถ้าปล่อยให้ฝูงปูหิมะเข้ามาในแนวปะการัง สิ่งที่เขาจะสูญเสียก็ไม่ใช่สิ่งที่วัดได้ด้วยเงินแล้ว และอีกอย่างหนึ่ง ฟาร์มปลาเป็นระบบนิเวศ ซากปูหิมะสามารถกลายเป็นอาหารให้ปลากุ้งต่อไป สุดท้ายรายได้ก็เข้ากระเป๋าเขาอยู่ดี
ปูหิมะหัวสมองทึ่ม แต่ก็รู้ว่าถ้าเจอศัตรูธรรมชาติก็ต้องหนี ความโหดดุของกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีทำให้พวกมันกลัวมาก พวกมันเอียงตัวแล้วรีบถอยกลับทันที
กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีออกแรงได้แต่ไม่ค่อยทน ในเวลาปกติพวกมันออกแรงโจมตีด้วยขาหน้าทีหนึ่งก็ต้องพักผ่อนหลายชั่วโมงถึงจะฟื้นฟูแรงที่เสียไปได้ แต่พลังโพไซดอนเปลี่ยนประสิทธิภาพร่างกายของพวกมัน ทำให้สามารถโจมตีติดต่อกันได้ราวๆ สิบครั้ง
ฉินสือโอวเองก็ถ่ายพลังโพไซดอนให้พวกมันอยู่ตลอดเพื่อให้พวกมันมาไล่ปูหิมะ
กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีขวางทัพปูหิมะที่ดาหน้าเข้ามาไปเล็กน้อย ฉินสือโอวเรียกทัพเสริมออกมาอีกทัพหนึ่ง นั่งก็คือหมึกยักษ์ คราเคน!
คราเคนค่อยๆ ลอยตัวขึ้นมาจากทะเลลึก มันจำเป็นจะต้องปรับตัวเพื่อให้ชินกับความดันน้ำทะเลถึงจะขึ้นมาเหนือผิวน้ำได้ ปกติพวกมันจะทำแบบนี้น้อยมาก ฉะนั้นคนจึงจับหมึกยักษ์เป็นๆ ได้ยากมาก ที่เจอส่วนใหญ่จึงจะเป็นซาก
หลังจากที่ลอยตัวขึ้นมา ฉินสือโอวก็ถ่ายพลังโพไซดอนให้คราเคน มันอ้าปากยักษ์ใหญ่อยู่ข้างหลังปูหิมะและสร้างแรงดูดมหาศาลดูดเอาปูหิมะและน้ำทะเลเข้าปากไป จากนั้นก็กรองเอาน้ำทะเลออกเหลือไว้แต่ปูหิมะ
หลังกินจนอิ่ม หนวดยาวอวบใหญ่ยักษ์ที่มีเรี่ยวแรงมหาศาลกวาดไปทั่วบนพื้นทะเล ปูหิมะที่อยู่บนพื้นจึงโดนกวาดกระเด็นกระดอน
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทำให้เกิดคลื่นขึ้นอีกพัดเอาปูหิมะกลับไปในแดนลึกของทะเล
ฉินสือโอวใช้เวลาสี่ถึงห้าชั่วโมงถึงสามารถพัดเอากองทัพปูหิมะกลับไปยังพื้นทะเลหลายสิบกิโลเมตรที่ไกลออกไปได้
ทั้งกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีไล่ล่าทั้งโดนหมึกยักษ์จับกิน เหล่าปูหิมะลืมความล่อตาล่อใจของพลังโพไซดอนไปนานมากแล้ว พวกมันทึ่ม ความจำก็มีไม่เกินห้าวินาที ขอแค่ขวางกั้นการรับรู้ที่มีต่อพลังโพไซดอนเป็นเวลาสั้นๆ พวกมันก็จะล่าถอยไปเอง
มองดูฝูงปูค่อยๆ สงบลง ฉินสือโอวก็ถอนหายใจออกมา เดี๋ยวตอนพวกชาวประมงออกทะเลคงต้องคิดหาวิธีจับปูหิมะมาสักส่วนหนึ่ง ความสามารถในการขยายพันธุ์ของเจ้าพวกนี้สูงมาก ยิ่งกินสาหร่ายที่มีพลังโพไซดอนเข้าไปก็ยิ่งโตไว ถ้าไม่รีบจัดการ ปัญหาเรื่องจำนวนของพวกมันจะต้องกลายเป็นภัยในสักวันแน่
ตอนนี้ฉินสือโอวรู้แล้วว่าการเอาแต่ถ่ายพลังโพไซดอนให้ฟาร์มปลาก็ไม่ดี การเพิ่มจำนวนมากๆ ของเผ่าพันธุ์ใดเผ่าพันธุ์หนึ่งก็สามารถทำให้ห่วงโซ่อาหารพินาศได้
กลับมาถึงฟาร์มปลา ชาร์คก็ถามเขาว่าเจออะไรบ้าง ฉินสือโอวเลยได้จังหวะพูดถึงเรื่องฝูงปูพอดี “ช่วงหลายวันนี้ไปเตรียมหม้อปูมาสักหน่อย ออกทะเลครั้งหน้าเราจะไปจับปูหิมะกัน”
หม้อปูคือชื่อที่พวกชาวประมงนิวฟันด์แลนด์ใช้เรียกลอบดักปู เพราะเหล่ากรงเหล็กพวกนี้ดูอย่างกับหม้อก็ไม่ปาน
บทที่ 903 มหกรรมจัดหางานเซนต์จอห์น
Ink Stone_Fantasy
พอได้ยินฉินสือโอวบอกว่าเจอฝูงปู ทริกเกอร์ที่อยู่ข้างๆ ก็ถามอย่างประหลาดใจสุดขีด “คุณสามารถหาฝูงปูเจอได้ด้วยเหรอครับ?”
ชาร์คช่วยพูดกลบเกลื่อนให้ฉินสือโอว เขาพูดอย่างคลุมเครือว่า “ไม่มีอะไร เครื่องมือทันสมัยมากพอ บวกกับประสบการณ์สักหน่อย แน่นอนว่าสามารถพบฝูงปูใต้ทะเลได้ ไม่อย่างนั้นจะไปจับปูจักรพรรดิที่ช่องแคบแบริ่งกับอะแลสกาได้อย่างไรกันล่ะ?”
ที่จริงแล้ว ในใจของพวกชาร์คและคนอื่นๆ คิดว่าฉินสือโอวพบฝูงปูได้จากหลักฮวงจุ้ย แม้แต่ฝูงกุ้งมังกรยังเจอได้ เขาหาฝูงปูเจอจะแปลกอะไร?
ที่ทริกเกอร์ตกใจก็คือ การหาฝูงปูใต้ทะเลเป็นความสามารถที่น่าพิศวงและยอดเยี่ยม เจ้าพวกนี้ใช้ชีวิตติดก้นทะเล เครื่องมือใดๆ ก็จับการเคลื่อนไหวของพวกมันไม่เจอ เครื่องตรวจจับคลื่นเสียงโซนาร์ก็ไร้ประโยชน์
แต่ก็มีชาวประมงที่มีประสบการณ์หรือวิธีพิเศษอะไรที่สามารถหาพิกัดที่อยู่ของฝูงปูคร่าวๆ ได้
ชาวประมงแบบนี้ถ้าไม่ใช่รวยจนกลายเป็นกัปตันไปนานก็โดนเชิญไปเป็นรองกัปตันเรือประมงน้ำลึกคอยแนะนำว่าวางลอบดักปูอย่างไรโดยเฉพาะ สรุปก็คือเป็นกลุ่มคนประเภทที่น่ายกย่องที่สุดในท้องทะเล
พอชาร์คอธิบาย ทริกเกอร์และคนอื่นๆ ก็เชื่อและนับถือฉินสือโอวมากกว่าเดิม “นึกไม่ถึงว่าบอสอายุน้อยขนาดนี้ก็รู้เทคนิคเจ๋งๆ แบบนี้แล้ว”
ไข้หวัดจากไวรัสแพร่กระจายในวงกว้าง ติดง่ายหายยาก ภายในหนึ่งอาทิตย์เหล่าชาวประมงคงไม่หายสนิทแน่ๆ
กลางเดือนมกราคม ฉินสือโอวเชิญผู้เชี่ยวชาญและศาสตราจารย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลกับวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโทรอนโตมาที่ฟาร์มปลา แซนเดอร์ส วอร์ตันเองก็มาด้วย
ฉินสือโอวจองห้องโรงแรมให้เขาไว้ห้องหนึ่งที่เซนต์จอห์นให้เขาอยู่ไปก่อนพลางอธิบาย “ฟาร์มปลาของผมกำลังมีไข้หวัดระบาด ค่อนข้างหนักเลยครับ ผมว่าถ้าคุณเข้าไปจะต้องติดไข้แน่ๆ”
ทิญา รูสลานนึกย้อนไปพร้อมกับความหวาดผวา “งั้นเราก็รอหน่อยดีกว่า โทรอนโตก็เจอไข้หวัดระบาดเหมือนกันค่ะ ที่จริงฉันกับศาสตราจารย์เองก็เพิ่งจะหาย ประสบการณ์แบบนั้นน่ะไม่อยากเจออีกแล้วค่ะ”
แซนเดอร์สพาผู้ช่วยมาด้วยสองคน คนหนึ่งคือทิญา อีกคนเป็นชายผิวสีวัยกลางคนชื่อว่าซากี้ ปาปาโรลา เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยปลาค็อด เป็นดอกเตอร์คนหนึ่งที่แซนเดอร์สพามาเช่นกัน
ฉินสือโอวจองห้องไว้ให้พวกเขาเรียบร้อยแล้ว เดิมทีมีสามห้อง แซนเดอร์สยิ้มแล้วบอกว่าเปลี่ยนเป็นสองห้องก็พอ ทิญาอยู่ห้องหนึ่ง เขากับซากี้อยู่ด้วยกัน
“ตอนนี้ผมเป็นพนักงานของคุณแล้วนะบอส ผมต้องหาวิธีให้ฟาร์มปลาของคุณทำเงิน แต่ตอนนี้ผมไม่ได้ทำงาน ฉะนั้นก็ไม่เกิดกำไร งั้นก็พยายามประหยัดให้คุณดีกว่า” แซนเดอร์สพูดอย่างอารมณ์ดี
ฉินสือโอวพูดด้วยความเกรงใจว่าจะได้อย่างไรล่ะ ฟาร์มปลาไม่ขาดเงินเพราะค่าห้องแค่นี้หรอก
แซนเดอร์สอธิบายว่าเขากับซากี้กำลังถกเถียงเกี่ยวกับหัวข้อบางอย่างพอดี และยืนกรานให้ฉินสือโอวยกเลิกไปห้องหนึ่ง
คุณธรรมและการกระทำของศาสตราจารย์ทำให้ฉินสือโอวนับถือมาก เป็นคนตรงไปตรงมาและไม่เสแสร้งเลย
ฉินสือโอวเอ่ยขึ้น “ศาสตราจารย์ ผมนึกไม่ถึงว่าพวกคุณจะมาไวขนาดนี้ ถ้าโทรมาหาเร็วกว่านี้หน่อยงั้นผมก็จะได้แจ้งสถานการณ์ฟาร์มปลาให้คุณทราบ คุณก็ยังอยู่โทรอนโตได้อีกสักหน่อย”
แซนเดอร์สพูดแบบไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไรหรอก งานที่โรงเรียนจัดการหมดแล้ว ผมหานักเรียนปริญญาเอกมาสอนหลักสูตรปริญญาตรีแทนผมแล้ว หลักสูตรทดลองหลายอันเพิ่งเข้าสู่ขั้นตอนการโต้แย้งพอดี ไม่ต้องให้ผมลงไปดูเอง ตอนนี้ผมมีเวลา ผมก็เลยอยากมาฟาร์มปลาของคุณไวสักหน่อย”
ฉินสือโอวแปลกใจที่แซนเดอร์สพาทิญามาด้วย เขาถามอย่างสงสัยว่าทำไมถึงพาทิญามาด้วย แซนเดอร์สยักไหล่พลางเอ่ยปาก “คุณก็รู้ ผมก็คนแก่คนหนึ่ง อยู่กับหนุ่มๆ สาวๆ แล้วกระชุ่มกระชวยกว่า ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมผมจะไม่พาสาวสวยมาด้วยล่ะ?”
ซากี้พูดยิ้มๆ “วันๆ อยู่แต่กับคนขี้เหร่อย่างผมคงจะส่งผลต่อการคิดวิเคราะห์ของอาจารย์วอร์ตัน”
ซากี้พูดจริงจังพลางพยักหน้าไปด้วย “คุณพูดถูกแล้วล่ะ” เขาหัวเราะร่าตามมา
พอเก็บห้องตัวเองเสร็จ ทิญาก็เก็บพวกแล็ปท็อป สัมภาระ เอกสารหนังสือของแซนเดอร์สและซากี้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นก็เอ่ยถาม “พวกคุณคุยอะไรกันอยู่เหรอคะ สุภาพบุรุษทั้งหลาย?”
แซนเดอร์สกะพริบตาให้ฉินสือโอวแล้วชี้ไปที่ห้องที่เป็นระเบียบ “ดูสิ นี่คือข้อดีอีกอย่าง ฮ่าๆ”
ฉินสือโอวมาเซนต์จอห์นครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพื่อดูแลแซนเดอร์ส แต่ยังต้องไปร่วมมหกรรมจัดหางานเซนต์จอห์น เขาต้องหานักบัญชีคนหนึ่งมาช่วยเขาดูร้านขายอาวุธและเครื่องใช้กลางแจ้ง ยังมีร้านขายของชำอีก และยังต้องหาคนมาจัดการเรื่องภาษีให้เขาด้วย
ทุกวันเสาร์เซนต์จอห์นจะมีมหกรรมจัดหางานที่รัฐบาลจัดขึ้นที่โรงยิมเล็กๆ แห่งหนึ่ง ฉินสือโอวโทรจองที่หางานของมหกรรมล่วงหน้า วันศุกร์เขาถึงเพิ่งจะโทรไป เดิมทีไม่คิดว่าจะรีบหาคนขนาดนี้ แต่ตอนนี้แซนเดอร์สมาถึงแล้วก็เลยถือโอกาสมาจัดการด้วยซะเลย
เมื่อได้รับโทรศัพท์จากฉินสือโอว พนักงานปลายสายพอได้ยินว่าเขาจะหานักบัญชีแค่คนเดียวก็พูดอย่างเสียดายว่า “ขอโทษนะคะ คุณผู้ชาย บริษัทที่เข้าร่วมมหกรรมสัปดาห์นี้เต็มแล้ว จองให้คุณเป็นอาทิตย์หน้าได้ไหมคะ?”
ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ได้แต่รอสัปดาห์หน้าแล้ว ฉินสือโอวบอกชื่อฟาร์มปลาต้าฉินกับเลขที่บัญชีชำระภาษี พอทางนั้นตรวจสอบดูก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “สวัสดีค่ะ คุณคือเจ้าของฟาร์มปลาต้าฉิน คุณฉินสือโอว ใช่ไหมคะ?”
ฉินสือโอวพยักหน้าก่อนจะเอ่ยปาก “ใช่ ทำไมเหรอครับ มีอะไรหรือเปล่า?”
คนคนนั้นยิ้มเจื่อน “โอ้ๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไร แค่อยากจะบอกคุณว่าพวกเราสามารถจัดที่ให้คุณได้หนึ่งที่ แต่ว่าคุณแน่ใจว่าจะจ้างนักบัญชีแค่คนเดียวเหรอคะ? งานมหกรรมของเรามีชาวประมงฝีมือดีมากมาย”
ฉินสือโอวบอกว่าตอนนี้เขายังไม่ต้องการชาวประมง ต้องการแค่นักบัญชี พนักงานช่วยเขาลงข้อมูล บอกเลขที่นั่งของเขา แล้วให้เขามาพรุ่งนี้ได้เลย
วันที่สอง ฉินสือโอวแต่งตัวเรียบร้อยแต่เช้าตรู่ ชุดสูท เนกไท รองเท้าหนังสีดำ จากนั้นก็รีบไปเจอแซนเดอร์สที่โรงยิม
เขาพิจารณาฉินสือโอวครู่หนึ่ง แซนเดอร์สยิ้มออกมาแล้วถาม “ร่วมงานมหกรรมครั้งแรกเหรอครับ?”
ฉินสือโอวพยักหน้าแล้วพูดอย่างเกรงใจ “เป็นทางการไปหน่อยหรือเปล่าครับ?”
ศาสตราจารย์สูงวัยสวมเสื้อโค้ตกับรองเท้าหนาอุ่นๆ ดูแล้วเหมือนกับลุงข้างบ้าน เทียบกันแล้ว ตัวเขายังสวมแว่นตาอยู่เลย ตอนที่ออกจากบ้านโดนวินนี่และคนอื่นๆ หัวเราะเยาะกันยกใหญ่
แซนเดอร์สกินเค้กพลางหัวเราะแล้วบอกว่ามันโอเค ทั้งสองคนเดินเข้าไปในโรงยิม พอฉินสือโอวสแกนรหัสยืนยันจากในเมลกับเครื่องหน้าประตู ก็ได้รับบัตรเข้างาน
บนบัตรเข้างานมีข้อมูลมากมาย รวมถึงที่นั่งในงานมหกรรมของพวกเขา นึกไม่ถึงว่าที่นั่งของพวกเขาจะอยู่ข้างประตูทางเข้า พูดได้ว่าเป็นที่นั่งทำเลทองของงานมหกรรม
ที่นั่งรับสมัครงานของมหกรรมเป็นโต๊ะเก้าอี้สำนักงานธรรมดา แต่ด้านบนมีหน้าจอแอลอีดีเล็กๆ แขวนอยู่เครื่องหนึ่ง บนนั้นเผยข้อมูลแนะนำสถานการณ์ฟาร์มปลาต้าฉินและตำแหน่งที่รับ
ที่นั่งนี้เป็นที่นั่งรับสมัครงานวีไอพี ฉินสือโอวนึกไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะได้นั่งที่แบบนี้ นี่คือที่ที่ทางงานจัดเตรียมให้บริษัทใหญ่โดยเฉพาะ ฟาร์มปลาต้าฉินของตัวเขากลายเป็นบริษัทใหญ่ตอนไหน?
พริบตาเดียวคำตอบก็ชัดเจนแล้ว
บทที่ 904 งานทุกวันนี้หาได้ไม่ง่าย
Ink Stone_Fantasy
ในข้อมูลแนะนำของฟาร์มปลาต้าฉิน มีจุดหนึ่งที่ตั้งใจทำเครื่องหมายไว้โดยเฉพาะ นั่นก็คือจ่ายภาษีเกินหรือเคยจ่ายติดต่อกันสี่ไตรมาสเป็นจำนวนสิบล้านดอลลาร์
พนักงานคนเมื่อวานก็เห็นถึงข้อนี้เลยแทรกที่รับสมัครงานให้ฉินสือโอวโดยเฉพาะ แล้วยังเป็นที่วีไอพีซะด้วย เพราะฉะนั้นพวกเขาเลยหวังว่าฉินสือโอวอาจจะรับคนเยอะหน่อย อย่างไรก็เป็นฟาร์มปลาที่จ่ายภาษีรวมกันไตรมาสล่ะกว่าสิบล้านดอลลาร์แคนาดา จำนวนคนที่ต้องการก็น่าจะเยอะหน่อยสิ
น่าเสียดาย เขาไม่รู้ว่าภาษีของฉินสือโอวส่วนมากเป็นภาษีการก่อสร้างและภาษีบุคคล แต่ไม่ใช่ภาษีรายได้ของฟาร์มปลา
ไม่ว่าอย่างไร ฉินสือโอวก็ได้ที่นั่งวีไอพี เขานั่งเก๊กท่าอยู่ด้านหลังโต๊ะ ไม่นานก็มีคนเข้ามายื่นประวัติย่อให้ มีคนสังเกตเห็นข้อมูลการรับสมัครที่บูธเสนอมากขึ้นจึงล้อมกันเข้ามา
อัตราการตกงานของแคนาดาทั้งประเทศเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และอัตราการจ้างงานของวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยนั้นค่อนข้างต่ำมาโดยตลอด ซึ่งสามารถดูออกได้จากการเบียดเสียดของผู้คนในมหกรรมจัดหางานเซนต์จอห์น
ฉินสือโอวเห็นฝูงชนที่มาหางานแต่เช้าก็รู้สึกว่างานนายกเทศมนตรีของแฮมเล็ตจะต้องไม่ง่ายแน่ๆ มิน่าล่ะตอนหาเสียงเขากับอ็อกเฟอร์ต่างก็สัญญาว่าจะเพิ่มอัตราจ้างงานในพื้นที่ ถ้าทุกคนยังไม่มีข้าวกินจะไปพูดถึงฝันแคนาดาได้อย่างไร?
ไม่ว่าจะเป็นประเทศสังคมนิยมหรือทุนนิยม อัตราการจ้างงานล้วนเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญในการปรับปรุงการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่น ยิ่งอัตราการจ้างงานต่ำอัตราการเกิดอาชญากรรมก็จะยิ่งสูง จะนอนสบายๆ ในบ้านก็ไม่ได้จริงไหม? นอนก็ไม่ได้มีเงินนี่
ก่อนที่มหกรรมจะเริ่ม ข้าราชการที่รับผิดชอบก็พูดแนะนำแบบเรียบง่ายซึ่งค่อนข้างเป็นพิธี ก็พูดประมาณว่ารัฐบาลเซนต์จอห์นมุ่งมั่นที่จะเป็นตัวกลางระหว่างแรงงานและฝ่ายบริหารมาตลอด รวมพลังแรงงาน ฝ่ายบริหารและรัฐบาลเพื่อให้ชาวเมืองสามารถหางานที่เหมาะสม และแสดงความสามารถ ส่วนบริษัทก็หาพนักงานดีๆ มาพัฒนาขยายตลาด และสร้างการพัฒนาด้านเศรษฐกิจร่วมกัน
ข้าราชการพูดอยู่ข้างบน คนรับสมัครงานและคนหางานด้านล่างก็ต่างพากันกลอกตาไม่เลิก พูดอะไรเหลวไหลทั้งนั้น เพิ่มโอกาสหางานจริงเหรอ พูดอะไรไม่มีประโยชน์พวกนี้ทำไม? วิกฤตการณ์จ้างงานจะหมดไปเองหรือไงกัน?
วิกฤตการณ์จ้างงานของแคนาดาในปัจจุบันเกิดจากระบบของรัฐบาล หลายปีก่อนเกณฑ์การย้ายถิ่นฐานของแคนาดาลดลงต่ำมากเพื่อที่จะเพิ่มจำนวนชาวเมืองผู้อพยพจึงทำให้ได้คนรายได้ต่ำมาจากเอเชีย อเมริกากลาง อเมริกาใต้ และยุโรปมากมาย
ใครก็รู้ว่าแคนาดากว้างใหญ่ ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ สวัสดิการรัฐบาลดี ผู้คนต่างก็ย้ายถิ่นฐานเข้ามาด้วยหลากหลายวิธี และในตอนนั้นกองทุนก็เป็นบัตรผู้อพยพเข้าเมือง ขอแค่มีธนาคารที่เชื่อถือได้เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่ามีกองทุนเท่าไหร่ ดังนั้นจึงสามารถย้ายถิ่นฐานได้
เบื้องบนมีนโยบาย เบื้องล่างก็มีมาตรการตอบโต้ ผู้อพยพหลายคนกู้ยืมเงินมาใส่ในบัญชีของพวกเขาชั่วคราว หลังจากย้ายถิ่นฐานมาค่อยคิดหาวิธีคืน แบบนี้พวกที่อพยพเข้ามาในแคนาดาก็ยังเป็นพวกไม่มีเงินอยู่ดี
ต่อให้คนพวกนี้มีเงินจริงๆ แต่ใช้ชีวิตที่แคนาดาไปพักหนึ่ง เงินก็ใช้หมดไปอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังไม่สามารถหางานที่ทำเงินได้ ดังนั้นก็ยังคงเสียเปล่าอยู่ดี
หลายๆ คนไม่ขออะไรมาก แค่อยากหางานที่มั่นคงเลี้ยงครอบครัว แต่เศรษฐกิจอเมริกาเหนืออยู่ในช่วงตกต่ำ บริษัทกลางและเล็กในอุตสาหกรรมใหญ่ต่างก็ลดจำนวนพนักงานและรายจ่ายทางเศรษฐกิจลง ส่วนบริษัทใหญ่ก็ตั้งข้อกำหนดรับพนักงานไว้สูงมาก แถมยังชอบฝึกอบรมเด็กนักศึกษาจบใหม่
หลังจากที่ฉินสือโอวได้ประวัติย่อสมัครงานมาก็ขอให้ผู้สมัครนั่งลงคุยกัน แซนเดอร์สแตะข้อศอกของเขาเบาๆ จากนั้นก็วางประวัติย่อลงก่อนจะบอกกับผู้สมัครอายุน้อยว่า “รบกวนตอนบ่ายค่อยมาได้ไหมครับ? ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ”
หลังจากนั้นก็เป็นแบบนี้ทั้งหมด เก็บประวัติก่อน ตอนบ่ายค่อยมาร่วมสัมภาษณ์งาน
ฉินสือโอวเข้าใจถึงเหตุผลในไม่ช้า ต้องเปรียบเทียบกันก่อน ถ้าเขาสัมภาษณ์ตอนนี้ก็จะเป็นการสัมภาษณ์ด้วยมาตรฐานที่ต่างกัน คนที่จ้างอาจจะไม่ใช่คนที่เหมาะที่สุด
ฉินสือโอวก็เป็นคนใจร้อนแบบนี้ ถ้าเป็นเขามานั่งทำเอง คงจะออกมาประมาณว่าคุยกับคนแรกสักหน่อย ไม่มีปัญหาอะไรก็จ้างงานเลย
เขากวาดตาอ่านประวัติย่อคร่าวๆ ส่วนมากจะเป็นคนหนุ่มสาว บางกลุ่มลาออกเพราะเมื่อก่อนเงินเดือนต่ำ หรือไม่ก็ความกดดันสูงจึงหาตำแหน่งงานที่ถูกใจอย่างใจเย็น แล้วก็มีนักเรียนที่หวังจะหางานพาร์ทไทม์เพื่อหาประสบการณ์ทำงาน หลังจบจะได้มีบริษัทใหญ่รับไปทำงาน
แซนเดอร์สบอกว่าตอนเช้าแค่เก็บประวัติย่อ เขาทำเองก็ได้ ให้ฉินสือโอวออกไปเดินเล่นก่อน ไปดูว่ามหกรรมเป็นอย่างไร ต่อไปเขาวางแผนจ้างงานอีกจะได้สะดวก
มหกรรมจัดหางานเซนต์จอห์นนี้ขนาดไม่ใหญ่ มีบริษัทจากอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มาเข้าร่วมประมาณห้าสิบบริษัท ตำแหน่งงานที่รับสมัครก็เยอะทีเดียว มีตั้งแต่ระดับรากหญ้ายันผู้จัดการ ขอบเขตกว้างมาก มีทั้งงานด้านขายปลีก ทีมผู้คุมวินัย สังคมสงเคราะห์จนถึงงานทางเทคนิคเฉพาะด้าน
ต่างกับที่จีน มหกรรมจัดหางานแคนาดานั้นไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลของทางเทศบาลก็จะมาออกบูธ ที่นี่มีใบปลิวของบริษัทบางส่วนใส่อยู่ในถุงพลาสติก ผู้สมัครต่อแถวกันรับ เพราะสามารถโทรไปสมัครได้
แน่นอนว่าฝ่ายทรัพยากรบุคคลก็ให้คำปรึกษาและแนะนำข้อมูลการจ้างงาน บางครั้งก็จะมีคนแนะนำความสามารถของตัวเองกับนิสัยด้านต่างๆ จากนั้นก็จะมีคนวิเคราะห์ว่าเหมาะสมกับงานแบบไหน และเงินเดือนประมาณเท่าไหร่ที่เหมาะสม
ฉินสือโอวว่างจนเบื่อเลยไปเข้าแถวกับเขาด้วย เขาอยากรู้ว่าถ้าไม่มีหัวใจโพไซดอน เขาจะสามารถทำอะไรได้บ้างในเซนต์จอห์น และมีอนาคตแบบไหนได้บ้าง
คนที่มาต่อแถวเพื่อถามมีไม่เยอะ เพราะทุกคนล้วนมาพร้อมกับเป้าหมายที่ชัดเจน ใครจะไปเสียเวลากับการถาม?
หลังจากที่นั่งลง ฉินสือโอวก็เริ่มจากแนะนำตัวเอง ประเทศ ระดับภาษา อายุ งานอดิเรกความสนใจ วุฒิการศึกษา ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ทำงาน เวลาที่มาแคนาดา ความสามารถในการสื่อสาร เงินเดือนที่อยากได้ ฯลฯ ล้วนต้องกรอกลงไปหรือไม่ก็เล่าให้ฟัง
หลังจากที่เขาเอาแบบฟอร์มส่งให้ผู้ให้คำปรึกษา อีกฝ่ายก็ถามแบบหยั่งเชิง “คุณผู้ชาย เงินเดือนที่คุณกรอกคือห้าพันถึงหกพัน ใช่ไหม? นี่คือรายเดือนเหรอครับ?”
ฉินสือโอวพูดแบบติดตลก “แน่นอนว่านี่คือเงินเดือน ผมไม่หน้าใหญ่เอารายสัปดาห์หรอก”
เขากรอกเงินเดือนห้าหกพัน เพราะว่านักบัญชีที่เขาจะจ้างครั้งนี้ก็ได้เงินเดือนเท่านี้ นี่ก็เป็นเงินเดือนระดับกลางค่อนไปทางต่ำของผู้ที่กลับมาทำงานหลังจากทำงานห้าหรือหกปีในแคนาดา
ผู้ให้คำปรึกษามองฉินสือโอวด้วยสายตาแปลกๆ ครู่หนึ่ง แขนทั้งสองข้างไขว้กันก่อนพูดด้วยสีหน้าระรื่น “พ่อหนุ่ม สถานการณ์เศรษฐกิจตอนนี้ไม่ค่อยสู้ดี ผมดูข้อมูลแนะนำของคุณแล้ว และคิดว่าคุณไม่เหมาะกับงานด้านฝ่ายทรัพยากรบุคคล ทิศทางการทำงานของคุณไม่ถูกต้อง”
ฉินสือโอวพูด “คงไม่มั้งครับ ผมเคยทำงานฝ่ายทรัพยากรบุคคลมาห้าปี เช่นพวกฝึกอบรม เงินเดือนค่าตอบแทน เอกสาร รับสมัครคนใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน ล้วนเคยทำมาหมดแล้วทั้งนั้น อีกอย่างผมยังเคยมีส่วนร่วมในการสร้างการประเมินประสิทธิภาพของบริษัท ผมคิดว่าความสามารถด้านนี้ของผมก็เพียงพอนะครับ”
ผู้ให้คำปรึกษาระบายยิ้มบาง “ในเมื่อเป็นแบบนี้ คุณก็น่าจะเข้าใจงานขั้นพื้นฐานของฝ่ายทรัพยากรบุคคลคือการสื่อสารและบริการใช่ไหมครับ? งั้นคุณเข้าใจถึงนิสัยในการทำงานและในชีวิตประจำวันของชาวเม็กซิกันไหม? คนอาร์เจนตินาล่ะ? คนรัสเซียล่ะ?”
ฉินสือโอวยิ้มขมขื่น “พวกนี้ผมเรียนรู้ได้”
“แต่ผมเตือนคุณได้อย่างหนึ่ง งานด้านทรัพยากรบุคคลต้องมีใบรับรองคุณสมบัติทรัพยากรบุคคล ผมขอถามหน่อยว่าคุณสอบผ่านหรือยังครับ?”
“ยังครับ”
“ผมแนะนำให้คุณทำงานใช้แรงงาน ด้านทรัพยากรบุคคลอาจไม่ค่อยเหมาะกับคุณสักเท่าไร”
บทที่ 905 สัปดาห์การพัฒนาแรงงาน
Ink Stone_Fantasy
ฉินสือโอวเดินหงอยคอตกกลับมา แซนเดอร์สเห็นเขาแปลกไปจึงถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะตอบว่า “ผมไปทำแบบสำรวจหางานเพื่อหางานที่เหมาะกับผมมา นอกจากจะไปทำงานก่อสร้าง ก็ไปทำงานแรงงานในทะเล สรุปคือนอกจากงานใช้แรงงานผมก็ทำอย่างอื่นไม่ได้เลย”
แซนเดอร์สยักไหล่แล้วเอ่ยขึ้น “เพราะฉะนั้นคุณคิดดูนะ ผู้ให้คำปรึกษาก็ไม่ได้รู้ทุกอย่าง เวลาแค่ไม่กี่นาทีพวกเขาจะเข้าใจคนคนหนึ่งได้สักแค่ไหนกันเชียว? รัฐบาลทำแบบนี้ไปก็ช่วยผู้สมัครไม่ได้ ดีไม่ดีอาจจะทำให้พวกเขาเข้าใจผิดไปในทางใดทางหนึ่ง”
ฉินสือโอวมองศาสตราจารย์สูงวัยอย่างประหลาดใจแล้วเอ่ยถาม “ทำไมคุณถึงไม่คิดว่าพวกเขาพูดถูกล่ะ? บางที ผมอาจจะเป็นพวกคุณหนูบ้านรวยที่มาเปิดฟาร์มปลาที่เซนต์จอห์นก็ได้?”
แซนเดอร์สยิ้มออกมาแล้วตบไหล่เขาพลางพูดขึ้นมาว่า “คุณคิดว่าผมจับฉลากมาทำงานที่ฟาร์มของคุณเหรอไง? ผมหาข้อมูงดูสถานการณ์ฟาร์มปลาของคุณมาแล้ว คุณสามารถช่วยฟาร์มปลาที่ใกล้จะล้มละลายให้กลับมาได้ คุณเก่งมากนะ”
เขาเว้นช่วงไป แล้วมองดูฉินสือโอวด้วยสายตาชื่นชม “อีกอย่างอีกจุดที่ดีมากอย่างหนึ่งก็คือความสามารถในการคุมลูกน้องของคุณที่โดดเด่นมาก คุณสามารถดูแลชาวประมงยี่สิบกว่าคนโดยไม่มีปัญหาอะไรเลย อย่างน้อยเป็นก็ผู้จัดการฝ่ายบุคคลได้ไม่มีปัญหา”
โดนแซนเดอร์สชมแบบนี้ ความทระนงในใจของฉินสือโอวก็โลดแล่นขึ้นมาทันที ความมั่นใจที่ถูกเหยียบย่ำกลับมาอีกครั้ง นั่นน่ะสิ ตัวเขาไม่ใช่พวกไร้ความสามารถ ต่อให้ไม่มีหัวใจโพไซดอน…ช่างเถอะ อย่าคิดดีกว่า ไม่มีหัวใจโพไซดอนตัวเขาก็ไม่ได้มาแคนาดาแน่ๆ!
งานมหกรรมจัดหนึ่งวัน แต่ฉินสือโอวเก็บประวัติย่อไปครึ่งวันก็เตรียมแยกย้าย เขาแค่ต้องการนักบัญชีคนเดียว ประวัติย่อที่ได้มามีตั้งสี่สิบใบแล้ว พอที่จะเลือกคนที่เหมาะสมออกมาแล้ว
ตอนที่เตรียมตัวกลับ ชายวัยกลางคนในชุดสูทและรองเท้าหนังก็มาขวางฉินสือโอวไว้ คนคนนี้เป็นผู้รับผิดชอบงานมหกรรม ข้าราชการคนหนึ่งของทรัพยากรบุคคลเซนต์จอห์น คนที่กล่าวคำปราศรัยบนเวทีเมื่อเช้าก็คือเขา
“คุณฉิน? ผมคือกรีน ทรีอินน์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ชายวัยกลางคนส่งนามบัตรใบหนึ่งให้ฉินสือโอว
ฉินสือโอวเกิดความนับถือขึ้นมา กรีน ทรีอินน์? เขาจำได้ว่านี่เป็นโรงแรมแฟรนไชส์ที่มีชื่อเสียงในจีนนี่ เขาเลยพูดล้อเล่นแกมหยอก “ธุรกิจโรงแรมของตระกูลคุณเยี่ยมมาก ที่จีนน่ะทำตลาดได้มากกว่าโรงแรมฮิลตันเสียอีก”
ปรากฏว่าเขารู้จักโรงแรมกรีน ทรีอินน์จึงยิ้มสบายอารมณ์ “ผมรู้ ผมก็เคยคิดจะปกป้องสิทธิ์อยู่เหมือนกัน พวกเขาละเมิดสิทธิ์ในการใช้ชื่อของผมไม่ใช่หรือครับ?”
พอล้อกันเล่นทั้งสองก็รู้สึกเชื่อมกันขึ้นมาอีกนิด กรีน ทรีอินน์บอกเขาว่า ท่านนายกเทศมนตรีแฮมเล็ตเพิ่งผ่านการลงมติในสภาเมืองเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไปทุกสัปดาห์แรกของเดือนที่นครเซนต์จอห์นจะมีสัปดาห์การพัฒนาแรงงาน
เขาถามฉินสือโอวว่าจะเข้าร่วมไหม ถ้าเข้าร่วมตอนนี้จะสามารถเป็นบริษัทน่าเชื่อถือกลุ่มแรกได้ ถ้าจ้างคนงานก็จะได้พวกส่วนลดในการจ่ายภาษีด้วย
ฉินสือโอวชักเริ่มสนใจขึ้นมาแล้ว ภาษีแคนาดาสูงมากไป ถ้าเป็นที่จีน ภาษีที่เขาจ่ายในสองปีที่ผ่านมานี่พอซื้อพวกสาวสวยดาวคณะดาวมหาลัยแล้ว กิจกรรมที่ลดภาษีถ้าไปได้เขาก็ควรไป
เขาทำความเข้าใจสักหน่อย สัปดาห์แรงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์การพัฒนากำลังคน ‘ทำงานเป็นหนึ่งเดียว’ ที่จัดโดยรัฐบาลกลางแคนาดา เดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์รัฐบาลกลางกำลังจะโปรโมทโปรเจคนี้อีก
จุดประสงค์ของโปรเจคนี้มีอยู่สามอย่าง หนึ่งคือสร้างการเข้าถึงข้อมูลงานสำหรับชาวเมืองที่ตกงาน สองคือเผยแพร่ข่าวรับสมัครงานให้ทางบริษัท สามคือแลกเปลี่ยนข้อมูลที่มีค่าที่สุดระหว่างนายจ้าง ผู้ว่างงาน และชุมชนซึ่งจะนำจัดโดย ‘ศูนย์การจ้างงานและบริการสังคม’ ของแคนาดา
พอทำความเข้าใจเสร็จ ฉินสือโอวก็บอกว่าเขาจะกลับไปคิดดู ตอนนี้เขายังไม่มีแผนจะจ้างคนอย่างแน่ชัด ต้องกลับไปพิจารณาดูก่อนถึงจะให้คำตอบได้
เมื่อออกจากงานมหกรรม ฉินสือโอวกับแซนเดอร์สก็หาร้านอาหารจานด่วนนั่งกินข้าวกัน เป็นร้านอาหารเสฉวนที่ขึ้นชื่อมากร้านหนึ่ง
ฉินสือโอวใช้ภาษาจีนสั่งอาหาร พนักงานมีไหวพริบมากจึงบอกพ่อครัวว่าด้านนอกมีพวกเดียวกับเราอยู่ เนื้อต้ม ปลาทอดซอสเผ็ด เนื้อพะโล้ทอดกับเนื้อคลุกข้าวคั่วนึ่งที่ยกมาล้วนแล้วแต่เป็นอาหารจีนรสดั้งเดิม
แซนเดอร์สเป็นผู้อพยพชาวอเมริกากลางเลยกินเผ็ดได้มากอยู่เหมือนกัน ทั้งสองคนต่างกินกันจนเหงื่อแตกท่ามกลางฤดูหนาว ตาเฒ่ายกนิ้วโป้งขึ้นใหญ่พลางอุทานว่า ‘อร่อย’ ฉินสือโอวสอนให้เขาใช้ภาษาจีนพูดว่า ‘เจ๋ง’ หลังจากนั้นในร้านก็มีเสียงตะโกนดังว่า ‘เจ๋ง’ อยู่เป็นพักๆ
ตอนที่กินข้าวทั้งสองคนก็ดูประวัติย่อไปด้วย แซนเดอร์สพูดขึ้นว่า “ตอนนี้มีอยู่ปัญหาหนึ่ง นั่นก็คือคุณอยากหาคนจีนหรือว่าคนจากชาติอื่น?”
ฉินสือโอวก็เคยคิดเรื่องนี้ เขาอยากจ้างคนจีน แม้ว่าผู้คนต่างมีคำกล่าวอย่าง ‘คนจีนคนเดียวเกรียงไกรเป็นมังกร แต่พอจับกลุ่มก็ไม่รอด’ ที่จริงแล้วพออยู่ต่างประเทศก็จะรู้ว่าคนจีนเองก็ค่อนข้างเกาะกลุ่มกัน
บัญชีเป็นเรื่องความลับ แน่นอนว่าใช้คนจีนจะวางใจได้มากกว่า ถ้าเลือกคนจีน ดีที่สุดก็คือพวกที่เพิ่งอพยพมาไม่นาน คนประเภทนี้จะให้ความสำคัญกับสายเลือดและเชื้อชาติ แต่คนประเภทนี้อาจจะไม่คุ้นเคยกับระบบภาษีของแคนาดา นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง
ฉินสือโอวไม่ได้มีมุมมองอะไรกับคนชาติอื่น ชาวประมงกับทหารรับจ้างของเขาถ้าไม่ใช่คนขาวก็เป็นคนผิวดำที่ทุ่มเทและรับผิดชอบต่องานมาก เขาพอใจมาโดยตลอด
แต่พิจารณาสองสามวินาที เขาตัดสินใจว่าในสถานการณ์ที่คล้ายกัน เขาจะจ้างคนจีน
ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น เมื่อครู่ฉินสือโอวสัมผัสได้ถึงความยากลำบากของพวกเดียวกันในแคนาดา ช่วยคนกันเองแก้ปัญหาเรื่องหางาน ต่อให้แค่เพียงคนเดียวเขาก็ยังรู้สึกดีอยู่ไม่น้อย
ทั้งสองคนกินไปเลือกไป สุดท้ายก็เลือกมาห้าคนจากสี่สิบคน คนจีนสี่คน คนขาวหนึ่งคน ล้วนแล้วแต่อายุประมาณสามสิบ
นักบัญชีอายุประมาณนี้ค่อนข้างลำบาก ในโลกนี้มีสองอาชีพที่ยิ่งแก่ยิ่งได้เงินเยอะ หนึ่งคือหมอ สองคือนักบัญชี นักบัญชีอายุสามสิบเพิ่งจะผ่านช่วงใจร้อนและประมาทแบบคนอายุน้อย แต่คุณสมบัติไม่พอ ฉะนั้นจึงหางานยากกว่า
เงินค่าแรงที่นักบัญชีอายุเท่านี้ได้มักจะต่ำกว่าที่คาดไว้ พวกเขาเข้าใจถึงข้อนี้ดี เวลาทำงานเลยจริงจัง เพื่อใช้ผลงานมาแลกกับโอกาสได้ขึ้นเงินเดือน
ฉินสือโอวโทรไปแจ้งทั้งห้าคน สถานที่สัมภาษณ์คือห้องประชุมเล็กๆ ในโรงแรมแห่งหนึ่ง ฉินสือโอวจ่ายไปหนึ่งร้อยดอลลาร์เพื่อเช่ามาสองชั่วโมง
ทั้งห้าคนมาถึงที่โรงแรมตรงเวลาตอนบ่ายสองครึ่ง ฉินสือโอวจัดการให้พวกเขาไปรอที่ห้องนั่งเล่นสักครู่ แซนเดอร์สเดินเข้ามาแล้วเอ่ยถาม “จะเตรียมสัมภาษณ์หรือยังครับ?”
ฉินสือโอวพยักหน้า แซนเดอร์สเดินไปทางห้องประชุมเล็ก ทิญาที่อยู่ในชุดสาวออฟฟิศตามมาข้างหลังแล้วยื่นข้อมูลวิเคราะห์ผู้สมัครให้กับแซนเดอร์สแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ตอนกลางวันฉันทำการวิเคราะห์แบบง่ายๆ มาแล้ว อาจารย์ช่วยดูหน่อยเถอะค่ะว่าใช้ได้หรือเปล่า”
มิน่าล่ะแซนเดอร์สถึงชอบพาทิญาออกมาทำธุระด้วย เพราะสาวยูเครนอีคิวสูงมาก ความสามารถในการจัดการเรื่องต่างๆ ก็สูง เป็นผู้ช่วยที่ดีสุดๆ อย่างเช่นตอนหลังที่การสัมภาษณ์เริ่มขึ้น ทิญาก็รับผิดชอบไปช่วยแจ้งผู้สมัครให้เข้ามา
คนแรกที่เข้ามาเป็นผู้อพยพจากมณฑลกวางตุ้ง เรียบร้อยสุภาพ พอเข้ามาในห้องก็จับมือกับฉินสือโอวก่อนค่อยจับมือกับแซนเดอร์ส สุดท้ายก็พูดกับศาสตราจารย์เฒ่า “บอส ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”
บทที่ 906 พ่อแม่หมาป่ากลับมาแล้ว
Ink Stone_Fantasy
พอได้ยินคำเรียกของคนคนนั้น ฉินสือโอวก็อึ้งไปทันใด บอสเหรอ? เขาต่างหากที่เป็นบอส โอเค? ทำไมถึงเรียกแซนเดอร์สว่าบอส?
เพียงแต่พอคิดตามเขาก็เข้าใจในทันที อันดับแรก ตัวเขาแต่งตัวเป็นทางการเกินไปเหมือนกับชุดสาวออฟฟิศของทิญา ทั้งสองคนดูเหมือนผู้ช่วยชายหญิงพอดี อีกอย่างท่าทีตัวเขาดูสบายๆ เกินไป ต่างกับแซนเดอร์ส ทำอะไรก็บุคลิกดี พอดูก็เหมือนคนที่อยู่เหนือคนทั่วไป
ที่สำคัญที่สุดก็คือก่อนหน้านี้เขาเป็นคนต้อนรับพวกนั้น ส่วนข้างๆ แซนเดอร์สมีทิญาคอยตาม แบบนี้ดูๆ แล้ว แน่นอนว่าคนที่เป็นบอสคือแซนเดอร์ส
พอทำความเข้าใจถึงจุดนี้ ฉินสือโอวก็จนใจนิดหน่อย นิสัยของแซนเดอร์สมีความขี้เล่นอยู่เล็กน้อย เขาหยิบประวัติย่อมาปิดหน้าตัวเองแล้วทำยักคิ้วหลิ่วตาให้ฉินสือโอวด้วยท่าทีภูมิอกภูมิใจ
การสัมภาษณ์นั้นเรียบง่ายมาก หลักๆ ก็ทำความเข้าใจนิสัยคนพวกนี้ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กรของฟาร์มปลา ดูว่าสามารถทำตัวให้ชินกับชีวิตโดดเดี่ยวบนเกาะได้ไหม ส่วนความสามารถ ทั้งห้าคนก็พอๆ กัน นักบัญชีธรรมดา มีใบอนุญาตนักบัญชี ลงทะเบียนสอบนักบัญชี
คนที่สองที่เข้ามาเป็นคนขาว เป็นผู้อพยพคนหนึ่งเช่นกัน มาจากเบลเยียม เพียงแต่ว่าอยู่แคนาดามาสิบกว่าปีแล้ว เรียนการตรวจสอบการเงินที่มหาวิทยาลัยอนุสรณ์นิวฟันด์แลนด์ แล้วยังบอกว่าพอจะมีความรู้เรื่องกฎหมายด้วย
หลังจากที่คนนี้เข้ามาก็เรียกแซนเดอร์สว่าบอสเช่นกัน ทำเอาฉินสือโอวเริ่มเซ็ง เข้าใจก็เข้าใจแต่ก็ไม่สบอารมณ์อยู่ดี
ผู้สมัครคนที่สามมาจากมณฑลส่านซี ชื่อว่าจางเผิง อพยพมาเซนต์จอห์นได้สี่ปีแล้ว เพิ่งผ่านการสอบคุณสมบัตินักบัญชีของแคนาดา ฉินสือโอวให้ความสำคัญกับงานอดิเรกอย่างหนึ่งของเขา นั่นก็คือตกปลา แล้วยังเป็นสมาชิกสมาคมตกปลานานาชาติอีกด้วย
จางเผิงอายุสามสิบสี่ โครงหน้าเหลี่ยม ตาเล็ก ผมสั้น ดูกระตือรือร้น หุ่นออกเจ้าเนื้อนิดหน่อย หลังจากเข้ามาเขาก็โค้งตัวเล็กน้อย จากนั้นก็จับมือกับทั้งสองคน สุดท้ายก็พูดกับฉินสือโอว “คุณฉิน สำหรับการทำฟาร์มปลาผมเองก็สนใจมากๆ หวังว่าต่อไปจะมีโอกาสขอคำแนะนำจากคุณ”
ฉินสือโอวถาม “คุณรู้จักผมเหรอ?”
จางเผิงยิ้มบางแล้วพูดขึ้น “แน่นอนว่ารู้จัก ผมเคยหาข้อมูลเกี่ยวกับฟาร์มปลาต้าฉิน ก็เลยเข้าใจบ้างครับ”
ฉินสือโอวรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย ในที่สุดก็มีคนที่รู้ว่าตัวเขาเป็นบอสแล้ว แบบนี้ความประทับใจที่มีต่อจางเผิงก็สูงขึ้นมา
แซนเดอร์สมองดูเขาอย่างสนใจแล้วถามขึ้น “งั้นคุณรู้จักผมไหมครับ?”
จางเผิงพูดยิ้มๆ “ศาสตราจารย์แซนเดอร์ส วอร์ตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุทรศาสตร์โทรอนโต ที่ปรึกษามืออาชีพของฟาร์มปลาต้าฉิน พอรู้จักบ้างครับ”
เจอแบบนี้ฉินสือโอวก็ตกใจ ไอ้หนุ่มนี่มาจากซีไอเอหรืออย่างไร? รู้จักเขาน่ะไม่น่าแปลกใจ เข้าไปหาฟาร์มปลาต้าฉินในเน็ตครู่เดียวก็เจอข้อมูลของเขาแล้ว แต่แซนเดอร์สน่ะ คนทั่วไปไม่น่าจะรู้จักเขานี่
เห็นปฏิกิริยาของทั้งสองคน จางเผิงจึงอธิบายว่า “คุณฉินน่ะผมหาข้อมูลมาจากอินเทอร์เน็ต ส่วนข้อมูลของศาสตราจารย์ผมได้มาจากคุณทิญาที่อยู่นอกประตู นี่เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ใช่เหรอครับ?”
ฉินสือโอวพยักหน้าพลางตอบว่าใช่ ทำได้ เขารู้สึกว่าจางเผิงเหมาะสมมากกว่าสองคนก่อนหน้า อย่างน้อยเขาก็เตรียมตัวกับการสัมภาษณ์ครั้งนี้อย่างดี ไม่ได้มาตามความเข้าใจส่วนตัว
“คุณน่าจะเห็นข้อมูลที่บูธเราจากมหกรรม จ่ายภาษีเกินสิบล้านติดต่อกันหลายไตรมาส คุณรู้สึกว่าถ้าผมเอาการเงินของฟาร์มปลาใหญ่ขนาดนี้ไว้ในมือคุณ จะวางใจได้ไหม?” ฉินสือโอวถาม
จางเผิงยิ้มบางแล้วเอ่ยขึ้น “แน่นอนว่าตัวผมเองยังไม่วางใจเลย แต่ผมว่า คุณจ้างนักบัญชีคนหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อดูแลบัญชีทั้งหมด ผมว่าคุณมีอุตสาหกรรมเล็กๆ ที่คุณเองอาจจะดูแลไม่ไหว แต่ก็ไม่คุ้มถ้าจะให้สำนักงานบัญชีขนาดใหญ่เข้ามาช่วยดูแล ฉะนั้น พวกเราเข้าใจตรงกัน ใช่ไหมครับ?”
ฉินสือโอวพลิกดูประวัติของจางเผิงแล้วถาม “นี่ก็คือสิ่งที่คุณหาเจอเหมือนกันเหรอ?”
“วิเคราะห์ออกมาครับ ถ้าต้องดูแลบัญชีหลายสิบล้าน งั้นแน่นอนว่าสำนักงานบัญชีขนาดใหญ่จะน่าวางใจได้มากกว่า ต่อให้จะจ้างนักบัญชีคนหนึ่ง ก็ไม่น่าจะจ้างพวกที่มีทักษะแบบพวกเรา ผมกับข้างนอกอีกสี่คน ทักษะก็พอๆ กัน”
จางเผิงมองดูฉินสือโอวด้วยสายตาซื่อตรง จังหวะพูดไม่ช้าไม่เร็ว ทำให้คนรู้สึกว่าทำอะไรสุขุมจริงจัง
ตอนหลังก็คุยกันต่ออีกหน่อย ฉินสือโอวพอใจมาก เขาเอ่ยขึ้น “โอเค คุณกลับไปรอการแจ้งผลจากเรา ถ้าเหมาะสมพรุ่งนี้ก่อนกลางวันผมจะโทรไป”
จางเผิงถามขึ้น “ผมมีอีกคำถามสุดท้ายจะช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมครับ?”
ฉินสือโอวให้สัญญาณเขาว่าตามสบาย จางเผิงเอ่ย “ผมคิดว่าคุณคงร่วมงานกับพวกสำนักงานบัญชีขนาดใหญ่ ขออนุญาตถามว่าถ้าผมโชคดีได้เป็นนักบัญชีส่วนตัวของคุณ จะสามารถไปเรียนรู้เก็บประสบการณ์ที่สำนักงานบัญชีได้ไหมครับ?”
“นั่นเพราะอะไร?” ฉินสือโอวพูด
จางเผิงคิดๆ ดู แล้วพูดด้วยภาษาจีนกลาง “เรียนรู้จากคนเก่งกว่าไว้เพื่อป้องกันพวกเขา ได้ไหมครับ?”
ฉินสือโอวยิ้มออกมา ลุกขึ้นจับมือกับเขาก่อนจะส่งเขาออกไป
ตอนนี้จางเผิงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด ฉินสือโอวกับแซนเดอร์สปรึกษาหารือกันครู่หนึ่ง อีกฝ่ายก็คิดว่าแบบนั้นเช่นกัน
มีจางเผิงเปรียบเทียบ การสัมภาษณ์ของอีกสองคนต่อมาไม่ค่อยโอเค พวกเขาไม่ใช่ว่าไม่ผ่านคุณสมบัติ แต่มีคุณสมบัติมากเกินไป เหมือนนักบัญชีที่ประสบความสำเร็จมากไป เคร่งขรึม จริงจรัง แต่ก็เป๊ะเกินไป
ฉินสือโอวรู้สึกว่าการปฏิสัมพันธ์กับคนแบบนี้จะต้องไม่น่ารื่นรมย์แน่ๆ
มหกรรมจัดหางานจบลง ฉินสือโอวกลับฟาร์มปลาไปก่อน เขาบอกแซนเดอร์สให้โทรหาจางเผิงในวันพรุ่งนี้ตอนกลางวันแล้วพามาฟาร์มปลาด้วยกันเพื่อเข้าทำงาน เรื่องเวลาเดี๋ยวเขาจะเป็นคนกำหนดเอง อย่างน้อยเขาต้องแน่ใจก่อนว่าไข้หวัดของพวกนั้นหายดีแล้ว
กลับมาถึงฟาร์มปลา ฉินสือโอวก็ไปดูวินนี่ก่อน แล้วเล่าถึงมหกรรมจัดหางานในครั้งนี้ให้เธอฟัง
ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงเจิดจ้าอยู่ด้านนอก วินนี่ให้ฉินสือโอวออกไปเดินเป็นเพื่อนเธอ สวนดอกไม้ของคุณลุงฮิคสันเก็บกวาดได้สะอาดเรียบร้อยมาก เวลาไม่มีอะไรทำวินนี่จะชอบมานั่งอ่านหนังสือหรือเดินเล่นในสวนดอกไม้
ก่อนหน้านี้เคยมีหิมะตก พื้นก็เลยลื่นเล็กน้อย ฉินสือโอวติดนิสัยดึงเสื้อของวินนี่เพื่อปกป้องเธอ
วินนี่รู้สึกว่ามันเหมือนผู้ใหญ่จูงเด็กเลยยื่นมือไปตีมือของฉินสือโอวออกแบบรำคาญแล้วทำเสียงโกรธ “อย่าดึงเสื้อฉันได้ไหมคะ?”
ฉินสือโอวจงใจทำท่าน่าสงสาร “ไหนว่าจะเป็นนางฟ้าของกันและกันไง? คุณไม่เพิ่มคำเรียกหน่อยเหรอ?”
วินนี่ขนวดคิ้วพลางทำท่าดุดัน “คำเรียกอะไรกันคะ?”
“ก็พวกเบบี้ ที่รัก อะไรแบบนี้ไง” ฉินสือโอวพูดด้วยท่าทีที่สื่อว่ามันก็ควรจะเป็นแบบนั้นสิ
วินนี่ให้เขาดึงเสื้อตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ฉินสือโอวดึงอย่างดีอกดีใจ จากนั้นก็ตีลงที่มือเขาอย่างแม่นยำแล้วพูดอย่างโหดเหี้ยม “อย่ามาดึงเสื้อเบบี้ของฉันสิคะ?”
ฉินสือโอวกลืนน้ำลายก่อนจะพูด “คุณฉลาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
วินนี่ลูบท้องที่ยื่นออกมาอย่างถนอมแล้วพูดอย่างภูมิใจ “ก็ตั้งแต่ที่ฉันมีสมองสองอันไง”
สองคนกำลังจู๋จี๋กัน คุณลุงฮิคสันก็เดินออกมาพลางพูดใส่วิทยุที่ชูขึ้น “ฉิน ชาร์คหานายอยู่ บอกว่ามีหมาป่าบุกรุกฟาร์ม ให้นายรีบกลับไปดู”
“ตีให้ตายก็จบแล้วนี่” ฉินสือโอวพูดพลางกอดวินนี่อย่างอ่อนโยน
ตาเฒ่ายักไหล่เดินจากไปก่อนจะโผล่มาอีก “แน่ใจว่าจะให้ตีตาย? ชาร์คบอกว่าเป็นหมาป่าขาวสองตัว? เขาถามว่านายแน่ใจเหรอ?”
“ให้ตายเถอะ พวกมันกลับมาอีกแล้ว? รีบกลับบ้านเร็ว!” วินนี่ร้อนใจไปก่อนแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น