องครักษ์เสื้อแพร 900-901
ตอนที่ 900 กระแสถาโถมใส่ขุนนางราชสำนัก
โดย
Ink Stone_Fantasy
“โอรสพระสนมเอกเจิ้ง จูฉางสวิน ได้ดังใจเรา เราตัดสินใจแต่งตั้งเป็นรัชทายาท!!”
พระดำรัสตรัสด้วยสุรเสียงนิ่งเรียบปกติ ขุนนางด้านล่างที่อยู่ใกล้พระแท่นที่สุดถึงกับได้ยินไม่ชัด แม้แต่สามแถวหน้าก็ไม่ทันได้ตั้งใจฟัง
ขุนนางทั้งหมดพากันลงคุกเข่าไม่ทันได้คิดทูลว่า ‘ฝ่าบาททรงพระปรีชา’ ส่วนใหญ่ด้านหลังก็คุกเข่าตาม แถวหน้าทั้งหมดคำนับและทูลพร้อมกันว่า ‘ฝ่าบาท’ ได้สองคำ ก็เหมือนว่ามีอันใดติดคออยู่ จากนั้นก็พูดไม่ออกอีก
พวกที่อยู่สามแถวหน้าย่อมเป็นขุนนางพิเศษ แม้ว่าอายุมาก แต่หูตาก็ยังคงว่องไว พอมั่นใจในสิ่งที่ได้ยินว่า ‘จูฉางสวิน’ ก็ถึงกับเงยหน้ามองอึ้งไป
พวกเขามองไปยังฮ่องเต้ว่านลี่ที่พระพักตร์ยิ้มเยียบเย็น ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่า ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มเยียบเย็นไม่ใช่เพราะการไม่อาจต่อต้านพวกเขา แต่เพราะเยาะเย้ย
เหลวไหลสิ้นดี สองเดือนกว่าที่พวกไทเฮาและบรรดาขุนนางราชสำนัก หรือแม้แต่ขุนนางนอกเมืองก็แสดงท่าทีจุดยืนชัดเจน ทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องที่แน่นอนไม่อาจเปลี่ยนแปลงแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่คิดจะตรัสไม่กี่คำก็จะพลิกเปลี่ยนแปลง ช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน
ราชโองการมีขั้นตอนว่าต้องผ่านคณะเสนาบดีใหญ่ส่งไปยังสำนักส่วนพระองค์ลงชาดประทับ หากไม่มีร่างจากคณะเสนาบดีใหญ่ ขุนนางเบื้องหน้าเหล่านี้ย่อมไม่รับราชโองการยามนี้ได้โดยไร้ความผิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าทรงตรัสเองอย่างไร้ลายลักษณ์อักษร เป็นพระดำรัสราชโองการ พระดำรัสเช่นนี้แต่ไรมาไม่อาจใช้กับเรื่องใหญ่ได้ หรือว่าฝ่าบาทไม่เคยทรงได้รับการสั่งสอนจากเรื่องของหวังซีเจวี๋ยงั้นหรือ?
“ฝ่าบาท ขอฝ่าบาทคืนรับสั่งด้วย เรื่องลำดับอาวุโสเป็นเรื่องจารีตธรรมเนียมใหญ่ รัชทายาทย่อมแต่งตั้งโอรสองค์โต หากไม่ทำตาม ก็ย่อมนำมาซึ่งภัยใหญ่!”
เสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีคุกเข่าลงก่อนจะตะโกนดัง เขาอายุเกือบ 60 แล้ว พอถวายบังคมเสร็จ ถึงกับยังมีแรงตะโกนดังเช่นนี้ได้อีก ช่างน่าตกใจจริง
“ขอฝ่าบาทคืนรับสั่งด้วยพะยะค่ะ!!”
หยางเหว่ยสีหน้านิ่งลงคุกเข่าตาม ทว่าไม่ได้แสดงท่าทีผ่อนตามเหมือนการประชุมทุกครั้งปกติ แต่ครั้งนี้เสียงกราบทูลกลับดังก้อง ทุกคนพากันคุกเข่าส่งเสียงทูลดัง ขุนนางส่วนใหญ่ทั้งหมดหลังจากอึ้งไปนาน ก็ค่อยๆ พากันคุกเข่าลงส่งเสียงกราบทูลดังพร้อมกัน
เซินสือหัง หวังซีเจวี๋ยและหลายคนสบตากัน ไม่พูดถึงว่าฮ่องเต้ว่านลี่ลงมือได้ราวกับเด็กน้อย และเลือกเวลาได้ไม่เหมาะสมเอาเสียเลย
ในลานที่มีขุนนางมากมายเช่นนี้ พวกที่มีอำนาจหรือไม่มีอำนาจในเมืองหลวงล้วนอยู่ที่นี่ เจ้าพูดคนเดียว ไม่ใช่ว่าเท่ากับว่าคนพวกนี้กำลังร่วมกำลังกันกดดันเจ้าคนเดียวหรือ?
แต่ก็มีขุนนางส่วนน้อยยืนอยู่ พวกเขาอาจเป็นพวกสังกัดศาลซุ่นเทียน หรืออาจเป็นพวกเซินสือหัง อาจารย์และหัวหน้าตนไม่คุกเช่า ตนเองหากรีบร้อนแสดงท่าทีก็เท่ากับโง่เกินไปแล้ว
“กระหม่อมไม่รับราชโองการ ขอฝ่าบาทคืนรับสั่งด้วยพะยะค่ะ!!”
เสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีทูลต่อ พวกขุนนางกรมพิธีการก็ออกมาประสานรับ แต่งตั้งผู้ใดเป็นรัชทายาท ก็ต้องผ่านกรมพิธีการ จากนั้นค่อยมีราชโองการ จึงจะประกาศใต้หล้า กรมพิธีการไม่รับพระบัญชา ชั้นตอนก็ไม่อาจดำเนินต่อได้
“เรื่องใหญ่เช่นนี้ พวกกระหม่อมไม่เสียดายชีวิตหากต้องยืนหยัดหลักการจารีตให้คงอยู่ หากผู้ใดไม่คัดค้านย่อมเป็นขุนนางชั่ว พวกกระหม่อมจะต้องร่วมจัดการให้สิ้น!!”
“แผ่นดินนี้เลี้ยงดูบัณฑิตมาเกือบสองร้อยปี เวลาที่ได้สนองคุณแผ่นดินคือยามนี้แล้ว!!”
วาจาตะโกนกราบทูลเช่นนี้เริ่มดังไปทั่ว การตะโกนเช่นนี้ดังขึ้น พวกที่เดิมไม่ได้คุกเข่าหลายคนก็เริ่มลังเลกันไม่น้อย กระแสคลื่นซัดสาดลูกแล้วลูกเล่า
เรื่องพวกนี้ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่ามีคุณธรรมยิ่ง แต่ที่จริงแล้วกลับเป็นการคุกคาม หากไม่ร่วมกับทุกคน พวกเจ้าก็เป็นศัตรูกับทุกคน หลังจบเรื่องนี้ ก็ย่อมต้องเป็นเป้าโจมตี วงการขุนนางกลัวอันใดที่สุด ที่กลัวที่สุดก็คือไม่อาจเข้ากลุ่มกับผู้อื่นส่วนใหญ่ เช่นนั้นก็ย่อมไม่มีโอกาสดำรงตนต่อไปในวงการนี้แล้ว
คลื่นกระหน่ำลูกแล้วลูกเล่า แต่ละวาจาล้วนต้องการให้ฮ่องเต้ว่านลี่คืนรับสั่ง ให้ฮ่องเต้ว่านลี่แต่งตั้งจูฉางลั่วเป็นรัชทายาท
ฮ่องเต้ว่านลี่ในที่สุดก็ยิ้มเยียบเย็นตรัส ยึดแขนพนักเก้าอี้ที่ประทับยืนขึ้น ตรัสว่า
“…ร่วมจัดการให้สิ้น…แผ่นดินนี้เลี้ยงดูบัณฑิตมาเกือบสองร้อยปี สองวาจานี้เราเคยได้ยินมา ตอนเราเป็นเด็กเคยได้อ่านบันทึกในสมัยเสด็จปู่ ตอนนั้นเลี้ยงดูบัณฑิตมาเกือบร้อยห้าสิบปี ผ่านมาอีกห้าสิบปี ก็ยังใช้อ้างวาจาเหมือนเดิม?”
สมัยฮ่องเต้เจียจิ้งปีที่ห้า ในราชสำนักเกิดข้อพิพาทเรื่องจารีตธรรมเนียม ตอนนั้นมหาอำมาตย์หยางถิงกับลูกชายก็เคยกล่าววาจาเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลียิ้มเยียบเย็นพลางหันกลับไปมองขันทีด้านหลัง ยังคงยิ้มตรัสว่า
“ตอนนั้นเสด็จปู่สามารถใช้องครักษ์เสื้อแพรกับคนสำนักบูรพาจัดการพวกเหลวไหลบัดซบไร้นายในสายตาได้ แต่วันนี้เรากลับไม่อาจสั่งการกองกำลังสังกัดวังหลวง ไม่อาจสั่งการกองกำลังเมืองหลวง”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสจบ ขันทีในสำนักส่วนพระองค์จางจิงกับจางหงก็พากันคุกเข่าลง จางหงสีหน้าเคร่งทูลว่า
“ฝ่าบาท ทหารแผ่นดินหมิงมิใช่มีไว้เพื่อสังหารบัณฑิตพะยะค่ะ และสิ่งที่บัณฑิตทั้งหลายกล่าวนั้นก็เป็นหลักการจารีตที่มีมา ฝ่าบาททรงทำตามพระทัยเช่นนี้…”
กล่าวไม่จบได้แต่ก้มลงโขกศีรษะไม่หยุด จางจิงคุกเข่าไม่กล่าวอันใด เดิมเขาเป็นหัวหน้าสำนักอาชาหลวง ยังเป็นคนสนิทไทเฮาฉือเซิ่ง ครั้งนี้ไม่อาจสั่งการกองกำลังสังกัดวังหลวงก็เพราะเขา ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่อาจสั่งการสำนักบูรพาก็เพราะมีเขาอยู่
ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มเยียบเย็นมองไปยังทุกคนรอบหนึ่ง จากนั้นตรัสว่า
“พวกขุนนางราชสำนักไม่อาจวาดหวัง ไม่ใช่พวกที่คิดให้เราฟังคำสั่งก็เป็นพวกขี้ขลาด ขุนนางฝ่ายใน ล้วนเป็นพวกหลงจารีตธรรมเนียมเหมือนกันหมด รู้หลักการจารีตดี แต่ไม่เคยคิดเพื่อเราเลย”
จางหงได้แต่โขกศีรษะ ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสจบ คนที่เหลือในสำนักส่วนพระองค์และมหาขันทีที่ตามเสด็จก็พากันคุกเข่าลง มีเพียงขันทีแถวหลังเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่หันมองมหาขันทีชุดดำด้านหลัง จากนั้นก็หันกลับไปมองขุนนางใหญ่ที่กำลังออกมาเต้นแร้งเต้นกา ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“บรรพชนคุ้มครอง เรายังมีขุนนางภักดี”
มหาขันทีชุดดำเดิมที่ก้มหน้านิ่ง ยามนี้กลับก้าวมาคุกเข่าด้านหน้า พวกมหาขันทีที่คุกเข่าอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ ที่แท้เป็นผู้ใดกล้าบังอาจ องครักษ์ที่ใกล้ที่สุดระยะห่างจากแท่นบังลังก์นี้มาก เข้ามาใกล้ไม่ทัน
พวกที่คุกเข่าอยู่นั้นเริ่มสังเกตว่ามหาขันทีชุดดำที่เดินไปดึงชุดออกไป ด้านในชุดขันทีเป็นเกราะอ่อน และยังถืออาวุธยาวราวหนึ่งเชียะออกมา
‘ปัง’ ดังขึ้น เหมือนของแตก เสียงดังมาก ด้านหน้าสามแถวได้ยินราวกับกลิ่นดินปืน เหมือนว่ากลิ่นหลังยิงปืนใหญ่
ในมือขันทีชุดดำถือปืนไฟยิงออกไปนัดหนึ่ง ในที่สุดพวกที่โขกศีรษะไม่หยุดก็เงยหน้าขึ้น แถวหน้ามีคนหลุดส่งเสียงดังเรียกชื่อคนข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่ เสียงนี้เทียบกับเสียงกราบทูลเมื่อครู่แล้วยังดังกว่ามาก แต่ทว่ากลับสั่นเล็กน้อย
“หวังทง!!!”
มีคนตะโกนออกมา จากนั้นก็มีคนด้านหลังได้ยินอย่างรวดเร็ว แพร่ออกไปทั่วหน้าลานพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่ที่ยังวุ่นวายกันอย่างมาก ยามนี้กลับเริ่มถอยหลัง เงียบกริบอย่างรวดเร็ว
ขันทีชุดดำข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่กระชากชุดขันทีออก เห็นเป็นเกราะทหารอ่อน ดึงหมวกขันทีออก โยนปืนไฟในมือทิ้งก่อนจะเดินไปด้านซ้ายฮ่องเต้ว่านลี่ มองขุนนางบุ๋นสายตาเย็นเยียบ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ยังคงเต็มไปด้วยยิ้มเยียบเย็น
“ส่งเสียงคำรามดังต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท คิดจะกดดันฝ่าบาทให้แก้ราชโองการ ยุ่งเกี่ยวกับฮ่องเต้แต่งตั้งรัชทายาท พวกเจ้ายังเป็นขุนนางแผ่นดินหมิงอีกหรือ!!? หรือว่าพวกเจ้าคิดก่อการกบฏ!!”
หวังทงเสียงไม่ดังนัก แต่ทั่วลานประชุมกลับเงียบกริบ มีหลายคนได้ยินไปเต็มสองหู มีคนอดตัวสั่นไม่ได้
อู๋จั้วไหลแห่งสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนสีหน้าซีดเผือด คนข้างกายเขาคนหนึ่งกล่าวเบาๆ ว่า
“พี่อู๋ หวังทงก็แค่คนเดียว พวกเรากรูกันออกไปตีเขาให้ตายไปเลย ถึงตอนนั้น…”
ยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียง ตึง ตึง ดังมา เหมือนเสียงโลหะกระทบกัน หน้าลานพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน รอบๆ เป็นกำแพงสูงสีแดงชาดรอบสี่ด้านประตูอยู่ตรงกลาง
ตอนนี้ประตูใหญ่สองข้างค่อย ๆ เปิดกว้าง ทหารพร้อมทวนขวานในมือกรูกันเข้ามา ก้าวไปตามริมข้างกำแพง ล้อมทั้งลานไว้ จากนั้นก็หันหน้าเข้าหาขุนนางกลางลานประชุม
เสียงโลหะกระทบกันนั้นก็คือชุดเกราะ เกราะพวกนี้ทุกคนจำได้แม่น นี่เป็นเกราะกองกำลังหู่เวยที่หุ้มทหารเอาไว้มิดชิด
อยู่ๆ หน้าพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินที่กำลังเอะอะก็เงียบกริบไร้สำเนียง มีแต่เสียงทหารเดิน เกราะส่งเสียงดังเคร้งคร้าง
ทหารในชุดเกราะพร้อมทวนขวานยืนแถวตรงแล้ว ก็มีองครักษ์เสื้อแพรในชุดมัจฉาเวหาพร้อมดาบปักวสันต์วิ่งออกมาสองข้าง ยืนเรียงเป็นสองแถวบนแท่นสูง
ด้านหลังฮ่องเต้ว่านลี่กับหวังทงขันทีอีกกลุ่ม หลายคนเงยหน้ามองอย่างตกใจ จากนั้นสายตาทุกคู่ก็จ้องไปทางจางเฉิง จางเฉิงสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ยังคงนิ่งสงบ จางจิงถอนหายใจคุกเข่าต่อ จางหงสีหน้าซีดเผือด
“เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทของฝ่าบาท พวกท่านกลับออกหน้าคัดค้านหนักเช่นนี้ คิดว่าแผ่นดินหมิงไม่มีกฎลงโทษหรืออย่างไร?”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบ ทุกคนยังคงเงียบ หวังทงจ้องมองไปยังเสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีด้านหน้ากล่าวว่า
“เสนาเสิ่น เหตุใดไม่รับราชโองการประกาศทั่วหล้า หรือว่าท่านไม่ใช่ขุนนางแผ่นดินหมิง?”
เสิ่นหลีที่คุกเข่าสะดุ้งโหยง กลับไม่กล้าต่อคำ หวังทงหันไปทางฮ่องเต้ว่านลี่ คำนับทูลว่า
“ฝ่าบาท พวกไร้สติไร้บิดาไร้นายในสมองพวกนี้ ควรลงโทษให้หมด”
“จับเข้าคุก ลงทัณฑ์สอบให้หนัก ดูซิว่าผู้ใดให้การสนับสนุนจนเขากล้าเหิมเกริมเช่นนี้ได้!”
ฮ่องเต้ว่านลี่รับสั่งสุรเสียงเย็น หวังทงกำลังจะรับพระบัญชา ท่ามกลางหมู่ขุนนางก็มีคนผู้หนึ่งยืนขึ้นชี้หน้าด่าหวังทงว่า
“เจ้าขุนนางชั่ว เจ้าคิดว่าอาศัยอาวุธเจ้าก็สามารถข่มขู่ขุนนางใหญ่ได้งั้นหรือ จะให้เจ้าได้รู้ว่า…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ ทหารในชุดเกราะสองนายก็เข้ามาด้านหลังเขา ใช้ท่อนไม้ที่ทำเป็นขวานทวนสับไปบนคออย่างแรง คนผู้นั้นร่วงล้มพับลงกับพื้น จากนั้นก็ถูกลากออกไปราวกับสุนัขตาย
ในที่นั้นทุกเสียงเงียบกริบ ครู่หนึ่งมีคนกล่าวว่า
“ในที่ประชุมนี้ บัณฑิตรักคุณธรรมมากมายเช่นนี้ เจ้าสังหารหมดหรือ?”
คนผู้นี้อยู่ในหมู่คนที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนกล่าว หวังทงยิ้มไม่พอใจ เสียงดังตอบไปว่า
“สังหารหมด ข้าสังหารพวกนอกด่านมาหลายหมื่นแล้ว ที่นี่ก็แค่พันเท่านั้น”
เบื้องหน้าเงียบกริบไปหมด
ตอนที่ 901 ไร้ศักดิ์ศรี เสียพระกิริยา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ใต้เท้าเสิ่น ฝ่าบาทมีพระราชโองการแล้ว เหตุใดท่านจึงไม่ปฏิบัติตาม!”
หวังทงเสียงดังขึ้น เค้นถาม เสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีเหงื่อชุ่มแผ่นหลังทันที เขาเงยหน้ามองไปยังหวังทงกับฮ่องเต้ว่านลี่ ก่อนจะหันหน้ามามองพวกหยางเหว่ยข้าง ๆ ลังเลกล่าวอันใดไม่ออก
“เจ้าคนชั่ว เจ้าข่มขู่พวกเรา คุกคามขุนนาง วันนี้ข้าแม้ต้องเสียสละชีวิตก็จะต้องตายไปพร้อมกับเจ้าให้ได้!!”
สถานการณ์เงียบอยู่ในที่สุดก็มีคนระเบิดดังออกมา อู๋จั้วไหลแห่งสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนโดดออกมาจากแถว หมวกหลุดลงพื้น สีหน้าเขียวคล้ำ พุ่งออกมามุ่งมายังหน้าแท่นประทับราวกับกางปีกเขี้ยวเล็บ
พวกที่คุกเข่าอยู่รอบๆ เขา ทำให้อู๋จั้วไหลปรี่ออกมาได้ไม่สะดวกนัก ทว่าขุนนางอื่นที่คุกเข่าอยู่กลับคลานหลีกทางให้เขาได้ออกไป
เห็นอู๋จั้วไหลปรี่ออกมาจากกลุ่มคน ท่ามกลางความเงียบก็เริ่มมีเสียงดังจอกแจก มีคนเงยหน้าขึ้น มีคนก้มหน้าลงซุบซิบกัน มีคนลุกขึ้นยืน
พวกเสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยกับเสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีไม่สนใจธรรมเนียมนายบ่าวอีกแล้ว พากันลุกขึ้นยืนตรงหันไปมองรอบๆ ขอเพียงมีเรื่องขึ้น สถานการณ์ย่อมเปลี่ยนทิศ ไม่เชื่อว่าหวังทงจะทำอะไรขุนนางได้ เขาไม่กลัวเกิดจลาจลงั้นหรือ?
ขณะทุกคนกำลังออกมาเคลื่อนไหว ได้ยินเสียงคนตะโกนขึ้นว่า
“พร้อม!!”
เสียงยังไม่ทันเงียบ รอบทิศในพื้นที่ว่างทหารที่ถือทวนอยู่ก็ก้าวออกมาพร้อมกัน เสียงคำสั่ง ‘สังหาร!’ เสียงเกราะกระทบกัน เสียงตะโกนพร้อมกัน พริบตาเสียงเอะอะก็ถูกกลบมิด
ทหารองครักษ์เสื้อแพรบนแท่นสองแถวก็ชักดาบออกจากฝัก ยกขึ้นด้านหน้ากระทบแสงใส่ตาฝ่ายตรงข้าม แค่สองการเคลื่อนไหวนี้ ทั่วลานก็เงียบกริบทันที เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะรีบก้มหน้าลง ที่สุมหัวกันก็รีบเงียบทันที พวกลุกขึ้นยืนก็คุกเข่าลงอีก ล้วนท่าทีเรียบร้อยขึ้นมาก
อู๋จั้วไหลที่พุ่งออกมาด้านหน้า ตอนเสียงตะโกน ‘สังหาร’ ดังขึ้นก็ยืนไม่ติด มองไปยังแสงวิบวับของอาวุธเบื้องหน้า ฝีเท้าก็เริ่มช้าลงอย่างไม่รู้ตัว
คนทั่วลานพากันยืนเรียบร้อยทันที ผู้ใดก็ไม่สนใจ รีบคลานเข่าเปิดทางให้ อู๋จั้วไหลวิ่งออกไปได้ก้าวหนึ่ง ก็สะดุดล้มลงกับพื้น ทั่วลานเงียบกริบอีกครา
อู๋จั้วไหลวิ่งมาได้ระยะหนึ่งก่อนล้ม ยามเข้าใกล้แท่นประทับมากยิ่งขึ้น เขาค่อยๆ ตะกายลุกขึ้นมา มองไปยังปืนไฟในมือหวังทงอีกกระบอก
“ยอมตายเพื่อศักดิ์ศรีงั้นหรือ เจ้าก้าวเข้ามาอีก ก็จะได้มีชื่อดังไปทั่วหล้าแล้ว มาสิ ข้าจะช่วยให้เจ้าสมหวัง!”
สีหน้าหวังทงมีรอยยิ้มเยียบเย็น กล่าววาจาเสียดสีขึ้น วาจานี้ทำเอาอู๋จั้วไหลหน้าแดงก่ำ เขาหันไปมองรอบด้านมีแต่คนคุกเข่า ไม่มีใครลุกขึ้นช่วยประสานเสียงกับเขาสักคน อู๋จั้วไหลรู้สึกสองขาหนักอึ้งราวกับทองแดงถูกไฟหลอม ไม่อาจขยับได้อีก
แต่ก็ไม่อาจกล่าวว่าไม่อาจขยับ เหมือนว่าข้างหลังมีคนดึงเขาไว้ ทำให้เขาคิดหันหลังกลับ หวังทงส่ายหน้ากล่าวไม่พอใจว่า
“เจ้าคนขี้ขลาดราวกับหนู มาคำรามต่อหน้าฝ่าบาท คิดการกบฏ ลากออกไปตัดหัว!!”
ทหารองครักษ์เสื้อแพรสองแถวบนแท่นประทับ รีบเข้ามากันหลายคน ลากตัวอู๋จั้วไหลออกไปทันที
ทั่วลานยังคงเงียบ ขุนนางใหญ่ด้านหน้าไปจนถึงหัวหน้ากรมกองต่างๆ ด้านหลังพวกเขาก็พากันคุกเข่าเงียบสงบ อู๋จั้วไหลใกล้ถูกลากออกจากประตู อู๋จั้วไหลกลับดิ้นรนตะโกนขึ้นว่า
“ฝ่าบาท ทรงไว้ชีวิตด้วย!!! ใต้เท้าหวังไว้ชีวิตด้วย!! หยางเหว่ยข่มขู่ข้าน้อย ให้ข้าน้อยร่วมหัวกันก่อกระแส ให้ข้าน้อยไปจัดการเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท เขายัง เขายังให้สัญญากับข้าน้อยว่าจะให้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมฝ่ายขวาในกรมพิธีการ ข้าน้อยเองก็ถูกบังคับ ข้าน้อยถูกบังคับ เหยาฟู่ เหยาฟู่ก็เช่นกัน…….”
แต่องครักษ์เสื้อแพรที่ลากเขาออกไปกลับไม่หยุด ลากตัวออกไปทันที ทั่วลานเงียบกริบ ไม่นาน ก็ได้ยินเสียง ‘ฉับ’ ดังขึ้น ก่อนเสียงร้องโวยวายจะเงียบไป
นี่มันตัดหัวทิ้ง ทุกคนในลานเริ่มมีปฏิกิริยา หากยืนบนแท่นสูงตอนนี้ย่อมมองเห็นคนด้านล่างที่คุกเข่าทุกคนเริ่มตัวสั่นพร้อมกัน แถวเสนาบดีด้านหลังมีคนยืนออกมา ชี้ไปที่พวกหยางเหว่ยด่าว่า
“พวกเจ้าสมคบคิดในวังนอกวัง คิดก่อการไม่สงบ ใต้หล้านี้เป็นของฮ่องเต้ ไม่ใช่ของพวกเจ้า หยางเหว่ย เสิ่นหลี พวกเจ้ารวมหัวกัน ฝ่าบาท..ฝ่าบาท คนพวกนี้เป็นศูนย์กลางในราชสำนัก นับเป็นภัยแผ่นดิน ขอฝ่าบาทลงอาญาด้วยพะยะค่ะ กระหม่อมวันนี้เพิ่งได้รู้ว่าถูกพวกคนชั่วพวกนี้ล่อลวง จึงได้ทำเรื่องเลวร้ายใหญ่เช่นนี้ตามไปด้วย กระหม่อมขอยอมรับพระอาญา ยอมรับการลงโทษพะยะค่ะ!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์นิ่งเฉย ตรัสเบาๆ กับหวังทงว่า
“ตำแหน่งขุนนางนี่สำคัญนะ เจ้ากรมฝ่ายซ้ายกรมพิธีการโดดออกมาละ!”
หวังทงมองไปยังขุนนางที่แสดงทีท่าโกรธแค้นกล่าวอ้างคุณธรรมพลางส่ายหน้า เจ้ากรมฝ่ายซ้ายกรมพิธีการคิดว่าน่าจะยื่นฎีกาตามกระแส คาดว่าน่าจะเป็นคนร่วมวงหลักด้วย แต่พอพบว่าหยางเหว่ยรับปากมอบตำแหน่งตนให้ลูกศิษย์ตนเองไป ก็พลิกท่าทีทันที
“ฝ่าบาท หยางเหว่ยเคยใช้ตำแหน่งข่มขู่ข้าน้อย ข้าน้อยถูกบังคับ ข้าน้อยขอเปิดโปง!!”
คนด้านหลังเริ่มมีคนก้าวออกมาชี้ไปด้านหน้าด่าทอ คนที่โดดออกมายิ่งมากขึ้นเรื่อย ทั่วลานเริ่มอลหม่านไปหมด
“ฝ่าบาท !!ฝ่าบาท !! โอรสพระสนมเอกทรงพระปรีชา กระหม่อมจะออกราชโองการประกาศใต้หล้า ประกาศใต้หล้า องค์ชายจูฉางสวินเป็นรัชทายาท!!”
เสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีที่อึ้งไปนานก็ออกมาตะโกนเสียงดัง พอเขาเสียงดังขึ้น รอบๆ เงียบไปก่อนจะได้สติกันทันที เรื่องใหญ่แล้ว ก่อกวนจนฮ่องเต้ว่านลี่ทรงรับสั่งเรียกตัวหวังทงกลับมาอย่างลับๆ นำทหารมาล้อมที่นี่ไว้ เพื่ออะไร หากไม่ใช่เพื่อแต่งตั้งรัชทายาท
เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือแสดงท่าทีตนเอง อย่างไปยืนอีกข้าง แสดงจุดยืนให้ชัดเจนก่อนค่อยว่ากัน หลังจากเงียบไปไม่นาน จากนั้นทุกคนก็ออกมาส่งเสียงดังกันไม่หยุดว่า
“พระสนมเอกมีคุณธรรม สามารถเป็นมารดาใต้หล้า เป็นฮองเฮา โอรสพระสนมเอกย่อมเป็นรัชทายาท!!”
“องค์ชายจูฉางสวินทรงปรีชาสามารถ ควรเป็นรัชทายาท เป็นวาสนาแผ่นดินหมิง วาสนาใต้หล้า วาสนาบรรพชน!!”
“ฝ่าบาท วันนี้หากไม่ทรงแต่งตั้งรัชทายาท พวกกระหม่อมย่อมไม่อาจยอมรับได้!!”
……
พริบตาเดียวก็เริ่มชุลมุน ทุกคนล้วนตะโกนโอรสพระสนมเอกเจิ้ง องค์ชายจูฉางสวินควรได้เป็นรัชทายาท มีแต่พวกหยางเหว่ยที่คุกเข่าหน้าสุดเท่านั้นที่เหมือนตัวจะแข็งทื่อ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง เสนาบดีกรมโยธาข้างๆ ตัวอ่อนยวบเอนล้มลงกับพื้น ยามนี้ผู้ใดจะไปสนใจเขากัน
เสียงเอะอะยิ่งดังขึ้น ทหารองครักษ์เสื้อแพรบนแท่นประทับสองข้างก็พากันมีสีหน้างงงวย เหตุใดขุนนางบุ๋นทั้งหลายจึงเปลี่ยนท่าทีกันง่ายๆ เช่นนี้กัน ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องจารีตคุณธรรมใหญ่หรอกหรือ?
เสียงที่เริ่มเอะอะทีเพิ่งดังขึ้น อยู่ๆ ก็ค่อยๆ เงียบลง เพราะพวกเขาได้ยินเสียงหัวเราะ ลานที่ประทับนี้มีเสียงหัวเราะได้อย่างไร และยังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เป็นเสียงหัวเราะที่ไม่เกรงกลัวอาญา
เสียงหัวเราะดังมาจากแท่นประทับด้านบน เป็นเสียงหัวเราะดังลั่นของฮ่องเต้ว่านลี่ หัวเราะบ้าคลั่ง พอเห็นฮ่องเต้ว่านลี่หัวเราะจนทรงพระวรกายแทบไม่อยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่หัวเราะจนน้ำตาร่วง เอาแต่เช็ดน้ำตาไม่หยุด เหมือนว่าหัวเราะมากไป หวังทงต้องเขาประคองไว้จึงจะประทับยืนอยู่ได้
ทั่วลานเงียบกริบ ถึงกับแม้แต่ทหารองครักษ์เสื้อแพรเองก็มองไปยังฮ่องเต้ว่านลี่ที่เสียพระจริต หวังทงเอียงหน้าทูลเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาทถนอมพระวรกายด้วย ขอทรงระงับด้วย!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ หยุดหัวเราะดัง น้ำตาที่หัวเราะออกมากลับไหลไม่หยุด ยกแขนฉลองพระองค์ขึ้นเช็ดไปหลายรอบ สุดท้ายก็เลิกจะสนใจ ฮ่องเต้ว่านลี่ยกพระหัตถ์โอบหวังทงไว้ ก้าวไปด้านหน้า ยกพระหัตถ์ชี้ไปยังขุนนางตรัสว่า
“นี่คือศักดิ์ศรีพวกเจ้าหรือ? นี่คือพวกที่เรียกว่าบัณฑิตหรือ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่สุรเสียงแหบพร่า สุรเสียงยิ่งดัง ย่อมไม่มีคนตอบ ไม่ว่าขุนนางระดับสูงหรือต่ำ ทุกคนพากันคุกเข่า พยายามก้มหัวให้ต่ำที่สุด
“เราเป็นฮ่องเต้ พวกเจ้าเคยเห็นเราเป็นฮ่องเต้!!!? เราแต่งตั้งผู้ใดเป็นรัชทายาท เราอยากให้ลูกเราคนใดเป็นรัชทายาท เกี่ยวอันใดกับพวกเจ้าด้วย จะทำให้แผ่นดินเสียหาย จะทำให้แผ่นดินล่มสลาย หรือจะทำให้เงินทองสูญสิ้น พวกเจ้าว่ามาซิ!!”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ไร้รอยแย้มสรวล พระดำรัสเรียกได้ว่าแทบจะคำรามดัง ฮ่องเต้ว่านลี่ยังคงน้ำตาไหลไม่หยุด
“พวกเจ้าคิดว่าเราไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าคิดอันใด พวกเจ้าอยากเป็นจางจวีเจิ้ง พวกเจ้าสมคบเสด็จแม่เรา พวกเจ้าคิดว่าจะให้เราเป็นฮ่องเต้แค่ในนามแต่ไร้ซึ่งอำนาจหรือ!!”
“ฝ่าบาท……”
จางเฉิงคุกเข่าอยู่รีบยืนขึ้นทูลเรียก ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ จากนั้นตรัสต่อ ลูบพระพักตร์ไปมาก่อนจะค่อยๆ สูดลมหายใจเข้า สีพระพักตร์เริ่มปรากฏรอยยิ้มเยียบเย็น ชี้หน้าทุกคนตรัสว่า
“ดูสภาพพวกเจ้าสิ ช่างน่าขัน!! ช่างน่าขัน!! ในฎีกาบอกว่าแม้ตายก็ไม่กลัวไม่ใช่หรือ!!? ไม่ใช่ว่าชีวิตนี้ก็ไม่เสียดายงั้นหรือ!!? ดูพวกเจ้าตอนนี้ แผ่นดินกว้างใหญ่ของเรา หรือว่าจะอาศัยพวกเจ้าที่หาเรื่องไปวันๆ แย่งชิงอำนาจการเมืองไปวันๆ แย่งชิงประโยชน์กันไปวันๆ มาปกครองกัน?”
“หวังทง ไปเตือนฝ่าบาท วาจาเหล่านี้ไม่ควรตรัส!!”
จางเฉิงร้อนใจ เรียกสั่งหวังทงอย่างเฉียบขาด ฮ่องเต้ว่านลี่ราวกับคลั่งไปแล้ว หวังทงจะก้าวเข้าไปก็ถูกผลักออก ทรงชี้ไปด้านหน้าคำรามดังว่า
“ฮ่องเต้กับขุนนางบัณฑิตปกครองใต้หล้า หากร่วมกับพวกเจ้าที่ขี้ขลาดไร้สมอง โลภมากราวกับพวกหนูเช่นนี้ ใต้หล้านี้ช้าเร็วคงต้องพังทลาย พวกคนชั่ว!!! ขุนนางชั่ว!!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังจะตรัสต่อ กลับถูกหวังทงรั้งไว้ หวังทงไม่สนใจธรรมเนียม เอ็ดใส่เบาๆ ว่า
“ฝ่าบาท !! สถานการณ์ใหญ่จัดการได้แล้ว ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์แล้ว เรื่องใหญ่สำคัญ! ฝ่าบาท !!”
เสียงตอนท้ายดังยิ่งขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ราวกับได้สติ อึ้งไปก่อนจะได้สติ ยามนี้สองพระเนตรฮ่องเต้ว่านลี่แดงก่ำ ก่อนจะค่อยๆ คืนสู่ปกติ
ฮ่องเต้ว่านลี่จ้องมองหวังทงครู่หนึ่งก็กุมมือหวังทงตรัสว่า
“หากไม่ใช่เจ้าๆ เราไม่รู้ว่าจะถูกคนพวกนี้กดดันไปถึงขั้นไหน ในวังนอกวังไม่มีคนฟังคำสั่งเรา ทุกแห่งล้วนเป็นปรปักษ์กับเรา หวังทง เจ้าเป็นขุนนางภักดี เจ้าจึงจะเป็นขุนนางภักดีแท้จริง!!!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น