หมอดูยอดอัจฉริยะ 900-905

ตอนที่ 900 แลกเปลี่ยน

 

“เธอช่างปากหวานจริงๆ พระเจ้า ทำไมไม่ให้ฉันอายุน้อยลงสักยี่สิบปี?”


อลิซาเบธม้วนตัวเขินอาย พวงแก้มเกิดสีแดงระเรื่อขึ้น เยี่ยเทียนเยินยอด้วยท่าทีเป็นจริงเป็นจังราวกับพูดออกมาจากใจจริง เป็นการประสบความสำเร็จอย่างสูงที่ทำให้หญิงวัยกลางคนหลงเชื่อ


“เยี่ยเทียน ฉันยังไม่แก่ใช่ไหม? เธออย่าเรียกฉันว่าน้าเลย เรียกว่าพี่วินด์เซอร์จะดีกว่า!”


หญิงตรงหน้าแม้จะเข้าข้างตัวเอง แต่ดูเป็นคนตรงไปตรงมา เยี่ยเทียนมองเธอว่าเป็นคนไม่เลว จึงยิ้มแล้วตอบว่า


 “ได้ครับ พี่วินด์เซอร์ที่รัก ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ผมจะได้ชื่นชมศิลปะจากจีนชิ้นนั้นเล่าครับ?”


“เป็นคนจีนที่ไม่น่าสนใจจริงๆเลย”


อลิซาเบธเบ้ปาก เอ่ยต่อว่า


“เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ว่าเยี่ยเทียน หรือเธอคิดว่างานศิลปะชิ้นนั้นมีเสน่ห์น่าดึงดูดมากกว่าฉัน?”


“ไม่อยู่แล้วครับ ผลงานศิลปะเป็นตัวแทนของประวัติศาสตร์ แต่พี่วินด์เซอร์เป็นผลงานศิลปะที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว”


การสรรเสริญเยินยอให้ฟรีๆนั้นเยี่ยเทียนทำได้เรื่อยๆ ถ้าหากชิ้นส่วนนั้นเป็นของจริงแล้ว เยี่ยเทียนยังต้องใช้เธอผู้ที่มีอำนาจล้นฟ้าในประเทศอังกฤษช่วยเขาเจรจาแลกเปลี่ยน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะล่วงเกินเธอ


“ค่อยยังชั่วหน่อย ฉันจะให้พวกเขาไปนำมันมา เธอจะได้เห็นมันเดี๋ยวนี้”


อลิซาเบธยิ้มอย่างเบิกบาน เธอไม่ได้ต้องตาต้องใจเยี่ยเทียนจริงๆ เพียงแค่หยอกล้อพ่อหนุ่มเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น


ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังสนทนากัน ชายวัยกลางคนผิวขาวคนหนึ่งเข้ามาในสำนักงาน ในมือขวาของเขาถือกล่องนิรภัยสีเงินเข้ามาด้วย บอกว่า


“องค์หญิงวินด์เซอร์ครับ สิ่งของได้นำมาแล้ว คุณผู้ชายท่านนี้ต้องการชื่นชมหรือครับ?”


“เป็นองค์หญิงจริงๆด้วย?”


คำเรียกของชายคนนั้นทำให้เยี่ยเทียนเหลือบมองอลิซาเบธทีหนึ่ง คำเรียกแบบนี้ได้หายสาบสูญจากประเทศจีนไปเป็นร้อยปีแล้ว


“เยี่ยเทียน คนนี้คือผู้ที่รับผิดชอบธุระต่างๆในพิพิธภัณฑ์ รองผู้อำนวยการจาค็อกซ์ เรื่องของเธอโชคดีมาก ที่ได้เขาช่วยจัดการให้” อลิซเบธแนะนำชายวัยกลางคนๆนั้นให้เยี่ยเทียนรู้จัก


“องค์หญิงทรงเกรงพระทัยไปแล้ว สมาชิกของราชวงศ์มีสิทธิ์ตรวจดูสิ่งของในพิพิธภัณฑ์ได้ทุกเมื่อ”


ประเทศอังกฤษเป็นประเทศตัวอย่างที่ปกครองด้วยระบอบรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง ชนชั้นกลางถืออำนาจนิติบัญญัติผ่านรัฐสภา โดยยึดถือในหลักการที่ว่า “กฎหมายเป็นสิ่งสูงสุด” และ “อำนาจของพระมหากษัตริย์มีขอบเขตจำกัด” เป็นรากฐานการปกครองของประเทศอังกฤษเสมอมา


ในประเทศอังกฤษมีกษัตริย์เป็นประมุข  เป็นหัวหน้าของเหล่าขุนนางชั้นสูงสุด เป็นผู้ควบคุมกองทัพของชาติและเป็นผู้นำสูงสุดของนิกายแองกลิกัน แต่อำนาจจริงๆแล้วอยู่ที่คณะรัฐมนตรี สถานการณ์ต่างๆนั้นราชวงศ์ไม่อาจแทรกแซงได้


แน่นอนว่าการละเลยราชวงศ์นั้น ทางราชวงศ์จะต้องได้สิ่งชดเชยมากมาย พวกเขามียศศักดิ์ในสังคมชั้นสูง ประชาชนทั่วไปสามารถรับการแต่งตั้งศักดินาจากเชื้อพระวงศ์ได้เช่นกัน ทั้งยังมีสิทธิ์เข้าดูสมบัติในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติก็เป็นสิทธิพิเศษอย่างหนึ่ง


“องค์หญิงวินด์เซอร์ ได้โปรดรอสักครู่….”


เมื่อเปรียบกับเยี่ยเทียน จาค็อกซ์ดูสุภาพบุรุษมากกว่าเยี่ยเทียน หลังจากสั่งกาแฟกับลูกน้องให้องค์หญิงแก้วหนึ่งแล้ว ถึงจะวางกล่องนิรภัยลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง แล้วเอ่ยต่อว่า


“ของชิ้นนี้เป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าของพิพิธภัณฑ์ ในขณะชมได้โปรดจับต้องและวางลงเบาๆ”


“แน่นอนสิ ผู้อำนวยการจาค็อกซ์  เสด็จพ่อของฉันมีประสบการณ์การเก็บรักษาของโบราณไว้อยู่ ครั้งนี้ฉันได้รับการไหว้วานให้พามาดูของของมีค่าชิ้นนี้!”


ฟังจาค็อกซ์พูดจบ เยี่ยเทียนยิ้มออกมา ตั้งแต่ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะเข้ามาในห้อง เขาก็รับรู้ได้แล้วว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องนิรภัยนี้จะต้องเป็นชิ้นส่วนตำราภาพทุยเป้ยถูของแท้แน่นอน เพราะชิ้นส่วนน่าสามารถทำให้จิตใจของผู้สัมผัสได้สั่นไหว


จากที่เยี่ยเทียนคาดเดา ในภาพทุยเป้ยถูที่กล่าวถึงการทำนายอนาคตนั้น เป็นเพียงภาพที่หลี่ฉุนเฟิงและหยวนเทียนกังวาดลงบนเครื่องรางอีกชิ้นเท่านั้น ต่อมาภาพวาดกระจัดกระจายไป อาจจะเพื่อปกป้องการมีอยู่ของเครื่องรางชิ้นนั้นก็เป็นได้


หลังจากหยิบถุงมือสีขาวออกมาใส่แล้ว เยี่ยเทียนถึงจะสามารถเปิดกล่องนิรภัยที่ไม่ได้ล็อค จากท่าทางของ    จาค็อกซ์ที่พยักหน้าน้อยๆทำให้รู้ว่าเขามีประสบการณ์ในการเก็บรักษาของโบราณมาก่อน


“เอ๋? ทำไมยังไม่ครบอีก?”


เยี่ยเทียนพลิกเปิดชิ้นส่วนที่อยู่ด้านในแล้วขมวดคิ้วแน่น เพราะเขาเห็นว่าในนั้นมีแค่เจ็ดแปดแผ่น เนื้อหาเป็นรูปวาดต่างๆในตำราทุยเป้ยถู ซึ่งไม่ได้สอดคล้องกับเนื้อหาส่วนที่อยู่กับเขาอีกครึ่งหนึ่ง


ชิ้นส่วนที่เหลือควรจะเป็นครึ่งเล่มหลังของตำราทุยเป้ยถู เมื่อก่อนเยี่ยเทียนได้มาเป็นส่วนกลาง หรือพูดอีกอย่างก็คือถ้าอยากจะได้ตำราครบทั้งเล่ม จะต้องหาหน้าปกของตำราให้พบก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะขาดอยู่ดี


ในเมื่อได้พบแล้ว เยี่ยเทียนไม่มีทางปล่อยให้ครึ่งเล่มหลังนี้หลุดมือไป จึงแสร้งทำเป็นพิจารณาดูแล้วดูเล่าอีกครั้ง เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นมาจาค็อกซ์แล้วเอ่ยว่า


“พิพิธภัณฑ์เก็บรักษาของมีค่าเหล่านี้เป็นอย่างดี ช่างน่าชื่นชมจริงๆ เศษชิ้นส่วนตำราหลุดลุ่ยแบบนี้ยังรักษาสภาพไว้อย่างดี?”


เยี่ยเทียนเหมือนกับกำลังชมเชยพิพิธภัณฑ์อังกฤษอยู่ แต่ในใจกลับยิ้มเยาะ ในนี้มีของล้ำค่าไม่รู้กี่พันกี่หมื่นชิ้น แต่ไม่มีใครสนใจศึกษาวิเคราะห์ข้าวของได้ครบทุกชิ้น


บนแผ่นกระดาษของตำราทุยเป้ยนั้นยังมีฝุ่นที่ปัดทำความสะอาดออกไม่หมดตกค้างอยู่ เห็นได้ชัดว่าพอได้รับคำสั่งจากองค์หญิงอลิซาเบธ ถึงได้ทำการค้นหาของสิ่งนี้ออกมาแล้วทำการรักษาแบบขอไปที


เห็นได้ชัดว่าพิพิธภัณฑ์อังกฤษไม่ค่อยเห็นความสำคัญของชิ้นส่วนตำรานี้เลย ในใจของเยี่ยเทียนรู้สึกหดหู่ลง พูดว่า


“ผู้อำนวยการจาค็อกซ์ครับ คุณรู้ไหมครับว่าคุณพ่อของผมเป็นนักสะสมศิลปะคนหนึ่งเลยทีเดียว เขาเคยได้รับชิ้นส่วนตำรามาส่วนหนึ่ง ตอนนี้อยากจะให้มันกลับเป็นชิ้นเดียวกัน กลายเป็นผลงานศิลปะที่สมบูรณ์ ไม่ทราบว่าทางพิพิธภัณฑ์จะสงเคราะห์ให้พ่อของผมสมปรารถนาได้ไหมครับ?”


“คุณเยี่ย  คือ….คุณทำให้ผมลำบากใจมาก!”


จาค็อกซ์สีหน้าลำบากใจ ตอบว่า


“พิพิธภัณฑ์ของเราไม่เคยมีประวัติมอบของให้ใครมาก่อน ยิ่งเป็นภาพวาดโบราณเป็นเล่มที่สวยงามเช่นนี้ด้วยแล้ว ผมเสียใจจริงๆครับ ผมไม่สามารถทำให้ความปรารถนาของคุณพ่อของคุณเป็นจริงได้”


ก่อนที่เยี่ยเทียนจะมา อลิซาเบธได้แสดงเจตนารมณ์ของซ่งเวยหลันให้จาค็อกซ์ได้รับรู้แล้ว ก็หมายความว่ามีคนยินดีใช้ภาพวาดของปิกัสโซมาแลกกับชิ้นส่วนตำราโบราณชิ้นนี้


ปิกัสโซเป็นใคร? เขาเป็นถึงศิลปินในดวงใจของชาวยุโรป ตั้งแต่โบราณมาไม่มีผลงานศิลปะชิ้นไหนเทียบได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชิ้นส่วนตำราหลุดลุ่ยที่ไม่มีชื่อและไม่รู้ชื่อผู้แต่ง พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษควรยินดีกับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้


สิ่งที่สำคัญกว่านั้นปิกัสโซเป็นศิลปินในยุคสมัยใหม่ ดังนั้นงานศิลปะหลายชิ้นจึงถูกแย่งชิงมาจากทั่วโลก ก็ไม่ได้มีผลงานของเขาสักกี่ชิ้น นี่เป็นเงื่อนไขที่ซ่งเวยหลันมอบให้บุตรชายเพื่อเจรจาต่อรอง


ในสถานที่รโหฐานที่เก็บรักษาผลงานศิลปะ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษย่อมไม่ยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ดังนั้นจาค็อกซ์ถึงอ้างเหตุผลขึ้นเพื่อให้เยี่ยเทียนเอ่ยเข้าเรื่องการเจรจาแลกเปลี่ยน


“ทั้งตำราภาพ? ทั้งสวยงาม? สวยกับผีน่ะสิ พวกคุณไม่ได้รู้สักนิดเลยว่าของสิ่งนี้คืออะไร!”


ได้ยินที่จาค็อกซ์พูดดังนั้นเยี่ยเทียนทนไม่ไหวหลุดคำพูดไม่ดีออกมา ภาพวาดในชิ้นส่วนนั้นดูงุ่มง่ามและหยาบ ไม่ว่าจะทั้งรูปคนหรือทิวทัศน์เหมือนวาดสะเปะสะปะ ถ้าเทียบกับตำราทุยเป้ยถูที่ถูกปลอมแปลงขึ้นมาในยุคหลังนั้นถึงจะดูว่ามีความสวยงามมากกว่า


“ถ้าอย่างนั้นน่าเสียดายมากเลย ตอนแรกคุณพ่อของผมคิดว่าจะใช้ภาพสีน้ำมันของปิกัสโซที่เก็บเอาไว้มาแลกกับชิ้นส่วนตำรานั่น”


ใบหน้าของเยี่ยเทียนแสดงความเสียดาย โบกมือแล้วบอกว่า


“ภาพวาดของปิกัสโซได้อยู่บนเครื่องบินเดินทางมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นน่าเสียดายจริงๆ คุณจาค็อกซ์ ไม่มีหนทางอื่นแล้วหรือครับ?”


“อยู่บนเครื่องบินแล้วหรือ?”


จาค็อกซ์ได้ยินดังนั้นก็ตาลุกวาว รีบเอ่ยว่า


“ไม่ครับ…ไม่ คุณเยี่ย สำหรับความประสงค์ในการสืบหาผลงานศิลปะมานั้น พวกเราพอจะเข้าใจ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”


“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นผมจะทำอย่างไรถึงจะได้ชิ้นส่วนตำรานั้นกลับไปได้?”


เยี่ยเทียนมีแววยิ้มในดวงตา


“คุณจาค็อกซ์ คุณรู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะคุณพ่อผมอยากได้ชิ้นส่วนตำรากลับมารวมกันเป็นชิ้นที่สมบูรณ์ เขาก็จะไม่นำภาพวาดของปิกัสโซออกมา!”


“งานศิลปะประเมินค่าไม่ได้ พวกเราไม่อาจใช้คำว่าแลกเปลี่ยนได้”


คนต่างชาตินั้นพูดกันตรงๆยิ่งกว่าคนจีนเสียอีก พอได้ยินว่าภาพวาดปิกัสโซอยู่บนเครื่องบินแล้ว จาค็อกซ์สละหน้ากากออกทันที รีบรับคำว่า


“พวกเราใช้วิธีอื่น คุณพ่อของคุณต้องการใช้ชื่อของตัวเองบริจาคภาพวาดปิกัสโซให้แก่พิพิธภัณฑ์ แต่พวกเราใช้วิธีการส่งคืนวัตถุโบราณยกตำราภาพนี้ให้แก่คุณ คุณคิดว่าเป็นอย่างไร?”


“ยังไม่เรียกว่าการแลกเปลี่ยนหรือ? พวกคนต่างชาตินี่ชอบอ้อมค้อมกันจริงๆ”


เยี่ยเทียนเบะปาก แต่กลับแสร้งยิ้มออกมา


“แน่นอนว่าได้ครับ คุณจาค็อกซ์ครับ เหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่าภาพวาดปิกัสโซจะมาถึงลอนดอนแล้ว ผมอยากให้ทางพิพิธภัณฑ์มีนักวิเคราะห์ภาพวาดมาดูภาพของปิกัสโซ เรื่องการบริจาคของเราทั้งสองฝ่ายจะได้เสร็จสิ้นลงในวันนี้”


“ได้ครับ เป็นไปตามที่คุณต้องการ ผมจะไปหาคนที่จัดการเรื่องเอกสาร!”


แม้ว่าจาค็อกซ์จะไม่ค่อยเชื่อถือที่เยี่ยเทียนใจร้อนแบบนี้ แต่เมื่อคิดถึงภาพวาดผลงานของปิกัสโซที่ทางพิพิธภัณฑ์จะได้รับมา ความเคลือบแคลงนั้นได้จางหายไป ยิ่งกว่านั้นเขาให้คนมีตรวจพิสูจน์ภาพวาดแล้ว นอกจากช่วงอายุปีของมันจะยาวนานแล้ว ภาพวาดนี้ไม่ได้มีมูลค่ามากมายเท่าไหร่


ด้วยเวลาอันกระชั้นชิด จาค็อกซ์เพียงแต่ให้คนมาประเมินภาพว่ามีมูลค่าทางศิลปะมากแค่ไหน  ถ้าหากพิจารณาจากคุณภาพวัสดุของภาพแล้วจะต้องตกตะลึง เพราะกระดาษแบบนี้ไม่เคยมีในโลกมาก่อน


หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง เที่ยวบินของโจวเซี่ยวเทียนก็มาถึงลอนดอน


เมื่อเขานำภาพวาดสีน้ำมันของปิกัสโซกับชิ้นส่วนตำราทุยเป้ยถูหนึ่งในสามส่วนเดินทางถึงพิพิธภัณฑ์ ในสำนักงานก็มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะหลายคนมารออยู่แล้ว

 

 

 


ตอนที่ 901 ถึงมือ

 

“ก็แค่รูปหญิงสาวเปลือยก้นรูปเดียว เห็นเป็นของมีค่ามากมายไปได้”


เยี่ยเทียนเห็นเหล่านักวิเคราะห์ศิลปะตรวจสอบรูปภาพสีน้ำมันอย่างละเอียดแล้วอดเบ้ปากไม่ได้ ภาพนี้เป็นภาพวาดหญิงสาว ใบหน้าไม่ชัดเจน เหมือนแค่สาดสีลงบนฉากหลังเท่านั้น เยี่ยเทียนมองไม่เห็นความสวยงามในศิลปะใดเลย


“เป็นภาพที่งาม นี่เป็นรูปวาดของปิกัสโซสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งสอดแทรกการใช้ชีวิตประจำวันของเขาแล้วการไล่ล่าความสวยงามของชีวิต เป็นของแท้อย่างไม่ต้องสงสัย”


หลังจากนั้นอีกนานชายชราที่หนวดเคราของเขาเริ่มแซมสีขาวได้ละสายตามาจากรูปวาดแล้วเอ่ยขึ้นว่า


“คุณจาค็อกซ์ครับ รูปภาพนี้เป็นของปิกัสโซอย่างแน่นอน ทั้งยังเป็นงานศิลปะชิ้นเอกในชีวิตของเขาเลยทีเดียว ผมดูไม่มีทางผิดแน่”


“คุณเอ็ดสันเป็นสหายของปิกัสโซ คำพูดของคุณผมเชื่อ”


จาค็อกซ์พยักหน้า เบื้องหน้าเขาคนนี้เป็นศิลปินวาดภาพที่มีชื่อเสียง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับความสำเร็จของปิกัสโซแล้วยังเทียบกันไม่ได้


คนๆนี้เคยได้ติดตามปิกัสโซอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง จึงคุ้นเคยกับเส้นฝีแปรงบนภาพวาดของปิกัสโซดี เกือบทุกครั้งที่มีการประมูลผลงานของปิกัสโซ จะต้องเชิญเขาไปตรวจสอบงานศิลปะเหล่านั้น และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาพวาดของปิกัสโซตัวจริง


“ไล่ล่าความสวยงามกับผีน่ะสิ ชอบไล่ตามผู้หญิงมากกว่า?”


เยี่ยเทียนหมั่นไส้ในคำพูดของเอ็ดสัน เขารู้ว่าตอนมีชีวิตอยู่ปิกัสโซใช้ชีวิตอย่างไร เขาคนนี้ตลอดทั้งชีวิตไม่เคยขาดผู้หญิง จนอายุแปดสิบปียังคงติดพันผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ ตั้งแต่หนุ่มจนแก่เป็นคนมักมากในกามารมณ์คนหนึ่ง


แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเอ่ยความคิดของตัวเองออกไป การที่ได้ใช้ภาพนี้แลกกับชิ้นส่วนตำราทุยเป้ยถูหนึ่งในสามมาได้ เยี่ยเทียนถือว่าคุ้มมากแล้ว


“คุณเยี่ย คุณยินยอมจะใช้ภาพวาดของปิกัสโซนี้แลกเปลี่ยนจริงหรือครับ?”


หลังจากนักวิเคราะห์ศิลปะออกไปแล้วจาค็อกซ์ถามเยี่ยเทียนอีกครั้ง ทั้งๆที่ตอนนี้แทบอยากจะให้เยี่ยเทียนเซ็นชื่อในเอกสารบริจาคชิ้นงานศิลปะทันที แต่ด้วยมารยาทตามแบบฉบับคนอังกฤษ เขาจึงต้องถามย้ำกับเยี่ยเทียนอีกครั้ง


“เยี่ยเทียน ตอนนี้เธอยังเปลี่ยนใจทันนะ”


การเป็นราชนิกูลคนหนึ่ง อลิซาเบธรู้ซึ้งถึงคุณค่าของรูปวาดของปิกัสโซรูปนี้ เธอคิดว่าเยี่ยเทียนอาจจะแค่ล้อเล่น คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะนำภาพวาดของแท้ออกมาได้จริง


“ผมยินดีอย่างถึงที่สุดครับ คุณพ่อของผมชอบชิ้นส่วนตำราเล่มนี้มาก แลกก็แลกครับ!”


เยี่ยเทียนยิ้มแล้วเอ่ยต่อว่า


“คุณจาค็อกซ์ ผมยังมีธุระอีก อาจจะต้องจากลอนดอนไปเร็วๆนี้ ไม่ทราบว่าสามารถดำเนินการบริจาคตอนนี้เลยได้มั้ย ผมจะได้นำสมุดภาพนี้กลับไปด้วย?”


เยี่ยเทียนรู้ว่าตัวเองมีชื่ออยู่ในบัญชีดำของหลายประเทศ ตอนที่เขาเข้ามาในประเทศอังกฤษ ก็ใช้อีกชื่อหนึ่งเข้ามา ตั้งแต่ลงจากเครื่องบินจนมาถึงพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ หน่วยพิเศษต่างๆของอังกฤษยังไม่ทันรู้ตัว


แต่ถ้าเวลายืดเยื้อนานออกไปก็ไม่กล้ารับรองว่าจะเกิดเหตุใดขึ้นได้บ้าง ถ้าถูกรัฐบาลอังกฤษรู้ว่าตัวเองแอบหนีมาที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเพื่อขอแลกเปลี่ยนสมุดภาพ  ต่อให้สมุดภาพจะไม่มีประโยชน์กับพวกเขา แต่การแลกเปลี่ยนครั้งนี้จะถือเป็นโมฆะทันที


“แน่นอน คุณเยี่ย แค่คุณเซ็นชื่อลงบนเอกสารทั้งสองฉบับนี้ คุณก็สามารถนำสมุดภาพอันสวยงามนี้กลับไปได้เลย”


จาค็อกซ์รู้สึกว่าตอนที่เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมาทำให้ตัวเองหน้าแดงขึ้น มูลค่าของของสองชิ้นนี้ต่างกันราวฟ้ากับดิน คำพูดของเขาจึงเหมือนกับการหลอกลวงเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสีประสา


“ได้ ไม่มีปัญหา!”


เยี่ยเทียนไม่ต่อความยาวสาวความยืด หยิบปากกาขึ้นมาแล้วเซ็นชื่อลงไปในกระดาษทั้งสองแผ่น ยิ้มแล้วบอกว่า


“คุณจาค็อกซ์ ผมคิดว่าพวกเราเจรจาแลกเปลี่ยนกันเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย?”


“ไม่….ไม่ครับ คุณเยี่ย พวกเราบริจาคงานศิลปะให้กันเฉยๆ ฮ่าๆ ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ!”


พอเยี่ยเทียนเซ็นชื่อลงแล้ว จาค็อกซ์ก็ถอนใจยาว หัวเราะออกมา ใช้สมุดภาพโบราณเล่มหนึ่งแลกกับผลงานของปิกัสโซช่างคุ้มค่าเสียนี่กระไร


“คุณจาค็อกซ์เกรงใจเกินไปแล้ว ทุกท่านแค่มีความต้องการของตัวเองเท่านั้น”


เยี่ยเทียนยิ้ม เขาวางชิ้นส่วนตำราลงในกล่องนิรภัยแล้วพูดว่า


“ขอบคุณพี่วินด์เซอร์มากครับที่ช่วยเหลือ หากคุณไปที่ประเทศจีน ผมจะต้องพาคุณท่องเที่ยวในโบราณสถานที่มีชื่อเสียงของเรา ผมคิดว่า….คุณแม่ของผมก็อยากพบคุณเช่นกัน”


“เยี่ยเทียน ฝากทักทายแม่ของเธอแทนฉันด้วย ฉันไม่ได้เจอเธอมาหลายปีแล้ว หากมีเวลาฉันจะต้องไปแน่นอน”


พอพูดถึงสหายของเธอ เธอก็ทำท่าสำรวมขึ้นมาทันทีแต่แล้วความซุกซนก็เผลอหลุดออกมาอีก เธอมองเยี่ยเทียนแล้วพูดว่า


“เยี่ยเทียน เธอไม่อยากอยู่ที่อังกฤษให้นานกว่านี้หน่อยหรือ? ฉันจะพาเธอไปเที่ยวพระราชวังบักกิ้งแฮมได้นะ ในบรรดาหลานสาวของฉันมีคนสวยๆตั้งหลายคน”


“ถ้าอย่างนั้นน่าเสียดายมากเลยครับ พี่วินด์เซอร์ครับ ลูกชายผมใกล้จะเรียกพ่อได้แล้วครับ”


เยี่ยเทียนหัวเราะเสียงดังยื่นมือไปรับกล่องนิรภัยมา


“คุณจาค็อกซ์ครับ ผมขอตัวลาก่อน ถ้าวันหน้าคุณหาสมุดภาพส่วนที่เหลือได้ ผมอยาก…จะบริจาคภาพวาดของปิกัสโซอีกภาพก็เป็นไปได้”


“จริงเหรอครับ?”


สายตาของจาค็อกซ์ลุกวาวขึ้นอีกครั้ง แล้วรีบพูดว่า


“คุณเยี่ยครับ คุณอย่าเพิ่งรีบกลับ พิพิธภัณฑ์ของพวกเรามีของล้ำค่าของโลกตะวันออกอยู่หลายชิ้น ยังมีสมุดภาพโบราณอีกหลายเล่ม ผมจะสั่งให้คนไปหาในสารบัญ คงใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน!”


“ให้ตายเถอะ แค่ให้หารายชื่อในสารบัญยังต้องใช้เวลาหลายวัน ข้าวของพวกนั้นเป็นของที่ชิงมาจากประเทศจีนนั่นแหละ?”


เยี่ยเทียนได้ยินดังนั้นก็กลอกตาพูดไม่ออกโบกมือ


”ไม่ต้องหรอกครับ ผมยังมีธุระต่อที่สวิส ผู้อำนวยการจาค็อกซ์ ถ้าคุณหาสมุดภาพที่คล้ายกันเจอ ช่วยโทรศัพท์ติดต่อผมด้วยนะครับ”


ตอนที่นักวิเคราะห์ตรวจสอบรูปภาพของปิกัสโซอยู่นั้น เยี่ยเทียนได้ใช้ดวงจิตสำรวจรอบพิพิธภัณฑ์รอบหนึ่งแล้ว ในนั้นมีงานศิลปะของโลกตะวันออกเก็บรักษาอยู่หลายชิ้น


แต่ถึงแม้เยี่ยเทียนจะรู้สึกได้ถึงพลังวิเศษบางเบา แต่กลับไม่ได้มาจากชิ้นส่วนของตำราทุยเป้ยถู  ถ้าเขารับปากอยู่ต่อละก็เกรงว่าคงทนไม่ไหวต้องไปกวาดล้างมาทั้งพิพิธภัณฑ์


“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ รอให้ครั้งหน้าคุณเยี่ยมาอีก ผมจะเป็นคนพานำเที่ยวในพิพิธภัณฑ์นี่เอง”


จาค็อกซ์เซ็นชื่อลงในเอกสารอีกฉบับ นี่เป็นเอกสารที่จะนำสมุดภาพออกนอกอาณาจักร เขายื่นเอกสารให้เยี่ยเทียนแล้วจาค็อกซ์ก็เดินไปส่งเยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนออกไปนอกพิพิธภัณฑ์


“คุณเยี่ย ทางนี้ครับ!”


หูหู่ที่จัดการกับตำรวจเรียบร้อยแล้วยังรออยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเดินออกมาก็รีบโบกมือเรียก


“เฮ้อ มีความสัมพันธ์อันดีกับต่างชาติช่างดีจริงๆ”


เห็นท่าทางหูหู่ที่สุขสบายใจ เยี่ยเทียนยิ้มออกมา ความจริงต่อให้ไม่มีใบรับรองที่จาค็อกซ์ออกให้ เขาก็สามารถแอบเอาชิ้นส่วนภาพตำราทุยเป้ยถูออกไปได้อยู่ดี


เยี่ยเทียนกับหูหู่ขึ้นรถแล้วหูหู่เอ่ยปากถามว่า


“คุณเยี่ย พวกเราจะไปไหนต่อครับ?”


เยี่ยเทียนยิ้ม


“ไปสนามบิน ผมจะกลับสวิสทันที ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง ผมเชื่อว่าคุณหูจะพาผมไปถึงได้ทันเวลา?”


เยี่ยเทียนมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าทางอังกฤษน่าจะได้รู้เร็วๆนี้ว่าตัวเขาเข้าประเทศมาแล้ว ถ้าไม่รีบหลบออกไปก่อน อาจจะชักนำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันตามมา เยี่ยเทียนไม่กลัวมีปัญหาแต่ไม่ชอบความวุ่นวาย


“ยังจะให้ขับแบบนั้นอีกเหรอ?”


ได้ฟังที่เยี่ยเทียนพูดแล้วหูหู่ยิ้มแหยออกมา เขาเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ แต่ต้องเคารพกฎหมายของประเทศอังกฤษเหมือนกัน ถ้ามาอีกครั้งแล้วให้เขาขับรถเร็วอย่างนี้ เกรงว่าทางสถานทูตอาจจะต้องไปรับตัวเขาออกมาจากสถานีตำรวจ


แต่ดูท่าทางเยี่ยเทียนไม่ได้ล้อเล่น หูหู่กัดฟันแล้วเหยียบคันเร่งจนมิด รถทะยานตัวมุ่งไปสู่สนามบิน


“เยี่ยเทียน รูปวาดปิกัสโซของฉันถูกแกเอาไปแล้ว?”


พอรถเริ่มออกตัวโทรศัพท์ดาวเทียมของเยี่ยเทียนก็ดังขึ้น เมื่อรับสายเป็นเยี่ยตงผิงเองที่โทรมา


ภาพวาดสีน้ำมันของปิกัสโซนั้น เป็นสิ่งที่เยี่ยตงผิงใช้เงินเก็บสะสมทั้งหมดสามสิบล้านดอลลาร์สหรัฐประมูลมาจากงานประมูลครั้งหนึ่งในฮ่องกง


เมื่อได้ภาพนี้แล้วเยี่ยตงผิงก็ถือเป็นคนมีชื่อเสียงในวงการนักสะสม เพราะการจะมีภาพวาดของปิกัสโซในครอบครองได้ต้องเป็นนักสะสมระดับนานาชาติแล้ว อย่าว่าแต่ในปักกิ่งเลยทั้งประเทศจีนคงมีแค่เขาคนเดียว


แต่วันนี้เยี่ยตงผิงพาเพื่อนคนหนึ่งมาดูภาพวาดของปิกัสโซที่บ้านนั้น กลับพบว่าตรงที่แขวนภาพเหลือแต่กำแพงสีขาวว่างเปล่า ตอนที่เขาตกใจกำลังจะเรียกตำรวจนั้น ซ่งเวยหลันบอกเขาว่าภาพวาดถูกเยี่ยเทียนนำไปแล้ว


“พ่อ ไม่ใช่ว่าผมจะเอาหรอกนะ แม่เป็นคนให้ผมมาต่างหาก ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย”


เยี่ยเทียนทำเป็นถูกใส่ความ เขารู้ว่าพ่อโปรดปรานรูปวาดนั่นขนาดไหน ถ้าตอนนี้เยี่ยเทียนยืนอยู่ในเรือนสี่ประสานละก็คงต้องถูกพ่อซ้อมเข้าสักยก


ได้ยินลูกชายบอกดังนั้นแล้วเยี่ยตงผิงกัดฟันกรอด


“ฉันไม่สนหรอก รูปนั่นไปอยู่ที่ไหนแล้ว?”


“อยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษแล้ว พ่อสะสมแค่วัตถุโบราณก็ดีอยู่แล้ว ผมว่าพ่อยังจะสะสมของเล่นของพวกฝรั่งไปทำไม?”


เยี่ยเทียนยังพูดยุแหย่ว่า


“แม่เขาไม่ชอบที่พ่อดูรูปผู้หญิงเปลือยเห็นก้นหรอกนะ แม่เลยให้ผมเอาไปบริจาคให้พิพิธภัณฑ์อังกฤษแล้ว ถ้ามีอะไรพ่อก็ไปคุยกับแม่เอาเอง ไม่เกี่ยวกับผมสักนิด!”


“ไร้สาระ นั่นมันงานศิลปะนะ!”


ฟังที่ลูกชายพูดแล้วเยี่ยตงผิงโกรธจนตาลายเกือบจะเป็นลม คว้าโทรศัพท์เอาไว้แน่นแล้วตะโกนว่า


“ถ้าแกไม่เอารูปวาดนั่นกลับมา แกก็ไม่ต้องกลับมาบ้านนี้อีก สมบัติทั้งหมดของฉันใช้แลกไปกับรูปวาดนั่นหมดแล้ว!”


เยี่ยตงผิงไม่กล้าหือกับภรรยาที่ไม่ชอบให้เขาดูภาพหญิงเปลือยก้น เขาจึงได้แต่ขู่บุตรชายเพื่อจะได้ภาพมูลค่าสามพันล้านดอลลาร์กลับมา เขาเจ็บใจมากจริงๆ

 

 

 


ตอนที่ 902 เปลี่ยนแปลง

 

ได้ยินเสียงคำรามของบิดาดังมาจากปลายสายแล้ว เยี่ยเทียนอดหัวเราะไม่ได้


“พ่อ กลับไปผมจะโอนเงินคืนให้ พ่อจะซื้อภาพอีกสักกี่ภาพก็ได้ ปิกัสโซมีชีวิตอยู่ถึงแปดสิบกว่าปี ชิ้นงานของเขามีตั้งเยอะแยะ!”


“มีเงินแล้วซื้อมาได้ก็ดีน่ะสิ แกไม่รู้หรือว่างานประมูลที่ฮ่องกงครั้งก่อนถ้าไม่ได้ผู้เฒ่าถังช่วยเหลือ ภาพวาดนั่นไม่มีทางตกมาถึงมือฉันได้หรอก!”


เยี่ยตงผิงมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบว่า


“เจ้าเด็กบ้า อย่าคิดว่าแม่แกช่วยแล้วฉันจะทำอะไรแกไม่ได้ ฉัน….ฉันไม่อยากมีปัญหากับแม่แก แต่ฉันลงที่หลานก็ได้!”


เยี่ยเทียนได้ยินคำพูดที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ของผู้เป็นพ่อก็รู้ว่าเขาโกรธจนหน้ามืดตามัว รีบห้ามว่า


“อย่าทำอย่างนั้นนะ พ่อ เอาอย่างนี้แล้วกัน เอาไว้ให้ผมว่างแล้วผมจะไปที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ในปารีส ดูว่าพอมีภาพวาดของจริงของปิกัสโซอยู่อีกไหม!”


ปิกัสโซอายุยืนยาวถึงเก้าสิบสองปี ช่วงเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตอยู่ที่ปารีส ดังนั้นพิพิธภัณฑ์ลูฟร์จะต้องมีภาพวาดผลงานของเขาอยู่หลายชิ้น เยี่ยเทียนไม่ได้พูดเล่น เขาคิดว่าหลังจากจบงานแสดงความสามารถพิเศษที่สวิสแล้วจะไปที่นั่นสักครั้งเพื่อสนองความต้องการของบิดาที่อยากจะเป็นนักสะสมระดับโลก


“ถือว่าแกรู้งาน!”


พอได้คำสัญญาจากบุตรชายแล้ว เยี่ยตงผิงถึงยอมวางสาย เขารู้ความเก่งกาจของลูกชายดี ถ้าบอกว่าจะหารูปภาพมาให้หลายรูปก็ต้องทำให้ได้ ส่วนจะทำด้วยการแย่งมาหรือขโมยมานั้น เขาไม่สนใจ เอาเป็นว่าตอนที่กองทัพแปดชาติที่มารุกรานจีนสมัยก่อนก็ได้ปล้นสมบัติของชาติจากจีนไปไม่น้อย


ขณะที่รถกำลังพุ่งไปข้างหน้าหูหู่แอบเหลือบมองเยี่ยเทียนที่เบาะหลังทีหนึ่ง บทสนทนาเมื่อครู่อย่างกับว่าพิพิธภัณฑ์ลูฟร์นั้นเป็นกิจการของบ้านเขาเอง ช่างมั่นอกมั่นใจอะไรขนาดนั้น


แต่หูหู่ไม่รู้ว่าทั้งสองประการนี้ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ ขอแค่เยี่ยเทียนยินยอม คืนนี้เขาจะได้เข้าไปสัมผัสถึงหัวเตียงของประธานาธิบดีแห่งอเมริกาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการไป “ขโมย” เอาภาพวาดไม่กี่ภาพของปิกัสโซเลย


ฝีมือการขับขี่ของหูหู่ไม่เลวเลย มีรถตำรวจคันใหญ่ขับไล่ตามมาติดๆ ทั้งยังมาถึงสนามบินอย่างปลอดภัย ตามกฎเดิม เยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนลงจากรถไปแล้ว หูหู่คอยสะสางกับพวกตำรวจทีหลัง


เส้นทางการบินของเยี่ยเทียนได้รับความช่วยเหลือจากสถานทูต หลังจากเข้าไปในสนามบินยี่สิบนาที เครื่องบินก็ได้ออกบินขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งสู่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์


แต่หลังจากเครื่องบินของเยี่ยเทียนบินออกไปแล้วครึ่งชั่วโมง ชายใส่สูทชุดดำกลุ่มหนึ่งมาถึงพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษ คุมตัวผู้ที่ได้พูดคุยและเกี่ยวข้องกับเยี่ยเทียนทั้งหมดไปสอบสวน โดยคนแรกคือผู้อำนวยการจาค็อกซ์ที่คิดว่าตัวเองได้สร้างผลงานครั้งยิ่งใหญ่


การสอบสวนดำเนินไปถึงสามวันเต็ม หน่วยพิเศษของอังกฤษนำรูปถ่ายของสมุดภาพเล่มนั้นอย่างละเอียดมาวางเรียงเต็มห้อง แล้วเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมจีนมาวิเคราะห์แยกชิ้นส่วนอย่างลึกซึ่ง


ผ่านไปอีกหลายวัน ถึงจะทราบว่าตำรานั้นเป็นตำราโบราณที่ใช้ในการผูกกว้าทำนาย พวกเขาไม่อาจเข้าถึงความลับอันลึกซึ้งในตำราได้สุดท้ายจึงได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ในแฟ้มคดีลับต่อไป


…………


“อาจารย์ ชิ้นส่วนตำราทุยเป้ยถูเล่มนี้มีค่ามากพอจะใช้ภาพวาดของปิกัสโซแลกมาเชียวหรือ?”


พอเครื่องบินออกตัว โจวเซี่ยวทียนเอ่ยถามความสงสัยที่ติดค้างอยู่ในใจ ตอนนั้นเขาไปเป็นเพื่อนเยี่ยตงผิงเพื่อประมูลภาพนั้นมา เขาต้องรู้ถึงมูลค่าของมันเป็นอย่างดี ในมุมมองของโจวเซี่ยวเทียนการกระทำของเยี่ยเทียนเหมือนการล้างผลาญตระกูล


“ภาพวาดของปิกัสโซน่ะหรือ? จะเอาไปเทียบกับตำราทุยเป้ยถูได้?”


เยี่ยเทียนเบ้ปาก แล้วเปิดกล่องออกมา บอกว่า


“ถึงจิตดั้งเดิมของแกจะยังไม่สร้างขึ้น แต่จิตใจเข้มแข็งกว่าเดิมมากแล้ว แกลองใช้ดวงจิตสำรวจสมุดภาพนี้ดูสิ”


“ใช้ดวงจิตสำรวจสมุดภาพ?” โจวเซี่ยวเทียนงุนงง เขายังไม่เข้าใจ แต่ก็ลองทำตามที่เยี่ยเทียนบอก เขาปล่อยดวงจิตของตัวเองออกมา เมื่อดวงจิตของเขาได้สัมผัสกับสมุดภาพ ในสมองก็รู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงอย่างรุนแรงเป็นความเจ็บปวดมหาศาล


“นี่…นี่มันอะไรกัน?”


โจวเซี่ยวเทียนเอามือกุมหัวไว้แน่น ความเจ็บปวดเหมือนเข็มเป็นร้อยเป็นพันเล่มทิ่มแทงนั้นทำเอาเขาเกือบหมดสติ เวลาผ่านไปถึงห้านาทีเต็มๆ ใบหน้าที่ซีดขาวของโจวเซี่ยวเทียนถึงจะมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แค่พลังงานที่แอบซ่อนอยู่ภายในก็มากเกินพอที่จะใช้ภาพวาดของปิกัสโซแลกมาแล้ว”


เยี่ยเทียนหน้าขรึมส่ายหัวไปมา ระดับขึ้นวิชาตอนนี้ของเขายังไม่กล้าพอจะใช้จิตดั้งเดิมเข้าไปสำรวจในชิ้นส่วนของตำราทุยเป้ยถู ในนั้นมีพลังไหลบ่าอย่างรุนแรงเหมือนน้ำหลากหรือไม่ก็สัตว์ประหลาดดุร้าย ถ้าได้ปลดปล่อยออกมาอาจทำให้จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนดับสูญไปในทันที


โจวเซี่ยวเทียนมองดูชิ้นส่วนสมุดภาพนั้นอย่างหวาดหวั่น


“ก็คุ้มจริงๆ อาจารย์ว่าของสิ่งนี้เป็นอาวุธวิเศษแบบไหนกัน?”


“อาวุธวิเศษ? ฉันรู้แค่ว่ามันมีพลังอำนาจมากกว่ามีดสั้นประจำตัวของฉันเสียอีก”


เยี่ยเทียนสั่นหัว แล้วหยิบชิ้นส่วนอีกส่วนที่โจวเซี่ยวเทียนนำมาด้วย


“นี่น่าจะเป็นหน้าสุดท้ายกับส่วนตรงกลาง ส่วนแรกยังขาดไปอยู่ เอ๋ นี่มันอะไรกัน?”


เยี่ยเทียนนำชิ้นส่วนทั้งสองมาวางเข้าด้วยกันแล้ว เมื่อชิ้นส่วนสองชิ้นแตะต้องกันก็เกิดความเปลี่ยนแปลง


กระดาษชิ้นส่วนทั้งสองทีเหลืองเก่าราวกับกำลังเรียกร้องหากัน จู่ๆมันก็เชื่อมต่อกันเองด้วยแรงดึงดูดมหาศาลไหลเวียนออกมาจากตัวตำรา ทำให้กระจกเครื่องบินปริแตกดัง “เปรี๊ยะ”


“โอ้โห เจ้านี่ขึ้นเครื่องบินไม่ได้หรือนี่?”


เครื่องบินส่วนตัวของซ่งเวยหลันกำลังบินอยู่บนท้องฟ้าที่ระดับความสูงหมื่นเมตร ในห้องโดยสารมีกระจกทั้งหมดหกบาน และกระจกแตกทั้งหกบานที่แตกออก ทำให้ภายในห้องโดยสารกลายเป็นสภาวะไร้น้ำหนัก ลมเย็นจากภายนอกไหลเข้ามาเป็นระลอก


โชคดีที่ซ่งเวยหลันไม่ได้ให้พนักงานบริการบนเครื่องบินมาด้วย ใช้เพียงนักบินที่ปลดประจำการจากกองบินทหาร ตอนที่กระจกแตกออกทั้งโจวเซี่ยวเทียนและเยี่ยเทียนได้เปลี่ยนมาใช้วิธีการหายใจด้วยลมปราณ สองเท้ายึดแน่นอยู่กับพื้นอย่างมั่นคง แค่ลมที่กรรโชกพัดไม่อาจทำให้พวกเขาสั่นคลอนได้


“คุณเยี่ย เกิดอะไรขึ้นครับ?” เสียงของนักบินดังออกมาจากห้องนักบิน บนแผงหน้าปัดควบคุมของเขามีสัญญาณเตือนภัยสีแดงกระพริบไม่หยุด แสดงถึงอันตรายที่เกิดขึ้นในห้องโดยสาร


“ไม่เป็นไร ขับเครื่องบินต่อไป กำลังจะถึงกำหนดเวลาที่เครื่องบินจะลงจอดแล้ว!”


แค่กระจกแตกไม่อาจทำให้เยี่ยเทียนตื่นตกใจได้ ตอนนี้สมาธิของเขาทั้งหมดจดจ่อไปที่ตำราทุยเป้ยถูบนโต๊ะ


สภาพในห้องโดยสารเป็นสภาวะไร้น้ำหนัก ข้าวของลอยไปมากระจัดกระจาย มีเพียงตำราทุยเป้ยถูเท่านั้นที่วางนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับขเยื่อน และไม่พลิกหน้าตามแรงลมพัดด้วย แรงดูดมหาศาลทำให้ตำราทุยเป้ยถูประกอบเข้าเป็นเล่มเดียวกัน


“มันดูดกลืนพลังวิเศษเข้าไปเองด้วยหรือ?”


ในสมองของเยี่ยเทียนบังเกิดความคิดนี้ขึ้นมา ถ้าเทียบกับอากาศมลพิษบนพื้นดิน กลางท้องฟ้าที่สูงขนาดนี้ต้องมีพลังวิเศษสมบูรณ์ ตำราทุยเป้ยถูนี้เหมือนกับเป็นหลุมดำอันใหญ่ที่ดูดกลืนพลังวิเศษที่มีอยู่ในอากาศกลางท้องฟ้าเข้าไปสู่ตัวมันเอง


เมื่อพลังแห่งฟ้าดินเข้าไปสู่ภายในเต็มเปี่ยมแล้ว กระดาษสีเหลืองกรอบของตำราค่อยเปลี่ยนเป็นสีขาวสะอาดกลายเป็นความสดใหม่ สีขาวอมเหลืองเหมือนงาช้างหรือหยกที่มีความสดใส ภาพวาดที่แต่เดิมปรากฎอยู่บนหน้ากระดาษไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่


“คุณเยี่ย ไม่ได้ครับ สถานการณ์ฉุกเฉิน ผมจำเป็นต้องลงจอดเดี๋ยวนี้!”


เยี่ยเทียนสังเกตความเปลี่ยนแปลงของตำราทุยเป้ยถู เสียงนักบินก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง แม้การบินจะไม่มีปัญหา แต่ด้วยประสบการณ์ของเขาแล้ว กระจกเกิดแตกบนระดับความสูงหมื่นเมตร เกรงว่าภายในไม่ถึงสามนาทีคนที่อยู่ในห้องโดยสารจะต้องแข็งตายกันหมด


“บินต่อไป นี่คือคำสั่ง รอให้ไปถึงสนามบินสวิสก่อนค่อยเอาเครื่องบินไปซ่อม!”


เสียงของเยี่ยเทียนเหมือนเสียงระฆังลั่นอยู่ข้างหูของนักบิน แฝงไปด้วยการข่มขู่ มองดูหน้าปัดเวลาระยะห่างเส้นทางเหลือเวลาอีกเพียงสิบกว่านาทีเท่านี้ นักบินค่อยๆลดระดับความสูงลง และเริ่มติดต่อทางสนามบินสวิสเพื่อเตรียมตัวลงจอด


จากการลดระดับเพดานบินลง ลมกรรโชกที่พัดในห้องโดยสารลดความแรงลงเช่นกัน ส่วนตำราทุยเป้ยถูก็ดูดพลังวิเศษจากธรรมชาติลดน้อยลงเช่นกัน


หลังจากนั้นสิบนาทีในห้องโดยสารเหมือนถูกกวาดล้างเรียบ ค่อยๆลดระดับลงจอดบนลานจอดสนามบินสวิส พลังงานร้ายกาจรุนแรงที่ปลดปล่อยออกมาจากตำราทุยเป้ยถูหายไปหมดสิ้น


“เอ๋? บนนั้นทำไมไม่มีรูปอะไรแล้วล่ะ นี่….นี่มันยังเป็นภาพทุยเป้ยถูอีกเหรอ?”


เยี่ยเทียนมือไวคว้าตำรามาดูอย่างรวดเร็วแล้วก็พบว่า ตำราที่มีกระดาษสิบกว่าหน้าได้ประกอบเชื่อมต่อกัน ครึ่งเล่มหน้าเป็นกระดาษขาวแวววาวเหมือนทองเหมือนหยกเหลือเพียงสามแผ่น ตรงกลางเป็นกระดาษขาวกับสีดำ อย่างละแผ่น ส่วนหลังกระดาษหนากว่าส่วนอื่น บนนั้นยังเขียนคำว่า “ตาย” เป็นตัวอักษรสีแดงโลหิต


“โอ้โห นี่มันอะไรกันนี่?”


เยี่ยเทียนจ้องคำว่า “ตาย” บนหน้ากระดาษแล้วรู้สึกวิงเวียนเป็นพักๆ ดวงจิตดั้งเดิมที่อยู่ในสมองของเขาถูกคำว่า “ตาย”ชักนำ เยี่ยเทียนตกใจจนต้องกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่ภาพติดตาของตัวอักษรตัวนั้นออกไป


ยังไม่ทันวิเคราะห์ให้ละเอียด เยี่ยเก็บตำราทุยเป้ยถูที่มีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือลงในกระเป๋าเสื้อ เพราะในสนามบินมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลอยู่ทั่วไปหมด รถพยาบาลหลายคันกำลังวิ่งตรงมาที่เครื่องบินที่กำลังร่อนลงจอด


“คุณเยี่ย คุณ…ไม่เป็นอะไรนะครับ?”


เมื่อนักบินเปิดประตูห้องโดยสารเข้ามาเห็นสภาพห้องโดยสารที่เละเทะแล้วมองดูเยี่ยเทียนอย่างไม่น่าเชื่อ


ด้วยประสบการณ์ชั่วโมงบินสูงของทหารประจำฝูงบินรบ หลังจากกระจกห้องโดยสารแตก ตั้งแต่สิบกว่านาที คนทั้งสองถ้าไม่แข็งตายก็จะกลายเป็นไอศกรีมแช่แข็งไปแล้ว เห็นว่าคนทั้งสองยังมีชีวิตอยู่และแข็งแรงดี เขาจึงรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก


“พวกเราไม่เป็นไร คุณรีบซ่อมเครื่องบินให้เสร็จภายในไม่กี่วันนี้!”


เยี่ยเทียนปลดเข็มขัดนิรภัยออก แล้วกระโดดลงจากเครื่องบิน เห็นว่ามีคนใส่ชุดทหารประจำชาติจีนเดินลงมาจากรถยนต์ที่จอดเทียบอยู่ข้างเครื่องบิน


“คุณเยี่ย ผมมารับคุณครับ เกิดเหตุอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”


เยี่ยเทียนเดาไม่ผิด ทหารคนนั้นจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ของสถานทูตจีนในสวิสเซอร์แลนด์ซึ่งได้รับข่าวแล้วมารอรับเขาถึงที่นี่

 

 

 


ตอนที่ 903 พลังพิเศษ

 

“ไม่มีอะไร แค่เครื่องบินขัดข้องนิดหน่อย”


เยี่ยเทียนตอบไปอย่างนั้น ดูเหมือนเขาต้องมีความขัดแย้งกับเครื่องบินตลอด ทุกครั้งที่เขาบินจะต้องเกิดปัญหาอยู่ร่ำไป


“ปัญ…ปัญหานิดหน่อย?”


ตอนที่ทหารหนุ่มยศพันเอกมองเห็นสภาพบนเครื่องบินชัดเจนแล้ว ปากที่อ้าค้างทำเอากรามเกือบหลุด เพราะกระจกในห้องเครื่องบินผู้โดยสารแตกทั้งหมด แบบนี้ยังเป็นปัญหาเล็กน้อย?


“ที่แท้ก็เป็นตัวประหลาดจริงๆ ถึงสามารถทำกระจกแตกทุกบานได้?”


นายทหารรู้เรื่องการเรียกประชุมใหญ่ของผู้มีพลังพิเศษที่จัดขึ้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตัวเขาเองก็มีพลังพิเศษอยู่บ้าง แต่ต่อให้เขามีค้อนขนาดใหญ่ เขาก็ไม่สามารถทุบกระจกทุกบานของเครื่องบินทั้งลำให้แตกละเอียดได้


เดิมทีนายทหารไม่ค่อยพอใจที่เยี่ยเทียนเป็นตัวแทนของประเทศในการเข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนผู้มีพลังพิเศษครั้งนี้ แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าแล้ว มีหรือที่เขาจะกล้าสงสัยความสามารถของเยี่ยเทียนอีก เพราะคนที่สามารถทำให้กระจกทั้งลำของเครื่องบินแตกละเอียดจากความสูงระดับหนึ่งหมื่นเมตรแต่กลับไม่เป็นอะไรนั้น ก็คือหนึ่งในผู้ที่มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง


ถ้าหากเยี่ยเทียนรู้ความคิดของนายทหารคนนี้ คงจะต้องรู้สึกเหมือนถูกใส่ร้ายเป็นแน่ ที่ว่าเขานั่งเครื่องบินอยู่ดีๆ แต่ว่างมากแล้วจึงทุบกระจกให้แตกเล่นๆ  อย่างไรเสียผู้ร้ายของเรื่องนี้ก็ต้องโทษ “ทุยเป้ยถู” เล่มนั้นที่เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ!


“ไปกันเถอะ ไปถึงที่พักก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


เมื่อเห็นรถที่รายล้อมเข้ามากับคนที่มากขึ้นเรื่อยๆ เยี่ยเทียนจึงมุดเข้าไปนั่งในรถของอีกฝ่าย แล้วจึงมองนายทหารที่นั่งตำแหน่งข้างคนขับ จากนั้นจึงเอ่ยปากว่า


“คุณชื่ออะไร? ถนัดเรื่องอะไรครับ?”


เมื่อครู่ความสนใจของเยี่ยเทียนล้วนอยู่ที่ “ทุยเป้ยถู” จนกระทั่งตอนนี้พบว่า เดิมทีทหารคนที่มารับตัวเองนั้น ดู เหมือนจะมีพลังงานบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย เพียงแต่พลังงานนั่นอ่อนแอมากจริงๆ ซึ่งด้อยกว่าจวงรุ่ยที่เขาเจอเมื่อสองสามวันก่อนอีก


“คุณเยี่ย ผมชื่อกู้ต้าจวิน คุณเรียกผมว่าต้าจวินก็ได้ครับ”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน กู้ต้าจวินจึงมองไปที่คนขับรถ แล้วพูดว่า


“พอไปถึงสถานทูตแล้ว ผมจะรายงานรายละเอียดของการประชุมแลกเปลี่ยนครั้งนี้ให้คุณทราบครับ”


งานประชุมใหญ่ผู้มีพลังพิเศษครั้งนี้จัดขึ้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความลับขั้นสูง ในสถานฑูตจีนที่อยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้น นอกจากกู้ต้าจวินที่รู้เรื่องและพอจะมีความสามารถพิเศษ ในการเข้าร่วมงานแทนเยี่ยเทียนได้นั้น ก็มีเพียงท่านเอกอัครราชทูตเท่านั้นที่รู้ ส่วนคนที่ขับรถอยู่เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ทั่วไปของสถานฑูต กู้ต้าจวินจึงไม่อยากให้เขาได้ยินการสนทนาเรื่องนี้


“คุณเยี่ย สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่สวยงามมากนะครับ มีเทือกเขาแอลป์ที่ใหญ่โตตั้งตระหว่านห้อมล้อมประ เทศ ประชากรของที่นี่ถือว่ามีรายได้เฉลี่ยต่อคนสูงที่สุดในยุโรป แต่คุณมาไม่ถูกเวลา ไม่อย่างนั้นผมจะพาคุณไปเล่นสกีบนภูเขาครับ”


รถยนต์ที่มีป้ายการฑูตอยู่ขับออกจากสนามบินได้อย่างสบายตลอดทาง ในฐานะเจ้าบ้าน กู้ต้าจวินจึงแนะ นำประเทศสวิตเซอร์แลนด์ให้เยี่ยเทียน ความจริงเขาไม่ต้องพูด เยี่ยเทียนก็รู้สึกถึงความแตกต่างได้ หลังจากมาถึงยุโรปเขาก็พบว่า มลพิษจากอุตสาหกรรมของที่นี่ น้อยกว่าในประเทศจีนเป็นอย่างมาก


ไม่ว่าจะเป็นลอนดอนหรือเมืองซูริกที่เขาอาศัยอยู่ตอนนี้ ก็ยังมองไม่เห็นปล่องควันไฟสีดำๆ ลอยออกมา แม้ว่าจะไม่ใช่ประเทศที่ติดชายฝั่งทะเล ไม่มีชายฝั่งที่สวยงามก็ตาม แต่ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ของซูริกนั้น ยังคงสะอาดสดใสเหมือน กับไพลิน สวยงามผิดหูผิดตา


หลังจากที่เข้ามาถึงตัวเมืองของซูริกแล้ว สถาปัตยกรรมที่เห็นชัดเจนมากที่สุดก็คือโบสถ์ หอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ ส่วนใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์โรมัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้นมีภาษาราชการอยู่สี่ภาษาได้แก่ ภาษา เยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอิตาลี และภาษาโรมัน ถือว่าเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติแห่งหนึ่ง


แน่นอนว่า สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก็คือธนาคารกับอุตสาหกรรมด้านนาฬิกา นาฬิกาของสวิตเซอร์แลนด์มีคุณภาพสูงและมีชื่อเสียงที่สุดในโลก นาฬิกาสวิตเซอร์แลนด์มีปริมาณการผลิตสี่สิบเปอร์เซ็นต์ของโลก โดยนาฬิกาที่ส่งออกไปทั่วโลกทุกสิบเรือนจะมีเจ็ดเรือนที่มาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และนาฬิกาที่มีชื่อเสียงเกือบทั้งหมดล้วนเกิดจากที่นี่ แม้แต่เรือนที่เยี่ยเทียนใส่อยู่ในมือ ก็ยังผลิตมาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งราคาก็แพงไม่ใช่ย่อย


ส่วนธุรกิจด้านธนาคารนั้น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีชื่อเสียงว่าเป็น “ประเทศแห่งการเงิน” ธนาคารของสวิตเซอร์ แลนด์นั้นได้รับขนานนามว่าเป็นธนาคารที่ปลอดภัยที่สุดในโลก


ธนาคารส่วนใหญ่ของประเทศอื่นๆ แค่เพียงเจ้าหน้าที่ตรวจสอบนำข้อมูลต่างๆและเอกสารที่เกี่ยวข้องของผู้ฝากมาแสดง ธนาคารพวกนั้นก็เปิดเผยข้อมูลแล้ว แต่ธนาคารสวิสไม่ทำแบบนั้น เป็นเวลาสามศตวรรษแล้ว ธนาคารสวิสยึดมั่นในหลักการการเก็บความลับอย่างถาวรของผู้ฝากมาโดยตลอด


วิธีการเช่นนี้ ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ในต่างประเทศต่างก็มาเปิดบัญชีที่ธนาคารสวิส และเช็คที่ออกจากธนาคารสวิสก็เป็นที่ยอมรับระดับสากล ซ่งเวยหลันที่คืนเงินนับพันล้านดอลลาร์ให้แก่เยี่ยเทียน ตอนนี้ก็ฝากเงินไว้ในธนาคารที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าสองร้อยปีในซูริกเช่นกัน


หลังจากครึ่งชั่วโมงกว่าผ่านไป รถก็ขับเข้ามายังสถานทูตที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้เขียวขจี แค่มองสภาพแวดล้อมโดยรอบ เยี่ยเทียนก็อดถอนหายใจไม่ได้


“ชีวิตที่นี่ดีจริงๆ นะครับ”


ถ้าหากไม่ใช่เพราะป้าๆ น้าๆ อยากจะใช้ชีวิตที่ปักกิ่งไปตลอดชีวิต เยี่ยเทียนก็อยากให้พวกเขาย้ายออกมานานแล้ว เพราะมลพิษทางอากาศในปักกิ่งรุนแรงขึ้นทุกปี ได้ทำลายสุขภาพของคนแก่เป็นอย่างมาก ต่อให้เยี่ยเทียนช่วยปรับสมดุลให้พวกเขา เกรงว่าอายุคงต้องลดลงถึงสิบปีเป็นอย่างน้อย


“ใช่ครับ พออยู่ที่นี่แล้วก็ไม่อยากกลับประเทศเลยครับ”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว กู้ต้าจวินจึงยิ้มพูด


“คุณเยี่ยครับ ตึกเดี่ยวนี้เอาไว้ให้พวกคุณสองคนพักผ่อนครับ จะมีเจ้าหน้าที่มาทำความสะอาดทุกวัน อ้อใช่ วันนี้ท่านฑูตมีกิจกรรม ท่านบอกว่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับคุณเย็นนี้ครับ”


ความจริงเรื่องที่ท่านฑูตรู้ยังมากสู้กู้ต้าจวินไม่ได้ แต่มีเจ้าพ่อในประเทศจีนคนหนึ่งโทรมาหาเขา กำชับให้เขาดูแลต้อนรับเยี่ยเทียนเป็นพิเศษ ถ้าหากไม่ใช่เพราะงานยุ่งล่ะก็ เขาก็อยากจะไปรับเยี่ยเทียนที่สนามบินพร้อมกับกู้ต้าจวินเช่น กัน


มองดูตึกเล็กกำแพงสีแดงสไตล์ยุโรปแล้ว เยี่ยเทียนจึงส่ายหน้าแล้วพูดว่า


“งานเลี้ยงไม่ต้องหรอก เหล่ากู้ คุณเข้ามาหน่อย ผมมีเรื่องอยากถามคุณนิดหน่อยครับ”


“ครับ คุณเยี่ย มีข้อมูลบางอย่างที่อยากให้คุณตรวจสอบเหมือนกันครับ”


กู้ต้าจวินพยักหน้า แล้วจึงเดินตามเยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนเข้าไป หลังจากนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขกแล้ว เขาจึงหยิบเอกสารสองสามฉบับออกมาจากกระเป๋าเอกสารที่พกติดตัวตลอดแล้วยื่นให้เยี่ยเทียน


“ของพวกนี้ไม่มีอะไรต้องดู”


เยี่ยเทียนวางเอกสารพวกนั้นลงไปบนโต๊ะ แล้วเริ่มถามอย่างสงสัย


“เหล่ากู้คุณมีพลังพิเศษบางอย่างอยู่ในร่างกาย ไม่ทราบว่าคุณมีพลังพิเศษเหมือนกันใช่ไหมครับ?”


หากยังไม่ได้เข้ามายังขอบเขตเหล่านี้ ผู้คนมากมายจะไม่มีทางรู้เลยว่า โลกภายนอกที่พวกเขารู้นั้น ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่มีใครรู้ เยี่ยเทียนก็เช่นกัน ถ้าหากเขาไม่ได้เข้าสู่ระดับเซียนเทียน แม้ว่าจะมีการเจอหน้าตัวต่อตัวกับกู้ต้าจวิน ก็ยากที่จะรู้ความลับที่อยู่ภายในร่างกายของเขา


“คุณเยี่ย พลังพิเศษของผมเพิ่งจะตื่นตัวได้ไม่นาน ถือว่ายังอ่อนหัดมากครับ”


เดิมทีกู้ต้าจวินเป็นทหารยศพันตรี แต่เนื่องจากพลังพิเศษที่ตื่นตัว ทำให้เขาเลื่อนขั้นเป็นยศพันเอกโดยตรง จากนั้นจึงถูกย้ายมาอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ก่อนที่เยี่ยเทียนจะมาได้หนึ่งเดือนกว่า นี่ก็เป็นการเตรียมงานของพวกที่อยู่ในประเทศจีนทั้งนั้น ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่ตกลงยอมเดินทางมาครั้งนี้ พวกเขาก็จะให้กู้ต้าจวินไปร่วมงานประชุมใหญ่การแลก เปลี่ยนของผู้มีพลังพิเศษในครั้งนี้แทน


ขณะที่พูดอยู่นั้น กู้ต้าจวินก็ยื่นมือออกแล้วโชว์ความสามารถให้ดู แก้วกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ จู่ๆ ก็ลอยขึ้นมา จากนั้นก็ลอยโยกเยกไปมาจนถึงตู้กดน้ำดื่มที่อยู่มุมกำแพง ปุ่มกดน้ำของตู้กดน้ำก็ถูกกดโดยอัตโนมัติ เพียงช่วง เวลาครู่เดียว น้ำก็ล้นเอ่อเต็มแก้วกระดาษ


“คุณเยี่ย พลังของผมคือการควบคุมวัตถุสิ่งของ สามารถควบคุมวัตถุที่มีปริมาณไม่ใหญ่มากนักภายในระยะสิบเมตรกว่าๆ ได้ครับ”


หลังจากใช้พลังพิเศษนำแก้วกระดาษกลับมาวางบนโต๊ะแล้ว หน้าผากของกู้ต้าจวินก็มีเม็ดเหงื่อละเอียดผุดขึ้น มา สำหรับเขา การทำให้น้ำเต็มแก้วนั้น คือขีดจำกัดของเขาแล้ว ถ้าหากไกลออกไปกว่านี้อีกนิดหนึ่ง เกรงว่าเขาคงต้องขายหน้าต่อหน้าเยี่ยเทียนแน่นอน


“เอ่อ ที่แท้ก็เป็นพลังแบบนี้?”


มองดูท่าทางอันเหนื่อยล้าของกู้ต้าจวินแล้ว เยี่ยเทียนจึงหมดซึ่งคำพูด จากนั้นเขาจึงเกรงใจที่จะพูดประโยคต่อไป นั่นก็คือ “ความสามารถแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร?”


แค่การควบคุมแก้วน้ำ ก็ทำให้กู้ต้าจวินหมดแรงแล้ว หรือว่าตอนที่ต่อสู้กับผู้มีพลังพิเศษคนอื่น แค่ใช้น้ำแก้วเดียวก็ทำให้อีกฝ่ายจมน้ำตายได้หรือไง? ถ้าหากเขาปรากฏตัวในงานประชุมใหญ่แลกเปลี่ยนผู้มีพลังพิเศษของโลก อย่างนั้นก็จะกลายเป็นเรื่องตลกแน่นอน


“คุณเยี่ย ไม่ทราบว่าคุณมีพลังพิเศษอะไรครับ?”


หลังจากแสดงพลังพิเศษของตัวเองแล้ว กู้ต้าจวินจึงมองเยี่ยเทียนอย่างสงสัยใคร่รู้ เพราะเขาไม่รู้จักเยี่ยเทียนมากเท่าไร รู้แค่ว่าเขาเป็นผู้ที่มีพลังพิเศษที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง และจากที่เห็นเหตุการณ์ของเครื่องบินก่อนหน้านี้ ก็เป็นการพิสูจน์ความจริงของสิ่งที่พูดมาเบื้องต้น


“พลังของผม?”


เยี่ยเทียนตกตะลึง แล้วจึงยิ้มพูดว่า


“เซี่ยวเทียน แกดีกว่า!”


“ครับ อาจารย์!”


โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้า มองไปรอบๆ แล้วดวงตาก็จ้องไปที่ไม้แขวนเสื้อแสตนเลสที่อยู่ประตูด้านหลัง จากนั้นจึงยื่นมืออกมาอย่างฉับพลัน แล้วก็ได้ยินเสียงดัง “กร๊อบ” ขึ้นมาเบาๆ ไม้แขวนเสื้ออันนั้นก็ถูกโจวเซี่ยวเทียนจับกลางอากาศ ลงมาจากประตูนั่นโดยตรง


โจวเซี่ยวเทียนก็ใช้ฝีมือการควบคุมวัตถุเช่นกัน นำไม้แขวนเสื้อแสตนเลสมาถืออยู่ในมือ แล้วสองมือนั่นก็เหมือน กับกำลังนวดดินน้ำมัน ไม้แขวนเสื้อแสตนเลสก็เหมือนกับแป้งนวดก็ไม่ปาน ถูกนวดและเปลี่ยนรูปทรงไปมาอยู่ในมือของโจวเซี่ยวเทียนตามความต้องการ สุดท้ายจึงกลายเป็นลูกบอลเหล็กอันหนึ่ง ที่ถูกโจวเซี่ยวเทียนเอามาเล่นอยู่ในมือ


“นี่…นี่คือวิชาอะไรครับ?”


กู้ตาจวินตกตะลึงตาค้าง เพราะการควบคุมวัตถุกลางอากาศก็ยังพอเข้าใจ แต่วิชาที่อยู่ในมือของโจวเซี่ยวเทียนนั้นเขาไม่เคยเห็นมาก่อน คิดว่าหากสองมือนี้มานวดอยู่บนร่างกายของคนล่ะก็ ทำให้กู้ต้าจวินอดลุกขนพองขึ้นมาไม่ได้


กู้ต้าจวินก็เคยเห็นยอดฝีมือที่ฝึกวิชากังฟูอย่างพวกฝ่ามือเหล็กในกองทัพมาก่อน แต่เมื่อเทียบกับโจวเซี่ยวเทียนที่อยู่ตรงหน้าแล้ว วิชาของคนพวกนั้นเหมือนกับเด็กน้อย ไม่สามารถเอามาสู้ได้


“กองทัพอย่างพวกคุณให้ความสำคัญเรื่องฆ่าศัตรูเพื่อเอาชนะ เป็นการฝึกพลังภายนอก แต่ลัทธิเต๋าอย่างพวกเราเป็นการฝึกพลังภายใน ทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกัน คุณก็อย่าดูถูกตัวเองเกินไป”


เมื่อเห็นกู้ต้าจวินหน้าขาวซีด เยี่ยเทียนจึงส่ายหน้า ถึงแม้คนผู้นี้จะมีพลังพิเศษก็จริง แต่ด้านจิตใจนั้นยังอ่อนหัดนัก กระทั่งยังสู้ฉางเฮ่าไม่ได้ และก็ไม่รู้ว่าทำไมทางประเทศถึงให้เขามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้?


เพียงแต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า เนื่องจากประเทศหาผู้ที่มีพลังพิเศษไม่ได้แล้วจริงๆ จึงได้เลือกทหารตัวเตี้ยม่อต้อ ส่งกู้ต้าจวินที่เพิ่งปลุกพลังพิเศษของเขาได้ไม่นานมาที่สวิตเซอร์แลนด์ ไม่อย่างนั้นประธานาธิบดีเยวี่ยก็คงไม่มาเชิญเยี่ยเทียนให้ออกโรงด้วยตัวท่านเองหรอก

 

 

 


ตอนที่ 904 ข่าวกรอง

 

“คุณเยี่ยครับ ได้เจอพวกคุณสองคนแล้ว ผมเพิ่งรู้อะไรที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคนครับ!”


โจวเซี่ยวเทียนแสดงวิชานี้ออกมา ทำให้กู้ต้าจวินอ้าปากค้าง หลังจากที่เขามีพลังพิเศษ “ควบคุมสิ่งของ” ได้ เขาก็ได้เลื่อนยศทหารถึงสองขั้น ได้เข้าร่วมสถาบันวิจัยผู้มีพลังพิเศษของประเทศจีน และยังได้เห็นบุคคลสำคัญที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนอีกมากมาย


ทำให้ความคิดและจิตใจของกู้ต้าจวินเปลี่ยนไป คิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญคนหนึ่ง มีความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นใหญ่ในใต้หล้า แต่วันนี้ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกของเยี่ยเทียนทั้งสองคนขณะที่อยู่บนเครื่องบินก็ตาม หรือวิชาที่อยู่ในมือของโจวเซี่ยวเทียนนั้น ล้วนทำให้กู้ต้าจวินละอายใจและแทบอยากจะหาช่องมุดหลบเข้าไปเสียให้ได้


เยี่ยเทียนโบกมือ แล้วพูดว่า


“เหล่ากู้ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว คุณช่วยเล่าสถานการณ์ ของการจัดงานประชุมใหญ่ครั้งนี้อย่างคร่าวๆ ให้ผมฟังที”


ดังสำนวนที่ว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเชื่อมั่นใจตัวเองมาก แต่ก็ยังต้องป้องกันความผิดพลาดเช่นกัน ถึงอย่างไรบนโลกที่กว้างใหญ่นี้ก็มีเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจอีกมากนัก และในต่างประเทศก็มีคนเก่าคนแก่ที่มีอายุนับร้อยปีไม่น้อย ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไร


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว กู้ต้าจวินจึงรีบดึงสติกลับมาจากความตื่นตะลึง แล้วพูดว่า


“คุณเยี่ยครับ การประชุมใหญ่ผู้มีพลังพิเศษครั้งนี้ ถูกจัดขึ้นโดยประเทศอเมริกากับประเทศอังกฤษครับ ถึงแม้จะใช้ในนามของสมาคมผู้มีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติของโลก และถือเป็นการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมพื้นบ้าน แต่แท้จริงแล้วก็คือการส่งผู้ที่มีพลังพิเศษที่รับราชการทหารในกองทัพมาเสียส่วนใหญ่…”


เรื่องที่กองทัพบุกเบิกพัฒนาผู้มีพลังพิเศษ ล้วนเป็นการดำเนินงานโดยความลับสุดยอด ถึงแม้ชาวบ้านจะมีการคาดเดาต่างๆ นานา แต่ก็ไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วเมื่อสิบปีก่อน สมาคมวิจัยพลังพิเศษของโลก ได้รับเจตนารมณ์และก่อตั้งจากบางประเทศนานแล้ว


ช่วงแรกเริ่มเลย มีการร่วมมือกันระหว่างประเทศเหล่านี้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านมานุษยวิทยามากมายมาเข้าร่วม โดยใช้มุมมองของการกระตุ้นศักยภาพของร่างกายมนุษย์เพื่อปลดล็อกพลังพิเศษบางอย่าง


แต่หลังจากที่ประเทศเหล่านั้นตระหนักถึงบทบาทและคุณประโยชน์ในด้านการทหาร จึงเริ่มทำการปิดบัง ไม่มีใครรู้ว่าประเทศอื่นได้พัฒนาด้านนี้ไปถึงขั้นไหนแล้ว ทำให้สมาคมผู้มีพลังพิเศษของโลกไม่สามารถทำให้เป็นความจริงขึ้นมาได้


ถึงครั้งนี้จะใช้ชื่อของสมาคมผู้มีพลังพิเศษของโลกก็ตาม แต่ทุกประเทศต่างก็ส่งทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศของตัวเองมาทั้งหมด


เหล่าประเทศมหาอำนาจสองสามประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าใครต่างก็ไม่กล้าปลุกปั่นให้เกิดสง ครามอย่างง่ายดาย เหมือนอย่างเช่นประเทศอเมริกาที่มีชื่อเสียงเรื่องไม่ฟังเหตุผล ก็กล้าสอดแทรกเข้าไปในประเทศเล็กๆ อย่างอิรักและยูโกสลาเวียเท่านั้น ส่วนประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ พวกเขาก็ปฏิบัติตัวอย่างระมัดระวังเช่นกัน


ดังนั้นการจัดงานประชุมใหญ่เพื่อแลกเปลี่ยนผู้มีพลังพิเศษครั้งนี้ ความจริงแล้วก็คือการปะทะกันของทหารที่พร้อมรบแต่ละคน เพื่อเป็นการตัดสินความแข็งแกร่งโดยรวมของแต่ละประเทศ เพื่อให้แต่ละประเทศมีสิทธิ์มีเสียงในระดับสากล หรือจริงๆ แล้วก็คือการจัดสรรใหม่อีกครั้ง ดังนั้นทุกประเทศจึงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก


“ไม่แปลกใจเลยที่คนคนนั้นจะตื่นเต้นขนาดนี้ ที่แท้ก็คือการแย่งถิ่นเหรอ?”


หลังจากได้ยินกู้ต้าจวินอธิบายแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เพราะเขากับติงหงที่ก่อเหตุการเข่นฆ่าในไซบีเรีย ได้ทำให้แต่ละประเทศเกิดความตื่นตระหนกตกใจ ถึงได้ทำการวิจัยผู้มีพลังพิเศษอย่างมุ่งมั่น จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับเขาเช่นกัน


“คุณเยี่ยครับ มีคุณทั้งสองอยู่ด้วย ครั้งนี้จะต้องทำให้พวกชาวต่างชาติได้เห็นดีแน่นอนครับ!”


กู้ต้าจวินตื่นเต้นดีใจขึ้นมาขณะที่พูด ก่อนหน้านั้นแค่การตัดสินใจให้เขาเข้าร่วมงานประชุมใหญ่ครั้งนี้ ในใจของกู้ต้าจวินก็ไม่มั่นใจเลยสักนิด ไม่ว่าอย่างไรเวลาการตื่นตัวของพลังพิเศษของเขามันสั้นมาก เพราะพลังพิเศษในการ “ควบคุมสิ่งของ” นั้นยังพอที่จะเอาไปใช้ในการแสดงได้ แต่ถ้าเป็นการต่อสู้จริงๆ กลับไม่มีค่าอะไรเลย


ดังนั้นการเข้าร่วมของเยี่ยเทียนอาจารย์กับลูกศิษย์ทั้งสองคนนี้ ทำให้กู้ต้าจวินมั่นใจมากขึ้น เพราะคนที่สามารถทำให้กระจกแตกกลางอากาศที่สูงนับหมื่นเมตรได้โดยที่ไม่ตายนั้น แสดงว่าพลังชีวิตยังมีมากกว่าจำนวนของแมลงสาบเสียอีก เมื่อมียอดฝีมือคอยบัญชาการด้วยตัวเอง เขาเชื่อว่าภารกิจจะสามารถสำเร็จได้อย่างราบรื่นแน่นอน


“เหล่ากู้ ที่ต่างประเทศก็มีเสือซ่อนเล็บอยู่ ดังนั้นจะประมาทไม่ได้”


เมื่อเห็นท่าทางของกู้ต้าจวินแล้ว เยี่ยเทียนจึงส่ายหน้า แล้วถามว่า


“อ้อใช่ คุณรู้ไหมว่าทำไมครั้งนี้ถึงเลือกจัดงานประชุมใหญ่ผู้มีพลังพิเศษที่ซูริก?”


“คุณเยี่ยไม่รู้เหรอครับ?” กู้ต้าจวินมองเยี่ยเทียนด้วยความประหลาดใจ


“ถ้ารู้แล้วผมจะถามคุณทำไมครับ?”


เยี่ยเทียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ตามหลักแล้วการจัดงานแลกเปลี่ยนครั้งนี้เกิดขึ้นมาจากประเทศอเมริกากับประ เทศอังกฤษ พวกเขาน่าจะจัดที่ประเทศของตัวเองหรือประเทศที่อยู่ใกล้เคียง แต่ไม่น่าจะจัดขึ้นที่สวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นประ เทศที่มีชื่อเสียงด้านระบบธนาคารกับนาฬิกา


“คุณเยี่ยครับ คุณน่าจะทราบว่า สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีสถานะเป็นกลางใช่ไหมครับ?”


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนไม่ทราบสาเหตุจริงๆ กู้ต้าจวินจึงอธิบายว่า


“เนื่องจากเป็นประทศที่มีสถานะเป็นกลาง ดังนั้นปัญหาหรือข้อพิพาทที่ยากจะแก้ไขระหว่างประเทศจำนวนมาก จะถูกจัดอภิปรายที่สวิตเซอร์แลนด์ และงานประชุมใหญ่ผู้มีพลังพิเศษครั้งนี้ ก็เป็นประเทศของพวกเรากับรัสเซียร่วมกันเสนอให้จัดที่สวิตเซอร์แลนด์ครับ…”


“สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่เป็นกลาง? ก็แค่เรื่องย้อมแมวขายเท่านั้น”


คำพูดของกู้ต้าจวินทำให้เยี่ยเทียนแค่นเสียงขึ้นจมูก สาเหตุที่เขาไม่คิดว่าสวิตเซอร์แลนด์ไม่มีสถานะเป็นกลางนั้น ก็เพราะว่าก่อนหน้านั้น ก็ไม่มีใครคิดว่าสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่เป็นกลางได้ด้วยซ้ำ เนื่องจากตอนที่เขาพูดคุยกับโก่วซินเจีย เยี่ยเทียนก็ได้ยินเรื่องที่ไม่น่าพิศมัยของสวิตเซอร์แลนด์มากมาย


สถานะความเป็นกลางของสวิตเซอร์แลนด์ มาจากการประชุมที่เวียนนาในปี 1815 ตอนนั้นทำไปเพื่อกำจัดนโปเลียนคนบ้าสงคราม และเคยแถลงการณ์แสดงความเป็นกลางอย่างถาวรของสวิตเซอร์แลนด์ผ่านแนวร่วมต่อต้านฝรั่งเศส ทำให้สวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นประเทศที่มีสถานะเป็นกลางตลอดไป


หลังจากนั้นอีกหนึ่งร้อยปี สวิตเซอร์แลนด์ก็รักษาชื่อเสียงของประเทศที่มีสถานะเป็นกลางมาตลอด แต่หลังจากที่เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง สวิตเซอร์แลนด์ก็สวมบทบาทที่น่าเกลียดอีกมากมาย


อย่างแรกช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สวิตเซอร์แลนด์ยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีทางด้านเศรษฐกิจและการเงินกับเยอรมนีมาโดยตลอด โรงงานผลิตนาฬิการายใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ได้จัดหาชิ้นส่วนและอะไหล่ที่มีความแม่นยำและดีเยี่ยมให้เยอรมนี และโรงงานทหารของซูริกก็จัดหาปืนใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดสี่สิบมิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเป็นอาวุธป้องกันตัวที่สำคัญมากสำหรับเยอรมนีในการรับมือกับการโจมตีทางอากาศของพันธมิตร


นอกจากนี้สวิตเซอร์แลนด์ยังปฏิเสธที่จะช่วยเหลือชาวยิวที่ถูกข่มเหง โดยให้ข้อกำหนดที่ชัดเจนว่า “ชาวยิวไม่ควรถูกมองว่าเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง” เมื่อสงครามเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ สวิตเซอร์แลนด์ก็ได้สกัดกั้นชาวยิวนับแสนคนไม่ให้เข้าเมือง กระทั่งบางครั้งก็ส่งพวกเขาให้กับหน่วยเอสเอส (SS) ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่โดยตรง


และสวิตเซอร์แลนด์ก็ยังทำการยักยอกทรัพย์สินของชาวยิว และทำหน้าที่เป็นตู้เซฟทองคำให้กับนาซี และในยุค 90 ก็เคยเกิดเรื่องโกลาหลครั้งหนึ่ง ทำให้มีผลกระทบด้านลบต่อชื่อเสียงของธนาคารสวิสเป็นอย่างมาก


ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวในเยอรมันที่ถูกพวกนาซีข่มเหงจนตายนั้นได้เปิดบัญชีในธนาคารสวิสมากกว่าห้าหมื่นบัญชีและฝากเงินมูลค่าหกพันล้านดอลลาร์


แต่จนถึงทุกวันนี้รัฐบาลสวิสก็คืนเงินเพียงหกล้านดอลลาร์ให้กับองค์กรชาวยิวหรือบริจาคให้กับองค์กรด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศเท่านั้นเอง และธนาคารสวิสบางแห่งก็ปฏิเสธที่จะชดเชยค่าเสียหายด้วยเหตุผลที่ว่าค่ายกักกันนาซีไม่ออกใบรับรองการตาย ทำให้เงินทั้งหมดนี้ถูกยักยอกโดยธนาคารสวิส


โชคดีที่รัฐบาลสวิสไม่ทำตัวน่ารังเกียจเหมือนประเทศเกาะอย่างญี่ปุ่น หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองรัฐบาลสวิสได้ไตร่ตรองและสำนึกผิด ในปี 1995 คุณโคตี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เป็นตัวแทนในการกล่าวขอโทษสำหรับการแสดงออกของสวิตเซอร์แลนด์ในสงครามโลกครั้งที่สอง ถึงเรียกตำแหน่งสถานะเป็นกลางระหว่างประเทศของสวิตเซอร์แลนด์กลับมาได้สำเร็จ


“โอเค พวกเราไม่พูดเรื่องนี้แล้วดีกว่า”


สำหรับรัฐบาลแบบนี้ เยี่ยเทียนไม่สามารถให้ความเคารพได้ แล้วจึงโบกมือพูดว่า


“เหล่ากู้ คุณรู้ไหมว่าแต่ละประเทศส่งใครมาร่วมงานครั้งนี้บ้าง?”


“คุณเยี่ย ผมยังไม่ได้รับข่าวกรองจากอีกฝ่ายเลยครับ”


กู้ต้าจวินส่ายหน้าพลางพูดว่า


“การบุกเบิกพัฒนาวิจัยผู้มีพลังพิเศษของแต่ละประเทศดำเนินการเป็นความลับสุดยอด ผมแค่ได้ข่าวว่าหลังจากอเมริกากับรัสเซียได้ของพวกนั้นไป การวิจัยของเขตที่เจ็ดก็ก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก บรรลุผลสำเร็จมากมาย ประเทศอังกฤษกับรัสเซียก็เช่นกัน”


พอเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นกู้ต้าจวินก็พูดด้วยสีหน้าขมขื่นว่า


“ผมเชื่อว่าคุณเยี่ยก็รู้ว่าพวกเขาได้ของอะไรไปกันแน่ แต่ประเทศจีนของพวกเรากลับตรงข้ามไม่มีการพัฒนาเลยสักนิด ถึงแม้พวกเราจะได้รับของสิ่งนั้นเหมือนกัน”


หลังจากที่ได้เข้าร่วมการค้นคว้าวิจัยของผู้มีพลังพิเศษของประเทศแล้ว กู้ต้าจวินจึงรู้ข้อมูลลับมากมาย และก็ได้ยินชื่อของเยี่ยเทียนอยู่หลายครั้ง จึงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่รัสเซียทั้งหมด ซึ่งมีเงาของเยี่ยเทียนอยู่เบื้องหลัง


“หืม? ที่แท้ก็เป็นแบบนี้?”


เยี่ยเทียนได้ยินจึงตกตะลึง อเมริกากับอังกฤษต่างก็ได้รับของพวกนั้นมาจากรัสเซีย และเขาก็รู้ดีกว่าใครๆ นั่นคือซากศพของติงหงที่พ่ายแพ้จากการโดนทัณฑ์อัสนีสวรรค์ ถึงแม้ตอนนั้นศพจะถูกรัฐบาลรัสเซียได้ไป แต่เมื่อเจอแรงกดดันของแต่ละประเทศ รัฐบาลรัสเซียจึงต้องหยิบบางส่วนออกมาเพื่อให้แต่ละประเทศทำการวิจัย


“ผมเข้าใจแล้วครับ พวกคนต่างชาติก็รู้จักใช้เล่ห์เหลี่ยมแบบนี้แหละ…”


หลังจากลองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็เข้าใจขึ้นมาทันที แล้วจึงมีสีหน้าที่ไม่เห็นด้วย


กายเนื้อของติงหงถึงแม้จะถูกฟ้าผ่าจนไหม้เกรียม แต่โครงสร้างที่อยู่ภายในกลับผิดแผกไปจากคนปกติทั่วไปมาก การฝึกวรยุทธเป็นเวลานานทำให้กลุ่มเซลล์ที่อยู่ในร่างกายของเขาสมบูรณ์ไร้ที่ติ แค่เพียงจุดนี้ ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักพันธุศาสตร์มากมายของแต่ละประเทศแล้ว


เมื่อมีสายโซ่พันธุกรรมที่สำเร็จรูปแล้ว เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็สามารถทำการทดลองในสัตว์และคนได้ โดยใช้ยาเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของพันธุกรรม ทำให้ได้รับพลังอันมหาศาล ถ้าหากเยี่ยเทียนเดาไม่ผิดล่ะก็ อเมริกา อังกฤษและรัสเซียและประเทศอื่นๆ ก็ใช้วิธีการเช่นนี้ทำให้ผลการวิจัยบรรลุผลสำเร็จในการวิจัยมนุษย์ที่มีพลังพิเศษ


แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่า สาเหตุที่ติงหงสามารถรักษาให้ร่างกายสมบูรณ์แบบได้เช่นนี้ มาจากการฝึกบำเพ็ญตบะนับร้อยปี ทำให้ยีนได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นจากภายในสู่ภายนอก โดยไม่ได้ฉกฉวยโอกาสจากพลังภายนอกแต่อย่างไร


ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าผู้ที่มีพลังพิเศษนั้น ก็คือคนที่สามารถทำให้สมรรถภาพของร่างกายแข็งแกร่งขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ถึงทำให้มีพลังที่ยิ่งใหญ่ แต่สำหรับอายุขัยของพวกเขาแล้วกลับไม่สามารถเพิ่มได้ ตรงกันข้ามจะยิ่งอายุสั้นกว่าคนธรรมดาทั่วไป นี่คือเหตุผลหลักที่เยี่ยเทียนไม่เห็นด้วย


กู้ต้าจวินพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แล้วพูดว่า


“อ้อใช่ คุณเยี่ย นอกจากผู้ที่มีพลังพิเศษแล้ว ผมได้ยินว่าอเมริกายังมีคนบางส่วนของแก๊งค์มาเฟียมาร่วมงานประชุมใหญ่ครั้งนี้ด้วยครับ ส่วนเป็นใครนั้น พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน”


“คนของแก๊งค์มาเฟีย? คงไม่ใช่ชาวเคิร์ดหรอกใช่ไหม? แต่พวกผีดูดเลือดดูเหมือนจะกำเนิดขึ้นที่อังกฤษ ทำไมถึงได้ใช้นามของอเมริกาในการเข้าร่วม?”


เยี่ยเทียนหรี่นัยน์ตาขึ้นมา เพราะเขายังจดจำชายที่บอกว่าตัวเองคือตระกูลสายเลือดโดยตรงได้อย่างแม่นยำ ตอนนั้นเขาเพิ่งเข้าสู่เซียนเทียนขั้นต้น จนเกือบพลาดท่าให้กับฝีมือของอีกฝ่าย

 

 

 


ตอนที่ 905 ความเป็นและความตาย

 

พวกผีดูดเลือดสามารถดูดซับพลังปราณพิฆาตแห่งฟ้าดินได้ ตอนนั้นวิชาของเยี่ยเทียนโจมตีเคิร์ดไม่ได้ผลทั้งหมด ร่างกายที่เหมือนจะไม่มีวันตาย ก็คือความกังวลที่สุดของเยี่ยเทียน สมองถูกเตะจนมองเห็นด้านหลังแต่ก็ยังไม่เป็นอะไร ตอนนั้นจึงส่งผลกระทบต่อเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก


ถึงแม้เคิร์ดจะไม่สามารถตอบโต้ติงหงได้เลย จนเกือบจะถูกฆ่าทุกวินาที แต่วรยุทธของเยี่ยเทียนในตอนนี้ก็ลึกล้ำมากกว่าติงหงไปไกลแล้ว เขาก็ไม่กล้าประมาท ถึงอย่างไรก็ยังไม่เคยได้ต่อสู้กับผีดูดเลือดอย่างแท้จริง เยี่ยเทียนจึงไม่รู้ว่าท่านดยุคที่เป็นแดรกคิวลาที่เคิร์ดพูดถึงนั้น มีความสามารถเป็นอย่างไรกันแน่


“คิดมากไปทำไม อย่างมากสุดมาวิธีแบบไหนก็รับมือไปแบบนั้น หรือว่ายังต้องกลัวพวกผีดูดเลือดอีกเหรอ?”


เยี่ยเทียนพูดหัวเราะตัวเองพลางยิ้ม ถึงแม้จะไม่สามารถทำนายผลของการประชุมใหญ่ครั้งนี้ได้ แต่เยี่ยเทียนก็ไม่รู้สึกถึงสิ่งที่เป็นอันตราย ไม่อย่างนั้นจิตของเขาต้องเกิดลางบอกเหตุอะไรไปนานแล้ว ซึ่งก็แสดงว่าการประชุมใหญ่ครั้งนี้ไม่มีอันตรายอะไร


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเงียบไม่พูดอะไรอยู่นาน จากนั้นก็ยังยกถ้วยน้ำชาของโจวเซี่ยวเทียนขึ้นแล้วเทลงไป กู้ต้าจวินจึงคิดว่าเขาทำการไล่แขก จึงรีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า


“คุณเยี่ย ถ้าหากไม่มีอะไรแล้ว คุณก็พักผ่อนก่อนเถอะครับ ผมจะไปดูว่าท่านฑูตกลับมาหรือยัง?”


“ถ้าหากท่านฑูตกลับมาแล้ว คุณก็ช่วยบอกให้ยกเลิกงานเลี้ยงเย็นนี้ด้วยนะครับ ผมไม่ค่อยชอบงานแบบนี้สักเท่าไร”


เยี่ยเทียนตะโกนเรียกกู้ต้าจวินเอาไว้ หลังจากสั่งงานไปแล้วจึงเอ่ยถามว่า


“เหล่ากู้ ธนาคารแห่งชาติสวิสน่าจะอยู่ที่ซูริกใช่ไหม? ถ้าหากคุณมีเวลา ช่วยพาผมไปหน่อย ผมมีของที่บางอย่างที่ต้องการถอนออกมา”


ตอนนั้นคนของตระกูลคิตะมิยะถูกฝังอยู่ในภูเขาปีศาจทั้งหมดขณะที่อยู่ในพม่า เยี่ยเทียนเคยแย่งกุญแจดอกหนึ่งมาจากตระกูลคิตะมิยะ หลังจากถูกแม่พูดเตือน เยี่ยเทียนถึงได้รู้ว่ากุญแจดอกนี้เป็นหลักฐานในการเปิดตู้เซฟของธนา คารแห่งชาติสวิส ซึ่งตู้เซฟลักษณะนี้มีน้อยมาก แม้แต่ซ่งเวยหลันก็แค่ได้ยินแต่ไม่เคยเห็นมาก่อน


และกุญแจดอกนี้ก็อยู่ในมือของเยี่ยเทียนมาหลายปีแล้ว ถึงแม้เยี่ยเทียนจะสงสัยมากว่าตระกูลคิตะมิยะซ่อนอะไรเอาไว้ในตู้เซฟกันแน่ แต่ก็ยังไม่เคยมีเวลามาตรวจสอบสักที จึงได้อาศัยโอกาสในครั้งนี้ เพื่อคลี่คลายต้นเหตุความเสื่อมโทรมของตระกูลคิตะมิยะมานานกว่าครึ่งศตวรรษ


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว กู้ต้าจวินจึงดูนาฬิกา แล้วพูดอย่างลำบากใจว่า


“คุณเยี่ยครับ สำนักงานใหญ่ของธนาคารแห่งชาติสวิสอยู่ที่ซูริกก็จริงครับ แต่…ตอนนี้คนอื่นเขาเลิกงานกันหมดแล้ว!”


ชีวิตของชาวสวิสนั้นเป็นความมั่งคั่งสำหรับคนทั่วยุโรปเป็นอย่างมาก สภาพแวดล้อมในการทำงานก็ยืดหยุ่นผ่อนคลาย พอถึงเวลาเลิกงาน ก็ไม่มีใครยอมทำงานล่วงเวลาเพื่อเงิน นอกจากนี้ธนาคารสวิสก็มีระบบคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมาก สามารถทำธุรกรรมการชำระเงินทุกประเภทได้ทั้งหมด ตอนนี้ธนาคารก็หยุดทำการแล้ว


“ฮิๆ จริงด้วย ผมลืมเรื่องนี้ไปเลย”


เมื่อดูนาฬิกาแล้ว เยี่ยเทียนจึงรู้สึกเคอะเขินอยู่บ้าง วันนี้เขาก็ตะลอนเดินทางจากอังกฤษมาถึงสวิตเซอร์แลนด์หนึ่งวันเต็มๆ ตอนนี้ก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว เยี่ยเทียนจึงโบกมือแล้วพูดว่า


“เหล่ากู้ อย่างนั้นพรุ่งนี้พวกเราก็ไปกันแต่เช้า ผมกับเซี่ยวเทียนขอพักผ่อนก่อน”


กู้ต้าจวินพยักหน้า เขารู้ว่าเยี่ยเทียนไม่ชอบถูกคนรบกวน จึงรีบพูดว่า


“ได้ครับ คุณเยี่ย เดี๋ยวผมจะให้คนเอาอาหารเย็นมาส่งให้คุณนะครับ”


“อาจารย์ พรุ่งนี้ผมไปกับอาจารย์ด้วย ไม่รู้ว่าไอ้พวกญี่ปุ่นนั่นซ่อนอะไรเอาไว้ในธนาคารกันแน่?”


ตอนนั้นโจวเซี่ยวเทียนก็เดินทางไปพม่ากับเยี่ยเทียน ดังนั้นจึงสงสัยมากเป็นธรรมดา เพราะตระกูลคิตะมิยะเกือบ จะสูญสิ้น ก็เพราะกุญแจดอกนี้กับตู้เซฟ เชื่อว่าของที่เก็บซ่อนอยู่ในธนาคารมากว่าครึ่งศตวรรษนั้น จะต้องมีมูลค่าไม่ธรรมดาแน่นอน


“ฉันมีลางสังหรณ์ว่า ของที่อยู่ในนั้น บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับ ‘ทุยเป้ยถู’ ก็เป็นได้!”


เยี่ยเทียนพูดพร้อมกับหยิบคัมภีร์ที่ไม่สมประกอบที่เขาเก็บติดตัวตลอดออกมา แต่เขากลับไม่กล้าใช้พลังจิตตรวจ สอบคำว่า “ตาย”ของทุยเป้ยถูอีก เพราะก่อนหน้านั้นตอนที่อยู่บนเครื่องบินเขารู้สึกเหมือนถูกคำว่า “ตาย” กลืนกินพลังจิตเข้าไป ทำให้เยี่ยเทียนยังคงหวาดกลัวจนถึงตอนนี้


“อาจารย์ นี่ยังเป็น ‘ทุยเป้ยถู’ อยู่ใช่ไหมครับ? ทำไมถึงกลายเป็นแบนี้ไปได้?”


วรยุทธของโจวเซี่ยวเทียนยังห่างจากเยี่ยเทียนมากนัก ตอนที่อยู่บนเครื่องบินเขามัวแต่ต้านอากาศที่อยู่ท่ามกลางอากาศสูง จึงไม่ได้ให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงของ “ทุยเป้ยถู” เพียงแต่ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังเก็บมันเขาจึงมองมันไปครั้งหนึ่ง เวลานี้สายตาของเขาอดมองไปยังคัมภีร์ที่ไม่สมประกอบที่มีเพียงสามส่วนที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียนอย่างช่วยไม่ได้


ด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนที่เกือบจะถูกของสิ่งนี้ดูดกลืนพลังจิต ดังนั้นโจวเซี่ยวเทียนที่จิตแห่งหยางยังไม่ก่อตัวนั้น เกรงว่าจะไม่สามารถต้านทานได้ เมื่อเห็นสายตาของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว เยี่ยเทียนจึงรีบพูดเตือนทันที


“ระวัง อย่าใช้พลังจิตตรวจสอบเด็ดขาด!”


“อะไรนะครับ?”


โจวเซี่ยวเทียนได้ยินคำพูดที่ฉับไวของเยี่ยเทียน จึงรีบเรียกพลังจิตที่ปล่อยออกไปเพียงเล็กน้อยกลับมาทันที เพราะเขาก็เคยเสียท่าให้กับคัมภีร์ที่ไม่สมประกอบของ “ทุยเป้ยถู” มาก่อน ดังนั้นจึงระมัดระวังเป็นพิเศษ และไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด


หลังจากเรียกพลังจิตกลับมาแล้ว โจวเซี่ยวเทียนจึงเงยหน้าขึ้นมาด้วยความสงสัย แล้วพูดว่า “


อาจารย์ ตอนนี้พลังจิตของผมสัมผัสของสิ่งนี้แล้ว ดูเหมือนจะสบายมากเลยนะครับ!”


“สบาย?”


เยี่ยเทียนตกตะลึง


“พลังจิตของแกสัมผัสโดนตรงไหน?”


โจวเซี่ยวเทียนชี้นิ้วออกไปอย่างระมัดระวัง แล้วจึงสัมผัสกับกระดาษสีขาวใบนั้นพลางพูดว่า


“ก็คือตรงนี้ครับ…”


“ตรงนี้? แปลกจัง?”


เยี่ยเทียนใช้มือไปสัมผัสกระดาษสีขาวที่มีพื้นผิวเหมือนกับหยก หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงแบ่งพลังจิตออกไปจำนวนหนึ่ง เอ่อล้นเข้าไปยังกระดาษสีขาวนั่น เขาระมัดระวังเป็นอย่างมาก เตรียมพร้อมที่จะตัดการเชื่อมต่อของพลังจิตตลอดเวลา แม้ว่าพลังจิตกลุ่มนี้จะถูกกลืนกิน แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายให้บาดเจ็บมากนัก


“เอ๊ะ เหมือนจะมีลมหายใจของชีวิตจริงๆ!”


หลังจากที่ใช้พลังจิตไปสัมผัสกระดาษสีขาวแล้ว ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ปรากฏสีหน้าแปลกประหลาดออกมาทัน ที ดูเหมือนในกระดาษสีขาวนี้จะสะสมพลังชีวิตจำนวนมาก หล่อเลี้ยงพลังจิตเหล่านั้น แค่การหายใจสั้นๆ สองสามที เยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกถึงพลังจิตที่ขยายใหญ่ไม่น้อย


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”


หลังจากเก็บพลังจิตแล้ว เยี่ยเทียนจึงพลิกคัมภีร์ไม่สมประกอบนี้ แล้วมองตัวหนังสือสีแดงคำว่า “ตาย” จากนั้นก็ปล่อยพลังจิตกลุ่มหนึ่งออกไปเหมือนกัน แต่ตอนที่พลังจิตสัมผัสกับคำว่า “ตาย” นั้น เยี่ยเทียนก็มีเสียงอึดอัดออกมาจากในปากทันที พร้อมกับใบหน้าที่ขาวซีดเล็กน้อย


เหมือนกับตอนที่ตรวจสถานการณ์อยู่บนเครื่องบินไม่ผิดเพี้ยน นอกจากนี้พลังกลืนกินนั่นดูเหมือนจะแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น เพราะมันไม่รอให้เยี่ยเทียนมีการตอบสนองใดๆ พลังจิตกลุ่มนั้นก็ถูกคำว่า “ตาย” ดูดกลืนเข้าไปแล้ว แม้แต่จิตแห่งหยางของเยี่ยเทียนก็ยังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย


“บ้าเอ้ย น่ากลัวเกินไปแล้ว ของสิ่งนี้ไม่เพียงแต่ดูดกลืนพลังจิต แต่ยังมีผลกระทบต่อจิตใจคนอีกด้วย!”


พลังจิตที่ถูกกลืนกินไปนั้นมีพลังปราณชีวิตแห่งความตายส่งออกมา ภายในชั่วพริบตาเดียว ทำให้เยี่ยเทียนเหมือนกับตัวเองตกอยู่ในสถานที่อันรกร้างว่างเปล่า ไร้สิ่งมีชีวิตโดยรอบ ราวกับระหว่างฟ้าดินล้วนปกคลุมไปด้วยเงามรณะก็ไม่ปาน


เยี่ยเทียนพลิกข้อมือขึ้นมา เก็บคัมภีร์ที่ไม่สมประกอบ พลางเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มหน้าผากแล้วพูดว่า


“เซี่ยวเทียน ของสิ่งนี้แกห้ามดูเด็ดขาด มันอัปมงคลสิ้นดี เหมือนกับความเป็นและความตายมากระทบกัน!”


สีขาวแสดงถึงความเป็น สีดำแสดงถึงความตาย เยี่ยเทียนก็เดาไม่ออกว่าของชิ้นนี้คืออะไรกันแน่ แต่เขามั่นใจว่า เจ้าของสิ่งนี้ไม่ใช่ “ทุยเป้ยถู” ของการทำนายโชคชะตาเหมือนในตำนานแน่นอน หลังจากที่คนรุ่นหลังจับมันแยกกันแล้ว จึงได้วาดภาพอีกอย่างลงไป เหมือนกำลังอำพรางอะไรบางอย่าง


เมื่อต้องเสียท่าไปไม่น้อย เยี่ยเทียนจึงไม่กล้าดูคัมภีร์นั่นอีก หนำซ้ำพลังจิตของเขาก็ยังได้รับความเสียหาย เขาจำเป็นต้องนั่งสมาธิเพื่อทำให้ฟื้นฟูกลับมา จากนั้นจึงหาห้องนอนแล้วเข้าไปนั่งสมาธิ ส่วนท่านฑูตที่มาเยี่ยมตอนหลัง ก็ให้โจวเซี่ยวเทียนเป็นคนรับแขกไป


“ในตอนท้ายของการฝึกวรยุทธ ที่แท้ก็ต้องฝึกพลังจิตเช่นกัน”


พอถึงเวลาแปดโมงกว่าๆ ของวันที่สอง เยี่ยเทียนจึงตื่นขึ้นมาจากการเข้าฌาน ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะเมื่อวานไม่เพียงแต่ต้องสูญเสียพลังจิต แถมยังต้องมานั่งฟื้นฟูวรยุทธอีกทั้งคืน ถึงแม้จะมีพลังแห่งฟ้าดินคอยสกัดไว้ แต่เมื่อวรยุทธถึงระดับเยี่ยเทียนแล้ว การก้าวขึ้นไปอีกขั้นล้วนมีแต่ความยากลำบาก


“คุณเยี่ย ผมชื่อโจวจี้หวา เดิมทีเมื่อวานผมอยากจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับคุณ แต่ได้ยินว่าคุณพักผ่อนแล้ว จึงไม่กล้ารบกวนครับ!”


ตอนที่เยี่ยเทียนเดินออกมาจากตึกเล็ก ก็มีผู้ชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบแปดสี่สิบเก้าปีเดินมาต้อนรับ เมื่อวานเยี่ยเทียนไม่ได้เจอหน้าเขา ทำให้เอกอัครราชฑูตโจวรู้สึกไม่สบายใจ เขาคิดว่าตัวเองไม่ได้ต้อนรับขับสู้เยี่ยเทียนเป็นอย่างดี คงจะทำให้เด็กหนุ่มคนนี้ไม่พอใจแน่นอน


“ที่แท้ก็คือท่านฑูตโจว?”


เยี่ยเทียนดูท่าทางของโจวจี้หวาแล้ว จึงยิ้มพูดว่า


“เมื่อวานเหนื่อยมากครับ จึงขอตัวพักผ่อนก่อน ทำให้ท่านฑูตต้องเสียน้ำใจ เป็นผมที่ไม่ดีเองครับ!”


“ไม่หรอกครับ เป็นเพราะจี้หวาต้อนรับไม่ดีต่างหากครับ คุณเยี่ย ได้ยินว่าวันนี้คุณจะไปธนาคารใช่ไหมครับ เอาเป็นว่า…ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณดีไหม?”


โจวจี้หวาเป็นคนที่ถูกฟูมฟักมาจากประธานอู๋ ในอนาคตเมื่อกลับประเทศจีนมีความเป็นไปได้สูงที่จะก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ได้เลื่อนขั้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดังนั้นประธานอู๋จึงกำชับให้ดูแลต้อนรับเด็กหนุ่มคนนี้เป็นอย่างดี และเขาก็ให้ความสำคัญเรื่องนี้เป็นอย่างมาก


“ไม่ต้องดีกว่าครับ ให้เหล่ากู้ไปเป็นเพื่อนพวกเราก็พอแล้ว”


เยี่ยเทียนและคนอื่นๆ ต่างก็มองออกถึงความเกรงกลัวที่อยู่ในใจของโจวจี้หวา เขาจึงเอ่ยพูดว่า


“คุณโจวไม่ต้องเกรงใจครับ ผมเห็นแก้มทั้งสองข้างของคุณอวบอิ่ม ผิวหนังฉ่ำวาว ตี้เก๋อก็มีเนื้ออวบอิ่ม สงสัยกลับประเทศไปแล้วจะได้รับตำแหน่งต่อเลย ผมขอแสดงความยินดีที่ท่านจะได้เลื่อนขั้นด้วยนะครับ!”


“ตี้เก๋อ” คือชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งของคางส่วนล่างในวิชาการดูโหงวเฮ้ง คางของโจวจี้หวากลมและหนา ปากเป็นสี่เหลี่ยม คนประเภทนี้มีพรสวรรค์ด้านการสื่อสารอยู่แล้ว และยังถนัดในการสื่อการกับผู้คนเป็นอย่างมาก ริมฝีปากบนและล่างของเขาเป็นสีแดงระเรื่อ นี่คือสัญลักษณ์ของคนที่จะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง


ทว่าโจวจี้หวาอยู่ในวงการข้าราชการมานาน ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรกับประโยคของเยี่ยเทียน เมื่อได้ยินว่า เยี่ยเทียนไม่อยากให้เขาไปเป็นเพื่อน จึงรีบตะโกนเรียกกู้ต้าจวินที่เดินมาทางนี้พอดี แล้วพูดว่า


“ขอบคุณคำพูดมงคลของคุณเยี่ยนะครับ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ผมก็จะให้ต้าจวินไปเป็นเพื่อนคุณครับ!”


กู้ต้าจวินเดินเข้ามา แล้วพูดว่า


“คุณเยี่ย รถเตรียมพร้อมแล้วครับ พวกเราจะไปตอนนี้เลยไหม?”


“ไปตอนนี้เลย!”


เมื่อเห็นรถยนต์ที่ไม่ได้ติดป้ายทางการฑูตคันหนึ่ง เยี่ยเทียนจึงพยักหน้า ถึงแม้รถยนต์ที่มีป้ายทางการทูตจะทำให้มีอภิสิทธิ์ไม่น้อย แต่ก็เป็นที่จับตามองมากเกินไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายที่ไม่จำเป็น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)